อนาคตประชามติ…อนาคตประชาธิปัตย์

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/detail/20160411/225695.html

การเมือง : ข่าวทั่วไป
วันจันทร์ที่ 11 เมษายน 2559
อนาคตประชามติ...อนาคตประชาธิปัตย์

มอนิเตอร์ร่างรัฐธรรมนูญ : อนาคตประชามติ…อนาคตประชาธิปัตย์ : โดย…สำนักข่าวเนชั่น

                    ท่าทีของ “พรรคเพื่อไทย” ต่อทั้งร่างรัฐธรรมนูญ และคำถามพ่วงที่จะนำไปทำประชามติ ไม่ได้น่าสนใจ เพราะจุดยืนพรรคนี้ชัดเจนมาตั้งแต่ยังไม่มีการร่างรัฐธรรมนูญว่ายังไงก็ไม่เอาด้วย ต่างจากท่าทีของ “พรรคประชาธิปัตย์”
                    ไม่ว่าจะเพราะ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” อดีตเลขาธิการ กปปส. และแกนนำ กปปส.หลายคน เคยอยู่พรรคประชาธิปัตย์ หรือจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม แต่ก็ทำให้มีการมองว่าพรรคประชาธิปัตย์น่าจะโหวต “เห็นด้วย” กับร่างรัฐธรรมนูญ แต่ปัญหาคือ การทำประชามติไม่ได้ทำเฉพาะร่างรัฐธรรมนูญ แต่มี “คำถามพ่วง” เข้ามาด้วย จึงไม่ใช่เรื่องง่ายในการตัดสินใจของพรรคประชาธิปัตย์
                    “องอาจ คล้ามไพบูลย์” รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ สะท้อนการตัดสินใจที่ยากลำบากของพรรคผ่านรายการ “กรองข่าววันเสาร์” ของเครือเนชั่นเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา หลังจาก “คำถามพ่วง” ปรากฏออกมาให้เห็นอย่างเป็นทางการ
                    คำถามพ่วงคือ “เห็นชอบหรือไม่ว่าเพื่อให้การปฏิรูปประเทศต่อเนื่องตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ สมควรกำหนดในบทเฉพาะกาลว่าระหว่าง 5 ปีแรกนับตั้งแต่มีรัฐสภาชุดแรก ให้ที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาเป็นผู้ให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี” ซึ่งมีหลักการเดียวกับคำถามที่ส่งมาจากสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.)
                    หากชาวบ้านอ่านตามเนื้อความนี้ก็คงงงๆ ว่าหมายถึงอะไร ทั้งที่ใจความสำคัญมีเพียงแค่ “เห็นด้วยหรือไม่ที่จะให้ ส.ว.มาร่วมเลือกนายกฯ” แต่ถ้อยคำตรงๆ แบบนี้กลับไม่ปรากฏอยู่ในคำถาม ซึ่ง “องอาจ” มองว่า เป็นการตั้งคำถามโดยพยายามเลี่ยงคำว่า “ส.ว.เลือกนายกฯ”
                    นอกจากเรื่องการใช้ถ้อยคำแล้ว “องอาจ” ยังบอกว่า ไม่ควรถามคำถามนี้เพราะไปขัดกับหลักการของร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งทางพรรคโดยเฉพาะหัวหน้าพรรคแสดงท่าทีไม่เห็นด้วยกับคำถามพ่วงนี้ ฉะนั้นตอนนี้อาจจะต้องมาคิดว่าจะทำอย่างไรจึงจะไม่ให้เนื้อหาตามคำถามพ่วงมาปรากฏอยู่ในร่างรัฐธรรมนูญ
                    สิ่งที่ “องอาจ” สื่อออกมา แม้จะไม่ได้พูดตรงๆ แต่ก็ทำให้มองได้ว่าตอนนี้พรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้คิดแค่จะโหวตไม่เห็นด้วยกับคำถามพ่วง แต่อาจหมายถึงต้องไป “ตัดตอน” ด้วยการโหวตคว่ำร่างรัฐธรรมนูญด้วย
                    ทั้งนี้ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พูดไว้ตั้งแต่ช่วงที่ สปท.มีมติให้ส่งคำถามนี้ให้ สนช.ว่า “พรรคไม่เห็นด้วย เพราะจะทำให้เสียหลักการ ทำให้รัฐบาลทำงานยาก รัฐบาลจะต้องได้รับเสียงสนันสนุนจาก ส.ส. บุคคลที่มาจากการแต่งตั้ง 250 คนไม่ควรมีสิทธิที่จะลบล้างเจตนารมณ์ของประชาชนที่เลือก ส.ส.เข้ามา”
                    หากไม่นับเสียง “กลุ่มสุเทพ” ตอนนี้เสียงจำนวนมากในพรรคประชาธิปัตย์อยากจะโหวตคว่ำร่างรัฐธรรมนูญ แต่กำลังชั่งผลได้ผลเสียกันอยู่!
——————-
(มอนิเตอร์ร่างรัฐธรรมนูญ : อนาคตประชามติ…อนาคตประชาธิปัตย์ : โดย…สำนักข่าวเนชั่น)

หน้าที่คนไทย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/detail/20160331/225051.html

การเมือง : ข่าวทั่วไป
วันพฤหัสบดีที่ 31 มีนาคม 2559
หน้าที่คนไทย

หน้าที่คนไทย : มอนิเตอร์ร่างรัฐธรรมนูญ สำนักข่าวเนชั่น

             เป็นที่เข้าใจตรงกันว่า รัฐธรรมนูญนั้นถือเป็นกฎหมายแม่บทของประเทศ เป็นเหมือนพิมพ์เขียวของสังคม โดยการกำหนดโครงสร้างในระบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นระบบการเมือง การปกครอง การพัฒนา หรือรวมไปถึงการกำหนดข้อห้ามกระทำหรือข้อที่พึงกระทำ

ร่างฉบับ “มีชัย ฤชุพันธุ์” ที่เพิ่งเปิดฉบับสมบูรณ์เมื่อวันที่ 29 มีนาคม ที่ผ่านมา ก็ไม่เว้นกับกฎเกณฑ์นี้ สิ่งที่เขาบอกว่าได้ปรับแก้จากร่างแรกมากที่สุดก็คือ เรื่องสิทธิเสรีภาพ เป็นนัยว่าเขายอมให้มีหลักประกันเสรีภาพในหลายๆ อย่างในเชิงคุ้มครองประชาชน

อย่างไรก็ตามเมื่อมีสิทธิพวกเขาก็ได้กำหนดหน้าที่ตามมา และเป็นหน้าที่ที่สอดรับกับเจตนารมณ์ของการสร้างชาติแบบ คสช. รวมถึงความพยายามที่จะตอบสนองต่อปัญหาที่คณะรัฐประหารระบุว่าเป็นปัจจัยที่พวกเขาต้องเข้ามาแก้ไข

โดยร่างรัฐธรรมนูญ มาตรา 50 ได้บัญญัติหน้าที่ของประชาชนคนไทยโดยระบุว่า บุคคลมีหน้าที่ ดังต่อไปนี้

(1) พิทักษ์รักษาไว้ซึ่งชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

(2) ป้องกันประเทศ พิทักษ์รักษาเกียรติภูมิ ผลประโยชน์ของชาติและสาธารณสมบัติของแผ่นดิน รวมทั้งให้ความร่วมมือในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย

(3) ปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด

(4) เข้ารับการศึกษาอบรมในการศึกษาภาคบังคับ

(5) รับราชการทหารตามที่กฎหมายบัญญัติ

(6) เคารพและไม่ละเมิดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่น และไม่กระทำการใดที่อาจก่อให้เกิดความแตกแยกหรือเกลียดชังในสังคม

(7) ไปใช้สิทธิเลือกตั้งหรือลงประชามติอย่างอิสระโดยคำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวมของประเทศเป็นสำคัญ

