เพื่อแม้วจ้องแต่จะป่วนเมือง ทั้งๆที่ชาวใต้อ่วมเผชิญวิกฤติน้ำท่วม

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/251606

วันจันทร์ ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2560, 06.00 น.

ทั้งๆ ที่ชาวใต้เพื่อนร่วมชาติกำลังเผชิญทุกข์อย่างหนักจากวิกฤติน้ำท่วมครั้งเลวร้ายที่สุดในรอบหลายสิบปี และรัฐตลอดจนคนไทยทั้งประเทศต่างระดมให้ความช่วยเหลือซับน้ำตาชาวใต้แต่ขบวนการเพื่อแม้วกลับตั้งหน้าตั้งตาเอาแต่ตีรวนป่วนเมือง โดยเฉพาะการดาหน้าออกมากดดันเรียกร้องให้มีการเลือกตั้งโดยเร็ว

นายวรชัย เหมะ อดีตสส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อแม้ว ออกมาตีรวนไม่เลิกด้วยการกล่าวทำนองดักคอกดดันรัฐบาล คณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ(กรธ.)และสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.)ว่า จะต้องไม่มีการดึงเกมในการพิจารณาบรรดา พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ เพื่อยืดการเลือกตั้งออกไป ทั้งนี้คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ(กรธ.)ไม่มีเหตุผลข้ออ้างใดๆ ทั้งสิ้นว่าการพิจารณากฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ ต้องใช้เวลา เพราะก่อนหน้านี้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้า คสช. ให้สัญญาประชาคมไว้เองว่า ทุกอย่างจะเป็นไปตามโรมแมปมีการเลือกตั้งในปี 2560 เพราะฉะนั้นทุกอย่างอยู่ที่ พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งเป็นรัฏฐาธิปัตย์ที่ดูแลแม่น้ำทั้ง 5 สาย คือ คสช. รัฐบาล กรธ. สนช. และสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ(สปท.)ว่าจะทำตามสัญญาประชาคมที่ให้ไว้หรือไม่

ขณะที่นายสามารถ แก้วมีชัย อดีต สส.เชียงราย พรรคเพื่อแม้ว เร่งให้กรธ.และสนช.เร่งพิจารณากฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญให้เสร็จโดยเร็ว โดยอ้างว่าทุกอย่างขณะนี้ นักการเมืองและประชาชนพร้อมแล้วสำหรับการเลือกตั้ง รอแต่ฝ่ายผู้มีอำนาจรัฐเท่านั้นที่พร้อมจะคืนอำนาจให้กับประชาชนหรือยัง

ความจริงเรื่องโรดแมปเลือกตั้ง พล.อ.ประยุทธ์ ย้ำชัดเจนมาหลายครั้งแล้วว่ายังเป็นอย่างที่เคยประกาศไว้ว่าจะมีการเลือกตั้งภายในปี 2560 ไม่เปลี่ยนแปลง แต่บรรดาคนของขบวนการเพื่อแม้วก็พยายามหาเรื่องให้เป็นประเด็นชิงพื้นที่ข่าว และเพื่อสร้างกระแสหวังสุมไฟบ่อนทำลายอำนาจรัฐไปเรื่อยๆ

ที่ผ่านมา บรรดาแกนนำพรรคเพื่อแม้วและกลุ่มเสื้อแดงต่างดาหน้าออกมาเคลื่อนไหวป่วนในทุกประเด็นทุกเรื่องไม่ว่าจะเป็นเรื่องกดดันเร่งให้มีการเลือกตั้งพร้อมทั้งโจมตีอ้างว่ารัฐบาลวางแผนยืดอำนาจออกไปให้นานที่สุด หรือกรณีที่อ้างว่าอำนาจรัฐคุกคามเสรีภาพ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯหุ่นเชิด กรณีส่งตำรวจและทหารนอกเครื่องแบบตามประกบทุกฝีก้าว ทั้งๆ ที่เจ้าหน้าที่ทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยและทำมานานแล้ว ที่สำคัญเป็นการป้องกันไม่ให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ซึ่งเป็นจำเลยคนสำคัญคดีโครงการรับจำนำข้าวหลบหนี โดยก่อนหน้านี้ศาลสั่งห้าม น.ส.ยิ่งลักษณ์ ออกนอกประเทศ

นอกจากนี้ขบวนการเพื่อแม้วยังพยายามสร้างดราม่าประโคมข่าวว่า นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานคนเสื้อแดง ที่ถูกขังอยู่ในเรือนจำตามคำสั่งศาลป่วยหนักพร้อมกดดันให้นำ นายจตุพร ออกมารักษาในโรงพยาบาลนอกเรือนจำ โดยหวังจะสร้างกระแสว่านายจตุพร ถูกอำนาจรัฐกลั่นแกล้งเพื่อปลุกระดมสร้างความไม่พอใจในหมู่คนเสื้อแดง จนอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ต้องรีบออกมาปฏิเสธว่า นายจตุพร ไม่ได้ป่วยหนักอย่างที่มีการสร้างข่าวบิดเบือนแต่อย่างใด

การที่ขบวนการเพื่อแม้วพยายามสร้างกระแสเร่งให้มีการเลือกตั้งเพราะการเลือกตั้งเป็นโอกาสความหวังเดียวที่ตัวเองจะปลุกระดมหลอกคนทั้งประเทศและใช้เงินมหาศาลซื้อเสียงซื้อประชาธิปไตยกลับมามีอำนาจยึดครองประเทศหวังลบล้างโทษความผิดทั้งหมดของ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯนักโทษหนีคุกคดีทุจริต และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ผู้เป็นน้องสาว

ด้าน นายวันชัย สอนศิริ สมาชิกสภา สปท. สวนกลับนักลากตั้งที่ออกมาเร่งให้มีการเลือกตั้งว่า ที่ผ่านมาทุกฝ่ายพยายามทำงานอย่างหนักเพื่อให้การเลือกตั้งเป็นไปตามโรดแมป การที่นายกฯเคยประกาศว่าจะมีการเลือกตั้งภายในปีนี้เป็นการพูดก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์สำคัญที่สร้างความเศร้าโศกให้คนไทยทั้งแผ่นดิน

“หากจะขยับการเลือกตั้งออกไปเดือนสองเดือนจึงไม่ผิดกติกาเพราะเมื่อจะมีพิธีสำคัญในช่วงปลายปีนี้เป็นที่รับรู้เข้าใจยอมรับของคนไทยและชาวโลก ไม่มีใครอยากดึงโรดแมปหวังอยู่ในอำนาจนานๆ ที่มีการออกมาต่อว่าโวยวายหวังโจมตีกล่าวหามากกว่าจะคำนึงถึงข้อเท็จจริง มีเจตนาจ้องทำลายแกล้งไม่ยอมรับความจริงเหมือนคนไทยและชาวโลกยอมรับ พวกดัตจริตทำปั่นป่วนวุ่นวายทั้งที่สถานการณ์ประเทศช่วงปลายปี ควรสงบปากคำอยู่ในอาการสำรวมอย่ากระสันอยากเลือกตั้งเกินความจำเป็นนัก”

และหากจะมองจากผลสำรวจของโพลล์หลายสำนักก่อนหน้านี้สะท้อนว่า ประชาชนส่วนใหญ่แสดงท่าทีเหมือนไม่อยากให้มีการเลือกตั้ง เพราะต้องการให้บ้านเมืองสงบ ขณะเดียวกันก็สะท้อนให้เห็นถึงวิกฤติศรัทธาของประชาชนที่มีต่อนักลากตั้งโดยเฉพาะพรรคธุรกิจการเมืองทุนสามานย์ในคราบประชาธิปไตยจอมปลอมที่มีการทุจริตโกงบ้านกินเมืองอย่างมโหฬารและเป็นต้นเหตุของวิกฤติ ซึ่งสร้างความบอบช้ำแก่ประเทศช่วง 10 ปีที่ผ่านมา โดยประชาชนถึงกับสนับสนุนอำนาจรัฐจากการรัฐประหารมากกกว่ารัฐบาลจากการเลือกตั้ง

ผลสำรวจความเห็นประชาชนทั่วประเทศล่าสุดของสวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ต่อบุคคลหรือหน่วยงานที่ประชาชนฝากความหวังว่าจะช่วยให้การเมืองไทยปี 2560 ดีขึ้น อันดับ 1 ยังคงเป็น พล.อ.ประยุทธ์ ร้อยละ 73.02 อันดับ 2 ประชาชนทุกคนทุกฝ่ายร้อยละ 64.39 อันดับ 3 รัฐบาลร้อยละ 61.10 อันดับ 4 ข้าราชการประจำ ร้อยละ 56.34 ขณะที่นักการเมืองอยู่อันดับรั้งท้ายความหวังของประชาชน ร้อยละ 48.77

เพราะฉะนั้นนักลากตั้งประเภทนักฉวยโอกาสจึงควรหยุดซ้ำเติมประเทศที่ขณะนี้ประเทศกำลังเดินหน้าปฏิรูขจัดวงจรอุบาทว์ธุรกิจการเมืองอันชั่วร้ายและต้องการความสงบสุข โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่ควรฉวยโอกาสในยามที่ชาวใต้กำลังทุกข์หนักจากมหาทุกข์ภัยและรอการช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน จากภาครัฐและเพื่อนร่วมชาติ

ทีมข่าวการเมือง

เศรษฐกิจซบเซารับปีไก่ ปัญหาท้าทายครม.ประยุทธ์4

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/251533

วันอาทิตย์ ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2560, 02.00 น.

เดิมทีหลังรัฐมนตรี 2 คน ในรัฐบาลคือ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา อดีตรมว.ยุติธรรม และพล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ อดีตรมว.ศึกษาธิการ ได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯแต่งตั้งเป็นองคมนตรีในรัชกาลที่ 10 คาดว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) คงจะปรับคณะรัฐมนตรี(ครม.) เล็กโดยแต่งตั้งรัฐมนตรีแทนตำแหน่งที่ว่างลงเพียง 2 ตำแหน่ง แต่แล้วท่ามกลางกระแสวิพากษ์วิจารณ์ผ่านสื่อกระตุ้นให้พล.อ.ประยุทธ์ ถือโอกาสปรับครม.ครั้งใหญ่เพื่อยกเครื่องการแก้ปัญหาประเทศให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นโดยเฉพาะทีมเศรษฐกิจในรัฐบาล ซึ่งในที่สุด พล.อ.ประยุทธ์ ก็ตัดสินใจปรับครม.ใหญ่ “ประยุทธ์4” ถึง 12 ตำแหน่ง อันสะท้อนให้เห็นว่า พล.อ.ประยุทธ์ฟังกระแสวิพากษ์วิจารณ์ก่อนตัดสินใจอย่างเด็ดขาดรวดเร็วในการปรับครม.ใหญ่โดยมุ่งไปที่ทีมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอันเป็นจุดอ่อนของรัฐบาลเป็นสำคัญ

ครม.ประยุทธ์ 4 ที่มีการปรับประกอบด้วย นายสุวพันธุ์ตันยุวรรธนะ อดีตรมต.ประจำสำนักนายกฯ สลับเป็น รมว.ยุติธรรม ดร.พิเชษ ดุรงคเวโรจน์ จากอดีตรมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสลับเป็น รมว.ดิจิทัล เพื่อเศรษฐกิจและสังคมนพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ จากอดีตรมช.ศึกษาธิการขึ้นเป็น รมว.ศึกษาธิการ ดร.อรรชกา สีบุญเรือง จากอดีตรมว.อุตสาหกรรมสลับเป็น รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ดร.อุตตม สาวนายน อดีตรมว.ดิจิทัล เป็นรมว.อุตสาหกรรม หม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล อดีตรมต.ประจำสำนักนายกฯ สลับเป็น รมช.ศึกษาธิการ นายออมสิน ชีวพฤกษ์ อดีตรมช.คมนาคม สลับเป็นรมต.ประจำสำนักนายกฯ ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ อดีตรมช.พาณิชย์ สลับเป็นรมต.ประจำสำนักนายกฯ น.ส.ชุติมา บุณยประภัศร อดีตปลัดกระทรวงพาณิชย์ เป็นรมช.เกษตรและสหกรณ์ นายวีระศักดิ์ ฟูตระกูล อดีตปลัดกระทรวงการต่างประเทศ เป็นรมช.ต่างประเทศ นายพิชิต อัคราทิตย์ อดีตผู้บริหารธุรกิจภาคเอกชนและประธานบอร์ดการรถไฟแห่งประเทศไทยคนล่าสุด เป็น รมช.คมนาคม นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ผู้บริหารธุรกิจที่ประสบความสำเร็จและอดีตสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.) เป็นรมช.พาณิชย์

จากโฉมหน้าครม.ประยุทธ์ 4 จะเห็นว่ามีการปรับทีมเศรษฐกิจภายใต้การกำกับดูแลของ ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯด้านเศรษฐกิจ ให้มีเอกภาพและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เป็นการใช้คนให้เหมาะสมกับงาน

อาทิ กรณีของ น.ส.ชุติมา ที่ได้รับแต่งตั้งเป็นรมช.เกษตรฯ เนื่องจาก น.ส.ชุติมา เป็นอดีตข้าราชการลูกหม้อของกระทรวงพาณิชย์ที่เชี่ยวชาญเรื่องข้าวโดยเฉพาะซึ่งนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องการแก้ไขปัญหาราคาพืชผลการเกษตรตกต่ำโดยเฉพาะราคาข้าว ทั้งนี้เนื่องจากเกษตรกรเป็นพลเมืองระดับฐานราก หากเกษตรกรมีรายได้ดีขึ้นก็จะทำให้เศรษฐกิจมีความคึกคัก

โฉมหน้าครม.ประยุทธ์ 4 ที่ออกมาได้รับการขานรับจากภาคเอกชนที่ต่างแสดงความเชื่อมั่นว่าจะทำให้บ้านเมืองดีขึ้นโดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ ขณะเดียวกันก็เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์จากบางฝ่ายว่า โฉมหน้าครม.ประยุทธ์ 4 ที่ออกมาส่วนใหญ่เป็นเพียงการสลับตำแหน่งรัฐมนตรีเหมือนเหล้าเก่าในขวดใหม่ ขณะที่รัฐมนตรีหน้าใหม่ต้องรอพิสจน์ผลงานต่อไป

