ประชาชนไม่มีปัญหาปรองดอง ชาติป่วนเพราะตัวการแค่หยิบมือเดียว

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/253065

วันพฤหัสบดี ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2560, 06.00 น.

นี่แค่เริ่มต้นของกระบวนการสร้างความปรองดองก็ส่อเค้าชุลมุนเละตุ้มเป๊ะเป็นมวยวัดโดยบรรดาแกนนำกลุ่มการเมืองคู่ขัดแย้งหรือแม้แต่พวกเดียวกันเองต่างออกมาแสดงวาทกรรมน้ำเน่าแบบเดิมๆขณะที่บางพวกซ่อนไต๋ซุกเป้าหมายแอบแฝง และหลายคนตั้งแง่ไม่เอาด้วยกับแนวคิดให้คู่กรณีทุกฝ่ายร่วมลงนามในเอ็มโอยูที่มี พล.อ.ประวิตรวงษ์สุวรรณ รองนายกฯฝ่ายความมั่นคงเป็นโต้โผวางแนวทางสร้างความปรองดองตามคำสั่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)

ท่าทีที่ร้อนแรงถูกจับตาเป็นพิเศษก็คือ ลุงกำนัน-สุเทพ เทือกสุบรรณ ประธานมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย อดีตเลขาธิการคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) ที่ออกมาให้ความเห็นว่า แม้สนับสนุนแนวคิดยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศของคสช. แต่คงไม่ร่วมลงนามเอ็มโอยูเพื่อสร้างความปรองดองเพราะคงไม่เกิดประโยชน์ เนื่องจากการปรองดองจะเกิดขึ้นได้ไม่ใช่แค่พิธีกรรม แต่ต้องรณรงค์ให้ทุกคนในชาติเคารพหลักกฎหมาย จึงไม่เห็นด้วยหากจะมีการนิรโทษกรรมหรือออกกฎหมายลบล้างโทษความผิดในคดีทุจริตคอร์รัปชั่น คดีหมิ่นเบื้องสูงตามมาตรา 112 ของประมวลกฎหมายอาญา หรือคดีก่อการร้ายเผาบ้านทำลายเมืองสังหารเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหาร

นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อดีตสส.และอดีตรมต.พรรคเพื่อแม้ว เลขาธิการกลุ่มเสื้อแดง ซึ่งเป็นคู่ขัดแย้งของ กปปส. ถือโอกาสเปิดศึกถล่ม ลุงกำนันสุเทพ ว่า เลอะเลือนคิดว่าตัวเองสำคัญถึงขั้นคิดว่าตัวเองคือศูนย์กลางกำหนดเงื่อนไขการปรองดอง

ขณะที่แกนนำขบวนการเพื่อแม้วหลายคน อาทิ นายจาตุรนต์ ฉายแสง หรือ นายนพดล ปัทมะ กลับมีความเห็นคล้าย ลุงกำนันสุเทพ ที่ว่ากระบวนการสร้างความปรองดองมีมากกว่าการเซ็นเอ็มโอยู แต่ขณะเดียวกันก็ตั้งแง่แขวะดักคอคสช.โดยชี้ว่ากรรมการที่วางแนวทางสร้างความปรองดองที่อำนาจรัฐตั้งขึ้นต้องวางตัวเป็นกลาง

นี่แค่ตัวอย่างของการตั้งแง่และความปั่นป่วนวุ่นวายเพียงแค่เริ่มกระบวนการปรองดอง และเชื่อว่ายิ่งนานวัน ไต๋ของแต่ละฝ่ายโดยเฉพาะขบวนการเพื่อแม้วจะชัดเจนมากขี้นเรื่อยๆ โดยขณะนี้ขบวนการเพื่อแม้วเล่นบทตีสองหน้าโดย ด้านหนึ่งทำทีสร้างภาพหนุนการปรองดอง แต่อีกด้านหนึ่งซ่อนเป้าหมายแท้จริงที่จะงัดออกมาต่อรองนั่นก็คือการนิรโทษกรรมแบบสุดซอยเพื่อลบล้างโทษความผิดให้กับทุกคนทุกคดี ซึ่งก็คือลบล้างโทษความผิดทั้งหมดให้ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯนักโทษหนีคุก และเหล่าแกนนำเสื้อแดงที่เป็นผู้ต้องหาก่อการร้ายเผาบ้านทำลายเมือง เมื่อปี 2553 รวมทั้งเชื่อว่าอาจมีการเจรจาลับต่อรองเพื่อช่วยอดีตสองนายกฯหุ่นเชิดตระกูลชินให้พ้นผิด คือ น.ส.ยิ่งลักษณ์ชินวัตร ในคดีโครงการรับจำนำข้าวที่มีการโกงชาติปล้นแผ่นดินมโหฬารและสร้างความเสียหายแก่ประเทศครั้งเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ และ นายสมชายวงศ์สวัสดิ์ ในคดีสั่งสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเมื่อปี 2551

เพราะฉะนั้นวาระแห่งชาติสร้างความปรองดองในชาติที่เหมือนจับปลาใส่กระด้งครั้งนี้จะเป็นโจทย์ยากที่ท้าทายพิสูจน์ฝีมือและเครดิตของรัฐบาลคสช. โดยเฉพาะ พล.อ.ประวิตร ที่รับหน้าเสื่อเป็นโต้โผใหญ่รับผิดชอบการวางแนวทางสร้างความปรองดองทั้งหมด

แม้หลายฝ่ายจะสนับสนุนแนวทางสร้างความปรองดองเพราะดีกว่าไม่ทำอะไรเลยแต่ก็เห็นว่า การปรองดองต้องไม่ทำลายหลักนิติรัฐ โดยผู้กระทำผิดควรพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเองและถูกลงโทษตามกระบวนการยุติธรรม โดยเฉพาะคดีเกี่ยวกับการทุจริต คดีหมิ่นเบื้องสูง และคดีอาญาร้ายแรง

ทั้งนี้การปรองดองต้องไม่ใช่การยื่นหมูยื่นแมวเจรจาต่อรองกับโจรเพื่อลบล้างโทษความผิด ซึ่งหากเป็นอย่างนั้นเท่ากับทำลายความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมาย หลักนิติรัฐและกระบวนการยุติธรรมอย่างสิ้นเชิง

และหากจะพูดถึงเรื่องความปรองดอง ความจริงแล้วประชาชนทั้งประเทศแม้จะมีความเห็นที่แตกต่างแต่ก็ไม่ได้แตกแยกรุนแรงหรือเป็นต้นตอของวิกฤติทำลายชาติในช่วงที่ผ่านมา และโดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังการเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในพระบรมโกศได้สร้างคุณูปการอันใหญ่หลวงต่อชาติบ้านเมืองโดยทำให้คนไทยมีความรักสามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียวมากขึ้นเพื่อสนองพระปณิธานของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชในพระบรมโกศ ดังนั้นประชาชนส่วนใหญ่จึงไม่ได้มีปัญหาที่จะต้องสร้างความปรองดอง

แต่ปัญหาความแตกแยกในชาติที่ผ่านมาล้วนเกิดจากนักธุรกิจการเมืองเพียงหยิบมือเดียวที่เป็นต้นเหตุตัวการบงการชักใยสุมไฟแตกแยกในชาติจนลุกลามบานปลายกลายเป็นวิกฤติสร้างความบอบช้ำอย่างหนักให้ประเทศตลอดช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมา ด้วยพฤติการณ์ของขบวนการธุรกิจการเมืองเผด็จการเสียงข้างมากในคราบประชาธิปไตยจอมปลอมที่ใช้เงินและผลประโยชน์ทุกรูปแบบซื้อพวก ซื้อ สส. ซื้อเสียง ซื้อประชาธิปไตย และซื้ออำนาจรัฐ จากนั้นใช้อำนาจรัฐโกงชาติปล้นแผ่นดินถอนทุนคืนบวกกำไรมหาศาลและใช้อำนาจรัฐซื้อเสียงทางอ้อมเพื่อผูกขาดอำนาจในระยะยาว ซึ่งขบวนการธุรกิจการเมืองเพียงหยิบมือเดียวที่บ่อนทำลายชาติพวกนี้สมควรได้รับการลงโทษอย่างสาสมมากกว่าที่จะมาต่อรองลบล้างโทษความผิดของตัวเองโดยอ้างการสร้างความปรองดองบังหน้า อีกทั้งอำนาจรัฐคสช.ควรเอาเวลามุ่งแก้ปัญหาด้านอื่นๆของชาติบ้านเมืองและความเดือดร้อนของประชาชนดีกว่ามาเสียเวลากับพวกที่เคยทำลายชาติซึ่งเป็นคนแค่หยิบมือเดียว

ทีมข่าวการเมือง

เพื่อแม้วนับวันเผยไต๋ ตั้งแง่ป่วนปรองดอง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/252886

วันพุธ ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2560, 06.00 น.

วาระแห่งชาติเพื่อสร้างความปรองดองในชาติของรัฐบาลคสช.แค่เริ่มตั้งไข่ยังไม่ทันเริ่มต้นเป็นรูปเป็นร่างก็เริ่มมีสัญญาณตั้งแง่ป่วนจากขบวนการเพื่อแม้วมากขึ้นเรื่อยๆ

โดยก่อนหน้านี้ นพ.เชิดชัย ตันติศิรินทร์ อดีตสส.พรรคเพื่อแม้ว ออกมาส่งสัญญาณว่าหากจะปรองดองก็ต้องทำแบบสุดซอยอย่างไม่มีเงื่อนไข โดยนิรโทษกรรมความผิดให้ทุกคนและทุกคดีไม่ว่าจะเป็นคดีอะไรร้ายแรงแค่ไหน ซึ่งความหมายส่อเจตนาต้องการฟอกโทษความผิดทั้งหมดให้กับ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯนักโทษหนีคุกคดีทุจริตที่มีคดีเป็นชนักปักหลังอีกมากมาย รวมทั้ง เหล่าแกนนำเสื้อแดงที่เป็นผู้ต้องหาก่อการร้ายเผาบ้านทำลายเมืองเมื่อปี 2553 และอาจรวมถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯหุ่นเชิด ที่เป็นจำเลยคนสำคัญคดีโครงการรับจำนำข้าวที่มีการทุจริตมโหฬารและสร้างความย่อยยับให้ประเทศครั้งเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์

ล่าสุด นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อดีต สส.อดีตรัฐมนตรีพรรคเพื่อแม้ว และเลขาธิการกลุ่มคนเสื้อแดง อ้างรูปแบบการสร้างความปรองดองในหลายประเทศทั่วโลกและได้รับการยอมรับระดับสากล อาทิ เอกวาดอร์ โดยเมื่อทุกฝ่ายเห็นว่าต้องปรองดองจึงให้องค์การสหประชาชาติเข้ามาดำเนินการโดยตั้งคณะกรรมการสร้างความปรองดองที่มีชาวต่างชาติร่วมอยู่ด้วย

นายณัฐวุฒิ อ้างว่าไม่มีประเทศไหนสร้างความปรองดองได้สำเร็จโดยอำนาจรัฐที่เป็นคู่กรณีของความขัดแย้ง พร้อมทั้งพยายามจะชี้ในทำนองว่า อำนาจรัฐคสช.คือคู่กรณีในความขัดแย้งเพราะฉะนั้นจึงไม่ควรเป็นตัวกลางในการสร้างความปรองดอง