(8) ร่วมมือและสนับสนุนการอนุรักษ์และคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติ ความหลากหลายทางชีวภาพ รวมทั้งมรดกทางวัฒนธรรม

(9) เสียภาษีอากรตามที่กฎหมายบัญญัติ

(10) ไม่ร่วมมือหรือสนับสนุนการทุจริตและประพฤติมิชอบทุกรูปแบบ

และหากเปรียบเทียบกับรัฐธรรมนูญปี 2550 กำหนดเรื่องหน้าที่ของชนชาวไทยไว้เพียง 5 ข้อ โดยแต่ละข้อที่เพิ่มมาก็มีนัย เช่น เรื่องการเคารพและไม่ละเมิดสิทธิเสรีภาพผู้อื่นและไม่กระทำการอันก่อให้เกิดความแตกแยกหรือเกลียดชังในสังคมไทย ซึ่งน่าจะเป็นการตอบโจทย์เรื่องการชุมนุม และความแตกแยกของคนในชาติ

หรือเรื่องการไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ที่แม้จะบัญญัติในรัฐธรรมนูญฉบับที่ผ่านๆ มาว่าเป็นหน้าที่ แต่คราวนี้ก็มีบทขยายความที่บอกว่า “ต้องไปใช้สิทธิเลือกตั้งหริือลงประชามติอย่างอิสระโดยคำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวมของประเทศเป็นสำคัญ”

เพราะพวกเขาตั้งโจทย์ว่า ที่ผ่านมาการเลือกตั้ง ผู้มีสิทธิลงคะแนนมาจากผลประโยชน์ส่วนตนเป็นที่ตั้ง

น่าสนว่า เมื่อมีหน้าที่ แต่ไม่ทำหน้าที่ก็ย่อมมีผลบังคับทางกฎหมาย ต้องมาดูกันต่อไปว่า “ปวงชนชาวไทย” ที่ไม่ทำหน้าที่ตามที่บัญญัติไว้จะต้องรับผลอะไรหรือไม่

เดินหน้าประชามติ เดิมพันทางการเมือง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/detail/20160329/224921.html

การเมือง : ข่าวทั่วไป
วันอังคารที่ 29 มีนาคม 2559
เดินหน้าประชามติ เดิมพันทางการเมือง

เดินหน้าประชามติ เดิมพันทางการเมือง : มอนิเตอร์ร่างรัฐธรรมนูญ โดยสำนักข่าวเนชั่น

           วันนี้ (29 มี.ค.) แล้ว ที่กรรมการร่างรัฐธรรมนูญจะส่งร่างรัฐธรรมนูญฉบับเสร็จสมบูรณ์ให้รัฐบาล เพื่อนำไปเดินหน้าทำประชามติต่อไป โดยคาดว่าการลงประชามติจะเกิดขึ้นในวันที่ 7 สิงหาคมที่จะถึงนี้

จากนี้ไปการติดตามเรื่องรัฐธรรมนูญในกระแสข่าวหลักจะไม่ได้อยู่ที่ว่าเนื้อหาของร่างรัฐธรรมนูญจะเขียนอย่างไร หากแต่ประเด็นหลักอาจจะไปอยู่ที่ความเคลื่อนไหวทางการเมืองทั้งฝ่ายรับและฝ่ายไม่รับเสียมากกว่า

ถึงนาทีนี้แล้ว หลายคนจะเริ่มลืมเรื่องตัวบท เพราะการต่อสู้กันทางการเมืองจะรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ จากเดิมพันที่มีอยู่ไม่น้อยของทั้งสองฝั่ง

ฝั่งรัฐบาล ที่แน่นอนว่า อยากให้ร่างรัฐธรรมนูญผ่านประชามติเพื่อเดินหน้าสู่การเลือกตั้งในปี 2560 ตามโรดแม็พ เพราะมิเช่นนั้นพวกเขาจะเจอแรงกดดันที่ถาโถมเข้ามา ไม่ว่าจะเป็นข้อหาว่า เขียนรัฐธรรมนูญจงใจไม่ให้ผ่าน หรือแรงกดดันจากนานาชาติ กระทั่งการที่ฝั่งที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลจะใช้โอกาสที่รัฐธรรมนูญไม่ผ่านโจมตีถึงความชอบธรรมในการอยู่ในอำนาจต่อไป

รวมถึงเรื่องสำคัญคือ สิ่งที่เขาอยากได้คือการวางระบบการเมือง การใช้อำนาจ การตรวจสอบอำนาจ ล้วนแต่ถูกบัญญัติอยู่ในร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้อย่างครบถ้วน ซึ่งหมายความว่าต่อให้มีการเลือกตั้ง เจตนารมณ์ของพวกเขา สิ่งที่พวกเขาต้องการ หรือกระทั่งอำนาจของพวกเขาก็จะไม่สูญสลายหายไปไหน หากแต่แทรกอยู่ในทุกอณูของโครงสร้างที่เขียนเอาไว้ และหากเป็นเช่นนั้นจริง สิ่งที่พวกเขาทำไว้อาจจะไม่เพียงอยู่ในช่วงระยะเปลี่ยนผ่าน หากแต่อาจอยู่ยาวอย่างที่คาดไม่ถึง

ขณะที่อีกฟากฝั่งนั้น ก็เชื่อเช่นเดียวกัน เพียงแต่พวกเขาก็ไม่ต้องการให้ระบอบที่คณะรัฐประหารวางไว้หยั่งรากฝังลึกอยู่ในสังคมไทยให้ยาวนาน เพราะนั่นจะหมายความว่า ระบอบประชาธิปไตยแบบปกติจะไม่สามารถเติบโตได้อย่างที่ควรจะเป็น

นอกจากนี้พวกเขาก็ต้องการใช้โอกาสนี้แสดงความไม่ยอมรับการยึดอำนาจ  และพร้อมจะรุกคืบสิ่งที่พวกเขากำลังต่อสู้นั้น ได้รับการตอบสนองจากเสียงประชามติ  แต่ในทางตรงข้าม หากทุกอย่างไม่เป็นไปตามที่คิดกระแสการต่อต้านก็จะค่อยๆ แผ่วลงจนไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นได้อีกทีเมื่อไหร่

นี่จึงถือเป็นเดิมพันที่พวกเขาแม้ไม่อยากเล่นก็ต้องเล่น

ดังนั้นเราจึงจะเห็นแคมเปญการรณรงค์เพื่อรับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ออกมาอย่างเข้มข้น   ฝ่ายที่อยากให้รับร่างรัฐธรรมนูญมุมหนึ่งจึงชูแคมเปญ “รัฐธรรมนูญปราบโกง” นัยว่า เพื่อชี้ให้เห็นเนื้อหา  แต่อีกมุมหนึ่งก็ปลุกกระแสความหวาดกลัวนักการเมือง โดยปลุกผี “ทักษิณ” ขึ้นมาหลอกหลอน ภายใต้โฆษณาชวนเชื่อที่บอกว่า ต้องเลือกเอาระหว่างระบอบนักการเมือง(ที่ขี้โกง) หรือทหารที่เข้ามาดูแล

ขณะที่อีกมุมก็ชูประเด็นว่า จะเลือกระหว่างประชาธิปไตยที่ตรวจสอบได้กับทหารที่เป็นเผด็จการที่ยึดอำนาจไปจากประชาชน และชูเรื่องความเท่าเทียมของคน

จนสุดท้าย ยิ่งเข้าใกล้วันลงประชามติเนื้อหาสาระจะยิ่งถูกลดทอนลงจนเหลือแต่การปะทะทางความคิดว่าด้วยเรื่องการเลือกข้างเลือกฝ่าย