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าววถึงครม.ประยุทธ์ 4 ที่ออกมาว่า อย่าไปคำนึงถึงเรื่องตัวบุคคลมากเกินไป เพราะทุกอย่างต้องทำตามนโยบายที่นายกฯเป็นผู้กำหนด ดังนั้นขอให้เชื่อมั่นและไว้วางใจในตัวผู้นำรัฐบาล

ทั้งนี้จากผลสำรวจของโพลล์ทุกสำนักนับตั้งแต่ คสช.เข้าควบคุมอำนาจการปกครองประเทศตั้งแต่เมื่อวันที่ 22 พ.ค.2557 สะท้อนว่า ประชาชนยังให้ความเชื่อมั่นในคสช.และรัฐบาลโดยเฉพาะความเป็นผู้นำที่เป็นความหวังในการปฏิรูปประเทศของ พล.อ.ประยุทธ์ อย่างต่อเนื่องเสมอต้นเสมอปลายแม้จนล่าสุด อย่างไรก็ตาม ปัญหาใหญ่อันเป็นจุดอ่อนสำคัญที่สุดซึ่งสะท้อนจากเสียงเรียกร้องของประชาชนที่อยากให้รัฐบาลแก้ไขปรับปรุงทำให้สำเร็จอย่างจริงจังมาตลอดก็คือปัญหาเศรษฐกิจปากท้องประชาชนจากภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซา

สำหรับภาพรวมสถานการณ์บ้านเมืองในปีไก่ 2560 นี้แม้จะมีแรงกระเพื่อมทางการเมืองอยู่บ้างแต่ก็เชื่อว่าจะอยู่ภายใต้การควบคุมของคสช.และรัฐบาล และที่สำคัญคือเป็นช่วงโค้งสุดท้ายที่กำลังเข้าสู่โหมดการเลือกตั้งทั่วไป ดังนั้นจึงเชื่อว่าบรรดานักเลือกตั้งทั้งหลายคงไม่สร้างสถานการณ์ให้เกิดความรุนแรงเพราะอาจทำให้การเลือกตั้งต้องเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด

ดังนั้น ปัญหาอันท้าทายสำคัญสำหรับคสช.และครม.ประยุทธ์ 4 อย่างแท้จริงในปีไก่นี้ก็คือการแก้ปัญหาเศรษฐกิจปากท้องของประชาชน โดยเฉพาะปัญหาราคาพืชผลการเกษตรตกต่ำ ซึ่งหากทำได้สำเร็จจะมีนายกฯจากคนนอกชื่อ พล.อ.ประยุทธ์หรือไม่คือไม่มีข้อขัดข้องใดๆ สำหรับประชาชน

ทีมข่าวการเมือง

เลือกตั้งเร็วก็ดีเหมือนกัน จะได้ทดลองฤทธิ์รธน.ปราบโกง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/251416

วันเสาร์ ที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2560, 02.00 น.

ช่วงนี้เหล่าแกนนำและสาวกขบวนการเพื่อแม้วทั้งหลายทั้งพรรคเพื่อแม้วและกลุ่มเสื้อแดงพยายามเดินเกมดิ้นรนตีรวนป่วนเมืองดาหน้าออกมาเคลื่อนไหวค่อนข้างจุกจิกไร้สาระหวังบ่อนทำลายความน่าเชื่อถือและความชอบธรรมของอำนาจรัฐ ขณะเดียวกันก็เพื่อสร้างความชอบธรรมให้ตัวเองโดยวาดฝันหวังที่จะกลับมาเป็นใหญ่ยึดครอบประเทศอีกครั้งเพื่อกอบโกยและลบล้างโทษความผิดจากกรรมร้ายที่ก่อไว้กับชาติบ้านเมือง

แต่ความเคลื่อนไหวของขบวนการเพื่อแม้วทั้งหลายหาสาระประโยชน์อะไรเพื่อชาติบ้านเมืองและประชาชนแทบไม่ได้เลย เพราะเป็นเพียงการเดินเกมการเมืองแบบตีรวนเพื่อตัวเองทั้งสิ้น อย่างกรณีที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯหุ่นเชิด ซึ่งเป็นจำเลยคนสำคัญคดีโครงการรับจำนำข้าวที่สร้างความย่อยยับล่มจมให้ชาติบ้านเมืองครั้งเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ ออกมาโวยวายว่า
ตัวเองถูกเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบตามประกบทุกฝีเก้าแม้ขณะพาครอบครัวไปเที่ยวที่ อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน โดยมีเหล่าสาวกเพื่อแม้วดาหน้าออกมาร่วมผสมโรงถล่มรัฐว่าคุกคามเสรีภาพความเป็นส่วนตัว ทั้งๆ ที่การติดตามประกบน.ส.ยิ่งลักษณ์ เกิดขึ้นมานานแล้ว และที่สำคัญ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นจำเลยคนสำคัญคดีรับจำนำข้าว ที่อาจหลบหนีคดีเหมือน นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯนักโทษหนีคุก ที่หนีโทษความผิดคดีทุจริตตามคำพิพากษาของศาลไปเสพสุขอยู่นอกประเทศอย่างสบาย

การพยายามสร้างข่าว น.ส.ยิ่งลักษณ์ ถูกละเมิดเสรีภาพส่วนบุคคลจากการถูกตามประกบถูกตั้งข้อสังเกตว่า เป็นเกมสร้างกระแสว่าถูกกลั่นแกล้งจากอำนาจรัฐนอกระบอบประชาธิปไตย ขณะเดียวกันก็เพื่อเรียกคะแนนสงสารให้กับ น.ส.ยิ่งลักษณ์

อีกเรื่องหนึ่ง ขบวนการเพื่อแม้วโดยแก๊งเสื้อแดงพยายามจัดฉากดราม่าในทำนองว่าอำนาจรัฐโดยกรมราชทัณฑ์กลั่นแกล้ง นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานคนเสื้อแดง ที่ถูกคุมขังตามคำสั่งศาล โดย นางธิดา ถาวรเศรษฐ อดีตประธานคนเสื้อแดง พยายามปล่อยข่าวว่า นายจตุพร ป่วยหนักจำเป็นต้องออกมารักษาที่โรงพยาบาลนอกคุก พร้อมปลุกระดมขู่ว่าสาวกเสื้อแดงทั้งหลายอาจไม่พอใจ จนอธิบดีกรมราชทัณฑ์ต้องรีบออกมาชี้แจงว่า นายจตุพร ไม่ได้ป่วยรุนแรงอย่างที่อ้างและได้รับการรักษาอาการป่วยที่ไม่รุนแรงจากแพทย์จนหายเป็นปกติแล้ว ขณะที่ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการคนเสื้อแดง ส่อเจตนาหาเรื่องไม่เลิกบุกกรมราชทัณฑ์กดดันให้อธิบดีกรมคุกตรวจสอบเบื้องหลังอาการป่วยของ นายจตุพร

ดราม่าของขบวนการเพื่อแม้วอีกเรื่องหนึ่งก็คือเดินเกมประท้วงกรณีที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.)ออกมาส่งสัญญาณก่อนหน้านี้ว่าอาจต้องเลื่อนโรดแมปเลือกตั้งจากปลายปีนี้เป็นกลางปีหน้า โดยคนของขบวนการเพื่อแม้วพยายามหาเรื่องโจมตีด้วยการบิดเบือนในทำนองว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) พลิกลิ้นไม่ทำตามสัญญาประชาคมที่ให้ไว้กับชาวโลกและคนไทยทั้งประเทศทั้งๆที่เคยยืนยันว่าว่าจะมีการเลือกตั้งปลายปี 2560 ตามโรดแมปโดยวางแผนยื้ออำนาจต่อไปอีก ทั้งๆที่ความจริงกรอบเวลาโรดแมปเลือกตั้งเป็นไปตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 267 ของร่างรัฐธรรมนูญ ที่ผ่านการทำประชามติและกำลังจะมีผลบังคับใช้โดยสมบูรณ์ซึ่งบัญญัติไว้ว่า “ให้คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญจัดทำร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญให้แล้วเสร็จภายใน 240 วัน นับแต่มีรัฐธรรมนูญใหม่ใช้บังคับ และเมื่อทำเสร็จให้เสนอต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ พิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป เมื่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้รับร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญแล้วต้องพิจารณาให้เสร็จภายใน 60 วัน นับแต่วันที่ได้รับร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญแต่ละฉบับ และเมื่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาเสร็จให้ส่งร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญให้ศาลรัฐธรรมนูญหรือองค์กรที่เกี่ยวข้องและคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญภายใน 10 วัน โดยหากมีข้อโต้แย้งว่าเนื้อหาไม่ตรงตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญจะเข้าสู่กระบวนการทบทวนโดยคณะกรรมาธิการร่วมกันภายใน 15 วัน และส่งกลับเข้าที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติลงมติยืนยันว่าจะเห็นชอบกับสิ่งที่ทบทวนหรือไม่”

ขณะที่มาตรา 268 บัญญัติว่า “ให้ดำเนินการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามรัฐธรรมนูญใหม่นี้ให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งร้อยห้าสิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญมีผลบังคับใช้แล้ว”

เพราะฉะนั้นข้อเท็จจริงชัดเจนว่า โรดแมปการเลือกตั้งจะมีขึ้นเมื่อไหร่เป็นไปตามขั้นตอนกรอบเวลา ที่บัญญัติไว้ในร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ การเลือกตั้งที่อาจจะยืดเวลาอออกไปอีกเล็กน้อยหรือไม่จึงขึ้นอยู่กับคณะกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) และสนช.ว่าจะพิจารณาร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญได้เสร็จตามกรอบเวลาที่กำหนดหรือไม่ ไม่เกี่ยวข้องกับรัฐบาลหรือคสช.อย่างสิ้นเชิง

การออกมาเคลื่อนไหวของขบวนการเพื่อแม้วโดยพยายามบิดเบือนโจมตีอำนาจรัฐว่าเตะถ่วงเพื่อยืดโรดแมปเลือกตั้งจึงเป็นแค่เกมหาเรื่องตีรวนป่วนเมือง ขณะเดียวกันสะท้อนอาการดิ้นทุรนทุรายเร่งอยากให้มีการเลือกตั้งโดยเร็วเพราะการเลือกตั้งเป็นหนทางเดียวที่ขบวนการเพื่อแม้วจะมีโอกาสกลับมามีอำนาจยึดครองประเทศและลบล้างโทษความผิดให้กับนายใหญ่ และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ โดยเฉพาะคดีโครงการรับจำนำข้าว ตลอดจนบรรดาแกนนำขบวนการเพื่อแม้วทั้งหลายที่มีคดีเป็นชะนักปักหลังจำนวนมาก ขณะที่มีคดีทุจริตยุคระบอบแม้วครองเมืองอีกหลายคดีที่อยู่ระหว่างรอการชี้ชะตากรรม

จากเกมหวังดิสเครดิต พล.อ.ประยุทธ์ ว่าพลิกลิ้นไม่รักษาสัญญาประชาคมว่าจะเลือกตั้งตามโรดแมปทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ ออกมาแสดงจุดยืนตอกย้ำอย่างชัดเจนอีกครั้งว่ การเลือกตั้งจะต้องเป็นไปตามโรดแมปภายในปี 2560 นี้ โดยล่าสุดในการเข้าพบผู้นำไทยที่ทำเนียบรัฐบาลของ นางโดนิกา พอตตี เอกอัครราชทูตแคนาดาประจำประเทศไทย คนใหม่ พล.อ.ประยุทธ์ ได้แจ้งเพื่อเป็นการตอกย้ำอีกครั้งว่าการเลือกตั้งของไทยจะมีขึ้นในปลายปี 2560 ไม่เปลี่ยนแปลง

เพราะฉะนั้นสาธารณชนไตร่ตรองดูก็แล้วกันว่าการเคลื่อนไหวของขบวนการเพื่อแม้วทั้งหมดเกิดประโยชน์อะไรกับประชาชนและชาติบ้านเมืองบ้าง หรือเป็นการตึรวนสร้างความวุ่นวายเพื่อตัวเอง ทั้งนี้ถ้าจะว่าไปแล้วหากมีการเลือกตั้งในปลายปีนี้ตามโรดแมปก็ดีเหมือนกันเพราะจะได้เป็นการพิสูจน์ว่าขบวนการเพื่อแม้วซึ่งเป็นธุรกิจการเมืองทุนสามานย์ในคราบประชาธิปไตยจอมปลอมจะกลับมายิ่งใหญ่อย่างที่วาดฝันไว้หรือไม่ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับปฏิรูปและมีกฎเหล็กปราบโกงและการบ่อนทำลายประชาธิปไตยทุกรูปแบบที่เด็ดขาดรุนแรงถึงขั้นประหารและเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งตลอดชีวิต

ทีมข่าวการเมือง

แก้โศกนาฏกรรมตายเป็นเบือซ้ำซาก พิสูจน์ฝีมือรัฐล้อมคอกไฟไหม้ฟาง?

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/251298

วันศุกร์ ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2560, 02.00 น.

