พิรุธสรรพากรไม่รู้หรือเจตนา ส่อเสียค่าโง่ภาษีหุ้นแม้ว1.6หมื่นล.

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/259665

วันศุกร์ ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2560, 02.00 น.

พฤติการณ์ของกระทรวงการคลังและกรมสรรพากรส่อพิรุธจนถูกหลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตกรณีที่ปล่อยให้การเรียกเก็บภาษีมูลค่าราว 16,000 บาท จากนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯนักโทษหนีคุก กรณีขายหุ้นชินคอร์เปอเรชั่น ให้กับบริษัทเทมาเส็ก อันอื้อฉาวในอดีตส่อเค้าวืดเพราะคดีกำลังจะหมดอายุความในวันที่ 31 มี.ค.ที่จะถึงนี้แล้ว

นายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ถึงกับเหลืออดในพฤติกรรมส่อไม่ชอบมาพากลของกระทรวงการคลัง และกรมสรรพากร ด้วยการออกมาให้ความเห็นแบบดับเครื่องชนว่า ข้อเท็จจริงกรณีการขายหุ้นชินคอร์ปของนายทักษิณ ชัดเจนอยู่แล้วจากคำพิพากษาของศาลฎีกา ซึ่งชอบที่กรมสรรพากรจะใช้อำนาจประเมินเรียกเก็บภาษีได้ทันทีโดยไม่ต้องออกหมายเรียกอย่างที่อ้างใดๆ ทั้งสิ้น ทั้งนี้การเรียกเก็บภาษีเป็นไปตามมาตรา 61 ของประมวลรัษฎากรที่ระบุอายุภายใน 10 ปี ถ้าปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่าต้องเสียภาษีก็สามารถดำเนินการได้ทันที แต่กรมสรรพากรกลับไปพูดเรื่องการออกหมายเรียกภายใน 5 ปี ที่หมดอายุไปแล้วและอ้างว่าไม่สามารถขยายเวลาการออกหมายเรียกได้อีก จึงหมดทางเรียกภาษีจาก นายทักษิณ

“เรื่องนี้มันไม่ชัดตรงไหนที่อยู่ในคำพิพากษาศาลฎีกา สตง.แจ้งไปยังกระทรวงคลังเป็นปีแล้วตั้งแต่มีคำพิพากษา และทำหนังสือแจ้งเตือนครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่7 มี.ค. สตช.เห็นช่องแล้วว่าหุ้นไม่ใช่รายได้ของลูก แต่เป็นรายได้ของนายทักษิณที่ต้องเสียภาษี ถ้าไม่เสียภาษีก็ต้องดำเนินการ และเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับทรัพย์สินของนายทักษิณที่ถูกยึด อีกทั้งอยากตั้งข้อสังเกตด้วยว่าทำไมไม่ใช้อำนาจหน้าที่ที่ถูกต้อง การไปตีความอย่างที่อ้างเป็นประโยชน์กับใคร เป็นเจ้าหน้าที่รัฐต้องรักษาผลประโยชน์ของประชาชน ถ้าปล่อยให้ล่วงเลยเวลา หน่วยงานที่จัดเก็บต้องร่วมรับผิดชอบ”

ผู้ว่าฯสตง.ยังย้ำว่า การใช้ มาตรา 61 เป็นช่องทางชัดเจนที่สุดและดำเนินการได้เลย แต่ขนาดใช้ง่ายยังไปพูดเรื่องออกหมายเรียกซึ่งเป็นคนละเรื่องกัน ทำให้ขณะนี้สังคมเริ่มตั้งข้อสังเกตว่าหากกรมสรรพากรไม่รู้ข้อกฎหมายแล้วใครจะรู้ดีกว่ากรมสรรพากร

อีกคนหนึ่งที่ให้ความเห็นตั้งข้อสงสัยในการทำหน้าที่ของกรมสรรพากรก็คือ นายเกียรติ สิทธีอมร อดีตสส.รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ตั้งข้อสังเกตว่า เจ้าหน้าที่มีเวลาตั้ง 5 ปี ในการออกหมายเรียกเก็บภาษี แต่ทำไมไม่ออกหมายเรียกจนหมายเรียกหมดอายุความซึ่งต้องถามกรมสรรพากรว่าเกิดอะไรขึ้น ทั้งนี้ที่ผ่านมามีผู้ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมสรรพากรหลายคนคงต้องไปดูว่าช่วงเวลาไหนใครรับผิดชอบแต่กลับไม่ทำ

“ถ้าอยู่ดีๆ ปล่อยให้คดีหมดอายุความถือเป็นเรื่องไม่ปกติ ในแง่รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเร่งตรวจสอบและอธิบายให้สังคมทราบ”

มาทางด้านการหาทางออกผ่าทางตันเพื่อทวงเงินภาษี 16,000 ล้านบาท ที่ควรเป็นของแผ่นดินจากคนตระกูลชิน นายประสาร มฤคพิทักษ์ อดีตสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.) เสนอให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ใช้มาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราว เรียกนายทักษิณ มายื่นแบบเสียภาษีจากการขายหุ้นชินคอร์ปก่อนที่คดีจะหมดอายุความในสิ้นเดือนนี้ ซี่งเท่ากับเป็นการเริ่มต้นกระบวนการเรียกเก็บภาษีใหม่โดยปริยาย ส่วนกรณีที่กรมสรรพากรไม่ออกหมายเรียก นายทักษิณ ภายใน 5 ปีรัฐบาลควรไปไล่เบี้ยว่าเป็นความรับผิดชอบของใครเพราะเข้าข่ายความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตาม มาตรา 157 ของประมวลกฎหมายอาญา

สำหรับความเป็นมาของพฤติการณ์ส่อเลี่ยงการจ่ายภาษีหุ้นชินคอร์ป มูลค่า 16,000 ล้านบาท เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2549 ก่อนที่ นายทักษิณ จะขายหุ้นชินคอร์ปลอตใหญ่ให้กับบริษัทเทมาเส็กโฮลดิ้ง ของรัฐบาลสิงคโปร์มูลค่ากว่า 73,000 ล้านบาท โดย นายทักษิณ ส่อเล่นแร่แปรธาตุด้วยการไปจดทะเบียนตั้ง บริษัทแอมเพิลริช ที่เกาะบริติชเวอร์จิน อันเป็นแหล่งฟอกเงินระดับโลก จากนั้นผ่องถ่ายหุ้นชินคอร์ปไปยังบริษัทแอมเพิลริช แล้วต่อมามีการทำทีเป็นขายหุ้นชินคอร์ปจากบริษัทแอมเพิลริช ให้แก่เหล่านอมินีซึ่งเป็นคนใกล้ชิดตระกูลชินซึ่งที่สำคัญคือขายให้กับนายพานทองแท้ ชินวัตร และ น.ส.พินทองทาชินวัตร บุตรชายและบุตรสาวของนายทักษิณ คนละ 164,6000,000 หุ้น ในราคาแค่หุ้นละ 1 บาท ทั้งๆ ที่ราคาในตลาดหุ้นละ 49.25 บาท ซึ่งตามประมวลรัษฎากรต้องเสียภาษีส่วนต่างของราคาหุ้น

แต่ นายทักษิณ ส่อเจตนาหลบเลี่ยงการจ่ายภาษีหุ้นชินคอร์ป โดยอ้างว่าหุ้นชินคอร์ปรวมอยู่ในทรัพย์สิน 46,000 ล้านบาท ของตัวเองที่ถูกยึดไปแล้วฐานร่ำรวยผิดปกติหลังการรัฐประหาร เมื่อปี 2549 อย่างไรก็ตามข้ออ้างของ นายทักษิณ ดังกล่าวศาลฎีกาเคยมีคำพิพากษาแล้วว่าฟังไม่ขึ้น อีกทั้งเมื่อปีที่แล้ว ศาลอาญาได้พิพากษาตัดสินลงโทษจำคุกอดีตผู้บริหารระดับสูงของกรมสรรพากรหลายคน คนละ 3 ปี ฐานะละเว้นการปฏิบัติหน้าที่เอื้อให้คนตระกูลชินไม่ต้องเสียภาษีการขายหุ้นชินคอร์ปแก่บริษัทเทมาเส็ก โดยในบรรดาผู้ที่ถูกลงโทษที่สำคัญคือ นางเบญจาหลุยเจริญ ที่ต่อมาได้รับการปูนบำเหน็จเป็น รมช.คลัง ยุครัฐบาลระบอบแม้ว

คสช.เข้าควบคุมอำนาจการปกครองประเทศมานานเกือบ 3 ปีแล้ว แต่ทำไมถึงปล่อยให้ปัญหาการเรียกภาษีหุ้นชินคอร์ปมูลค่ามหาศาลที่ควรเป็นรายได้ของแผ่นดินจากนายทักษิณส่อเค้าวืดจากคดีที่กำลังจะหมดอายุความในอีกไม่กี่วันข้างหน้า เพราะฉะนั้นกระทรวงการคลัง โดยเฉพาะนายประสงค์พูนธเนศ อธิบดีกรมสรรพากร ควรจะต้องมีคำชี้แจงที่ชัดเจนสร้างความกระจ่างต่อสาธารณชนมากกว่าข้ออ้างที่ชี้แจงก่อนหน้านี้ และที่สำคัญเมื่อผู้ว่าฯสตง. และบุคคลหลายฝ่ายออกมาชี้ทางออกในการเรียกเก็บภาษีหุ้นชินคอร์ป ถึงขนาดนี้แล้วยังเฉยก็อาจทำให้สังคมอดสงสัยไม่ได้ว่ามีอะไรซ่อนอยู่เบื้องหลัง และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องอาจเข้าข่ายละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ รวมทั้งอาจส่งผลกระทบต่อภาพพจน์ความโปร่งใสและการปฏิรูปประเทศของรัฐบาล

ทีมข่าวการเมือง

บทเรียนอัปยศโกงภาษีหุ้นชินคอร์ป ผลพวงธุรกิจการเมืองในคราบปชต.?

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/259521

วันพฤหัสบดี ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2560, 02.00 น.

นับเป็นอีกบทเรียนอันเจ็บปวดสำหรับชาติบ้านเมืองและถือเป็นความอัปยศของระบบราชการไทยจากมหกรรมส่อโกงยุคระบอบแม้วครองเมืองโดยเฉพาะคดีเรียกเก็บภาษีมูลค่าราว 16,000 ล้านบาท จากนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯนักโทษหนีคุกกรณีขายหุ้นบริษัทชินคอร์เปอเรชั่นให้บริษัทเทมาเส็กโฮลดิ้ง มูลค่า 73,000 ล้านบาท กำลังจะหมดอายุความในวันที่ 31 มีนาคมนี้

ความเป็นมาของมหกรรมส่อโกงภาษีหุ้นชินคอร์ปฯมูลค่า 16,000 ล้านบาท ครั้งนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ก่อนที่ นายทักษิณ จะขายหุ้นลอตใหญ่ให้เทมาเส็กโดยมีการเล่นแร่แปรธาตุโดยไปจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทแอมเพิลริชที่เกาะบริติชเวอร์จินซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นแหล่งฟอกเงินระดับโลกที่เหล่านักธุรกิจการเมืองจอมคอร์รัปชั่นทั่วโลกจะนำทรัพย์สินมาฟอกที่เกาะแห่งนึ้ จากนั้นมีการผองถ่ายหุ้นชินคอร์ปไปยังบริษัทแอมเพิลริช แล้วจัดฉากทำทีเป็นขายหุ้นชินคอร์ปจากบริษัทแอมเพิลริชให้กับคนใกล้ชิดซึ่งเป็นนอมินีซึ่งรวมทั้งนายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย และ น.ส.พินทองทา ชินวัตร บุตรสาวของนายทักษิณ คนละ 164,600,000 หุ้นในราคาหุ้นละแค่ 1 บาท ทั้งๆที่ราคาหุ้นในตลาด 49.25 บาท นอกจากนี้ยังมีการขายหุ้นในราคาหุ้นละ 1 บาทให้กับคนใกล้ชิดซึ่งเป็นนอมินีอีกหลายคน ซึ่งตามประมวลรัษฎากรมาตรา 39 ต้องเสียภาษีจากส่วนต่างของราคาหุ้น