แต่สุดท้ายคนที่ตัดสินก็คือ ประชาชนทุกคนที่เป็นผู้มีสิทธิ์ ท่านจะเลือกข้างใด ชอบเรื่องใด ไม่ใช่เรื่องผิด หากแต่การเลือกต้องเลือกด้วยเหตุผลที่เพียงพอ เพราะนี่คือการกำหนดอนาคตของเราทุกๆ คน

จับตา ‘โฉมหน้า’ ร่างรัฐธรรมนูญ 2 ขยัก

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/detail/20160328/224849.html

การเมือง : ข่าวทั่วไป
วันจันทร์ที่ 28 มีนาคม 2559
จับตา 'โฉมหน้า' ร่างรัฐธรรมนูญ 2 ขยัก

มอนิเตอร์ร่างรัฐธรรมนูญ : จับตา ‘โฉมหน้า’ ร่างรัฐธรรมนูญ 2 ขยัก : โดย…สำนักข่าวเนชั่น

                    วันอังคารที่ 29 มีนาคม เป็นวันที่คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) จะส่งร่างรัฐธรรมนูญที่จัดทำเสร็จเรียบร้อยให้แก่คณะรัฐมนตรี ก่อนที่ ครม.จะส่งต่อให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นำไปทำประชามติต่อไป ซึ่งเบื้องต้นกำหนดไว้วันที่ 7 สิงหาคม
                    ถึงแม้ว่าคณะกรรมการจะเคยเปิดร่างรัฐธรรมนูญร่างแรกมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อวันที่ 29 มกราคม ที่ผ่านมา แต่ยังต้องรอดูรายละเอียดร่างรัฐธรรมนูญล่าสุดที่มีการปรับแก้จากการรับฟังความเห็นของฝ่ายต่างๆ อีกครั้ง โดยเฉพาะในบทเฉพาะกาลที่ กรธ.ปรับแก้ตามข้อเสนอของ คสช.
                    สรุปสุดท้ายร่างรัฐธรรมนูญของ “มีชัย ฤชุพันธุ์” จะมีทั้งหมด 279 มาตรา ซึ่ง “นรชิต สิงหเสนี” โฆษก กรธ.บอกว่า ที่ลงท้ายด้วยเลข 9 เพราะเลขสวย
                    อย่างไรก็ตามสุดท้ายร่างรัฐธรรมนูญจะผ่านหรือไม่ผ่านประชามติ คงไม่ได้อยู่ที่เลขสวยหรือไม่ แต่อยู่ที่เนื้อหา และ “กระแส” ที่จะเกิดขึ้นในช่วงการทำประชามติมากกว่า
                    ในเบื้องต้นสิ่งที่ชัดเจนออกมาตั้งแต่ตัวร่างรัฐธรรมนูญยังไม่ปรากฏ คือ ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้จะเป็นรัฐธรรมนูญ 2 ขยัก คือบทเฉพาะกาลที่มีการออกแบบพิเศษเพื่อเป็นกติกาสำหรับช่วงเปลี่ยนผ่านที่ คสช.กำหนดไว้ให้เป็น 5 ปี และบทถาวรที่จะใช้หลังจากนั้น
                    ถึงแม้ว่าบทเฉพาะกาลจะมีผลแค่ 5 ปี แต่บอกได้เลยว่า ส่วนนี้จะเป็นไฮไลท์ของร่างรัฐธรรมนูญนี้ และถึงแม้ กรธ.จะมีมติออกมาแล้วว่าจะเขียนบทเฉพาะกาลตามข้อเสนอของ คสช.อย่างไร แต่ยังจะต้องตรวจสอบในตัวบทที่ออกมาชัดๆ อีกครั้งว่าจะมีเนื้อหาอะไรซ่อนหรือสอดแทรกมาเพิ่มอีกหรือไม่ โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับเรื่อง ส.ว.
                    ในส่วนของที่มา ส.ว.น่าจะไม่มีอะไรเพิ่มอีกแล้ว เพราะการปรับแก้ขยับไปขยับมาในปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาน่าจะลงตัวแล้ว คือ ถึงแม้จะให้มีกระบวนการสรรหา หรือเลือกจากตัวแทนกลุ่มอาชีพ แต่อำนาจเคาะขั้นสุดท้ายอยู่ที่ คสช.ทั้งหมด รวมทั้งส่วนที่ขอให้ปลัดกลาโหม ผู้นำเหล่าทัพ และ ผบ.ตร. รวม 6 คน เข้าไปเป็น ส.ว. จากตอนแรกที่ กรธ.ทำยึกยักจะไม่ให้ สุดท้ายก็ต้องยอมตามโดยไม่มีเงื่อนไข
                    แต่ที่ต้องตรวจดูกันแบบคำต่อคำก็คือ ส่วนของอำนาจ ส.ว. เพราะถือว่าเป็น “หัวใจ” ในช่วงเปลี่ยนผ่าน ที่ คสช.วางไว้ให้ทำหน้าที่ทดแทน “คปป.” (คณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการปฏิรูปและปรองดองแห่งชาติ)
                    ดูเผินๆ เหมือนกับว่า คสช.ไม่ได้ตามที่ขอ ในเรื่องอำนาจ ส.ว. แต่ถ้าดูให้ละเอียดจะพบว่าไม่ใช่!
                    อำนาจ ส.ว.ที่ คสช.ขอมา มี 3 เรื่องหลัก คือ 1.ดูแลเรื่องการปฏิรูป 2. พิทักษ์รัฐธรรมนูญ และ 3.อภิปรายไม่ไว้วางใจ ในเบื้องต้น กรธ.บอกว่าเรื่องพิทักษ์รัฐธรรมนูญจะไม่เขียนไว้อีก เพราะอำนาจเกี่ยวกับเรื่องนี้มีกระจายอยู่ในบทถาวรแล้ว
                    ฟังทีแรก อาจมองได้ว่า คสช.ไม่ได้ แต่หากพิจารณาอย่างลึกซึ้งจะพบว่า อำนาจ ส.ว.ที่กำหนดไว้ในบทถาวรก็มากโขแล้ว
                    มีการวิเคราะห์ว่า อำนาจในการพิทักษ์รัฐธรรมนูญของ ส.ว.นั้นมี 2 ส่วน 1.คือส่วนของการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งจะไม่มีทางแก้ไขได้หากวุฒิสภาไม่ร่วมมือด้วย จากที่กำหนดให้แก้ไขยากจนถึงแก้ไม่ได้อยู่แล้ว 2.อำนาจในการคุ้มครององค์กรอิสระ โดยในชั้นแรก ส.ว.มีอำนาจแต่งตั้งถอดถอนบุคคลเข้าดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ และอีกชั้น เชื่อกันว่า ส.ว.จะเป็นตัวสกัดไม่ให้ฝ่ายการเมืองเข้าไปแทรกแซงองค์กรอิสระ
                    “โดยเฉพาะเมื่อ ส.ว.มาจากการสรรหาและแต่งตั้งโดย คสช. อำนาจในการคุ้มครององค์กรอิสระไม่ให้ถูกแทรกแซงจะยิ่งทำได้มากขึ้น” แหล่งข่าววิเคราะห์
                    อย่างไรก็ตามคำว่า “คุ้มครององค์กรอิสระไม่ให้ถูกแทรกแซง” นี้ ก็ถูกตั้งคำถามจากอีกฝ่ายเช่นกันว่า อาจหมายถึงการใช้องค์กรอิสระเป็นเครื่องมือจัดการกับฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดหรือไม่ ซึ่งที่ผ่านมาองค์กรอิสระเองก็ถูกมองว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดความขัดแย้งเช่นกัน
                    “อำนาจ ส.ว.ในส่วนนี้ถือว่าเยอะมากแล้ว” แหล่งข่าววิเคราะห์ “ส่วนอำนาจอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล แม้จะไม่ได้ก็ไม่เป็นไร และไม่ควรให้อำนาจนี้กับ ส.ว. เพราะถ้าส.ว.มีอำนาจอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ซึ่งหมายถึงมีอำนาจล้มรัฐบาลได้ จะเป็นชนวนให้เกิดความไม่พอใจจนกลายเป็นความขัดแย้งรอบใหม่ขึ้นมาได้”
                    แต่แม้ไม่ได้อำนาจอภิปรายไม่ไว้วางใจ แต่ กรธ.ก็ให้อำนาจ ส.ว.เพิ่มขึ้นมาอีก 2 ส่วนที่สำคัญ คือ ในส่วนการดูแลการปฏิรูปกำหนดให้รัฐบาลต้องรายงานความคืบหน้าเกี่ยวกับการปฏิรูปต่อวุฒิสภาทุก 3 เดือน หากไม่ทำตามก็หมายความว่าทำขัดรัฐธรรมนูญ ซึ่งต้องรอดูบทบัญญัติในส่วนนี้ชัดๆอีกครั้ง
                    อำนาจอีกส่วนที่ กรธ.เพิ่มให้ ส.ว.ในช่วงเปลี่ยนผ่านคือ อำนาจในกระบวนการพิจารณาร่างกฎหมายที่เพิ่มขึ้น จากกระบวนการพิจารณาร่างกฎหมายปกติ ที่ต้องผ่านขั้นตอนจากสภาผู้แทนฯ ไปยังวุฒิสภา แต่สุดท้ายหากวุฒิสภาไม่เห็นด้วยและตกลงกันไม่ได้ สภาผู้แทนฯ สามารถใช้อำนาจยืนยันร่างกฎหมายนั้นได้เลย แต่บทบัญญัติใหม่กำหนดว่า หากตกลงกันไม่ได้ ให้การพิจารณาร่างกฎหมายนั้นต้องเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา จากปกติการพิจารณากฎหมายที่ต้องใช้ “รัฐสภา” นั้น มีเพียงการแก้ไขรัฐธรรมนูญเท่านั้น เพราะเป็นเรื่องสำคัญ ต้องทำได้ยากกว่ากฎหมายปกติ
                    เหล่านี้คือ รายละเอียดของร่างรัฐธรรมนูญที่จะต้องสแกนดูทุกตัวอักษรอีกครั้งในวันอังคารนี้!
——————–
(มอนิเตอร์ร่างรัฐธรรมนูญ : จับตา ‘โฉมหน้า’ ร่างรัฐธรรมนูญ 2 ขยัก : โดย…สำนักข่าวเนชั่น)

