ปรองดองเอ็มโอยู พิธีกรรมจับปูใส่กระด้ง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/254361

วันอาทิตย์ ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2560, 02.00 น.

รัฐบาลคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ทุ่มสุดตัวเดินหน้าแผนสร้างความปรองดองตั้งเป้าเป็นวาระแห่งชาติที่ต้องทำให้สำเร็จก่อนการเลือกตั้ง พร้อมกับแนวคิดที่จะให้ตัวแทนคู่ขัดแย้งและบรรดาพรรคการเมืองร่วมลงนามในเอ็มโอยูหรือสัตยาบันที่จะร่วมมือในกระบวนการสร้างความปรองดอง ซึ่งก่อนหน้านี้บรรดาแกนนำพรรคการเมืองโดยเฉพาะสองพรรคใหญ่คือเพื่อไทยและประชาธิปัตย์ต่างตอบรับสนับสนุนเต็มที่ รวมทั้งนายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานกลุ่มคนเสื้อแดงถึงขนาดประกาศพร้อมเซ็นในเอ็มโอยูอย่างไม่มีเงื่อนไข แต่ไปๆ มาๆ ขบวนการระบอบทักษิณเริ่มออกลายเผยไต๋ให้เห็นดราม่าที่มีวาระซ่อนเร้นชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ

ขบวนการระบอบทักษิณพยายามสร้างภาพดราม่าว่าพร้อมสนับสนุนความปรองดอง โดยฉวยโอกาสรุมโจมตีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตแกนนำมวลมหาประชาชน
กปปส. ที่แสดงจุดยืนไม่ร่วมเซ็นเอ็มโอยูเพราะมองว่าเป็นเพียงพิธีกรรม แต่การปรองดองจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อทุกคนเคารพกฎหมาย อีกทั้งต้องไม่มีการนิรโทษกรรมให้กับคนที่ทุจริต ผู้ต้องหาหมิ่นเบื้องสูง หรือทำผิดคดีอาญาร้ายแรงโดยเฉพาะพวกที่ก่อการร้ายเผาบ้านทำลายเมืองเมื่อปี 2553 โดยขบวนการระบอบทักษิณโจมตี นายสุเทพ ว่าเป็นตัวขัดขวางการสร้างความปรองดอง ถึงขนาดยุให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคสช. ใช้อำนาจตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราวบังคับให้คู่ขัดแย้งทุกกลุ่มร่วมลงสัตยาบันในเอ็มโอยูเพื่อความปรองดอง

แต่หลังฉากก็คือเกมสร้างภาพความชอบธรรมว่าขบวนการเพื่อแม้วสนับสนุนการสร้างความปรองดอง แต่ขณะเดียวกันแกนนำระบอบทักษิณหลายคนกลับออกมาแสดงท่าทีส่อเจตนาตั้งแง่ต่อรองโดยมีเป้าหมายแอบแฝงซึ่งเหมือนระเบิดเวลาที่พร้อมจะป่วนการสร้างความปรองดอง หากเงื่อนไขของขบวนการระบอบทักษิณไม่ได้รับการตอบสนองจากคสช.

ขณะที่แกนนำขบวนการระบอบทักษิณหลายคนออกมาถล่ม นายสุเทพ ที่จะไม่ร่วมลงนามในเอ็มโอยู แต่แกนนำหลายคน อาทิ นายภูมิธรรม เวชยชัย เลขาธิการพรรคเพื่อแม้ว หรือ นายนพดล ปัทมะ อดีต รมว.ต่างประเทศ หรือแม้แต่ผู้บริหารพรรคประชาธิปัตย์ไม่ว่าจะเป็น นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค อดีตนายกฯ หรือ นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรค ต่างก็เห็นสอดคล้องกับ นายสุเทพ ที่ว่าการเซ็นในเอ็มโอยูเป็นเพียงพิธีการไม่ใช่ปัจจัยสำคัญที่จะนำไปสู่การปรองดองอย่างแท้จริง

นอกจากนี้ ขณะที่เหล่าแกนนำพรรคเพื่อไทยสร้างภาพหนุนการปรองดอง แต่แกนนำ อาทิ นายภูมิธรรม หรือ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หรือ นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล อดีตรองนายกฯ และ รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กลับส่อเจตนาบ่อนทำลายความน่าเชื่อถือของ คสช. โดยชี้ว่า คสช.เป็นคู่ขัดแย้งของความแตกแยกในชาติจึงไม่ควรทำหน้าที่คนกลางสร้างความปรองดองโดยควรให้มีคณะกรรมการที่เป็นกลางเข้ามาทำหน้าที่

สำหรับ นายสุรพงษ์ จากที่ก่อนหน้านี้ที่เคยยกย่องรัฐบาลคสช.และสนับสนุนการสร้างความปรองดอง แต่ช่วงหลังเริ่มเปลี่ยนท่าทีด้วยการตั้งคำถามเหน็บแนม พล.อ.ประยุทธ์ ว่ามีความจริงใจที่จะปรองดองอย่างที่พูดหรือไม่ พร้อมย้ำว่า หากรัฐบาลคสช.อยากให้การปรองดองสำเร็จต้องให้อภัยและไม่ฟื้นฝอยหาตะเข็บ

ท่าทีคำพูดของ นายสุรพงษ์ ส่อต้องการส่งสัญญาณว่า หากจะปรองดองต้องมีการนิรโทษกรรมความผิดให้กับ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯนักโทษหนีคุกคดีทุจริตตามคำพิพากษาของศาลรวมทั้งเหล่าแกนนำคนเสื้อแดงที่เป็นผู้ต้องหาก่อการร้ายเผาบ้านทำลายเมือง และอาจรวมถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯหุ่นเชิด และพวกที่เป็นจำเลยคนสำคัญคดีโครงการรับจำนำข้าวที่มีการทุจริตมโหฬารและสร้างความเสียหายแก่ประเทศครั้งเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ อีกทั้งต้องไม่ฟื้นฝอยหาตะเข็บรื้อฟื้นคดีทุจริตต่างๆ ยุครัฐบาลระบอบทักษิณขึ้นมาตรวจสอบเพิ่มเติมโดยเฉพาะล่าสุดหลังจากเกิดข่าวอื้อฉาวสินบนโรลส์-รอยซ์

ท่าทีแบไต๋ของ นายสุรพงษ์ สอดคล้องกับการให้สัมภาษณ์ของ นพ.เชิดชัย ตันติศิรินทร์ อดีตสส.พรรคเพื่อไทย ที่ย้ำว่า หากจะสร้างความปรองดองต้องลบล้างโทษความผิดให้ทุกคนและทุกคดีอย่างไม่มีเงื่อนไข

นอกจากนี้ขณะที่เหล่าคนของระบอบทักษิณสร้างภาพสนับสนุนความปรองดอง ในอีกด้านหนึ่งคนของขบวนการระบอบทักษิณกลับออกมาเคลื่อนไหวตีรวนป่วนการปรองดอง อาทิ นายวรชัย เหมะ อดีตสส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย เหน็บแนมเรียกร้องให้คสช.และกองทัพร่วมลงนามในเอ็มโอยูว่าทหารจะไม่ปฏิวัติรัฐประหารอีก หรือกรณี นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ส่อชักศึกเข้าบ้านป่วนการปรองดองโดยเรียกร้องให้องค์การสหประชาชาติเข้ามาแทรกแซงกิจการภายในของไทยโดยอ้างว่าเพื่อเป็นตัวกลางวางแนวทางสร้างความปรองดอง

ดังนั้นแค่เริ่มต้นขบวนการสร้างความปรองดองด้วยการเซ็นเอ็มโอยู ท่ามกลางจุดยืนท่าทีของแกนนำคู่กรณีหลากหลายกลุ่มที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง จึงเหมือนพิธีกรรมจับปูใส่กระด้ง และที่สำคัญจากท่าทีของ ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รมต.ประจำสำนักนายกฯ ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินตามกรอบการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติและการสร้างความสามัคคีปรองดอง(ป.ย.ป.)ส่งสัญญาณย้ำชัดว่า การสร้างความปรองดองจะไม่มีการพูดเรื่องการทำผิดกฎหมายและการนิรโทษกรรม ซึ่งทำให้แนวโน้มการสร้างความปรองดองยากจะเป็นจริงเพราะไม่ตอบสนองความต้องการของนายใหญ่ระบอบทักษิณที่อยากกลับบ้านแบบเท่ๆ โดยไม่ต้องติดคุกคดีทุจริตตามคำพิพากษาของศาลอันเป็นการทำลายหลักนิติรัฐ

ทีมข่าวการเมือง

กรณีสินบนฉาวโรลส์รอยซ์สะท้อน การทำงานแบบมั่วซั่วของหน่วยงานไทย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/254265

วันเสาร์ ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2560, 02.00 น.

หลังจากที่เกิดข่าวอื้อฉาวกระฉ่อนโลกกรณีผู้บริหารบริษัทโรลส์-รอยซ์รับสารภาพต่อหน่วยปราบปรามการทุจริตของอังกฤษหรือเอสเอฟโอรวมทั้งกระทรวงยุติธรรมสหรัฐว่าได้จ่ายสินบนให้กับนักการเมืองผู้มีอำนาจ นายหน้าและเจ้าหน้าที่ระดับสูงแก่บริษัทการบินไทยจำกัดและบริษัทปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (ปตท.สผ.) กระทรวงพลังงานในอดีตเพื่อแลกกับการทำสัญญาจัดซื้ออะไหล่เครื่องยนต์ของบริษัทโรลส์-รอยซ์ต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปีมูลค่ามหาศาล ทำให้หลายหน่วยราชการไทยทั้งๆ ที่เกี่ยวข้องและไม่เกี่ยวข้องโดยตรงต่างพากันเฮโลประสานไปยังเอสเอฟโอและกระทรวงยุติธรรมสหรัฐกันยกใหญ่แบบล้อมคอกกระต่ายตื่นตูม ซึ่งผลที่ตามมาก็คืออาจทำให้สองหน่วยงานของอังกฤษและสหรัฐฯอาจจะไม่ยอมเปิดเผยข้อมูลเชิงลึกสินบนฉาวให้กับทางการไทยเพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อนทางกฎหมาย

ปัญหาความมั่วซั่วเฮโลขอข้อมูลจากสองหน่วยงานของอังกฤษและสหรัฐสะท้อนจากคำให้สัมภาษณ์ของ นายสรรเสริญ พลเจียก เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ที่ว่า “ต้องระมัดระวังเรื่องการเปิดเผยข้อมูลกรณีสินบนโรลส์-รอยซ์ที่อาจกระทบถึงความร่วมมือของเอสเอฟโอและกระทรวงยุติธรรมของสหรัฐ เนื่องจากขณะนี้มีหลายหน่วยงานได้ประสานขอข้อมูลโดยตรงไปยังสองหน่วยงานมากเกินไปทำให้ทั้งสองหน่วยงานของต่างประเทศสับสนว่า หน่วงานใดของไทยจะเป็นผู้มีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงในเรื่องดังกล่าวและอาจเป็นปัญหาในการขอข้อมูล”

