ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
http://www.komchadluek.net/detail/20160328/224862.html
ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
http://www.komchadluek.net/detail/20160328/224862.html
ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
http://www.komchadluek.net/detail/20160307/223689.html
ได้มีโอกาสไปเยือนศรีลังกาและพูดคุยปัญหาความท้าทายด้านความมั่นคงที่นั่นอีกครั้ง หลังจากเมื่อสองปีก่อนก็ไปมาที่เกาะเล็กแห่งนี้หลังสิ้นสงครามกลางเมืองไปแล้ว 7 ปี กำลังอยู่ในขั้นตอนทะยานตัวขึ้น โผบินเข้าสู่อ้อมกอดอันอบอุ่นของเอเชีย-แปซิฟิก ที่กำลังรุ่งเรืองจนกลายเป็นภูมิภาคที่กระฉับกระเฉงร้อนแรงที่สุดในโลก มิใช่อ้อมอกเดิมที่เย็นชืดของเอเชียใต้ แน่นอนว่าอนาคตนั้นอาจมิได้งามหรูดังฝัน ภัยคุกคามแบบใหม่กำลังถูกประเมิน แล้วเราก็ต้องประเมินความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับศรีลังกาอีกทีหนึ่ง เพราะสองชาตินี้ห่างกันเพียงหนึ่งชั่วโมงบินเท่านั้น และศรีลังกาอยู่บนเส้นทางสายส่งกำลังบำรุงของหลายชาติ เป็นจุดศูนย์ดุลมหาสมุทรอินเดียที่จะยิ่งทวีความสำคัญมากขึ้นทุกวัน โดยเฉพาะในยุคที่เอเชีย-แปซิฟิกกำลังขยายตัวผนวกเป็นภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก
สมัยก่อนเมื่อนึกถึงความมั่นคงของศรีลังกานั้นไม่ต้องคิดนาน ความแข็งแกร่งของขบวนการพยัคฆ์ทมิฬอีแลม กลุ่มแบ่งแยกดินแดนที่ประสบความสำเร็จที่สุดในประวัติศาสตร์โลกยุคใหม่นั้น เป็นเรื่องที่ดังไปทั่วโลก กลุ่มก่อการร้ายนี้มีกองกำลังหลายหมื่นคน มีอาวุธครบสามเหล่าทัพ ปรับเป็นกองกำลังตามแบบ มีกำลังทางเรือไล่จมเรือรบรัฐบาลได้ มีกำลังทางอากาศทิ้งระเบิดไกลถึงเมืองหลวง กำลังทางบกบุกยึดป้อมค่ายฆ่าทหารตายทีละหลักพัน มีกำลังรบพิเศษ ทั้งฆ่าตัวตายและจรยุทธ์ ระเบิดทำลายสนามบิน ตลาดหุ้น ฆ่าผู้นำรัฐบาล เรียกว่าสารพัดจะน่าสะพรึงกลัว สามารถยึดครองพื้นที่ทางภาคเหนือและตะวันออกของประเทศ สถาปนาเป็นรัฐอย่างไม่เป็นทางการได้ พร้อมทั้งมีผู้สนับสนุนโพ้นทะเลหลายล้านคน ตั้งแต่ พ.ศ. 2526-2552 มีคนตายเหลือคณานับ หนักว่าสงครามปราบคอมฯ บ้านเราหลายเท่า
แต่ทุกวันนี้ขบวนการนี้สิ้นซากไปแล้ว ศรีลังกาเป็นประเทศเดียวในโลกยุคใหม่ที่อวดอ้างตนเองอย่างภูมิใจว่า อาศัยกำปั้นเป็นหลักในการเอาสยบศัตรูภายในประเทศ ที่อื่นๆ ในโลกล้วนต้องอาศัยการเจรจา ไม่ว่าจะเป็น มินดาเนา หรืออาเจะห์ อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวของกลุ่มพยัคฆ์ทมิฬอีแลมแม้จะน้อยนิด ก็ยังเป็นภัยคุกคามหมายเลขหนึ่งที่ศรีลังกาจับจ้องมอง