ถอดรหัสข้อเสนอแม่น้ำ4สาย’แรง-ชัด’

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/detail/20160317/224260.html

การเมือง : ข่าวทั่วไป
วันพฤหัสบดีที่ 17 มีนาคม 2559
ถอดรหัสข้อเสนอแม่น้ำ4สาย'แรง-ชัด'

ถอดรหัสข้อเสนอแม่น้ำ 4 สาย ‘แรง-ชัด’ : มอนิเตอร์ร่างรัฐธรรมนูญ สำนักข่าวเนชั่น

           ข้อเสนอจากเรื่องการปรับปรุงร่างรัฐธรรมนูญที่ออกมาในนามแม่น้ำ 4 สาย ที่มีต่อกรรมการร่างรัฐธรรมนูญนั้น เรียกได้ว่าสร้างความตื่นตะลึงได้ไม่น้อย เพราะจากที่คิดว่ารูปแบบที่คิดมาโดย “มีชัย ฤชุพันธุ์” ว่าแรงแล้ว  ข้อเสนอใหม่นี้ต้องเรียกว่า แรงกว่า และชัดเจนกว่า

ข้อเสนอแรกว่าด้วยเรื่อง ส.ว.สรรหาทั้งสภาจำนวน 250 คน และอยู่ในตำแหน่ง 5 ปี ซึ่งพวกเขายอมรับกันเองว่าเป็นการอยู่ในสถานะพิเศษและวาระพิเศษในช่วงเปลี่ยนผ่าน เพื่อจัดระเบียบการเมืองใหม่

แต่ที่สำคัญคือ อำนาจและหน้าที่ของ ส.ว.ต่างหากที่น่าสนใจไม่น้อยไปกว่าที่มา  เพราะหน้าที่ตามข้อเสนอนี้มีสองอย่างที่เพิ่มเติมไปจากที่มีมา คือ 1.พิทักษ์รัฐธรรมนูญ  และ  2.ควบคุมการบริหารราชการแผ่นดิน

อำนาจพิทักษ์รัฐธรรมนูญ ตามที่อ้างคือ มิให้ฝ่ายการเมืองอาศัยเสียงข้างมากในการบิดเบือนเจตนารมณ์และฝ่าฝืนความต้องการของประชาชน ส่วนอำนาจควบคุมการบริหารราชการคืออำนาจอภิปรายไม่ไว้วางใจ

หากเป็นเช่นนี้จริงจะเห็นได้ว่า อำนาจของ ส.ว.นั้นแทบจะไม่ต่างจาก ส.ส. โดยสามารถลงมติในเรื่องสำคัญๆ สำคัญได้ แม้ไม่ได้เลือกนายกฯ ด้วยตัวเองแต่ก็มีบทบาทปลดนายกฯ ได้เช่นกัน   ถึงนาทีนั้นต้องบอกว่า ส.ว.เป็นพรรคการเมืองที่ใหญ่ที่สุดในสภา  หากพวกเขาลงมติไปในทางจัดการกับรัฐบาลก็เชื่อขนมกินได้เลยว่า รัฐบาลล้มแน่นอน แต่หากพวกเขาหนุนรัฐบาลใด รัฐบาลนั้นก็เป็นเสือติดปีกดีๆ นี่เอง

การจะลงมติสำคัญๆ ก็ต้องมาขอความเห็นชอบจากพรรคการเมืองที่ชื่อว่า “พรรค ส.ว.” เช่นกัน

ส่วนข้อเสนอที่ว่า งดใช้ระบบพรรคการเมืองเสนอบัญชีรายชื่อผู้เป็นนายกฯ ตามที่ “มีชัย” ออกแบบไว้ก็ชัดเจนว่า หลักการเรื่องป้องกัน “ไอ้โม่ง” เป็นนายกฯ ที่เขาเคยอธิบายไว้เมื่อครั้งไม่ยอมกำหนดคุณสมบัตินายกฯ ว่าต้องเป็น ส.ส. ถูกลบลงอย่างสิ้นเชิง

และหมายความว่า หลังการเลือกตั้ง เราอาจจะมี “นายกฯ คนนอก” ตามคอนเซ็ปต์ที่แท้จริง แบบไม่ต้องเหนียมอายว่าจะต้องให้ประชาชนได้เห็นตัวก่อน  แต่ตามระบบนี้คนนอกคือคนนอกไม่ผ่านความเห็นชอบใดๆ จากประชาชนผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยเลย

และข้อเสนอสุดท้ายคือ ข้อเสนอเรื่องการปรับระบบเลือกตั้ง ให้เป็นเขตใหญ่  แต่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งกากบาทเลือกได้แค่คนเดียว จากนั้นให้เรียงลำดับคะแนนของผู้ได้คะแนนสูงสุดในเขตนั้นๆ จำนวนสามคนให้ได้เป็น ส.ส.ไป

ระบบนี้พรรคใหญ่เสียเปรียบและจะเสียที่นั่งจำนวนมากอย่างชัดเจน จากเดิมพรรคใหญ่อาจจะชนะแบบแบ่งเขตเกินครึ่ง เพราะเป็นการเลือกเขตเล็กเขตละหนึ่งคน แต่ในระบบนี้ผู้ลงคะแนนในเขตต้องตัดสินใจเลือกใครคนใดคนหนึ่งเพียงคนเดียวหากต้องวการให้ผู้ที่ตนเองสนับสนุนได้เป็น ส.ส. หากแบ่งใจหรือแบ่งคะแนนก็เป็นไปได้ว่าโอกาสที่จะแพ้เลือกตั้งก็มีสูง