ท่าทีของ นายณัฐวุฒิ ที่เริ่มออกลายยังส่อเจตนาเดินเกมตามแผนโลกล้อมไทยที่ขบวนการเพื่อแม้วถนัดและใช้มาตลอด ด้วยการดึงยูเอ็นเข้ามาร่วมขบวนการปรองดองไม่ต่างอะไรจากการชักศึกเข้าบ้าน ปล่อยให้ยูเอ็นเข้ามาแทรกแซงกิจการภายในและอธิปไตยของไทย ทั้งๆ ที่การสร้างความปรองดองเป็นเรื่องภายในที่คนไทยทั้งประเทศต้องร่วมกันแก้ปัญหาด้วยตัวเอง

นอกจากนี้บทบาทของยูเอ็นนั้นไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเป็นองค์กรที่มีเบื้องหลังทางการเมืองซึ่งถูกบงการครอบงำโดยชาติมหาอำนาจตะวันตกโดยเฉพาะมะกันอันตรายมาตลอด ดังนั้น บทบาทของยูเอ็นจึงไม่ได้เป็นกลางอย่างที่อ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ผ่านมายูเอ็นดูเหมือนจะอคติต่อคสช.ไม่น้อย การชักศึกเข้าบ้านดึงยูเอ็นเข้ามาร่วมกระบวนการปรองดองของไทยจึงถูกตั้งข้อสังเกตว่าแทนที่จะสร้างความปรองดองกลับจะยิ่งเป็นการทำให้ความแตกแยกบานปลายมากยิ่งขึ้น

นอกจาก นายณัฐวุฒิ แกนนำขบวนการเพื่อแม้วอีกหลายคนต่างออกมาส่งสัญญาณส่อในลักษณะไม่ไว้ใจ
อำนาจรัฐคสช.ในการเป็นตัวกลางสร้างความปรองดอง อาทิ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หรือ นายจาตุรนต์ ฉายแสง

คุณหญิงหน่อย ชี้ว่า 4 ปัจจัยที่จะทำให้การปรองดองประสบความสำเร็จคือ 1.ผู้มีอำนาจต้องทำตัวเป็นกรรมการกลาง ไม่ใช่ทำตัวเป็นคู่ขัดแย้งเสียเองอย่างที่ทำมาตลอดตั้งแต่คสช.เข้ายึดอำนาจ 2.รับฟังทุกฝ่ายอย่างจริงใจด้วยความเสมอภาค มิใช่แค่เพียงเรียกคู่กรณีมาทำพิธีกรรม 3.การดำเนินการสู่ความปรองดองต้องทำตามหลักสากล ไม่เลือกปฏิบัติโดยฝ่ายหนึ่งได้ อีกฝ่ายหนึ่งไม่ได้ 4.ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องต้องยึดผลประโยชน์ส่วนรวมเป็นหลัก โดยต่างต้องถอยหรือลดประโยชน์ของตัวเอง

ส่วน นายจาตุรนต์ พยายามชี้ให้เห็นว่าผู้มีอำนาจในปัจจุบันบางส่วนไม่อยากเสียหน้าว่าเป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้ง และบางส่วนอาจไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าเป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้งโดยตรง พร้อมกล่าวว่า ยังไม่แน่ใจคสช.และรัฐบาลมีความจริงใจแค่ไหนที่จะสร้างความปรองดอง ซึ่งคงต้องดูท่าทีในการแสดงความเห็น ซึ่งหากเป็นเวทีพูดแบบขอไปทีหรือโยนความผิดให้อีกฝ่ายหนึ่งก็อาจพังตั้งแต่ยังไม่เริ่มแล้ว

ขณะที่ความเห็นอีกด้านหนึ่งซึ่งเป็นคู่ขัดแย้งของขบวนการเพื่อแม้วคือ นายถาวร เสนเนียม แกนนำคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข(กปปส.) แม้จะสนับสนุนพร้อมเข้าร่วมกระบวนการสร้างความปรองดอง แต่ก็ตั้งข้อสังเกตอย่างน่าสนใจว่า การสร้างความปรองดองหากเป็นเพียงพิธีกรรมคงไม่สามารถทำให้บ้านเมืองเกิดความสงบอย่างแท้จริงได้ ตราบใดที่ระบบราชการยังมีปัญหาจากการที่ข้าราชการรับใช้ฝ่ายการเมืองที่มีอำนาจ เพราะฉะนั้นหากไม่มีการปฏิรูประบบราชการปัญหาความแตกแยกขัดแย้งก็พร้อมที่จะปะทุขึ้นอีก และที่สำคัญวิกฤติทางการเมืองตลอดช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมาไม่ได้เกิดจากความเห็นทางการเมืองที่แตกต่างกันเท่านั้น

แต่ต้นตอสำคัญเกิดจากการบริหารบ้านเมืองด้วยระบอบธุรกิจการเมืองทุนสามานย์ในคราบประชาธิปไตยจอมปลอมที่เต็มไปด้วยการทุจริตคอร์รัปชั่นโกงชาติปล้นแผ่นดินอย่างมโหฬาร แล้วใช้เงินและผลประโยชน์ทุกรูปแบบซื้อพวก ซื้อ สส. ซื้อเสียง ซื้อประชาธิปไตย ซื้ออำนาจรัฐยึดครองประเทศ แล้วใช้อำนาจรัฐถอนทุนบวกกำไรมหาศาล และสร้างคะแนนนิยมแผ่ขยายอิทธิพลผูกขาดยึดครองประเทศในระยะยาว

เพราะฉะนั้นตราบใดที่ยังไม่มีการปฏิรูปการเมืองด้วยการขจัดธุรกิจการเมืองทุนสามานย์ในคราบประชาธิปไตยจอมปลอมอย่างจริงจัง ในที่สุดพลังมวลมหาประชาชนก็จะออกมาขับไล่รัฐบาลธุรกิจการเมืองจนกลายเป็นวิกฤติความรุนแรงและจบลงด้วยการรัฐประหารกลายเป็นวังวนวงจรอุบาทว์อันซ้ำซากไม่รู้จบ

ทีมข่าวการเมือง

ปรองดองเสียของถ้าทำลายหลักนิติรัฐ ไม่ขจัดธุรกิจการเมืองต้นเหตุแตกแยก

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/252730

วันอังคาร ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2560, 02.00 น.

จากนี้ไปคงต้องจับตาดูบทบาทของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง ที่ได้รับมอบหมายจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)ให้รับหน้าเสื่อวางแนวทางสร้างความปรองดองให้สำเร็จก่อนการเลือกตั้ง โดยมีข่าวว่า พล.อ.ประวิตร เตรียมเชิญอดีตนายกฯและบุคคลสำคัญร่วมหารือ และเชิญตัวแทนสองพรรคการเมืองใหญ่คู่กัด ร่วมลงนามในบันทึกความเข้าใจ หรือเอ็มโอยู เพื่อสร้างความปรองดองครั้งประวัติศาสตร์

แม้ล่าสุดตัวแทนสองพรรคใหญ่ คือ พรรคเพื่อแม้วโดย นายสามารถ แก้วมีชัย อดีตสส.เชียงราย และ นายอำนวย คลังผา อดีตสส.ลพบุรี กับพรรคประชาธิปัตย์ โดย นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีตสส.พัทลุง รองหัวหน้าพรรค และ นายองอาจคล้ามไพบูลย์ อดีตสส.กทม. รองหัวหน้าพรรค จะส่งสัญญาณตอบรับพร้อมเข้าร่วมลงนามในเอ็มโอยู แต่พรรคเพื่อแม้ว ดูเหมือนยังมีการตั้งแง่อยู่ในที โดยก่อนหน้านี้ นพ.เชิดชัย ตันติศิรินทร์ อดีตสส.พรรคเพื่อแม้ว ส่งสัญญาณเผยไต๋เงื่อนไขที่จะนำไปสู่การสร้างความปรองดองต้องมีการลบล้างโทษความผิดให้กับคนทุกสีทุกกลุ่มทุกคดีอย่างไม่มีเงื่อนไข นั่นหมายถึงการลบล้างโทษความผิดที่ครอบคลุมไปถึงนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯนักโทษหนีคุก เหล่าแกนนำคนเสื้อแดงที่เป็นผู้ต้องหาคดีก่อการร้ายเผาบ้านทำลายเมืองเมื่อปี 2553 รวมทั้งเหล่าขบวนการเพื่อแม้วที่เป็นผู้ต้องหาคดีหมิ่นเบื้องสูงที่หนีหมายจับไปเคลื่อนไหวอยู่ในต่างแดน

ที่สำคัญอาจจะมีการเจรจาลับระหว่างขบวนการเพื่อแม้วกับอำนาจรัฐคสช.เพื่อช่วยน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรอดีตนายกฯหุ่นเชิด ซึ่งเป็นจำเลยคนสำคัญคดีโครงการรับจำนำข้าวซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งเป้าหมายสำคัญของ นายใหญ่อดีตนักโทษหนีคุก ที่คงทนไม่ได้หากน้องสาวต้องติดคุก

ขณะที่ นายนิพิฏฐ์ ตั้งข้อสังเกตว่าจะทำเอ็มโอยูเรื่องอะไรที่จะลงนามกันซึ่งจะต้องมีคำตอบที่ชัดเจนและวางหลักให้ดี เพราะเอ็มโอยูไม่มีผลทางกฎหมาย พร้อมยกตัวอย่างว่า เอ็มโอยูอาจกำหนดเป็นสัญญาประชาคมว่า ในอนาคตพรรคการเมืองจะต้องไม่ผลักดันกฎหมายนิรโทษกรรมแบบสุดซอยเพื่อคนบางคนหรือจะต้องไม่แก้รัฐธรรมนูญเพื่อการปฏิรูปประเทศหลังการเลือกตั้ง

ขณะที่นักสังเกตการณ์ทางการเมืองมองว่า แม้ตัวแทนพรรคใหญ่จะลงนามในเอ็มโอยูก็ไม่ได้เป็นหลักประกันว่าความปรองดองจะเกิดขึ้นอย่างแท้จริง เพราะเอ็มโอยูไม่ใช่กฎหมายอาจมีการบิดพลิ้วหาข้ออ้างไม่ปฏิบัติตามเมื่อไหร่ก็ได้ โดยเฉพาะหากพรรคเพื่อแม้วชนะการเลือกตั้งและเข้ามามีอำนาจยึดครองประเทศอาจเลิกล้มข้อตกลงทั้งหมดแล้วดำเนินการตามความต้องการของ นายใหญ่อดีตนายกฯนักโทษหนีคุก ที่ต้องการกลับบ้านแบบเท่ๆโดยไม่ต้องติดคุกคดีทุจริตตามคำพิพากษาศาล

