สำคัญคือสอบเบื้องหลังฟอกเงิน ผ่าขุมทรัพย์มืดอาณาจักรจานบิน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/257002

วันเสาร์ ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560, 09.49 น.

นับเป็นภาพขัดตาอย่างยิ่งที่การเข้าตรวจค้นรัฐอิสระจานบินของฝ่ายเจ้าหน้าที่ต้องได้รับอนุญาตจากพระสาวกสำนักจานบินจึงจะเข้าไปได้ ทั้งๆ ที่ฝ่ายเจ้าหน้าที่มีอำนาจทั้งโดยหมายค้นของศาลและด้วยประกาศพื้นที่บริเวณสำนักจานบินเป็นเขตควบคุมพิเศษตามมาตรา 44 การตรวจค้นพื้นที่ถึงกว่า 2,000 ไร่ เพื่อค้นหาตัวธัมมชโย โดยมีพระสาวกจานบินนำทางเจ้าหน้าที่เดินตามเส้นทางที่พระกำหนดอย่างนี้ก็คงเป็นแค่การจัดฉากตรวจค้นที่เสียเวลาเปล่า และถึงแม้ธัมมชโยยังอยู่จริงการตรวจค้นแบบนี้ไม่รู้ชาติหน้าจะเจอตัวหรือไม่ ซึ่งความจริงน่าจะใช้เครื่องมือที่ทันสมัย หรือสุนัขตำรวจเข้าตรวจสอบแบบปูพรมน่าจะมีประสิทธิภาพมากกว่าการที่ นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รมว.ยุติธรรมและดีเอสไอมั่นใจว่า ธัมมชโย ยังอยู่ ถ้าอยู่จริงก็ต้องจับตัวให้ได้ แต่ถ้าค้นแล้วไม่เจอแสดงว่าการข่าวไร้ประสิทธิภาพ อีกภาพหนึ่งที่ขัดตาและทำให้เห็นธาตุแท้สำนักจานบินที่มีพฤติกรรมสร้างภาพลวงโลกก็คือ ขณะที่กำลังเจ้าหน้าที่เดินเข้าตรวจค้นภายใต้สำนักจานบิน ปรากฏว่ามีคนห่มผ้าเหลืองกลุ่มหนึ่งใช้ผ้าปิดปากอำพรางโฉมหน้าซึ่งหลายคนไม่รู้ว่า

พระจริงหรือพระปลอมแต่ดูลักษณะแล้วน่าจะเป็นโจรมากกว่าพระดาหน้าออกมาแสดงท่าทีขัดขวางและปะทะกับฝ่ายเจ้าหน้าที่ซึ่งฝ่ายเจ้าหน้าที่พยายามหลีกเลี่ยงไม่ยอมปะทะด้วย แต่กลับมีเสียงตะโกนจากคนห่มผ้าเหลืองว่า “อย่าทำพระ อย่าทำพระ อย่าต่อยพระ” สะท้อนให้เห็นถึงแผนสกปรกต้องการจัดฉากสุมไฟทางโซเชียลมีเดียรวมทั้งต้องการให้สื่อต่างชาติประโคมข่าวว่าฝ่ายเจ้าหน้าที่ใช้ความรุนแรงกับพระเพื่อทำลายความชอบธรรมการตรวจค้นเพื่อบุกจับ ธัมมชโย ที่หนีหมายจับไม่กล้าพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเองตามกระบวนการยุติธรรมสำนักจานบินยังส่อพฤติการณ์จัดฉากลวงโลกในหลายประเทศ อาทิ สาวกจานบินในอิตาลี ฮ่องกง ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น แพร่คลิปทางโซเชียลมีเดียภาพชูป้ายข้อความที่เหมือนกันราวเตี๊ยมกันมาว่า ธัมมชโย บริสุทธิ์ ไม่ผิด แต่ถูกกลั่นแกล้ง

เกมลวงโลกในลักษณะอย่างนี้ขัดแย้งกับหลักตรรกะอย่างสิ้นเชิง เพราะถ้าธัมมชโย เป็นพระแท้ที่บรรลุแล้วถึงขั้นมีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ขึ้นสวรรค์ไปพบพระพุทธเจ้าได้อย่างที่สร้างภาพลวงโลกและมั่นใจว่าตัวเองบริสุทธิ์ผุดผ่องแล้วจะกลัวอะไรกับการต่อสู้คดีในศาล โดยต้องออกมามอบตัวสู้คดีต่างๆ ซึ่งขณะนี้มีจำนวนนับไม่ถ้วนอย่างมีตบะและสง่างามเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเองตามกระบวนการยุติธรรมอย่างไม่สะทกสะท้าน ไม่ใช่หนีคดีแบบหลบๆ ซ่อนๆ หัวซุกหัวซุนโดยไม่กล้าสู้ความจริงอย่างที่เป็นอยู่ขณะนี้

การสร้างข่าวลวงโลกของสำนักจานบินเหมือนม็อบผ้าเหลืองอันธพาลที่เคยล็อกคอทหารที่พุทธมณฑลเมื่อปีที่แล้วที่มีการจัดฉากตะโกนอ้างว่า ทหารทำร้ายพระ ทั้งๆ ภาพปรากฏชัดว่าทหารไม่ตอบโต้แต่กลับถูกพระกุ๊ยล็อกคอ ซึ่งวิธีการสกปรกบิดเบือนลวงโลกปรากฏลักษณะนี้ดูเหมือนพวกอลัชชีในคราบผ้าเหลืองใช้มาตลอดซึ่งสะท้อนโฉมหน้าที่แท้จริงของคนพวกนี้ดั่งพุทธพจน์ที่ว่า “คนโกหกไม่ทำชั่วเป็นไม่มี”

อีกเรื่องหนึ่งที่เปิดโปงพฤติการณ์สร้างภาพลวงโลกของสำนักจานบินและ ธัมมชโย ก็คือการตรวจค้นวันแรกทั่วพื้นที่เฟสแรกเกือบ 200 ไร่ ของสำนักจานบินของฝ่ายเจ้าหน้าที่โดยเฉพาะอาคารดาวดึงส์ซึ่งเป็นที่พำนักและเชื่อว่าเป็นแหล่งหลบซ่อนตัวของธัมมชโย พบว่าห้องพักและเตียงที่ ธัมมชโย เคยนอนรักษาตัวซึ่งก่อนหน้านี้เหล่าสาวกสำนักจานบินพยายามประโคมข่าวสร้างภาพว่า ธัมมชโย ป่วยหนักอาการโคม่าจนไม่สามารถเคลื่อนย้ายเพื่อมอบตัวต่อเจ้าหน้าที่ได้ แต่บัดนี้ปรากฏว่าภายในห้องพักและเตียงว่างเปล่า โดยที่ ธัมมชโยอันตรธานหายตัวหนีการถูกจับของเจ้าหน้าที่ไปอย่างไร้ร่องรอยผิดวิสัยของคนป่วยอาการโคม่าปฏิบัติการบุกตรวจค้นสำนักจานบินครั้งนี้จะได้ตัวธัมมชโย หรือไม่ก็ตามผลสำเร็จประการหนึ่งก็คือการสั่นคลอนรากฐานและเปิดโปงโฉมหน้าที่แท้จริงของสำนักจานบินครั้งใหญ่ซึ่งตลอดกว่า 40 ปีที่ผ่านมาเป็นรัฐอิสระอันทรงอิทธิพลที่อำนาจรัฐและกฎหมายไม่สามารถเข้ามาแตะต้องได้เลย

อย่างไรก็ตาม แม้โฉมหน้าตัวตนที่แท้จริงของธัมมชโย และสำนักจานบินจะถูกกระชากหน้ากากเปิดโปง แต่ด้วยอิทธิพลทั้งเงินที่มีอยู่มหาศาลและเครือข่ายสำนักจานบินที่ยังฝังรากลึกทั้งในแทบทุกวงการและสาวกที่งมงายซึ่งยังมีอยู่ทั่วประเทศแม้แต่ในองค์กรสงฆ์สูงสุดอย่างมหาเถรสมาคม(มส.) ทำให้สำนักจานบินมีโอกาสที่จะฟื้นคืนชีพกลับมายิ่งใหญ่ได้ในอนาคตหากรัฐยุคอำนาจพิเศษไม่ดำเนินการตามกฎหมายแบบขุดรากถอนโคนตั้งแต่บัดนี้

ทั้งนี้ ตลอดกว่า 40 ปีที่ผ่านมาอาณาจักรสำนักจานบินเหมือนแดนสนธยาที่ซุกซ่อนสิ่งไม่ชอบมาพากลเหมือนขยะใต้พรมจำนวนมากที่รอการเปิดโปง ซึ่งนอกจากการดำเนินคดีกับ ธัมมชโย และสำนักจานบินรวมกว่า 300 คดีแล้ว เรื่องใหญ่และสำคัญที่สุดที่ยังไม่มีการเข้าไปตรวจสอบอย่างจริงจังก็คือขุมทรัพย์มหาศาลที่คาดว่าอาจมีมูลค่านับล้านล้านบาทของอาณาจักรจานบินทั้งในและทั่วโลกซึ่งยังเป็นปริศนาดำมืดรอการพิสูจน์จนทุกวันนี้ ซึ่งทรัพย์สินมูลค่ามหาศาลเหล่านี้ควรจะมีการตรวจสอบอย่างจริงจังและยึดเป็นแผ่นดินหากพบว่ามีการเล่นแร่แปรธาตุหรือได้มาโดยมิชอบ แทนที่จะมีการนำไปเสพสุขหรือกลายเป็นสมบัติของตัวการสำคัญของสำนักจานบินเพียงไม่กี่คนขุมทรัพย์มหาศาลของสำนักจานบินถึงขนาดทุ่มเงินซื้อคฤหาสน์หรือปราสาทโบราณที่ใหญ่สวยงามมูลค่ามหาศาลในหลายประเทศของยุโรปเพื่อตั้งเป็นสาขาสำนักจานบิน โดยบางแห่งเป็นปราสาทหรูบนยอดเขาสูงเสียดฟ้าในสวิตเซอร์แลนด์ที่มีทิวทัศน์งดงามตระการตาเหมาะที่จะเป็นคฤหาสน์ตากอากาศส่วนตัวมากกว่าสำนักสงฆ์ข้อน่าสังเกตคือสำนักจานบินซึ่งมีพื้นที่ถึงกว่า 2,000 ไร่ กลับเป็นพื้นที่วัดจริงๆ เพียง 190 ไร่เศษ ที่เหลือเป็นสิ่งปลูกสร้างที่ถือครองในนามมูลนิธิที่มี ธัมมชโย เป็นประธานมูลนิธิ และทรัพย์สินของสำนักจานบินมูลค่ามหาศาลส่วนหนึ่งถูกตรวจสอบพบว่ามีการเล่นแร่แปรธาตุนำไปเล่นหุ้นลงทุนทำธุรกิจต่างๆ อาทิ รีสอร์ทในคราบสาขาสำนักจานบินในจังหวัดต่างๆ และที่สำคัญถูกตั้งข้อสงสัยว่าเป็นแหล่งฟอกเงินขนาดใหญ่ซึ่งตัวอย่างสะท้อนจากกรณีที่ ธัมมชโย ถูกดำเนินคดีฐานฟอกเงินและรับของโจรฐานพัวพันคดีโกงสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน คลองจั่นเพราะฉะนั้นภารกิจที่สำคัญยิ่งกว่าล่าตัวธัมมชโยก็คือตรวจสอบตีแผ่ขุมทรัพย์มหาศาลของสำนักจานบินและหากพบความไม่ชอบมาพากลต้องยึดตกเป็นสมบัติของแผ่นดิน

ถ้าจับธัมมชโยขึ้นศาลไม่ได้ เท่ากับรัฐเหลวเป๋วบังคับใช้กฎหมาย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/256834

วันศุกร์ ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560, 02.00 น.