เหตุการณ์รถตู้นรกสายจันทบุรี-กรุงเทพฯ ซึ่งบรรทุกผู้โดยสารมาเต็มคันรถที่ขับมาด้วยความเร็ว โดยที่คนขับซึ่งเชื่อว่าหลับในเสียหลักวิ่งข้ามเลนมายังถนนคู่ขนานอีกเส้นหนึ่งแล้วพุ่งเข้าชนรถกระบะซึ่งบรรทุกผู้โดยสารมาเต็มคันจนไฟลุกท่วมกลายเป็นโศกนาฏรรมย่างสดหมู่ผู้เคราะห์ร้ายที่บริเวนถนนสายบ้านบึง-แกลงอำเภอบ้านบึง จังหวัดชลบุรี เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตถึง 25 รายเมื่อวันที่ 2 มกราคมที่ผ่านมา ถือเป็นหนึ่งในโศกนาฏกรรมร้ายแรงต้อนรับปีใหม่อย่างที่ไม่ควรจะเกิดทั้งๆ ที่ประเทศอยู่ภายใต้อำนาจพิเศษของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)

ขณะที่สรุปอุบัติเหตุทางถนนสะสม 6 วันอันตราย (29 ธ.ค.2559-3 ม.ค. 2560) เกิดอุบัติเหตุรวมถึง 3,579 ครั้ง มีผู้เสียชีวิต426 ราย ผู้บาดเจ็บรวม 3,761 คน และจากมาตรการ “ดื่มไม่ขับจับยึดรถ” มีการตรวจพบผู้กระทำผิดคือ รถจักรยานยนต์ 14,143 ครั้ง ยึดรถไว้ 458 คัน ส่งผู้กระทำผิดดำเนินคดี 7,370 คน รถโดยสารสาธารณะและรถยนต์ส่วนบุคคลพบกระทำผิด 10,536 ครั้ง ยึดใบขับขี่ไว้ 562 คน ยึดรถยนต์ 132 คัน ส่งดำเนินคดี 3,924 คน โดยตลอด 6 วันอันตรายยึดรถไว้ทั้งสิ้น 4,208 คัน เป็นรถจักรยานยนต์ 2,965 คันและรถยนต์ 1,243 คัน และดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดในส่วนรถจักรยานยนต์ 38,168 คน รถโดยสารสาธารณะและรถยนต์ส่วนบุคคล 20,889 คน

สำหรับประเภทรถที่เกิดอุบัติเหตุมากที่สุดกว่าครึ่งคือรถจักรยานยนต์ ส่วนสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุคือเมาแล้วขับและขับรถโดยความเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด

จากสถิติตายเป็นเบือท้าทายกฎหมายและคำสั่งคสช.ของเหล่านักขับขี่ทั้งหลายด้านหนึ่งสะท้อนให้เห็นถึงอาการดื้อยาของเหล่านักขับขี่ไทย แต่อีกด้านหนึ่งก็สะท้อนความล้มเหลวในมาตรการป้องกันของหน่วยงานภาครัฐเช่นกันที่ยังไร้ประสิทธิภาพเพียงพอโดยเฉพาะกระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย

เมื่อย้อนกลับมาวิเคราะห์ปัญหาโศกนาฏกรรมจากรถตู้นรก 25 ศพ ไม่ใช่เพิ่งเกิดเป็นครั้งแรก แต่มีบทเรียนอุทาหรณ์ซ้ำซากมาแล้วมากมาย แต่ดูเหมือนว่ารัฐโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมักจะออกมาชี้แจงแบบวัวหายล้อมคอกอย่างขายผ้าเอาหน้ารอดรอให้เกิดโศกนาฏรรมครั้งใหม่ขึ้นอีก

ข้อน่าสังเกตก็คือทั้งๆ ที่บ้านเมืองอยู่ภายใต้อำนาจพิเศษของคสช.ที่ก่อนหน้านี้มีการประกาศสงครามจัดระเบียบรถตู้วินมอเตอร์ไซค์และรถรับส่งผู้โดยสารสาธารณะประเภทต่างๆแต่ดูเหมือนว่าจะจริงจังแค่ระยะเริ่มแรกเหมือนทำแบบไฟไหม้ฟางเพราะขณะนี้ยังมีรถรับส่งผู้โดยสารสาธารณะที่ยังทำผิดกฎหมายและเห็นแก่ได้เอาเปรียบผู้โดยสารจำนวนมากทั่วประเทศ นี่ยังไม่พูดถึงรถตู้เถื่อนหรือรถตู้ที่จดทะเบียนถูกต้อง แต่วิ่งข้ามจังหวัดอย่างผิดกฎหมายอีกจำนวนมาก

ขณะที่เกิดเสียงร่ำลือและมีการตั้งข้อสังเกตถึงการรับเงินใต้โต๊ะของหน่วยงานรัฐที่รับผิดชอบในการออกใบอนุญาตให้กับบรรดาผู้ประกอบการรถโดยสารสาธารณะที่ไร้ความรับผิดชอบ หรือไม่ก็ทำงานแบบเช้าชามเย็นชาม

ทั้งนี้ จากโศกนาฏกรรม 25 ศพ โดยรถตู้นรกที่เกิดขึ้นทำให้มีการตั้งคำถามถึงความเห็นแก่ได้อย่างไร้สำนึกและความรับผิดชอบของผู้ประกอบการรถตู้ที่หวังกอบโกยรายได้โดยบังคับให้คนขับรถตู้ทำงานอย่างต่อเนื่องหลายวันอย่างไม่มีเวลาพักผ่อนจนหลับในกลายเป็นโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ ซึ่งความเห็นแก่ได้ของนายทุนรถตู้ลักษณะเช่นนี้ดูเหมือนเป็นเรื่องปกติของกิจการรถตู้ในเมืองไทย

นอกจากนี้ยังมีคำถามในเรื่องการปล่อยปละละเลยของหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องในการตรวจสอบสภาพรถและระบบความปลอดภัยของรถ ซึ่งรถตู้มรณะคันที่เกิดเหตุโศกนาฏรรม 25 ศพ มีการติดตั้งถังแก๊สถึง 3 ถัง ขณะที่ไม่มีระบบดับเพลิงภายในรถหรือทางหนีฉุกเฉินแต่อย่างใดทั้งสิ้น

จากอุบัติภัยที่ยังตายเป็นเบือช่วงส่งท้ายปีวอกต้อนรับปีระกาทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคสช. ถึงกับโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงโดยพยายามชี้แจงว่า ที่ผ่านมารัฐพยายามทำทุกวิถีทางแล้วไม่ว่าจะใช้อำนาจตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราวยึดรถจับกุมพวกเมาแล้วขับหรือไร้วินัยจราจรเพื่อลดโศกนาฏกรรมตายเป็นเบือ ซึ่งไทยได้ชื่อว่ามีอุบัติภัยบนท้องถนนเลวร้ายเป็นอันดับ 2 ของโลก

พล.อ.ประยุทธ์ ประกาศขึงขังว่าจากนี้ไปภายใน 3 เดือนจะใช้ยาแรงขึ้นเพื่อเผด็จศึกโศกนาฏกรรมตายเป็นเบือบนท้องถนนซ้ำซากให้เห็นผลก่อนถึงช่วงวันหยุดเทศกาลสงกรานต์ที่กำลังจะมาถึง โดยจะดำเนินคดีทุกอย่างไม่ว่าจะคนขับรถ รถไม่ได้มาตรฐาน รถตู้และรถโดยสารทั้งหมดที่บรรทุกเกินที่นั่งที่กำหนดโดยเบียดเสียดยัดเยียดผู้โดยสารบนรถ รถโดยสารประจำทางทั้งหมดที่ให้บริการจะต้องมีสมุดประจำรถ ลงชื่อคนขับรถ เวลาขับทุกเส้นทางโดยด่านตรวจทุกด่านจะต้องตรวจทั้งหมด ถ้าขับเกินเวลาต้องยึดรถ เอาคนลง แล้วหารถใหม่ คนขับใหม่

“ผมจะใช้มาตรการเข้มงวดนี้ใน 3 เดือนก่อนถึงวันหยุดเทศกาลสงกรานต์ เพราะฉะนั้นอย่ามาโวยวาย ใครวิ่งไม่ได้เดี๋ยวผมจะหารถมาวิ่งเอง รถพวกนี้เป็นพวกรถร่วมทั้งสิ้น ถ้าทุกคนต้องการความปลอดภัยต้องร่วมมือกับผมถ้าไม่อยากให้มีการตายมาก ….เรื่องรถตู้ที่ผ่านมาทุกรัฐบาลปล่อยให้รถตู้ผิดกฎหมายวิ่งอยู่ เพราะฉะนั้นต้องเอามาจดทะเบียนเป็นรถป้ายเหลืองไปก่อนในช่วงจัดระเบียบ วันหน้าต้องเป็นรถป้ายขนส่งที่ถูกต้องตามกฎหมายร้อยเปอร์เซ็นต์ ต่อไปนี้รถคันไหนไม่พร้อมไม่ให้ออกจากท่า”

ดูจากท่าทีของ นายกฯลุงตู่ ประชาชนเข้าใจและเห็นถึงความตั้งใจจริงที่จะแก้ปัญหา แต่ความตั้งใจหากไม่มีการติดตามประเมินผลงานและไม่คาดโทษลงแส้หน่วยราชการที่เกี่ยวข้องในการป้องกันโศกนาฏกรรมตายเป็นเบือ โดยปล่อยให้ทำงานแบบเช้าชามเย็นชามเหมือนที่ผ่านมาหรือซ้ำร้ายมีนอกมีในกับรับเงินจากผู้ประกอบการเดินรถโดยสาร โศกนาฏกรรมตายหมู่ซ้ำซากจะเกิดขึ้นอีกอย่างแน่นอน

การที่มีคนตายเป็นจำนวนมากซ้ำซากช่วงเทศกาลแสดงว่ามาตรการป้องกันไม่ได้ผล พวกเมาแล้วขับยังออกมาท้าทายความตายและกฎหมายขณะที่ด่านตรวจพวกเมาแล้วขับโดยเฉพาะบนถนนสายรองซึ่งเกิดอุบัติเหตุทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมากยังไม่ได้ผลอย่างที่ควรจะเป็น

ส่วนปัญหารถโดยสารสาธารณะที่ทำผิดฎหมายจนนำไปสู่โศกนาฏกรรมตายเป็นเบือสะท้อนให้เห็นว่ามีการปล่อยปละละเลยของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการตรวจสอบอย่างจริงจังเสม่ำเสมอ รวมทั้งออกใบอนุญาตแก่รถโดยสารสาธารณะที่ไร้ความรับผิดชอบ

ที่ผ่านมาเมื่อเกิดโศกนาฏกรรมผู้ที่ถูกดำเนินคดีมักเป็นคนขับรถ ทั้งๆ ที่บางครั้งสาเหตุที่แท้จริงเกิดจากผู้ประกอบการรถโดยสารที่เห็นแก่ได้ไร้ความรับผิดชอบอย่างกรณีรถตู้มรณะ 25 ศพ ผู้ประกอบการโลภมากบังคับให้คนขับรถทำงานต่อเนื่องจนแทบไม่มีเวลาหยุดพักจนเกิดการหลับในนำไปสู่โศกนาฏรรมสยอดสยอง ซึ่งคนขับรถก็เสียชีวิตด้วยดังนั้นต้องมีการเพิ่มโทษเอาผิดกับผู้ประกอบการที่ไร้ความรับผิดชอบให้หนักขึ้นทั้งทางอาญาและทางแพ่ง ขณะเดียวกันหากเกิดโศกนาฏกรรม หน่วยงานที่เกี่ยข้องซึ่งมีหน้าที่ป้องกันอุบัติภัยหรือตรวจสอบดูแลรถโดยสารสาธารณะถือว่ามีความผิด

จากปัญหาโศกนาฏกรรมตายเป็นเบือซ้ำซากช่วงเทศกาลประชาชนคงต้องรอดูผลงานของนายกฯลุงตู่หลังประกาศกร้าวจะใช้ยาแรงแก้ปัญหาให้ได้ภายใน 3 เดือน ตลอดจนรอดูความกระตือรือร้นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่าจะเป็นวัวหายล้อมคอกและกลายเป็นไฟไหม้ฟางอีกตามเคยหรือไม่

ทีมข่าวการเมือง

เหตุการณ์รถตู้นรกสายจันทบุรี-กรุงเทพฯ ซึ่งบรรทุกผู้โดยสารมาเต็มคันรถที่ขับมาด้วยความเร็ว โดยที่คนขับซึ่งเชื่อว่าหลับในเสียหลักวิ่งข้ามเลนมายังถนนคู่ขนานอีกเส้นหนึ่งแล้วพุ่งเข้าชนรถกระบะซึ่งบรรทุกผู้โดยสารมาเต็มคันจนไฟลุกท่วมกลายเป็นโศกนาฏรรมย่างสดหมู่ผู้เคราะห์ร้ายที่บริเวนถนนสายบ้านบึง-แกลงอำเภอบ้านบึง จังหวัดชลบุรี เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตถึง 25 รายเมื่อวันที่ 2 มกราคมที่ผ่านมา ถือเป็นหนึ่งในโศกนาฏกรรมร้ายแรงต้อนรับปีใหม่อย่างที่ไม่ควรจะเกิดทั้งๆ ที่ประเทศอยู่ภายใต้อำนาจพิเศษของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)

ขณะที่สรุปอุบัติเหตุทางถนนสะสม 6 วันอันตราย (29 ธ.ค.2559-3 ม.ค. 2560) เกิดอุบัติเหตุรวมถึง 3,579 ครั้ง มีผู้เสียชีวิต426 ราย ผู้บาดเจ็บรวม 3,761 คน และจากมาตรการ “ดื่มไม่ขับจับยึดรถ” มีการตรวจพบผู้กระทำผิดคือ รถจักรยานยนต์ 14,143 ครั้ง ยึดรถไว้ 458 คัน ส่งผู้กระทำผิดดำเนินคดี 7,370 คน รถโดยสารสาธารณะและรถยนต์ส่วนบุคคลพบกระทำผิด 10,536 ครั้ง ยึดใบขับขี่ไว้ 562 คน ยึดรถยนต์ 132 คัน ส่งดำเนินคดี 3,924 คน โดยตลอด 6 วันอันตรายยึดรถไว้ทั้งสิ้น 4,208 คัน เป็นรถจักรยานยนต์ 2,965 คันและรถยนต์ 1,243 คัน และดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดในส่วนรถจักรยานยนต์ 38,168 คน รถโดยสารสาธารณะและรถยนต์ส่วนบุคคล 20,889 คน