ทั้งนี้ไม่ต้องรอให้ขบวนการเพื่อแม้วออกลายหลังการเลือกตั้งเพราะเชื่อว่าในการหารือก่อนลงนามในเอ็มโอยู ตัวแทนขบวนการเพื่อแม้ว คงจะส่งสัญญาณตั้งแง่ยื่นเงื่อนไขตามที่ นายใหญ่ อดีตนายกฯนักโทษหนีคุก ต้องการ ซึ่งเท่าที่ดูสัญญาณบางอย่างจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.)ซึ่งเป็นหนึ่งในแม่น้ำ 5 สาย ของคสช.เหมือนต้องการผลักดันสูตรสร้างความปรองดองแบบพบกันครึ่งทาง นั่นคือพร้อมที่จะยกโทษความผิดให้กับคนทุกกลุ่มโดยไม่ต้องออกกฎหมายนิรโทษกรรมอันเป็นการทำลายหลักนิติรัฐ โดยผู้ที่กระทำผิดจะต้องพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเองตามกระบวนการยุติธรรม แต่จะมีการออกกฎหมายที่สามารถเสนอต่ออัยการ หรือศาลให้ประกันตัวหรือลดหย่อนผ่อนโทษ

คำถามก็คือ นายใหญ่ อดีตนายกฯนักโทษหนีคุกจะยอมตามแนวทางปรองดองแบบพบกันครึ่งทางหรือไม่ ซึ่งหากขบวนการเพื่อแม้ว มีความจริงใจที่จะสร้างความปรองดองและเห็นแก่ชาติบ้านเมืองก็ไม่ควรตั้งแง่ยึดแต่เป้าหมายผลประโยชน์ของตัวเองฝ่ายเดียว โดยปล่อยให้เรื่องความผิดถูกชั่วดีตัดสินตามกระบวนการยุติธรรมและสิ้นสุดที่ศาล

แต่ที่สำคัญที่สุดหากจะแก้ปัญหาความแตกแยกและสร้างความปรองดองในชาติอย่างยั่งยืนต้องแก้ที่ต้นเหตุโดยทุกฝ่ายต้องยึดหลักฎหมายและกระบวนการยุติธรรมด้วยการยอมรับในอำนาจศาลให้เป็นผู้ตัดสินความถูกผิด ขณะเดียวกันต้องมีการปฏิรูปประเทศเพื่อขจัดธุรกิจการเมืองทุนสามานย์ในคราบประชาธิปไตยจอมปลอมอย่างเข้มข้นจริงจัง เพราะต้องยอมรับว่าตลอดกว่า 10 ปีที่ผ่านมา ระบอบธุรกิจการเมืองทุนสามานย์ในคราบประชาธิปไตยจอมปลอม โดยขบวนการเพื่อแม้วคือต้นเหตุสำคัญที่เป็นจุดเริ่มต้นสร้างความแตกแยกในชาติที่ลึกซึ้งรุนแรงอย่างไม่เคยมีมาก่อน ด้วยพฤติกรรมทุจริตโกงชาติปล้นแผ่นดิน อย่างมโหฬาร และใช้ผลประโยชน์ทุกรูปแบบซื้อพวก ซื้อ สส. ซื้อเสียง ซื้อประชาธิปไตย ซื้ออำนาจรัฐ จากนั้นใช้อำนาจรัฐทุจริตคอร์รัปชั่นถอนทุนบวกกำไรมหาศาล และใช้นโยบายประชานิยมมอมเมาประชาชนโดยไม่คำนึงถึงความพินาศล่มจมต่อการคลังของประเทศ ขณะเดียวกันทะเยอทะยานมักใหญ่ใฝ่สูงมีแนวคิดที่ส่อไปในทางเป็นภัยต่อสถาบันเบื้องสูงจนเป็นสาเหตุให้กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ออกมาชุมนุมแสดงพลังขับไล่รัฐบาลทรราชในคราบประชาธิปไตยอันชั่วร้ายและจบลงด้วยการรัฐประหารถึง 2 ครั้ง ช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมา

ทั้งนี้หากธุรกิจการเมืองทุนสามานย์ในคราบประชาธิปไตยจอมปลอมยังไม่ถูกขจัดให้หมดสิ้นไปและกลับมามีอำนาจบริหารบ้านเมืองอีกครั้งหลังการเลือกตั้งโดยไม่เปลี่ยนธาตุแท้พฤติกรรมของตัวเอง คาดการณ์ได้เลยว่าในที่สุดก็จะมีมวลมหาประชาชนออกมาแสดงพลังขับไล่ และในที่สุดหนีไม่พ้นท็อปบู๊ทต้องออกมาแสดงบทอัศวินม้าขาว กลายเป็นวังวนวงจรอุบาทว์ซ้ำซากไม่มีที่สิ้นสุด

ทีมข่าวการเมือง

เพื่อแม้วเผยไต๋ออกลาย ตั้งแง่ปรองดองต้องสุดซอย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/252578

วันจันทร์ ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2560, 06.00 น.

ขณะที่อำนาจรัฐยุคคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)พยายามเดินหน้าสร้างประวัติศาสตร์ยุติความแตกแยกในชาติที่ยืดเยื้อมากว่า 10 ปี และสร้างความปรองดองในชาติ เพื่อให้ประเทศเดินหน้าปฏิรูปให้พ้นจากวังวนของวงจรอุบาทว์อันชั่วร้ายอย่างยั่งยืน แต่ดูเหมือนว่าขบวนการเพื่อแม้วจะยังยืนยันจุดยืนของตัวเองไม่เปลี่ยนแปลงด้วยการตั้งแง่ว่า หากคิดจะปรองดองต้องทำแบบสุดซอย

ความคืบหน้าหลังจากที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคสช. ประกาศเรื่องการสร้างความปรองดองเป็นยุทธศาสตร์ชาติที่ต้องทำให้สำเร็จก่อนการเลือกตั้งหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินตามกรอบการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติและการสร้างความสามัคคีปรองดอง(ป.ย.ป.)ที่ทำเนียบรัฐบาลเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ล่าสุด นายพีระศักดิ์ พอจิต รองประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เปิดเผยว่า เท่าที่ได้พูดคุยกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ
รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง ซึ่งได้รับมอบหมายจาก พล.อ.ประยุทธ์ ให้รับผิดชอบวางแนวทางการสร้างความปรองดองทราบว่า พล.อ.ประวิตร มีแนวคิดเบื้องต้นว่า เร็วๆ นี้จะเชิญทุกฝ่ายทุกพรรคคู่ขัดแย้งมาพูดคุยเพื่อหาทางออกขจัดเงื่อนไขแห่งความขัดแย้ง จากนั้นจะทำข้อตกลงเอ็มโอยูเพื่อยุติความขัดแย้งและเดินหน้าไปสู่การปรองดองก่อนการเลือกตั้งให้ได้ โดยข้อตกลงจะไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องกฎหมาย แต่จะทำให้สังคมได้รับรู้อย่างเปิดเผย

ก่อนหน้านี้คณะกรรมาธิการด้านการเมืองของ สนช.ที่มี นายกล้านรงค์ จันทิก เป็นประธานได้พิจารณาร่าง พ.ร.บ.อำนวยการความยุติธรรมทางอาญาเกี่ยวกับมูลเหตุจูงใจทางการเมืองซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งในแนวทางสร้างความปรองดองที่พิจารณาเสร็จแล้วและมีข่าวว่าขณะนี้ร่างกฎหมายฉบับนี้ได้เสนอต่อรัฐบาลไปแล้ว หากรัฐบาลเห็นชอบก็จะเสนอกลับมายังสนช.เพื่อลงมติผ่านเป็นกฎหมายมีผลบังคับใช้ต่อไป

สาระสำคัญของ พ.ร.บ.อำนวยการความยุติธรรมทางอาญาเกี่ยวกับมูลเหตุจูงใจทางการเมืองกำหนดให้มีคณะกรรมการอำนวยการความยุติธรรมทางอาญาที่เกี่ยวเนื่องกับมูลเหตุจูงใจทางการเมืองจำนวน 11 คนจากตัวแทนคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ คณะกรรมการตุลาการศาลปกครอง คณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม คณะกรรมการอัยการ ผู้ตรวจการแผ่นดิน สถาบันพระปกเกล้า กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ สภาทนายความ และที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย

คณะกรรมการทั้ง 11 คนจะมีหน้าที่รวบรวมข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ที่เกี่ยวเนื่องจากเหตุการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองตั้งแต่ปี 2548 ถึงวันที่ 22 พ.ค.2557 อันเป็นวันที่คสช.เข้ายึดอำนาจการปกครองประเทศและกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการอำนวยความยุติธรรมตลอดจนการเยียวยาและเสนอแนะแนวทางความเห็นในการอำนวยความยุติธรรมต่อคณะรัฐมนตรี รัฐสภา ศาล องค์กรอัยการและองค์กรอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

ที่สำคัญคณะกรรมการทั้ง 11 คนมีอำนาจจำแนกคดีอาญาที่มีมูลเหตุจูงใจทางการเมืองแล้วส่งความเห็นลดหย่อนโทษต่อศาลและอัยการได้ อย่างไรก็ตาม การอำนวยความยุติธรรมทางอาญาจะไม่ครอบคลุมผู้ต้องหาคดีทุจริต คดีความผิดตามมาตรา 112 ของประมวลกฎหมายอาญาฐานหมิ่นเบื้องสูง หรือคดีอาญาร้ายแรงเกี่ยวกับความมั่นคง

จากแนวทางสร้างความปรองดองตามสูตรของคสช.และรัฐบาล ปรากฏว่ามีท่าทีแบไต๋การปรองดองอย่างมีเงื่อนไขจากอดีตสส.พรรคเพื่อแม้วคือ นพ.เชิดชัย ตันติศิรินทร์ ที่ส่งสัญญาณว่าที่ผ่านมาอำนาจรัฐคสช.ยังไม่ได้แสดงท่าทีปรองดองอย่างจริงจัง หากจะปรองดองจริงจะกล้าทำหรือไม่ หากรัฐบาลจะทำอะไรก็ให้รีบทำเรื่องจะได้จบๆ ขณะนี้พูดเรื่องการปรองดองเหมือนเขาวงกต ต้องเดินออกจากเขาวงกตซะบ้างบ้านเมืองจะได้ก้าวข้ามความขัดแย้ง

“แต่การที่จะมาสร้างเงื่อนไขการปรองดองเหมือนที่นายเสรี สุวรรณภานนท์ ประธานคณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านการเมือง สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ(สปท.)เสนอให้การนิรโทษกรรมไม่ครอบคลุมคดีทุจริต คดีหมิ่นเบื้องสูง และคดีอาญาร้ายแรงมันไม่ถูกต้อง เพราะหากคิดจะปรองดองจริงต้องไม่มีเงื่อนไข โดยเฉพาะคดีอาญาไม่ว่าคดีรุนแรงแค่ไหนต้องให้ทั้งหมดเพื่อความปรองดอง”

ท่าทีของ นพ.เชิดชัย คงไม่ต่างจากเหล่าขบวนการเพื่อแม้วทั้งหลาย รวมทั้งจุดยืนของนักโทษชายแม้ว อดีตนายกฯนักโทษหนีคุก ที่ก่อนหน้านี้เคยย้ำหลายครั้งว่าหากจะปรองดองต้องนับหนึ่งใหม่ทั้งหมด และจุดยืนที่ชัดเจนของ นักโทษชายแม้ว ชัดเจนในการบงการอยู่เบื้องหลังร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับสุดซอยในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ โดยมีเป้าหมายแอบแฝงมุ่งลบล้างโทษความผิดคดีทุจริตให้ตัวเองเพื่อกลับบ้านแบบเท่ๆ และกลับมายิ่งใหญ่โดยไม่ต้องติดคุกตามคำพิพากษาของศาล ซึ่งพ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับสุดซอยนี่เองกลายเป็นชนวนให้มวลมหาประชาชนหลายล้านคนออกมาแสดงพลังต่อต้านครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์จนเกิดการนองเลือดและประเทศกลายเป็นรัฐล้มเหลวสิ้นเชิงทำให้คสช.ต้องตัดสินใจเข้ามายึดอำนาจการปกครองประเทศ

การที่สาวกขบวนการเพื่อแม้วแบไต๋ว่าหากจะปรองดองต้องนิรโทษกรรมผู้กระทำผิดทุกคดีอย่างไม่มีเงื่อนไขสะท้อนให้เห็นธาตุแท้ขบวนการเพื่อแม้วที่ยึดหลักกูเป็นที่ตั้ง เพราะขณะที่เรียกร้องว่าการปรองดองต้องไม่มีเงื่อนไข แต่ตัวเองกลับส่งสัญญาณตั้งแง่ในทำนองว่าหากปรองดองต้องมีการนิรโทษแบบสุดซอยซึ่งน่าจะรวมทั้งนักโทษชายแม้ว น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ
หุ่นเชิดซึ่งเป็นจำเลยคนสำคัญคดีโครงการรับจำนำข้าวสุดอื้อฉาวที่สร้างความย่อยยับให้ประเทศครั้งเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ รวมทั้งแกนนำขบวนการใต้ดินที่เคยก่อการร้ายเผาบ้านทำลายเมือง

ทีมข่าวการเมือง

วิกฤติศรัทธานักลากตั้ง ปชช.เอือมวังวนวงจรอุบาทว์

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/252470

วันอาทิตย์ ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2560, 02.00 น.