นายสรรเสริญ ยังกล่าวเสริมว่าเดิม ป.ป.ช.สามารถประสานขอข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ระดับล่างของสองหน่วยงานของอังกฤษและกระทรวงยุติธรรมสหรัฐได้โดยตรง แต่เมื่อหลายหน่วยงานของไทยเข้ามาเกี่ยวข้องทำให้หน่วยงานต่างประเทศไม่กล้าเปิดเผยข้อมูลให้และอ้างว่าต้องขออนุญาตจากผู้บังคับบัญชาของเขาก่อนทำให้ขั้นตอนการได้ข้อมูลเพิ่มและยากขึ้นดังนั้นหลังจากนี้อยากให้ทุกหน่วยงานต้องระวังในการให้ข่าว ไม่ให้กระทบต่อความร่วมมือระหว่างประเทศ”

จากการเปิดเผยของเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช.ระบุว่า จากข้อมูลเบื้องต้นที่ได้รับจากเอสเอฟโอยังไม่ได้ระบุชื่อโดยตรงว่าใครรับสินบน ระบุแค่ว่าเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ แต่เชื่อว่าเอสเอฟโอมีข้อมูลเชิงลึกว่าใครเป็นคนรับสินบนบ้างซึ่งเป็นเรื่องที่ ป.ป.ช.ต้องพยายามประสานเพื่อขอข้อมูลต่อไปและได้แต่ภาวนาว่าเขาจะไว้ใจกล้าเปิดเผยข้อมูลอย่างตรงไปตรงมาให้เรา แต่หากเอสเอฟโอไม่ยอมเปิดเผยก็เป็นหน้าที่ของป.ป.ช.ที่จะต้องไปไล่หาหลักฐานเอง

อีกปัญหาหนึ่งที่อาจเป็นอุปสรรคทำให้หน่วยงานของสองประเทศไม่ยอมคายข้อมูลลับสินบนฉาวโรลส์-รอยซ์ให้หน่วยงานของไทยก็คือ กฎหมายไทยที่กำหนดโทษประหารชีวิตในคดีรับสินบน ซึ่งไม่เป็นที่ยอมรับในต่างประเทศโดยมองว่าป่าเถื่อน ซึ่งอาจมีปัญหาต่อการให้ข้อมูล ซึ่งป.ป.ช.พยายามชี้แจงว่า แม้ไทยจะมีโทษประหารชีวิตในคดีสินบน แต่ในทางปฏิบัติไม่เคยมีการประหารชีวิตจริง

จากอาการเซ็งและวิตกของ นายสรรเสริญ ข้างต้นสะท้อนให้เห็นถึงความไร้เอกภาพและไร้ระบบในการทำงานของรัฐบาลที่พอเกิดปัญหาทีหน่วยงานต่างพากันตื่นตูมเฮโลออกมาล้อมคอกมั่วซั่วไปหมดโดยไม่มีการมอบหมายให้หน่วยงานใดเป็นเจ้าภาพหลักที่มีหน้าที่รัฐผิดชอบ จนเกิดปัญหาอย่างกรณีสินบนฉาวโรลส์-รอยซ์ ซึ่งอาจส่งเสียหายต่อการสาวไปให้ถึงตัวการใหญ่ขบวนการไอ้โม่งที่งาบสินบนโกงชาติปล้นแผ่นดิน

ก่อนหน้านี้มีหลายหน่วยงานที่ประสานไปยังเอสเอฟโอและกระทรวงยุติธรรมของสหรัฐ อาทิ กระทรวงการต่างประเทศ สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินบริษัท การบินไทย จำกัด บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (ปตท.สผ.)

ทั้งนี้ทั้งนั้นหากรัฐบาลมอบหมายให้ป.ป.ช.เป็นหน่วยงานหลักในการประสานงานข้อมูลจากเอสเอฟโอและกระทรวงยุติธรรมสหรัฐตั้งแต่แรกก็คงไม่เกิดปัญหาเฮโลมั่วซั่วอย่างที่เป็นอยู่

ล่าสุดหลังจากที่คณะทำงานของป.ป.ช.ได้ประชุมกับคณะเจ้าหน้าที่ของเอสเอฟโอผ่านระบบวีดีโอคอนเฟอเรนซ์ นายสรรเสริญ เปิดเผยว่าอังกฤษยินดีร่วมมือกับป.ป.ช.ในการเปิดเผยข้อมูลสินบนโรลส์-รอยซ์ฉาว แต่ขอให้ป.ป.ช.ทำหนังสือยืนยันกลับไปอย่างเป็นทางการว่า ป.ป.ช.เป็นหน่วยงานหลักที่มีหน้าที่รับผิดชอบในการตรวจสอบคดีดังกล่าว พร้อมขอให้ป.ป.ช.ระบุประเด็นเป็นข้อๆ ให้ชัดเจนว่าต้องการข้อมูลอะไรซึ่งอังกฤษยินดีให้ความร่วมมืออย่างไรก็ตาม เอสเอฟโอขอความร่วมมือมายังทางการไทยให้ระมัดระวังการให้ข่าวเพราะคดียังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอังกฤษ ซึ่งอาจมีผลต่อรูปคดีและข้อกฎหมายของทั้งสองประเทศ

แม้จะมีสัญญาณที่ดีจากท่าทีล่าสุดของเอสเอฟโอ แต่ก็มีเงื่อนไขว่าทางการไทยต้องยืนยันว่า ป.ป.ช.เป็นหน่วยงานหลักที่ตรวจสอบกรณีสินบนฉาว และที่สำคัญเอสเอฟโอไม่ยอมให้ข้อมูลแบบทั้งดุ้น แต่ให้ถามเป็นรายประเด็นเป็นข้อๆ ว่าต้องการข้อมูลอะไรบ้างอีกทั้งเอสเอฟโอก็ไม่ได้ให้หลักประกันว่าจะให้ความร่วมมือในระดับไหน เพราะข้อมูลเชิงลึกบางประเด็นเอสเอฟโออาจไม่ตอบก็ได้อ้างว่าเป็นเรื่องละเอียดอ่อนทางกฎหมาย

เพราะฉะนั้นจากปัญหาที่เกิดขึ้นจึงถือเป็นบทเรียนการทำงานแบบไร้เอกภาพไร้ระบบมั่วซั่วแบบไทยๆ

ทีมข่าวการเมือง

องค์กรไม่โปร่งใสสากลทะแม่ง ดิสเครดิตคอร์รัปชั่นยุคคสช.?

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/254128

วันศุกร์ ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2560, 02.00 น.

ผลการจัดอันดับความโปร่งใสหรือสถานการณ์คอร์รัปชั่นไทยล่าสุดโดยองค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ (Transparency International-TI)ล่าสุด มีการลดอันดับความโปร่งใสของไทยจากคะแนน 38 คะแนน เมื่อปีที่แล้วเหลือ 35 และจากอันดับ 76 จาก 176 ประเทศทั่วโลกลดฮวบเป็นอันดับ 101 กำลังถูกตั้งข้อสังเกตเพราะค้านกับผลงานและนโยบายการกวาดล้างการทุจริตอย่างจริงจังของรัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)

ผลการจัดอันดับขององค์กรเพื่อความโปร่งใสสากลช็อกและสร้างความประหลาดใจให้กับ พล.อ.ประยุทธ์ รวมทั้งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) เป็นอย่างมากเพราะก่อนหน้านี้ทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ และ ป.ป.ช. เคยแสดงความเชื่อมั่นและตั้งเป้าหมายว่า อันดับความโปร่งใสของไทยในปีนี้จะต้องดีขึ้นกว่าปีที่แล้วอย่างแน่นอนด้วยผลงานการเอาจริงกับการขจัดการทุจริตคอร์รัปชั่น

คำถามและข้อสงสัยของสาธารณชนจำนวนไม่น้อยมานานก็คือ TI ใช้เกณฑ์อะไรในการชี้วัดจัดอันดับความโปร่งใสของประเทศต่างๆทั่วโลก โดยมีข้อน่าสังเกตว่า ตั้งแต่มีการก่อตั้ง TI มาเมื่อปี 2536 ที่ประเทศเยอรมนีโดยองค์กรภาคประชาสังคมพบว่า อันดับความโปร่งใสของประเทศทั่วโลกในระดับต้นๆ มักจะผูกขาดอยู่เฉพาะในกลุ่มประเทศตะวันตกโดยเฉพาะยุโรปเกือบทั้งหมดมาตลอด ขณะที่ประเทศในทวีปอื่นทั้งเอเชีย แอฟริกา หรือแม้แต่ประเทศมหาอำนาจค่ายคอมมิวนิสต์อย่างรัสเซีย หรือจีน ซึ่งเป็นปฏิปักษ์กับกลุ่มมหาอำนาจค่านตะวันตกจะถูกจัดอันดับการคอร์รัปชั่นที่ย่ำแย่หรือไม่ดีนัก

ข้อน่าสังเกตก็คือ ผลการจัดอันดับความโปร่งใสของไทยในภาพรวมโดย TI ช่วง 20 กว่าปีที่ผ่านมาพบว่า รัฐบาล นายชวน หลีกภัย อดีตนายกรัฐมนตรี ทั้งครั้งแรกและครั้งที่สองซึ่งน่าจะได้ชื่อว่ามีความโปร่งใสมากกว่ารัฐบาลอื่นๆ กลับได้คะแนนความโปร่งใสน้อยกว่ารัฐบาล นายบรรหาร ศิลปอาชา, พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ, นายทักษิณ ชินวัตร หรือแม้แต่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โดยเฉพาะรัฐบาล นายทักษิณ และ รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้คะแนนความโปร่งใสสูงกว่าทุกรัฐบาลที่ผ่านมาซึ่งขัดแย้งกับข้อเท็จจริงและค้านสายตามหาชนอย่างสิ้นเชิง

เช่นเดียวกับผลการประเมินของ TI ที่ชี้ว่า รัฐบาลคสช.ภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่จริงจังในการปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่นหลังจากที่เข้ายึดอำนาจการปกครองประเทศตั้งแต่เมื่อวันที่ 22 พ.ค.2557 โดยมีคดีทุจริตสำคัญในอดีตโดยเฉพาะยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ถูกนำเข้าสู่การตรวจสอบเอาผิดตามกระบวนการยุติธรรมโดยเฉพาะโครงการรับจำนำข้าวที่มีการทุจริตโกงชาติปล้นแผ่นดินมโหฬารและสร้างความเสียหายแก่ประเทศครั้งเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ แต่คะแนนความโปร่งใสของรัฐบาล คสช.กลับน้อยกว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์ ทั้งๆที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ขณะนี้เป็นหนึ่งในจำเลยคนสำคัญคดีโครงการรับจำนำข้าว

นอกจากนี้ผลการจัดอันดับของ TI ยังขัดแย้งกับการแถลงดัชนีสถานการณ์คอร์รัปชั่นไทยครั้งล่าสุดโดยมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยเมื่อสัปดาห์ที่แล้วซึ่งชี้ว่า ดัชนีสถานการณ์คอร์รัปชั่นของประเทศดีที่สุดในรอบ 6 ปีนับตั้งแต่มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยทำการสำรวจมา

การสำรวจของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยนั้นทำโดยการสอบถามโดยตรงจากนักธุรกิจและบุคคลทั่วไปทั่วทุกภูมิภาคของประเทศจำนวน 2,400 ตัวอย่าง ขณะที่การจัดอันดับความโปร่งใสของ TI ใช้วิธีประเมินจากข้อมูลเอกสารตามแหล่งต่างๆซึ่งมีข้อกังขาว่ามีความน่าเชื่อถือมากน้อยแค่ไหนหรือมีการนั่งเทียนหรือไม่