หลังจากยึกยักเลื่อนแล้วเลื่อนอีกในปฏิบัติการบุกรัฐอิสระสำนักจานบินเพื่อค้นและคุมตัวธัมมชโยเจ้าลัทธิจานบินตามหมายจับศาลมานาน 8 เดือนในที่สุดก็ได้ฤกษ์ปฏิบัติการรอบ 3 โดยกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ด้วยการสนับสนุนจากตำรวจและทหารนำกำลังนับพันภายใต้อำนาจตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราวให้ประกาศพื้นที่รอบสำนักจานบินเป็นเขตควบคุมพิเศษโดยเริ่มปฏิบัติการปิดล้อมเพื่อตรวจค้นสำนักจานบินตั้งแต่ตี 2 ของวันพฤหัสบดี ขณะที่รัฐอิสระยังคงไม่ยอมรับอำนาจศาลใช้ลูกไม้เดิมนั่นคือตั้งสิ่งกีดขวางการบุกเข้าจับธัมมชโยของฝ่ายเจ้าหน้าที่

สำนักจานบินและ ธัมมชโย นั้นถูกตั้งข้อหาจนบัดนี้รวมแล้วกว่า 200 คดี อาทิ ปลูกสร้างอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาต รุกที่สาธารณะ รุกคลองชลประทาน และอีกมากมายนั่นสะท้อนให้เห็นว่า สำนักจานบินเป็นอาณาจักรรัฐอิสระอันทรงอิทธิพลที่กฎหมายไม่สามารถเข้าไปแตะต้องนานถึง 46 ปีตั้งแต่ก่อตั้งสำนัก

ส่วน ธัมมชโย ถูกออกหมายจับข้อหาฟอกเงินและรับของโจรในคดีโกงสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน คลองจั่น และคดีรุกป่าและที่สาธารณะตั้งเป็นสาขาสำนักจานบินในหลายจังหวัดทั่วประเทศ

การทำตัวดุจรัฐอิสระของสำนักจานบินในการขัดขวางการตรวจค้นของเจ้าหน้าที่ครั้งนี้แสดงว่ามีการเตรียมการมาเป็นอย่างดีและเจตนาขัดขวางการปฏิบัติงานของฝ่ายเจ้าหน้าที่ โดยใช้ประตูเหล็กเป็นกำแพงชั้นแรกเสริมด้วยกำแพงปูนซีเมนต์เป็นชั้นที่สอง และยังใช้รถยนต์อีกหลายสิบคันจอดเป็นกำแพงชั้นที่สาม

ขณะที่ฝ่ายเจ้าหน้าที่ใช้มาตรการจากเบาไปหาหนักโดย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง ย้ำว่าจะไม่มีการใช้ความรุนแรง โดยฝ่ายเจ้าหน้าที่พยายามปฏิบัติตามขั้นตอนนั่นคือประกาศผ่านเครื่องขยายเสียงทางหน้าประตูทางเข้าสำนักจานบินเพื่อให้บรรดาสาวกสำนักจานบินภายในวัดให้ความร่วมมือในการเข้าตรวจค้น แต่เหล่าสาวกกลับไม่สนใจและยอมให้ฝ่ายเจ้าหน้าที่ส่งตัวแทนเข้าไปเจรจาซึ่งการเจรจาดำเนินไปเป็นเวลาค่อนวันก็ยังไม่มีอะไรเป็นเรื่องเป็นราวทั้งๆที่สำนักจานบินทำตัวดุจรัฐอิสระท้าทายกฎหมายและอำนาจรัฐ ซึ่งเหตุการณ์ยืดเยื้อแล้วจบลงโดยไม่มีอะไรในกอไผ่เหมือนเหตุการณ์บุกสำนักจานบินครั้งก่อนไม่ผิด

ขณะเดียวกันก็มีความเคลื่อนไหวอย่างไม่คาดหมายเมื่อจู่ๆ นายองอาจ ธรรมนิทา โฆษกปากกล้าของสำนักจานบิน ที่เป็นผู้ต้องหาหนีหมายจับคดีปลุกปั่นยุยงสาวกจานบินให้ขัดขวางเจ้าหน้าที่ในการบุกจับ ธัมมชโย โดยก่อนหน้านี้มีคลิปภาพไปปรากฏตัวอยู่ในภัตตาคารอาหารญี่ปุ่นแห่งหนึ่ง ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ล่าสุดกลับดอดเข้ามอบตัวต่อพนักงานสอบสวน สภ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี กลางดึกโดยได้รับการประกันตัวภายใต้เงื่อนไขว่าห้ามออกนอกประเทศและปลุกปั่นยุยงสาวกสำนักจานบินอีก

สถานการณ์ตึงเครียดวุ่นวายที่เกิดขึ้นเป็นเพราะคนเพียงคนเดียวแท้ๆ นั่นคือ ธัมมชโย ซึ่งแม้จะเป็นคนเพียงคนเดียว แต่เมื่อทำผิดกฎหมายก็ต้องจับกุม แต่เนื่องจาก ธัมมชโย เป็นผู้ทรงอิทธิพลมานานทำให้เกิดการต่อต้านจากเหล่าสาวกจนฝ่ายเจ้าหน้าที่ต้องระดมสรรพกำลังเพื่อเข้าจับกุมตามกฎหมาย

ทั้งนี้ปัญหาจะไม่เกิดหาก ธัมมชโย เป็นพระแท้ที่หมดแล้วซึ่งกิเลสส่วนตน และเห็นแก่ความสงบของส่วนรวม รวมทั้งหากมั่นใจในความบริสุทธิ์ของตัวเองอย่างที่อ้างต้องยืดอกมอบตัวสู้คดีอย่างสง่างามตั้งแต่แรกเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเอง ซึ่งหากเป็นอย่างนั้นเรื่องคงไม่ลุกลามบานปลายมาจนทุกวันนี้ แต่ธัมมชโยกลับเห็นแก่ตัวใช้เหล่าสาวกเป็นเกราะป้องกันความอยู่รอดของตัวเองโดยไม่คำนึงถึงความเสื่อมเสียที่จะเกิดกับสำนัก สาวก และชาติบ้านเมืองมาตลอด

แต่คำถามที่สาธารณชนสนใจมากแต่ก็ยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจนก็คือ ธัมมชโย ยังกบดานอยู่ในสำนักจานบินหรือหนีเตลิดเปิดเปิงไปเสพสุขลอยนวลอยู่นอกประเทศตามข่าวบางกระแส ซึ่งก่อนหน้านี้ทั้งดีเอสไอและตำรวจมั่นใจว่า ธัมมชโย ยังอยู่ แต่ ณ วันนี้แม้แต่ พล.อ.ประวิตร ก็อ้อมแอ้มตอบอย่างไม่แน่ใจว่าธัมมชโยยังอยู่หรือไม่

หาก ธัมมชโย ไม่อยู่ในสำนักจานบินนั่นเท่ากับแสดงให้เห็นว่า อาจมีเกลือเป็นหนอนในหมู่เจ้าหน้าที่รัฐที่พา ธัมมชโย หนีไปได้อย่างลอยนวล หรือไม่ก็สะท้อนความไร้ประสิทธิภาพของเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องที่ปล่อยให้ ธัมมชโย หนีเล็ดลอดไปได้ทั้งๆที่มาตรการรัดกุมป้องกันตั้งแต่แรก

ที่สำคัญจากปฏิบัติการบุกตรวจค้นเพื่อจับ ธัมมชโย ครั้งนี้หากไม่ได้ตัวธัมมชโยมาดำเนินคดีตามกฎหมายเท่ากับ 8 เดือนที่ผ่านมาในความพยายามบุกจับธัมมชโยล้มเหลวไม่เป็นท่าเพราะไม่สามารถทำกฎหมายให้เป็น กฎหมายคุมตัวเจ้าสำนักที่ทำตัวเป็นรัฐอิสระอันทรงอิทธิพลมาดำเนินคดี และที่น่าวิตกยิ่งกว่าคือหากธัมมชโยหนีไปปักหลักอยู่นอกประเทศจริงอาจจะกลายเป็นหอกข้างแคร่เหมือนอดีตนายกฯนักโทษหนีคุกที่ไปเคลื่อนไหวชักศึกเข้าบ้านโฆษณาชวนเชื่อสุมไฟบ่อนทำลายประเทศตามแผนโลกล้อมไทยอยู่ในต่างแดนโดยอ้างถูกกลั่นแกล้งทางการเมืองภายใต้ยุคอำนาจรัฐจากการรัฐประหาร

ทีมข่าวการเมือง

สัญญาณชัดจากบิ๊กตู่ ดับฝันปรองดองสูตรเพื่อแม้ว

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/256694

วันพฤหัสบดี ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560, 02.00 น.

นับเป็นการส่งสัญญาณตอกย้ำจุดยืนที่ชัดเจนจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)ถึงแนวทางสร้างความปรองดองว่าจะไม่มีการเกี๊ยะเซียะและพูดถึงเรื่องการนิรโทษกรรม

พล.อ.ประยุทธ์ ยังตั้งคำถามให้คิดและซื้อใจว่า “ฝ่ายการเมืองบอกถ้าไม่พูดเรื่องนิรโทษกรรมปรองดองไม่ได้ ท่านคิดว่าจะช่วยใคร จะอยู่ข้างใคร ถ้าจะอยู่ข้างที่เขาพูดแบบนั้นผมก็จนใจ จนด้วยเกล้า ประเทศไทยก็อยู่แบบนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่ามันจะไม่มีประเทศอยู่” พร้อมกับชี้ให้เห็นว่า ที่ผ่านมากระบวนการประชาธิปไตยแบบไทยๆสร้างปัญหาให้ชาติบ้านเมืองจนเป็นต้นเหตุให้ทหารจำเป็นต้องออกมายึดอำนาจ เพราะฉะนั้นหากจะปฏิรูปประเทศก็ต้องแก้ที่ต้นเหตุด้วยการทำให้เกิดประชาธิปไตยที่แท้จริง

ขบวนการประชาธิปไตยแบบไทยๆ มีปัญหาและเป็นต้นเหตุของวิกฤติชาติตลอดช่วงกว่า 10 ปีที่ผ่านมาเนื่องจากเป็นระบอบธุรกิจการเมืองทุนสามานย์ในคราบประชาธิปไตยจอมปลอม โดยพรรคเพื่อแม้วซึ่งเป็นพรรคธุรกิจการเมืองทุ่มเงินซื้อสส. ซื้อเสียง ซื้อประชาธิปไตย ซื้อประเทศเพื่อให้ได้อำนาจรัฐเป็นรัฐบาลจากนั้นโกงชาติปล้นแผ่นดินถอนทุนบวกกำไรมหาศาล และใช้อำนาจรัฐแผ่ขยายอิทธิพลวางแผนยึดครองประเทศอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในระยะยาวปูทางไปสู่การเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองในอนาคต

ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ ย้ำมาตลอดว่า การปรองดองต้องยึดหลักกฎหมาย หมายความว่าจะเอาเรื่องคดีความของคนบางคนบางกลุ่มมาต่อรองโดยใช้การปรองดองบังหน้าไม่ได้เพราะเป็นคนละเรื่องกัน จึงไม่แปลกที่จะเห็นคดีเลวร้ายต่างๆ ยุครัฐบาลเพื่อแม้วที่ถูกกลบฝังอำพรางมาตลอดถูกผลักดันเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม อาทิ โครงการรับจำนำข้าวที่สร้างความเสียหายแก่ประเทศครั้งเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ที่มี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯหุ่นเชิด และพวกเป็นจำเลยคนสำคัญ