บรรดานักลากตั้งโดยเฉพาะ 2 พรรคใหญ่ คือ เพื่อไทยและประชาธิปัตย์ ออกมาเคลื่อนไหวเร่งให้มีเลือกตั้งโดยเร็วตามโรดแมปอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน และออกมาโวยวายประท้วงทันทีหลังจากที่มีสัญญาณจากที่นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) ที่ออกมาส่งสัญญาณว่าการเลือกตั้งครั้งใหม่อาจจะมีขึ้นในปี 2561 เนื่องจากสนช.มีกฎหมายค้างการพิจารณาจำนวนมากรวมทั้งการพิจารณากฎหมายลูกประกอบรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้ง 4 ฉบับ ต้องใช้เวลาพอสมควรจนคาดว่าจะไม่สามารถมีการเลือกตั้งได้ภายในปี 2560

พรรคเพื่อไทยดูจะออกอาการดิ้นรนและโวยวายเป็นพิเศษในการคัดค้านการยืดโรดแมปเลือกตั้งพร้อมทั้งถือโอกาสโจมตีดิสเครดิต พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ว่าพลิกลิ้นไม่ทำตามสัญญาประชาคมที่เคยประกาศกับชาวโลกและคนไทยทั้งประเทศว่าจะมีเลือกตั้งภายในปี 2560 ตามโรดแมปโดยวางแผนยื้อเวลาครองอำนาจต่อไป

ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงกรอบเวลาที่จะมีการเลือกตั้งเป็นไปตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่กำลังจะประกาศใช้อย่างสมบูรณ์โดยในมาตรา 267 บัญญัติว่า “ให้คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ(กรธ.)จัดทำร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญให้แล้วเสร็จภายใน 240 วัน นับแต่มีรัฐธรรมนูญใหม่ใช้บังคับ และเมื่อทำเสร็จให้เสนอต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป เมื่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้รับร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญแล้วต้องพิจารณาให้เสร็จภายใน 60 วัน นับแต่วันที่ได้รับร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญแต่ละฉบับ และเมื่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาเสร็จให้ส่งร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญให้ศาลรัฐธรรมนูญหรือองค์กรที่เกี่ยวข้องและคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญภายใน 10 วัน โดยหากมีข้อโต้แย้งว่าเนื้อหาไม่ตรงตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญให้มีคณะกรรมาธิการร่วมเพื่อพิจารณาทบทวน ภายใน 15 วัน และส่งกลับเข้าที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติลงมติยืนยันว่าจะเห็นชอบกับสิ่งที่มีการทบทวนหรือไม่”

ขณะที่มาตรา 268 บัญญัติว่า “ให้ดำเนินการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามรัฐธรรมนูญใหม่นี้ให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งร้อยห้าสิบวัน นับแต่วันที่พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญมีผลบังคับใช้แล้ว”

จากข้อเท็จจริงดังกล่าวจึงชัดเจนว่า โรดแมปการเลือกตั้งจะมีขึ้นเมื่อไหร่เป็นไปตามขั้นตอนกรอบเวลาที่บัญญัติไว้ในร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ส่วนการเลือกตั้งจะยืดออกไปหรือไม่ขึ้นอยู่กับคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ(กรธ.)และสนช.ว่าจะพิจารณาร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญได้ทันตามกรอบเวลาหรือไม่ ไม่เกี่ยวข้องกับรัฐบาลและคสช.อย่างสิ้นเชิง

ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ ออกมาประกาศท่าทีตอกย้ำอย่างชัดเจนอีกครั้งว่า การเลือกตั้งจะมีขึ้นตามโรดแมปภายในปี 2560การออกมาเคลื่อนไหวของขบวนการระบอบทักษิณเพื่อเร่งให้มีการเลือกตั้งโดยเร็วเป็นการสะท้อนอาการดิ้นรนเอาตัวรอดจากสภาพหลังพิงฝา เพราะการเลือกตั้งเป็นหนทางเดียวสำหรับขบวนการระบอบทักษิณที่จะมีโอกาสกลับมามีอำนาจยึดครองประเทศและลบล้างโทษความผิดทั้งหมดให้กับ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯนักโทษหนีคุก และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯหุ่นเชิด ผู้เป็นน้องสาวซึ่งเป็นจำเลยคนสำคัญคดีโครงการรับจำนำข้าวที่สร้างความเสียหายครั้งเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์

จากความเคลื่อนไหวของ 2 พรรคใหญ่ โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทยที่เร่งให้มีการเลือกตั้งโดยเร็ว แต่จากเสียงสะท้อนของประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศจากผลสำรวจของโพลล์สำนักต่างๆ ตลอดช่วงที่ผ่านมาพบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ต้องการให้รัฐบาลภายใต้อำนาจพิเศษอยู่บริหารประเทศต่อไปมากกว่าที่อยากให้มีการเลือกตั้ง โดยผลสำรวจความเห็นของประชาชนทั่วประเทศเปรียบเทียบระหว่างรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ที่มาจากการรัฐประหารกับรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของสวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต เมื่อไม่นานมานี้พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศร้อยละ 48.84 มองว่ารัฐบาลนายกฯบิ๊กตู่ดีกว่ารัฐบาลจากการเลือกตั้งเพราะทำงานได้รวดเร็ว คล่องตัวภายใต้อำนาจพิเศษ บ้านเมืองเกิดความสงบไม่มีการทะเลาะเบาะแว้งอย่างรุนแรง รัฐบาลทำงานไปในทิศทางเดียวกัน และมีผลงานให้เห็น ขณะที่ประชาชนเพียงร้อยละ 23.72 เห็นว่ารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งดีกว่ารัฐบาลจากการรัฐประหาร

ส่วนสำนักวิจัยซูเปอร์โพลเผยแพร่ผลสำรวจความเห็นประชาชนทั่วประเทศก่อนหน้านี้เรื่องใครทำให้ชาวบ้านสุขสุดปี 2559 โดยตั้งคำถามว่านายกรัฐมนตรีและอดีตนายกรัฐมนตรีของไทยที่ทำให้ชาวบ้านสุขสุดในปีที่เพิ่งผ่านมาพบว่า พล.อ.ประยุทธ์ นำโด่งเป็นอันดับ 1 ร้อยละ 80.3 ทิ้งห่างอดีตนายกฯนักโทษหนีคุกอย่าง นายทักษิณ ชินวัตร ที่ได้แค่ร้อยละ 5.9 ส่วน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกฯ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ได้ร้อยละ 5.5

เพราะฉะนั้นขณะที่เหล่านักลากตั้งทั้งหลายพล่านเร่งให้มีการเลือกตั้ง แต่พลังมหาชนส่วนใหญ่ของประเทศกลับไม่ได้สนใจว่าจะมีการเลือกตั้งตามโรดแมปหรือไม่ เมื่อไหร่ ขอเพียงบ้านเมืองสงบสุขภายใต้อำนาจพิเศษ เพราะบทเรียน 10 ปีที่ผ่านมา พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าการเลือกตั้งและระบอบประชาธิปไตยแบบจอมปลอมมีแต่ทำให้บ้านเมืองวนเวียนอยู่แต่ในวังวนของวงจรอุบาทว์อันเลวร้ายที่เต็มไปด้วยการทุจริตคอร์รัปชั่น เป็นต้นเหตุก่อให้เกิดความแตกแยกในชาติอย่างรุนแรง ขณะที่เศรษฐกิจของประเทศล่มจมกลายเป็นรัฐล้มเหลว ดังนั้นประชาชนขอมีความสุขภายใต้อำนาจพิเศษดีกว่าจมปลักอยู่ในความเครียดภายใต้ระบบธุรกิจการเมืองทุนสามานย์ในคราบประชาธิปไตยจอมปลอม

ทีมข่าวการเมือง

จับตาขบวนการเพื่อแม้วป่วน ถ้าปรองดองไม่สนองนายใหญ่

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/252367

วันเสาร์ ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2560, 02.00 น.

ก่อนที่จะไปวิเคราะห์แนวโน้มการสร้างความปรองดองข่าวสำคัญข่าวหนึ่งที่ผู้คนเริ่มลืมเลือนไปก็คือการตามจับกุมธัมมชโย อดีตเจ้าสำนักจานบินและพวก รวมทั้งคดีครอบครองเบนซ์โบราณเถื่อนของสมเด็จช่วง เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ผู้ทำหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช และประธานมหาเถรสมาคม(มส.) อันเป็นอาจารย์ของธัมมชโยที่ชักทะแม่งและเริ่มแผ่วส่อเค้าอาจกลายเป็นมวยล้มต้มคนดู

โดยหมายจับ ธัมมชโย ของกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ในข้อหาฟอกเงินและรับของโจรในคดีพัวพันโกงสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น และหมายจับของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.) 2 หมาย ข้อหาครอบครองและบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติและที่ราชพัสดุตั้งเป็นสาขาสำนักจานบินเวิลด์พีซวัลเล่ย์ ที่เขาใหญ่จ.นครราชสีมา และที่จ.เลย ซึ่งก่อนปีใหม่มีการยึกยักเลื่อนแล้วเลื่อนอีกในการเข้าตรวจค้นจับกุม ธัมมชโย และสาวกอีกหลายคนโดยมีการส่งสัญญาณว่าจะปฏิบัติการจับ ธัมมชโย ทันทีหลังปีใหม่ แต่นี่มาถึงกลางเดือน ม.ค.แล้วฝ่ายเจ้าหน้าที่ยังนิ่งสนิทขณะที่เริ่มมีรายงานข่าวว่า ธัมมชโย และ นายองอาจ ธรรมนิทาโฆษกสำนักจานบิน ผู้ต้องหาตามหมายจับฐานยุยงปลุกปั่นสาวกจานบินเพื่อขวางการจับ ธัมมชโย บัดนี้เผ่นหนีออกนอกประเทศไปแล้วอย่างลอยนวล