ความน่ากังขาผลการจัดอันดับความโปร่งใสของไทยโดย TI ที่ทะแม่งค้านกับความเป็นจริงครั้งล่าสุดถูกตั้งข้อสังเกตจาก นายสรรเสริญ พลเจียก เลขาธิการ ป.ป.ช. ที่กล่าวว่า “ดูจากคะแนนและผลการจัดอันดับที่ออกมา ป.ป.ช.รู้สึกผิดหวัง เพราะเราคาดการณ์ว่าเราจะได้เกินกว่า 38 คะแนน แต่กลับตกมาที่ 35 คะแนนโดยต้องกลับไปดูอีกทีว่าเกิดอะไรขึ้นกับการประเมินครั้งนี้”

นายสรรเสริญ อธิบายเพิ่มเติมทำให้มองเห็นปัญหาบางอย่างจากการประเมินของ TI โดยชี้ว่า นับเป็นปีแรกที่ TI อยู่ๆก็เพิ่มเกณฑ์การประเมินโดยนำเรื่องความเป็นประชาธิปไตย การเลือกตั้ง เสรีภาพ การเปิดให้มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ความเห็นพ้องต้องกันของทุกฝ่ายเข้ามาใช้ในการประเมินด้วย

สอดคล้องกับรายงานของ TI ที่ให้เหตุผลในการจัดอันดับความโปร่งใสของรัฐบาลไทยยุคคสช.แย่ลงโดยอ้างว่า เพราะความวุ่นวายทางการเมือง นอกจากนี้การกดขี่ปราบปรามของรัฐบาล การขาดการตรวจสอบอย่างอิสระและการลดทอนสิทธิเสรีภาพได้ทำลายความเชื่อมั่นของประชาชนในประเทศนี้ แม้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของไทยจะเน้นด้านการแก้ปัญหาคอร์รัปชั่นอย่างมาก แต่ยังคงปกป้องอำนาจของกองทัพและขาดการตรวจสอบรัฐบาล ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคต่อการคืนสู่การปกครองโดยพลเรือนตามระบอบประชาธิปไตยในท้ายที่สุด อีกทั้งการอภิปรายเนื้อหาในร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่สามารถทำได้อย่างเสรี ฝ่ายค้านไม่สามารถรณรงค์หาเสียงได้ ประชาชนหลายสิบคนถูกจับกุม รัฐบาลทหารของไทยยังห้ามการสังเกตการณ์การลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญและปราศจากการควบคุมตรวจสอบโดยองค์กรอิสระและการอภิปรายอย่างเคร่งครัด

จากบทบาทและเหตุผลในการจัดอันดับความโปร่งใสของไทยโดย TI ข้างต้นส่อทะแม่งสร้างความกังขาและ TI น่าจะเปลี่ยนชื่อเป็น II (Intranparency International) หรือองค์กรความไม่โปร่งใสสากลมากกว่า เพราะดูเหมือนว่ามีเป้าหมายทางการเมืองแอบแฝงหวังบ่อนทำลายความน่าเชื่อถือของรัฐบาลคสช.และเข้าทางขบวนการเพื่อแม้ว

ทีมข่าวการเมือง

ไอ้โม่งงาบสินบนโรลส์-รอยซ์ ใกล้ถูกกระชากหน้ากากเข้าคุก

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/253975

วันพฤหัสบดี ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2560, 02.00 น.

การสอบสวนของหน่วยงานปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่นของอังกฤษ หรือเอสเอฟโอ และกระทรวงยุติธรรมของสหรัฐอเมริกาที่เปิดเผยคำรับสารภาพของผู้บริหารบริษัทโรลส์-รอยซ์ของอังกฤษ เกี่ยวกับกรณีอื้อฉาวการจ่ายสินบนให้นักการเมืองผู้มีอำนาจและผู้บริหารระดับสูงของบริษัทการบินไทย จำกัด(มหาชน) รวมทั้งบริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (ปตท.สผ.) กระทรวงพลังงานที่ละเอียดชัดเจนถึงขนาดระบุตัวบุคคล เวลาที่จ่ายสินบน และที่สำคัญพร้อมที่จะให้ความร่วมมือส่งหลักฐานทั้งหมดมาให้ทางการไทยถึงขนาดนี้แล้ว หากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังลากคอขบวนการไอ้โม่งโดยเฉพาะตัวการใหญ่ ที่โกงชาติงาบสินบนโรลส์-รอยซ์ ฉาวมาเข้าคุกโดยเร็วเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างไม่ได้ ประเทศนี้ก็คงเลิกพูดถึงเรื่องการปฏิรูปล้างมะเร็งร้ายทุจริตคอร์รัปชั่น

นายดอน ปรมัตถ์วินัย รมว.ต่างประเทศ เปิดเผยว่า ป.ป.ช.ของอังกฤษ หรือเอสเอฟโอ พร้อมที่จะให้ความร่วมมือกับทางการไทยตามที่ร้องขอในการส่งรายละเอียดการตรวจสอบกรณีสินบนโรลส์-รอยซ์ ขณะที่ พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ก็ยืนยันเช่นกันว่า กระทรวงยุติธรรมสหรัฐแจ้งมาแล้วว่าพร้อมที่จะส่งข้อมูลสินบนฉาวให้ ป.ป.ช.ไทยตามที่ร้องขอ

เพราะฉะนั้นเมื่อทั้งหน่วยงานของสองประเทศร่วมมือพร้อมป้อนข้อมูลหลักฐานสินบนโรลส์-รอยซ์ฉาวให้ถึงปากขนาดนี้แล้ว บรรดาหน่วยงานปราบโกงของไทยทั้งหลายคงไม่มีข้ออ้างในการโอ้เอ้อืดอาดตามวัฒนธรรมแบบไทยๆ โดยต้องรีบตรวจสอบและดำเนินคดีนำตัวพวกไอ้โม่งจอมขี้โกงมาเข้าคุกโดยเร็วหลังจากลอยนวลมานานหลายปี

มาทางด้านความคืบหน้าการกระชากหน้ากากไอ้โม่งตัวการสำคัญงาบสินบนโรลส์-รอยซ์ ที่ล่าสุดชัดเจนจนเห็นโฉมหน้าได้เลาๆ และเป็นเรื่องน่าสงสัยที่ นายวัฒนา เมืองสุข แกนนำพรรคเพื่อแม้ว ซึ่งช่วงหลังใกล้ชิด นายใหญ่นักโทษชายแม้ว เป็นพิเศษอยู่ๆ ก็ออกอาการเหมือนร้อนตัวแทนขบวนการไอ้โม่งด้วยการออกมาตอบโต้สื่อกรณีที่พยายามโยงเรื่องสินบนโรลส์-รอยซ์เข้าไปเกี่ยวข้องกับรัฐบาลแม้วในอดีต ทั้งๆ ที่รัฐบาลแม้วไม่มีส่วนเกี่ยวข้องแต่อย่างใดทั้งสิ้น

รัฐบาลแม้วจะเกี่ยวหรือไม่เกี่ยวกับสินบนฉาวโรลส์-รอยซ์หรือไม่ นายวัฒนา ไม่ต้องออกอาการเหมือนร้อนตัวเป็นกระต่ายตื่นตูม เพราะอีกไม่นานความจริงกำลังจะปรากฏ แม้แต่ตัว นายวัฒนา เองควรเตรียมตัวให้ดีก็แล้วกันในคดีทุจริตโครงการบ้านเอื้ออาทรยุครัฐบาลแม้ว

สำหรับไอ้โม่งงาบสินบนโรลส์-รอยซ์ที่ใกล้ถูกกระชากหน้ากากถูกระบุชัดตามผลการสอบสวนของ ป.ป.ช.อังกฤษ โดยเฉพาะการจ่ายสินบนครั้งสำคัญลอตที่ 3 ช่วงปี 2547-2548 ซึ่งตรงกับยุครัฐบาลแม้ว โดยมีหลักฐานจดหมายภายในของโรลส์-รอยซ์ ฉบับวันที่ 19 พ.ย.2547 ที่บันทึกการเจรจากันระหว่างตัวแทนของโรลส์-รอยซ์กับนายหน้า รวมทั้งตัวแทนรัฐบาลไทย จนนำไปสู่วันที่ 18 ธ.ค.2547 ทุกฝ่ายได้มีการร่วมรับประทานอาหารค่ำด้วยกันโดยมี ไอ้โม่งรมช.ของไทย คนหนึ่ง ร่วมในการเจรจาโดยมีการวางแผนล็อกสเปกจัดซื้อเครื่องบินแอร์บัส A340 และโบอิ้ง 777 ซึ่งต้องใช้เครื่องยนต์ของโรลส์-รอยซ์

และช่างเผอิญที่ช่วงเวลานั้น รมว.คมนาคมก็คือ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ที่เคยตกเป็นข่าวอื้อฉาวเกรียวกราวกรณีการจัดซื้อเครื่องตรวจวัตถุระเบิดซีทีเอ็กซ์ 9000 เพื่อติดตั้งในสนามบินสุวรรณภูมิ โดย นายสุริยะ ชงเรื่องขออนุมัติซื้อเครื่องบินแอร์บัส A340 และ โบอิ้ง 777 รวม 10 ลำ วงเงิน 96,355 ล้านบาท ซึ่งคณะรัฐมนตรีแม้ว ก็อนุมัติผ่านสะดวก

ส่วน “รมช.ไอ้โม่ง” ที่ถูกระบุว่านัดดินเนอร์เจรจาใต้โต๊ะกับตัวแทนโรลส์-รอยซ์ เป็นใครคงต้องอุบชื่อไว้ก่อนโดยขอให้รอผลสอบสวนของ ป.ป.ช.อังกฤษที่จะส่งมายังทางการไทยในอีกไม่กี่วันข้างหน้าซึ่งคงได้รู้กัน โดยเริ่มมีข่าวลือสะพัดว่า “รมช.ไอ้โม่ง” คนดังกล่าวเส้นใหญ่เป็นคนใกล้ชิดนายใหญ่นักโทษชายแม้วและตระกูลชินเป็นอย่างมาก จึงอยู่ยงคงกระพันนั่งเก้าอี้รัฐมนตรีอย่างต่อเนื่องแบบไม่มีสะดุดจนสิ้นยุครัฐบาลแม้วขณะที่รัฐมนตรีหลายคนถูกเปลี่ยนย้ายกันเป็นแถว

ในช่วงที่เกิดสินบนฉาวโรลส์-รอยซ์ลอต 3 ยุครัฐบาลแม้วมีตัวละครอีกสองคนที่นั่งเก้าอี้สำคัญนั่นคือ นายทนง พิทยะ ซึ่งเป็นอีกคนหนึ่งที่ใกล้ชิดนายใหญ่อดีตนักโทษหนีคุก โดย นายทนงถูกสั่งให้มานั่งเก้าอี้ประธานบอร์ดการบินไทย และ นายกนก อภิรดี อดีตผู้อำนวยการใหญ่บริษัทการบินไทย โดยก่อนหน้านี้ทั้งสองออกมาปฏิเสธพัลวันว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสินบนฉาวโรลส์-รอยซ์แม้แต่น้อย

แต่ล่าสุด นายกนก เปิดอกสื่อทิ้งบอมบ์ลูกใหญ่ด้วยการแฉเป็นนัยว่า ตัวเองในฐานะดีดีการบินไทยไม่มีอำนาจที่จะอนุมัติโครงการจัดซื้อเครื่องบินมูลค่านับหมื่นนับแสนล้านบาท การอนุมัติต้องเป็นอำนาจของคณะรัฐมนตรีเท่านั้น นั่นเท่ากับสะท้อนเป็นนัยว่ากรณีสินบนฉาวโรลส์-รอยซ์น่าสงสัยว่าเป็นขบวนการใหญ่โดยรัฐบาลยุคแม้ว

จากสินบนฉาวโรลส์-รอยซ์ ทำให้นึกถึงข้อสังเกตของ ดร.ต่อตระกูล ยมนาค นายกสมาคมวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ที่เคยได้ข้อมูลมาว่า รมช.คมนาคมบางยุคใช้วิธีเลือกคนที่จะเป็นดีดีใหญ่การบินไทย โดยมีเงื่อนไขว่าต้องหาเงินส่งส่วยให้ปีละไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท ซึ่งหากข้อมูลดังกล่าวเป็นเรื่องจริง มีหรือที่ประเทศจะไม่ฉิบหายล่มจมเพราะเหล่านักโกงเมืองปล้นแผ่นดินอุบาทว์พวกนี้

ทีมข่าวการเมือง

แนวทางสู่การปรองดอง ต้องไม่ล้างโทษให้พวกคนโกง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/253842

วันพุธ ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2560, 02.00 น.