แต่ นายทักษิณ กลับส่อเจตนาหลบเลี่ยงการเสียภาษีหุ้นชินคอร์ปมูลค่ารวมแล้วราว 16,000 ล้านบาท และที่สำคัญ นายทักษิณ ขณะมีอำนาจเป็นผู้นำประเทศได้ใช้อำนาจแก้ไขกฎหมายเพิ่มเพดานการถือครองหุ้นด้านโทรคมนาคมของต่างชาติ เพื่อเปิดทางให้สามารถขายหุ้นชินคอร์ปลอตใหญ่มูลค่า 73,000 ล้านบาท ให้กับเทมาเส็กซึ่งเป็นของรัฐบาลสิงคโปร์

หลังการรัฐประหารล้มรัฐบาลทักษิณเมื่อปี 2549 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้ยึดทรัพย์สินของ นายทักษิณ เป็นมูลค่า 46,000 ล้านบาทฐานร่ำรวยผิดปกติและได้ทรัพย์สินมาโดยมิชอบ ซึ่งในเวลาต่อมา นายทักษิณ ได้อาศัยกรณีถูกยึดทรัพย์สินเป็นข้ออ้างหักร้างการเรียกเก็บภาษีจาก นายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา โดยอ้างว่าหุ้นชินคอร์ปของบุตรทั้งสองเป็นหุ้นของตัวเองซึ่งรวมอยู่ในทรัพย์สิน 46,000 ล้านบาท ที่ถูกยึดไปแล้ว

อย่างไรก็ตาม จากคำวินิจฉัยยึดทรัพย์ นายทักษิณ ของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตอนหนึ่งได้กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้อย่างชัดเจนว่า การเรียกเก็บภาษีจากนายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา ที่ซื้อหุ้นจากบริษัทแอมเพิลริชเป็นการดำเนินการตามบทบัญญัติแห่งประมวลรัษฏากรอันเป็นกฎหมายพิเศษที่กำหนดให้ผู้มีเงินได้พึงประเมินมีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไข ข้อต่อสู้ของ นายทักษิณ และผู้ครอบครองหุ้นแทนจึงฟังไม่ขึ้น

แม้จะมีคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองแล้ว แต่ นายทักษิณ และบุตรทั้งสองคือ นายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา ก็ยืนกรานไม่ยอมจ่ายภาษีให้รัฐ โดยรัฐบาลระบอบแม้วยุคต่อๆ มากระทรวงการคลังและกรมสรรพากรซึ่งอยู่ภายใต้อำนาจของรัฐบาลระบอบแม้วก็จงใจละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ไม่เรียกเก็บภาษีหุ้นชินคอร์ปจากคนตระกูลชินทั้ง 3 จนมีการฟ้องร้องดำเนินคดีกับข้าราชการที่เกี่ยวข้อง

จนเมื่อวันที่ 28 ก.ค.2559 ศาลอาญาพิพากษาตัดสินลงโทษจำคุกอดีตผู้บริหารระดับสูงของกรมสรรพากรหลายคนคนละ 3 ปีฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่เอื้อให้คนตระกูลชินไม่ต้องเสียภาษีการซื้อขายหุ้นชินคอร์ปแก่รัฐ ซึ่งอดีตผู้บริหารกรมสรรพากรที่สำคัญคือ นางเบญจา หลุยเจริญ อดีตอธิบดีกรมสรรพากรและอดีตรมช.คลัง ยุครัฐบาลระบอบแม้ว

ทั้งนี้ นางเบญจา นั้นถูกตั้งข้อสังเกตว่าเป็นเด็กในคาถาตระกูลชินโดยเติบโตในหน้าที่การงานอย่างรวดเร็วถึงขนาดได้รับการปูนบำเหน็จให้นั่งเก้าอี้รมช.คลัง

กรณีโกงภาษีหุ้นชินคอร์ปมูลค่า 16,000 ล้านบาทดังกล่าวถูกตั้งข้อสังเกตว่าเป็นเพียงเศษเสี้ยวของมหกรรมโกงชาติปล้นแผ่นดินยุครัฐบาลแม้วครองเมืองที่มีการประเมินว่า มีการทุจริตเชิงนโยบายที่สำคัญเกือบ 100 กรณีคิดเป็นมูลค่ามหาศาล โดยเหิมเกริมถึงขนาดออกพระราชกำหนด (พ.ร.ก.)ลดภาษีมือถือเอื้อประโยชน์ต่อธุรกิจมือถือของตระกูลชินเป็นมูลค่าหลายหมื่นล้านบาท ทั้งๆที่เป็นการละเมิดรัฐธรรมนูญที่กำหนดให้การออกพ.ร.ก.จะกระทำได้ก็ต่อเมื่อเกิดกรณีคอขาดบาดตายเป็นกรณีเร่งด่วนฉุกเฉินอันกระทบต่อความมั่นคงและเศรษฐกิจของชาติอย่างร้ายแรงเท่านั้น แต่รัฐบาลแม้วกลับออกพ.ร.ก.เพียงเพื่อเอื้อต่อธุรกิจตระกูลชิน

หรือกรณีการปล่อยเงินกู้ให้กับรัฐบาลพม่ามูลค่ากว่า 4,000 ล้านบาทเพื่อในอัตราดอกเบี้ยต่ำเพื่อนำไปซื้ออุปกรณ์ด้านการสื่อสารโทรคมนาคมซึ่งเป็นธุรกิจตระกูลชิน หรือคดีที่ธนาคารกรุงไทยปล่อยกู้ให้กับกลุ่มบริษัทกฤษดามหานคร มูลค่ากว่า 10,000 ล้านบาททั้งๆ ที่กลุ่มบริษัทกฤษดามหานครอยู่ในบัญชีกลุ่มธุรกิจที่เสี่ยงจะเป็นหนี้เสีย โดยคดีนี้ศาลตัดสินจำคุกผู้บริหารธนาคารกรุงไทยและเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องจำนวนมาก โดยมี นายทักษิณ เป็นจำเลยที่ 1

สำหรับคดีส่อโกงภาษีหุ้นชินคอร์ปที่กำลังจะหมดอายุความในวันที่ 31 มี.ค.นี้นั้นถือเป็นเพียงเศษเสี้ยวที่สะท้อนพิษภัยของระบอบธุรกิจการเมืองในคราบประชาธิปไตยจอมปลอม ซึ่งประเด็นที่เป็นข้อสงสัยก็คือ ทำไมกระทรวงการคลังและกรมสรรพากรถึงไม่แก้ปัญหาตั้งแต่ต้นปล่อยให้ปัญหายืดเยื้อจนใกล้จะหมดอายุความในปลายเดือนนี้ทั้งๆที่เป็นเรื่องสำคัญที่เกี่ยวข้องกับภาษีมูลค่ามหาศาลซึ่งควรจะตกเป็นของแผ่นดิน และล่าสุดคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากรของกระทรวงการคลังประชุมและได้ข้อสรุปว่า รัฐส่อวืดที่จะเก็บภาษีการซื้อขายหุ้นชินคอร์ปที่มีปัญหาเพราะกรมสรรพากรไม่ได้ออกหมายเรียกภายใน 5 ปี ส่วนการจะขยายเวลาการออกหมายเรียกก็ทำไม่ได้เพราะกฎหมายกำหนดว่า การขยายเวลาออกหมายเรียกต้องให้คุณแก่ผู้เสียภาษี ไม่สามารถให้โทษกับผู้เสียภาษีได้

นี่คือผลพวงพิษภัยของธุรกิจการเมืองในคราบประชาธิปไตยจอมปลอมที่นอกจากโกงชาติปล้นแผ่นดินมหาศาลแล้ว ยังทำลายระบบราชการให้กลายเป็นทาสรับใช้ผู้มีอำนาจทางการเมือง

ทีมข่าวการเมือง

อิทธิพลเส้นสายสำนักจานบินฝังราก จับเพื่อสึกธัมมชโยไม่ง่าย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/259345

วันพุธ ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2560, 02.00 น.

ธัมมชโยทั้งๆ ที่เป็นผู้ต้องหาหนีหมายจับข้อหาฟอกเงินและรับของโจรคดีโกงสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นและมีคดีติดตัวอีกมากมาย อีกทั้งขณะนี้มีพระราชโองการถอดถอนสมณศักดิ์ แต่ก็ยังลอยนวลด้วยการสนับสนุนจากเหล่าสาวกจานบินที่ยังเหิมเกริมทำตัวเป็นรัฐอิสระอยู่เหนือกฎหมาย ท้าทายอำนาจรัฐ ไม่ยอมรับแม้แต่มหาเถรสมาคม(มส.)อันเป็นองค์กรปกครองสงฆ์สูงสุดภายใต้สมเด็จพระสังฆราชองค์ใหม่

แม้ นายออมสิน ชีวะพฤกษ์ รมต.ประจำสำนักนายกฯ ซึ่งกำกับดูแลเรื่องศาสนาจะส่งสัญญาณไฟเขียวหากเจอ ธัมมชโย สามารถจับศึกตามขั้นตอนได้ทันที แต่ดูเหมือนว่ากระบวนการที่จะนำไปสู่การจับตัวธัมมชโยและจัดการเหล่าสาวกที่ทำตัวเป็นรัฐอิสระต่อต้านขัดขวางการตามจับตัว ธัมมชโย ยังเป็นไปด้วยความยืดยาดเหมือนต้องการซื้อเวลา โดยเฉพาะจากฝ่ายคณะผู้ปกครองสงฆ์ที่ถูกตั้งข้อสังเกตว่าเหมือนดึงเกมพายเรือในอ่างไม่ยอมสะเด็ดน้ำเสียที

อย่างกรณีที่เจ้าคณะจังหวัดออกคำสั่งให้เหล่าพระที่มาชุมนุมรอบสำนักจานบินกลับวัดต้นสังกัด แต่ก็เหมือนแค่คำขอร้องไม่ได้มีการคาดโทษอะไรทั้งสิ้น เจ้าคณะจังหวัดประกาศเสร็จก็จบเหล่าพระและสาวกจานบินก็ยังเคลื่อนไหวเป็นรัฐอิสระเหนือกฎหมายต่อไป

และกรณีที่เจ้าคณะตำบล พระวินยาธิการ ตัวแทนสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.) รวมทั้งฝ่ายเจ้าหน้าที่ขอตรวจใบสุทธิพระจานบินที่ชุมนุมที่ตลาดกลางอ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี พอเจอการถูกขัดขวางจากพระและสาวกจานบินก็ถอดใจถอยทัพกลับทันที โดยฝ่ายสำนักจานบินใช้วิธีสกปรกด้วยการใช้กองทัพผู้หญิงมาเป็นด่านสกัด แต่สงสัยว่าทำไมฝ่ายเจ้าหน้าที่ดีเอสไอไม่ควบคุมตัวบรรดาสาวกหญิงจานบินที่ขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่มาดำเนินคดีเพื่อเปิดทางให้คณะพระวินยาธิการเข้าไปตรวจใบสุทธิได้อย่างสะดวก

ส่วนข้อเสนอของ นายไพบูลย์ นิติตะวัน อดีตประธานคณะกรรมการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์กิจการพระศาสนา สภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.) เสนอให้มส.ใช้กฎมส.ฉบับที่ 21 ว่าด้วยการให้พระภิกษุสละสมณเพศ ข้อ 3 ที่ระบุว่า กรณีพระภิกษุรูปใดประพฤติล่วงละเมิดพระธรรมวินัยเรื่องเดียวกันหรือหลายเรื่องเป็นอาจิณ คณะปกครองสงฆ์มีอำนาจวินิจฉัยให้สละสมณเพศได้ คงต้องดูกันต่อไปว่า มส.จะเอาจริงกับจัดการ ธัมมชโย หรือไม่หรือจะซื้อเวลาเฉื่อยแฉะไปเรื่อยๆ

ความผิดของ ธัมมชโย ยิ่งกว่าทำผิดพระธรรมวินัยร้ายแรงด้วยซ้ำเพราะทำตัวเป็นรัฐอิสระอยู่เหนือกฎหมาย ท้าทายอำนาจรัฐอันเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติและพระพุทธศาสนา

และความจริงต้องถือว่า ธัมมชโย พ้นความเป็นพระไปแล้วตั้งแต่ปี 2542 หลังจากที่ สมเด็จพระญาณสังวร อดีตสมเด็จพระสังฆราช องค์ที่แล้วมีพระลิขิตชี้ว่า ธัมมชโย ทำผิดพระธรรมวินัยร้ายแรงต้องปาราชิกพ้นความเป็นพระเนื่องจากยักยอกทรัพย์ของวัดมาเป็นสมบัติส่วนตัว และเผยแพร่ลัทธิที่วิปริตผิดเพี้ยนจากหลักธรรมคำสอนของพุทธศาสนาอย่างสิ้นเชิง โดยใช้พุทธศาสนาและบารมีของ หลวงพ่อสด วัดปากน้ำ อดีตพระเกจิชื่อดัง บังหน้าเป็นเครื่องมือทำธุรกิจขายบุญ และอวดอ้างตัวเองเป็นผู้วิเศษเหนือพระพุทธเจ้า และใช้เรื่องอิทธิปาฏิหาริย์มอมเมาให้ประชาชนศรัทธาอย่างงมงายกลายเป็นสาวกจำนวนมาก

ด้วยอำนาจเงินตลอดจนผลประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อมที่สามารถจ้างผีโม่แป้งทำให้อิทธิพลของสำนักจานบินฝังรากลึกในแทบทุกองคาพยพของประเทศโดยเฉพาะในหน่วยราชการหรือแม้แต่ในมส.ที่ถูกตั้งข้อสังเกตว่า พระผู้ใหญ่ในมส.ส่วนใหญ่ล้วนอยู่ภายใต้อิทธิพลของ ธัมมชโย ไม่ต้องพูดถึงพระผู้ใหญ่ในระดับต่างๆ ทั่วประเทศที่ต่างอยู่ภายใต้อำนาจของสำนักจานบินแทบจะหมดสิ้น

โดยเฉพาะมส.ชุดที่แล้วซึ่งมี สมเด็จช่วง เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ เป็นประธานมีการปกป้องอุ้ม ธัมมชโย อย่างออกหน้าออกตาถึงกับเหิมเกริมขัดพระลิขิตของอดีตสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่แล้วด้วยการลงมติยืนยันว่า ธัมมชโย ไม่ปาราชิกพ้นความเป็นพระ ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจเพราะ สมเด็จช่วง คือ พระอุปัชฌาย์ ของ ธัมมชโย และวัดปากน้ำรับเงินช่วยเหลือมหาศาลจาก ธัมมชโย มาตลอดถึงขนาด สมเด็จช่วง เคยประกาศว่า สำนักจานบินกับวัดปากน้ำเป็นวัดพี่วัดน้องมีอะไรต้องช่วยเหลือเกื้อกูลกัน

จึงไม่น่าแปลกใจในช่วงที่ผ่านมา มส.ตลอดจนพระเถระผู้ใหญ่ระดับต่างๆ ส่อเจตนาปกป้องหรือไม่ก็ดึงเกมซื้อเวลาช่วย ธัมมชโย ทำให้ความพยายามของฝ่ายเจ้าหน้าที่ในการเข้าตรวจค้นสำนักจานบินเพื่อคุมตัว ธัมมชโย ถูกดึงเกมให้ยืดเยื้อมาตลอด

เพราะฉะนั้นต้องจับตาดูบทบาทของมส. ตลอดจนบรรดาพระผู้ใหญ่ที่มีหน้าที่แก้ปัญหาสำนักจานบินให้ดี เพราะยังมีเส้นสายของธัมมชโยเต็มไปหมด และงานนี้สำนักจานบินทุ่มสู้อำนาจรัฐสุดตัวแบบไม่มีอะไรจะเสีย ซึ่งที่ผ่านมามีบทเรียนมาแล้วแม้แต่คดีที่ธัมมชโยตกเป็นจำเลยฐานยักยอกเงินวัดและบ่อนทำลายพระพุทธศาสนาซึ่งศาลเหลือสืบพยานอีกเพียง 2 ปากก็จะตัดสิน แต่ด้วยอิทธิพลมืดของธัมมชโยสามารถพลิกคดีในช่วงโค้งสุดท้ายจนลอยนวลเมื่อสำนักงานอัยการสูงสุดยุคระบอบแม้วครองเมืองถอนฟ้องเอาดื้อๆ ทั้งๆ ที่สำนักงานอัยการสูงสุดเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง หรือแม้แต่พระลิขิตของอดีตสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่แล้วก็ยังทำอะไรธัมมชโยไม่ได้จนบัดนี้

 

ทีมข่าวการเมือง

รัฐอิสระจานบินเหิมเกริมหนัก มส.ควรจับสึกธัมมชโยกับพวก

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/259171

x

ท่ามกลางความพยายามบังคับใช้กฎหมายเพื่อเข้าตรวจค้นจับกุมตัว ธัมมชโย อดีตเจ้าสำนักจานบินท่ามกลางการถูกต่อต้านขัดขวางจากเหล่าพระและสาวกสำนักจานบินที่ยืดเยื้อมา 3 สัปดาห์แล้ว ล่าสุดมีพระราชโองการถอดถอน ธัมมชโย ออกจากสมณศักดิ์แล้ว

ราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่องการถอดถอนสมณศักดิ์ โดยระบุว่าด้วย พระเทพญาณมหามุนี(นายไชยบูลย์ สิทธิผล) วัดพระธรรมกาย จังหวัดปทุมธานี เป็นผู้ถูกกล่าวหาในคดีกระทำความผิดข้อหาร่วมกันฟอกเงิน สมคบกันฟอกเงิน และรับของโจรตามที่ศาลอาญาได้อนุมัติหมายจับที่ 942/2559 ลงวันที่ 17 พฤษภาคม 2559 และยังถูกกล่าวหาในคดีอาญาฐานอื่นอีกหลายฐานความผิด ซึ่งอัยการคดีพิเศษมีความเห็นสั่งฟ้องในบางคดีด้วยแล้ว แต่ พระเทพญาณมหามุนีไม่ยอมมอบตัวตามหมายเรียก และได้หลบหนีคดีดังกล่าวจึงไม่สมควรดำรงอยู่ในสมณศักดิ์ต่อไป และได้นำความกราบบังคมทูลพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมต่อไปแล้ว

บัดนี้ได้มีพระราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ถอดถอนพระเทพญาณมหามุนีออกจากสมณศักดิ์ ตั้งแต่วันที่ 4 มีนาคม 2560 ประกาศลงวันที่ 5 มีนาคม 2560 ผู้สนองพระราชโองการ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี

สำหรับการได้รับสมณศักดิ์เป็น พระเทพญาณมหามุนี ของ ธัมมชโย นั้นเกิดขึ้นในยุครัฐบาลระบอบแม้วเรืองอำนาจ โดย สมเด็จช่วง เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ซึ่งเป็นอาจารย์ของ ธัมมชโยเป็นผู้ดำเนินการผลักดัน

ธัมมชโย นั้นเคยถูก สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชองค์ที่แล้ว มีพระลิขิตตั้งแต่เมื่อปี 2542 ว่าปาราชิกพ้นความเป็นพระฐานทำผิดพระธรรมวินัยร้ายแรงจากการยักยอกเงินวัดมาเป็นสมบัติส่วนตัวและเผยแพร่ลัทธิอันผิดเพี้ยนวิปริตไปจากหลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนา แต่ด้วยอิทธิพลของ ธัมมชโย ที่อยู่เหนือแม้แต่มหาเถรสมาคม(มส.)ในอดีตทำให้ ธัมมชโย ลอยนวลมาจนทุกวันนี้

นอกจากพระราชโองการถอดถอนสมณศักดิ์ของ ธัมมชโย แล้วก่อนหน้านี้ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาปริณายก (อัมพร อมฺพโร) สมเด็จพระสังฆราชองค์ใหม่ ทรงห่วงใยในปัญหาสำนักจานบินและรับสั่งให้ พระพรหมมุนี เลขานุการสมเด็จพระสังฆราช มีบัญชาให้เจ้าคณะปกครองที่เกี่ยวข้องทั้งหมดหารือแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น ซึ่งต่อมาเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานีร่วมกับฝ่ายเจ้าหน้าที่ได้พยายามเจรจาเพื่อให้ ธัมมชโย มอบตัว แต่ก็ประสบความล้มเหลวสิ้นเชิง เพราะ ธัมมชโย ยืนกรานไม่ยอมเข้ามอบตัวโดยเชื่อว่ายังคงหลบซ่อนตัวอยู่ภายในอาณาจักรรัฐอิสระจานบินพร้อมกับพระที่ใกล้ชิดอีกจำนวนหนึ่ง

ขณะที่เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี ได้มีประกาศให้พระที่มาชุมนุมกันปกป้อง ธัมมชโย สลายการชุมนุมแล้วเดินทางกลับวัดต้นสังกัด ซึ่งหากฝ่าฝืนถือว่ามีความผิดตามพระธรรมวินัย แต่ยังปรากฏว่า บรรดาพระของสำนักจานบินและพระจากจังหวัดต่างๆ ที่อยู่ภายใต้อิทธิพลของสำนักจานบินไม่สนใจพระบัญชาของสมเด็จพระสังฆราชองค์ใหม่ ตลอดจนคำสั่งของเจ้าคณะจังหวัด โดยยังคงปักหลักต่อต้านฝ่ายเจ้าหน้าที่พร้อมทั้งยกระดับการเคลื่อนไหวเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ โดยมีการปลุกระดมให้พระและสาวกสำนักจานบินทั่วประเทศมาร่วมชุมนุมแสดงพลังกดดันให้มีการยกเลิกมาตรา 44 เพื่อปกป้องธัมมชโย ทั้งๆ ที่เป็นผู้ต้องหาหนีคดีตามหมายจับของศาลฐานฟอกเงินและรับของโจรในคดีโกงสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น

จากการตรวจสอบของฝ่ายเจ้าหน้าที่ช่วงที่ผ่านมาพบทั้งพระปลอม พระต่างด้าว รวมทั้งขบวนการกลุ่มคนเสื้อแดงร่วมอยู่ในการชุมนุมของสำนักจานบิน และที่สำคัญจากการตรวจสอบพระบางรูปจากจังหวัดอุบลราชธานีและจังหวัดภาคอีสาน พบบางรูปมีเงินอยู่ในบัญชีถึง 13 ล้านบาท และบางรูปมีเงินในบัญชีหลายแสนบาท โดยมีการเบิกถอนเงินวันละหลายหมื่นบาท ซึ่งฝ่ายเจ้าหน้าที่กำลังตรวจสอบแหล่งที่มาของเงินเพราะสงสัยว่า จะเป็นเงินท่อน้ำเลี้ยงจากขบวนการที่อยู่เบื้องหลังการชุมนุมของพระและสาวกสำนักจานบิน โดยจากเบาะแสเบื้องต้นสันนิษฐานว่าท่อน้ำเลี้ยงดังกล่าวน่าจะมาจากสาวกสำนักจานบินที่ถูกดำเนินคดีฐานฉ้อโกงเงินสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น

ก่อนหน้านี้ในการชุมนุมหรือเคลื่อนไหวของพระและสาวกจานบินทุกครั้งที่ผ่านมารวมทั้งครั้งนี้มีเบาะแสว่า มีการจ้างพระและชาวบ้านจากต่างจังหวัดหรือแม้แต่คนต่างด้าวเข้าร่วมด้วย