สำหรับประเภทรถที่เกิดอุบัติเหตุมากที่สุดกว่าครึ่งคือรถจักรยานยนต์ ส่วนสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุคือเมาแล้วขับและขับรถโดยความเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด

จากสถิติตายเป็นเบือท้าทายกฎหมายและคำสั่งคสช.ของเหล่านักขับขี่ทั้งหลายด้านหนึ่งสะท้อนให้เห็นถึงอาการดื้อยาของเหล่านักขับขี่ไทย แต่อีกด้านหนึ่งก็สะท้อนความล้มเหลวในมาตรการป้องกันของหน่วยงานภาครัฐเช่นกันที่ยังไร้ประสิทธิภาพเพียงพอโดยเฉพาะกระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย

เมื่อย้อนกลับมาวิเคราะห์ปัญหาโศกนาฏกรรมจากรถตู้นรก 25 ศพ ไม่ใช่เพิ่งเกิดเป็นครั้งแรก แต่มีบทเรียนอุทาหรณ์ซ้ำซากมาแล้วมากมาย แต่ดูเหมือนว่ารัฐโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมักจะออกมาชี้แจงแบบวัวหายล้อมคอกอย่างขายผ้าเอาหน้ารอดรอให้เกิดโศกนาฏรรมครั้งใหม่ขึ้นอีก

ข้อน่าสังเกตก็คือทั้งๆ ที่บ้านเมืองอยู่ภายใต้อำนาจพิเศษของคสช.ที่ก่อนหน้านี้มีการประกาศสงครามจัดระเบียบรถตู้วินมอเตอร์ไซค์และรถรับส่งผู้โดยสารสาธารณะประเภทต่างๆแต่ดูเหมือนว่าจะจริงจังแค่ระยะเริ่มแรกเหมือนทำแบบไฟไหม้ฟางเพราะขณะนี้ยังมีรถรับส่งผู้โดยสารสาธารณะที่ยังทำผิดกฎหมายและเห็นแก่ได้เอาเปรียบผู้โดยสารจำนวนมากทั่วประเทศ นี่ยังไม่พูดถึงรถตู้เถื่อนหรือรถตู้ที่จดทะเบียนถูกต้อง แต่วิ่งข้ามจังหวัดอย่างผิดกฎหมายอีกจำนวนมาก

ขณะที่เกิดเสียงร่ำลือและมีการตั้งข้อสังเกตถึงการรับเงินใต้โต๊ะของหน่วยงานรัฐที่รับผิดชอบในการออกใบอนุญาตให้กับบรรดาผู้ประกอบการรถโดยสารสาธารณะที่ไร้ความรับผิดชอบ หรือไม่ก็ทำงานแบบเช้าชามเย็นชาม

ทั้งนี้ จากโศกนาฏกรรม 25 ศพ โดยรถตู้นรกที่เกิดขึ้นทำให้มีการตั้งคำถามถึงความเห็นแก่ได้อย่างไร้สำนึกและความรับผิดชอบของผู้ประกอบการรถตู้ที่หวังกอบโกยรายได้โดยบังคับให้คนขับรถตู้ทำงานอย่างต่อเนื่องหลายวันอย่างไม่มีเวลาพักผ่อนจนหลับในกลายเป็นโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ ซึ่งความเห็นแก่ได้ของนายทุนรถตู้ลักษณะเช่นนี้ดูเหมือนเป็นเรื่องปกติของกิจการรถตู้ในเมืองไทย

นอกจากนี้ยังมีคำถามในเรื่องการปล่อยปละละเลยของหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องในการตรวจสอบสภาพรถและระบบความปลอดภัยของรถ ซึ่งรถตู้มรณะคันที่เกิดเหตุโศกนาฏรรม 25 ศพ มีการติดตั้งถังแก๊สถึง 3 ถัง ขณะที่ไม่มีระบบดับเพลิงภายในรถหรือทางหนีฉุกเฉินแต่อย่างใดทั้งสิ้น

จากอุบัติภัยที่ยังตายเป็นเบือช่วงส่งท้ายปีวอกต้อนรับปีระกาทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคสช. ถึงกับโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงโดยพยายามชี้แจงว่า ที่ผ่านมารัฐพยายามทำทุกวิถีทางแล้วไม่ว่าจะใช้อำนาจตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราวยึดรถจับกุมพวกเมาแล้วขับหรือไร้วินัยจราจรเพื่อลดโศกนาฏกรรมตายเป็นเบือ ซึ่งไทยได้ชื่อว่ามีอุบัติภัยบนท้องถนนเลวร้ายเป็นอันดับ 2 ของโลก

พล.อ.ประยุทธ์ ประกาศขึงขังว่าจากนี้ไปภายใน 3 เดือนจะใช้ยาแรงขึ้นเพื่อเผด็จศึกโศกนาฏกรรมตายเป็นเบือบนท้องถนนซ้ำซากให้เห็นผลก่อนถึงช่วงวันหยุดเทศกาลสงกรานต์ที่กำลังจะมาถึง โดยจะดำเนินคดีทุกอย่างไม่ว่าจะคนขับรถ รถไม่ได้มาตรฐาน รถตู้และรถโดยสารทั้งหมดที่บรรทุกเกินที่นั่งที่กำหนดโดยเบียดเสียดยัดเยียดผู้โดยสารบนรถ รถโดยสารประจำทางทั้งหมดที่ให้บริการจะต้องมีสมุดประจำรถ ลงชื่อคนขับรถ เวลาขับทุกเส้นทางโดยด่านตรวจทุกด่านจะต้องตรวจทั้งหมด ถ้าขับเกินเวลาต้องยึดรถ เอาคนลง แล้วหารถใหม่ คนขับใหม่

“ผมจะใช้มาตรการเข้มงวดนี้ใน 3 เดือนก่อนถึงวันหยุดเทศกาลสงกรานต์ เพราะฉะนั้นอย่ามาโวยวาย ใครวิ่งไม่ได้เดี๋ยวผมจะหารถมาวิ่งเอง รถพวกนี้เป็นพวกรถร่วมทั้งสิ้น ถ้าทุกคนต้องการความปลอดภัยต้องร่วมมือกับผมถ้าไม่อยากให้มีการตายมาก ….เรื่องรถตู้ที่ผ่านมาทุกรัฐบาลปล่อยให้รถตู้ผิดกฎหมายวิ่งอยู่ เพราะฉะนั้นต้องเอามาจดทะเบียนเป็นรถป้ายเหลืองไปก่อนในช่วงจัดระเบียบ วันหน้าต้องเป็นรถป้ายขนส่งที่ถูกต้องตามกฎหมายร้อยเปอร์เซ็นต์ ต่อไปนี้รถคันไหนไม่พร้อมไม่ให้ออกจากท่า”

ดูจากท่าทีของ นายกฯลุงตู่ ประชาชนเข้าใจและเห็นถึงความตั้งใจจริงที่จะแก้ปัญหา แต่ความตั้งใจหากไม่มีการติดตามประเมินผลงานและไม่คาดโทษลงแส้หน่วยราชการที่เกี่ยวข้องในการป้องกันโศกนาฏกรรมตายเป็นเบือ โดยปล่อยให้ทำงานแบบเช้าชามเย็นชามเหมือนที่ผ่านมาหรือซ้ำร้ายมีนอกมีในกับรับเงินจากผู้ประกอบการเดินรถโดยสาร โศกนาฏกรรมตายหมู่ซ้ำซากจะเกิดขึ้นอีกอย่างแน่นอน

การที่มีคนตายเป็นจำนวนมากซ้ำซากช่วงเทศกาลแสดงว่ามาตรการป้องกันไม่ได้ผล พวกเมาแล้วขับยังออกมาท้าทายความตายและกฎหมายขณะที่ด่านตรวจพวกเมาแล้วขับโดยเฉพาะบนถนนสายรองซึ่งเกิดอุบัติเหตุทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมากยังไม่ได้ผลอย่างที่ควรจะเป็น

ส่วนปัญหารถโดยสารสาธารณะที่ทำผิดฎหมายจนนำไปสู่โศกนาฏกรรมตายเป็นเบือสะท้อนให้เห็นว่ามีการปล่อยปละละเลยของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการตรวจสอบอย่างจริงจังเสม่ำเสมอ รวมทั้งออกใบอนุญาตแก่รถโดยสารสาธารณะที่ไร้ความรับผิดชอบ

ที่ผ่านมาเมื่อเกิดโศกนาฏกรรมผู้ที่ถูกดำเนินคดีมักเป็นคนขับรถ ทั้งๆ ที่บางครั้งสาเหตุที่แท้จริงเกิดจากผู้ประกอบการรถโดยสารที่เห็นแก่ได้ไร้ความรับผิดชอบอย่างกรณีรถตู้มรณะ 25 ศพ ผู้ประกอบการโลภมากบังคับให้คนขับรถทำงานต่อเนื่องจนแทบไม่มีเวลาหยุดพักจนเกิดการหลับในนำไปสู่โศกนาฏรรมสยอดสยอง ซึ่งคนขับรถก็เสียชีวิตด้วยดังนั้นต้องมีการเพิ่มโทษเอาผิดกับผู้ประกอบการที่ไร้ความรับผิดชอบให้หนักขึ้นทั้งทางอาญาและทางแพ่ง ขณะเดียวกันหากเกิดโศกนาฏกรรม หน่วยงานที่เกี่ยข้องซึ่งมีหน้าที่ป้องกันอุบัติภัยหรือตรวจสอบดูแลรถโดยสารสาธารณะถือว่ามีความผิด

จากปัญหาโศกนาฏกรรมตายเป็นเบือซ้ำซากช่วงเทศกาลประชาชนคงต้องรอดูผลงานของนายกฯลุงตู่หลังประกาศกร้าวจะใช้ยาแรงแก้ปัญหาให้ได้ภายใน 3 เดือน ตลอดจนรอดูความกระตือรือร้นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่าจะเป็นวัวหายล้อมคอกและกลายเป็นไฟไหม้ฟางอีกตามเคยหรือไม่

ทีมข่าวการเมือง

‘ปู’ร้อนตัวโวยถูกประกบสกัดหนี หงุดหงิดดิ้นไม่หลุดคดีจำนำข้าว?

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/251133

วันพฤหัสบดี ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2560, 06.00 น.

ช่วงนี้มีความเคลื่อนไหว 3 เรื่องที่น่าสนใจคือ หนึ่ง กรณีที่ พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกรัฐบาลออกมาแถลงว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)ยืนยันโรดแมปเลือกตั้งในปี 2560 นี้ สอง สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ(สปท.)มีแนวคิดผลักดันกฎหมายนิรโทษกรรมความผิดแก่ประชาชนทุกสีที่ถูกดำเนินคดีจากการชุมนุมทางการเมืองช่วงที่ผ่านมาเพื่อสร้างความปรองดองในชาติ และสามกรณี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯหุ่นเชิด ออกมาโวยว่าถูกเจ้าหน้าที่ทั้งตำรวจและฝ่ายปกครองนอกเครื่องแบบตามประกบจับตาถูกฝีก้าวทั้งๆที่ตัวเองแค่พาครอบครัวไปพักผ่อนต่างจังหวัด

เรื่องแรก กรณีที่เหล่านักลากตั้งโดยเฉพาะพรรคเพื่อแม้วดาหน้าออกมาโวยวายค้านหัวชนฝาต่อสัญญาณท่าทีของ นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ที่ชี้ว่าอาจจำเป็นต้องยืดโรดแมปเลือกตั้งออกไปเนื่องจากสนช.ต้องพิจารณาพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญหลายฉบับรวมทั้งกฎหมายต่างๆที่ยังคั่งค้างอยู่จำนวนมาก ซึ่งต้องใช้เวลาประมาณ 15 เดือน ฉะนั้นคาดว่าน่าจะมีการเลือกตั้งได้ในราวกลางปีหน้า

แต่ล่าสุดเมื่อ พล.ท.สรรเสริญ ออกมาแถลงจุดยืนของผู้นำรัฏฐาธิปัตย์แล้วว่า ยังยืนยันโรดแมปที่จะมีการเลือกตั้งในปี 2560 นี้ เพราะฉะนั้นประเด็นร้อนนี้จึงน่าจะจบและคงไม่มีเงื่อนไขอะไรให้ขบวนการเพื่อแม้วใช้เป็นข้ออ้างตีรวนป่วนประเทศอีก อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าถึงอย่างไรขบวนการเพื่อแม้ว ซึ่งอยู่ในสภาพหลังพิงฝาไม่มีอะไรจะเสียก็คงไม่เลิกหาเรื่องจ้องบ่อนทำลายคสช.และรัฐบาลไปเรื่อยๆจนกว่าจะมีการเลือกตั้งซึ่งเป็นโอกาสเดียวที่ระบอบแม้วจะกลับมามีอำนาจยึดครองประเทศอีกครั้ง โดยเหล่าแกนนำสาวกเพื่อแม้วทั้งหลายคงจะดาหน้าออกมาสร้างเรื่องใช้วาทกรรมน้ำเน่าไร้สาระโจมตีแบบรายวันเพื่อชิงพื้นที่ข่าวและทำลายภาพพจน์ความชอบธรรมของอำนาจรัฐ

ส่วนเรื่องที่สองคือการจุดพลุกฎหมายนิรโทษกรรมของ สปท.นั้นคงต้องจับตาดูต่อไปโดยมีข้อน่าสังเกตว่า คนที่ออกมาเปิดประเด็นเรื่องนี้คือ นายสุชน ชาลีเครือ ซึ่งเป็นกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านการเมืองของสปท. โดย นายสุชน คอการเมืองคงรู้ว่าเป็นคนของขบวนการเพื่อแม้วมานาน โดย นายสุชน อ้างว่าคณะกรรมาธิการได้ข้อสรุปหลักเกณฑ์การสร้างความปรองดองเพื่อเสนอต่อหัวหน้าคสช.ให้ใช้อำนาจตามมาตรา 44 นิรโทษกรรมแก่ประชาชนที่มาชุมนุมทางการเมืองทุกกลุ่มในช่วงที่ผ่านมา แต่ นายเสรี สุวรรณภานนท์ ประธานคณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านการเมือง สปท. กลับดักคอเกมลักไก่ของ นายสุชน โดยกล่าวว่า เป็นเพียงความเห็นส่วนตัวของ นายสุชน ไม่ใช่ความเห็นของคณะกรรมาธิการ