ส่วนคดีรถเบนซ์โบราณเถื่อนที่ตอนแรกทำท่าขึงขังที่สาวไปให้ถึง สมเด็จช่วง และพระเลขาฯคนสนิทคือ พระมหาศาสนมุนี หรือ หลวงพี่แป๊ะ แต่แล้วล่าสุดถูกตั้งข้อสังเกตว่าอาจเป็นมวยล้มต้มคนดูโดยสำนักงานอัยการสูงสุด(อสส.)มีความเห็นสั่งฟ้องบรรดาเจ้าของอู่รถอีก 2-3 คน ที่ร่วมปลอมแปลงเอกสารเท็จนำเข้าอุปกรณ์เพื่อประกอบรถเบนซ์โบราณเถื่อนของ สมเด็จช่วง โดยสั่งไม่ฟ้อง หลวงพี่แป๊ะด้วยเหตุผลว่า ไม่มีพยานหลักฐานใดพิสูจน์ได้ว่าผู้ต้องหารับรถยนต์ไว้โดยรู้ว่าเป็นรถเถื่อน

สรุปได้ว่าคดีนี้ความผิดอาจถูกตัดตอนไปอยู่แค่เจ้าของอู่ที่ประกอบและซ่อมรถเบนซ์โบราณเถื่อน ซึ่งสาธารณะก็วินิจฉัยเอาเองก็แล้วกันว่า รถเบนซ์โบราณเถื่อนราคาหลายล้านบาทเป็นไปได้หรือไม่ที่เจ้าของอู่รถจะซ่อมโดยไม่มีคนว่าจ้างและจ่ายเงินให้ ซึ่งข้อน่าสงสัยก็คือคนจ้างและคนจ่ายเงินทำไมไม่ถูกดำเนินคดี

อย่างไรก็ตาม คดีนี้ยังไม่เป็นที่สิ้นสุดโดยฝ่าย อสส.ต้องส่งความเห็นไปยังดีเอสไอซึ่งดีเอสไอมีอยู่ 2 ทางเลือก คือไม่คัดค้านความเห็นของอสส. หรือหากคัดค้านต้องเริ่มกระบวนการทำสำนวนการสอบสวนเพิ่มเติมใหม่แล้วส่งไปยังอสส.อีกครั้ง ซึ่งการสั่งไม่ฟ้องของอสส.ครั้งนี้มีข้อน่าสังเกตว่า อาจเกิดจากดุลยพินิจของอสส. หรืออาจเป็นเพราะดีเอสไอทำสำนวนอ่อนตั้งแต่แรก

เพราะฉะนั้นสาธารณชนคงต้องจับตาดูต่อไปว่า กรณีการตามจับ ธัมมชโยและ คดีรถเบนซ์โบราณ เถื่อนของ สมเด็จช่วง จะจบลงแบบมวยล้มต้มคนดูอย่างสมบูรณ์แบบหรือไม่

ส่วนอีกเรื่องหนึ่งที่กำลังเป็นประเด็นร้อนระดับชาติคือการสร้างความปรองดองซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)ประกาศจะสร้างประวัติศาสตร์ทำให้สำเร็จภายในปี 2560 นี้ โดยมอบหมายให้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง รับผิดชอบในการวางแนวทางและเชิญบุคคลสำคัญจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องมาร่วมหารือโดยมีข่าวว่าจะมีอดีตนายกฯคนดังเข้าร่วมด้วย

ขณะที่มีรายงานข่าวน่าสนใจความเคลื่อนไหวหนึ่งก็คือร่าง พ.ร.บ.การอำนวยความยุติธรรมทางอาญาที่เกี่ยวกับมูลเหตุจูงใจทางการเมืองที่คณะกรรมาธิการด้านการเมืองของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) ที่มี นายกล้านรงค์ จันทิก เป็นประธานพิจารณาเสร็จแล้วโดยมีทั้งหมด 33 มาตรา ซึ่งสรุปสาระสำคัญได้ว่า ให้มีคณะกรรมการอำนวยความยุติธรรมทางอาญาที่เกี่ยวเนื่องกับมูลเหตุจูงใจทางการเมืองจำนวน 11 คน ประกอบด้วยตัวแทนจากคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติคณะกรรมการตุลาการศาลปกครอง คณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม คณะกรรมการอัยการ ผู้ตรวจการแผ่นดิน สถาบันพระปกเกล้า กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ สภาทนายความและที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย

คณะกรรมการอำนวยความยุติธรรมทางอาญาฯทั้ง 11 คนจะทำหน้าที่รวบรวมข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ที่เกี่ยวเนื่องจากเหตุการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองตั้งแต่ปี 2548 ถึงวันที่ 22 พ.ค.2557 อันเป็นวันที่คสช.เข้าควบคุมอำนาจการปกครองประเทศ และกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการอำนวยความยุติธรรมตลอดจนการเยียวยา และเสนอแนะแนวทางความเห็นในการอำนวยความยุติธรรมต่อคณะรัฐมนตรี รัฐสภา ศาล องค์กรอัยการ และองค์กรอื่นที่เกี่ยวข้อง

คณะกรรมการอำนวยความยุติธรรมทางอาญาฯมีอำนาจจำแนกคดีอาญาที่มีมูลเหตุจูงใจทางการเมืองแล้วส่งความเห็นลดหย่อนโทษต่อศาลและอัยการได้ แต่ที่สำคัญการอำนวยความยุติธรรมทางอาญาจะไม่ครอบคลุมผู้ต้องหาคดีทุจริต คดีหมิ่นเบื้องสูงตามมาตรา 112 หรือคดีอาญาร้ายแรงเกี่ยวกับความมั่นคง

ดังนั้นคงต้องดูกันต่อไปว่าแนวทางสร้างความปรองดองครั้งประวัติศาสตร์ที่กำลังจะเกิดขี้นภายใต้ยุคคสช.จะสัมฤทธิผลตามเป้าหมายหรือไม่ โดยตัวแปรสำคัญที่ต้องจับตาคือท่าทีของขบวนการเพื่อแม้วโดยเฉพาะนักโทษชายแม้ว เพราะจากสาระสำคัญของร่าง พ.ร.บ.การอำนวยความยุติธรรมเพื่อสร้างความปรองดองฉบับนี้ไม่สนองความต้องการของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯนักโทษหนีคุกคดีทุจริต และน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรอดีตนายกฯหุ่นเชิดผู้เป็นน้องสาวซึ่งเป็นจำเลยคนสำคัญคดีโครงการรับจำนำข้าวที่สร้างความเสียหายแก่ประเทศครั้งเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ ทั้งนี้นักวิเคราะห์มองว่าหลังการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นหากพรรคเพื่อแม้วได้กลับมาเป็นรัฐบาลอาจจะมีการรื้อรัฐธรรมนูญและกฎหมายเพื่อสร้างความปรองดองฉบับนี้อย่างขนานใหญ่เพราะเป้าหมายสำคัญที่นักโทษชายแม้วต้องการคือลบล้างโทษความผิดให้ตัวเองเพื่อจะได้กลับบ้านแบบเท่ๆ รวมทั้งลบล้างโทษความผิดของน.ส.ยิ่งลักษณ์ตลอดจนเหล่าบริวารขบวนการเพื่อแม้วที่เป็นผู้ต้องหาก่อการร้ายเผาบ้านทำลายเมืองและหมิ่นเบื้องสูงซึ่งนั่นหมายถึงชนวนระเบิดเวลาที่จะนำไปสู่ความแตกแยกครั้งใหญ่รอบใหม่

ทีมข่าวการเมือง

นิรโทษกรรมเพื่อปรองดอง ต้องแยกแยะไม่ทำลายหลักนิติรัฐ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/252251

วันศุกร์ ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2560, 02.00 น.

การสร้างความปรองดองก่อนการเลือกตั้งกำลังกลายเป็นประเด็นร้อนที่ทุกฝ่ายกำลังเฝ้าจับตา โดยก่อนหน้านี้คนของขบวนการเพื่อแม้วออกมาส่งสัญญาณเรียกร้องให้มีการนิรโทษกรรมความผิดแก่คนทุกสีทุกกลุ่มเพื่อสร้างความปรองดอง แต่ท่าทีล่าสุดของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ชัดเจนว่าไม่เห็นด้วยที่จะมีการพูดเรื่องการนิรโทษกรรมในขณะนี้

สำหรับขบวนการเพื่อแม้วที่ผ่านมา อ้างการสร้างความปรองดองบังหน้าแต่ซ่อนเป้าหมายที่แท้จริงก็เพื่อลบล้างโทษความผิดให้กับ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯนักโทษหนีคุกคดีทุจริต เพื่อจะได้กลับบ้านแบบเท่ๆ โดยไม่ต้องติดคุกตามคำพิพากษาของศาลอันเป็นการทำลายหลักนิติรัฐและอาจรวมถึงเป้าหมายต่อรองเพื่อล้มคดีโครงการรับจำนำข้าวที่มีการทุจริตโกงชาติปล้นแผ่นดินมโหฬารและสร้างความเสียหายแก่ประเทศครั้งเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยมี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯหุ่นเชิด และพวกที่เป็นจำเลยคนสำคัญ ตลอดจนลบล้างโทษความผิดให้กับเหล่าแกนนำเสื้อแดงภายใต้การบงการของ นักโทษชายแม้ว ที่สร้างสถานการณ์ก่อการร้ายเผาบ้านทำลายเมืองเมื่อปี 2553

ความพยายามที่จะผลักดันให้มีการนิรโทษกรรมครั้งล่าสุดของขบวนการเพื่อแม้ว ก็คือ การหักดิบลักไก่ผลักดัน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับสุดซอยที่บงการ โดย นักโทษชายแม้ว ในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ โดยซ่อนเป้าหมายแอบแฝงเพื่อลบล้างโทษความผิดให้ นักโทษชายแม้ว จนเป็นชนวนให้มวลมหาประชาชนออกมาแสดงพลังคัดค้านครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์หลายล้านคนจนกลายเป็นวิกฤตการณ์นองเลือดและประเทศกลายเป็นรัฐล้มเหลวสิ้นเชิง ทำให้คสช.ต้องเข้ายึดอำนาจการปกครองเพื่อปฏิรูปประเทศเมื่อวันที่ 22 พ.ค.2557

เมื่อเร็วๆ นี้ แกนนำพรรคเพื่อแม้วหลายคนออกมาส่งสัญญาณเรียกร้องให้สร้างความปรองดองไม่ว่าจะเป็น นายสามารถ แก้วมีชัย อดีตสส.เชียงราย นายวรชัย เหมะ อดีตสส.สมุทรปราการ และล่าสุดคือ นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล อดีตสส.และรองหัวหน้าพรรคเพื่อแม้ว ส่งสัญญาณแบะท่าพร้อมที่จะเข้าร่วมการหารือกับทุกฝ่ายเพื่อสร้างความปรองดอง