หลายฝ่ายในแม่น้ำ 5 สาย ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)พยายามที่จะหาแนวทางสร้างความปรองดองในชาติให้สำเร็จเสียที โดยล่าสุดคณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษารวบรวมความคิดเห็นวิเคราะห์และสังเคราะห์ประเด็นการแก้ปัญหาความขัดแย้งและการสร้างความปรองดองทางการเมืองในคณะกรรมาธิการการเมือง สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ(สปท.)ที่มี ดร.สังศิต พิริยะรังสรรค์ เป็นประธานคณะอนุกรรมาธิการมีกรอบแนวคิดที่จะใช้แนวนโยบายการเมืองนำการทหารภายใต้คำสั่ง 66/2523 และ 66/2525 ของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ซึ่งเคยประสบความสำเร็จในการยุติสงครามระหว่างพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย(พคท.) กับรัฐที่ยืดเยื้อมายาวนานได้สำเร็จ

คณะอนุกรรมาธิการวางกรอบแนวคิดไว้ดังนี้คือ จะคำนึงถึงเรื่องความสามัคคี สันติสุขของคนในชาติและสังคมเป็นที่ตั้ง ยึดหลักเมตตาธรรมยุติความเคียดแค้นชิงชังโดยการให้อภัยกัน ยึดหลักนิติรัฐและนิติธรรม และต้องใช้กฎหมายและปฏิบัติกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องอย่างเท่าเทียมโดยไม่เลือกปฏิบัติ

นอกจากนี้ จะมีการนำผลสรุปการศึกษาแนวทางสร้างความปรองดองในอดีตของคณะกรรมการ 9 ชุดมาประกอบการพิจารณาด้วย อาทิ คณะกรรมการชุดของ ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ คณะกรรมการชุดที่มี ดร.คณิต ณ นคร เป็นประธาน คณะกรรมการชุดสถาบันพระปกเกล้าที่มี ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ เป็นประธาน คณะกรรมการชุด ที่มี พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน เป็นประธาน

หากย้อนกลับไปทบทวนเหตุการณ์ยุคสงครามจากผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์(ผกค.)เมื่อหลายสิบปีที่แล้ว และมีนักศึกษาปัญญาชนจำนวนมากเข้าร่วมกับผกค.ทำสงครามกับอำนาจรัฐด้วยกำลังอาวุธ มีสาเหตุสำคัญมาจากอุดมการณ์ทางการเมือง โดยสภาพของบ้านเมืองขณะนั้นปกครองด้วยอำนาจเผด็จการทหารที่เข้มข้น ขณะที่มีปัญหาช่องว่างความเหลื่อมล้ำทางสังคมที่รุนแรงมาก ด้วยเหตุนี้นโยบายการเมืองนำการทหาร หรือที่เรียกว่า“ป๋าเปรมโมเดล” ที่ใช้ในการเอาชนะ พคท. จะพบว่า มีสาระสำคัญอยู่ที่การลดอำนาจเผด็จการและสร้างประชาธิปไตยที่ประชาชนมีส่วนร่วมมากขึ้น รวมทั้งลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม พร้อมกับเปิดทางให้บรรดาผกค.ผู้หลงผิดกลับมามอบตัวซึ่งจะได้รับการนิรโทษกรรมเพื่อร่วมพัฒนาชาติไทย โดยรัฐจะจัดหาอาชีพและให้การช่วยเหลือบรรดาผู้กลับใจให้สามารถเลี้ยงตัวเองอยู่ได้ในสังคมอย่างผาสุก

สาระสำคัญของ “ป๋าเปรมโมเดล” จึงให้โอกาสกับผู้มีความเห็นต่างในอุดมการณ์ทางการเมืองที่สำนึกผิดพร้อมกลับมาร่วมพัฒนาชาติไทย โดยไม่เกี่ยวข้องกับผู้กระทำผิดในคดีทุจริตหรือคดีหมิ่นสถาบันเบื้องสูง หรือทำผิดอาญาร้ายแรงถึงขั้นก่อการร้ายเผาบ้านทำลายเมือง บริบทที่มาที่ไปและเหตุผลจึงแตกต่างกับแนวทางการสร้างความปรองดองในปัจจุบัน

อีกทั้งเงื่อนไขหนึ่งสำหรับผู้หลงผิดที่กลับใจกลับมาเป็นผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยก็คือ ต้องสำนึกผิดเข้ามอบตัวต่อทางการ ซึ่งไม่ได้หมายความว่าเมื่อเข้ามอบตัวแล้วจะพ้นผิดโดยปริยาย แต่จะมีการลงโทษตามความเหมาะสม จากนั้นจึงมีการนิรโทษกรรมในภายหลัง

นอกจากนี้ผลการศึกษาคณะกรรมการศึกษาหาแนวทางสร้างความปรองดองเกือบทุกชุดที่ผ่านมาล้วนมีความเห็นสอดคล้องกันว่า การจะสร้างความปรองดองต้องเริ่มจากตัวแทนคู่ขัดแย้งทุกฝ่ายต้องมาเปิดอกพูดถึงปัญหาที่ผ่านมา อย่างตรงไปตรงมาเพื่อเป็นบทเรียนไม่ให้เกิดปัญหาขึ้นอีกในอนาคต และผู้ที่ทำผิดกฎหมายชัดเจนต้องยอมรับโทษความผิดจากนั้นจึงค่อยมาพิจารณาเรื่องการผ่อนผันบรรเทาโทษหรือนิรโทษกรรมซึ่งเป็นขั้นตอนท้ายสุด

ที่สำคัญผลการศึกษาของคณะกรรมการทุกชุดที่ผ่านมาย้ำว่า การนิรโทษกรรมความผิดหากจะมีขึ้นจะต้องไม่ครอบคลุมคดีทุจริต คดีหมิ่นสถาบันเบื้องสูงตามมาตรา 112 ของประมวลกฎหมายอาญา และคดีอาญาร้ายแรงอันจะเป็นการทำลายหลักนิติรัฐ

ผลการศึกษาของคณะกรรมการชุดต่างๆในอดีตยังสอดคล้องกับจุดยืนท่าทีของรัฐบาลคสช.โดยที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคสช. พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง ซึ่งได้รับมอบหมายให้วางแนวทางสร้างความปรองดอง และล่าสุด ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รมต.ประจำสำนักนายกฯ ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินตามกรอบการปฏิรูป ยุทธศาสตร์ชาติและการสร้างความสามัคคีปรองดอง (ป.ย.ป.)ส่งสัญญาณชัดเจนว่า การสร้างความปรองดองต้องไม่มีเงื่อนไขและจะไม่มีการพูดถึงเรื่องการทำผิดกฎหมายหรือการนิรโทษกรรม

ทั้งนี้ฝ่ายที่จริงใจอยากปรองดองต้องมาด้วยใจที่อยากเห็นบ้านเมืองเกิดความสงบสุขสันติและเดินไปข้างหน้าเสียทีหลังบอบช้ำ
มานานกว่า 10 ปี ไม่ใช่มาอาศัยเวทีการสร้างความปรองดองเป็นเครื่องมือตั้งแง่ สร้างเงื่อนไขต่อรอง โดยมีวาระซ่อนเร้นเพื่อให้อดีตนายกฯนักโทษหนีคุกคดีทุจริตตามคำพิพากษาของศาล บางคนได้ลบล้างโทษความผิดเพื่อจะได้กลับบ้านแบบเท่ๆ โดยไม่ต้องติดคุก รวมทั้งลบล้างโทษความผิดให้พวกก่อการร้ายเผาบ้านทำลายเมือง หรืออาจรวมถึงคดีทุจริตสำคัญที่อยู่ในขั้นตอนการพิสูจน์ความถูกผิดตามกระบวนการยุติธรรมอันเป็นการทำลายหลักนิติรัฐ

หากการปรองดองกลายเป็นเครื่องมือต่อรองโดยมีวาระซ่อนเร้นและเป็นการทำลายหลักนิติรัฐ การปรองดองอย่างที่ว่าก็คงเสียของไร้ประโยชน์สิ้นเชิง เพราะเป็นการปรองดองด้วยการฮั้วผลประโยชน์กับโจรปล้นทำลายชาติ ซึ่งเป็นแค่การหนีปัญหาซื้อเวลาเท่านั้น

ทีมข่าวการเมือง

คสช.ต้องเอาจริงทำเป็นคดีตัวอย่าง ลากพวกงาบสินบนโรยส์รอยซ์เข้าคุก

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/253697

วันอังคาร ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2560, 02.00 น.