ล่าสุดที่ต้องลุ้นก็คือการเตรียมดำเนินคดีผู้ต้องหาคดีโกงแบงก์กรุงไทยปล่อยกู้ให้กับบริษัทกฤษดามหานครยุครัฐบาลทักษิณเพิ่มเติมหลังจากก่อนหน้าที่มีการดำเนินคดีกับผู้บริหารแบงก์กรุงไทยและผู้เกี่ยวข้องจนศาลตัดสินเข้าคุกไปแล้วหลายคน ซึ่งคดีนี้มี นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯนักโทษหนีคุก เป็นจำเลยคนที่ 1 โดยที่ต้องจับตาคืออาจมีการดำเนินคดีกับ นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายหัวแก้วหัวแหวนของ นายทักษิณเนื่องจากมีหลักฐานบ่งชี้ว่ามีการยักย้ายถ่ายเทเงินที่สงสัยว่าพัวพันการทุจริตไปยัง คนใกล้ชิดตระกูลชินบางคน

แต่แม้ พล.อ.ประยุทธ์ จะส่งสัญญาณย้ำชัดว่าไม่เกี๊ยะเซียะเรื่องนิรโทษกรรมซึ่งก็หมายถึงการต่อรองของขบวนการเพื่อแม้ว แต่ก็ไม่ได้ปิดทางเรื่องการลดหย่อนผ่อนโทษหากคนทำผิดยอมรับผิดแล้วเข้าสู่กระบวนการตามกฎหมาย โดยก่อนหน้านี้ พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ซึ่งมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อภารกิจสร้างความปรองดองเคยแสดงจุดยืนว่า การสร้างความปรองดองจะต้องทำให้สำเร็จเพราะบ้านเมืองเสียเวลาและโอกาสมามากแล้วตลอดกว่า 10 ปีที่เกิดความขัดแย้งจนนำไปสู่วิกฤติความรุนแรงจนทหารต้องเข้ามาแก้ปัญหา ทั้งนี้ทุกฝ่ายต้องเห็นแก่ชาติบ้านเมืองโดยยอมถอยคนละก้าว

สัญญาณ“ถอยคนละก้าว”ของ พล.อ.เฉลิมชัย สอดคล้องกับผลสรุปแนวคิดของคณะกรรมาธิการด้านการเมืองของ สนช.ที่มี นายกล้านรงค์ จันทิก เป็นประธานที่พิจารณาร่าง พ.ร.บ.การอำนวยความยุติธรรมทางอาญาเกี่ยวเนื่องกับมูลเหตุจูงใจทางการเมืองซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งในแนวทางสร้างความปรองดองที่ขณะนี้เสนอร่างกฎหมายไปยังรัฐบาลแล้ว หากรัฐบาลเห็นชอบก็จะเสนอกลับมายังสนช.เพื่อลงมติผ่านเป็นกฎหมายมีผลบังคับใช้ต่อไป

สาระสำคัญของ พ.ร.บ.การอำนวยความยุติธรรมทางอาญาเกี่ยวเนื่องกับมูลเหตุจูงใจทางการเมืองกำหนดให้มีคณะกรรมการอำนวยความยุติธรรมทางอาญาที่เกี่ยวเนื่องกับมูลเหตุจูงใจทางการเมืองจำนวน 11 คนจากตัวแทน
คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ คณะกรรมการตุลาการศาลปกครอง คณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม
คณะกรรมการอัยการ ผู้ตรวจการแผ่นดิน สถาบันพระปกเกล้า กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ สภาทนายความ และที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย

คณะกรรมการทั้ง 11 คนจะมีหน้าที่รวบรวมข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ที่เกี่ยวเนื่องจากเหตุการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองตั้งแต่ปี 2548 ถึงวันที่ 22 พ.ค. 2557 อันเป็นวันที่คสช.เข้ายึดอำนาจการปกครองประเทศและกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการอำนวยความยุติธรรมตลอดจนการเยียวยาและเสนอแนะแนวทางความเห็นในการอำนวยความยุติธรรมต่อคณะรัฐมนตรี รัฐสภา ศาล องค์กรอัยการและองค์กรอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

ที่สำคัญคณะกรรมการทั้ง 11 คนมีอำนาจจำแนกคดีอาญาที่มีมูลเหตุจูงใจทางการเมืองแล้วส่งความเห็นลดหย่อนโทษหรือให้ประกันตัวเพื่อต่อสู้คดีต่อศาลและอัยการได้ อย่างไรก็ตามการอำนวยความยุติธรรมทางอาญาจะไม่ครอบคลุมผู้ต้องหาคดีทุจริต คดีความผิดตามมาตรา 112 ของประมวลกฎหมายอาญาฐานหมิ่นเบื้องสูง หรือคดีอาญาร้ายแรงเกี่ยวกับความมั่นคง

แต่จากท่าทีการส่งสัญญาณจากบรรดาแกนนำและสาวกขบวนการเพื่อแม้วตั้งแง่ต่อรองว่า หากจะปรองดองก็ต้องมีการนิรโทษกรรมแบบสุดซอยเพื่อที่จะให้นายทักษิณ กลับบ้านแบบเท่ๆ โดยไม่ต้องติดคุกคดีทุจริตตามคำพิพากษาของศาลเช่นเดียวกับพวกแกนนำแดงผู้ต้องหาก่อการร้ายเผาบ้านทำลายเมืองปี 2553 ดังที่ นพ.เชิดชัย ตันติศิรินทร์ อดีต สส.พรรคเพื่อแม้ว เคยย้ำว่า หากจะปรองดองจริงต้องนิรโทษกรรมผู้กระทำผิดทุกคนและทุกคดีอย่างไม่มีเงื่อนไข ไม่ว่าจะเป็นคดีอะไรร้ายแรงแค่ไหน

แต่จากท่าทีของ พล.อ.ประยุทธ์ แสดงสัญญาณค่อนข้างชัดเจนเป็นการดับฝันตอกฝาโลงปรองดองสูตรขบวนการเพื่อแม้ว เพราะหากยอมตามเท่ากับทำลายหลักนิติรัฐและสวนทางการเดินหน้าปฏิรูปประเทศอย่างสิ้นเชิง

ทีมข่าวการเมือง

ยุคสว่างแห่งวงการสงฆ์ หมดยุคมืดแก๊งป้อง‘ธัมมชโย’

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/256540

วันพุธ ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560, 02.00 น.

ขณะที่ข่าวความเคลื่อนไหวการบุกสำนักจานบินเพื่อคุมตัว“ธัมมชโย” อดีตเจ้าสำนักจานบินตามหมายจับของศาลในข้อหาฟอกเงินและรับของโจรคดีโกงสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน คลองจั่น และคดีรุกป่าตั้งเป็นสาขาสำนักจานบินที่เขาใหญ่ จ.นครราชสีมา และที่ จ.เลย โดยกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ)และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.)เงียบหายเข้ากลีบเมฆหลังยึกยักเลื่อนมาหลายครั้งตั้งแต่ปีที่แล้ว แต่อีกด้านหนึ่งกลับมีความเคลื่อนไหวจากสภายุวพุทธิกสมาคมแห่งชาติในพระบรมราชูปถัมภ์ที่มีนายสมพร เทพสิทธา สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.)เป็นประธานเพื่อนำพระลิขิตที่ชี้ว่า “ธัมมชโย” ปาราชิกของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก อดีตสมเด็จพระสังฆราชองค์ก่อนขึ้นกราบทูลต่อสมเด็จพระมหามุนีวงศ์ สมเด็จพระสังฆราชองค์ปัจจุบันในฐานะประธานที่ประชุมมหาเถรสมาคม(มส.)

ทั้งนี้เพื่อให้สมเด็จพระสังฆราชองค์ใหม่นำพระลิขิตของอดีตสมเด็จพระสังฆราชองค์ก่อนที่ให้ “ธัมมชโย” ปาราชิกเนื่องจากยักยอกเงินวัดมาเป็นสมบัติส่วนตัวและเผยแพร่ลัทธิที่บิดเบือนจากหลักพระพุทธศาสนาเข้าพิจารณาในที่ประชุมมส.

ก่อนหน้านี้ นายสมพร เป็นแกนนำสำคัญกลุ่มสนช.ผลักดันให้มีการแก้ พ.ร.บ.คณะสงฆ์มาตรา 7 ที่ให้ยกเลิกอำนาจการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชโดยมส.มาเป็นการสถาปนาโดยพระราชอำนาจจนผ่านที่ประชุมสนช.แบบ 3 วาระรวดและนำมาสู่การสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชองค์ใหม่

ก่อนหน้าที่จะมีการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชองค์ใหม่มส.ยุคที่มี สมเด็จช่วง เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ในฐานะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชเป็นประธานอยู่ในยุคเสื่อมเนื่องจากพระเถระผู้ใหญ่ในมส.ส่วนใหญ่ถูกมองว่าอยู่ภายใต้อิทธิพลของสำนักจานบิน ขณะเดียวกันก็เกิดข่าวอื้อฉาวมากมาย ทั้งตัว สมเด็จช่วง เองที่พัวพันคดีครอบครองรถเบนซ์โบราณผิดกฎหมาย และที่สำคัญมส.ยุค สมเด็จช่วงซึ่งเป็นพระอุปัชฌาย์ของ “ธัมมชโย” ให้การปกป้องฟอกโทษความผิดแก่ “ธัมมชโย” มาตลอด ทั้งๆ ที่มีพระลิขิตของอดีตสมเด็จพระสังฆราชให้ปาราชิก

ขณะเดียวกันก็มีขบวนการที่พยายามจะวางแผนผลักดันสมเด็จช่วง ขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์ใหม่ แต่ในที่สุดแผนการดังกล่าวล้มเหลว

นายสมพร กล่าวว่า “ก่อนหน้านี้สมเด็จพระญาณสังวรฯได้มีพระลิขิตหลายครั้งกรณีธัมมชโยปาราชิก แต่ไม่ได้รับการพิจารณาจากที่ประชุมมส.ในอดีต ดังนั้นเพื่อเป็นการแสดงความเคารพต่อพระลิขิตของอดีตสมเด็จพระสังฆราช จึงอยากให้ที่ประชุมมส.นำเรื่องนี้เข้าสู่ที่ประชุม หากมส.เห็นว่าปาราชิกก็ต้องพ้นความเป็นพระทันที จะไม่มีอิทธิพลอะไรอีกต่อไปแล้วจะได้หมดเรื่องเสียที เมื่อพ้นความเป็นพระก็อยู่วัดพระธรรมกายไม่ได้แล้ว ส่วนคดีทางโลกก็ว่ากันไป”

นอกจากมส. สำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.)เป็นอีกองค์กรหนึ่งที่ถูกตั้งข้อสังเกตว่า ร่วมในขบวนการปกป้อง “ธัมมชโย” ซึ่ง นายสมพร ส่งสัญญาณเตือน พศ.ว่า สถานการณ์สำหรับมส.ยุคนี้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว เพราะฉะนั้น พศ.ต้องเลิกทำตัวปกป้องช่วยเหลือใครอีก“เป็นยุคสว่างแล้ว เป็นยุคแห่งธรรมะ เชื่อว่าหลังจากนี้เมื่อได้พระสังฆราชองค์ใหม่ทุกอย่างจะดีขึ้น บ้านเมืองจะดีขึ้นพุทธศาสนาจะดีขึ้น มันจะส่งผลดีต่อการปฏิรูปหลายด้าน”