ความจริงแล้วปัญหาของ ธัมมชโย จะไม่ยืดเยื้อบานปลายมาจนทุกวันนี้หาก ธัมมชโย ไม่เห็นแก่ตัวและเป็นพระแท้ซึ่งหลุดพ้นแล้วซึ่งกิเลสทั้งปวงโดยยอมมอบตัวเพื่อต่อสู้คดีพิสูจน์ความบริสุทธิ์อย่างสง่างามตั้งแต่แรก แต่ ธัมมชโย และคนสนิท โดยเฉพาะ พระทัตตชีโว รองเจ้าสำนักจานบิน ที่ถูกตั้งข้อสังเกตว่าชักใยอยู่เบื้องหลัง ธัมมชโย มาตลอดกลับส่อพฤติการณ์ถือดีเหิมเกริมในอิทธิพลของสำนักจานบินตั้งตัวเป็นรัฐอิสระท้าทายกฎหมาย ท้าทายอำนาจรัฐ ท้าทายองค์กรปกครองสงฆ์สูงสุดภายใต้สมเด็จพระสังฆราชองค์ใหม่ หรือแม้แต่ส่อพฤติการณ์ไม่สนใจสัญญาณจากพระราชโองการที่ให้ถอดถอนสมณศักดิ์ ธัมมชโย

ดังนั้นนอกจากการดำเนินคดีอาญาทางโลกโดยไม่ควรยอมรับเงื่อนไขให้ประกันตัวอีกต่อไปแล้ว ในทางพระธรรมวินัย มส.ควรหยิบยกปัญหาของธัมมชโยและพวกเข้าพิจารณาเป็นการด่วนเพราะพฤติกรรมแน่ชัดแล้วว่าเหิมเกริมและทำผิดพระธรรมวินัยร้ายแรงซึ่งควรจับสึกสถานเดียวด้วยกฎมส.ฉบับที่ 21 พ.ศ.2538 ข้อ 3 ที่ระบุว่า กรณีพระภิกษุรูปใดประพฤติล่วงละเมิดพระธรรมวินัยเรื่องเดียวกันหรือหลายเรื่องเป็นอาจิณ คณะปกครองสงฆ์มีอำนาจวินิจฉัยให้สละสมณเพศได้

ทีมข่าวการเมือง

อำนาจรัฐต้องแยกมิตรแยกศัตรู เปิดใจกว้างรับฟังแก้จุดอ่อนตัวเอง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/259070

วันจันทร์ ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2560, 02.00 น.

การออกมาวิพากษ์วิจารณ์การบริหารประเทศของอำนาจรัฐคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)ของ 2 ผู้อาวุโสคนดังคือ นายธีรยุทธ บุญมี อาจารย์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และ นพ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส แม้จะไม่ได้ส่งผลก่อให้เกิดวิกฤติศรัทธาต่อคนส่วนใหญ่ของประเทศมากมายอะไรนักแต่ก็ถือเป็นการวิพากษ์วิจารณ์เชิงสร้างสรรค์ที่รัฐบาลควรน้อมรับเพราะหลายประเด็นเป็นประโยชน์ที่ควรนำไปทบทวนแก้ไขจุดอ่อนของอำนาจรัฐ

รัฐบาลควรมองว่า นายธีรยุทธ และ นพ.ประเวศ ต่างไม่ใช่ศัตรูของรัฐบาล แต่ถือเป็นกัลยาณมิตรที่วิพากษ์วิจารณ์ เพื่อให้อำนาจรัฐรีบแก้ไขจุดอ่อนก่อนที่จะเกิดวิกฤติศรัทธาของมหาชน และอีกด้านหนึ่งก็เป็นการกระตุ้นรัฐบาลไม่ให้นำพาชาติบ้านเมืองหลงทาง

ทั้งนี้สาระสำคัญคำวิพากษ์วิจารณ์ของ นายธีรยุทธ พยายามชี้ให้เห็นว่า การเดินหน้าบริหารประเทศของรัฐบาลคสช.กำลังวิ่งเข้าสู่วิถีอนุรักษ์และจารีตนิยมทำให้ความหวังที่จะเห็นการปฏิรูปโครงสร้างอำนาจมีน้อยมาก เพราะผู้อยู่ในอำนาจทั้งหมดเป็นข้าราชการซึ่งจะสูญเสียอำนาจ หากมีการปฏิรูป

นายธีรยุทธ พยายามยกตัวอย่างว่า กว่า 2 ปีหลังคสช.เข้าควบคุมอำนาจการปกครองประเทศการดำเนินงานล้วนอาศัยข้าราชการทั้งทหาร ตำรวจ และกระทรวงมหาดไทย โดยนโยบายต่างๆ เป็นการเพิ่มอำนาจแก่ข้าราชการและศูนย์กลางมากกว่าการกระจายอำนาจให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการปฏิรูปประเทศ

ขณะที่ทหารถูกส่งเข้าไปควบคุมตำแหน่งสำคัญในรัฐวิสาหกิจจนแทบหมดสิ้น แต่ที่สำคัญคือรัฐวิสาหกิจยุคที่คุมโดยทหารกลับไม่มีผลงานการปฏิรูปใดๆ นอกจากนี้บุคลากรของแม่น้ำทั้ง 5 สาย อันประกอบด้วย คสช. รัฐบาล สภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ(สปท.) และคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ(กรธ.) ล้วนมีแนวคิดแบบอนุรักษ์และจารีตนิยม และแสดงออกซึ่งความพยายามผลักดันให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้าคสช. อยู่ในอำนาจต่อไปให้นานที่สุดเพื่อตัวเองจะได้อยู่ในอำนาจต่อไปด้วย

นายธีรยุทธ ชี้ให้เห็นว่าเกือบ 3 ปี ของเป้าหมายการปฏิรูปประเทศที่สำคัญของคสช.ประสบผลสำเร็จน้อยกว่าที่ควรจะเป็นและเป็นไปในลักษณะพายเรือในอ่าง ทั้งๆ ที่มีอำนาจพิเศษอยู่ในมือ ทั้งนี้ยอมรับว่าปัญหาบางอย่างอาจต้องใช้เวลา แต่บางอย่างสามารถปฏิรูปให้เห็นผลได้โดยไม่ต้องใช้เวลามากนัก และรัฐบาลควรจัดลำดับก่อนหลังในการปฏิรูปประเทศโดยมุ่งเน้นการปฏิรูปในเรื่องที่สามารถสร้างผลงานให้เห็นผลในทันที อาทิ การขจัดทุจริตคอร์รัปชั่นหรือปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนด้านต่างๆ

ที่น่าหวั่นวิตกก็คือขณะที่อำนาจรัฐยังไม่สามารถแสดงให้เห็นผลงานว่าเอาจริงกับการขจัดทุจริตคอร์รัปชั่นกลับปรากฏว่ามีข่าวคนใกล้ชิดของคสช. รัฐบาล แม้กระทั่งคนใกล้ชิดผู้นำอำนาจรัฐเกิดปัญหาอื้อฉาวเสียเอง

พร้อมกันนี้ นายธีรยุทธ ยังเตือนสติอำนาจรัฐ คสช.ว่า อย่าฝืนอยู่ในอำนาจเกินโรดแมปที่ประกาศไว้ มิฉะนั้นรัฐนาวาคสช.อาจเกยตื้นได้

ขณะที่ นพ.ประเวศ ชี้ว่าการสร้างความปรองดองส่อเค้าล้มเหลวเพราะขาดการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนอย่างแท้จริง

หลังการออกมาวิพากษ์วิจารณ์อำนาจรัฐของนายธีรยุทธ ปรากฏว่า คนในแม่น้ำ 5 สาย ดาหน้าออกมาตอบโต้สองนักคิดอาวุโสทันที โดย พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกรัฐบาล ด้านหนึ่งแสดงท่าทียอมรับฟังความเห็นของผู้อาวุโสทั้งสอง แต่อีกด้านหนึ่งก็ถือโอกาสตอบโต้ว่า เป็นการวิพากษ์วิจารณ์แบบตีขลุมโดยไม่มีเหตุผลรายละเอียดสนับสนุน ทั้งๆ ที่รัฐบาลได้สร้างผลงานการปฏิรูปประเทศไว้พอสมควร

ขณะที่ นายอลงกรณ์ พลบุตร รองประธาน สปท. ชี้แจงว่า การปฏิรูปประเทศไม่ได้พายเรือในอ่างอย่างที่นายธีรยุทธ วิพากษ์วิจารณ์ แต่กำลังคืบหน้าไปเรื่อยๆตามโรดแมป ซึ่งการวิพากษ์วิจารณ์ของ นายธีรยุทธ ยังขาดข้อมูลข่าวสารที่รอบด้านเพียงพอ

ส่วน นายเสรี สุวรรณภานนท์ ประธานคณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านการเมือง สปท. กล่าวว่า คำวิจารณ์ของ นายธีรยุทธเป็นการใช้วาทกรรมดิสเครดิตสปท.มากกว่าที่จะเสนอแนะการปฏิรูปประเทศอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งนี้การปฏิรูปประเทศไม่ได้ง่ายอย่างที่ นายธีรยุทธ คิดเพราะปัญหาสั่งสมมานานซึ่งต้องใช้เวลาแก้

แต่ท่าทีที่ดูจะใจกว้างสุขุมลุ่มลึกแยกมิตรแยกศัตรูก็คือ พ.อ.ปิยพงศ์ กลิ่นพันธุ์ ทีมโฆษก คสช. ที่กล่าวขอบคุณ นายธีรยุทธ ที่ออกมาเสนอแนะความเห็นเพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหาแต่ต้องยอมรับว่าปัญหาของประเทศนั้นมีมาก ซึ่งที่ผ่านมาอำนาจรัฐได้ทุ่มเทปฏิรูปอย่างเต็มที่ตามสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชนและมีความคืบหน้าไปตามลำดับ อย่างไรก็ตาม ผลงานของคสช.อาจไม่เป็นไปตามการคาดหวังก็พร้อมน้อมรับฟังเพื่อนำไปปรับปรุงให้เกิดประโยชน์ต่อไปในอนาคต

เพราะฉะนั้นจากการออกมาวิพากษ์วิจารณ์ของนายธีรยุทธแน่นอนว่าไม่มีอะไรที่ถูกหรือผิดไปทั้งหมด แต่สะท้อนให้เห็นว่า ที่ผ่านมาอำนาจรัฐยังขาดการประชาสัมพันธ์สร้างความเข้าใจในผลงานและความคืบหน้าการปฏิรูปประเทศ ให้เห็นอย่างชัดเจน และที่สำคัญต้องแยกมิตรแยกศัตรู โดยถือเสียว่าคำวิพากษ์วิจารณ์ของนายธีรยุทธแม้จะผิดบ้างถูกบ้าง แต่ก็เป็นการติเพื่อก่อของกัลยาณมิตรที่หวังดี ซึ่งอะไรที่เป็นประโยชน์ก็นำไปปรับปรุงแก้ไขจุดอ่อนของอำนาจรัฐแทนที่จะยืนกรานแต่ความคิดตัวเองอย่างเดียว เพราะเท่ากับปิดโอกาสที่จะได้รับรู้จุดอ่อนและข้อเสนอแนะที่อาจเป็นประโยชน์ไปสู่ความสำเร็จ

ทีมข่าวการเมือง

รัฐบาลคสช.เรียกศรัทธา ขจัดจุดอ่อนเสริมจุดแข็ง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/258940

วันอาทิตย์ ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2560, 02.00 น.