ดังนั้นความเป็นไปได้จึงอยู่ที่ว่า  พรรคใหญ่จะได้ ส.ส.เขตละ 1 คนเท่านั้น   หากจะมีเขตที่ได้มากกว่าหนึ่งคนก็จะมีไม่มาก ซึ่งแปลว่าพรรคอันดับหนึ่งอาจจะมี ส.ส.เกินหนึ่งในสามมาไม่กี่มากน้อย  ยิ่งทำให้จำนวน ส.ส.ที่ได้น้อยกว่าระบบจัดสรรปันส่วนผสมที่ “มีชัย” ออกแบบไว้เสียอีก

นี่คือข้อเสนอของแม่น้ำ 4 สายในเรื่องโครงสร้างทางการเมืองในช่วงเปลี่ยนผ่าน หากนำมาใช้จริง บทเฉพาะกาลที่ว่านี้จะกลายเป็นรัฐธรรมนูญชั่วคราว ซึ่งซ้อนอยู่ในรัฐธรรมนูญฉบับจริง และแก่ดีกรีกว่า ขณะที่รัฐธรรมนูญฉบับจริงก็ต้องร้องเพลงรอต่อไปอีก 5 ปี

‘ส.ว.แต่งตั้ง’ช่วงเปลี่ยนผ่าน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/detail/20160302/223399.html

การเมือง : ข่าวทั่วไป
วันพุธที่ 2 มีนาคม 2559
‘ส.ว.แต่งตั้ง’ช่วงเปลี่ยนผ่าน

‘ส.ว.แต่งตั้ง’ช่วงเปลี่ยนผ่าน : มอนิเตอร์ร่างรัฐธรรมนูญ สำนักข่าวเนชั่น

             “คงไม่จำเป็นต้องตั้งคณะอะไรขึ้นมา กลไกต่างๆ จะอยู่ที่ ส.ว.จะเป็นแค่ช่วงเปลี่ยนผ่านเท่านั้น  ส่วน ส.ว.ก็แต่งตั้งกันไปให้ทำงานด้วยกันได้ ในอนาคตจะมีการเลือกตั้งได้อย่างไม่มีปัญหา”  พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม บอกกับสื่อมวลชน

ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เคยให้สัมภาษณ์ว่า ในช่วงเปลี่ยนผ่านจะยกเว้นบางส่วนก่อน เมื่อถึงเวลาสถานการณ์ปกติก็กลับมาทั้งหมด จะกลับเข้าที่เดิมหมด ส.ว.ก็เลือกตั้งใหม่ทั้งหมดก็ได้

หากแปลความที่นายกฯพูด อีกนัยหนึ่งก็คือ ในช่วงเปลี่ยนผ่านที่สถานการณ์ยังไม่ปกติ ส.ว.ยังไม่ต้องเลือกตั้ง

เรื่อง ส.ว.แต่งตั้ง ก่อนหน้านี้ก็เคยมีคนเสนอว่า ให้นายกรัฐมนตรีเป็นคนแต่งตั้ง ส.ว.เหมือนกับกรณีสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ที่ให้นายกรัฐมนตรีเป็นคนแต่งตั้งจำนวน 200 คน และยังให้ ส.ว.ร่วมกับ ส.ส.ในการเลือกนายกรัฐมนตรี

ดังนั้น เมื่อ “พล.อ.ประวิตร” เปิดประเด็นนี้ออกมาก็มีเสียงสะท้อนตามมาในทาง “ขานรับ”

“วันชัย สอนศิริ” สมาชิก สปท.เห็นว่า สำหรับช่วงเปลี่ยนผ่าน ศักดิ์และสิทธิของสมาชิกทั้ง 2 สภาจะต้องเท่ากัน ด้วยการกำหนดให้ ส.ส.และ ส.ว.มีอำนาจเสนอและลงมติเลือกนายกรัฐมนตรี

พร้อมอธิบายว่า แนวทางนี้ไม่ได้ให้อำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดกับสภาใดสภาหนึ่ง แต่เป็นการมอบอำนาจให้ทั้ง 2 สภาร่วมกันพิจารณาถ่ายโอนอำนาจช่วงเปลี่ยนผ่านให้ราบรื่น โดยไม่ปล่อยให้เป็นประชาธิปไตยแบบสากล แต่ก็ไม่ให้เป็นเผด็จการอย่างเต็มที่ ส่วนระยะเวลาในการใช้กลไกนี้ก็ให้ ส.ส.และ ส.ว.ร่วมกันประเมินทุก 2 ปี ว่าเรียบร้อยแล้วหรือไม่ ถ้าคิดว่าเรียบร้อยก็เปิดให้มีการเลือกตั้งตามแบบประชาธิปไตยทั่วไป

ส่วน “พีระศักดิ์ พอจิต” รองประธาน สนช.คนที่ 2  เห็นว่า เมื่อไม่อยากให้ตั้งองค์กรใหม่มาควบคุมก็ควรใช้องค์กรที่มีอยู่ เช่น ส.ว.มาดูแลในช่วงเฉพาะกิจ เพื่อให้มาทำหน้าที่ถ่วงดุลกับ ส.ส.จากการเลือกตั้ง เพื่อกำกับดูแลการทำงานของ ส.ส.ให้อยู่ในกรอบกฎหมาย แต่ ส.ว.ชุดนี้ควรทำหน้าที่ถ่วงดุลฝ่ายบริหารเพียงอย่างเดียว ไม่ควรมีอำนาจเข้าไปก้าวก่ายการทำงานฝ่ายบริหาร

“ทวีศักดิ์ สูทกวาทิน” สมาชิก สนช. ซึ่งเป็นรองประธานคณะกรรมาธิการศึกษาพิจารณาข้อเสนอแนะและจัดทำความเห็นประกอบการร่างรัฐธรรมนูญ บอกว่า เป็นความเห็นที่คล้ายกับของ สนช.ที่เสนอให้ ส.ว.มาจากการสรรหาทั้งหมด และเห็นว่า ส.ว.จะคอยทำหน้าที่เป็นสภาถ่วงดุลกับสภาผู้แทนฯ เมื่อมีการประชุมรัฐสภา อีกทั้ง ส.ว.จะช่วยคอยทำหน้าที่สำคัญต่อสถานการณ์ที่ยังไม่เสถียรภาพ ซึ่งจำเป็นต้องใช้ความร่วมมือสูง ดังนั้นจึงเชื่อว่า ส.ว.ทั้งหมดจะช่วยประคับประคองช่วงระยะเวลาเปลี่ยนผ่าน 5 ปีได้

แต่ “กรรมการร่างรัฐธรรมนูญ” หรือ กรธ. ซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรงกับการยกร่างรัฐธรรมนูญยัง “แทงกั๊ก”

“อุดม รัฐอมฤต”  โฆษก กรธ.บอกว่า ถือเป็นอีกหนึ่งข้อเสนอที่ กรธ.ต้องขอดูในรายละเอียดก่อนว่าจะมีข้อดีและข้อเสียอย่างไรก่อน ณ เวลานี้ยังตอบไม่ได้ว่าจะปรับตามความเห็นของ พล.อ.ประวิตรได้หรือไม่

อย่างไรก็ตาม เรื่อง ส.ว.แต่งตั้งหรือจะใช้วิธีตั้งคณะกรรมการสรรหาขึ้นมา แม้จะมีข้อดีที่ว่า ส.ว.จะคอยถ่วงดุลกับ ส.ส.ที่มาจากการเลือกตั้งและช่วยประคับประคองสถานการณ์ในช่วงเปลี่ยนผ่าน

แต่ก็มีข้อน่าเป็นห่วงที่ว่า “ส.ว.แต่งตั้ง” จะใหญ่ถึงขนาดเข้าไปก้าวก่ายการทำงานฝ่ายบริหารและคุมรัฐบาลได้ ซึ่งผิดกับหลักการแบ่งแยกอำนาจอธิปไตย