ถึงจะไม่มีอีกแล้วพวกชาวทมิฬที่รวมตัวกันมาทำสงคราม จัดหาอาวุธ หรือก่อเหตุร้ายสักเหตุเดียวในรอบ 7 ปีมานี้ แต่ในยามที่ศรีลังกาลดการ์ดลง (เนื่องจากเปลี่ยนรัฐบาลใหม่ที่สมกับเป็นรัฐบาลยามสันติ ไม่ใช่รัฐบาลเดิมที่ถึงแม้จะเป็นวีรบุรุษสงคราม แต่ก็ชักจะออกลูกเผด็จการมากไปตามการอยู่ยาวของการครองอำนาจ) ก็มีความห่วงใยกันว่า แนวร่วมที่ต้องการเรียกร้องเอกราชให้ชาวทมิฬจะฟื้นคืนชีพ สร้างความวุ่นวายในประเทศได้อีก
แนวร่วมเหล่านี้มีอยู่ไม่ขาดสายในประเทศเพื่อนบ้านและในยุโรป ประเทศแถบนั้นก็ไม่ค่อยญาติดีกับฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐของศรีลังกา มีทหารหลายคนยังติดแบล็กลิสต์เรื่องสิทธิมนุษยชนอันเป็นผลมาจากการทำสงครามกลางเมืองอยู่เลย การปลุกระดมอาจนำไปสู่เรื่องร้ายได้ นี่คือภัยคุกคามลำดับแรก ในสัปดาห์หน้าจะมากล่าวถึงอีกสามภัยคุกคามกันต่อครับ
ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
http://www.komchadluek.net/detail/20160222/222891.html
ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
http://www.komchadluek.net/detail/20160208/222000.html
จีนยุคสี่ จิ้นผิง ผู้นำรุ่นที่ห้า มีการปรับเปลี่ยนและสืบสานยุทธศาสตร์เดิมหลายอย่างที่ทำให้ดูแตกต่างจากผู้นำรุ่นก่อน พร้อมที่จะนำจีนพุ่งทะยานออกไปแผ่อิทธิพลและควบกล้ำผลประโยชน์มากกว่าเดิม หนึ่งในยุทธศาสตร์ใหม่ที่เขาใช้คือ “ไชน่าดรีม” หรือความฝันของจีน ซึ่งอ้างว่ามาจากการนำความฝันของคนจีนมาผนึกกันเพื่อเป็นเข็มมุ่งให้สู่เป้าหมายนั้นก็ได้ เช่น จีนต้องพ้นจากความเป็นชาติอดอยากสมัยเหมา เจ๋อตุง สร้างชาติปี 1949 ให้เป็นชาติพัฒนาแล้วภายในปี 2049 ให้ได้ และความยิ่งใหญ่เกรียงไกรนั้น ส่วนสำคัญเลยคือความมั่นคง
ไชน่าดรีมนี้อาจเป็นความฝันของสี่ และเหล่าผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์มากกว่าคนจีนอื่นก็เป็นได้ ยังไม่ชัดเจนว่าอะไรอยู่เบื้องหลังแรงขับที่ทำให้จีนในยุคนี้ดูกร้าวในเวทีระหว่างประเทศมากกว่าในยุคเติ้ง เสี่ยวผิง หรือหู จินเทา ทำไมจีนต้องเร่งยึดเกาะแก่งในทะเลจีนใต้อย่างเป็นรูปธรรมและพร้อมที่จะเปิดศึกกับชาติใดที่ทำให้จีนต้องถอนตัวออกจากอธิปไตยเส้นประเก้าเส้น ขณะที่โครงการใหญ่อย่างเส้นทางสายไหมทั้งทางบกทางทะเลก็ดูกว้างยาวใหญ่โตเกินจริง สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่ต้องอาศัยกำลังกองทัพที่ยิ่งฉกาจฉกรรจ์พันลึก จนทำให้จีนต้องปฏิรูปกองทัพเพื่อตามให้ทัน ยุทโธปกรณ์ที่ล้ำสมัยมากขึ้นก็อาจยั่วยุความขัดแย้งแรงขึ้นด้วย
