ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
http://www.komchadluek.net/detail/20160411/225695.html
ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
http://www.komchadluek.net/detail/20160411/225695.html
ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
http://www.komchadluek.net/detail/20160331/225051.html
เป็นที่เข้าใจตรงกันว่า รัฐธรรมนูญนั้นถือเป็นกฎหมายแม่บทของประเทศ เป็นเหมือนพิมพ์เขียวของสังคม โดยการกำหนดโครงสร้างในระบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นระบบการเมือง การปกครอง การพัฒนา หรือรวมไปถึงการกำหนดข้อห้ามกระทำหรือข้อที่พึงกระทำ
ร่างฉบับ “มีชัย ฤชุพันธุ์” ที่เพิ่งเปิดฉบับสมบูรณ์เมื่อวันที่ 29 มีนาคม ที่ผ่านมา ก็ไม่เว้นกับกฎเกณฑ์นี้ สิ่งที่เขาบอกว่าได้ปรับแก้จากร่างแรกมากที่สุดก็คือ เรื่องสิทธิเสรีภาพ เป็นนัยว่าเขายอมให้มีหลักประกันเสรีภาพในหลายๆ อย่างในเชิงคุ้มครองประชาชน
อย่างไรก็ตามเมื่อมีสิทธิพวกเขาก็ได้กำหนดหน้าที่ตามมา และเป็นหน้าที่ที่สอดรับกับเจตนารมณ์ของการสร้างชาติแบบ คสช. รวมถึงความพยายามที่จะตอบสนองต่อปัญหาที่คณะรัฐประหารระบุว่าเป็นปัจจัยที่พวกเขาต้องเข้ามาแก้ไข
โดยร่างรัฐธรรมนูญ มาตรา 50 ได้บัญญัติหน้าที่ของประชาชนคนไทยโดยระบุว่า บุคคลมีหน้าที่ ดังต่อไปนี้
(1) พิทักษ์รักษาไว้ซึ่งชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
(2) ป้องกันประเทศ พิทักษ์รักษาเกียรติภูมิ ผลประโยชน์ของชาติและสาธารณสมบัติของแผ่นดิน รวมทั้งให้ความร่วมมือในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
(3) ปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด
(4) เข้ารับการศึกษาอบรมในการศึกษาภาคบังคับ
(5) รับราชการทหารตามที่กฎหมายบัญญัติ
(6) เคารพและไม่ละเมิดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่น และไม่กระทำการใดที่อาจก่อให้เกิดความแตกแยกหรือเกลียดชังในสังคม
(7) ไปใช้สิทธิเลือกตั้งหรือลงประชามติอย่างอิสระโดยคำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวมของประเทศเป็นสำคัญ
(8) ร่วมมือและสนับสนุนการอนุรักษ์และคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติ ความหลากหลายทางชีวภาพ รวมทั้งมรดกทางวัฒนธรรม
(9) เสียภาษีอากรตามที่กฎหมายบัญญัติ
(10) ไม่ร่วมมือหรือสนับสนุนการทุจริตและประพฤติมิชอบทุกรูปแบบ
และหากเปรียบเทียบกับรัฐธรรมนูญปี 2550 กำหนดเรื่องหน้าที่ของชนชาวไทยไว้เพียง 5 ข้อ โดยแต่ละข้อที่เพิ่มมาก็มีนัย เช่น เรื่องการเคารพและไม่ละเมิดสิทธิเสรีภาพผู้อื่นและไม่กระทำการอันก่อให้เกิดความแตกแยกหรือเกลียดชังในสังคมไทย ซึ่งน่าจะเป็นการตอบโจทย์เรื่องการชุมนุม และความแตกแยกของคนในชาติ
หรือเรื่องการไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ที่แม้จะบัญญัติในรัฐธรรมนูญฉบับที่ผ่านๆ มาว่าเป็นหน้าที่ แต่คราวนี้ก็มีบทขยายความที่บอกว่า “ต้องไปใช้สิทธิเลือกตั้งหริือลงประชามติอย่างอิสระโดยคำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวมของประเทศเป็นสำคัญ”