ขณะที่จุดยืนของ นักโทษชายแม้ว ที่เคยส่งสัญญาณมาตลอดก็คือ หากต้องการให้เกิดการปรองดองต้องเซตซีโร่โดยทุกอย่างต้องกลับไปสู่สภาพเดิมก่อนที่รัฐบาลทักษิณจะถูกรัฐประหารครั้งแรกเมื่อปี 2549 นั่นหมายถึงต้องคืนความยุติธรรมทุกอย่างให้กับ อดีตนายกฯนักโทษหนีคุก ที่นอกจากถูกศาลพิพากษาจำคุก 2 ปี โดยไม่รอลงอาญาในคดีทุจริตซื้อที่ดินย่านรัชดาภิเษก แล้วยังมีคดีทุจริต รวมทั้งคดีเกี่ยวกับความมั่นคงเป็นชนักปักหลักอีกหลายคดี

แต่สำหรับคสช.และรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ แสดงท่าทีล่าสุดชัดเจนถึงการสร้างความปรองดองว่า ต้องย้อนกลับไปสู่ว่าความแตกแยกในชาติที่ผ่านมา มีต้นเหตุเกิดจากอะไร นอกจากเรื่องการเมืองแล้วยังมีเรื่องอื่นอีกหรือไม่ เพราะถ้าพูดเรื่องการเมืองอย่างเดียวก็ต้องพูดถึงเรื่องการนิรโทษกรรมทำให้ทุกอย่างเดินหน้าไปไม่ได้

“ขอให้ทุกคนเข้าใจว่าประเทศปั่นป่วนมา 10 กว่าปีแล้ว มีคนทำผิดกฎหมาย ไม่ยอมรับกติกาสังคม ไม่เช่นนั้นรัฐบาลคงไม่เข้ามาอยู่ตรงนี้ แต่เมื่อเข้ามาแล้วก็ต้องแก้ไขปัญหาเพื่อไม่ให้ปัญหากลับมาที่เก่า……การปรองดองไม่ใช่เฉพาะคนที่มีโทษ เพราะคนปกติก็ต้องปรองดองกัน ไม่อย่างนั้นก็ยังแบ่งเป็นพวก”

ล่าสุด พล.อ.ประยุทธ์ เป็นประธานการประชุมเตรียมการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติและการสร้างความปรองดองสมานฉันท์ ที่ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งภายหลังการประชุม พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า วันนี้ถือเป็นวันสำคัญที่สุดสำหรับประเทศไทยเพราะจะเป็นการเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ของประเทศในทุกด้าน

ขณะเดียวกันก็มีความเคลื่อนไหวทะแม่งๆ จากข้อเสนอของ นายเสรี สุวรรณภานนท์ ประธานคณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านการเมือง สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ(สปท.) เกี่ยวกับแนวทางการสร้างความปรองดองโดยเฉพาะแนวคิดที่จะจัดให้คดีก่อการร้ายเผาบ้านทำลายเมืองของขบวนการระบอบทักษิณและคดีบุกสนามบินของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ไม่ถือเป็นคดีร้ายแรง พร้อมเสนอให้มีการพักโทษหรือการประกันตัวผู้กระทำผิดให้ศาลพิจารณา ซึ่งอาจถูกมองได้ว่าเป็นการทำลายหลักนิติรัฐและแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม

ความจริงแล้วในส่วนของประชาชนทุกสีทุกกลุ่มภายใต้สถานการณ์ปัจจุบันไม่ได้มีความแตกแยกรุนแรงเหมือนในอดีต แต่มีความปรองดองมากขึ้นอันเป็นผลคุณูปการจากการเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ ที่ทำให้เกิดบรรยากาศคนไทยทั้งชาติทุกสีทุกกลุ่มหล่อหลอมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันหันมาเกื้อกูลปรองดองมุ่งทำความดีสืบสานพระปณิธานของพ่อแห่งแผ่นดินโดยเฉพาะการรักใคร่กลมเกลียวรู้รักสามัคคีเพื่อให้แผ่นดินเกิดความสงบสุขร่มเย็น

อีกทั้งประชาชนที่เคยถูกดำเนินคดีจากการร่วมชุมนุมทางการเมืองในอดีตขณะนี้ ได้รับการปล่อยตัวหมดแล้ว ดังนั้นในส่วนของประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศขณะนี้จึงไม่มีปัญหาเรื่องการสร้างความปรองดอง แต่ที่ยังมีการเคลื่อนไหวสุมไฟแตกแยกและพยายามกดดันต่อรองเพื่อให้มีการออกกฎหมายนิรโทษกรรมที่มีเป้าหมายแอบแฝงเพื่อคนเพียงคนเดียว โดยอ้างการสร้างความปรองดองบังหน้าอยู่ทุกวันนี้เป็นฝีมือของขบวนการเพื่อแม้ว

เพราะฉะนั้นคงต้องรอดูแนวทางสร้างความปรองดองของคณะกรรมการยุทธศาสตร์ยุคคสช.ว่าจะออกมาอย่างไร ซึ่งความจริงที่ผ่านมาคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ(คอป.)ที่มี ดร.คณิต ณ นคร เป็นประธาน หรือแม้แต่สถาบันพระปกเกล้า เคยศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดองในชาติจนได้ข้อสรุปที่สมเหตุสมผลโดยมีสาระสำคัญว่า การสร้างความปรองดองต้องทำอย่างเป็นขั้นตอนและไม่ทำลายหลักนิติรัฐ โดยคู่ขัดแย้งทุกฝ่ายต้องมานั่งโต๊ะพูดคุยอย่างเปิดอกว่าปัญหาความขัดแย้งที่ผ่านมาเกิดจากอะไร โดยแต่ละฝ่ายต้องจริงใจยอมรับความผิดของตัวเอง เพื่อเป็นบทเรียนและป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาขึ้นอีกในอนาคต เมื่อทุกฝ่ายยอมรับความผิดของตัวเองแล้ว ผู้ที่ทำผิดต้องรับโทษตามกฎหมาย จากนั้นจึงมาถึงขั้นตอนการหารือเรื่องการออกกฎหมายเพื่อนิรโทษกรรมอันเป็นขั้นตอนสุดท้าย แต่แนวทางทั้งของ คอป.และสถาบันพระปกเกล้ามีข้อสรุปสอดคล้องกันว่า การนิรโทษกรรมจะต้องไม่ครอบคลุมถึงคดีทุจริต หรือคดีความมั่นคง หรือคดีอาญาร้ายแรง รวมทั้งคดีว่าด้วยการหมิ่นสถาบันเบื้องสูงซึ่งเป็นแนวทางที่เป็นทางออกของชาติบ้านเมือง แต่อาจไม่ตอบสนองเป้าหมายแอบแฝงของขบวนการเพื่อแม้ว

ทีมข่าวการเมือง

ประชาชนต้องรู้ทัน เล่ห์นักธุรกิจการเมือง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/252102

วันพฤหัสบดี ที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2560, 02.00 น.

นับวันการเมืองจะซ่อนไว้ด้วยความเลวร้ายซับซ้อนแนบเนียนลวงโลกมากขึ้นเรื่อยๆ โดยบรรดานักธุรกิจการเมืองในคราบประชาธิปไตยจอมปลอมยุคใหม่จะอาศัยความดีแบบฉาบฉวยหรือโครงการประชานิยมบังหน้าสร้างศรัทธาจากมหาชนเพื่ออำพรางความชั่วร้ายและการทุจริตโกงชาติปล้นแผ่นดินของตัวเอง

นักธุรกิจการเมืองที่มีพฤติกรรมชั่วร้ายบางคนใช้เงินและผลประโยชน์รูปแบบต่างๆ ตั้งพรรคการเมืองขนาดใหญ่ที่มีเสียงข้างมากปูทางไปสู่เก้าอี้ผู้นำประเทศด้วยวิธีการลัดและฉ้อฉลโดยใช้ทุนมหาศาลและผลประโยชน์รูปแบบต่างๆ ซื้อพรรคการเมือง กลุ่ม สส.และสส. จากนั้นซื้อเสียงเพื่อเอาชนะการเลือกตั้งให้ได้เสียงข้างมากเพื่อจัดตั้งรัฐบาลโดยตัวเองเป็นผู้นำประเทศ ซึ่งไม่ต่างจากการซื้อประชาธิปไตย ซื้ออำนาจรัฐ ซื้อประเทศ จากนั้นก็ใช้อำนาจรัฐทุจริตโกงบ้านกินเมืองถอนทุนบวกกำไรมหาศาล ขณะเดียวกัน ก็ใช้เงินสกปรกที่ได้จากการโกงชาติ รวมทั้งอำนาจรัฐขยายอำนาจและอิทธิพลซื้อทั้งข้าราชการและกลุ่มการเมืองต่างๆมาเป็นพวกหวังผูกขาดอำนาจและผลประโยชน์ในระยะยาว

อดีตผู้นำพรรคธุรกิจการเมืองในคราบประชาธิปไตยบางคนเมื่อมีอำนาจแล้วลืมตัวทะเยอทะยานมักใหญ่ใฝ่สูงถึงคิดเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองประเทศเพื่อสถาปนาตัวเองขึ้นเป็นประมุขแห่งรัฐ และถึงขนาดอยู่เบื้องหลังขบวนการคิดล้มเจ้า

มาเฟียผู้มีอิทธิพลหรือแม้แต่นักค้ายาเสพติดในคราบนักการเมืองบางคนใช้วิธีการไม่ต่างจากนักธุรกิจการเมืองในคราบประชาธิปไตยจอมปลอมโดยมาเฟียผู้มีอิทธิพลบางคนไต่เต้าจนเป็นนักการเมืองระดับท้องถิ่นหรือระดับชาติเพื่อใช้เป็นเกราะป้องกันตัวเองจากการถูกจับกุมดำเนินคดี และที่แนบเนียนยิ่งขึ้นก็คือ บรรดามาเฟียผู้มีอิทธิพลในคราบนักการเมืองเหล่านี้จะผูกใจสร้างคะแนนนิยมในหมู่ประชาชนด้วยการพัฒนาท้องถิ่นจนเจริญรุ่งเรืองเพื่ออำพรางโฉมหน้าแท้จริงที่ชั่วร้าย อาทิ สั่งลูกน้องมือปืนฆ่าคนเป็นว่าเล่นหากไม่ยอมปฏิบัติตามความต้องการหรือซ่อนเบื้องหลังการค้าสิ่งกฎหมายต่างๆ

เพราะฉะนั้นจึงไม่แปลกที่มาเฟียผู้มีอิทธิพลบางคนซึ่งได้ชื่อว่าเป็นเจ้าพ่อแห่งภาคหนึ่งและเป็นกำนันผู้กว้างขวางที่ใครก็เกรงกลัวในตำบลแห่งหนึ่ง ซึ่งหากถามประชาชนในท้องถิ่นว่าชื่นชอบกำนันมาเฟียคนดังกล่าวหรือไม่จะได้รับคำตอบเป็นเสียงเดียวกันว่าชื่นชอบกำนันจอมอิทธิพลผู้นี้ ซึ่งด้านหนึ่งอาจเป็นเพราะเกรงกลัวในอิทธิพล แต่อีกด้านหนึ่งไม่อาจปฏิเสธได้ว่าประชาชนชื่นชมผลงานการพัฒนาท้องถิ่นจนเจริญรุ่งเรืองและชุมชนมีความสงบ ทั้งๆที่เบื้องหลังกำนันจอมอิทธิพลผู้นี้มีประวัติใช้อิทธิพลอำนาจมืดสั่งฆ่าคนราวผักปลาและเป็นเจ้าพ่อค้าสิ่งผิดกฎหมายรายใหญ่ระดับประเทศ