ทั้งนี้เรื่องการนิรโทษกรรมเป็นเรื่องอ่อนไหวและเคยเป็นบทเรียนจุดชนวนระเบิดเวลาทางการเมืองลูกใหญ่มาแล้วในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ที่พยายามผลักดัน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับสุดซอยโดยอ้างการสร้างความปรองดองบังหน้า แต่มีเป้าหมายแอบแฝงมุ่งลบล้างความผิดให้กับ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯนักโทษหนีคุกคดีทุจริต ผู้เป็นพี่ชาย น.ส.ยิ่งลักษณ์ เพื่อจะได้กลับบ้านแบบเท่ๆ โดยไม่ต้องรับโทษตามคำพิพากษของศาล จนเป็นชนวนให้มวลมหาประชาชนหลายล้านคนออกมาแสดงพลังต่อต้านจนนำไปสู่การยึดอำนาจของคสช.ในที่สุด

อย่างไรก็ตาม เชื่อว่า คสช.คงไม่หาเรื่องใส่ตัวด้วยการใช้อำนาจตามมาตรา 44 จุดชนวนระเบิดเวลาลูกใหญ่ฆ่าตัวตายตามแผนขบวนการเพื่อแม้ว แต่เป็นไปได้ที่จะมีการผลักดันกฎหมายนิรโทษกรรมเฉพาะประชาชนทุกสีทุกกลุ่มที่มาร่วมชุมนุมทางการเมืองในช่วงที่ผ่านมาเพื่อสร้างบรรยากาศแห่งความปรองดอง แต่จะไม่ครอบคลุมถึงแกนนำที่ปลุกระดมจนเกิดวิกฤติความรุนแรง รวมทั้งผู้ต้องหาคดีร้ายแรงเกี่ยวกับความมั่นคง คดีทุจริตหรือผู้ต้องหาที่ทำความผิดฐานหมิ่นเบื้องสูงตามมาตรา 112 ของประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งหากเป็นการนิรโทษกรรมในลักษณะนี้คงไม่มีปัญหาและสอดคล้องกับผลการศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดองก่อนหน้านี้ของสถาบันพระปกเกล้าและคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ(คอป.)ที่มี ดร.คณิต ณ นคร เป็นประธาน แต่ผลการศึกษาของ คอป.และสถาบันพระปกเกล้าถูกรัฐบาลยิ่งลักษณ์ทิ้งลงตะกร้าเพราะไม่ตอบสนองความต้องการของ นักโทษชายแม้ว ที่ต้องการลบล้างโทษความผิดให้ตัวเอง

สำหรับเรื่องที่สาม กรณี น.ส.ยิ่งลักษณ์ โวยวายถูกเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบตามประกบขณะพาครอบครัวไปเที่ยวที่ อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน ถือเป็นการแสดงอาการเหมือนร้อนตัวเลยหงุดหงิด ซึ่งปกติคนที่คิดและทำแต่เรื่องดีๆ มีความบริสุทธิ์ใจจิตใจย่อมผ่องแผ้วไม่กลัวผลกรรมใดๆ จะตามเช็คบิล อย่าว่าแต่กลัวการถูกตามประกบ แต่ที่สำคัญ น.ส.ยิ่งลักษณ์คงลืมไปแล้วว่า ตัวเองเป็นจำเลยคนสำคัญคดีโครงการรับจำนำข้าว ซึ่งเป็นคดีใหญ่ครั้งประวัติศาสตร์ โดย น.ส.ยิ่งลักษณ์ และพวกถูกดำเนินคดีทั้งทางอาญาและทางแพ่งเพื่อให้ชดใช้ค่าเสียหายแก่แผ่นดิน โดยก่อนหน้านี้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเคยมีคำสั่งห้าม น.ส.ยิ่งลักษณ์ และพวกออกนอกประเทศ

ในทางอาญาหาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ถูกศาลตัดสินว่าผิดจริงมีโทษสูงสุดจำคุกถึง 10 ปี ส่วนทางแพ่ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ถูกฟ้องให้ชดใช้ความเสียหายแก่แผ่นดินมูลค่ากว่า 3 หมื่นล้านบาท

ดังนั้นการที่เจ้าหน้าที่ตามประกบ น.ส.ยิ่งลักษณ์จึงถือเป็นการทำตามหน้าที่เพื่อป้องกันผู้ต้องหาคนสำคัญหลบหนี อีกคดีโครงการรับจำนำข้าวเป็นคดีใหญ่ระดับชาติที่สังคมเฝ้าจับตามองและอยากให้เป็นคดีตัวอย่างที่สร้างบรรทัดฐานให้เห็นว่า
นักการเมืองผู้มีอำนาจไม่ว่าใหญ่แค่ไหนหากทำผิดก็ต้องถูกลงโทษเช่นเดียวกับชาวบ้านตาสีตาสาเพราะทุกคนล้วนต้องอยู่ภายใต้กฎหมายฉบับเดียวกันอย่างเท่าเทียม อีกทั้งในอดีตมีตัวอย่างผู้ต้องหาคนสำคัญหนีโทษความผิดมาแล้วนั่นคือนักโทษชายแม้วที่บินหนีคุกออกไปเสพสุขอยู่นอกประเทศอย่างลอยนวลจนทุกวันนี้

ทีมข่าวการเมือง

เร่งเลือกตั้งปลายปีเหมาะหรือไม่? ช่วงมีพระราชพิธีสำคัญของคนทั้งแผ่นดิน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/250993

วันพุธ ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2560, 02.00 น.

บรรดาแกนนำสาวกพรรคเพื่อแม้วต่างดิ้นพล่านดาหน้าออกมาต้านสัญญาณจากสนช.ที่อาจยืดโรดแมปเลือกตั้งเป็นกลางปีหน้าแบบสุดตัว โดยอ้างเป็นสัญญาประชาคมที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)ประกาศไว้ทั้งต่อคนไทยและชาวโลก ว่าจะมีเลือกตั้งในปี 2560 ขณะเดียวกันก็อ้างประชาธิปไตยบังหน้า

นอกจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯหุ่นเชิดที่ออกมาถล่มรัฐบาลนายกฯลุงตู่รวมทั้งเรียกร้องให้มีการเลือกตั้งตามโรดแมปปลายปีนี้แล้ว แกนนำพรรคเพื่อแม้วที่ต่างดาหน้าออกมาใช้วาทกรรมเคลื่อนไหวขย่มอำนาจรัฐเพื่อค้านการยืดโรดแมปเลือกตั้งออกไปเป็นกลางปีหน้า อาทิ นายภูมิ เวชชยชัย รักษาการเลขาธิการพรรคนายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด และ นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ สองเกลอรักษาการรองโฆษกพรรค

โดย นายอนุสรณ์ ใช้วาทกรรมฟาดหัวฟาดหางว่าเวลานี้คนไทยคงเข้าใจแล้วว่าที่คณะยึดอำนาจเคยบอกว่าจะทำตามสัญญา ขอเวลาอีกไม่นาน เอาเข้าจริงไม่ทำตามสัญญาอะไร ยึดอำนาจใหม่ๆ บอกว่าจะเลือกตั้งปี 2558 แล้วเลื่อนมาเป็นปี 2559 2560 และวันนี้จะเลื่อนเป็นปี 2561 อีกแล้ว พร้อมกับขู่ว่า “ผมเชื่อว่าคนไทยอยากฟังจากปาก พล.อ.ประยุทธ์ เองมากกว่าว่ายังมั่นใจที่จะมีเลือกตั้งในปี 2560 อยู่หรือไม่ ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ยังมีภาวะผู้นำอยู่บ้างต้องพูดคำไหนคำนั้น ต้องจัดให้มีการเลือกตั้งในปี 2560 เพราะเดินสายประกาศไปทุกเวทีว่าจะมีการเลือกตั้งในปี 2560 ถ้าไม่ทำตามสัญญาอีกเชื่อว่าทั้งในประเทศและต่างประเทศจะลุกขึ้นมาทวงสัญญาอย่างแน่นอน”

ขณะที่ นายจิรายุ กล่าวเชิงประชดประชันว่า “วันนี้ต่างชาติยังไม่ยอมรับในประเทศที่มาจากการยึดอำนาจ พล.อ.ประยุทธ์ที่ประกาศบนเวทีโลกเอาไว้ ปีใหม่แล้วทำอะไรเพื่อคนไทยด้วย ที่ผ่านมากล่าวหาสภาว่าลักหลับผ่านกฎหมายตอนกลางคืน มายุคนี้ผ่านกฎหมายลักหลับกลางวันแสกๆ ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเองจริงๆ”

ที่ผ่านมาเหล่าคนของขบวนการเพื่อแม้วอ้างประชาธิปไตยบังหน้ามาตลอด ทั้งๆ ที่พฤติกรรมที่เป็นจริงของขบวนการระบอบแม้วนั้นตรงกันข้ามกับประชาธิปไตยอย่างสิ้นเชิง โดยพรรคเพื่อแม้วถูกตั้งข้อสังเกตว่าเป็นเพียงพรรคธุรกิจการเมืองทุนสามานย์ในคราบประชาธิปไตยจอมปลอมที่ทุ่มเงินและผลประโยชน์ทุกรูปแบบซื้อทุกอย่างที่ขวางหน้า ซื้อสส. ซื้อเสียง ซื้อเลือกตั้ง ซื้อประชาธิปไตย ซื้ออำนาจรัฐ ซื้อประเทศ ซึ่งเมื่อได้อำนาจรัฐเป็นรัฐบาลแล้วก็โกงชาติปล้นแผนดินถอนทุนบวกกำไรมโหฬารและใช้วิธีเจ้าเล่ห์อัฐยายซื้อขนมยายคือใช้อำนาจรัฐในฐานะรัฐบาลสร้างเครือข่ายอิทธิพลหาพวกด้วยกรแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการที่ยอมเป็นทาสรับใช้ ขณะเดียวกัน ก็ใช้นโยบายประชานิยมและงบประมาณแผ่นดินตกเขียวซื้อเสียงประชาชนทางอ้อม เพื่อผูกขาดอำนาจในระยะยาว

นอกจากนี้พรรคเพื่อแม้วยังไม่ต่างจากบริษัทการเมืองจำกัดที่เหล่า สส.แทนที่จะเป็นผู้แทนราษฎรกลับมีสถานะเป็นเพียงพนักงานบริษัทที่รับท่อน้ำเลี้ยงพิเศษและต้องทำตามใบสั่งของนายใหญ่เจ้าของบริษัทเพียงคนเดียว ทั้งๆ ที่นายใหญ่ขณะนี้มีสถานะเป็นนักโทษหนีคุกคดีทุจริตที่เป็นสัมภเวสีบงการอยู่นอกประเทศ

นอกจากนี้ขบวนการเพื่อแม้วนอกจากมีสถานะเป็นบริษัทการเมืองจำกัดแล้ว ยังจัดตั้งกองกำลังก่อการร้ายใต้ดิน และมวลชนเสื้อแดงที่เรียกว่า “แก้ว 3 ประการ” เพื่อใช้เป็นเครื่องมือเคลื่อนไหวช่วงชิงอำนาจนอกวิถีทางประชาธิปไตย

รวมทั้งช่วงที่เป็นรัฐบาลยังอาศัยความเป็นเผด็จการเสียงข้างมากลุแก่อำนาจทำสารพัดสิ่งเลวร้ายตามใจชอบ โดยเฉพาะการลักไก่หักดิบผ่านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมที่อ้างการสร้างความปรองดองบังหน้าแต่มีเป้าหมายแอบแฝงแท้จริงมุ่งลบล้างโทษความผิดคดีทุจริตให้กับ นักโทษชายแม้ว เพื่อที่จะได้กลับบ้านแบบเท่ๆ โดยไม่ต้องรับโทษตามคำตัดสินของศาลจนเป็นชนวนให้มวลมหาประชาชนหลายล้านคนออกมาแสดงพลังครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์เพื่อต่อต้านกฎหมายอัปยศและขับไล่รัฐบาลหุ่นเชิดระบอบแม้วจนในที่สุดคสช.ต้องเข้ายึดอำนาจเพื่อไม่ให้เกิดสงครามกลางเมืองนองเลืองของคนในชาติและเพื่อให้ประเทศหลุดพ้นจากภาวะรัฐล้มเหลวสิ้นเชิง

มาวันนี้พรรคเพื่อแม้วใช้ลูกไม้เดิมอ้างประชาธิปไตยบังหน้าเรียกร้องให้มีการเลือกตั้งตามโรดแมปโดยเร็ว ขณะที่ผลสำรวจของโพลล์ทุกสำนักตลอดช่วงที่ผ่านมาสะท้อนว่า ประชาชนส่วนใหญ่เชื่อมั่นและศรัทธาการบริหารประเทศภายใต้อำนาจรัฐพิเศษ และต้องการให้เลื่อนการเลือกตั้งออกไปเพราะอยากให้บ้านเมืองสงบสุข รวมทั้งเอือมระอาพฤติการณ์ของนักการเมืองที่เป็นต้นเหตุของวิกฤติชาติในช่วงที่ผ่านมาเต็มที

การที่พรรคเพื่อแม้วออกอาการเร่งให้มีการเลือกตั้งโดยเร็วเพราะเป็นโอกาสเดียวที่พรรคเพื่อแม้วจะกลับมามีอำนาจยึดครองประเทศ และลบล้างโทษความผิดให้กับ นักโทษชายแม้ว และน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯหุ่นเชิด ผู้เป็นน้องสาวซึ่งเป็นจำเลยคนสำคัญคดีโครงการรับจำนำข้าวที่มีการทุจริตมโหฬารและสร้างความเสียหายแก่ชาติบ้านเมืองครั้งเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์