ผลสำรวจของกรุงเทพโพลล์ ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพฯและนิด้าโพลล์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์(นิด้า) ก่อนหน้านี้สะท้อนให้เห็นสัญญาณความเชื่อถือในรัฐบาลและในตัว พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ที่ลดลงในรอบเกือบ 3 ปีหลังจากที่คสช.เข้าควบคุมอำนาจการปกครองประเทศตั้งแต่เมื่อวันที่ 22 พ.ค.2557 เมื่อเทียบกับช่วงที่ผ่านมา ขณะที่รัฐบาลเองนับวันจะเผชิญกับแรงเสียดทานและสารพัดมรสุมที่ถาโถม ทำให้คสช.และรัฐบาลต้องใช้มาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราวเป็นเครื่องมือสำคัญในการขจัดจุดอ่อนและสร้างจุดแข็งแก้ปัญหาต่างๆ เพื่อเป็นภูมิคุ้มกันให้คสช.และรัฐบาลเดินหน้าปฏิรูปประเทศอย่างราบรื่น

ช่วงที่ผ่านมาการเดินหน้าหวังปฏิรูปประเทศของคสช.และรัฐบาลต้องพบกับอุปสรรคจนเกิดปัญหาขัดแย้งกับหลายภาคส่วน อาทิ แนวคิดของแม่น้ำ 5 สาย ที่จะปฏิรูปสื่อจนถูกมองว่าเป็นการพยายามแทรกแซงควบคุมสื่อจนองค์กรสื่อรวมตัวกันต่อต้าน ปัญหาโรงไฟฟ้าถ่านหินที่จ.กระบี่และจ.สงขลาซึ่งหวิดจะลุกลามบานปลาย แต่คสช.และรัฐบาลรีบถอดชนวนระเบิดเวลาคลี่คลายไปได้ หรือปัญหาสำนักธรรมกายซึ่งคสช.และรัฐบาลด้านหนึ่งจำเป็นต้องบังคับใช้กฎหมาย แต่อีกด้านหนึ่งก็ไม่ต้องการให้สถานการณ์ลุกลามบานปลายสร้างแรงกระเพื่อมท่ามกลางปัญหาที่รุมเร้าอำนาจรัฐรอบด้านทำให้การเข้าค้นสำนักธรรมกายเพื่อควบคุมตัว ธัมมชโย อดีตเจ้าสำนัก ยืดเยื้อทั้งๆ ที่มีการประกาศใช้มาตรา 44

รัฐบาลยังเผชิญกับสารพัดจุดอ่อนโดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาสำคัญที่สุดก็คือการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจที่แม้ในภาพรวมจะมีแนวโน้มดีขึ้น แต่ปัญหาคือเศรษฐกิจที่ยังกระจายไปไม่ถึงประชาชนในระดับล่าง

นอกจากนี้ ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่นหลังองค์กรความโปร่งใสโลกลดอันดับความโปร่งใสของไทยจากอันดับ 76 เป็นอันดับ 101 จาก 176 ประเทศทั่วโลก ขณะที่เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่ารัฐบาลจากการรัฐประหารไม่ต่างจากรัฐบาลเลือกตั้งทำให้คสช.และรัฐบาลรีบแก้ปัญหาเพื่อแสดงให้เห็นว่าเอาจริงกับการขจัดทุจริตคอร์รัปชั่นอันเป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญเพื่อการปฏิรูปประเทศ โดยที่ผ่านมามีการประกาศใช้มาตรา 44 เพื่อเอาผิดกับขบวนการทุจริตในคดีสำคัญๆ รวมทั้งโยกย้ายผู้บริหารหน่วยราชการรัฐวิสาหกิจทั้งในระดับชาติและระดับท้องถิ่นจำนวนมากที่ส่อทุจริต โดยก่อนหน้านี้ก็คือคำสั่งย้าย นายวุฒิชาติ กัลยาณมิตร พ้นเก้าอี้ผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทย(ร.ฟ.ท.)

ที่สำคัญมีการผลักดันกฎหมายการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐที่กำหนดโทษการทุจริตรุนแรงมากขึ้นทั้งเจ้าหน้าที่รัฐผู้ทุจริตและผู้ให้การสนับสนุน รวมทั้งเตรียมออกกฎหมายกำหนดให้อายุความคดีทุจริตเริ่มจากวันที่พบหลักฐานการทุจริตแทนที่จะนับจากวันที่มีการทุจริตตามกฎหมายปัจจุบัน

นอกจากนี้ยังมีคำสั่งตามมาตรา 44 ตั้งคณะกรรมการกำกับการจัดซื้อจัดจ้างหรือหรือซุปเปอร์บอร์ดเข้ามาพิจารณาโครงการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐขนาดใหญ่ที่มีวงเงินตั้งแต่ 5,000 ล้านบาทขึ้นไป เพื่อให้เกิดความรวดเร็วและโปร่งใส โดยคณะกรรมการกำกับการจัดซื้อจัดจ้างประกอบด้วยผู้บริหารระดับสูงซึ่งเป็นที่ยอมรับทั่วไปในความรู้ความสามารถและความซื่อสัตย์สุจริตประกอบด้วย ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เป็นประธานและกรรมการอีก 3 คน คือ นายมนัส แจ่มเวหา, นายสมพล เกียรติ์ไพบูลย์ และนายกานต์ ฮุนตระกูล

ความเหลวแหลกในวงการตำรวจและเสียงเรียกร้องให้ปฏิรูปตำรวจเป็นอีกหนึ่งในจุดอ่อนของคสช.และรัฐบาล ซึ่งล่าสุดมีคำสั่งตามมาตรา 44 แก้ปัญหาการวิ่งเต้นซื้อขายตำแหน่งในวงการตำรวจด้วยการกำหนดให้การแต่งตั้งโยกย้ายนายตำรวจระดับผู้บัญชาการลงไปถูกกำหนดโดยคณะกรรมการแทนที่จะรวมศูนย์อำนาจสั่งการโดยผู้บังคับบัญชาเพียงคนเดียว รวมทั้งเตรียมปฏิรูปองค์กรตำรวจครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่งหลังจากที่รัฐธรรมนูญฉบับใหม่มีผลบังคับใช้โดยสมบูรณ์

ขณะเดียวกันคสช.และรัฐบาลพยายามสร้างจุดแข็งเพื่อเรียกศรัทธาจากประชาชนด้วยการแต่งตั้งบุคคลสำคัญผู้มีชื่อเสียงระดับประเทศในทุกวงการทั้งภาครัฐ เอกชนและนักวิชาการร่วมเป็นคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินตามกรอบการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติและการสร้างความสามัคคีปรองดอง(ป.ย.ป.) เพื่อความมั่นใจว่าการเดินหน้าปฏิรูปประเทศจะต้องประสบความสำเร็จ

ภายใต้สารพัดปัญหาที่รุมเร้าและเป็นอุปสรรคต่อการเดินหน้าปฏิรูปประเทศ มาตรา 44 จึงเป็นเครื่องมือสำคัญของคสช.และรัฐบาลในการแก้ปัญหาที่มุ่งขจัดจุดอ่อนและสร้างจุดแข็งเพื่อลดแรงเสียดทานและสร้างภูมิคุ้มกันในเสถียรภาพของอำนาจรัฐอันจะทำให้การเดินหน้าไปสู่เป้าหมายการปฏิรูปประเทศอย่างยั่งยืนเป็นไปด้วยความราบรื่น

ทีมข่าวการเมือง

ภูมิใจไทยเริ่มออกลาย ฮั้วเพื่อแม้วดันนิรโทษสุดซอย?

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/258831

วันเสาร์ ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2560, 06.00 น.

พรรคภูมิใจไทย หลังจากซุ่มเงียบซ่อนตัวตนที่แท้จริงมานานเริ่มตกเป็นข่าวอีกครั้งในขบวนรถไฟเพื่อสร้างความปรองดองซึ่งมีคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) และกองทัพเป็นหัวหอกในการผลักดันโดยตั้งเป้าที่จะผลักดันการสร้างความปรองดองให้สำเร็จก่อนการเลือกตั้งทั่วไปที่จะมีขึ้น

โดยมีรายงานข่าวแกนนำพรรคภูมิใจไทย นำโดย นายอนุทิน ชาญวีรกูล หรือ “เสี่ยหนู” หัวหน้าพรรค พร้อมแกนนำพรรคเต็มทีม อาทิ นายสรอรรถ กลิ่นประทุม ประธานที่ปรึกษาพรรค นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ เลขาธิการพรรค ซึ่งเป็นน้องชายของ นายเนวิน ชิดชอบ แกนนำเงาพรรคภูมิใจไทย ได้เดินทางไปแสดงความคิดเห็นต่อแนวทางสร้างความปรองดองที่กระทรวงกลาโหม โดยมี พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล ปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการหารือ

ประเด็นสำคัญอยู่ที่ข้อเสนอของพรรคภูมิใจไทยเพื่อสร้างความปรองดองโดยให้ยึดตามหลักสากลโลกที่เคยดำเนินการมา โดยเฉพาะหลักความยุติธรรมเปลี่ยนผ่าน เช่น มีการพูดคุยทำความเข้าใจ เยียวยาผู้เสียหาย พิสูจน์ความจริง รวมทั้งคดีที่อยู่ในชั้นพนักงานสอบสวนและชั้นอัยการก็อาจจะสั่งไม่ฟ้องหรือสั่งถอนฟ้องในคดีที่อยู่ในศาลแล้ว รวมถึงคดีที่ศาลตัดสินไปแล้วก็อาจจะให้มีการนิรโทษกรรม ยกเว้นโทษ ซึ่งพรรคภูมิใจไทยเชื่อว่าแนวทางดังกล่าวจะทำให้บ้านเมืองเกิดความปรองดองได้อย่างแท้จริง

การอ้างแนวคิดการสร้างความปรองดองตามหลักสากลหากจะหมายถึง “เนลสัน แมนเดลาโมเดล” ของอดีตประธานาธิบดีเนลสัน แมนเดลา และเป็นรัฐบุรุษของชาวแอฟริกาใต้ ที่สามารถยุติสงครามนองเลือดระหว่างชนผิวขาวและผิวดำที่ยื้อเยื้อมานานหลายสิบปีแล้วละก็คงเป็นข้ออ้างที่ผิดเพี้ยนหรือไม่ก็บิดเบือน เพราะ “เนลสัน แมนเดลาโมเดล” กำหนดว่า การยกโทษความผิดนั้นจะเป็นขั้นตอนสุดท้ายก็ต่อเมื่อผู้กระทำผิดไม่ว่าจะฝ่ายไหนยอมรับผิดและยอมรับโทษตามกฎหมายแล้วเท่านั้น ไม่ใช่อยู่ดีจะมานิรโทษกรรมทั้งๆ ที่คดียังอยู่ในขบวนการยุติธรรม และที่สำคัญเป็นคดีที่ศาลมีคำพิพากษาลงโทษไปแล้วโดยเฉพาะคดีเกี่ยวกับการทุจริตคอร์รัปชั่นอันเป็นการทำลายหลักนิติรัฐ

ส่วนที่อ้างว่าการนิรโทษแบบสุดซอยแล้วจะทำให้บ้านเมืองเกิดความปรองดองอย่างแท้จริงนั้นตรงกันข้ามสิ้นเชิงและควรย้อนกลับไปทบทวนบทเรียน ความพยายามหักดิบลักหลับผลักดัน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับสุดซอยที่มีเป้าหมาย แอบแฝงแท้จริงมุ่งฟอกโทษความผิดให้กับนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯนักโทษหนีคุกคดีทุจริต เพื่อจะได้กลับบ้านแบบเท่ๆ โดยไม่ต้องติดคุก รวมทั้งลบล้างโทษความผิดให้พวกแดงก่อการร้าย เผาบ้านทำลายเมือง เมื่อปี 2553 ในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์เพื่อเป็นเครื่องเตือนสติ

เพราะผลจากการหักดิบ พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับสุดซอยครั้งนั้นกลายเป็นชนวนทำให้มวลมหาประชาชนหลายล้านคนออกมาแสดงพลังครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์เพื่อต่อต้าน พ.ร.บ.อัปยศฉบับนั้น และนำไปสู่การขับไล่รัฐบาลกลายเป็นวิกฤติทางการเมืองนองเลือดขณะที่ชาติบ้านเมืองกลายเป็นรัฐล้มเหลวสิ้นเชิงจนในที่สุดคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ต้องเข้ายึดอำนาจเพื่อหยุดยั้งสงครามกลางเมืองและเพื่อให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้

พรรคภูมิใจไทยเดิมก็คือ “กลุ่มเนวิน” ที่ครั้งหนึ่งเคยอยู่ร่วมกับพรรคไทยรักไทย แต่ภายหลังเนื่องจากความขัดแย้งเรื่องอำนาจผลประโยชน์บางอย่างที่ไม่ลงตัวจนถึงจุดแตกหักทำให้ สส.กลุ่มเนวินแยกตัวออกมาตั้งพรรคภูมิใจไทย