เพราะพวกเขาตั้งโจทย์ว่า ที่ผ่านมาการเลือกตั้ง ผู้มีสิทธิลงคะแนนมาจากผลประโยชน์ส่วนตนเป็นที่ตั้ง
น่าสนว่า เมื่อมีหน้าที่ แต่ไม่ทำหน้าที่ก็ย่อมมีผลบังคับทางกฎหมาย ต้องมาดูกันต่อไปว่า “ปวงชนชาวไทย” ที่ไม่ทำหน้าที่ตามที่บัญญัติไว้จะต้องรับผลอะไรหรือไม่
ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
http://www.komchadluek.net/detail/20160329/224921.html
วันนี้ (29 มี.ค.) แล้ว ที่กรรมการร่างรัฐธรรมนูญจะส่งร่างรัฐธรรมนูญฉบับเสร็จสมบูรณ์ให้รัฐบาล เพื่อนำไปเดินหน้าทำประชามติต่อไป โดยคาดว่าการลงประชามติจะเกิดขึ้นในวันที่ 7 สิงหาคมที่จะถึงนี้
จากนี้ไปการติดตามเรื่องรัฐธรรมนูญในกระแสข่าวหลักจะไม่ได้อยู่ที่ว่าเนื้อหาของร่างรัฐธรรมนูญจะเขียนอย่างไร หากแต่ประเด็นหลักอาจจะไปอยู่ที่ความเคลื่อนไหวทางการเมืองทั้งฝ่ายรับและฝ่ายไม่รับเสียมากกว่า
ถึงนาทีนี้แล้ว หลายคนจะเริ่มลืมเรื่องตัวบท เพราะการต่อสู้กันทางการเมืองจะรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ จากเดิมพันที่มีอยู่ไม่น้อยของทั้งสองฝั่ง
ฝั่งรัฐบาล ที่แน่นอนว่า อยากให้ร่างรัฐธรรมนูญผ่านประชามติเพื่อเดินหน้าสู่การเลือกตั้งในปี 2560 ตามโรดแม็พ เพราะมิเช่นนั้นพวกเขาจะเจอแรงกดดันที่ถาโถมเข้ามา ไม่ว่าจะเป็นข้อหาว่า เขียนรัฐธรรมนูญจงใจไม่ให้ผ่าน หรือแรงกดดันจากนานาชาติ กระทั่งการที่ฝั่งที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลจะใช้โอกาสที่รัฐธรรมนูญไม่ผ่านโจมตีถึงความชอบธรรมในการอยู่ในอำนาจต่อไป
รวมถึงเรื่องสำคัญคือ สิ่งที่เขาอยากได้คือการวางระบบการเมือง การใช้อำนาจ การตรวจสอบอำนาจ ล้วนแต่ถูกบัญญัติอยู่ในร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้อย่างครบถ้วน ซึ่งหมายความว่าต่อให้มีการเลือกตั้ง เจตนารมณ์ของพวกเขา สิ่งที่พวกเขาต้องการ หรือกระทั่งอำนาจของพวกเขาก็จะไม่สูญสลายหายไปไหน หากแต่แทรกอยู่ในทุกอณูของโครงสร้างที่เขียนเอาไว้ และหากเป็นเช่นนั้นจริง สิ่งที่พวกเขาทำไว้อาจจะไม่เพียงอยู่ในช่วงระยะเปลี่ยนผ่าน หากแต่อาจอยู่ยาวอย่างที่คาดไม่ถึง
ขณะที่อีกฟากฝั่งนั้น ก็เชื่อเช่นเดียวกัน เพียงแต่พวกเขาก็ไม่ต้องการให้ระบอบที่คณะรัฐประหารวางไว้หยั่งรากฝังลึกอยู่ในสังคมไทยให้ยาวนาน เพราะนั่นจะหมายความว่า ระบอบประชาธิปไตยแบบปกติจะไม่สามารถเติบโตได้อย่างที่ควรจะเป็น
นอกจากนี้พวกเขาก็ต้องการใช้โอกาสนี้แสดงความไม่ยอมรับการยึดอำนาจ และพร้อมจะรุกคืบสิ่งที่พวกเขากำลังต่อสู้นั้น ได้รับการตอบสนองจากเสียงประชามติ แต่ในทางตรงข้าม หากทุกอย่างไม่เป็นไปตามที่คิดกระแสการต่อต้านก็จะค่อยๆ แผ่วลงจนไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นได้อีกทีเมื่อไหร่
นี่จึงถือเป็นเดิมพันที่พวกเขาแม้ไม่อยากเล่นก็ต้องเล่น