หลายฝ่ายเรียกร้องให้รัฐบาลเข้ามาเป็นเจ้าภาพในการควบคุมการตรวจสอบขยายผลสางคดีสินบนโรลส์-รอยซ์ช่วงปี 2534-2548 เพื่อเป็นคดีตัวอย่างในการหาตัวพวกโกงชาติปล้นแผ่นดินมาดำเนินคดีตามกฎหมายไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง เพราะที่ผ่านมาเหล่านักธุรกิจการเมืองผู้มีอำนาจ เหล่าผู้บริหารและข้าราชการกังฉินตลอดจนพ่อค้าสมคบกันปล้นแผ่นดินอย่างย่ามใจจนอิ่มหมีพีมันและยังเชิดหน้าชูตาอยู่เหนือกฎหมายเสพสุขลอยนวลมาจนทุกวันนี้

การปล่อยให้หน่วยงานที่ถูกกล่าวหาว่ามีการทุจริตคือบริษัทการบินไทยจำกัดและบริษัทปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม(ปตท.สผ.) กระทรวงพลังงานตั้งคณะกรรมการตรวจสอบความผิดของตัวเองถูกตั้งข้อสังเกตว่าเหมือนให้โจรสอบโจรแล้วจะได้เรื่องอะไร เพราะอย่าลืมว่าพวกนักโกงเมือง ผู้บริหารและข้าราชการกังฉินในช่วงที่มีอำนาจต่างวางเส้นสายอำนาจตั้งพรรคพวกและทาสรับใช้ของตัวเองเข้าไปคุมตำแหน่งสำคัญต่างๆ ในบริษัทการบินไทยและกระทรวงพลังงานจำนวนไม่น้อย ซึ่งคนพวกนี้ทุกวันนี้หลายคนยังมีตำแหน่งสำคัญ ซึ่งแม้จะเป็นคนละยุค แต่พวกทาสเก่าผีโม่แป้งที่เคยรับใช้ได้ผลประโยชน์จากอดีตนายทาสไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อมหากได้รับแต่งตั้งร่วมเป็นกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงคิดดูว่าอะไรจะเกิดขึ้น ซึ่งอย่างน้อยความผูกพันที่มีอยู่ย่อมต้องเกิดความเกรงใจหรืออาจยอมปกป้องนายเก่าแบบถวายหัวด้วยการช่วยปกปิดข้อมูลทุจริตเพื่อเบี่ยงเบนผลการสอบสวน

เรื่องนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันนทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ต้องลงมาคุมการตรวจสอบเอง โดยตั้งคณะกรรมการตรวจสอบที่น่าเชื่อถือเร่งดำเนินการขยายผลตรวจสอบเชิงลึกไม่แต่เฉพาะเรื่องสินบนอะไหล่เครื่องยนต์ที่ขายให้บริษัทการบินไทย แต่ควรตรวจสอบขยายผลไปถึงเรื่องการจัดซื้อจัดจ้างโดยเฉพาะการจัดซื้อเครื่องบินของรัฐบาลในอดีตโดยเฉพาะยุครัฐบาลแม้วที่มีข่าวโกงกันมหาศาล ขณะที่บริษัทการบินไทยซึ่งเป็นสายการบินแห่งชาติขาดทุนย่อยยับ

มหกรรมโกงในบริษัทการบินไทยรวมทั้งการท่าอากาศยานไทยเป็นที่โจษขานกันมานาน

ถึงขนาดเปรียบเปรยว่าโกงตั้งแต่ไม้จิ้มฟันยันเครื่องบิน รวมทั้งเรื่องร้านค้าปลอดภาษีที่มีปมเรื่องผลประโยชน์ทำให้รัฐสูญเสียรายได้มหาศาลปีละนับแสนล้านบาท

การโกงชาติปล้นแผ่นดินไม่มีทางเกิดขึ้นได้เด็ดขาดหากรัฐบาลนักโกงเมืองผู้มีอำนาจไม่แต่งตั้งพรรคพวกของตัวเองเข้าไปคุมตำแหน่งสำคัญในรัฐวิสาหกิจโดยเฉพะบริษัทการบินไทย โดยมีบิ๊กในเครื่องแบบสีฟ้าเข้าไปยุ่มย่ามผูกขาดอำนาจอยู่ในบอร์ดการบินไทยหรือไม่ก็บอร์ดการท่าอากาศยานมาช้านาน ที่ผ่านมาพอเปลี่ยนรัฐบาลก็จะมีการโละบอร์ดชุดเก่าแล้วตั้งคนของนักโกงเมืองหรือพวกผีโม่แป้งเข้าไปเป็นบอร์ดถึงขนาดยุครัฐบาลระบอบแม้วมีการตั้งหัวหน้าแกนนำเสื้อแดงในต่างจังหวัดซึ่งเป็นผู้หญิงเข้าไปเป็นบอร์ดการบินไทยทั้งๆ ที่ไม่มีความรู้ความสามารถเรื่องธุรกิจการบินแม้แต่น้อย การตั้งพรรคพวกที่เป็นผีโม่แป้งก็เพื่อคอยลงมติผ่านโครงการโกงชาติ

ข้อน่าสังเกตอีกเรื่องหนึ่งก็คือเรามีหน่วยงานตรวจสอบทุจริตมากมาย อาทิ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) แต่ที่ผ่านมามักทำงานเชิงรับ พอมีข่าวอื้อฉาวทีถึงเลิ่กลั่กออกมาล้อมคอกตรวจสอบพอเป็นพิธี และทำงานอืดเป็นเรือเกลือจนบางคดีหมดอายุความ ทำให้ชาติเสียประโยชน์มหาศาลขณะที่พวกโกงชาติปล้นแผ่นดินจำนวนไม่น้อยยังลอยหน้าลอยตาเย้ยกฎหมายอย่างลอยนวล

อย่างอินโดนีเซียพอหน่วยปราบปรามยาเสพติดของอังกฤษตีแผ่เรื่องสินบนโรลส์-รอยซ์ฉาวในหลายประเทศซึ่งมีอินโดนีเซียรวมอยู่ด้วย ทางการอินโดนีเซียใช้เวลาแค่ 2-3 วันตรวจสอบและดำเนินคดีกับคนทุจริต ซึ่งต่างจากของไทยทั้งๆ ที่ข้อมูลหลักฐานชัดเจนจากคำรับสารภาพของผู้บริหารโรลส์-รอยซ์เอง แต่กลับมีพิธีรีตรองมากมายโดยให้หน่วยงานที่ถูกกล่าวหาทุจริตตั้งคณะกรรมการสอบภายใน 30 วัน ซึ่งก็ยังไม่รู้ว่าเมื่อครบเส้นตาย 30 วันจะมีการขยายเวลาการตรวจสอบซื้อเวลาออกไปอีกหรือไม่ และที่ผ่านมาพอมีข่าวทุจริตอื้อฉาวก็มักจะมีการล้อมคอกด้วยการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบแล้วในที่สุดก็เป็นไฟไหม้ฟางหายเข้ากลีบเมฆ

ข้อมูลอีกเรื่องหนึ่งที่น่าตกใจก็คือการเปิดเผยของ ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ รองอธิการบดีฝ่ายวิจัยและบริหารวิชาการ มหาวิทยาลัยรังสิต ที่ระบุว่ากรณีสินบนโรลส์-รอยซ์ที่เกี่ยวข้องกับบริษัทการบินไทยไม่ใช่กรณีเดียวที่มีการติดสินบน โดยตนในฐานะอนุกรรมการประเมินผลรัฐวิสาหกิจของกระทรวงการคลังที่ทำหน้าที่มาหลายรัฐบาลสามารถระบุได้ว่าการจัดซื้อจัดจ้างในรัฐวิสาหกิจไม่ต่ำกว่า 60-70% มีปัญหารับเงินใต้โต๊ะโดยทำกันจนเป็นธรรมเนียมปฏิบัติปกติซึ่งเป็นที่เอือมระอาของบรรดานักธุรกิจนักลงทุนทั้งหลายเป็นอย่างมากต่อวัฒนธรรมอันฉ้อฉลนี้

จากข้อมูลของ ดร.อนุสรณ์ สะท้อนให้เห็นว่ามะเร็งร้ายการทุจริตคอร์รัปชั่นได้ฝังรากลึกในทุกองคาพยพของสังคมไทยโดยเฉพาะในหน่วยราชการหรือรัฐวิสาหกิจจนกลายเป็นเรื่องปกติเคยชินซึ่งอันตรายอย่างมากเพราะมะเร็งร้ายทุจริตเป็นบ่อเกิดของการทำสิ่งชั่วร้ายทั้งปวง ดังนั้นได้แต่หวังว่ายุครัฏฐาธิปัตย์ที่มีอำนาจพิเศษและยึดถือการขจัดทุจริตคอร์รัปชั่นเป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญในการปฏิรูปประเทศจะเอาจริงตรวจสอบกรณีสินบนฉาวโรลส์-รอยซ์รวมทั้งการโกงชาติปล้นแผ่นดินในกรณีอื่นๆ ด้วยอย่างจริงจังโดยเริ่มจากที่บริษัทการบินไทยและกระทรวงพลังงานเพื่อนำตัวพวกโกงบ้านกินเมืองมาเข้าคุกเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง เพราะกรณีอื้อฉาวชัดเจนขนาดนี้แล้วยังจับมือใครดมไม่ได้แสดงว่านโยบายปราบทุจริตยุคนี้มีปัญหา

ทีมข่าวการเมือง

เพื่อแม้วสร้างภาพอำพราง ซ่อนแผนตั้งแง่ป่วนปรองดอง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/253547

วันจันทร์ ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2560, 06.00 น.

ขณะที่รัฐบาลคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)ทุ่มสุดตัวกำหนดเป็นวาระแห่งชาติเพื่อสร้างความปรองดองในชาติให้สำเร็จก่อนการเลือกตั้งครั้งหน้ากำลังเป็นประเด็นร้อนทางการเมือง ปรากฏว่าเกิดข่าวอื้อฉาวระดับโลกเข้ามาแทรกซ้อนซึ่งจะมีผลกระทบทางอ้อมต่อแผนสร้างความปรองดองนั่นคือกรณีหน่วยงานปราบปรามการทุจริตของอังกฤษแฉคำรับสารภาพของผู้บริหารบริษัทโรลส์-รอยซ์ ผู้ผลิตรถยนต์หรูและเครื่องยนต์สำหรับอากาศยานรายใหญ่ของอังกฤษได้จ่ายสินบนให้นักการเมืองผู้มีอำนาจและเจ้าหน้าที่รัฐในหลายประเทศซึ่งรวมทั้งไทยโดยไทยการจ่ายสินบนเกิดขึ้น 3 ลอตช่วงระหว่างปี 2534-2548 เพื่อให้ได้สัญญาขายอะไหล่เครื่องบินให้กับบริษัทการบินไทย และเรื่องยังลุกลามบานปลายเมื่อกระทรวงยุติธรรมแฉซ้ำว่าโรลส์-รอยซ์จ่ายสินบนให้กับบุคคลระดับสูงในกระทรวงพลังงานของไทยในอดีตด้วย

ขณะที่รัฐบาลคสช.ได้สั่งให้มีการตรวจสอบมหกรรมโกงชาติสินบนโรลส์-รอยซ์ฉาวในอดีตอย่างจริงจังเพื่อทำความ
จริงให้ปรากฏและพยายามหาขบวนการไอ้โม่งตัวการใหญ่ที่โกงชาติปล้นแผ่นดินมาลงโทษเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง ปรากฏว่าอดีตผู้บริหารบริษัทการบินไทยยุครัฐบาลแม้วเรืองอำนาจ รวมทั้งเหล่าสาวกขบวนการเพื่อแม้วดูเหมือนส่ออาการร้อนตัวรีบออกมาปัดสวะพัลวันและแก้เกี้ยวตีปลาหน้าไซกันเป็นแถว และที่สำคัญเหมือนส่อเจตนาแบล็กเมล์ขู่รัฐบาลคสช.ที่กำลังเดินหน้าตรวจสอบกรณีสินบนโรลส์-รอยซ์ฉาวด้วยการเรียกร้องให้มีการตรวจสอบกรณีทุจริตอื้อฉาวต่างๆ ในยุครัฐบาลคสช.ด้วย โดยเฉพาะกรณีที่เกี่ยวข้องกับ พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา อดีตปลัดกระทรวงกลาโหม ซึ่งเป็นน้องชายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคสช. รวมทั้งการงบจัดซื้อจัดจ้างต่างๆของกระทรวงมหาดไทยตลอดจนการจัดซื้อเครื่องตรวจระเบิดทีจี-200 สุดอื้อฉาวในอดีตที่เป็นจุดอ่อนของกองทัพ