แก้รัฐธรรมนูญยากหรือง่าย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/detail/20160223/222933.html

การเมือง : ข่าวทั่วไป
วันอังคารที่ 23 กุมภาพันธ์ 2559
แก้รัฐธรรมนูญยากหรือง่าย

มอนิเตอร์ร่างรัฐธรรมนูญ : แก้รัฐธรรมนูญยากหรือง่าย : โดย…สำนักข่าวเนชั่น

                      ร่างรัฐธรรมนูญฉบับ “มีชัย ฤชุพันธุ์” ข้อหนึ่งซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากคือความแข็งตัวของรัฐธรรมนูญ กล่าวคือมีข้อครหาว่า หากร่างฉบับนี้ผ่านออกไปใช้เป็นรัฐธรรมนูญจริง ก็จะแก้ไขได้ยาก เพราะมีบทบัญญัติเฉพาะที่เกี่ยวกับเงื่อนไขในการแก้ซึ่ง “พิเศษ” กว่ารัฐธรรมนูญฉบับที่ผ่านๆ มา
                      ทีมข่าวสำนักข่าวเนชั่นได้รวบรวมวิธีการแก้ไขรัฐธรรมนูญแบบเข้าใจง่ายๆ มาเพื่อเป็นข้อมูลให้ท่านผู้อ่านลองทำความเข้าใจและนำไปตัดสินใจในการรับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ
                      ผู้ใดเสนอได้ ?
                      1.คณะรัฐมนตรี 2.ส.ส.จำนวน 1 ใน 5 3.ส.ส. และ ส.ว. ไม่น้อยกว่า 1 ใน 5 ของทั้งสองสภา และ 4.ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเข้าชื่อไม่น้อยกว่า 5 หมื่นคน
                      กระบวนการทำอย่างไร ?
                      วาระ 1 รับหลักการ ใช้วิธีเรียกชื่อ ลงคะแนนเปิดเผย ใช้เสียงไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของทั้งสองสภา และกำหนดว่าต้องมี ส.ว. เห็นชอบด้วยไม่น้อยกว่า 1 ใน 3
                      วาระ 2 พิจารณาเรียงตามมาตรา และเปิดโอกาสให้ผู้เข้าชื่อร่วมแสดงความเห็น จากนั้นรอ 15 วัน จึงเข้าวาระ 3
                      วาระ 3 การลงมติ ใช้วิธีเรียกชื่อ ลงคะแนนโดยเปิดเผย เสียงเห็นชอบใช้กึ่งหนึ่งของทั้งสองสภา
                      เงื่อนไขพิเศษ ?
                      การลงมติในวาระ 3 ต้องมี ส.ส.จากพรรคการเมืองทุกพรรค ที่มีสมาชิกในสภาไม่น้อยกว่า 10 คน เห็นชอบไม่น้อยกว่าร้อยละสิบ แต่หากพรรคใดมี ส.ส.ต่ำกว่า 10 คน ให้รวมกันทุกพรรคและต้องมีเสียงเห็นชอบไม่น้อยกว่าร้อยละ 10 เช่นกัน
                      -ส.ว. ต้องเห็นด้วยไม่น้อยกว่า 1 ใน 3
                      -เมื่อมีมติเห็นชอบให้รอไว้ 15 วันและนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย
                      ต้องทำประชามติหรือไม่ ?
                      -หากเป็นการแก้ไข หมวด 1 (บททั่วไป), หมวด 2 (พระมหากษัตริย์), หมวด 15 (เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ) หรือหมวดที่เกี่ยวกับลักษณะต้องห้ามของผู้ดำรงตำแหน่งต่างๆ หรือที่เกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของศาล หรือองค์กรอิสระ หรือทำให้ศาลหรือองค์กรอิสระไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ตามอำนาจได้ ต้องทำประชามติ
                      – นอกจากนั้นไม่ต้องทำประชามติ
                      ศาลรัฐธรรมนูญตรวจสอบได้หรือไม่ก่อนนำความขึ้นทูลกล้าฯ ถวาย ?
                      -ส.ส. หรือ ส.ว. หรือสมาชิกทั้งสองสภาไม่น้อยว่า 1 ใน 10 สามารถเข้าชื่อเสนอต่อประธานรัฐสภา เพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงการปกครอง หรือรูปแบบรัฐ (ตามมาตรา 252) หรือไม่
                      -ตรวจสอบว่าเนื้อหาที่กำลังแก้นั้นเข้าข่ายที่ต้องทำประชามติหรือไม่
                      เหล่านี้คือกระบวนการ วิธีแก้ไข และเงื่อนไขที่ว่ากันว่าเป็นเงื่อนไขที่พิเศษ ที่อาจทำให้รัฐธรรมนูญแก้ยาก มุมหนึ่งบอกว่าแก้ยากจะเป็นปัญหาในอนาคตหากรัฐธรรมนูญถึงทางตันจะทำอย่างไรเพราะไม่มีกฎหมายใดทันสมัยได้ตลอดไป
                      ส่วนอีกมุมมองว่าหากแก้ไขง่าย ในอนาคตใครมีเสียงข้างมากก็จะสามารถแก้ไขกติกาของประเทศได้โดยง่าย กติกาสูงสุดก็จะไร้ความหมายอีกต่อไป …!!!
———————–
(มอนิเตอร์ร่างรัฐธรรมนูญ : แก้รัฐธรรมนูญยากหรือง่าย : โดย…สำนักข่าวเนชั่น)

ข้อเสนอข้อที่ 16 ‘เป้าหมาย’ กับ ‘วิธีการ’

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/detail/20160222/222874.html

การเมือง : ข่าวทั่วไป
วันจันทร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ 2559
ข้อเสนอข้อที่ 16 'เป้าหมาย' กับ 'วิธีการ'

มอนิเตอร์ร่างรัฐธรรมนูญ : ข้อเสนอข้อที่ 16 ‘เป้าหมาย’ กับ ‘วิธีการ’ : โดย…สำนักข่าวเนชั่น