อีกความเคลื่อนไหวหนึ่งที่จะเป็นการปฏิรูปวงการผ้าเหลืองครั้งสำคัญก็คือการที่คณะอนุกรรมาธิการศาสนา สนช. ซึ่งมี นายสมพร เป็นประธานได้ส่งมติของคณะอนุกรรมาธิการฯถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เพื่อให้แก้ไข พ.ร.บ.สงฆ์ โดยมีสาระสำคัญให้มีการกระจายอำนาจของคณะสงฆ์โดยกลับไปใช้แบบเดิมเมื่อปี 2484 โดยให้คณะสงฆ์แบ่งอำนาจเป็น 3 ฝ่ายคือ มหาคณิสสรหรือสังฆมนตรี สังฆสภา และ คณะวินัยธร

ที่น่าสนใจคือคณะวินัยธร ซึ่ง นายสมพร อธิบายว่าเหมือนศาลสงฆ์ที่มีอำนาจในการลงโทษสงฆ์ที่ประพฤติผิดพระธรรมวินัยได้ทันทีโดยไม่ต้องมีขั้นตอนยุ่งยากผ่านพระเถระชั้นผู้ใหญ่ระดับต่างๆ จนเข้าสู่ที่ประชุมมส.เหมือนในปัจจุบัน

นายสมพร เปิดเผยว่าความจริงเคยมีการขอแก้ไข พ.ร.บ.สงฆ์เพื่อกระจายอำนาจคณะสงฆ์จนเกือบสำเร็จมาแล้วซึ่งสมเด็จพระญาณสังวร อดีตสมเด็จพระสังฆราชก็ทรงเห็นด้วย แต่มีอดีตนายกฯคนหนึ่งสั่งให้คณะกรรมการกฤษฎีการะงับการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้เพราะอดีตนายกฯคนดังกล่าวต้องการผลักดันให้พระสังฆ์รูปหนึ่งขึ้นมามีตำแหน่งสำคัญ

แนวคิดที่จะให้แก้ พ.ร.บ.สงฆ์เพื่อกระจายอำนาจคณะสงฆ์ได้รับการสนับสนุนจาก นายสุลักษณ์ ศิวลักษณ์ หรือ ส.ศิวรักษ์ โดยให้ความเห็นว่าในอดีตเคยมีสังฆนายกเป็นผู้นำและมีสังฆมนตรีดูแลปกครองสงฆ์ โดยคณะสังฆมนตรีต้องได้รับเลือกจากสังฆสภา และมีคณะพระธรรมธรซึ่งทำหน้าที่ดุจศาลสงฆ์ที่มีอำนาจเป็นอิสระไม่ขึ้นกับสังฆมนตรีหรือสังฆสภา ซึ่งหากทำเช่นนี้เชื่อว่าจะทำให้วงการพระพุทธศาสนาดีขึ้น

อีกปัญหาหนึ่งซึ่งทำให้วงการสงฆ์มัวหมองและเสื่อมก็คือเรื่องการมุ่งแสวงหาผลประโยชน์และอำนาจในหมู่อลัชชีในคราบผ้าเหลือง ซึ่งนายไพบูลย์ นิติตะวัน อดีตประธานคณะกรรมการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนา สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) มีแนวคิดให้ผลักดันร่างกฎหมายจัดการทรัพย์สินของวัดและพระโดยแยกออกจากกันอย่างชัดเจนและมีระบบบัญชีที่สามารถตรวจสอบได้และคณะผู้ตรวจสอบที่โปร่งใสไม่ใช่ให้อำนาจวัดเพียงรูปเดียว ทั้งนี้เพื่อป้องกันการอาศัยวัดเป็นแหล่งทำมาหากินและฟอกเงิน

เพราะฉะนั้นอาจกล่าวได้ว่าบัดนี้หมดยุคแล้วสำหรับเหล่าขบวนการอลัชชีในคราบผ้าเหลืองที่คอยปกป้อง “ธัมมชโย” และก้าวสู่ยุคแห่งแสงสว่างของวงการสงฆ์ภายใต้สมเด็จพระสังฆราช องค์ที่ 20 ซึ่งเป็นอริยสงฆ์ที่มีพระจริยวัตรอันงดงามสมถะ

ทีมข่าวการเมือง

จับตาขบวนการสีดำ-กลุ่มการเมือง รวมหัวล้มคสช.ฟื้นธุรกิจอำนาจมืด

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/256383

วันอังคาร ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560, 06.00 น.

ก่อนหน้านี้สื่อของสิงคโปร์รายงานข่าวกรณีที่กำลังหน่วยปราบปรามยาเสพติดของไทยจับกุมนายไซซะนะ แก้วพิมพา เจ้าพ่อยาเสพติดรายใหญ่ชาวลาว ที่มีเครือข่ายทำธุรกิจมืดทั่วอาเซียนอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการโจรก่อการร้ายที่ก่อความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย รวมทั้งอาจเกี่ยวข้องกับกลุ่มรัฐอิสลาม หรือไอเอส ที่กำลังพยายามเข้ามาเคลื่อนไหวในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

พล.ต.ท.สมหมาย กองวิสัยสุข ผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (ปส.) ไม่ปฏิเสธข่าวดังกล่าวของสื่อสิงคโปร์ พร้อมทั้งเปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้ทางการมาเลเซียจับกุม นายคามะลูดีน บิน อาหว่อง สัญชาติมาเลเซีย หนึ่งในตัวการสำคัญของขบวนการค้ายาเสพติดได้ที่รัฐกลันตันของมาเลเซีย โดย นายคามะลูดีน ถือเป็นหนึ่งในนักค้ายาเสพติดที่อยู่ในบัญชีดำของไทยเช่นกัน นอกจากนี้ยังมี นายไซนุเต็ง มะ ลูกเขยของนายมะรินิง จาโก หรือ“มะ สิบล้อ” ชาวไทยมุสลิมที่เป็นหัวหน้าเครือข่ายผู้รับยาเสพติดจากภาคเหนือและภาคอีสานไปส่งให้เอเย่นต์ขบวนการค้ายาเสพติดซึ่งเชื่อมโยงระหว่าง นายไซซะนะ และ นายอุสมาน สะแลแมง นักค้ายาเสพติดผู้ทรงอิทธิพลในชายแดนภาคใต้ ที่ขณะนี้ยังหลบหนีการจับกุม

ทั้งนี้ขบวนการนักค้ายาเสพติดส่วนใหญ่ในภาคใต้เป็นชาวไทยมุสลิม แต่ถือสองสัญชาติทั้งไทยและมาเลเซียทำให้สะดวกในการหลบหนีการถูกไล่ล่า

สำหรับเครือข่ายค้ายาเสพติดรุ่นใหม่เป็นเครือข่ายใหญ่ระดับอาเซียน ซึ่ง พล.ต.ท.สมหมายเคยระบุว่า อิทธิพลของ นายไซซะนะ ในวงการค้ายานรกนั้นยิ่งใหญ่กว่าเจ้าพ่อนักค้ายาเสพติดผู้โด่งดังในอดีตอย่าง นายเล่าต๋า แสนลี่ ที่ถูกจับไปก่อนหน้านี้เสียอีก

ทั้งนี้ นายไซซะนะ พยายามขยายเครือข่ายค้ายาเสพติดไปทั่วอาเซียนโดยมีการใช้เงินที่มีอยู่อย่างมหาศาลจัดตั้งเครือข่ายทั้งในลาว ในไทย และขยายไปยังมาเลเซีย รวมทั้งประเทศอื่นๆ ในอาเซียน โดยการสร้างความสนิทสนมกับคนในทุกวงการเพื่ออำพรางตัว ขณะเดียวกันทุ่มเงินซื้อตัวเจ้าหน้าที่รัฐทั้งในลาวและไทยเพื่อทำให้การทำธุรกิจสีดำเป็นไปด้วยความสะดวก จึงไม่น่าสงสัยเลยว่า นายไซซะนะ ค้ายานรกและเดินทางเข้า-ออกไทยเป็นว่าเล่นมานานหลายปีอย่างลอยนวล ซ้ำมีคนในเครื่องแบบของไทยบางกลุ่มคอยอำนวยความสะดวกดุจทาสรับใช้

ประเด็นสำคัญคือขบวนการค้ายานรกเหล่านี้อาจมีส่วนเชื่อมโยงกับขบวนการโจรก่อการร้ายในจังหวัดชายแดนภาคใต้และอาจรวมถึงกลุ่มไอเอส ตลอดจนนักการเมืองบางกลุ่ม

ทั้งนี้มีรายงานข่าวด้านความมั่นคงมานานแล้วว่า ขบวนการก่อความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้มีส่วน
เกี่ยวข้องกับขบวนการค้ายาเสพติดและกลุ่มอิทธิพลทำธุรกิจมืดผิดกฎหมายต่างๆ อาทิ ขบวนการค้ามนุษย์ ขบวนการค้าของเถื่อนที่สูญเสียผลประโยชน์มหาศาลจากการเอาจริงปราบปรามอย่างหนักนับตั้งแต่คณะรักษาความสงบ
แห่งชาติ (คสช.) เข้ามาควบคุมอำนาจการปกครองประเทศตั้งแต่เมื่อวันที่ 22 พ.ค.2557 ขบวนการนอกกฎหมาย
เหล่านี้ รวมทั้งนักการเมืองบางกลุ่มจึงลงขันกันให้เงินสนับสนุนขบวนการโจรก่อการร้ายในจังหวัดชายแดนภาคใต้

นอกจากนี้การที่คสช.กวาดล้างขบวนการค้ายาเสพติดรายใหญ่ทั่วประเทศอย่างหนักทั้งการจับกุม นายเล่าต๋า แสนลี่ นายไซซะนะ และกำลังขยายผลไปสู่การกวาดล้างขบวนการค้ายาเสพติดอื่นๆ แบบขุดรากถอนโคน ยังไม่รวมถึงการกวาดล้างเหล่าผู้มีอิทธิพล และบรรดาธุรกิจมืด ธุรกิจสีเทาทุกประเภทโดยเฉพาะการกวาดล้างทลายเครือข่ายขบวนการเงินกู้นอกระบบรายใหญ่ของประเทศที่มูลค่าหลายพันล้านบาทอย่าง เสี่ยวิชัย ปั้นงาม ซึ่งมีนักการเมืองระดับชาติและคนมีสีบางกลุ่มชักใยอยู่เบื้องหลัง จึงเหมือนเป็นการขัดขวางรายได้มหาศาลจากธุรกิจสีดำหรือสีเทาของเหล่าผู้มีอิทธิพลเหล่านี้

จากคดีจับกุม นายไซซะนะ กำลังมีการขยายผลไปสู่เครือข่ายที่เชื่อมโยงโดยมีหลายกลุ่มเข้ามาเกี่ยวข้องและเริ่มมีเบาะแสเค้าลางว่าเครือข่ายของ นายไซซะนะ อาจเกี่ยวข้องหรือถึงขนาดร่วมมือกันกับเครือข่ายอื่นๆ

จากสภาพการณ์ที่ขบวนการธุรกิจสีดำและสีเทาถูกปราบปรามอย่างหนัก มีทางเดียวที่เหล่าขบวนการค้ายานรก
และธุรกิจมืดจะเอาตัวรอดและกลับมาสร้างความร่ำรวยได้อย่างสะดวกอีกครั้งก็คือต้องทำทุกวิถีทางเพื่อล้มอำนาจรัฐ
คสช.ให้ได้โดยเร็วและสนับสนุนให้กลุ่มการเมืองที่มีผลประโยชน์ร่วมกันขึ้นมามีอำนาจ ขณะเดียวกันต้องจับมือกันระหว่างเครือข่ายค้ายานรก กลุ่มโจรก่อการร้าย หรือขบวนการนอกกฎหมายต่างๆ หรือแม้แต่กลุ่มการเมืองอำนาจเก่า โดยต่างสูญเสียผลประโยชน์และเป็นปฏิปักษ์กับอำนาจรัฐ คสช.เช่นเดียวกัน

ดังนั้นต้องจับตาจากนี้เป็นต้นไปยิ่งรัฐบาลคสช.เดินหน้าปฏิรูปประเทศขจัดโจรการเมืองในคราบประชาธิปไตย กวาดล้างยาเสพติด ผู้มีอิทธิพลและขบวนการนอกกฎหมายสีดำสีเทาเข้มข้นมากขึ้นเท่าไหร่ก็ยิ่งกดดันให้ขบวนการชั่วร้ายเหล่านี้ต้องรวมหัวกันครั้งใหญ่สำหรับปฏิบัติการล้างแค้นเอาคืนเพื่อล้มคสช.และสนับสนุนให้กลุ่มการเมืองที่มีผลประโยชน์ร่วมกันกลับมามีอำนาจยึดครองประเทศภายใต้ข้อแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ต่างตอบแทนนั่นคือ ขบวนการนอกกฎหมายที่ร่วมลงขันชิงอำนาจรัฐจะได้รับการเปิดทางสะดวกในการทำธุรกิจมืด

ทีมข่าวการเมือง

เอาจริงยึดทรัพย์แก๊งจีทูจี สร้างบรรทัดฐานปราบโกง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/256286

วันจันทร์ ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560, 02.00 น.