แต่แม้จะแยกตัวออกจากพรรคไทยรักไทยในอดีต แต่ก็มีรายงานข่าวความเคลื่อนไหวเป็นระยะๆ ว่า มีความพยายามจากแกนนำพรรคภูมิใจไทยที่จะขอคืนดีกลับไปจับมือกับพรรคเพื่อแม้ว เพราะโดยธาตุแท้ตัวตนที่แท้จริงของพรรคภูมิใจไทยกับพรรคเพื่อแม้วนั้นไม่ต่างกัน โดยมีข่าวว่า นายอนุทิน เคยบินไปปรับความเข้าใจกับ นายทักษิณ หลายครั้งจนในที่สุดสามารถปรับความเข้าใจกันได้

จากแนวทางสร้างความปรองดองของพรรคภูมิใจไทย ทำให้ นายวัชระ เพชรทอง อดีต สส.พรรคประชาธิปัตย์ ออกมาให้ความเห็นตั้งข้อสังเกตว่า ไม่ต่างจากพรรคเพื่อไทย และเหมือนกับร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมสุดซอยในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ ส่วนจะนำไปสู่การปรองดองได้จริงหรือไม่ต้องถามประชาชนเจ้าของประเทศว่าจะปล่อยให้คนโกงชาติ เผาบ้านเผาเมือง เผาศาลากลางจังหวัด ปล้นปืนทหาร ฆ่า พ.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม และประชาชนกลายเป็นผู้บริสุทธิ์โดยอ้างคำว่าปรองดองบังหน้าหรือไม่

“ปืนที่ปล้นไปนับพันกระบอกจนบัดนี้ยังซุกซ่อนมิดชิดไม่ส่งมอบคืนให้ทางราชการ แล้วยังจะเสนอหน้าปรองดองแถมนิรโทษกรรมได้อย่างไร จะเป็นการค้ากำไรเกินควรมากเกินไปหรือไม่ ข้อเสนอนี้ไปลอกการบ้านพรรคเพื่อไทยชัดๆ หากไม่ดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรม ข้ออ้างที่ว่าคดีที่อยู่ในกระบวนการยุติธรรมให้ยกเลิก หรือแม้ความผิดที่ศาลพิพากษาแล้วให้นิรโทษกรรม หากเป็นอย่างนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับข้อเสนอของกลุ่มคนเสื้อแดง”

นายวัชระ ยังให้ความเห็นอ้างว่า นายอนุทิน มีแววที่จะเป็นนายกฯ มีพวกมากทั้งนายพล ผู้พิพากษา สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.) คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) เคยนั่งเครื่องบินส่วนตัวของ นายอนุทิน แล้วทั้งนั้น แต่ก็ไม่ควรเสนอแนวคิดที่จะนิรโทษกรรม นายทักษิณ ให้เสียของ แม้ว่าที่ผ่านมา เคยขับเครื่องบินส่วนตัวพา พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตหัวหน้าคณะรัฐประหารเมื่อปี 2549 บินไปพบ นายทักษิณ ที่เมืองนอกมาแล้ว

เพราะฉะนั้นคงต้องจับตาดูว่า คสช.จะยึดตามข้อเสนอของพรรคภูมิใจไทยหรือไม่ ซึ่งจะเป็นตัวชี้ชะตาอนาคตชาติบ้านเมืองว่าจะเดินหน้าไปสู่การปฏิรูปอย่างจริงจัง หรือจะกลับไปสู่วังวนของวงจรอุบาทว์ธุรกิจการเมืองน้ำเน่าแบบเดิมๆ

 

ทีมข่าวการเมือง

จับตาสาวกจานบินอยู่ในอันตราย อาจเป็นศพต่อไปถูกใช้เป็นเหยื่อปลุกระดม

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/258694

วันศุกร์ ที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2560, 02.00 น.

หนึ่งในภาษิตจีนมีว่า “วิกาลยิ่งยาวนาน ฝันยิ่งยุ่งเหยิง” ซึ่งสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันกรณีที่อำนาจรัฐพยายามที่จะจับกุมธัมมชโย อดีตเจ้าลัทธิจานบินที่ยังคงยืดเยื้อมานาน 2 สัปดาห์ และมีแนวโน้มยืดเยื้อต่อไปอย่างไม่อาจคาดการณ์ได้ว่าจะจบลงอย่างไร ทั้งๆ ที่มีการประกาศใช้มาตรา 44 ให้พื้นที่รอบสำนักจานบินเป็นเขตควบคุมพิเศษ ขณะที่ฝ่ายที่ทำผิดกฎหมายกลับยังคงทำตัวเป็นรัฐอิสระท้าทายอำนาจรัฐเย้ยกฎหมาย ไม่สนใจองค์กรสูงสุดของสงฆ์อย่างมหาเถรสมาคม(มส.) ซ้ำยังพยายามโฆษณาชวนเชื่อบิดเบือนสร้างสถานการณ์ให้เกิดความระส่ำระสายในบ้านเมืองเข้าข่ายบ่อนทำลายความมั่นคงของชาติ

นี่ขนาดใช้มาตรา 44 ก็ยังเอาไม่อยู่สะท้อนให้เห็นถึงอิทธิพลฤทธิ์เดชของสำนักจานบินที่ฝังรากลึกในแทบทุกองคาพยพของประเทศ แม้แต่ในหน่วยราชการทั้งสีกากีและสีเขียว ไม่อย่างนั้นพล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดาผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) คงไม่ถึงกับออกปากอย่างเหนื่อยใจว่า การที่ปัญหาจับ ธัมมชโย ยืดเยื้อมาจนวันนี้ก็เพราะมีคนสีกากีเป็นหนอนบ่อนไส้ ส่วนจะเกี่ยวข้องกับการเด้งผู้กำกับสภ.อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี หรือไม่คงต้องคิดกันเอาเอง การที่สำนักจานบินทรงอิทธิพลเหนือกฎหมายมาได้จนทุกวันนี้สอดคล้องกับภาษิตจีนอีกบทหนึ่งที่ว่า “เงินสามารถแม้แต่จ้างผีให้โม่แป้ง”

หรือแม้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ยังพูดทีเล่นทีจริงว่า นี่ขนาดใช้มาตรา 44 เพื่อแก้ปัญหาสำนักจานบิน แต่ก็ยังมีการต่อต้านขัดขวางเจ้าหน้าที่ในการบังคับใช้กฎหมายเข้าตรวจค้น หากเป็นเช่นนี้สงสัยต้องใช้มาตรา 88ที่เข้มข้นเป็นสองเท่า

การที่สำนักจานบินยังแสดงความเหิมเกริมท้าทายอำนาจรัฐ ทำตัวอยู่เหนือกฎหมาย และไม่ใส่ใจแม้แต่ มส. ก็เพราะถือดีว่ามีพันธมิตรที่แนบแน่นอย่างขบวนการเพื่อแม้วคอยให้ท้ายในการสู้กับอำนาจรัฐ ซึ่งนอกจากอดีตสส.พรรคเพื่อแม้ว ดาหน้าออกมาปกป้อง ธัมมชโย โจมตีอำนาจรัฐแล้ว ยังมีอดีตสส.และกลุ่มเสื้อแดงร่วมชุมนุมกับพระและสาวกจานบินเพื่อขวางการจับ ธัมมชโย

อย่างออกหน้าออกตา อาทิ พล.ต.ต.รุ่งโรจน์ เภกะนันทน์และ นายสมเกียรติ ศรลัมพ์ สองอดีต สส.เพื่อแม้วโดยเฉพาะ พล.ต.ต.รุ่งโรจน์ ก่อนหน้านี้ถูกจับกุมพร้อมเสื้อเกราะ 2 ตัว และอาวุธมีดอีกหลายเล่ม รวมทั้งแผ่นโปสเตอร์ข้อความปกป้อง ธัมมชโย บ่อนทำลายอำนาจรัฐ

ขณะเดียวกันมีรายงานข่าวว่า กลุ่มอดีตนักการเมืองและกลุ่มเสื้อแดงราว 30-40 คน เตรียมเข้าร่วมกับสำนักจานบินเพื่อสร้างสถานการณ์ให้เกิดความระส่ำระสายในบ้านเมือง ซึ่งล่าสุดมีการออกหมายเรียกกลุ่มแดงฮาร์ดคอร์ หลายคนเข้ารายงานตัวต่อเจ้าหน้าที่เพราะมีหลักฐานว่าพยายามปลุกปั่นยุยงให้เกิดการกระด้างกระเดื่องต่ออำนาจรัฐ

เพราะฉะนั้นขณะนี้อำนาจรัฐไม่ได้ต่อสู้กับสำนักจานบิน แต่สู้กับขบวนการพันธมิตรที่มีทั้งกลุ่มการเมืองและนายทุนกลุ่มหนึ่งที่อยู่เบื้องหลังสำนักจานบินอันทรงอิทธิพลที่พร้อมจะเปิดศึกขั้นแตกหักแบบไม่มีอะไรจะเสียเพราะทั้งสำนักจานบินและขบวนการเพื่อแม้วขณะนี้ต่างอยู่ในภาวะหลังพิงฝารอการล่มสลายด้วยกันทั้งคู่

สถานการณ์จากนี้ไปจึงต้องจับตาอย่ากะพริบเพราะจะแหลมคมและดุเดือดมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะการสร้างสถานการณ์จากขบวนการป้อง ธัมมชโย ที่วางแผนทำทุกวิถีทางเพื่อให้เกิดการบาดเจ็บล้มตายแล้วโยนความผิดให้อำนาจรัฐเหมือนเหตุการณ์ก่อการร้ายเผาบ้านทำลายเมืองเมื่อปี 2553

เหตุการณ์ล่าสุดที่ น.ส.พัฒนา เชียงแรง สาวกจานบินเสียชีวิตด้วยโรคหอบหืด ภายในสำนักจานบินมีความพยายามที่จะบิดเบือนจาก พระสนิทวงศ์ วุฑฒิวังโส และ พระนพพร ปัญญชโยสองกระบอกเสียงโฆษณาชวนเชื่อสำนักจานบิน ว่าเป็นเพราะมาตรา 44 และฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐที่ไม่ยอมให้รถกู้ชีพเข้ามาช่วยเหลืออย่างทันเวลาทำให้ น.ส.พัฒนา เสียชีวิต

ขณะที่ฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐ โดย พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมืองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) รู้ทันเกมป้ายผิดของสำนักจานบินจึงออกมาแถลงจับโกหกทันควันว่าเจ้าหน้าที่ดีเอสไอได้ประสานขอรถพยาบาลกู้ชีพเข้าไปภายในสำนักจานบินทันทีหลังได้รับแจ้ง และเมื่อไปถึงที่เกิดเหตุมีตำรวจสภ.อ.คลองหลวง เจ้าของคดีและแพทย์กำลังชันสูตรพลิกศพอยู่ก่อนแล้ว โดยจากการสอบถามแพทย์ผู้ชันสูตรศพระบุว่าผู้ตายเสียชีวิตมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ชั่วโมง นั่นแสดงว่าภายในสำนักจานบินดึงเกมไว้หลายชั่วโมงทั้งๆที่รู้ว่าคนตายแล้วจึงสร้างสถานการณ์ทำทีเป็นแจ้งให้เจ้าหน้าที่ส่งหน่วยกู้ชีพไปช่วย จากนั้นก็บิดเบือนว่าเจ้าหน้าที่ไปช่วยไม่ทันเวลา ทำให้ น.ส.พัฒนาเสียชีวิต

นอกจากนี้ พ.ต.อ.ทรงศักดิ์ รักศักดิ์สกุล รองอธิบดีดีเอสไอ ยังชี้พิรุธว่าหน่วยกู้ชีพฉุกเฉินชุดแรกซึ่งไปถึงตึกซึ่งเป็นจุดเกิดเหตุกลับพบว่าประตูถูกล็อกทุกด้านทำให้เจ้าหน้าที่ต้องพังประตูเข้าไปจนพบว่าน.ส.พัฒนา เสียชีวิตแล้ว