                      “ลดความขัดแย้ง สร้างความปรองดอง ทำให้ประเทศเดินไปข้างหน้าได้” เป็น “เป้าหมาย” ของคสช. ที่พูดมาตั้งแต่วันเข้ามายึดอำนาจ 22 พฤษภาคม 2557 ขณะที่ “วิธีการ” เพื่อให้ได้ตาม “เป้าหมาย” ที่กำหนดไว้ ก็เป็นสิ่งที่ คสช.ถูกวิพากษ์วิจารณ์ไปจนถึง “ถูกต่อต้าน” ตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาเช่นกัน
                      ล่าสุด ในข้อเสนอแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญที่ครม.ส่งให้คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญก็คือ สิ่งที่ทำให้รัฐบาล ซึ่งหมายถึง “คสช.” ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักอีกครั้ง ถึง “วิธีการ” ที่จะนำมาใช้เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ต้องการ เพราะ เป็นวิธีการที่ทำให้ถูกระแวงสงสัยได้ว่า มันคือ “ประชาธิปไตยครึ่งใบ” หรือกลไกเพื่อ “สืบทอดอำนาจ” หรือไม่
                      ระหว่างคำว่า “การสืบทอดอำนาจ” กับ “ประเทศเดินหน้าได้ด้วยความสงบเรียบร้อย” อาจมีเพียงเส้นแบ่งบางๆ กั้นแบ่ง จึงทำให้มีการตีความสิ่งที่เห็นไปคนละอย่างได้
                      “การบังคับใช้รัฐธรรมนูญเป็น 2 ช่วงเวลา” และ “การเลือกตั้งส.ส.ในระดับหนึ่ง อย่างมีดุลยภาพ” ถ้อยคำใน “ข้อเสนอข้อสุดท้าย” ของ 16 ข้อเสนอที่ ครม.ส่งให้ กรธ.เป็นจุดที่ก่อให้เกิดปัญหาในการตีความมากที่สุด
                      “การบังคับใช้รัฐธรรมนูญเป็น 2 ช่วงเวลา คือช่วงเฉพาะกิจและระยะต่อไป” ทำให้เกิดคำถามว่า “ช่วงเฉพาะกิจนั้นจะยาวนานแค่ไหน?”
                      หากอิงตามถ้อยคำในข้อเสนอข้อที่ 16 จะมีการกำหนดไว้ 3 ระยะ คือ หลังประกาศใช้รัฐธรรมนูญ หลังการเลือกตั้ง และหลังจัดตั้งรัฐบาลใหม่ แต่ก็ยังเกิดคำถามต่ออีกว่า “หลังจัดตั้งรัฐบาลใหม่” มีระยะเวลายาวนานเท่าใด?
                      จึงเป็นที่มาที่ทำให้มีการพูดถึงเรื่อง “การสืบทอดอำนาจ” อีกครั้ง!
                      ขณะที่ “การเลือกตั้งส.ส.ในระดับหนึ่ง อย่างมีดุลยภาพ” ทำให้เกิดคำถามว่าหมายถึงอะไร “ข้อจำกัด” ที่ระบุไว้ในข้อเสนอนี้คืออะไร มันคือ “ประชาธิปไตยครึ่งใบ” หรือไม่?
                      อย่างไรก็ตาม ดูจากข้อความในข้อ 16 ที่ระบุถึงข้อห่วงใยของครม. คือ ทำอย่างไรจึงจะป้องกันไม่ให้เกิดความยุ่งยากโกลาหลจนประเทศจวนเข้าสู่ภาวะรัฐล้มเหลวเหมือนก่อนพฤษภาคม 2557 ย้อนกลับมาเกิดขึ้นอีกหลังประกาศใช้รัฐธรรมนูญ หลังการเลือกตั้ง และหลังจัดตั้งรัฐบาลใหม่ แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลตั้งธงว่าเบื้องต้นจะต้องมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ก่อน เพื่อไปสู่เป้าหมายที่ คสช.บิดพลิ้วไม่ได้ เพราะเป็นพันธสัญญาที่ประกาศที่ให้ไว้กับนานาชาติด้วย นั่นคือ “การเลือกตั้งในปี 2560” ดังนั้นไม่ว่าอย่างไรต้องทำให้มีการเลือกตั้งให้ได้ และถ้าผนวกไปกับข้อเสนอล่าสุด “วิธีการ” ที่จะเกิดขึ้นคือ “การจัดการเลือกตั้งอย่างมีข้อจำกัด”
                      ส่วนจะเป็นรัฐธรรมนูญฉบับไหน ก็คงไม่พ้น “รัฐธรรมนูญฉบับมีชัย” เพียงแต่จะเป็นฉบับที่ผ่านประชามติ หรือไม่ใช่ เท่านั้น
                      นึกถึงถ้อยคำแข็งกร้าวของ “จตุพร พรหมพันธุ์” ที่บอกว่า “เชื่อว่ามีชัยเจตนาร่างรัฐธรรมนูญเพื่อไม่ให้ผ่านประชามติ…เชื่อว่าจะมีการชิงคว่ำร่างรัฐธรรมนูญนี้ก่อนทำประชามติ” ที่ส่งผลให้อารมณ์ของ “บิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” เดือดถึงขั้นอยากเอาอะไรทิ่มปาก
                      จับตาทุกรายละเอียดจากนี้ไป อะไรจะเกิดขึ้น ไม่มีใครบอกได้ “ทุกอย่างขึ้นกับสถานการณ์”!!
———————
(มอนิเตอร์ร่างรัฐธรรมนูญ : ข้อเสนอข้อที่ 16 ‘เป้าหมาย’ กับ ‘วิธีการ’ : โดย…สำนักข่าวเนชั่น)

เปิด ‘2 สูตร’ หากร่าง รธน. ไม่ผ่านประชามติ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/detail/20160129/221436.html

การเมือง : ข่าวทั่วไป
วันศุกร์ที่ 29 มกราคม 2559
เปิด '2 สูตร' หากร่าง รธน. ไม่ผ่านประชามติ

มอนิเตอร์ร่างรัฐธรรมนูญ : เปิด ‘2 สูตร’ หากร่าง รธน. ไม่ผ่านประชามติ : โดย…สำนักข่าวเนชั่น

                      ตอนนี้มีแต่คำถามพุ่งตรงไปยัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ว่าหากร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านประชามติ จะทำอย่างไร จนเชื่อได้ว่านายกฯ เองก็เหนื่อยที่จะตอบ
                      “ถ้าประชามติไม่ผ่าน…เป็นเรื่องของผม ผมผูก ผมก็ต้องแก้ จะให้เลือกตั้งให้ได้” เป็นการลั่นวาจาจากเรียวปากของ พล.อ.ประยุทธ์
                      และเป็นการเลือกตั้งตาม “ไทม์ไลน์” เดิม คือ ปี 2560
                      ขณะที่ “มีชัย ฤชุพันธุ์” ประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ บอกว่า “ถ้าประชามติไม่ผ่าน ก็ได้รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน” ซึ่งก็มีการไปตีความกันว่าอาจารย์มีชัยจะนำเอารัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557 มาใช้เป็นฉบับถาวร
                      ร้อนถึงเจ้าตัว ต้องรีบชี้แจงในเวลาต่อมาว่า ที่พูดนั้นหมายความว่า ตราบใดที่ยังไม่มีรัฐธรรมนูญฉบับถาวร รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันซึ่งก็คือ รัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557 ต้องบังคับใช้ไปก่อนจนกว่าจะมีการยกเลิกเมื่อมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
                      ซึ่งว่าไปแล้ว ก็เป็นไปตามครรลองปกติ เพราะเมื่อยังไม่มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ก็ต้องใช้รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันที่ใช้บังคับอยู่ แม้ว่าจะเป็นรัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว)…ก็เถอะ
                      ไม่เพียงแค่นี้ ยังมี “อมร วาณิชวิวัฒน์” โฆษกกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ออกมาระบุว่า “ถ้าไม่ผ่านประชามติ ก็ได้รัฐธรรมนูญฉบับ คสช.”
                      ซึ่งหากแปลความตามคำพูดของโฆษกกรรมการร่างรัฐธรรมนูญท่านนี้ ก็หมายความว่า เมื่อร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านประชามติ คสช. ก็ต้องไปดูว่า ที่ไม่ผ่านประชามติ มีปัญหาตรงไหน แล้วก็ไปแก้ไขรัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557 กำหนดกฎเกณฑ์ลงไปว่า จะใช้วิธีอย่างไรต่อไป
                      โดยสรุป ตอนนี้มีอยู่ 2 สูตร ที่อาจจะเกิดขึ้นในกรณีที่ร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านประชามติ
                      1.นายกรัฐมนตรี มีร่างรัฐธรรมนูญเตรียมพร้อมไว้แล้วในการที่จะนำมาประกาศใช้เพื่อให้มีการเลือกตั้ง
                      เห็นได้จากการตอบคำถามของนายกฯ ก่อนหน้านี้ต่อคำถามของผู้สื่อข่าวที่ว่า อยากให้นายกฯอธิบายให้ชัดเจนว่า ถ้าร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านประชามติ แต่ยังจะมีการเลือกตั้งในปี 2560 นั้น จะทำอย่างไร ว่า “เราก็ต้องหารัฐธรรมนูญมาให้เลือกตั้งจนได้ อาจจะมีมาตราเดียวหรือ 2-3 มาตรา ก็พอแล้ว คือ 1.ให้มีการเลือกตั้ง 2.เรื่องสิทธิมนุษยชน 3.เรื่องประชาธิปไตย สิทธิ เสรีภาพ ไร้ขีดจำกัด พอแล้ว”
                      อีกทั้งก่อนหน้านี้ก็มีกระแสข่าวว่า นายกฯ เตรียมร่างรัฐธรรมนูญไว้แล้วในกรณีที่ “ร่างรัฐธรรมนูญฉบับ มีชัย ฤชุพันธุ์” ไม่ผ่านประชามติ
                      อย่างไรก็ตาม การที่จะใช้วิธีนี้ได้ก็ต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญชั่วคราวเพื่อเปิดช่องให้ทำได้
                      2.แก้ไขรัฐธรรมนูญชั่วคราวเพื่อให้มีการเลือกตั้ง โดยนำร่างรัฐธรรมนูญฉบับนายมีชัย ที่ไม่ผ่านประชามติมาปรับปรุงแก้ไขในจุดที่มีปัญหาที่ทำให้ไม่ผ่านประชามติ แล้วสวมเข้าไปกับรัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) กลายเป็นรัฐธรรมนูญฉบับถาวร
                      ซึ่งทั้ง 2 สูตร ไม่มีการนำร่างรัฐธรรมนูญ ไปทำประชามติถามประชาชนอีก
                      อย่างไรก็ตามถึงเวลานี้ นายกฯ และ คสช. ก็ยังไม่ยอม “หงายไพ่” ออกมาว่า หากร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านประชามติจริงๆ จะเอาอย่างไรกันแน่
                      เพราะตอนนี้ยังมีเวลาอีกตั้งหลายเดือน กว่าจะถึงการลงประชามติในวันที่ 31 กรกฎาคม 2559 ซึ่งใน “ทางการเมือง” ขืนเปิดให้เห็นโล่งโจ้ง ก็มีแต่จะเสียเปรียบ
————————–
(มอนิเตอร์ร่างรัฐธรรมนูญ : เปิด ‘2 สูตร’ หากร่าง รธน. ไม่ผ่านประชามติ : โดย…สำนักข่าวเนชั่น)