กรรมจากคดีโครงการรับจำนำข้าวที่สร้างความเสียหายแก่ประเทศครั้งเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์มูลค่าหลายแสนล้านบาทเริ่มนับถอยตามเช็คบิลผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งทางอาญาและทางแพ่งชัดเจนมากขี้นเรื่อยๆ

ในทางอาญา ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้ไต่สวนพยานฝ่ายโจทก์และฝ่ายจำเลยที่มี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯหุ่นเชิด และพวกจนใกล้ถึงบทสรุปเข้าไปทุกขณะ โดยเฉพาะคดีที่ฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ในข้อหากระทำผิดต่อหน้าที่ปล่อยให้เกิดมหกรรมโครงการรับจำนำข้าวและสร้างความเสียหายแก่ประเทศอย่างร้ายแรงทั้งๆที่หลายฝ่ายเตือน แต่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กลับเมินและยืนกรานดันทุรังเดินหน้าโครงการ โดยขณะนี้การไต่สวนของศาลทั้งฝ่ายโจทก์และจำเลยใกล้จะเสร็จสิ้น โดยคาดว่าจะมีการปิดคดีได้ในราวเดือนก.ค.นี้ และคาดว่าศาลจะนัดอ่านผลการตัดสินคดีชี้ชะตา น.ส.ยิ่งลักษณ์ ว่าจะเป็นนายกฯหญิงคนแรกที่ต้องติดคุกหรือไม่คงไม่เกินเดือนก.ย.ปีนี้

ส่วนทางการแพ่งการฟ้องทางละเมิดเพื่อให้จำเลยชดใช้ความเสียหายแก่แผ่นดินล่าสุด น.ส.รื่นฤดี สุวรรณมงคล อธิบดีกรมบังคับคดี กระทรวงยุติธรรม ร่วมกับ นางดวงพร รอดพยาธิ์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ แถลงข่าวถึงขั้นตอนต่างๆ ในการยึดทรัพย์จำเลยในคดีการขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) เก๊ยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ภายหลังศาลปกครองมีคำสั่งยกคำขอทุเลาการบังคับคดีทางปกครองของกลุ่มจำเลยรวม 6 คน นำโดย นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรมว.พาณิชย์

คำแถลงของอธิบดีกรมบังคับคดีและอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศคงทำให้สังคมสบายใจและมั่นใจได้ระดับหนึ่งว่าการดำเนินการยึดทรัพย์จะไม่มีการซื้อเวลาดึงเกมหรือเป็นมวยล้มต้มคนดู

โดยอธิบดีกรมบังคับคดีหญิงเหล็กยืนยันว่า ไม่ได้มีความขัดแย้งระหว่างกระทรวงยุติธรรมและกระทรวงพาณิชย์จนเป็นเหตุให้การยึดทรัพย์ล่าช้าแต่อย่างใด โดยทุกอย่างต้องทำตามขั้นตอนแลระเบียบปฏิบัติของกฎหมาย โดยเมื่อกรมการค้าต่างประเทศซึ่งเป็นผู้เสียหายคดีนี้ส่งเอกสารคำร้องมายังกรมบังคับคดี กรมบังคับคดีก็จะดำเนินการตามขั้นตอนการยึดทรัพย์ได้อย่างรวดเร็วต่อไป

ขณะที่อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศหญิงเหล็กเช่นกัน ยืนยันว่ากรมการค้าต่างประเทศจะส่งเอกสารคำร้องไปยังกรมบังคับคดีภายในวันที่ 14 ก.พ.นี้ โดยที่น่าชื่นชมก็คือคำพูดที่ว่า จะทำให้ดีที่สุดเพื่อรักษาผลประโยชน์ของรัฐ

สำหรับจำเลยคดีขายข้าวจีทูจียุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ทั้ง 6 คน ประกอบด้วย 1.นายบุญทรง ที่ถูกฟ้องชดใช้ค่าเสียหายให้รัฐ 1,770 ล้านบาท 2.นายภูมิ สาระผล อดีตรมช.พาณิชย์ 2,300 ล้านบาท 3. พ.ต.ท.วีระวุฒิ วัจนะพุกกะ อดีตเลขานุการ รมว.พาณิชย์ 4.นายมนัส สร้อยพลอย อดีตอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ 5.นายทิฆัมพร นาทวรทัต อดีตรองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ6.นายอัฐฐิติพงศ์ หรือ อัครพงศ์ ทีปวัชระ หรือช่วยเกลี้ยง อดีตผู้อำนวยการสำนักการค้าข้าวต่าวประเทศ โดย 4 คนหลังต้องชดใช้คนละ 4,000 ล้านบาท

ตัวเลขการฟ้องให้ชดใช้ความเสียหายแก่แผ่นดินดังกล่าวเป็นเพียงส่วนเดียวจากหลายคดีที่ขณะนี้อยู่ระหว่างการเตรียมทยอยส่งฟ้องเอาผิดกับขบวนการทั้งหมด

ขณะที่ ดร.วิษณุ เครืองาม รองนายกฯฝ่ายกฎหมาย กล่าวถึงข้อวิตกที่ว่าเหล่าจำเลยที่ถูกฟ้องยึดทรัพย์อาจมีการยักย้ายถ่ายเททรัพย์สินว่า แม้จะมีการยักย้ายทรัพย์สินไปไว้ในต่างประเทศก็มีวิธีการที่จะนำทรัพย์สินกลับมาได้ และขอยืนยันว่าคดีนี้จะไม่มีการยื้อเรื่อยเปื่อยแน่นอนโดยที่ผ่านมามีสายลับมารายงานความคืบหน้าของคดีอยู่ตลอดเวลา

ความเป็นมาในคดีขายข้าวจีทูจีลวงโลกยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์นั้นมีหลักฐานชัดเจนว่า มีการอุปโลกน์จัดฉากมหกรรมโกงโดยอาศัยโครงการรับจำนำข้าวเป็นเครื่องมือบังหน้า โดยสร้างเรื่องเท็จว่ามีการระบายข้าวขายให้รัฐบาลจีน แต่ภายหลังมีการตรวจสอบพบว่าไม่มีการขายข้าวแบบจีทูจีจริงแต่อย่างใดทั้งสิ้น แต่สวมรอยนำโควตาตัวเลขข้าวที่อ้างว่าขายแบบจีทูจีมาเวียนเทียนขายภายในประเทศนี่เองเพื่อฟันส่วนต่างกำไรจากโครงการรับจำนำข้าว

คดีนี้ยังเกี่ยวข้องกับ นายอภิชาติ จันทร์สกุลพร หรือ “เสี่ยเปี๋ยง” นักธุรกิจพ่อค้าข้าวซึ่งมีความใกล้ชิดกับ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯนักโทษหนีคุก โดยปัจจุบัน “เสี่ยเปี๋ยง”ใช้กรรมอยู่ในคุกเนื่องจากพัวพันการทุจริตหลายคดี

นอกจากนี้ ในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ทั้งๆ ที่เกิดข่าวอื้อฉาวเรื่องขายข้าวจีทูจี แต่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กลับยืนกรานว่ามีการขายข้าวจีทูจีกับรัฐบาลจีนจริง ขณะที่รัฐบาลยืนยันไม่เคยซื้อข้าวจีทูจีจากไทยยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์อันสะท้อนถึงความไม่ชอบมาพากลของโครงการรับจำนำข้าวยุค“ทักษิณคิด ยิ่งลักษณ์ทำ”

จากการฟ้องทางแพ่งเพื่อให้ขบวนการจีทูจีชดใช้ความเสียหายแก่แผ่นดินดังกล่าวสังคมกำลังจับตาและหวังว่าจะเห็นการลงโทษขบวนการโกงชาติปล้นแผ่นดินภายในยุคคสช. เพื่อสร้างบรรทัดฐานว่าพวกโกงชาติจะต้องไม่มีที่ยืนในสังคมและพิสูจน์ว่าทุกคนต้องอยู่ภายใต้กฎหมายไม่ว่าจะมีอิทธิพลยิ่งใหญ่แค่ไหนก็ตาม เพราะหากล่าช้าจนมีรัฐบาลใหม่หลังการเลือกตั้งครั้งหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากพรรคเพื่อแม้วกลับมามีอำนาจเป็นรัฐบาลเชื่อได้เลยว่า คดีโครงการรับจำนำข้าวถูกแช่แข็งหรือฟอกจากดำเป็นขาวแน่นอน

ทีมข่าวการเมือง

ผลงานเอาจริงปราบโกง ชี้วัดศรัทธาอนาคตรัฐบาล

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/256197

วันอาทิตย์ ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560, 02.00 น.