สำหรับข้อเรียกร้องให้มีการเลือกตั้งตามโรดแมปปลายปีนี้นั้น ความจริงเดิมที พล.อ.ประยุทธ์ มีความตั้งใจที่จะให้มีการเลือกตั้งตามโรดแมปในปลายปีนี้จริงๆ เพราะไม่อย่างนั้นคงไม่ประกาศเป็นสัญญาประชาคมและปราศรัยในที่ประชุมองค์การสหประชาชาติ รวมทั้ง ย้ำกับผู้นำและตัวแทนประเทศต่างๆ มาตลอด แต่เนื่องจากมีปัญหาเรื่องกรอบเวลาการพิจารณากฎหมายลูกต่างๆ ซึ่งล่าช้ากว่าโรดแมปไปบ้างทำให้การเลือกตั้งอาจต้องยืดเวลาออกไปซึ่งก็คงไม่กี่เดือนจึงไม่มีเหตุผลอะไรที่พรรคเพื่อแม้วถึงกับพล่านออกมาโวยวายราวกับเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย

แต่สิ่งสำคัญที่สุดก็คือเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดที่สร้างความเศร้าโศกแก่คนไทยทั้งประเทศจากการเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศเมื่อวันที่ 13 ต.ค.ปีที่แล้ว และคาดว่าพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพจะมีขึ้นในปลายปีนี้ซึ่งพสกนิกรไทยทั้งประเทศจะแสดงความจงรักภักดีถวายสักการะแด่ภัทรมหาราชผู้เป็นพ่อแห่งแผ่นดินเป็นครั้งสุดท้าย ซึ่งภายใต้ช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์อันสำคัญยิ่ง ทุกฝ่ายจึงควรสำนึกว่าเป็นเรื่องที่เหมาะสมหรือไม่ที่ช่วงเวลาดังกล่าวประชาชนจะถูกเบี่ยงเบนสมาธิไปกับบรรยากาศของการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งตามความต้องการของเหล่านักโกงเมือง

ทีมข่าวการเมือง

เลือกตั้งอาจยืดเป็นปี’61 ปชช.ชอบแต่พวกลากตั้งโวย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/250895

วันอังคาร ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2560, 02.00 น.

หลังจากที่นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ออกมาส่งสัญญาณว่าการเลือกตั้งครั้งใหม่อาจจะมีขึ้นในปี 2561 เนื่องจากสนช.มีกฎหมายค้างการพิจารณาจำนวนมาก รวมทั้งการพิจารณากฎหมายลูกประกอบรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้ง 4 ฉบับ ต้องใช้เวลาพอสมควรจนคาดว่าจะไม่สามารถมีการเลือกตั้งได้ภายในปี 2560 ปรากฏว่าทำเอาบรรดานักลากตั้งโดยเฉพาะจาก 2 พรรคใหญ่คือ เพื่อแม้วกับประชาธิปัตย์ถึงกับพล่านออกมากดดันเรียกร้องให้มีการเลือกตั้งตามโรดแมปโดยเร็ว

นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ตั้งข้อสังเกตว่าสนช.กำลังเล่นเกมยืดการเลือกตั้งออกไป

ขณะที่ล่าสุด น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯหุ่นเชิด พรรคเพื่อแม้ว เรียกร้องให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)และรัฐบาลเดินตามโรดแมปโดยให้มีการเลือกตั้งในปี 2560 พร้อมถือโอกาสแขวะอำนาจรัฐคสช.ว่าคุมอำนาจการปกครองประเทศมากว่า 2 ปี แต่ยังไม่เห็น
แนวทางสร้างความปรองดอง

ความเห็นของอดีตนายกฯหุ่นเชิดเรื่องการสร้างความปรองดองนั้น หากเป็นการปรองดองตามที่อดีตนายกฯนักโทษหนีคุกคดีทุจริตตามคำพิพากษาของศาลซึ่งเป็นนายใหญ่ระบอบแม้วต้องการนั่นคือ เซตซีโร่เริ่มนับหนึ่งใหม่ด้วยการลบล้างโทษความผิดทั้งหมดให้กับตัวเองและเหล่าแดงก่อการร้ายเผาบ้านทำลายเมืองอันเป็นการทำลายหลักนิติซึ่งการปรองดองที่ยึดถือประโยชน์ของตัวเองเป็นใหญ่โดยอาศัยประเทศเป็นตัวประกันต่อรองคงเป็นสิ่งที่มวลมหาประชาชนหลายล้านคนที่เคยออกมาแสดงพลังต่อต้านพ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับสุดซอยยุครัฐบาลทักษิณคิดยิ่งลักษณ์ทำคงรับไม่ได้ และยิ่งหากต้องการจะต่อรองหวังจะให้ล้มคดีโครงการรับจำนำข้าวที่มีการโกงชาติปล้นแผ่นดินอย่างมโหฬารและสร้างความเสียหายย่อยยับแก่ประเทศครั้งเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ซึ่ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ และพวกเป็นจำเลยก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่

ความจริงแล้วหลังจากที่คสช.เข้าควบคุมอำนาจการปกครองประเทศตั้งแต่เมื่อวันที่ 22 พ.ค. 2557 สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประชาชนสีต่างๆคลี่คลายลงไปมากและจำนวนไม่น้อยร่วมกิจกรรมสร้างความปรองดองเพราะประชาชนทั้งประเทศต่างก็ต้องการให้บ้านเมืองสงบสุขร่มเย็นไม่อยากให้เห็นความรุนแรงซึ่งสร้างความบอบช้ำให้ประเทศตลอดช่วง 10 ปีที่ผ่านมาอีก แต่ที่ยังมีปัญหาบ่อนทำลายอยู่จนทุกวันนี้ก็เพราะขบวนการระบอบแม้วซึ่งเป็นคนเพียงหยิบมือเดียวที่ยังพยายามตีรวนก่อคลื่นใต้น้ำทำลายชาติบ้านเมืองเพียงเพื่อให้บรรลุเป้าหมายผลประโยชน์ของตัวเองโดยอ้างการสร้างความปรองดองต่อรองบังหน้า

ส่วนประเด็นเรื่องที่อาจมีการเลือกตั้งในกลางปีหน้านั้นล่าสุด พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม สมาชิกสนช. ชี้แจงได้อย่างชัดเจนว่า เนื่องจากสนช.มีภารกิจต้องพิจารณากฎหมายจำนวนมากทำให้คาดว่าคงไม่สามารถเลือกตั้งได้ทันในปี 2560 ตามที่ตั้งใจไว้แต่เดิม เพราะตามขั้นตอนโรดแมปคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ(กรธ.)ต้องส่งกฎหมายลูกประกอบรัฐธรรมนูญ 4 ฉบับที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งให้สนช.ภายใน 8 เดือนนับจากวันที่ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ประกาศใช้อย่างเป็นทางการ จากนั้นสนช.มีเวลาพิจารณากฎหมายลูก 2 เดือนซึ่งเมื่อเสร็จแล้วต้องจัดการเลือกตั้งภายใน 150 วัน หรือ 5 เดือน ซึ่งหากดูตามกรอบเวลาดังกล่าวน่าจะใช้เวลาประมาณ 15 เดือนที่จะมีการเลือกตั้ง ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นช่วงประมาณเดือนมี.ค.-เม.ย. 2561 ซึ่งไม่ถือเป็นการเลื่อนโรดแมปเลือกตั้งแต่ทุกอย่างเป็นไปตามกรอบเวลาและกติกาที่กำหนดไว้ จึงต้องถือว่าเลือกตั้งอยู่ในกรอบโรดแมป ทั้งนี้ยืนยันว่าการเลือกตั้งจะมีขึ้นอย่างแน่นอน

นอกจากกรอบเวลาขั้นตอนตามโรดแมปที่บังคับแล้ว ที่สำคัญในปลายปีหน้าจะมีพระราชพิธีอันยิ่งใหญ่ของคนไทยทั้งชาติเพื่อเป็นการถวายสักการะแสดงความจงรักภักดีต่อพ่อแห่งแผ่นดินเป็นครั้งสุดท้าย นั่นคือในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ เพราะฉะนั้นในช่วงเวลาดังกล่าวจึงไม่น่าเหมาะที่จะมีบรรยากาศของการต่อสู้ทางการเมืองเพื่อเอาชนะกันในศึกเลือกตั้ง

เหนืออื่นใดหากจะคำนึงถึงเสียงสะท้อนของประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศจากผลสำรวจของโพลล์สำนักต่างๆ ตลอดช่วงที่ผ่านมาพบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ต้องการให้รัฐบาลภายใต้อำนาจพิเศษอยู่บริหารประเทศต่อไปมากกว่าที่อยากให้มีการเลือกตั้ง โดยผลสำรวจความเห็นของประชาชนทั่วประเทศเปรียบเทียบระหว่างรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคสช. ที่มาจากการรัฐประหารกับรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของสวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิตเมื่อไม่นานมานี้พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศร้อยละ 48.84 มองว่ารัฐบาลนายกฯบิ๊กตู่ดีกว่ารัฐบาลจากการเลือกตั้งเพราะทำงานได้รวดเร็ว คล่องตัวภายใต้อำนาจพิเศษบ้านเมืองเกิดความสงบไม่มีการทะเลาะเบาะแว้งอย่างรุนแรง รัฐบาลทำงานไปในทิศทางเดียวกัน และมีผลงานให้เห็น ขณะที่ประชาชนเพียงร้อยละ 23.72 เห็นว่ารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งดีกว่ารัฐบาลจากการรัฐประหาร

ล่าสุดสำนักวิจัยซูเปอร์โพลล์เผยแพร่ผลสำรวจความเห็นประชาชนทั่วประเทศเรื่องใครทำให้ชาวบ้านสุขสุดปี 2559 โดยตั้งคำถามว่านายกรัฐมนตรีและอดีตนายกรัฐมนตรีของไทยที่ทำให้ชาวบ้านสุขสุดในปีที่เพิ่งผ่านมาพบว่า พล.อ.ประยุทธ์ นำโด่งเป็นอันดับ 1 ร้อยละ 80.3 ทิ้งห่างอดีตนยกฯนักโทษหนีคุกอย่างนายทักษิณ ชินวัตร ที่ได้แค่ร้อยละ5.9 ส่วน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะอดีตนายกฯ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ได้ร้อยละ 5.5

เพราะฉะนั้นขณะที่เหล่านักลากตั้งพล่านกระสันอยากเลือกตั้งจนตัวสั่น แต่พลังมหาชนส่วนใหญ่ของประเทศกลับสะท้อนว่า ประชาชนไม่ได้สนใจว่าจะมีการเลือกตั้งตามโรดแมปหรือไม่เมื่อไหร่ ขอเพียงบ้านเมืองสงบสุขภายใต้อำนาจพิเศษ เพราะหากมีเลือกตั้งแล้วบ้านเมืองกลับไปสู่ฝันร้ายแห่งวังวนของวงจรอุบาทว์จนเกิดความรุนแรงทำให้บ้านเมืองหายนะเศรษฐกิจล่มจมเหมือนเดิมสู้อยู่ภายใต้อำนาจพิเศษดีกว่าจมอยู่กับความทุกข์และเครียดภายใต้ธุรกิจการเมืองทุนสามานย์ในคราบประชาธิปไตยจอมปลอม

ทีมข่าวการเมือง

ส่งท้ายปีวอก2559สิ่งไม่ดีผ่านพ้น ต้อนรับปีระกา2560ด้วยความหวัง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/250770

วันเสาร์ ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2559, 02.00 น.

news_default

ปีวอก 2559 กำลังจะผ่านพ้นไปท่ามกลางเหตุการณ์บ้านเมืองทั้งดีและไม่ดีทั้งทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมมากมายซึ่งเป็นไปตามกฎแห่งวัฏจักรราศีและกฎแห่งกรรม ขณะที่ปีระกา 2560 กำลังจะเข้ามาแทนที่ด้วยความหวังว่าปีใหม่นี้ชาติบ้านเมืองจะผ่านพ้นปัญหาทั้งปวงและเดินหน้าไปสู่ความอยู่เย็นเป็นสุขไพร่ฟ้าหน้าใส

ในปีเก่าที่กำลังจะผ่านพ้นไปเหตุการณ์ที่สำคัญซึ่งสร้างความเศร้าโศกให้กับคนไทยทั้งชาติและทั่วโลกจนน้ำตานองทั่วแผ่นดินก็คือการเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ซึ่งเป็นราชาแห่งราชันที่ทรงครองราชย์ยืนยาวที่สุดในโลกถึง 70 ปี ณ โรงพยาบาลศิริราชเมื่อเวลาประมาณบ่ายสามโมงเศษของวันที่ 13 ตุลาคม

แต่ด้วยพระบารมีของพระภัทรมหาราชอันประเสริฐแม้จะเสด็จสวรรคตยังได้สร้างคุณูปการอันยิ่งใหญ่ต่อแผ่นดินและปวงชนชาวไทยโดยทำให้คนไทยทั้งประเทศมีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวเกื้อกูลกัน และต่างพากันแสดงเจตนารมณ์มุ่งทำความดีเจริญรอยตามพ่อแห่งแผ่นดินอันจะนำมาซึ่งความสงบสุขร่มเย็นและความรุ่งเรืองก้าวหน้าของประเทศ

เหตุการณ์ทางการเมืองที่สำคัญในปีที่ผ่านมาก็คือร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ได้ชื่อว่าเป็น “ฉบับปราบโกง” เพื่อการปฏิรูปประเทศครั้งสำคัญได้ผ่านการทำประชามติ และขณะนี้อยู่ระหว่างการออกกฎหมายลูกประกอบรัฐธรรมนูญอีกหลายฉบับเพื่อเดินหน้าปฏิรูปประเทศไม่ให้กลับไปสู่วังวนของวงจรอุบาทว์อันเลวร้ายแบบเดิมๆ อีก ขณะที่ขบวนการกลุ่มอำนาจเก่าที่สูญเสียผลประโยชน์ยังพยายามก่อกวนตีรวนป่วนเมืองและสร้างสถานการณ์บ่อนทำลายอำนาจรัฐคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) เพื่อขัดขวางการเดินหน้าปฏิรูปประเทศและพยายามที่จะทำให้พรรคพวกตัวเองพ้นจากโทษความผิดร้ายแรงที่ก่อไว้กับชาติบ้านเมืองและหวังกลับมามีอำนาจยึดครองประเทศอีกครั้ง