เมื่อโจทย์ไม่ตรงกัน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/detail/20160126/221200.html

การเมือง : ข่าวทั่วไป
วันอังคารที่ 26 มกราคม 2559
เมื่อโจทย์ไม่ตรงกัน

เมื่อโจทย์ไม่ตรงกัน : คอลัมน์ มอนิเตอร์ร่างรัฐธรรมนูญ : โดย…สำนักข่าวเนชั่น

       งวดเข้ามาทุกขณะ เนื่องจากใกล้วันที่ร่างรัฐธรรมนูญฉบับรับฟังความเห็นของประชาชนจะคลอดออกจากมือของกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งต้องบอกกันตรงๆ ว่า ตั้งแต่เริ่มทำงานมาเมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้ว จนถึงวันนี้ยังไม่มีใครเคยเห็นร่างฉบับดังกล่าวทั้งร่างมาก่อน
       ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะร่างนั้นยังไม่เสร็จสมบูรณ์ ทำให้นับแต่วันนี้ (26 ม.ค.) เป็นต้นไป พวกเขาจะเพิ่มเวลาประชุม จากเดิมที่ประชุมเฉพาะช่วงบ่าย เปลี่ยนมาเป็นประชุมทั้งเช้าและบ่ายแบบไม่มีกำหนดเวลาว่าจะเลิกกี่โมง
       เมื่อร่างรัฐธรรมนูญฉบับแรกเสร็จสิ้น พวกเขาก็จะเชิญสมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) และสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ประชุม เพื่อรับฟังความเห็นและข้อเสนแนะในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ที่จะถึงนี้
       อย่างไรก็ตามทุกสิ่งอย่างยังไม่ถือว่าเป็นที่สิ้นสุด เพราะเมื่อรับฟังความเห็นเสร็จ กรธ.ก็จะนำร่างมาปรับปรุงอีกครั้งหนึ่งก่อนที่จะออกมาเป็นร่างสุดท้ายในราวเดือนเมษายน เพื่อเดินหน้าสู่ประชามติในช่วงเดือนกรกฎาคม
       แต่เอาเข้าจริง จนถึงขณะนี้ แม้แต่ตัวคนร่างเองยังไม่มั่นใจเลยว่า ร่างนี้จะผ่านประชามติหรือไม่  เพราะเอาเข้าจริงๆ แล้วเรื่องหลายๆ เรื่องยังดูห่างจากความพอใจของประชาชนในหลายๆ ภาคส่วน และถูกตั้งคำถามถึงความเป็นประชาธิปไตย
       ซึ่งก็ไม่ถือว่าแปลก เพราะเจตนาของคนร่างกับคนที่จะใช้มีความแตกต่างกัน  คนร่างนั้นมีโจทย์ที่ชัดเจนในหลายๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการทำให้ไม่มีพรรคการเมืองผูกขาดเสียงข้างมาก  ขณะที่ประชาชนอีกจำนวนหนึ่งต้องการรัฐบาลที่มีเสถียรภาพ
       คนร่างไม่ต้องการให้นักการเมืองเข้ามาใช้อำนาจอย่างเต็มที่ และต้องถูกตรวจสอบการใช้อำนาจอย่างเข้มข้น รวมทั้งการให้ความแข็งแกร่งกับระบบราชการไม่ให้ถูกการเมืองแทรกแซงได้โดยง่าย   ภายใต้วาทกรรมปราบโกง ขณะที่ประชาชนอีกส่วนหนึ่งต้องการเห็นรัฐบาลที่มีความเข้มแข็งสามารถใช้อำนาจได้อย่างเต็มที่ มิเช่นนั้นก็เกิดภาวะติดขัดไม่สามารถขับเคลื่อนนโยบายได้อย่างเต็มที่ หากถูกตรวจสอบเข้มข้น และถ้าฝ่าฝืนก็อาจถูกลงโทษสถานหนักก็จะทำให้รัฐบาลไม่กล้าทำอะไรแบบเต็มที่ และนโยบายต่างๆ ก็จะไม่เดินหน้า และแน่นอนว่า “รัฐราชการ” ก็เป็นวาทกรรมที่พวกเขาหวาดกลัวไม่แพ้กันจากประสบการณ์ที่ผ่านมา
       นี่คือตัวอย่างของความต้องการและโจทย์ที่ต่างกันของ “คนร่าง” และ “คนใช้” ทำให้ไม่แปลกที่วันนี้จะเริ่มมีการรณรงค์ให้คว่ำร่างรัฐธรรมนูญแล้ว แม้ตัวร่างจะยังไม่ออกมาเสียด้วยซ้ำ เรียกว่า ชวนคว่ำตั้งแต่ยังไม่คลอด
       และที่สำคัญคือ ไม่ใช่คนกลุ่มเดียว หากแต่เป็นกลุ่มที่หลากหลายไม่ใช่น้อย ซึ่งแม้แต่ กรธ.ก็รู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี
       เอาเข้าจริงๆ แล้ว หาก คสช.เลือกวิธีที่จะให้ร่างใหม่ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะมีร่างรัฐธรรมนูญฉบับที่ผ่านประชามติ เราก็อาจจะเห็นเรื่องนี้เกิดขึ้นเป็นปรากฏการณ์ซ้ำเล่า วนไปวนมาด้วยสถานการณ์แบบเดิมๆ หากคนร่างและคนใช้ยังมีโจทย์ที่ต่างกัน
       หากอยากให้จบอาจมีฝ่ายหนึ่งต้องคิดใหม่ ซึ่งฝ่ายนั้นน่าจะเป็นคนร่างเสียมากกว่า ขณะเดียวกัน คสช.ก็ต้องมาขบคิดให้จงหนักว่า โจทย์ของพวกเขากับโจทย์ของประชาชนเป็นโจทย์เดียวกันหรือไม่