การขจัดทุจริตคอร์รัปชั่นทุกรูปแบบถือเป็นวาระแห่งชาติที่รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติประกาศเป็นนโยบายสำคัญในการปฏิรูปประเทศ แต่กว่า 2 ปีที่ผ่านมาหลังคสช.เข้าควบคุมอำนาจการปกครองประเทศ เมื่อวันที่ 22 พ.ค.2557 คดีทุจริตสำคัญหลายคดีทั้งในอดีตจวบจนปัจจุบันถูกตั้งคำถามและดูเหมือนจะยังไม่ได้รับการสะสางนำตัวคนผิดมาลงโทษให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรม

ผลสำรวจล่าสุดของกรุงเทพโพลล์ ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพต่อปัญหาคอร์รัปชั่นโดยเฉพาะกรณีสินบนโรลส์-รอยซ์ที่พัวพันบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) บริษัทปตท.สผ. ไปจนถึงการจัดซื้อกล้องซีซีทีวีติดตั้งในรัฐสภา ซึ่งเป็นการทุจริตช่วงปี 2534 ถึง 2549 ผลปรากฏว่า ประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 58.1 คิดว่าการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับการทุจริตคอร์รัปชั่นยังมีช่องโหว่ กฎหมายไม่รุนแรงพอที่จะทำให้กลัวต่อการกระทำผิด ขณะที่ร้อยละ 46 กลัวว่าจะไม่สามารถเอาผิดกับพวกทุจริตได้ โดยจะจับได้แต่ข้าราชการชั้นผู้น้อยกลายเป็นมวยล้มต้มคนดู ส่วนร้อยละ 34.8 ห่วงว่าสถานการณ์คอร์รัปชั่นในแวดวงราชการและรัฐวิสาหกิจของประเทศจะมีเพิ่มมากขึ้น ซึ่งผลสำรวจของโพลล์ที่ออกมาสะท้อนให้เห็นว่า ประชาชนยังไม่มั่นใจการทำหน้าที่ของรัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการปราบปรามการทุจริตยุคคสช.ด้วยการนำตัวพวกโกงชาติปล้นแผ่นดินมาลงโทษเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง

จากการสำรวจของกรุงเทพโพลล์ในประเด็นที่ว่ารัฐบาลควรมีมาตรการเร่งด่วนเพื่อแก้ปัญหาการทุจริตเรื่องใดมากที่สุด ประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 49.8 ตอบว่า การติดสินบน การให้เงินใต้โต๊ะแก่เจ้าหน้าที่รัฐ รองลงมาร้อยละ 47.7 เรื่องการทุจริตในการแต่งตั้ง การสอบคัดเลือก การรับเด็กเส้นเข้ามารับราชการในหน่วยงานของรัฐ ร้อยละ 47.5 การใช้ตำแหน่งหน้าที่แสวงหาผลประโยชน์ ร้อยละ 46.6 ความโปร่งใสในการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐ และร้อยละ 43.1 การเอื้อประโยชน์ต่อกิจการที่ตนเองพวกพ้องญาติพี่น้องมีส่วนได้เสีย

เมื่อถามว่าเชื่อมั่นหรือไม่ว่าการรื้อระบบการจัดซื้อจัดจ้างจะแก้ปัญหาการคอร์รัปชั่นในหน่วยราชการและรัฐวิสาหกิจได้ ผลสำรวจสะท้อนว่าประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 61.8 ไม่เชื่อมั่น มีเพียงร้อยละ 30.5 ที่เชื่อมั่น ขณะที่ร้อยละ 7.7 ไม่แน่ใจ

ในประเด็นความเชื่อมั่นต่อการออกกฎหมายป้องกันการคอร์รัปชั่น อาทิ พ.ร.บ.ลงโทษผู้ทุจริต 3 ชั่วโคตรเพื่อป้องกันการคอร์รัปชั่นในหน่วยงานราชการและรัฐวิสาหกิจปรากฏว่า ร้อยละ 34.7 เชื่อมั่นค่อนข้างน้อย ร้อยละ 28.1 เชื่อมั่นค่อนข้างมาก ร้อยละ 24.3 เชื่อมั่นน้อยสุด ร้อยละ 7.2 ไม่แน่ใจ และร้อยละ 5.7 เชื่อมั่นมากที่สุด

ทั้งนี้ภาพสะท้อนความไม่เชื่อมั่นของประชาชนต่อการบังคับใช้กฎหมายเพื่อนำตัวเหล่านักการเมือง ข้าราชการที่ทุจริต
คอร์รัปชั่นมาลงโทษตามกฎหมายด้านหนึ่งต้องยอมรับความจริงว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการตรวจสอบหรือปราบปราม
การทุจริตคอร์รัปชั่นของไทยตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำตลอดช่วงที่ผ่านมามีปัญหาในเรื่องการบังคับใช้กฎหมาย และประสิทธิภาพการทำงานที่ยังตั้งรับแบบเช้าชามเย็นชามขาดจิตวิญญาณปฏิบัติงานเชิงรุก พอเกิดปัญหาจนเป็นข่าวใหญ่อื้อฉาวถึงรีบออกมาล้อมคอก

ขณะที่อีกด้านหนึ่งความไม่เชื่อมั่นของประชาชนยังเกิดจากการที่องค์กรความโปร่งใสนานาชาติ (Tranparency International-TI) ประเมินอันดับความโปร่งใสของไทยลดลงจากอันดับ 76 เมื่อปีที่แล้วเป็นอันดับ 101 จาก 176 ประเทศทั่วโลก ซึ่งในเวลาใกล้เคียงกันยังเกิดกรณีสื่อต่างชาติพากันประโคมข่าว ผลการตรวจสอบของหน่วยงานปราบปรามการคอร์รัปชั่นของอังกฤษ(เอสเอฟโอ)รวมทั้งกระทรวงยุติธรรมสหรัฐอเมริกาที่เปิดเผยคำรับสารภาพของผู้บริหาบริษัทโรลส์-รอยซ์ และบริษัทเอกชนของสหรัฐบางบริษัทเกี่ยวกับการจ่ายสินบนให้กับนักการเมืองและผู้บริหารหลายรัฐวิสาหกิจของไทยในอดีต

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกฯ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้ความเห็นว่า ปัญหาการปราบปรามการทุจริตซึ่งยังไม่ได้ผลในช่วงที่ผ่านมาเกิดจากการไม่บังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง พร้อมทั้งตั้งข้อสังเกตชี้ให้เห็นว่า ข่าวทุจริตอื้อฉาวสำคัญๆ เกือบมักจะเกิดจากการตรวจสอบและตีแผ่โดยหน่วยงานของต่างประเทศแทนที่จะเกิดจากหน่วยงานของไทย อาทิ กรณีสินบนโรลส์-รอยซ์ที่เกิดขึ้นมานานแล้ว แต่กลับถูกตรวจสอบพบโดยหน่วยงานของอังกฤษและสหรัฐอเมริกา

ขณะที่ นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีต สส.พรรคประชาธิปัตย์ ให้แง่คิดที่น่าสนใจว่า สาเหตุที่งานปราบปรามการทุจริตในไทยไม่สำเร็จเท่าที่ควรเพราะไม่บังคับใช้กฎหมายที่มีอยู่อย่างจริงจังและอย่างมีประสิทธิภาพ อาทิ กฎหมายป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) มาตรา 103/4 และ 103/5 ที่ส่งเสริมให้ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจที่กล้าร้องเรียนเปิดเผยข้อมูลทุจริตต่อ ป.ป.ช. รัฐต้องยกย่องคุ้มครองเป็นแบบอย่างเพื่อสร้างค่านิยมที่ถูกต้อง โดยคณะรัฐมนตรีต้องพิจารณาให้รางวัลแก่ข้าราชการและเจ้าหน้าที่รัฐที่กล้าเปิดเผยการทุจริตเป็นกรณีพิเศษทั้งการเพิ่มเงินเดือนและเลื่อนตำแหน่ง หรือหากไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการเปิดเผยการทุจริต ป.ป.ช.ต้องเสนอนายกฯให้ย้ายสังกัดสายงานหรือกระทรวงได้ในทันที

เพราะฉะนั้นการสร้างผลงานขจัดทุจริตคอร์รัปชั่นด้วยการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังในการนำตัวเหล่าตัวการสำคัญที่โกงชาติปล้นแผ่นดินทั้งในอดีตและปัจจุบันมาลงโทษเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างจึงถือเป็นโจทย์ท้าทายและจะเป็นตัวชี้วัดศรัทธาของประชาชนที่จะมีต่อรัฐบาลและคสช.ซึ่งจะมีผลต่อการขับเคลื่อนเดินหน้าปฏิรูปประเทศในอนาคต

ทีมข่าวการเมือง

ปรองดองต้องแยกปลาจากน้ำ อย่าเสียเวลาไปกับโจรการเมือง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/256095

วันเสาร์ ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560, 02.00 น.

ถือเป็นความปรารถนาดีสำหรับคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) และรัฐบาลที่พยายามจะเดินหน้าสร้างความปรองดองให้สำเร็จเสียทีหลังจากที่ความแตกแยกในชาติตลอด 10 กว่าปีที่ผ่านมา จนนำไปสู่วิกฤติความรุนแรงได้บ่อนทำลายชาติจนบอบช้ำอย่างหนัก ทำให้เสียโอกาสในการพัฒนาประเทศ อย่างไรก็ตาม แม้คสช.จะทุ่มเทใช้อำนาจแกมบังคับให้เกิดความสมานฉันท์ด้วยการให้คู่กรณีทุกฝ่ายลงนามในสัญญาประชาคมหรือเอ็มโอยู แต่นั่นก็เป็นเพียงพิธีกรรมไม่ได้เป็นหลักประกันอะไรได้เลยว่าหลังเซ็นเอ็มโอยูแล้วความปรองดองจะเกิดขึ้นอย่างแท้จริง

ล่าสุดคณะกรรมการสร้างความปรองดอง ที่มี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง เป็นหัวเรือใหญ่ ทุ่มสุดตัวระดมสรรพกำลัง โดยอาศัยกองทัพและอำนาจรัฐทั้งหมด ผลักดันให้การสร้างความปรองดองสำเร็จภายใน 3 เดือน โดยมีการเชิญบุคคลสำคัญมากมายจากทุกภาคส่วนทั้งประเทศ ร่วมให้ข้อเสนอแนะเพื่อสร้างความปรองดอง อาทิ ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ ดร.สุจิต บุญบงการ ดร.ปณิธาน วัฒนายากร ดร.ศุภชัย พานิชภักดิ์ อดีตรองนายกฯและอดีตเลขาธิการการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา หรืออังค์ถัด แต่ในที่สุดแล้วแนวทางสร้างความปรองดองก็คงหนีไม่พ้นวนเวียนอยู่ในผลสรุปการศึกษาของคณะกรรมการสร้างความปรองดองในอดีตราว 10 คณะ

สำหรับประเด็นการหารือของทุกฝ่ายเพื่อสร้างความปรองดองมีการวางกรอบไว้ 10 ประเด็น ประกอบด้วย 1.ด้านการเมือง คือ การแก้ปัญหาโดยสันติทั้งก่อน ระหว่างและหลังการเลือกตั้งครั้งใหม่ที่จะมีขึ้น 2.ความเหลื่อมล้ำ เช่น การครอบครองที่ดินทำกินของเกษตรกร การเข้าถึงแหล่งน้ำ มักจะถูกยกมาเป็นประเด็นสร้างความขัดแย้งอย่างกว้างขวางซึ่งจะต้องมีการพูดถึงแนวทางแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ 3.ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมเพื่อไม่ให้มีความเสี่ยงต่อการขยายไปสู่ความขัดแย้ง 4. แนวทางเสริมสร้างความปรองดองให้เกิดขึ้นในสังคมต่อประเด็นความแตกต่างทางสังคม ความเชื่อ ศาสนา วัฒนธรรม เศรษฐกิจ การศึกษาและสาธารณสุข 5.แนวทางในการไม่ให้สื่อเป็นเครื่องมือสร้างความขัดแย้ง

6.แนวทางที่จะทำให้การใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม อาทิ ความขัดแย้งเรื่องพลังงาน การก่อสร้างโรงไฟฟ้า ไม่ถูกหยิบยกขึ้นมาสร้างความขัดแย้งในสังคม 7.แนวคิดที่จะดำเนินการต่อประเด็นการนำปัญหากิจการภายในประเทศมายกระดับให้เป็นปัญหาการเมืองระหว่างประเทศ 8.แนวคิดป้องกันการทุจริตคอร์รัปชั่นเพื่อไม่ให้เป็นสาเหตุนำมาซึ่งความขัดแย้งในสังคมไทย 9.แนวทางการปฏิรูปประเทศเพื่อให้เกิดความปรองดอง และ 10.การยอมรับและร่วมขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ไปสู่ความสำเร็จร่วมกัน