นักธุรกิจการเมืองในคราบประชาธิปไตยจอมปลอมบางคนไต่เต้าจนเป็นผู้นำประเทศผูกขาดอำนาจและทุจริตโกงชาติปล้นแผ่นดินอย่างมโหฬารโดยใช้เงินสกปรกจากการโกงชาติส่วนหนึ่งเป็นทุนในการต่อยอดผูกขาดอำนาจด้วยการซื้อพวก ซื้อ สส. ซื้อเสียง ซื้ออำนาจรัฐและซื้อประเทศ ไม่ต่างจากซื้อประชาธิปไตย และใช้โครงการประชานิยมมอมเมาประชาชนเสพติดงอมแงม จึงไม่แปลกที่ไม่ว่าเลือกตั้งกี่ครั้งพรรคธุรกิจการเมืองในคราบประชาธิปไตยที่แนบเนียนลวงโลกเหล่านี้จะชนะการเลือกตั้งทุกครั้งไป

นักธุรกิจการเมืองในคราบประชาธิปไตยจะอ้างว่ามาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยเป็นเครื่องมือสร้างความชอบธรรมให้ตัวเอง ทั้งๆ ที่เบื้องหลังตรงกันข้ามกับประชาธิปไตยที่แท้จริงอย่างสิ้นเชิง

ธาตุแท้พฤติกรรมของนักธุรกิจการเมืองเลวในคราบประชาธิปไตยจอมปลอมอีกประการหนึ่งก็คือมักใช้วาทกรรมโฆษณาชวนเชื่อโกหกบิดเบือนลวงโลกและมอมเมาประชาชนให้หลงเคลิ้มคล้อยตามการสร้างภาพโฆษณาชวนเชื่อบิดเบือนของตัวเองโดยไม่คำนึงถึงบาปบุญคุณโทษหรือละอายต่อบาปแต่อย่างใดทั้งสิ้น ซึ่งเปรียบได้กับพุทธพจน์ที่ว่า “คนพูดเท็จไม่ทำชั่วเป็นไม่มี”

นักธุรกิจการเมืองเลวในคราบประชาธิปไตยจอมปลอมยังอ้างว่าทำเพื่อคนรากหญ้าโดยพยายามสร้างภาพทำตัวติดดินพอเป็นพิธี และอ้างความเป็นนักเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยอำพรางโฉมหน้าที่แท้จริงอันชั่วร้ายของตัวเอง

นักธุรกิจการเมืองเลวในคราบประชาธิปไตยจอมปลอมบางคนถึงกับใช้วิธีการชั่วร้ายอาศัยอำนาจรัฐขณะเป็นรัฐบาลซื้อเสียงทางอ้อมล่วงหน้าด้วยการประกาศก่อนการเลือกตั้งว่า หากจังหวัดไหนของประเทศเลือกพรรคของนักธุรกิจการเมืองเลวในคราบประชาธิปไตยจอมปลอมก็จะได้รับการจัดสรรงบประมาณและความเชื่อเหลือจากรัฐเป็นกรณีพิเศษ แต่หากจังหวัดไหนเลือกพรรคฝ่ายตรงข้ามหรือพรรคอื่นก็จะไม่ได้รับการจัดสรรงบประมาณหรือความช่วยเหลืออย่างที่ควรจะเป็นหรือได้รับทีหลัง

เพราะฉะนั้นประชาชนควรตาสว่างรู้เท่าทันนักธุรกิจหรือมาเฟียในคราบประชาธิปไตยจอมปลอมที่เป็นต้นเหตุบ่อนทำลายวิกฤติชาติตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา และจะต้องไม่สนับสนุนนักธุรกิจการเมืองเลวในคราบประชาธิปไตยจอมปลอมไม่ให้มีโอกาสเข้ามามีอำนาจบริหารชาติบ้านเมือง

ทีมข่าวการเมือง

ปริศนานักการเมืองใหญ่-พ.ต.อ. ช่วยธัมมชโย-องอาจหนีลอยนวล?

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/251930

วันพุธ ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2560, 02.00 น.

ข่าวเริ่มหนาหูและน่าเชื่อถือมากขึ้นเรื่อยๆ สำหรับร่องรอยการหลบหนีออกนอกประเทศอย่างลอยนวลของนายองอาจ ธรรมนิทา โฆษกสำนักจานบิน ที่มีคลิปภาพไปปรากฏตัวอยู่ที่ฝรั่งโดยมีบิ๊กสีกากีให้การช่วยเหลือ ส่วนธัมมชโย อดีตเจ้าสำนักจานบินมีแนวโน้มเป็นไปได้ที่จะขนทรัพย์สินมหาศาลหลบออกจากสำนักจานบินไปแล้ว

ก่อนหน้านี้มีการเผยแพร่คลิป นายองอาจ และพระกลุ่มหนึ่งซึ่งน่าจะสังกัดสำนักจานบินกำลังกินอาหารอย่างสบายๆ ในภัตตาคารอาหารญี่ปุ่นแห่งหนึ่งในกรุงปารีสของฝรั่งเศส ขณะที่ พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(รองผบ.ตร.) แสดงท่าทีส่อเค้าความเป็นไปได้ที่ นายองอาจ น่าจะเผ่นออกนอกประเทศไปแล้ว โดย พล.ต.อ.ศรีวราห์ กล่าวว่าได้รับการยืนยันจากสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง(สตม.)ว่า ยังไม่พบ นายองอาจ เดินทางออกนอกประเทศผ่านด่านของตม.ทุกด่านทั่วประเทศ ส่วนจะเดินทางออกนอกประเทศผ่านช่องทางธรรมชาติหรือไม่ก็มีความเป็นไปได้

ด้านแหล่งข่าวฝ่ายสืบสวนของสตม.เปิดเผยว่า นายองอาจ เดินทางออกนอกประเทศครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 7 พ.ย.2559 ทางสนามบินสุวรรณภูมิไปยังนครแฟรงค์เฟิร์ตของเยอรมนีและเดินทางกลับประเทศไทยเมื่อวันที่ 22 พ.ย. 2559 จากนั้นไม่พบการเดินทางออกนอกประเทศผ่านด่านของสตม.อีกเลยและคงยากหากจะหลบหนีผ่านด่านตม. อย่างไรก็ตาม หากจะหลบหนีผ่านช่องทางธรรมชาติมีความเป็นไปได้ แต่การเดินทางจะยากลำบาก ซึ่งแม้หลบหนีผ่านช่องทางธรรมชาติไปได้ การจะมีเครื่องบินมารอรับก็ทำได้ยากเพราะช่องทางธรรมชาติส่วนใหญ่ภูมิประเทศไม่สามารถนำเครื่องบินลงจอดได้

ขณะที่ นพ.มโน เลาหวณิช อดีตศิษย์ที่เคยช่วยที่สำนักจานบินและเคยเป็นคนสนิทของธัมมชโย ให้สัมภาษณ์อย่างมั่นใจว่า นายองอาจ เผ่นออกนอกประเทศไปแล้วหลังศาลออกหมายจับข้อหายุยงปลุกปั่นให้สาวกสำนักจานบินก่อความวุ่นวายในบ้านเมืองเพื่อขัดขวางการจับกุม “ธัมมชโย” ตามหมายจับของศาล โดยมีข่าวที่น่าเชื่อถือได้ระบุว่า มีนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ระดับพันตำรวจเอกนายหนึ่งซึ่งเป็นศิษย์สำนักจานบินพา นายองอาจ หนีไปทางชายแดนลาว ซึ่งเมื่อข้ามไปยังฝั่งลาวแล้วก็ขึ้นเครื่องบินซึ่งเป็นสายการบินของนักธุรกิจใหญ่ของไทยบินไปลงที่สิงคโปร์ก่อนต่อไปยังแฟรงค์เฟิร์ตของเยอรมนีและต่อไปยังฝรั่งเศส

นพ.มโน กล่าวว่า นายองอาจ เมื่อหนีออกนอกประเทศได้แล้วก็เหมือนนกที่ออกจากกรงสามารถเดินทางเข้าประเทศต่างๆได้อย่างสะดวกเพราะมี SCHENGEN VISA MULTIPLE ENTRY ซึ่งสามารถเข้าออกประเทศในยุโรปได้ทั้งหมด

นอกจากนี้ นพ.มโน ยังเชื่อว่า ธัมมชโย น่าจะหนีออกจากประเทศไทยหลังวันที่ 27 ธ.ค.ที่ผ่านมาเพราะมีสิ่งบอกเหตุบางอย่างคือ บริเวณอาคารดาวดึงส์อันเป็นกุฏิหรูที่เป็นแหล่งซ่อนตัวของ ธัมมชโย ซึ่งปกติมีการป้องกันแน่นหนามีเวรยามตลอด 24 ชั่วโมง แต่หลังวันที่ 27 ธ.ค. กลับไม่มีเวรยามเหมือนที่เคยปฏิบัติมา อีกทั้งตู้คอนเทนเนอร์ 5 ตู้ ที่ปกติอยู่ภายในสำนักจานบินหายไปพร้อมกับการไร้ร่องรอยของ ธัมมชโย ทำให้คาดว่าเป็นการขนทรัพย์สินมีค่ามหาศาลที่ประชาชนบริจาคไปกับตู้คอนเทนเนอร์ 5 ตู้

นพ.มโน มั่นใจว่า ขณะนี้ ธัมมชโย ไม่ได้อยู่ในวัดแน่นอน แต่อาจเดินทางด้วยเครื่องบินเจ๊ตส่วนตัวของศิษย์บางคนออกนอกประเทศไปแล้ว โดยมีความเป็นไปได้ที่จะเดินทางไปยังกัมพูชา อย่างไรก็ตาม ได้รับข่าวจากอีกกระแสหนึ่งระบุว่า ธัมมชโย หลบออกจากสำนักจานบินไปซ่อนตัวอยู่ในเซฟเฮาส์ของนักการเมืองใหญ่ที่ใครก็ไม่กล้าเข้าไปค้น

เกี่ยวกับร่องรอยของ ธัมมชโย พล.ต.อ.ศรีวราห์ ยังเชื่อ 80% ว่ายังหลบซ่อนตัวอยู่ในสำนักจานบิน และชี้ว่ายังไม่มีข้อมูลเรื่อง ธัมมชโย ขนขุมทรัพย์ใส่ตู้คอนเทนเนอร์หลบหนีออกจากสำนักจานบิน อย่างไรก็ตาม ก็มีโอกาสเป็นไปได้ 20% ที่ ธัมมชโย อาจหนีไปแล้วเพราะไม่มีผู้พบเห็น ธัมมชโย ในสำนักจานบินนานแล้ว