ทันทีหลังการเสียชีวิตของ น.ส.พัฒนา สำนักจานบิน ส่อเจตนาโหนศพคนตายเป็นเหยื่อโฆษณาชวนเชื่อทันที โดยการชูประเด็นว่าศพที่ 2 แล้วจากการประกาศใช้มาตรา 44 หลังจากที่ก่อนหน้านี้เกิดเหตุชายชราซึ่งเป็นโรคซึมเศร้าแขวนคอตายเพื่อให้ยกเลิกมาตรา 44 เกมหากินกับศพ น.ส.พัฒนา ของสำนักจานบิน ถูกตั้งข้อสังเกตว่าคล้ายคลึงกับการเสียชีวิตอย่างปริศนา 6 ศพ ในวัดปทุมวนาราม ในเหตุการณ์ก่อการร้ายเผาบ้านทำลายเมือง ปี 2553 โดยมีการโยนความผิดว่าเป็นฝีมือของฝ่ายเจ้าหน้าที่ ทั้งๆ ที่พื้นที่วัดปทุมวนารามก่อนเกิดการฆาตกรรมหมู่อยู่ภายใต้การยึดครองของกลุ่มเสื้อแดง ขณะที่ฝ่ายทหารยังไม่ได้เข้ากระชับพื้นที่

สำนักจานบินนอกจากส่อพฤติการณ์บิดเบือนการตายของ น.ส.พัฒนา แล้วยังโหนศพคนตายกลบเกลื่อนผู้ที่เป็นต้นเหตุซึ่งต้องรับผิดชอบอย่างแท้จริงนั่นคือ ธัมมชโย ซึ่งหากยอมมอบตัวตั้งแต่แรกก็คงไม่เกิดเหตุการณ์ 2 ศพ

แต่ที่น่าวิตกก็คือสำนักจานบินและพันธมิตรนั้นพร้อมที่จะใช้สารพัดวิชามารเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของตัวเอง เพราะฉะนั้นเหล่าสาวกจานบินขอให้ระวังตัวให้ดีเพราะตกอยู่ในอันตรายเพราะอาจกลายเป็นเหยื่อสร้างสถานการณ์รายต่อไปตามแผนทรมานสังขารเพื่อใช้เป็นเครื่องมือสุมไฟให้เกิดการลุกฮือประท้วงรัฐคล้ายบทเรียนเหตุการณ์ 6 ศพที่วัดปทุมวนาราม ซึ่งถูกตั้งข้อสงสัยว่าอาจเป็นการสร้างสถานการณ์ของพวกเดียวกันเอง

ทีมข่าวการเมือง

ลัทธิจานบินถ้าเป็นพุทธจริง ต้องไม่บิดเบือนป้องโจรหนีหมายจับ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/258565

วันพฤหัสบดี ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2560, 06.00 น.

ถ้าจะทำโพลล์วัดปฏิกิริยาของมหาชนว่าพระรูปไหนที่ประชาชนเบื่อหน้าที่สุดขณะนี้เชื่อได้เลยว่า พระสนิทวงศ์ วุฑฒิวังโส ผู้อำนวยการสำนักสื่อสารองค์กร สำนักจานบินซึ่งออกมาจ้อเป็นกระบอกเสียงโฆษณาชวนเชื่อรายวันน่าจะได้แชมป์จากเสียงด่าท่วมท้น

พฤติการณ์ที่ผ่านมา ซึ่งส่อไปในทางโฆษณาชวนเชื่อบิดเบือนของ พระสนิทวงศ์ หลายคนถึงขนาดตั้งข้อสังเกตว่าหลุดพ้นจากสถานะความเป็นพระไปแล้ว

อย่างกรณีที่มีการขี้นป้ายขนาดใหญ่บนหอคอยสูงภายในสำนักจานบินด้วยข้อความว่า “We need food”และต่อมาก็เปลี่ยนเป็น “We need food & drug” เมื่อบรรดานักข่าวไปถาม พระสนิทวงศ์ ได้รับคำตอบแบบเล่นลิ้นว่า “ไม่รู้ว่าเป็นฝีมือใคร” พร้อมกล่าวว่าได้สั่งให้คนไปเอาป้ายออกแล้ว แต่พอคล้อยหลังสื่อไม่นานก็มีการนำป้ายข้อความเดิมขึ้นไปติดบนหอคอยสูงอีก

การที่อ้างว่าไม่รู้เป็นฝีมือใครแม้แต่เด็กอมมือก็ยังรู้ว่าจริงหรือโกหก เพราะพื้นที่ภายในสำนักจานบินขณะนี้ก็รู้กันอยู่ว่า ถูกควบคุมโดยเหล่าพระและสาวกจานบินจำนวนนับพันคนที่ตั้งป้อมไม่ยอมให้เจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจค้นเพื่อจับ ธัมมชโย อดีตเจ้าลัทธิจานบิน ที่เชื่อกันว่ายังหนีหมายจับหลบซ่อนอยู่ในห้องลับใต้ดินของอาคาร 100 ปี แม่ชีจันทร์ หางนกยูง เพราะฉะนั้นคงไม่มีพวกสารเลวที่ไหนสามารถนำป้ายขึ้นไปติดบนหอคอยสูงโดยที่พระและสาวกจานบินไม่มีส่วนรู้เห็น และด้วยข้อความบนป้ายก็บอกชัดอยู่แล้วว่าใครทำเพื่อเป้าหมายอะไร

ก่อนหน้านี้ พระสนิทวงศ์ ยังส่อเจตนาบิดเบือนอ้างว่าฝ่ายเจ้าหน้าที่ปิดล้อมไม่ยอมให้นำอาหารเข้าไปภายในสำนักจานบินซึ่งเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน ทั้งๆที่ความจริงไม่ได้มีการห้ามนำอาหารเข้าไปภายในสำนักจานบินแต่อย่างใดทั้งสิ้น โดยฝ่ายเจ้าหน้าที่ร่วมกับตัวแทนฝ่ายสงฆ์มีการให้นำอาหารเข้าไปภายในสำนักจานบินเท่าที่จำเป็นป้องกันการกักตุนเพื่อระดมพระและสาวกเข้าไปภายในสำนักจานบินเพื่อต่อต้านการเข้าตรวจค้นของฝ่ายเจ้าหน้าที่ซึ่งเสี่ยงที่จะนำไปสู่เหตุการณ์รุนแรง

พระสนิทวงศ์ยังอ้างว่าที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ตรวจค้นสำนักจานบินอย่างละเอียดแล้ว แต่กลับไม่ยอมยกเลิกมาตรา 44 ที่กำหนดให้พื้นที่รอบสำนักจานบินเป็นเขตควบคุมพิเศษและเลิกปฏิบัติการตรวจค้นเสียที ทั้งๆที่ความจริงพื้นที่อาณาจักรรัฐอิสระจานบินครอบคลุมอาณาบริเวณถึงกว่า 2,000 ไร่ ซึ่งที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ยังไม่สามารถตรวจค้นได้อย่างละเอียด แต่เพื่อความบริสุทธิ์ใจ
ฝ่าย เจ้าหน้าที่เดิมพันด้วยการขอตรวจค้นพื้นที่ต้องสงสัยว่า ธัมมชโย และพวกหลบซ่อนตัวอยู่เป็นครั้งสุดท้าย ซึ่งหากไม่พบอะไรก็พร้อมที่จะยุติการตรวจค้นและยกเลิกมาตรา 44 แต่เหล่าพระและสาวกจานบินกลับขัดขวางส่อพิรุธเหมือนซ่อนความลับอะไรอยู่

สาวกคนสำคัญของสำนักจานบินอีกคนหนึ่งที่ส่อพฤติการณ์บิดเบือนก็คือ ดร.ลีลาวดี วัชโรบล อดีตสส.พรรคเพื่อแม้ว ที่ล่าสุดโพสต์ข้อความว่า “ลีเดินทางไปต่างประเทศมาหลายประเทศ เวลาที่โดนต่างชาติถามว่าประเทศยูใช่ไหมที่นายกรัฐมนตรีทำกับข้าวออกทีวีแล้วโดนไล่ออก ตอนนั้นได้แต่ทำตาปริบๆ ตอบในใจไปว่า“Thailand Only คะ” มาวันนี้ถ้ามีต่างชาติมาถามว่าประเทศไทยเป็นเมืองพุทธจริงรึ หรือเมืองไทยเป็นศูนย์กลางชาวพุทธทั่วโลกจริงรึ บอกตรงๆ นะคะไม่รู้ว่าจะตอบว่ายังไงดีกับคำสั่งมาตรา 44 ของคสช. แล้วพวกอ้างตัวว่าเป็นพุทธแท้ทั้งหลายคะ มีคำสอนตรงไหนของชาวพุทธที่สอนให้ขาดเมตตา ปิดกั้นพระเณรไม่ให้เข้าออกวัดของเขา วัดพระธรรมกายเป็นวัดในพระพุทธศาสนาคือบ้านของพระเณร อุบาสก อุบาสิกา สาธุชนชาวพุทธ พวกท่านมีสิทธิ์อะไรมาไล่เจ้าของออกจากบ้าน แล้วผู้นำประเทศที่ขาดจิตสำนึกให้ความเคารพพระรัตนตรัยเช่นนี้ ออกจากแผ่นดินไทยไปเตรียมคำตอบให้ชาวพุทธทั่วโลกด้วยนะคะ หรือเพราะนี่คือ Thailand Only จริงๆคะ”

จากข้อความของสาวกคนสำคัญของลัทธิจานบินดังกล่าว ดร.ลีลาวดี แกล้งหรือสมองไม่มีหยักกันแน่ เพราะล่าสุดองค์กรระหว่างประเทศ และองค์กรชาวพุทธโลก ต่างไม่เล่นด้วยเพราะรู้ทันเกมชักศึกเข้าบ้านใช้โลกล้อมไทยของสำนักจานบินเนื่องจากรู้ว่าปฏิบัติการของฝ่ายเจ้าหน้าที่ครั้งนี้เป็นการจับโจรที่หนีหมายจับที่ออกโดยศาล

และหาก ดร.ลีลาวดี อยากรู้ว่า ธัมมชโย และสำนักจานบินเป็นพระและวัดตามพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง หรือเป็นลัทธิลวงโลกให้กลับไปทบทวนพระลิขิตของ สมเด็จพระญาณสังวร อดีตสมเด็จพระสังฆราชองค์ก่อน ตั้งแต่เมื่อปี 2542 ที่ระบุชัดเจนให้ ธัมมชโย ปาราชิกพ้นความเป็นพระเพราะยักยอกเงินวัดมาเป็นสมบัติส่วนตัวและเผยแพร่ลัทธิอันผิดเพี้ยนจากพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างร้ายแรง

หรือไม่ก็ไปศึกษาความเห็นของ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ประยุทธ์ ประยุทธโต ที่เคยวิพากษ์วิจารณ์สำนักจานบินอย่างตรงไปตรงมาว่า เป็นลัทธิที่ทำให้พุทธศาสนาวิปริตโดยพยายามชักจูงให้คนทั่วไปเข้าใจว่า บุญเหมือนสินค้าชนิดหนึ่งและสามารถก่อให้เกิดปาฏิหาริย์ต่างๆนานาซึ่งเป็นภัยร้ายแรงต่อความมั่นคงของชาติและพระพุทธศาสนา

ส่วนที่ ดร.ลีลาวดี อ้างเรื่องความเมตตาและอ้างว่าเหล่าโล้นห่มเหลืองและสาวกจานบินที่รวมตัวกันขวางเจ้าหน้าที่รัฐอยู่ภายในสำนักจานบินเหมือนเจ้าของบ้านที่กำลังถูกไล่ออกจากบ้านนั้นเป็นการบิดเบือนเบี่ยงเบนประเด็น ซึ่งความจริงก็คือ ธัมมชโย เป็นผู้ต้องหาหนีหมายจับที่ออกโดยศาล ฝ่ายเจ้าหน้าที่มีหน้าที่ต้องบังคับใช้กฎหมายเข้าตรวจค้นสำนักจานบินเพื่อตามจับ ธัมมชโย มิฉะนั้นเท่ากับละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งที่ผ่านมา ตั้งแต่เมื่อเดือนมิ.ย.ปีที่แล้วในการเข้าตรวจค้นสำนักจานบินเพื่อจับกุม ธัมมชโย ครั้งแรก ฝ่ายเจ้าหน้าที่พยายามใช้ความละมุนละม่อมหาทางคลี่คลายปัญหาแบบรอมชอมโดยเสนอเงื่อนไขว่า หาก ธัมมชโย ยอมมอบตัวแต่โดยดีก็จะให้ประกันตัวทันที แล้วไปพิสูจน์ความบริสุทธิ์ในชั้นศาล แต่ธัมมชโย กลับถือดีในอิทธิพลของสำนักจานบินที่ทำตัวดุจรัฐอิสระเหนือกฎหมายท้าทายอำนาจรัฐไม่ยอมมอบตัว ซ้ำใช้พระและเหล่าสาวกตั้งเป็นกำแพงมนุษย์ปักหลักสู้อำนาจรัฐมาจนกระทั่งปัจจุบัน

นอกจากนี้ยังมีการโฆษณาชวนเชื่อบ่อนทำลายอำนาจรัฐให้ข้อมูลที่บิดเบือนทั้งผ่านกระบอกเสียงสำนักจานบินและทางโซเชียลมีเดีย

เพราะฉะนั้นหากสำนักจานบินยึดมั่นในหลักธรรมคำสอนของพุทธศาสนาอย่างแท้จริง ต้องไม่โฆษณาชวนเชื่อบิดเบือนลวงโลก ทั้งนี้ปรัชญาคำสอนของพุทธศาสนาระบุว่า คนโกหกลวงโลกไม่ทำชั่วเป็นไม่มี หรือคนที่ช่วยเหลือสนับสนุนคนเลวก็ไม่ต่างอะไรกับทำเลวเสียเอง

ทีมข่าวการเมือง

ยิ่งยืดเยื้อปัญหายิ่งบานปลาย ถึงเวลาเร่งปิดเกมสำนักจานบิน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/258415

วันพุธ ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2560, 02.00 น.