ข้อน่าสังเกตก็คือหากรัฐบาลคสช.เดินหน้ารื้อฟื้นตรวจสอบกรณีสินบนโรลส์-รอยซ์ฉาวอย่างเอาจริงเอาจังโดยเฉพาะในยุครัฐบาลแม้วเรืองอำนาจจนพบการทุจริตก็อาจทำให้ขบวนการเพื่อแม้วไม่พอใจและตีรวนป่วนแผนสร้างความปรองดองก็เป็นได้

ส่วนในเรื่องการสร้างความปรองดองถ้าจะว่าไปแล้วฝ่ายนักลากตั้งโดยเฉพาะขบวนการเพื่อแม้วพยายามสร้างภาพ
ดราม่าอย่างมีวาระซ่อนเร้น โดยสาวกแกนนำขบวนการเพื่อแม้วได้ทีฉวยโอกาสกรณีที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตแกนนำมวลมหาประชาชน กปปส. ประกาศจะไม่ร่วมเซ็นเอ็มโอยูหรือสัญญาประชาคมเพื่อสร้างควมมปรองดองตามแนวคิดของรัฐบาลคสช. โดยขบวนการเพื่อแม้วออกมาโจมตีทำลายภาพพจน์ของมวลมหาประชาชนกปปส.ว่าคือตัวขัดขวางการสร้างความปรองดอง ขณะที่พยายามสร้างภาพดราม่าว่าขบวนการเพื่อแม้วพร้อมสนับสนุนการสร้างความปรองดอง ถึงขนาดนายจุพร พรหมพันธุ์ ประธานกลุ่มคนเสื้อแดงประกาศพร้อมลงนามในเอ็มโอยูเพื่อสร้างความปรองดองอย่างไม่มีเงื่อนไข

แต่ความจริงที่อยู่หลังฉากก็คือเกมช่วงชิงสร้างความชอบธรรมว่าขบวนการเพื่อแม้วสนับสนุนการสร้างความปรองดอง แต่ขณะเดียวกันแกนนำขบวนการเพื่อแม้วหลายคนกลับออกมาแสดงท่าทีส่อเจตนาตั้งแง่ต่อรองโดยมีเป้าหมายแอบแฝงซึ่งเหมือนระเบิดเวลาที่พร้อมจะป่วนการสร้างความปรองดอง หากเงื่อนไขของขบวนการเพื่อแม้วไม่ได้รับการตอบสนอง

การสร้างภาพโชว์ดราม่าเห็นได้จากขณะที่แกนนำขบวนการเพื่อแม้วหลายคนออกมาถล่ม นายสุเทพ ที่จะไม่ร่วมลงนามในเอ็มโอยู แต่แกนนำเพื่อแม้วเองหลายคน อาทิ นายภูมิธรรม เวชชยชัย เลขาธิการพรรคเพื่อแม้ว หรือ นายนพดล ป้ทมะ อดีต รมว.ต่างประเทศ กลับเห็นขัดกันเองโดยมองสอดคล้องกับ นายสุเทพ ด้วยซ้ำว่าเอ็มโอยูเป็นแค่พิธีกรรมไม่ได้เป็นตัวชี้วัดความจริงใจในการสร้างความปรองดอง

ที่สำคัญเหล่าแกนนำขบวนการเพื่อแม้ว อาทิ นายภูมิธรรม คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์หรือ นายจตุรนต์ ฉายแสง พยายามชี้ว่า คสช.เป็นคู่ขัดแย้งของความแตกแยกในชาติจึงไม่ควรทำหน้าที่คนกลางสร้างความปรองดองโดยควรให้มีคณะกรรมการที่เป็นกลางเข้ามาทำหน้าที่

นายภูมิธรรม ยังดราม่าเรียกร้องให้นำผลสรุปการศึกษาเพื่อสร้างความปรองดองของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ(คอป.)ที่มี ดร.คณิต ณ นคร เป็นประธานและผลศึกษาของสถาบันพระปกเกล้ามาเป็นแนวทางสร้างความปรอดอง ทั้งๆ ที่ความจริง ผลสรุปการศึกษาทั้งของคอป.และสถาบันพระปกเกล้าถูกรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯหุ่นเชิด ทิ้งลงตะกร้าอย่างไม่แยแสเพราะไม่สนองตอบความต้องการของ อดีตนายกฯนักโทษหนีคุกคดีทุจริต เนื่องจากผลการศึกษาของทั้งสององค์กรไม่ให้ครอบคลุมคดีทุจริต คดีหมิ่นเบื้องสูง และความผิดทางอาญาร้ายแรงที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของชาติ

สาวกขบวนการเพื่อแม้วยังพยายามตีรวนป่วนการปรองดอง อาทิ นายวรชัย เหมะ อดีตสส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย เหน็บแนมเรียกร้องให้คสช.และกองทัพร่วมลงนามในเอ็มโอยูว่าทหารจะไม่ปฏิวัติรัฐประหารอีก หรือกรณี นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ชักศึกเข้าบ้านป่วนการปรองดองโดยเรียกร้องให้องค์การสหประชาชาติเข้ามาแทรกแซงกิจการภายในของไทยโดยอ้างว่าเพื่อเป็นตัวกลางวางแนวทางสร้างความปรองดอง

จากพฤติการณ์ของเหล่าแกนนำสาวกขบวนการเพื่อแม้วทั้งหมดในช่วงที่ผ่านมาจึงสะท้อนเจตนาที่ส่อไปในทางดราม่าสร้างภาพมากกว่าจริงใจที่จะสร้างความปรองดองโดยมีเป้าหมายซ่อนเร้นที่แท้จริงก็คือต่อรองหวังลบล้างโทษความผิดทั้งหมดให้กับอดีตนายกฯนักโทษหนีคุกเพื่อจะได้กลับบ้านแบบเท่ๆโดยไม่ต้องติดคุกอันเป็นการทำลายหลักนิติรัฐ รวมทั้งล้างโทษความผิดแก่เหล่าแกนนำเสื้อแดงที่เป็นผู้ต้องหาก่อการร้ายเผาบ้านทำลายเมือง ตลอดจนพยายามช่วย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และพวกที่เป็นจำเลยสำคัญคดีโครงการรับจำนำข้าวที่สร้างความเสียหายแก่ประเทศครั้งเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสต์ ดังที่ นพ.เชิดชัย ตันติศิรินทร์ อดีตสส.พรรคเพื่อแม้วเผยไต๋ตั้งแง่ก่อนหน้านี้ว่า หากจะสร้างความปรองดองต้องลบล้างโทษความผิดให้ทุกคนและทุกคดีอย่างไม่มีเงื่อนไข

ทีมข่าวการเมือง

ปรองดองโจทย์ยาก ท้าทายฝีมือรัฐบาลคสช.

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/253455

วันอาทิตย์ ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2560, 02.00 น.

การยุติความแตกแยกในชาติที่ยืดเยื้อมากว่า 10 ปีและสร้างความปรองดองเริ่มทำท่าว่าจะเป็นจริงหลังจากที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินตามกรอบการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติและการสร้างความสามัคคีปรองดอง (ป.ย.ป.) พร้อมประกาศการเปลี่ยนแปลงครั้งประวัติศาสตร์โดยมอบหมายให้พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯฝ่ายความมั่นคงรับผิดชอบวางแนวทางสร้างความปรองดองในชาติให้เป็นจริงก่อนที่จะมีการเลือกตั้งทั่วไปที่จะมีขึ้น

อย่างไรก็ตาม พล.อ.ประยุทธ์ ย้ำว่า การปรองดองจะยังไม่มีการพูดถึงเรื่องการนิรโทษกรรม และต้องยึดหลักนิติรัฐ รวมทั้งต้องไม่มีเงื่อนไข

ด้าน พล.อ.ประวิตร หลังได้รับมอบหมายจาก พล.อ.ประยุทธ์ ให้วางแนวทางสร้างความปรองดองได้เตรียมเชิญตัวแทนจากทุกฝ่ายซึ่งเป็นคู่ขัดแย้งในชาติ ตลอดจนบุคคลสำคัญซึ่งเป็นที่ยอมรับรวมทั้งการรับฟังความเห็นจากประชาชนทุกฝ่ายเพื่อนำมาประกอบการวางแนวทางสร้างความปรองดอง และที่สำคัญจะให้คู่ขัดแย้งทุกฝ่ายที่ร่วมหารือร่วมกันลงนามในบันทักข้อตกลงหรือเอ็มโอยูอันเป็นการแสดงสัญญาประชาคมต่อสาธารณชนว่าจะสร้างความปรองดอง

ขณะที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.)ซึ่งเป็นหนึ่งในแม่น้ำ 5 สายของคสช.ได้เริ่มบทบาทสอดประสานกับแผนการสร้างความปรองดองโดยล่าสุดคณะกรรมาธิการการเมืองของสนช.ที่มี นายกล้านรงค์ จันทิก เป็นประธานได้พิจารณาร่าง พ.ร.บ.การอำนวยความยุติธรรมทางอาญาเกี่ยวกับมูลเหตุจูงใจทางการเมืองซึ่งเป็นแนวทางสร้างความปรองดองเสร็จแล้วและเสนอต่อรัฐบาลพิจารณาก่อนนำเข้าสู่ที่ประชุมสนช.เห็นชอบเป็นกฎหมายต่อไป

โดยสาระสำคัญของกฎหมายฉบับนี้กำหนดให้มีคณะกรรมการอำนวยการความยุติธรรมทางอาญาที่เกี่ยวเนื่องกับมูลเหตุจูงใจทางการเมืองรวม 11 คน ซึ่งจะทำหน้าที่รวบรวมข้อเท็จจริงเหตุการณ์เกี่ยวเนื่องจากเหตุการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองตั้งแต่ปี 2548 ยุครัฐบาลทักษิณจนถึงวันที่ 22 พ.ค.2557 ซึ่งคสช.เข้ายึดอำนาจการปกครองประเทศ และทำหน้าที่กำหนดหลักเกณฑ์การอำนวยความยุติธรรมตลอดจนการเยียวยาและเสนอแนะแนวทางการอำนวยความยุติธรรมต่อคณะรัฐมนตรี รัฐสภา ศาล อัยการและองค์กรอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ที่สำคัญมีอำนาจในการเสนอความเห็นลดหย่อนโทษผู้กระทำผิดทางการเมืองต่อศาลและอัยการได้

แม้โดยเปลือกนอกตัวแทนจาก 2 พรรคใหญ่คู่ขัดแย้งคือพรรคเพื่อไทยและประชาธิปัตย์ รวมทั้งสองกลุ่มพลังมวลชนคือกลุ่มเสื้อแดงและกลุ่มมวลมหาประชาชนคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข(กปปส.)จะแสดงท่าทีขานรับวาระแห่งชาติเพื่อสร้างความปรองดอง แต่ที่ต้องจับตาเป็นพิเศษก็คือจุดยืนที่แท้จริงของขบวนการระบอบทักษิณที่ส่อเจตนาตั้งแง่ซ่อนเป้าหมายแอบแฝงต้องการให้มีการนิรโทษกรรมแบบสุดซอยโดยเฉพาะการลบล้างโทษความผิดทั้งหมดให้กับ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯนักโทษหนีคุกคดีทุจริต รวมทั้งเหล่าแกนนำคนเสื้อแดงที่เป็นผู้ต้องหาก่อการร้ายเผาบ้านทำลายเมืองเมื่อปี 2553 และอาจรวมถึงการเจรจาลับต่อรองเพื่อให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯหุ่นเชิด รอดพ้นโทษจำคุกและถูกยึดทรัพย์

การเริ่มส่งสัญญาณตั้งแง่ของขบวนการระบอบทักษิณเริ่มปรากฏให้เห็นตั้งแต่เริ่มแนวคิดสร้างความปรองดอง อาทิ นพ.เชิดชัย ตันติศิรินทร์ อดีต สส.พรรคเพื่อไทย ที่ย้ำว่า หากอำนาจรัฐจะสร้างความปรองดองจริงต้องนิรโทษกรรมความผิดให้กับทุกคนทุกคดีโดยไม่มีข้อยกเว้นไม่ว่าจะเป็นคดีอะไรหรือร้ายแรงแค่ไหน

ท่าทีของ นพ.เชิดชัย ไม่ได้ต่างจาก นายทักษิณ ในช่วงที่ผ่านที่พยายามผลักดัน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับสุดซอยยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ที่มีเป้าหมยแอบแฝงหวังลบล้างโทษความผิดให้ตัวเองกลับบ้านแบบเท่ๆ โดยไม่ต้องติดคุกคดีทุจริตตามคำพิพากษาของศาลจนเป็นชนวนให้มวลมหาประชาชนหลายล้านคนออกมาแสดงพลังต่อต้านขับไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์จนนำไปสู่การยึดอำนาจของคสช.