นอกจากนี้ พล.อ.ประวิตร ยังย้ำกรอบแนวทางสร้างความปรองดองที่เป็นจุดยืนชัดเจนของคสช.และรัฐบาลก็คือ ต้องยึดหลักกฎหมายและไม่มีการพูดถึงเรื่องการนิรโทษกรรม แต่ก็ไม่ปฏิเสธแนวทางถอยคนละก้าวนั่นคือ คู่ขัดแย้งที่ทำผิดกฎหมายต้องยอมรับผิดและรับโทษ จากนั้นจึงเข้าสู่กระบวนการลดหย่อนผ่อนโทษ

กรอบทั้ง 10 ประการ รวมทั้งจุดยืนของรัฐบาลที่ว่าจะไม่มีการทำลายหลักนิติรัฐและไม่มีการนิรโทษกรรมดูดี แต่ในทางปฏิบัตินั้นจะเป็นจริงหรือไม่ โดยเฉพาะจากท่าทีของขบวนการเพื่อแม้วที่ก่อนหน้านี้ส่งสัญญาณตั้งแง่ชัดเจนว่า หากจะปรองดองต้องมีการนิรโทษกรรมแบบสุดซอยทุกคนทุกคดีเท่านั้น ซึ่งนั่นส่อเจตนาแอบแฝงว่าจะต้องมีการลบล้างโทษความผิดคดีทุจริตตามคำพิพากษาของศาลให้กับ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯนักโทษหนีคุก และอาจรวมถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯหุ่นเชิด ผู้เป็นน้องสาว และพวกที่เป็นจำเลยคนสำคัญคดีโครงการรับจำนำข้าวที่สร้างความเสียหายแก่ประเทศครั้งเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์

นอกจากนี้ขบวนการเพื่อแม้วยังตั้งแง่ตีรวน โดยก่อนหน้านี้ ออกแถลงการณ์ชี้ว่า คสช.ถือเป็นหนึ่งในคู่ขัดแย้ง เพราะฉะนั้นจึงไม่เป็นกลางหากจะมีบทบาทเป็นเจ้าภาพในการสร้างความปรองดอง

ขณะเดียวกันทุกวันนี้เครือข่ายขบวนการเพื่อแม้วยังคงออกมาเคลื่อนไหวหาเรื่องตีรวนป่วนเมือง บ่อนทำลายคสช.และรัฐบาลแบบรายวัน

เพราะฉะนั้นการที่เครือข่ายขบวนการเพื่อแม้วตั้งแง่ตั้งแต่แรกและยังคงเคลื่อนไหวบ่อนทำลายประเทศและที่สำคัญคือบ่อนทำลายสถาบันเบื้องสูง ทำให้แนวโน้มการปรองดองกับขบวนการเพื่อแม้วคงยากที่จะเป็นจริง

ทั้งนี้ต้องเข้าใจว่าประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศแม้จะมีความเห็นต่างแต่ก็ไม่ได้รุนแรงถึงขั้นแตกแยก ประชาชนส่วนใหญ่จึงไม่มีปัญหาเรื่องการสร้างความปรองดองโดยเฉพาะอย่างยิ่งภายใต้บรรยากาศที่คนไทยทั้งประเทศมุ่งรู้รักสามัคคีเป็นหนึ่งเดียวเพื่อพ่อแห่งแผ่นดิน ขณะที่มีนิมิตหมายที่ดีเมื่อมีการโปรดเกล้าฯสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชองค์ใหม่แล้ว

ปัญหาความแตกแยกในช่วง 10 ปีที่ผ่านมามีต้นตอสำคัญจากโจรธุรกิจการเมืองทุนสามานย์ในคราบประชาธิปไตยจอมปลอมเพียงหยิบมือเดียวที่ใช้ทุนและประโยชน์ทุกรูปแบบซื้อ สส. ซื้อเสียงเอาชนะการเลือกตั้งไม่ต่างจากการซื้อประชาธิปไตย ซื้อประเทศเพื่อให้ได้อำนาจรัฐเป็นรัฐบาล จากนั้นถอนทุนบวกกำไรโกงชาติปล้นแผ่นดินมหาศาล และใช้อำนาจทำสิ่งชั่วร้ายอย่างย่ามใจ โดยพยายามแทรกแซงองค์กรอิสระผูกขาดอำนาจยึดครองประเทศในระยะยาว แม้กระทั่งปล่อยให้มีขบวนการบ่อนทำลายสถาบันเบื้องสูงคิดเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองประเทศ

การที่จะให้กลุ่มโจรธุรกิจการเมืองแค่หยิบมือเดียวสำนึกกลับใจเข้าร่วมการสร้างความปรองดองคงเหมือนเข็นครกขึ้นภูเขา เพราะธาตุแท้ของโจรการเมืองยังไงก็ไม่มีทางเลิกสันดานคิดที่จะทำชั่วแบบไม่มีอะไรที่จะเสียอีกแล้ว เพราะฉะนั้นการสร้างความปรองดองที่แท้จริงต้องขจัดต้นตอแห่งความแตกแยกนั่นคือสกัดกั้นไม่ให้เหล่าโจรธุรกิจการเมืองในคราบประชาธิปไตยจอมปลอมเข้ามามีอำนาจยึดครองประเทศตลอดไป เพราะชาติไม่มีเวลาอีกแล้วที่จะกลับไปสู่วังวนของวงจรอุบาทว์อันเลวร้ายและปล่อยให้คนแค่หยิบมือมาเป็นตัวฉุดรั้งการเดินหน้าปฏิรูปประเทศให้เป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง

ทีมข่าวการเมือง

เพื่อแม้วทำได้แค่ตีรวนกวนโอ๊ย หาเรื่องดิสเครดิตรัฐบาลคสช.รายวัน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/255973

วันศุกร์ ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560, 02.00 น.

ขณะที่ชาติบ้านเมืองเริ่มปรากฏแสงรุ่งอรุณแห่งความสงบสุขร่มเย็นเมื่อมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าสถาปนาสมเด็จพระมหามุนีวงศ์ แห่งวัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร ซึ่งเป็นพระเถระสายวิปัสสนากรรมฐานที่มีจริยวัตรอันงดงามสมถะสันโดษขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 20 ของไทย และขณะที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และรัฐบาลเพียรพยายามที่จะเดินหน้าสร้างความปรองดองในชาติให้สำเร็จเสียที หลังจากที่ความแตกแยกในชาติสร้างความบอบช้ำให้ประเทศมานานกว่า 10 ปี แต่ขบวนการเพื่อแม้วหน้าฉากสร้างภาพ พร้อมร่วมการสร้างความปรองดอง แต่หลังฉากกลับเดินเกมเคลื่อนไหวบ่อนทำลายอำนาจรัฐ ขณะเดียวกันก็ส่อเจตนาแอบแฝงตั้งแง่ต่อรองมุ่งนิรโทษกรรมความผิดให้กับนายทักษิณ ชินวัตรอดีตนายกฯนักโทษหนีคุก และพวก อันเป็นการทำลายบรรยากาศการสร้างความปรองดองอย่างสิ้นเชิง

ข้อน่าสังเกตก็คือยิ่งนับถอยหลังใกล้วันที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จะชี้ชะตา น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯหุ่นเชิด และพวก ซึ่งเป็นจำเลยสำคัญคดีโครงการรับจำนำข้าวที่สร้างความเสียหายแก่ประเทศครั้งเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์เข้าไปเท่าไหร่ เหล่าแกนนำและสาวกขบวนการเพื่อแม้วดูเหมือนจะออกมาพล่านเคลื่อนไหวตีรวนป่วนประเทศบ่อนทำลายอำนาจรัฐดุเดือดเข้มข้นมากขี้นเรื่อยๆ

ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ประเด็นที่เหล่าแกนนำและสาวก ตลอดจนสื่อผีโม่แป้งหน้าเดิมบางสำนักที่เป็นกระบอกเสียงให้กระบวนการเพื่อแม้วมาตลอดพยายามจุดประเด็นก็คือ เรื่องรัฐบาลถังแตกจากสภาพเงินคงคลังที่เหลืออยู่แค่ 74,907 ล้านบาท โดยพากันดาหน้าออกมาสร้างข่าวบิดเบือนแบบจับแพะชนแกะหวังบดขยี้รัฐบาลหวังให้เกิดวิกฤติศรัทธาในหมู่ประชาชน

แต่รัฐบาลก็แก้เกมในทันทีด้วยการให้ ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯฝ่ายเศรษฐกิจ และ นายอภิศักดิ์ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง ออกมาชี้แจงทันควัน โดยชี้ว่า เงินคงคลังไม่ได้เป็นปัจจัยชี้วัดสถานะการคลังของประเทศ ซึ่งเป็นคนละเรื่องกับเงินทุนสำรองระหว่างประเทศอย่างสิ้นเชิง

นายอภิศักดิ์ ชี้ให้เห็นว่า เงินคงคลังหมายถึงเงินสดคงคลังซึ่งขึ้นลงตามสถานการณ์และความเหมาะสม ซึ่งเงินคงคลังที่เหลืออยู่ไม่มากไม่ใช่เรื่องผิดปกติ เพราะรัฐบาลในอดีตเหลือเงินสดคงคลังน้อยกว่าขณะนี้ด้วยซ้ำ และเมื่อรัฐบาลมีรายได้เข้ามาก็จะทำให้เงินคงคลังเพิ่มสูงขึ้น ทั้งนี้การที่รัฐบาลไม่ต้องการให้เหลือเงินสดคงคลังอยู่มากเกินความจำเป็นเพราะเงินคงคลังส่วนหนึ่งมาจากการกู้ ซึ่งต้องเสียดอกเบี้ย การนำเงินกู้มาเก็บสำรองไว้เป็นเงินคงคลังมากเกินไปจึงเป็นภาระที่ต้องจ่ายดอกเบี้ย ดังนั้นรัฐบาลจึงพยายามลดเงินคงคลังที่มาจากเงินกู้อันเป็นการลดภาระดอกเบี้ยทำให้ตัวเลขเงินคงคลังดูเหลือน้อย

แต่คำชี้แจงของรัฐบาลอาจไม่มีน้ำหนักเท่ากับคนนอกรัฐบาลและเป็นอดีตขุนคลังคือ นายกรณ์จาติกวณิช อดีตรมว.คลัง แห่งพรรคประชาธิปัตย์ ที่เคยได้รับการคัดเลือกยกย่องจากเวทีนานาชาติว่าเป็นขุนคลังยอดเยี่ยมของโลกซึ่ง นายกรณ์ ให้ความเห็นว่า เงินคงคลังคือปริมาณเงินสดที่รัฐถืออยู่ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง มันไม่ได้สะท้อนถึงความมั่งคั่งของประเทศแต่อย่างใด เพราะเงินคงคลังไม่ได้หมายถึงรายได้หรือกำไรที่เป็นส่วนเกินของประเทศ เงินที่กู้ยืมมาก็ถือเป็นเงินคงคลังเช่นกัน สมมุติว่าอยากให้มีเงินคงคลังเยอะก็ไปกู้มาเยอะได้ ถามว่านั่นคือสิ่งที่ดีไหมก็ไม่ใช่

อดีตขุนคลังยังย้ำว่า เงินคงคลังในขณะนี้ที่เหลืออยู่ 70,000 กว่าล้านบาท ถือเป็นเรื่องปกติไม่ได้ชี้ว่ารัฐบาลถังแตกแต่อย่างใด และเชื่อว่าในอนาคตตัวเลขเงินคงคลังจะเพิ่มสูงขึ้นเองเมื่อรัฐมีรายได้เข้ามา และในอดีตเงินคงคลังเคยเหลือน้อยกว่าในปัจจุบันด้วยซ้ำซึ่งไม่ใช่เรื่องผิดปกติ