อีกเหตุการณ์สำคัญในปีเก่าที่กำลังจะผ่านพ้นไปคือ มหากาพย์คดีโครงการรับจำนำข้าวที่มีการทุจริตอย่างมโหฬารและสร้างความเสียหายแก่ประเทศครั้งเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ซึ่งมีการดำเนินคดีทั้งทางอาญาและทางแพ่ง โดยจำเลยคนสำคัญก็คือ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯหุ่นเชิด นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรมว.พาณิชย์ และ นายภูมิ สาระผล อดีตรมช.พาณิชย์

ส่วนด้านเศรษฐกิจตลอดปีที่ผ่านมาประชาชนระดับรากหญ้ายังต้องเผชิญกับความยากลำบากจากเศรษฐกิจที่ซบเซา โดยปัญหาสำคัญคือราคาพืชผลการเกษตรโดยเฉพาะข้าวที่ยังตกต่ำซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลได้แต่แก้ปัญหาเฉพาะหน้าด้วยการให้เงินช่วยเหลือเกษตรกรโดยตรง ขณะเดียวกันมีแผนแก้ปัญหาราคาพืชผลการเกษตรตกต่ำในระยะยาวด้วยการปฏิรูปการเกษตรทั้งระบบทั้งการโซนนิ่งพื้นที่เพาะปลูก การปรับเปลี่ยนวิธีคิดของเกษตรกรให้หันมาปลูกพืชแบบผสมผสานแทนที่จะปลูกพืชเชิงเดี่ยวเหมือนที่ผ่านมาซึ่งมีความเสี่ยงสูงที่จะขาดทุน รวมทั้ง การสนับสนุนเกษตรกรณ์ในชุมชนให้รวมตัวกันเพื่อสร้างอำนาจต่อรอง โดยรัฐให้การสนับสนุนในเรื่องการให้ความรู้และความช่วยเหลือบางส่วนในลักษณะประชารัฐ

ด้านการส่งออกและการลงทุนถือเป็นจุดอ่อนของรัฐบาลตลอดปีที่ผ่านมา แต่ช่วงปลายปีเริ่มมีสัญญาณที่ดีว่า การส่งออกและการลงทุนภาคอุตสาหกรรมที่เคยติดลบมาตลอดกลับเริ่มเป็นบวกในรอบหลายปีทำให้ตั้งความหวังแนวโน้มเศรษฐกิจในปีหน้าว่าจะฟื้นตัวมากยิ่งขึ้น ซึ่งถือเป็นเรื่องท้าทายสำหรับรัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้าคสช.

สำหรับเหตุการณ์ที่ต้องจับตาเพราะเหมือนระเบิดเวลตั้งแต่ช่วงปลายปีและจะส่งผลไปถึงปีใหม่ก็คือปัญหาสำนักจานบินซึ่งมีการออกหมายจับ ธัมมชโย อดีตเจ้าสำนักและพวก โดยกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.)ที่พยายามกดดันและคาดว่าจะเข้าตรวจค้นเพื่อจับกุม ธัมมชโย ช่วงหลังปีใหม่หลังจากที่ล้มเหลวมาแล้วถึง 2 ครั้ง เนื่องจากถูกต่อต้านขัดขวางจากเหล่าสาวกสำนักจานบิน รวมทั้งกรณีที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) ลงมติ 3 วาระรวดผ่านร่างแก้ไข พ.ร.บ.สงฆ์ตัดอำนาจมหาเถรสมาคม(มส.) ซึ่งถูกตั้งข้อสังเกตว่าเป็นเครือข่ายสำนักจานบินแล้วคืนพระราชอำนาจแก่พระมหากษัตริย์ในการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชตามจารีตประเพณีที่ยึดถือมาแต่โบราณกาลท่ามกลางการต่อต้านจากม็อบผ้าเหลืองในเครือข่ายสำนักจานบิน ขณะเดียวกันก็มีเสียงเรียกร้องจากประชาชนจำนวนไม่น้อยว่าถึงเวลาแล้วที่จะต้องมีการปฏิรูปวงการสงฆ์ครั้งใหญ่ให้ใสสะอาดอย่างจริงจังเพื่อให้พ้นจากธุรกิจของกลุ่มอลัชชีในคราบผ้าเหลือง

ด้านความเชื่อมั่นศรัทธาของมหาชนส่วนใหญ่ของประเทศต่อ คสช. ซึ่งจากผลสำรวจของสวนดุสิตโพลล่าสุดกลับสะท้อนว่า มหาชนส่วนใหญ่ยังคงเชื่อมั่นศรัทธาในคสช.โดยเฉพาะ พล.อ.ประยุทธ์ มากกว่ารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง

ในปีใหม่ 2560 ยังต้องจับตาคดีโครงการรับจำนำข้าวที่คาดว่าจะมีการตัดสินชี้ชะตา น.ส.ยิ่งลักษณ์ และพวกโดยศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองซึ่งหากศาลตัดสินว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ และพวกผิดจริงจะมีโทษจำคุก 1-10 ปี ส่วนคดีทางแพ่งฟ้องร้องให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ และพวกชดใช้ความเสียหายแก่แผ่นดินอาจนำไปสู่การยึดทรัพย์มูลค่ารวมหลายหมื่นล้านบาท ซึ่งคดีโครงการรับจำนำข้าวอาจเป็นตัวเร่งให้สถานการณ์ทางการเมืองดุเดือดร้อนแรงเนื่องจากคาดว่า นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯนักโทษหนีคุก คงไม่ยอมให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ผู้เป็นน้องสาวต้องประสบชะตากรรมอันเลวร้ายถึงขั้นติดคุกแน่ รวมทั้งคงประเมินแล้วว่าเลือกตั้งทั่วไปครั้งหน้าถึงอย่างไรพรรคเพื่อแม้วก็คงไม่มีโอกาสได้เป็นรัฐบาล ดังนั้นจึงอาจเดินเกมดับเครื่องชนอำนาจรัฐคสช.ขั้นแตกหักแบบเลือดเข้าตาด้วยการสร้างสถานการณ์รุนแรงหวังล้มการเลือกตั้งตามโรดแมปในปลายปีหน้า เพื่อใช้เป็นข้ออ้างสุมไฟให้เกิดการต่อต้านคสช.ในวงกว้างทั้งในและนอกประเทศ

สรุปแล้วปีไก่ 2560 ที่กำลังจะมาถึงถือเป็นปีแห่งความท้าทายสำหรับรัฐบาลนายกฯลุงตู่ว่าจะนำพาชาติบ้านเมืองให้ผ่านพ้นวิกฤติอุปสรรคนานาได้อย่างราบรื่น และทำให้บ้านเมืองสงบสุขร่มเย็นเจริญรุ่งเรืองอย่างยั่งยืนได้หรือไม่ อย่างไรก็ตาม ในนามของเราชาวบริษัทหนังสือพิมพ์แนวหน้า จำกัด ขอให้อำนาจคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสากลโลกและพระสยามเทวาธิราช ตลอดจนพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศจงอำนวยพรอันเป็นสิริมงคลดลบันดาลให้ชาติบ้านเมืองผ่านพ้นวิกฤติและอยู่เย็นเป็นสุข และขอให้คนไทยทั้งประเทศจงมีสุขภาพแข็งแรง ประสบแต่ความสุขความเจริญยิ่งๆ ขึ้นไปโดยถ้วนหน้ากัน

ทีมข่าวการเมือง

เครือข่ายอาณาจักรจานบินสะเทือน นับถอยหลังสู่จุดล่มสลาย!

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/250671

วันศุกร์ ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2559, 02.00 น.

news_default

นับเป็นปรากฏการณ์ที่อาจเรียกได้ว่าเป็นการขุดรากถอนโคนขบวนการรัฐอิสระเหนือกฎหมายที่ส่อพฤติการณ์เหิมเกริมเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติมากขึ้นทุกขณะ ทั้งสำนักจานบินและมหาเถรสมาคม (มส.) ซึ่งถูกตั้งข้อสังเกตว่าเป็นเครือข่ายเครื่องมือในการปกป้องและช่วยแผ่ขยายอิทธิพลของสำนักจานบินตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา

ความเหิมเกริมทำตัวดุจรัฐอิสระอยู่เหนือกฎหมายของสำนักจานบินล่าสุดก็คือ เหล่าสาวกทั้งพระและฆราวาสที่สวมหน้ากากปิดบังใบหน้าจัดทัพท้าทายอำนาจรัฐตั้งป้อมสู้เต็มที่หวังขัดขวางการเข้าตรวจค้นจับกุม ธัมมชโย อดีตเจ้าสำนักจานบิน ซึ่งเป็นผู้ต้องหาหนีหมายจับถึง 3 คดีโดยมีการตั้งเต็นท์ขวางประตู 5 พร้อมทั้งมีการขนเสาคอนกรีตปิดถนนเพื่อขัดขวางเจ้าหน้าที่

ประชาชนจำนวนไม่น้อยเอือมระอาต่อพฤติการณ์ดุจรัฐอิสระเหนือกฎหมายของสำนักจานบินเต็มทีและเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่เอาจริงในการบุกเข้าตรวจค้นเพื่อจับกุม ธัมมชโย ที่เป็นผู้ต้องหาหนีอาญาแผ่นดิน ขณะเดียวกันควรจับกุมเหล่าสาวกสำนักจานบินทุกคนที่ขัดขวางการปฏิบัติงานตามกฎหมายของฝ่ายเจ้าหน้าที่แล้วนำตัวไปทำประวัติถ่ายภาพและตรวจสอบประวัติอย่างละเอียด เพราะเชื่อแน่ว่าจะต้องเจอเรื่องความไม่ชอบมาพากลที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังเหล่าสาวกที่สวมหน้ากากไอ้โม่งเหล่านี้ เพราะอาจเป็นสาวกหรือโล้นต่างด้าวห่มผ้าเหลือง หรือชาวบ้านที่ถูกจ้างมา บางคนอาจเป็นแกนนำฮาร์ดคอร์เสื้อแดงที่แฝงตัวปะปนอยู่ในกำแพงมนุษย์จานบินเพื่อสร้างสถานการณ์บางอย่าง

ความเคลื่อนไหวของเหล่าสาวกที่ถูกระดมเข้าไปตั้งกำแพงมนุษย์ในสำนักจานบินที่ต้องจับตาอีกเรื่องหนึ่งก็คือ พวกต่างด้าวโดยเฉพาะพม่าเพราะพระพม่าอันทรงอิทธิพลต่อชาวพม่าและมีแนวคิดซาดิสต์แบบสุดขั้วคือ พระวีระ ตู ที่เคยประกาศสงครามล้างเผ่าพันธุ์ชาวมุสลิมในพม่าจนเกิดโศกนาฏกรรมนองเลือดมาแล้ว โดย พระวีระ ตู ผู้นี้มีความสนิทสนมกับ ธัมมชโย และได้รับการขอความช่วยเหลือให้ปลุกระดมชาวพม่าในไทยซึ่งมีอยู่ถึง 3 ล้านคนสนับสนุนสำนักจานบินปกป้อง ธัมมชโย โดยโกหกบิดเบือนอ้างว่าอำนาจรัฐไทยให้การสนับสนุนพวกมุสลิมเข่นฆ่าชาวไทยพุทธ

การที่สำนักจานบินตั้งป้อมสู้เต็มที่อีกด้านหนึ่งเหมือนต้องการยั่วยุให้ฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐหมดความอดทนบุกเข้าตรวจค้นเพื่อจับกุม ธัมมชโย ซึ่งจะตกหลุมพรางการสู้แบบเลือดเข้าตาของสำนักจานบินที่จะต้องการสร้างสถานการณ์ให้เกิดการปะทะลุกลามไปสู่ความรุนแรง ยิ่งมีการสูญเสียนองเลือดมากเท่าไหร่ก็จะยิ่งเข้าแผนสำนักจานบินที่จะอาศัยเป็นข้ออ้างกระพือข่าวให้ครึกโครมไปทั่วโลกสร้างความชอบธรรมให้ตัวเองในการชักศึกเข้าบ้านใช้โลกล้อมไทยเหมือนวิธีการเดียวกับที่ระบอบแม้วชอบใช้ อันเป็นการบ่อนทำลายความน่าเชื่อถือของอำนาจรัฐคสช. ขณะเดียวกันก็เป็นข้ออ้างในการกดดันเรียกร้องให้ยกเลิกความผิดทั้งหมดกว่า 170 คดีของ ธัมมชโย และสำนักจานบิน

ก่อนหน้านี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) และ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) ชี้ว่าสาเหตุที่ฝ่ายเจ้าหน้าที่ไม่ผลีผลามบุกจับ ธัมมชโย ก็เพราะประเมินแล้วว่าอาจตกหลุมพรางของสำนักจานบิน ที่ต้องการสร้างสถานการณ์ให้บานปลายเพราะฉะนั้นจึงต้องวางแผนให้รัดกุมรอบคอบและรอโอกาสที่เหมาะสม

คำถามก็คือจะรอถึงเมื่อไหร่ และอย่างไร เพราะยังไงสำนักจานบินก็ไม่ยอมเลิกล้มแผนตั้งป้อมสู้แน่นอน

ส่วนทางด้านความเคลื่อนไหวของ พระเมธีธรรมาจารย์ หรือ พระประสาร เลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย ที่ถูกมองว่าเป็นพระเสื้อแดงออกมาฮึ่มขู่ปลุกม็อบผ้าเหลืองอันธพาลที่เคยล็อกคอทหารที่พุทธมณฑลให้ออกมาต้านการแก้ พ.ร.บ.สงฆ์ยกเลิกมาตรา 7 ตัดอำนาจการเสนอชื่อแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราชของ มส. แล้วคืนพระราชอำนาจแก่พระมหากษัตริย์ จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไรเพราะ พระประสาร หรือ นายประสาร หนองพร้าว อดีตแกนนำเสื้อแดง ซึ่งได้รับการสนับสนุนทั้งจากระบอบแม้วและสำนักจานบินจนเป็นใหญ่ในวงการผ้าเหลือง