เหตุผลที่ว่าจีนต้องการใช้กำลังทางทหารคุ้มครองเส้นทางส่งกำลังบำรุงที่ยาวไกลจากแปซิฟิกไปแอฟริกาและยุโรป หรือจีนต้องการให้ตนมีขอบหน้าพื้นที่การรบไกลบ้านแบบสหรัฐ หรือเป็นฐานต่อระยะเวลาต้องทำศึก หรือคิดง่ายๆ ว่าก็เพราะตรงนั้นมีน้ำมัน จีนต้องการพลังงานมหาศาลไว้ใช้ ล้วนแต่เป็นเหตุเป็นผลได้ทั้งนั้น แต่ก็มีข้อแย้งว่า มันจำเป็นขนาดนั้นเลยเหรอ พลังงานน้ำมันจะล้าสมัยในอีกไม่นานนี้แล้วเพราะโลกกำลังหาพลังงานทดแทนอย่างจริงจัง อีก 33 ปีที่จีนจะเป็นประเทศพัฒนานั้น โลกและจีนอาจไม่ใช้น้ำมันในการขับเคลื่อนอีกแล้ว จีนไม่มีความจำเป็นต้องยึดเกาะเล็กน้อยที่ถมสร้างอย่างไรก็อาศัยไม่ได้เท่าไหร่หรอก เรือรบหรือเครื่องบินจริงๆ นั้นแล่นออกมาจากไหหลำเป็นหลัก ไม่ใช่โขดหินกลางทะเลเหล่านี้ เสรีเดินเรือในพื้นที่นั้นไม่เห็นจะขัดขวางการเคลื่อนไหวใดๆ ทั้งทางบกและทะเลของจีนเลย
แต่เพราะ “ไชน่าดรีม” ที่ทำให้จีนมาถึงจุดนี้ นั่นคือจีนต้องการทวงเกียรติภูมิจีนคืนมา ชาวจีนคิดอยู่เสมอว่าตนเองยิ่งใหญ่เหนือใครในทุกด้าน คิดมา 5,000 ปีแล้วและก็มีหลักฐานพยานสนับสนุนมากมาย แต่สักสองร้อยปีมานี้เองที่จีนตกต่ำ ยอมตกเป็นรองต่างชาติ แม้แต่คอมมิวนิสต์ยุคต้นจีนก็ยังล้าหลัง สมัยเติ้ง เสี่ยวผิงเคยบอกว่าปัญหาอะไรที่แก้ไม่ได้ก็ให้ไปแก้ยุคหน้า ยุคนั้นมาถึงแล้วคือยุคที่ห้าของสี่ จิ้นผิง ที่จีนกินอิ่มอยู่ดีครบความต้องการพื้นฐานล้นเหลือ พวกเราจึงแสวงหาเกียรติภูมิที่เคยมีในอดีต ในเมื่อมีเงินแล้วต้องโชว์ต้องอวดโก้ให้คนเห็น นี่คือแนวคิดของฮั่นสิน ขุนศึกราชวงศ์ฮั่นเคยปรารภไว้ ยุคนี้พวกเขาจึงนำเอาความสำเร็จทางเศรษฐกิจมาแปลงเป็นความฮึกเหิมทางทหารและความกล้ายึดสิ่งที่คิดว่าเคยเป็นของจีน กลับสู่อ้อมอกครอบครองของจีนให้ได้
ไชน่าดรีม แบบนี้เป็นเรื่องของการวางเป้าหมายด้วยอารมณ์มากกว่าตรรกะ เป็นการยึดอุดมการณ์แบบหนึ่งซึ่งเมื่อขัดเกลาบ่มเพาะถึงที่สุดแล้วก็อาจยากที่จะลดทอนด้วยผลประโยชน์หรือความเป็นเหตุเป็นผล เราคงต้องดูกันต่อไปนะครับว่าไชน่าดรีมจะบรรลุตามหวังได้ไหม หรือจะไปทับเส้นกับดรีมของใครจนเกิดวุ่นวายไปก่อน