ถ้าจะว่าไปแล้วในยุครัฐบาลระบอบแม้วก็เคยเหลือเงินคงคลังแค่ 30,000 กว่าล้านบาท ด้วยซ้ำและที่สำคัญเคยพยายามที่จะปล้นเงินแผ่นดินด้วยการวางแผนลอบนำเงินทุนสำรองระหว่างประเทศออกมาผลาญ แต่แผนการไม่ประสบความสำเร็จเนื่องจากขบวนการประชาชนรู้ทันออกมาต่อต้านเสียก่อน

หากพูดถึง เงินทุนสำรองระหว่างประเทศซึ่งเป็นตัวชี้วัดความมั่งคั่งที่แท้จริงของไทยในปัจจุบันเป็นที่ยอมรับและเชื่อมั่นจากนานาประเทศว่ามีความมั่นคงสูงมากเป็นอันดับที่ 13 ของโลก โดยมีเงินทุนสำรองอยู่ถึง 175,073ล้านเหรียญสหรัฐ

เพราะฉะนั้นการดาหน้าออกมาถล่มเรื่องรัฐบาลถังแตกจากเงินคงคลังเหลือน้อยของขบวนการเพื่อแม้วจึงเป็นเกมบิดเบือนจับแพะชนแกะหวังดิสเครดิตอำนาจรัฐ

ขณะเดียวกันการออกมาเคลื่อนไหวของขบวนการเพื่อแม้วแบบถล่มรัฐบาลรายวันด้านหนึ่งสะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มการสร้างควมปรองดองกับขบวนการเพื่อแม้วคงเกิดขึ้นได้ยากเพราะยังมีการเคลื่อนไหวทั้งบนดินและใต้ดินเพื่อบ่อนทำลายคสช.และรัฐบาลอยู่ตลอดเวลา

และที่สำคัญที่ทำให้เครือข่ายขบวนการเพื่อแม้วเดินไปสู่หนทางเสื่อมนั่นก็คือเครือข่ายขบวนการเพื่อแม้วทั้งในและนอกประเทศยังคงพยายามเคลื่อนไหวบ่อนทำลายสถาบันเบื้องสูงโดยมีชาติมหาอำนาจบางประเทศและองค์กรระหว่างประเทศคอยให้ท้ายสนับสนุน

อย่างไรก็ตาม ภายใต้อำนาจของคสช.และความเอือมระอาของประชาชนที่มีต่อรัฐบาลลากตั้งทำให้ความพยายามดิ้นรนเคลื่อนไหวของขบวนการเพื่อแม้วไร้อนาคตและสู้แบบจนตรอก โดยสิ่งที่ขบวนการเพื่อแม้วเคลื่อนไหวอยู่ในขณะนี้คงทำได้แค่ออกมาสร้างข่าวตีรวนกวนโอ๊ยรายวัน โดยที่ประชาชนรู้ทัน ขณะเดียวกันหมดยุคแล้วสำหรับการใช้แผนก่อการร้ายเผาบ้านทำลายเมือง หวังจุดชนวนสงครามกลางเมืองเพื่อช่วงชิงอำนาจรัฐเหมือนในอดีต

ทีมข่าวการเมือง

ยูเอ็นบังอาจหาเรื่องแทรกแซงไทย ให้ท้ายขบวนการหมิ่นเบื้องสูง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/255827

วันพฤหัสบดี ที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560, 06.00 น.

นับเป็นความบังอาจเหิมเกริมอย่างยิ่งอีกครั้งเมื่อนายเดวิด เคย์ ผู้เชี่ยวชาญพิเศษของสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นเอชซีอาร์) ได้ทำหนังสือเรียกร้องให้ทางการไทยหยุดใช้กฎหมายอาญามาตรา 112 ว่าด้วยโทษฐานหมิ่นสถาบันเบื้องสูงเป็นเครื่องมือทางการเมืองในการปิดกั้นเสียงวิพากษ์วิจารณ์

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ขบวนการบ่อนทำลายสถาบันเบื้องสูงและขบวนการล็อบบี้ยิสต์ผีโม่แป้งเคลื่อนไหวผ่านองค์การสหประชาชาติและนานาประเทศหวังกดดันให้ไทยยุติการใช้มาตรา 112 ดำเนินคดีกับขบวนการบ่อนทำลายสถาบันเบื้องสูง แต่ยังพยายามเคลื่อนไหวมาอย่างต่อเนื่องโดยมีขบวนการหน้าเดิมๆ ในไทยเป็นตัวการชงเรื่องร้องเรียน

ยูเอ็นเอชซีอาร์อ้างเหตุผลที่เหิมเกริมและกวนโอ๊ยเป็นอย่างยิ่ง โดยต้องการคำตอบจากทางการไทยก็คือ คดีตามมาตรา 112 สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชนสากลตรงไหน เหตุใดจึงมีการไต่สวนผู้ต้องหาทางลับสอดคล้องกับหลักสิทธิในการรับการไต่สวนอย่างเป็นธรรมอย่างไร ขอคำตอบในการใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชนุภาพในการรักษาความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร กฎหมายข้อนี้เกี่ยวข้องอย่างไรกับการรักษาความอยู่รอดของประเทศหรือการปกป้องดินแดนจากการใช้กำลัง และอยากทราบว่าทางการไทยจะยกเลิกหรือแก้ไขมาตรา 112 และกฎหมายเกี่ยวกับการเผยแพร่การแสดงความคิดเห็นทางคอมพิวเตอร์หรือไม่อย่างไรเพื่อให้สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชนนานาชาติ

ท่าทีของยูเอ็นเอชซีอาร์ดังกล่าวถือเป็นความบังอาจเหยียบย่ำหัวใจคนไทยทั้งประเทศและเป็นท่าทีที่เลอะเทอะเหลวไหลเพ้อเจ้อแสดงความหยาบกร้านไม่เข้าใจมารยาททางการทูตและหลักแห่งอธิปไตยของทุกประเทศ แต่เที่ยวแทรกแซงกิจการภายในประเทศอื่นแบบหลับหูหลับตาโดยไม่ศึกษากฎหมาย วัฒนธรรมของไทยที่ประชาชนกับสถาบันพระมหากษัตริย์มีความผูกพันกันอย่างลึกซึ้งมาแต่โบราณกาลเกือบ 800 ปีนานยิ่งกว่าที่องค์การสหประชาชาติจะถือกำเนิดบนโลกใบนี้ยาวนานนัก

และที่สำคัญรัฐธรรมนูญของไทยทุกฉบับได้บทบัญญัติไว้อย่างชัดเจนว่า ไทยปกครองโดยระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นสถาบันอันเป็นที่เคารพเทิดทูนจะล่วงละเมิดมิได้ อีกทั้งพระมหากษัตริย์ยังทรงเป็นจอมทัพไทย

ด้วยเหตุนี้ นายดอน ปรมัตถ์วินัย รมว.ต่างประเทศ ได้ออกแถลงการณ์ชี้แจงเพื่อสอนมวยดัดสันดานยูเอ็นเอชซีอาร์ดังนี้

1. สถาบันพระมหากษัตริย์ไทยเป็นสถาบันหลักของชาติที่สร้างความมั่นคงเป็นปึกแผ่นประชาชนชาวไทยเคารพเทิดทูนและผูกพันกับสถาบันพระมหากษัตริย์มาอย่างยาวนานกว่า 700 ปีถึงปัจจุบัน ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์คงมีบทบาทสำคัญยิ่งในการเป็นศูนย์รวมที่หล่อหลอมความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของชนในชาติ การที่ไทยหรือชาติใดๆ จะตรากฎหมายที่เหมาะสมเพื่อการปกป้องคุ้มครองสถาบันที่มีคุณุปการยิ่งต่อชาติบ้านเมืองจึงเป็นเรื่องปกติสามัญที่ชนในชาติพึงเคารพยึดปฏบัติ

2.กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพหรือมาตรา 112 เป็นส่วนหนึ่งของประมวลกฎหมายอาญาที่มีวัตถุประสงค์เพื่อคุ้มครองพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาทและผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์จากการกระทำฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น อาฆาตมาดร้ายในลักษณะเดียวกับกฎหมายหมิ่นประมาทที่ให้ความคุ้มครองบุคคลทั่วไปเพื่อรักษาไว้ ซึ่งความมั่นคงและความสงบเรียบร้อยภายในประเทศ มิได้มีวัตถุประสงค์เพื่อการลิดรอนเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นแต่อย่างใด นอกจากนั้นไทยยังมีความเป็นสากลในการให้ความคุ้มครองลักษณะคล้ายคลึงกันต่อพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาทของชาติอื่น รวมถึงผู้แทนของรัฐต่างประเทศประจำประเทศไทย ดังปรากฏตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 113 และมาตรา 134 ทั้งนี้การดำเนินคดีตามมาตรา 112 มิได้มีแรงจูงใจทางการเมืองแต่อย่างใด

3. ประเทศไทยเคารพและให้ความสำคัญกับเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น อย่างไรก็ดีการใช้สิทธิดังกล่าวต้องไม่ขัดต่อกฎหมายไม่กระทบความสงบเรียบร้อยและสันติสุขในสังคม และต้องไม่ละเมิดสิทธิหรือชื่อเสียงของผู้อื่นตามที่ได้บัญญัติไว้ในมาตรา 19(3) ของกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ดังนั้นการบังคับใช้มาตรา 112 จึงไม่ได้ขัดแย้งกับกฎหมายระหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิมนุษยชนแต่อย่างใด

4.การดำเนินคดีในความผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพมีกระบวนการพิจารณาคดีอันควรแห่งกฎหมาย(Due legal process) เหมือนกับคดีอาญาโดยทั่วไป ผู้ที่ถูกพิพากษาให้มีความผิดตามกฎหมายดังกล่าวมีสิทธิเฉกเช่นเดียวกับความผิดอื่นๆ รวมถึงสิทธิในการอุทธรณ์และขอพระราชทานอภัยโทษ

5.สำหรับกรณีของ นายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือ “ไผ่ ดาวดิน” ซึ่งถูกดำเนินคดีตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และพ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์นั้น คดีดังกล่าวยังอยู่ในชั้นการพิจารณาของศาล ซึ่งเป็นกระบวนการอิสระที่รัฐบาลไม่อาจแทรกแซงได้ ทั้งนี้ นายจตุภัทร์ เคยได้รับการประกันตัวเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2559 แต่ต่อมาถูกถอนประกันเนื่องจาก นายจตุภัทร์ ได้กระทำผิดซ้ำ ซึ่งขัดต่อเงื่อนไขการประกันตัว

นายดอน ตั้งข้อสังเกตถึงท่าทีของยูเอ็นเอชซีอาร์ที่กดดันไทยกรณีมาตรา 112 ว่า ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่มีความพยายามาตลอด แต่ลองคิดดูว่าคนไทย 67 ล้านคนไม่มีใครบ่นเรื่องมาตรา 112 มีแต่คนไม่กี่คนที่เดือดร้อนแสดงว่าเป็นขบวนการที่มีวาระซ่อนเร้น

สำหรับพฤติการณ์ของยูเอ็นเอชซีอาร์ส่อเจตนาหาเรื่องไทยโดยมีเบื้องหลังที่ไม่ชอบมาพากลแอบแฝง ดังนั้นขอให้หยุดแทรกแซงกิจการภายในและให้ท้ายขบวนการบ่อนทำลายสถาบันเบื้องสูงของไทย มิฉะนั้นเท่ากับทำตัวเป็นศัตรูกับคนไทยทั้งประเทศและคงไม่มีประโยชน์ที่จะมียูเอ็นเอชซีอาร์ในไทยอีกต่อไป

ทีมข่าวการเมือง