ประเด็นคำถามซึ่งสาธารณชนต้องการคำตอบก็คือ หากข่าวที่ว่ามี พ.ต.อ.นายหนึ่งซึ่งเป็นศิษย์สำนักจานบินพา นายองอาจ และข่าวนักการเมืองใหญ่ทรงอิทธิพลรวมทั้งนักธุรกิจเกี่ยวกับสายการบินบางคนอาจมีส่วนช่วย ธัมมชโย หลบหนีหมายจับเป็นจริง ใครคือพ.ต.อ.นักการเมืองใหญ่ผู้ทรงอิทธิพล และ นักธุรกิจเกี่ยวกับสายการบิน ที่ถูกอ้างถึง และ สตช.จะดำเนินการอย่างไรกับกลุ่มบุคคลดังกล่าวเพราะถือเป็นการทำผิดกฎหมายอาญาฐานให้การช่วยเหลือผู้ต้องหาตามหมายจับ ซึ่งด้วยวิสัยของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.)น่าจะสืบหาตัวไอ้โม่งกลุ่มนี้ได้ไม่ยาก เว้นแต่จะเกียร์ว่างเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ทั้งๆ ที่ทั้ง นายองอาจ และ ธัมมชโย ต่างก็เป็นผู้ต้องหาสำคัญ หรือไม่ก็สะท้อนให้เห็นว่าการทำงานของ สตช.ไร้ประสิทธิภาพสิ้นเชิง

นอกจากนี้คดีบุกจับ ธัมมชโย ของกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ)และฝ่ายตำรวจหลังจากที่เลื่อนแล้วเลื่อนอีกเริ่มอืดจนประชาชนชักเซ็งและเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตั้งคำถามว่า หรือปฏิบัติการจับหัวหน้าโจรผ้าเหลืองครั้งนี้จะกลายเป็นมวยล้มต้มคนดูและซ่อนไว้ด้วยเบื้องหลังบางอย่างท่ามกลางเสียงร่ำลือก่อนหน้านี้เกี่ยวกับการวิ่งเต้นเสนอเงินก้อนโตเพื่อช่วย ธัมมชโย และพวก

ทีมข่าวการเมือง

ดราม่าปลุกผีนายใหญ่ สร้างขวัญสาวกเพื่อแม้วให้ฮึดสู้

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/251784

วันอังคาร ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2560, 02.00 น.

สองข่าวที่คิดว่าคอการเมืองหลายคนน่าจะให้ความสนใจไม่น้อย โดยเรื่องแรกคือ ความเคลื่อนไหวสถานการณ์ล่าสุดของสำนักจานบินที่มีการเลื่อนการบุกเข้าตรวจค้นและจับตัวธัมมชโย อดีตเจ้าสำนัก และนายองอาจ ธรรมนิทา โฆษกสำนักจานบิน ส่วนอีกเรื่องหนึ่งคือดราม่าความเคลื่อนไหวล่าสุดของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯนักโทษหนีคุก

กรณีของสำนักจานบินนั้นจนบัดนี้ก็ยังไม่มีท่าทีที่ชัดเจนจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ)และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.)ว่าจะเริ่มปฏิบัติการเข้าตรวจค้นสำนักงานบิน รวมทั้งจับตัว ธัมมชโย รวมทั้ง นายองอาจ รอบใหม่ตามหมายจับเมื่อไหร่ แต่กลับมีคลิปเผยแพร่ว่อนทางโซเชียลมีเดียเป็นภาพบุคคลที่เหมือน นายองอาจ และพระกลุ่มหนึ่งกำลังนั่งหม่ำอาหารญี่ปุ่นกันอย่างอิ่มหนำสำราญในภัตตาคารแห่งหนึ่งของเมืองน้ำหอม ฝรั่งเศส

ขณะที่ นพ.มโน เลาหวณิช อดีตเคยบวชอยู่สำนักจานบิน ซึ่งเคยเป็นคนใกล้ชิดธัมมชโยเปิดเผยว่า จากข่าวที่ได้รับมา นายองอาจ หลบหนีออกนอกประเทศทางแนวชายแดนตั้งแต่ต้นเดือน ธ.ค.ปีที่แล้ว ส่วน ธัมมชโย นั้นทราบมาว่าหนีออกนอกประเทศตั้งแต่วันที่ 27 ธ.ค. หลังจากที่ตำรวจเข้ารื้อกำแพงและสิ่งปลูกสร้างหน้าสำนักจานบิน

เช่นเดียวกับพระระดับบิ๊กในสำนักจานบินหลายคนที่ขณะนี้บินออกนอกประเทศไปแล้ว ทางสนามบินสุวรรณภูมิ อาทิ พระสุธรรมโม อดีตรักษาการเจ้าสำนัก โดยมีนายตำรวจใหญ่ซึ่งเป็นสาวกสำนักจานบินคอยอำนวยความสะดวกเปิดทางให้

ข้อสังเกตสำคัญ 2 ประเด็น ก็คือ หาก ธัมมชโย และนายองอาจ หนีออกนอกประเทศไปแล้วจริง คำถามก็คือ ทั้งสองหนีออกไปได้อย่างไร ทั้งๆที่หน่วยงานของรัฐทั้งหลายโดยเฉพาะฝ่ายตำรวจมีหน้าที่ต้องป้องกันการหลบหนีตั้งแต่ต้น

ส่วนจะมีเกลือเป็นหนอนและกรณีสำนักจานบินจะจบแบบมวยล้มต้มคนดูหรือไม่ คงต้องจับตาดูกันต่อไป

อย่างไรก็ตาม ในอีกด้านหนึ่งหาก ธัมมชโย และ นายองอาจ หลบหนีเท่ากับประจานตัวเองยอมรับว่า ผิดจริงตามข้อกล่าวหาทั้งหมด โดยเฉพาะธัมมชโยที่ถูกออกหมายจับเบื้องต้นถึง 3 หมาย ในข้อหาฟอกเงินและรับของโจรพัวพันคดีโกงสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น และข้อหาครอบครองและบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติ รวมทั้งที่สาธารณะ สร้างเป็นสาขาสำนักจานบินที่เวิลด์พีซวัลเล่ย์ เขาใหญ่ จ.นครราชสีมา กับสำนักป่าหิมวันต์ ที่จ.เลย ส่วน นายองอาจ ถูกตั้งข้อหาปลุกปลั่นยุยงสาวกสำนักจานบินให้เกิดความกระด้างกระเดื่องต่อความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง และเพื่อขัดขวางการเข้าตรวจค้นจับกุม ธัมมชโย ของฝ่ายเจ้าหน้าที่

ส่วนอีกข่าวหนึ่งซึ่งถูกตั้งข้อสังเกตว่าเป็นดราม่าชิงพื้นที่ข่าวก็คือ กรณีที่ นายวัฒนา เมืองสุข แกนนำพรรคเพื่อแม้ว จงใจออกมาสร้างข่าวในทำนองว่า ขณะนี้นักโทษชายแม้ว มีชีวิตที่สุขสบายและรวยอู้ฟู่ถึงขนาดซื้อเครื่องบินส่วนตัวรุ่นใหม่ล่าสุด มีรถยนต์ คฤหาสน์หรูส่วนตัวอยู่ในหลายประเทศ โดยเงินทั้งหมดมาจากการทำธุรกิจซึ่งล่าสุดคือ การร่วมลงทุนผลิตเครื่องมือตรวจหามะเร็งด้วยลมหายใจ กับบริษัทในอังกฤษ โดย นายวัฒนา อ้างว่า บริษัทและนักวิจัยของอังกฤษยอมรับในความสามารถของอดีตนายกฯนักโทษหนีคุก จึงเชิญให้มาเป็นหุ่นส่วนผลิตเครื่องมือทางการแพทย์

การพยายามประโคมข่าวความเก่งกาจเชิงธุรกิจของ นักโทษชายแม้ว ทำให้หลายคนอดสงสัยไม่ได้กับช่วง
ที่ผ่านมา เหล่าสาวกระบอบแม้วพยายามสร้างข่าวความสำเร็จในการลงทุนของ นักโทษชายแม้ว ในประเทศต่างๆอยู่ตลอดเวลา อาทิ การทำเหมืองเพชรและทอง ที่แอฟริกา การร่วมลงทุนกับรัฐบาลมอนเตเนโกร และอีกมากมาย แต่ข่าวเหล่านี้บัดนี้เงียบเป็นปลิดทิ้งไม่รู้ว่ามีจริงหรือประสบความสำเร็จอย่างที่พยายามสร้างภาพหรือไม่

ทั้งนี้หากย้อนไปทบทวนจุดเริ่มต้นที่ทำให้ นักโทษชายแม้ว ซึ่งเคยประสบความล้มเหลวทางธุรกิจถึงขนาดตีเช็คเด้งฐานะง่อนแง่นกลายเป็นเศรษฐีด้านธุรกิจการสื่อสารก็เพราะการวิ่งเต้นเข้าหา พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ อดีตหัวหน้าคณะรัฐประหาร คสช.จนเกิดบริษัทเครือชินวัตรที่ได้สัมปทานดาวเทียมไทยคมใช่หรือไม่

คำถามหนึ่งที่หลายคนสงสัยก็คือเงินมหาศาลในการใช้ชีวิตอย่างหรูหราสุขสบายของ นักโทษชายแม้ว ขณะนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร ใช่เงินสีเทาที่ได้มาในยุคระบอบแม้วครองเมืองแล้วฟอกซุกไว้ในแหล่งฟอกเงินต่างๆ ทั่วโลกใช่หรือไม่

การที่สาวกคนสนิทของอดีตนายกฯนักโทษหนีคุกอย่าง นายวัฒนา ออกมาสร้างข่าวอวดรวยและอวดความเก่งกาจดุจเทวดาระดับโลกของ นักโทษชายแม้ว ครั้งนี้มีการตั้งข้อสังเกตว่าเกิดจากเหตุผลหลายประการคือ

ต้องการสร้างภาพปลุกผีเทวดา นักโทษชายแม้ว ให้กลับโดดเด่นชิงพื้นที่ข่าวเพื่อกระตุ้นไม่ให้เหล่าสาวกและประชาชนที่เคยนิยมชมชอบพรรคเพื่อแม้วลืม เพราะผลสำรวจของโพลล์ในช่วงหลังสุดพบว่าคะแนนนิยมตกฮวบลงอย่างน่าใจหายเหลือไม่ถึง 5% ต่ำกว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯหุ่นเชิด ผู้เป็นน้องสาวเสียอีก

แต่ที่สำคัญเป็นการปลุกขวัญสาวกเพื่อแม้วให้ฮึดสู้ไม่แปรพักตร์ในภาวะที่ระบอบแม้วอยู่ในสถานการณ์หลังพิงฝา โดยพยายามส่งสัญญาณว่านายใหญ่ยังมีท่อน้ำเลี้ยงอย่างเหลือเฟือเหมือนในอดีต และพยายามสร้างภาพดุจเทวดาของนายใหญ่ที่ยังมีบทบาทในระดับโลก

ดราม่าปลุกผีนักโทษชายแม้วครั้งนี้เป็นวิธีการแบบเดิมๆ และส่อเจตนาว่า นายใหญ่ขบวนการเพื่อแม้วไม่เคยคิดวางมือทางการเมือง แต่อาจอยู่หลังฉากเดินเกมการเมืองหวังที่จะฟื้นระบอบแม้วกลับมามีอำนาจยึดครองประเทศอีกครั้ง โดยเป้าหมายสำคัญคือการลบล้างโทษความผิดให้กับนักโทษชายแม้วและน้องสาว ตลอดจนบรรดาแกนนำที่ร่วมในเหตุการณ์ก่อการร้ายเผาบ้านทำลายเมือง เมื่อปี 2553

ทีมข่าวการเมือง