ปัญหาการตะแบงดื้อแพ่งของเหล่าพระและสาวกสำนักจานบินที่ยังทำตัวเป็นรัฐอิสระขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่บังคับใช้กฎหมายของฝ่ายเจ้าหน้าที่ในการเข้าตรวจค้นเพื่อจับธัมมชโย อดีตเจ้าลัทธิจานบินและพวกที่เป็นผู้ต้องหาหนีหมายจับตามคำสั่งศาลยิ่งยืดเยื้อออกไปเท่าไหร่ก็ยิ่งเป็นภัยต่อสังคมและความมั่นคงของชาติ จากการปลุกระดมโฆษณาชวนเชื่อด้วยข้อมูลเท็จทางโซเชียลมีเดียซึ่งกำลังเป็นปัญหาที่สร้างความระส่ำระสายจนอาจกลายเป็นชนวนไปสู่การลุกฮือของเหล่าสาวกจานบินที่คลั่งและงมงายทั่วประเทศ

ประเด็นหนึ่งที่ขบวนการป้อง ธัมมชโย ทั้งแกนนำระบอบแม้ว นักวิชาการจอมปลอมกลุ่มหนึ่ง ตลอดจนพระและสาวกจานบินที่ออกมาเคลื่อนไหวบิดเบือนด้วยการเรียกร้องให้ยกเลิกมาตรา 44 อ้างว่าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนเรื่องนี้ นายชูชาติ ศรีแสง อดีตผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา จับโกหกพวกลวงโลกโดยให้ความเห็นหักล้างได้อย่างชัดเจนว่า เดิมทีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ)พยายามเข้าตรวจค้นเพื่อคุมตัว ธัมมชโย ตามหมายจับของศาลในข้อหาฟอกเงินและรับของโจรในคดีโกงสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นถึงสองครั้งคือเมื่อเดือนมิ.ย.และธ.ค.ที่ผ่านมา แต่ถูกต่อต้านขัดขวางจากเหล่าพระและสาวกสำนักจานบิน ทำให้หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) จำป็นต้องออกคำสั่งตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราวเพื่อให้อำนาจเจ้าพนักงานเข้าไปควบคุมพื้นที่สำนักจานบินและบริเวณโดยรอบเพื่อจับกุม ธัมมชโย

ดังนั้นการออกมาเรียกร้องให้ยกเลิกคำสั่งตามมาตรา 44 ก็คือการไม่ให้จับธัมมชโยหรือไม่ให้ดำเนินคดีกับธัมมชโยที่เป็นผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลข้อหาฟอกเงินและรับของโจรนั่นเอง

ปัญหาที่ยืดเยื้อมาจนบัดนี้ก็เพราะธัมมชโยและสำนักจานบินยึดตัวเองเป็นใหญ่โดยทำตัวดุจรัฐอิสระเหนือกฎหมาย ท้าทายอำนาจรัฐ ไม่ยอมรับอำนาจศาลและกระบวนการยุติธรรม และเหิมเกริมถึงกับไม่ยอมรับพระลิขิตของสมเด็จพระญาณสังวร อดีตสมเด็จพระสังฆราชองค์ก่อนที่ให้ธัมมชโยปาราชิกพ้นความเป็นพระตั้งแต่ปี 2542ฐานยักยอกเงินวัดมาเป็นสมบัติส่วนตัวและเผยแพร่ลัทธิที่ผิดเพี้ยนอันเป็นภัยต่อพุทธศาสนา รวมทั้งเหิมเกริมไม่ยอมรับองค์กรปกครองของสงฆ์สูงสุดคือมหาเถรสมาคม(มส.)ยุคปัจจุบันภายใต้สมเด็จพระสังฆราชองค์ใหม่ซ้ำยังพยายามชักศึกเข้าบ้านร้องเรียนให้องค์กรต่างชาติเข้ามาแทรกแซงกิจการภายในของไทย

แต่ดูเหมือนว่าแผนโลกล้อมไทยจะล้มเหลวไม่เป็นท่าเพราะองค์กรระหว่างประเทศดูเหมือนจะรู้ทันธาตุแท้พฤติการณ์ของสำนักจานบินที่ขณะนี้ถูกเปิดโปงจนล่อนจ้อนว่าแท้ที่จริง

เป็นลัทธิธุรกิจขายบุญลวงโลกในคราบพุทธศาสนาที่ซ่อนเบื้องหลังเลวร้ายไว้มากมาย จึงไม่แปลกที่แม้แต่องค์กรนิรโทษกรรมสากลหรือแอมเนสตี้อินเตอร์เนชั่นแนลที่ปกติให้ท้ายระบอบแม้วและสำนักจานบินแต่ครั้งนี้ไม่เอาด้วยโดยออกมาปฏิเสธข้ออ้างโมเมของสำนักจานบินที่ว่าแอมเนสตี้อินเตอร์ฯมีจุดยืนสนับสนุนสำนักจานบินขณะที่องค์กรพุทธศาสนาโลกก็แถลงเช่นกันว่าปัญหาสำนักจานบินเป็นเรื่องของการบังคับใช้กฎหมายไทยซึ่งองค์กรพุทธศาสนาโลกไม่อาจยุ่งเกี่ยว

การที่ขบวนการพันธมิตรสำนักจานบินทั้งหลายพยายามดิ้นรนแบบหลังพิงฝาไม่ยอมให้ฝ่ายเจ้าหน้าที่เข้าตรวจค้นภายในสำนักจานบินพื้นที่เฟสเอและบีแบบหัวชนฝา กำลังถูกตั้งข้อสงสัยว่าหรือพื้นที่บริเวณดังกล่าวมีอะไรซุกซ่อนอยู่ ซึ่งล่าสุด นพ.ดร.มโน เลาหวณิช อดีตศิษย์สำนักจานบิน เผยรายงานที่ได้รับล่าสุดว่า ธัมมชโย และพระแก๊ง 5 เสือคนสนิทขณะนี้หลบซ่อนอยู่ในห้องลับภายในอาคาร 100 ปี แม่ชีจันทร์ หางนกยูง

ปัญหาที่ยืดเยื้อมานานปัจจัยสำคัญอยู้ที่ ธัมมชโย หากเป็นพระแท้และเป็นผู้วิเศษอย่างที่อวดอ้างป่านนี้คงมอบตัวสู้คดีพิสูจน์ความความบริสุทธิ์อย่างสง่างาม แต่นี่กลับทำทุกอย่างเพื่อตัวเองซึ่งผิดวิสัยของพระแท้อย่างสิ้นเชิง

อาณาจักรสำนักจานบินพื้นที่ถึงกว่า 2,000 ไร่บัดนี้แทบจะเรียกได้ว่าถูกเปิดโปงจนไม่เหลือสภาพความเป็นวัดในพระพุทธศาสนาอีกต่อไป เพราะไม่มีวัดไหนที่พระไม่ออกบิณฑบาต

โดยสำนักจานบินมีคลังเก็บอาหารและโรงครัวทันสมัยขนาดมหึมามูลค่ากว่า 600 ล้านบาท เพื่อปรุงอาหารเลิศรสตามเมนูแต่ละวันสำหรับคนที่อ้างตัวว่าเป็นพระในสำนักนี้ นอกจากนี้ ในอาณาจักรรัฐอิสระยังมีสิ่งฟุ้งเฟ้อหรูหราสุดไฮเทคครบครันทั้งห้องฟิตเนสขนาดใหญ่สุดไฮเทค มีห้องซาวน่าและสปาพร้อมเครื่องสำอางอย่างดีบริการ มีสระว่ายน้ำ กุฏิของพระสำนักจานบินสุดหรูดังรีสอร์ทหรือโรงแรม ภายในอาณาจักรยิ่งใหญ่มีโรงภาพยนตร์ไฮเทคหลายโรง และมีสิ่งปรนเปรออีกนับไม่ถ้วน

นอกจากนี้ ยังมีอุโมงค์และห้องลับที่ถูกตั้งข้อสงสัยว่ามีไว้เพื่ออะไรและที่น่าสังเกตก็คือ อาณาจักรจานบินไม่มีเมรุเผาศพเหมือนไม่ต้องการสิ่งไม่เจริญหูเจริญตาในอาณาจักรวิมานรัฐอิสระอันหรูหรา ซึ่งพฤติการณ์ของสำนักจานบินทำให้ถูกตั้งคำถามว่ายังสมควรเป็นวัดที่ความจริงควรเป็นสถานที่สงบ สมถะ เรียบง่ายอันเหมาะแก่ปฏิบัติธรรมเพื่อการสละจากกิเลสทั้งปวงหรือไม่

นี่ยังไม่พูดถึงพฤติการณ์ธัมมชโย และสำนักจานบินที่ทำผิดกฎหมายถึงกว่า 300 คดี อาทิรุกป่าสงวนแห่งชาติและที่สาธารณะตั้งเป็นสาขาสำนักจานบินทั่วประเทศก่อสร้างอาคารและขุดบ่อน้ำบาดาลโดยไม่ได้รับอนุญาต สร้างถนนและสะพานลอยรถข้ามรุกที่สาธารณะ เล่นแร่แปรธาตุนำเงินที่โกงจากสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น รวมทั้งเงินบริจาคของสาธุชนทั่วไปเป็นสมบัติส่วนตัวของคนบางกลุ่มและนำไปลงทุนในธุรกิจต่างๆ รวมทั้งซื้อหุ้น จนสำนักจานบินถูกตั้งข้อสังเกตว่าเป็นแหล่งฟอกเงินใหญ่ที่สุดของประเทศ

ปัญหาธัมมชโยและสำนักจานบินยืดเยื้อสร้างความเสียหายและทำให้สังคมเสียเวลามากเกินพอแล้ว จึงน่าถึงเวลาที่จะต้องรีบจับธัมมชโยและสังคายนาสำนักจานบินทั้งระบบอย่างจริงจัง โดยล่าสุดเริ่มเห็นสัญญาณบางอย่างจาก พ.ต.ท.พงศ์พร พรหมณ์เสน่ห์ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.)คนใหม่สั่งการให้นำป้ายขนาดใหญ่ไปติดไว้ที่หน้าสำนักจานบิน โดยย้ำให้พระและสาวกห้ามเข้าร่วมชุมนุมที่สำนักจานบินอย่างเด็ดขาดจากนี้เป็นต้นไปมิฉะนั้นถือว่าผิดตามพระธรรมวินัยและกฎหมายบ้านเมือง ส่วนอะไรจะตามมาหลังจากนี้คงต้องจับตาอย่ากะพริบ

ทีมข่าวการเมือง