การที่ พระประสาร ออกมาต้านการแก้มาตรา 7 ของ พ.ร.บ.สงฆ์ ก็เพราะเป็นยุทธศาสตร์ที่ชี้ความล่มสลายของเครือข่ายอาณาจักรสำนักจานบินซึ่งที่ผ่านมามี(มส.)ถูกตั้งข้อสังเกตว่า เป็นเครื่องมือคอยปกป้อง ธัมมชโย รวมทั้งแผ่ขยายอิทธิพลของสำนักจานบินด้วยการเลื่อนสมณศักดิ์พระสายจานบินขึ้นมาคุมอำนาจวงการผ้าเหลืองทั่วประเทศในทุกระดับ และที่สำคัญคือตั้งพระเถระผู้ใหญ่ที่เป็นสมัครพรรคพวกสายจานบินกุมอำนาจใน มส.เพื่อคอยปกป้องและแผ่ขยายอิทธิพลของอาณาจักรจานบินในระยะยาว โดยร่วมมือกับพันธมิตรคือระบอบแม้วโดยต่างมีแนวคิดยึดครองประเทศทั้งศาสนจักรและอาณาจักร ซึ่งเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติและนี่อาจเป็นที่มาของการที่ต้องแก้ไขมาตรา 7 ของ พ.ร.บ.สงฆ์

ขณะนี้สำนักจานบินอยู่ในสภาพหลังพิงฝาเพราะ ธัมมชโย และบรรดาพระแกนนำสำนักจานบินต่างมีคดีติดตัวหนีหมายจับกันหัวซุกหัวซุน ยิ่งหาก มส.ไร้อำนาจในการเสนอชื่อแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราชตาม พ.ร.บ.สงฆ์ เท่ากับแผนดันก้น สมเด็จช่วง เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ซึ่งเป็นอาจารย์ของ ธัมมชโย ขึ้นเป็นพระสังฆราชสืบทอดอำนาจสำนักจานบินทั้งๆ ที่ สมเด็จช่วง มีคดีอื้อฉาวครอบครองรถเบนซ์โบราณเถื่อนติดตัวต้องล้มเหลว และเท่ากับอนาคตล่มสลายของเครือข่ายอาณาจักรจานบินอยู่อีกไม่ไกลนัก

ล่าสุดสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ลงมติเป็นเอกฉันท์แก้ไขมาตรา 7 ร่าง พ.ร.บ.สงฆ์แบบ 3 วาระรวดเตรียมประกาศใช้เป็นกฎหมายหลังทรงลงพระปรมาภิไธยและประกาศในราชกิจจานุเบกษา ซี่งนั่นหมายถึงการตัดบทบาทของมส.ในการเสนอชื่อแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราช อีกทั้งการกำหนดให้การสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชเป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นผู้สนองพระบรมราชโองการ และที่สำคัญพระราชาคณะที่จะได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นพระสังฆราชไม่จำเป็นต้องมีสมณศักดิ์สูงสุดตามร่างพ.ร.บ.สงฆ์ฉบับเดิม

เพราะฉะนั้นนี่คือสัญญาณล่มสลายของอาณาจักรเครือข่ายสำนักจานบินที่กำลังนับถอยหลัง !

ทีมข่าวการเมือง

กลุ่มผ้าเหลืองหน้าเดิมร้อนตัว ปลุกต้านปฏิรูปพรบ.สงฆ์

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/250562

วันพฤหัสบดี ที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2559, 06.00 น.

news_default

ทันทีที่มีข่าวว่า 84 สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.)เข้าชื่อเตรียมเสนอแก้ พ.ร.บ.สงฆ์พ.ศ. 2505 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2535 โดยให้ยกเลิกมาตรา 7 ยกเลิกอำนาจของมหาเถรสมาคมในการเห็นชอบแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราช และให้พระมหากษัตริย์ทรงมีพระราชอำนาจสิทธิ์ขาดในการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชแทน ปรากฏว่าแกนนำโล้นเสื้อแดงหน้าเดิมออกมาจุดชนวนต้านการแก้ไขมาตรา 7 พ.ร.บ.สงฆ์แบบสุดตัว

มาตรา 7 ของ พ.ร.บ.สงฆ์ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันมีสาระสำคัญว่า “พระมหากษัตริย์ทรงสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชองค์หนึ่ง ในกรณีที่ตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชว่างลง ให้นายกรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของมหาเถรสมาคมเสนอนามสมเด็จพระราชาคณะผู้มีอาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์ขึ้นทูลเกล้าฯเพื่อทรงสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช……”ขณะที่ แนวคิดของกลุ่ม 84 สนช.ให้ยกเลิกมาตรา 7 ทั้งหมดแล้วแก้ไขเป็น “พระมหากษัตริย์ทรงสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชองค์หนึ่งและให้นายกรัฐมนตรีลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ” โดยเป็นการตัดบทบาทของมหาเถรสมาคมในการเห็นชอบแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราชออกไป

ที่เป็นเช่นนี้เพราะมีเหตุผลที่มาที่ไป เนื่องจากไม่อาจปฏิเสธได้ว่าบทบาทของมหาเถรสมาคมในช่วงหลังไม่เป็นที่ยอมรับและถูกตั้งข้อสังเกตว่ามีกลุ่มการเมืองและเรื่องอิทธิพลผลประโยชน์เข้าไปครอบงำองค์กรสูงสุดของสงฆ์ซึ่งเป็นภัยร้ายแรงอย่างยิ่งต่อพระพุทธศาสนาและความมั่นคงของชาติในอนาคต

พระเมธีธรรมาจารย์ หรือพระประสาร ที่อุปโลกน์ตัวเองเป็น เลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย เจ้าเก่าออกมาคัดค้านการแก้ไข พ.ร.บ.สงฆ์ของ 84 สนช.แบบทันทีทันใด โดยอ้างว่า มีความผิดปกติเพราะจากการพยายามปฏิรูปกิจการพระพุทธศาสนาเรื่อยมาจนถึงการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช ฝ่ายที่ดำเนินการในเรื่องนี้ล้วนมีจุดมุ่งหมายที่ตรงกันอย่างหนึ่งคือ การแก้ที่มาของการเสนอนามสมเด็จพระราชาคณะเพื่อสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช

“ขอถามว่าทำไมมีความเดือดร้อนอะไรกันมากมายขนาดนี้ต่อการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชของคณะสงฆ์ไทย ทำไมวันนี้จึงมีการดิ้นรนอะไรกันเช่นนี้ บอกได้เลยว่าถ้าสภานิติบัญญัติแห่งชาติจะฉวยโอกาสในช่วงชุลมุนวุ่นวายฝุ่นตลบนี้เสนอแก้ไขพ.ร.บ.สงฆ์ ท่านจะต้องพบต้องเจอกับองค์กรพุทธและพระสงฆ์อีกจำนวนมากมายทั่วประเทศที่ไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้”

ความจริงคำว่า “พระสังฆราช” ชื่อก็บอกชัดเจนอยู่ในตัวแล้วว่าเป็นสงฆ์ของพระราชา ซึ่งแต่เดิมโดยจารีตประเพณีที่ยึดถือมาแต่โบราณพระมหากษัตริย์ทรงมีพระราชอำนาจสิทธิ์ขาดในการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช เพราะสมเด็จพระสังฆราชมีความผูกพันใกล้ชิดกับพระมหากษัตริย์อย่างไม่อาจแยกจากกันเนื่องจากต่างเป็นตัวแทน 3 สถาบันหลัก คือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ อีกทั้งบรรพกษัตริย์ของไทยตั้งแต่โบราณกาลทรงเป็นศาสนูปถัมภกที่ศรัทธาเคร่งครัดและทำนุบำรุงพระพุทธศาสนามาตลอด ซึ่งจะเห็นได้ว่าพระมหากษัตริย์บางพระองค์ถึงกับทรงออกผนวชตลอดพระชนม์ชีพ

ที่ผ่านมาจากแต่เดิมพระมหากษัตริย์ทรงมีพระราชอำนาจอย่างเด็ดขาดในการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชก็มีการแก้ไข พ.ร.บ.สงฆ์มาหลายครั้งจนล่าสุดเมื่อปี 2535 ที่ให้มหาเถรสมาคม(มส.)เข้ามามีบทบาทในการเสนอชื่อแต่งตั้งประมุขสงฆ์ รวมทั้งมีการกำหนดเรื่องสมณศักดิ์เข้ามาเกี่ยวข้องโดยระบุให้ผู้ที่จะได้รับการเสนอชื่อแต่งตั้งเป็นสมเด็จพระสังฆราชต้องเป็นพระเถระผู้ใหญ่ที่มีอาวุโสสูงสุด ซึ่งอาจมองได้ว่าไม่ต่างจากการลดทอนพระราชอำนาจในการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช

ดังนั้นการที่ 84 สนช.เสนอแก้ไข พ.ร.บ.สงฆ์เพื่อให้พระมหากษัตริย์ทรงกลับมามีพระราชอำนาจสิทธิ์ขาดในการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชไม่ดีตรงไหนและทำไมขบวนการผ้าเหลืองหน้าเดิมๆ ถึงบังอาจเหิมเกริมออกมาคัดค้าน

การคืนพระราชอำนาจไปสู่พระมหากษัตริย์ตามจารีตประเพณีเดิมที่พระมหากษัตริย์ทรงสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชไม่เห็นพวกเสื้อแดงในคราบผ้าเหลืองเครือข่ายขบวนการเพื่อแม้วกับสำนักจานบินต้องออกการดิ้นรนร้อนตัวเป็นเจ้าเข้า

หรือเพราะกลัวว่าหากมีการแก้ พ.ร.บ.สงฆ์แล้วจะทำให้แผนยึดครองประเทศทั้งฝ่ายอาณาจักรและศาสนจักรของสองพันธมิตรคู่หูคือสำนักจานบินกับขบวนการเพื่อแม้ว รวมทั้งการปกป้องช่วยเหลือ ธัมมชโย อดีตเจ้าสำนักจานบิน ต้องพังทลายลง

ความทะเยอทะยานมักใหญ่ใฝ่สูงและความเป็นพันธมิตรอันแนบแน่นระหว่างสำนักจานบินกับขบวนการเพื่อแม้วเป็นที่ประจักษ์ อาทิ การที่อัยการยุครัฐบาลแม้วเรืองอำนาจถอนฟ้องธัมมชโย เอาดื้อๆ ทั้งๆ ที่อัยการชุดเดิมเป็นโจทก์ยื่นฟ้องจนธัมมชโย หลุดคดียักยอกทรัพย์ของวัดมาเป็นสมบัติส่วนตัวเมื่อเกือบ 20 ปีที่แล้วอย่างลอยนวลทั้งๆ ที่ศาลกำลังจะพิพากษาโทษ

ความเป็นพันธมิตรอันแนบแน่นระหว่างสำนักจานบินกับขบวนการเพื่อแม้วยังได้รับการยืนยันจาก นพ.เหวงโตจิราการ อดีตสส.พรรคเพื่อแม้ว และแกนนำคนเสื้อแดง ที่เคยกล่าวว่าสำนักจานบินเป็นฐานกำลังสำคัญที่แนบแน่นกับขบวนการเพื่อแม้ว

การออกมาขู่ปลุกม็อบผ้าเหลืองดับเครื่องชนสนช.กรณีแก้ พ.ร.บ.สงฆ์ของพระประสารครั้งนี้ความจริงไม่น่าแปลกใจหากศึกษาปูมหลังของแกนนำเสื้อแดงในคราบผ้าเหลืองผู้นี้ เพราะมีความใกล้ชิดและเป็นที่ไว้วางใจของนายใหญ่เจ้ามูลแม้วเป็นอย่างมาก ขณะเดียวกันก็เป็นตัวประสานระหว่างขบวนการเพื่อแม้วและเครือข่ายสำนักจานบิน โดยที่ผ่านมาพระประสาร นอกจากหนุนช่วยขบวนการเพื่อแม้วแล้วยังออกมาเคลื่อนไหวปกป้อง ธัมมชโย มาตลอด และเป็นแกนนำตัวตั้งตัวตีระดมม็อบผ้าเหลืองออกมาแสดงพลังที่พุทธมณฑลก่อนหน้านี้เพื่อข่มขู่กดดันให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) รีบแต่งตั้ง สมเด็จช่วง เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ผู้ทำหน้าที่รักษาการสมเด็จพระสังฆราช และเป็นอาจารย์ของ ธัมมชโยขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราชโดยเร็วเพราะมีสมณศักดิ์สูงสุดขณะเดียวกันก็เคลื่อนไหวโจมตีกลุ่มที่ออกมาต่อต้านการผลักดัน สมเด็จช่วง เป็นสมเด็จพระสังฆราชเพราะพัวพันคดีรถเบนซ์โบราณเถื่อนซ้ำคอยปกป้อง ธัมมชโย มาตลอด ซึ่งการแลดงพลังของม็อบผ้าเหลืองที่พุทธมณฑลครั้งนั้นถึงกับแสดงความถ่อยดิบเถื่อนเฮโลบุกพังรถและล็อกคอทำร้ายทหารที่เข้าไปดูแลความสงบ โดยที่ฝ่ายทหารไม่ต่อสู้ขัดขืนแต่อย่างใด

เพราะฉะนั้นขบวนการสมุนสำนักจานบินกับขบวนการเพื่อแม้วอย่าส่อร้อนตัวเพราะหมดยุคแล้วสำหรับขบวนการจอมปลอมที่อาศัยวงการผ้าเหลืองเป็นเครื่องมือแสวงหาอำนาจและผลประโยชน์

ทีมข่าวการเมือง