ขณะที่ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อดีตสส.และอดีตรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย เลขาธิการกลุ่มคนเสื้อแดง ส่อเจตนาชักสึกป่วนบ้านด้วยการตั้งแง่เรียกร้องให้องค์การสหประชาชาติเข้ามามีบทบาทในการสร้างความปรองดองโดยอ้างว่าเพื่อให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล อีกทั้งอ้างว่าคสช.ถือเป็นคู่กรณีของความขัดแย้ง

ดังนั้นการสร้างความปรองดองของรัฐบาลคสช. จึงถือเป็นโจทย์ท้าทายและถูกตั้งคำถามจากนายสุเทพ เทือกสุบรรณ และ ถาวร เสนเนียม อดีตสองแกนนำกปปส.ว่า หากการปรองดองที่เป็นแค่พิธีกรรมลงนามในเอ็มโอยูอาจจะไม่สามารถทำให้บ้านเมืองเกิดความสงบอย่างแท้จริง เพราะต้นตอวิกฤติของบ้านเมืองที่ผ่านมาไม่ได้เกิดจากความเห็นต่างทางการเมืองซึ่งเป็นปลายเหตุ แต่เกิดจากพฤติกรรมของรัฐบาลนักธุรกิจการเมืองทุนสามานย์ในคราบประชาธิปไตยจอมปลอมที่มีการทุจริตโกงชาติปล้นแผ่นดินอย่างมโหฬารและทำสารพัดสิ่งเลวร้ายซึ่งจำเป็นต้องมีการปฏิรูปอย่างจริงจังเพื่อขจัดให้หมดสิ้นไป จึงจะเป็นการแก้ปัญหาที่ต้นตอ อีกทั้งการปรองดองต้องไม่ทำลายหลักนิติรัฐโดยต้องไม่นิรโทษกรรมความผิดให้กับผู้ทำความผิดคดีทุจริต คดีความผิดตามมาตรา 112 ของประมวลกฎหมายอาญาฐานหมิ่นเบื้องสูง หรือคดีก่อการร้ายเผาบ้านทำลายเมืองเมื่อปี 2553

 

สินบนฉาวโรลส์รอยซ์สะท้อน อีกตัวอย่างเน่าเฟะธุรกิจการเมือง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/253356

วันเสาร์ ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2560, 02.00 น.

นับเป็นอีกกรณีอื้อฉาวสำหรับประเทศไทยในเรื่องทุจริตคอร์รัปชั่นที่กระฉ่อนไปทั่วโลกจากการตีแผ่ของสื่อต่างชาติสำนักต่างๆ อย่างครึกโครมว่า ผู้บริหารของบริษัทโรลส์-รอยซ์ ผู้ผลิตรถยนต์หรูและเครื่องยนต์สำหรับอากาศยานรายใหญ่ของอังกฤษได้รับสารภาพต่อหน่วยงานปราบปรามการทุจริตของประเทศอังกฤษ (Serious Fraud Office-SFO) ว่าได้ติดสินบนนักการเมืองและเจ้าหน้าที่ในหลายประเทศรวมทั้งไทยเพื่อขายอะไหล่เครื่องบินของโรลส์-รอยซ์ ให้กับบริษัทการบินไทยจำกัดช่วงปี 2534-2548

ทั้งนี้รายงานข่าวจากสื่อต่างประเทศหลายสำนักระบุสอดคล้องกันว่า คำรับสารภาพของ ผู้บริหารบริษัทโรลส์-รอยซ์ ระบุว่า ได้จ่ายสินบนให้กับนักการเมือง ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ของบริษัทการบินไทยช่วงปี พ.ศ.2534-2548 เป็นเงินกว่า 36 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1,270 ล้านบาทเพื่อแลกกับสัญญาขายเครื่องยนต์เครื่องบินรุ่น “เทรนท์”ให้กับบริษัทการบินไทย 3 ลอต

การจ่ายสินบนแก่บริษัทการบินไทยครั้งแรกเกิดขึ้นช่วงปี 2534-2535 โดยจ่ายให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยผ่านนายหน้าเป็นเงิน 18.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อให้เลือกซื้อเครื่องยนต์ไอพ่น ที 800 สำหรับเครื่องบินโบอิ้ง 777 ของบริษัทการบินไทย ครั้งที่สองระหว่างปี 2535-2540 จ่ายสินบนให้เป็นเงิน 10.38 ล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อซื้อเครื่องยนต์ไอพ่น ที 800 ลอต 2 โดยมีการเบิกค่าสินบนล่วงหน้า 2 ล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อจัดการขั้นตอนทางการเมือง ส่วนครั้งที่สามระหว่างปี 2547-2548 จ่ายสินบนเป็นเงิน 7.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อซื้อเครื่องยนต์ไอพ่น ที 800 ลอต 3โดยมีการเจรจาและกินข้าวกับรัฐมนตรีรายหนึ่งเพื่อให้คณะรัฐมนตรีอนุมัติสัญญา

สำหรับการจ่ายสินบนสองลอตแรกนั้นยังคลุมเครือเพราะไม่ได้ระบุช่วงเวลาที่ชัดเจน แต่ระบุช่วงเวลากว้างๆ ครอบคลุมรัฐบาลหลายคณะและนายกรัฐมนตรีตลอดจนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมและผู้บริหารบริษัทการเมืองไทยหลายคนตั้งแต่ปี 2534-2548 แต่ที่น่าสนใจและค่อนข้างชัดเจนก็คือสินบนในลอตที่ 3 ช่วงปี 2547-2548 ซึ่งเป็นช่วงเวลาชัดเจนว่าอยู่ในยุครัฐบาล นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯนักโทษหนีคุก โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมยุครัฐบาลทักษิณที่ดำรงตำแหน่งตั้งแต่ปี 2545-2548 ก็คือ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจซึ่งเคยตกเป็นข่าวอื้อฉาวเกรียวกราวมาแล้วกรณีทุจริตจัดซื้อเครื่องตรวจวัตถุระเบิดซีทีเอ็กซ์ 500 ที่ติดตั้งประจำสนามบินสุวรรณภูมิ โดยประธานคณะกรรมการบริหารบริษัทการบินไทยช่วงปี 2545-2548 คือ ดร.ทนง พิทยะอดีตรมว.คลัง ส่วนกรรมการผู้อำนวยการใหญ่บริษัทการบินไทยในช่วงเวลาเดียวกันก็คือ นายกนก อภิรดี

ล่าสุด ดร.ทนง รีบชิงออกมาแถลงปฏิเสธพัลวันว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสินบนฉาวโรลส์-รอยซ์

ขณะที่กรณีสินบนฉาวโรลส์-รอยซ์ ยังคุกรุ่นเหมือนผีซ้ำด้ำพลอยเมื่อกรณีทุจริตอื้อฉาวกระฉ่อนโลกถูกตีแผ่เพิ่มขึ้นอีกเป็นไฟลามทุ่ง โดยกระทรวงยุติธรรมของสหรัฐอเมริกาสอบพบการติดสินบนของบริษัทโรลส์-รอยซ์ ให้นักการเมืองและเจ้าหน้าที่ของบริษัทปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม(ปตท.สผ.) เป็นเงินกว่า11 ล้านเหรียญสหรัฐหรือราว 385 ล้านบาท

โดยเป็นการตรวจสอบพบใน 6 โครงการระหว่างปี 2546-2555 โดยเป็นการจ่ายสินบนให้บุคคลระดับผู้บริหาร 1 ราย ระดับเจ้าหน้าที่ 3 ราย และที่ไม่สามารถระบุได้อีก 2 ราย ประกอบด้วยโครงการ GSP-5 ระหว่างวันที่ 24 ก.ค. 2546-16 พ.ย.2547 จำนวน 2.494ล้านเหรียญสหรัฐฯหรือราว 87.3 ล้านบาท โครงการ OCS3ระหว่างวันที่ 19 ม.ค. 2549-24 ม.ค.2551 จำนวน 1.386 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 48.5 ล้านบาท และโครงการ PTT Arthit ระหว่างวันที่ 19 ม.ค.2549-18 ม.ค.2557 จำนวน 1.096 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 38.3 ล้านบาท โครงการ PCS ระหว่างวันที่ 15-29 ก.ย.2549-11 ก.ย. 2551 จำนวน 2.073 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 72.5 ล้านบาท โครงการ ESP-PTT ระหว่างวันที่ 24 พ.ค.2550-18 ก.พ.2556 จำนวน 1.934 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 67.6 ล้านบาท และโครงการ GSP-6 ระหว่างวันที่ 28 มี.ค.2551-13 พ.ย.2552 จำนวน 2.287 เหรียญสหรัฐ หรือราว 80 ล้านบาท

หลังตกเป็นข่าวอื้อฉาวกระฉ่อนโลกกรณีสินบนโรลส์-รอยซ์ ทำให้หลายหน่วยงานถึงกับพล่านตรวจสอบกันจ้าละหวั่นโดยคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) มีมติประสานไปยังบริษัทการบินไทยรวมทั้งขอความร่วมมือไปยังหน่วยปราบปรามการทุจริตของอังกฤษเพื่อขอข้อมูลการจ่ายสินบนอย่างละเอียดเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง เบื้องต้นพร้อมตั้งคณะกรรมการไต่สวน โดยจากข้อมูลเบื้องต้นพบว่าการจ่ายสินบนเกิดขึ้น 3 ช่วงคือ ช่วงปี 2534-2535 ซึ่งหมดอายุความแล้วไม่สามารถดำเนินคดีได้ ช่วงที่สองปี 2536-2540 ที่มีบางช่วงใกล้หมดอายุความ 20 ปี และช่วงที่สามปี 2547-2548 ที่ยังไม่หมดอายุความซึ่งต้องเร่งดำเนินการต่อไป

ขณะที่ นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คมนาคม เรียกผู้บริหารบริษัทการบินไทยมาให้ข้อมูลเบื้องต้นพร้อมทั้งกำชับให้สรุปผลการตรวจสอบภายใน 30 วัน

ด้าน นายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาสผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.) กล่าวว่าการสอบสวนของ SFO ของอังกฤษและมีการนำข้อเท็จจริงเข้าสู่การพิจารณาชั้นศาลด้วยข้อมูลหลักฐานประกอบต่างๆ จึงมีน้ำหนักเป็นอย่างมาก ดังนั้นสตง.จะทำการตรวจสอบเพราะการรับสินบนเข้าข่ายความผิดตามกฎหมาย

กรณีสินบนฉาวโรลส์-รอยซ์ ถือเป็นอีกคดีตัวอย่างการทุจริตโกงชาติปล้นแผ่นดินกระฉ่อนโลกที่สะท้อนความเน่าเฟะของเหล่านักโกงเมืองผู้มีอำนาจภายใต้ระบอบธุรกิจการเมืองในคราบประชาธิปไตยจอมปลอมอันเลวร้ายที่จะต้องตรวจสอบนำตัวขบวนการรับสินบนมาลงโทษเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างโดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกนักโกงเมือง อีกทั้งสะท้อนความจำเป็นที่จะต้องมีการปฏิรูปอย่างจริงจังเพื่อขจัดเหล่านักธุรกิจการเมืองไม่ให้เข้ามามีอำนาจปล้นประเทศอีกต่อไป

ทีมข่าวการเมือง

คนการเมืองไม่ส่องกระจกดูตัวเอง บีบทหารเซ็นเอ็มโอยูห้ามยึดอำนาจ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/253203

วันศุกร์ ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2560, 02.00 น.

นับเป็นการเปิดประเด็นร้อนแรงยั่วโทสะและสวนกระแสบรรยากาศการสร้างความปรองดองของแกนนำสองพรรคใหญ่คือเพื่อไทยและประชาธิปัตย์ที่คงทำเอาเหล่าท็อปบู๊ตหงุดหงิดไม่น้อยด้วยการเรียกร้องให้กองทัพร่วมลงนามในเอ็มโอยูเพื่อสร้างความปรองดองโดยให้สัตยาบันว่า จะไม่มีการปฏิวัติรัฐประหารฉีกรัฐธรรมนูญอีกในอนาคต

คนการเมืองรายแรกที่ออกมาเปิดประเด็นร้อนคือ นายวรชัย เหมะ อดีต สส.พรรคเพื่อแม้ว เจ้าเก่าที่เคยผลักดันร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับสุดซอยยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ที่มีเป้าหมายแอบแฝงหวังลบล้างโทษความผิดให้กับ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯนักโทษหนีคุกคดีทุจริต เพื่อจะได้กลับบ้านแบบเท่ๆโดยไม่ต้องติดคุกทั้งๆ ที่เป็นการทำลายหลักนิติรัฐ จนเป็นชนวนให้มวลมหาประชาชนหลายล้านคนออกมาชุมนุมแสดงพลังครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ต่อต้านและขับไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ และจบลงด้วยการยึดอำนาจของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)เมื่อวันที่ 22 พ.ค.2557 ล่าสุดนายวรชัย ออกมาเปิดประเด็นร้อนแกว่งปากหาท็อปบู๊ตว่า การปรองดองไม่ใช่เรื่องการนิรโทษกรรมอย่างเดียว แต่เป็นเรื่องการสร้างจิตสำนึกโดยเฉพาะนายทหารนักการเมืองบางคนให้รู้จักเคารพกติกาของประเทศ หากอยากมีอำนาจบริหารประเทศขอให้มาลงเลือกตั้ง และอยากเสนอให้นายทหารและกองทัพไทยมาเซ็นเอ็มโอยูเพื่อสร้างความปรองดองโดยให้สัตยาบันว่าจะไม่ก่อรัฐประหารอีก

ส่วนรายที่สองคือ นายกษิต ภิรมย์ อดีตรมว.ต่างประเทศ และอดีตสส.พรรคประชาธิปัตย์ ที่เห็นว่า เอ็มโอยู ที่คนไทยต้องการนั้นรวมถึงการที่ทหารจะไม่ออกมาทำรัฐประหารและฉีกรัฐธรรมนูญอีกในอนาคต นั่นก็แปลว่าในการปฏิรูปประเทศครั้งนี้ประชาชนจะต้องได้รับระบบการบังคับใช้กฎหมายที่ดีเพียงพอที่จะใช้ตรวจสอบควบคุมการบริหารประเทศ และสามารถจัดการข้อขัดแย้งกันเองได้ โดยทหารจะได้เอาเวลาไปปฏิบัติหน้าที่เฉพาะของตนเองได้อย่างเต็มที่

จากความเห็นของแกนนำสองพรรคใหญ่ดังกล่าวคงต้องพิเคราะห์ถึงที่มาที่ไปและประวัติศาสตร์การยึดอำนาจของท็อปบู๊ต 2 ครั้งหลังช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ซึ่งต้องยอมรับว่าการเข้ามาของฝ่ายทหารนั้นไม่ใช่เพราะอยากได้อำนาจ แต่จำเป็นต้องเข้ามาเพราะนักลากตั้งแก้ปัญหากันเองไม่ได้จนนำชาติไปสู่ความวิบัติ และเพื่อหยุดยั้งการนองเลือดของคนในชาติ และที่สำคัญคือเพื่อหยุดพฤติกรรมชั่วร้ายของนักธุรกิจการเมืองทุนสามานย์เผด็จการเสียงข้างมากในคราบประชาธิปไตยจอมปลอม

โดยรัฐประหารยึดอำนาจจากรัฐบาลทักษิณเมื่อปี 2549 ก็ด้วยเหตุผล 3 ประการคือ 1.รัฐบาลทักษิณทุจริตคอร์รัปชั่นโกงชาติปล้นแผ่นดินอย่างมโหฬารและย่ามใจ 2. ส่อพฤติการณ์บ่อนทำลายสถาบันเบื้องสูง และ 3. ใช้ความเป็นเผด็จการเสียงข้างมากในคราบประชาธิปไตยแทรกแซงองค์กรอิสระและผูกขาดอำนาจทำสิ่งเลวร้ายตามใจชอบจนเกิดความแตกแยกในชาติอย่างลึกซึ้งรุนแรงชนิดไม่เคยปรากฏมาก่อนนำมาซึ่งการออกมาชุมนุมขับไล่ของพลังมหาประชาชนกลายเป็นสงครามกลางเมืองนองเลือด

ส่วนการรัฐประหารโดยคสช.เมื่อวันที่ 22 พ.ค.2557 นอกจากเพื่อป้องกันสงครามกลางเมืองนองเลือดครั้งใหญ่แล้ว ยังเพราะรัฐบาลมีการทุจริต และไม่สามารถบริหารประเทศต่อไปได้จากการออกมาแสดงพลังขับไล่ครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของมวลมหาประชาชนหลายล้านคนจนบ้านเมืองเข้าสู่ภาวะรัฐล้มเหลวสิ้นเชิง

เพราะฉะนั้นการรัฐประหารสองครั้งที่ผ่านมาจึงไม่ใช่เกิดจากการกระหายอำนาจของฝ่ายทหาร แต่เป็นเพราะพฤติกรรมอันชั่วร้ายเหลวแหลกเน่าเฟะของเหล่านักธุรกิจการเมืองทั้งสิ้น

ทั้งนี้คงไม่มีใครอยากให้ทหารเข้ามายึดอำนาจฉีกรัฐธรรมนูญซึ่งหากนักลากตั้งทั้งหลายประพฤติตนอยู่กับร่องกับรอยมีจริยธรรมและธรรมาภิบาล กองทัพไม่ว่าหน้าไหนก็ไม่มีช่องทางที่อยู่ๆ จะขนรถถังเข้ามาล้มกระดานเพราะการยึดอำนาจถือเป็นกบฏมีโทษถึงขั้นประหาร จึงต้องมีสาเหตุและความชอบธรรมพอ ถ้าทหารยึดอำนาจเพื่อตัวเองประชาชนไม่ยอมและออกมาต่อต้านแน่นอนซึ่งประวัติศาสตร์ก็มีบทเรียนให้เห็นมาแล้ว

ในทางตรงกันข้ามหากทหารเข้ามาเพื่อกอบกู้สถานการณ์เพื่อชาติบ้านเมืองย่อมได้รับการแซ่ซ้องสนับสนุนจากประชาชน จึงไม่แปลกที่ผลสำรวจของโพลล์ไม่ว่าสำนักไหนนับตั้งแต่คสช.เข้ามาควบคุมอำนาจการปกครองประเทศตั้งแต่เมื่อวันที่ 22 พ.ค.2557 สะท้อนให้เห็นว่า ประชาชนเอือมระอาต่อพฤติการณ์ของเหล่านักลากตั้งเต็มที ขณะเดียวกันให้การสนับสนุนคสช.ด้วยเสียงท่วมท้นถึงขนาดอยากให้คสช.อยู่บริหารประเทศต่อไปนานๆ เนื่องจากอยากให้บ้านเมืองเกิดความสงบสุขไม่กลับไปสู่วิกฤติอันเลวร้ายโดยเหล่านักการเมืองอีก

เผด็จการนั้นมีหลายรูปแบบทั้งเผด็จการทหารและเผด็จการเสียงข้างมากในคราบประชาธิปไตยจอมปลอม ซึ่งเผด็จการทหารที่ยึดอำนาจฉีกรัฐธรรมนูญนั้นเผยตัวตนอย่างชัดเจนว่าเข้ามามีอำนาจนอกวิถีทางของประชาธิปไตยซึ่งหากประชาชนไม่พอใจสามารถลุกฮือออกมาต่อต้านได้ แต่ที่อันตรายยิ่งกว่าก็คือรัฐบาลเผด็จการรัฐสภาเสียงข้างมากในคราบประชาธิปไตยจอมปลอมที่แนบเนียนอำพรางโฉมหน้าที่แท้จริงในการทำสิ่งชั่วร้ายโดยอาศัยความชอบธรรมจากคราบนักลากตั้งตามระบอบประชาธิปไตยบังหน้า

การที่แกนนำสองพรรคใหญ่เรียกร้องให้ท็อปบู๊ตลงนามในเอ็มโอยู ให้สัตยาบันว่าจะไม่ก่อรัฐประหารอีกจึงเป็นแค่วาทกรรมของพวกหลักกูโลกสวยประชาธิปไตยจ๋าแบบไม่ลืมหูลืมตาและสอดคล้องกับประชาธิปไตยแบบไทยๆที่เต็มไปด้วยความเหลวแหลกเน่าเฟะ ทั้งนี้การยึดอำนาจล้มกระดานจะเกิดขี้นอีกหรือไม่คงไม่มีใครสามารถรับประกันได้เพราะปัจจัยสำคัญที่จะกำหนดก็คือเหล่านักลากตั้งเอง ซึ่งหากทำตัวดีย่อมไม่มีช่องให้ท็อปบู๊ตเข้ามา เว้นแต่จะประพฤติชั่วเป็นธุรกิจการเมืองเผด็จการเสียงข้างมากในคราบประชาธิปไตยจอมปลอมที่โกงชาติปล้นแผ่นดินอย่างย่ามใจและนำประเทศไปสู่การนองเลือดกลายเป็นรัฐ
ล้มเหลวนั่นย่อมเปิดช่องและความชอบธรรมที่จะมีอัศวินม้าขาวเข้ามากอบกู้ชาติบ้านเมืองท่ามกลางเสียงปรบมือสนับสนุนของประชาชนส่วนใหญ่

ทีมข่าวการเมือง