ดังนั้นเราจึงจะเห็นแคมเปญการรณรงค์เพื่อรับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ออกมาอย่างเข้มข้น ฝ่ายที่อยากให้รับร่างรัฐธรรมนูญมุมหนึ่งจึงชูแคมเปญ “รัฐธรรมนูญปราบโกง” นัยว่า เพื่อชี้ให้เห็นเนื้อหา แต่อีกมุมหนึ่งก็ปลุกกระแสความหวาดกลัวนักการเมือง โดยปลุกผี “ทักษิณ” ขึ้นมาหลอกหลอน ภายใต้โฆษณาชวนเชื่อที่บอกว่า ต้องเลือกเอาระหว่างระบอบนักการเมือง(ที่ขี้โกง) หรือทหารที่เข้ามาดูแล
ขณะที่อีกมุมก็ชูประเด็นว่า จะเลือกระหว่างประชาธิปไตยที่ตรวจสอบได้กับทหารที่เป็นเผด็จการที่ยึดอำนาจไปจากประชาชน และชูเรื่องความเท่าเทียมของคน
จนสุดท้าย ยิ่งเข้าใกล้วันลงประชามติเนื้อหาสาระจะยิ่งถูกลดทอนลงจนเหลือแต่การปะทะทางความคิดว่าด้วยเรื่องการเลือกข้างเลือกฝ่าย
แต่สุดท้ายคนที่ตัดสินก็คือ ประชาชนทุกคนที่เป็นผู้มีสิทธิ์ ท่านจะเลือกข้างใด ชอบเรื่องใด ไม่ใช่เรื่องผิด หากแต่การเลือกต้องเลือกด้วยเหตุผลที่เพียงพอ เพราะนี่คือการกำหนดอนาคตของเราทุกๆ คน
ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
http://www.komchadluek.net/detail/20160328/224849.html
ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
http://www.komchadluek.net/detail/20160317/224260.html
ข้อเสนอจากเรื่องการปรับปรุงร่างรัฐธรรมนูญที่ออกมาในนามแม่น้ำ 4 สาย ที่มีต่อกรรมการร่างรัฐธรรมนูญนั้น เรียกได้ว่าสร้างความตื่นตะลึงได้ไม่น้อย เพราะจากที่คิดว่ารูปแบบที่คิดมาโดย “มีชัย ฤชุพันธุ์” ว่าแรงแล้ว ข้อเสนอใหม่นี้ต้องเรียกว่า แรงกว่า และชัดเจนกว่า
ข้อเสนอแรกว่าด้วยเรื่อง ส.ว.สรรหาทั้งสภาจำนวน 250 คน และอยู่ในตำแหน่ง 5 ปี ซึ่งพวกเขายอมรับกันเองว่าเป็นการอยู่ในสถานะพิเศษและวาระพิเศษในช่วงเปลี่ยนผ่าน เพื่อจัดระเบียบการเมืองใหม่
แต่ที่สำคัญคือ อำนาจและหน้าที่ของ ส.ว.ต่างหากที่น่าสนใจไม่น้อยไปกว่าที่มา เพราะหน้าที่ตามข้อเสนอนี้มีสองอย่างที่เพิ่มเติมไปจากที่มีมา คือ 1.พิทักษ์รัฐธรรมนูญ และ 2.ควบคุมการบริหารราชการแผ่นดิน
อำนาจพิทักษ์รัฐธรรมนูญ ตามที่อ้างคือ มิให้ฝ่ายการเมืองอาศัยเสียงข้างมากในการบิดเบือนเจตนารมณ์และฝ่าฝืนความต้องการของประชาชน ส่วนอำนาจควบคุมการบริหารราชการคืออำนาจอภิปรายไม่ไว้วางใจ
หากเป็นเช่นนี้จริงจะเห็นได้ว่า อำนาจของ ส.ว.นั้นแทบจะไม่ต่างจาก ส.ส. โดยสามารถลงมติในเรื่องสำคัญๆ สำคัญได้ แม้ไม่ได้เลือกนายกฯ ด้วยตัวเองแต่ก็มีบทบาทปลดนายกฯ ได้เช่นกัน ถึงนาทีนั้นต้องบอกว่า ส.ว.เป็นพรรคการเมืองที่ใหญ่ที่สุดในสภา หากพวกเขาลงมติไปในทางจัดการกับรัฐบาลก็เชื่อขนมกินได้เลยว่า รัฐบาลล้มแน่นอน แต่หากพวกเขาหนุนรัฐบาลใด รัฐบาลนั้นก็เป็นเสือติดปีกดีๆ นี่เอง
การจะลงมติสำคัญๆ ก็ต้องมาขอความเห็นชอบจากพรรคการเมืองที่ชื่อว่า “พรรค ส.ว.” เช่นกัน
ส่วนข้อเสนอที่ว่า งดใช้ระบบพรรคการเมืองเสนอบัญชีรายชื่อผู้เป็นนายกฯ ตามที่ “มีชัย” ออกแบบไว้ก็ชัดเจนว่า หลักการเรื่องป้องกัน “ไอ้โม่ง” เป็นนายกฯ ที่เขาเคยอธิบายไว้เมื่อครั้งไม่ยอมกำหนดคุณสมบัตินายกฯ ว่าต้องเป็น ส.ส. ถูกลบลงอย่างสิ้นเชิง
และหมายความว่า หลังการเลือกตั้ง เราอาจจะมี “นายกฯ คนนอก” ตามคอนเซ็ปต์ที่แท้จริง แบบไม่ต้องเหนียมอายว่าจะต้องให้ประชาชนได้เห็นตัวก่อน แต่ตามระบบนี้คนนอกคือคนนอกไม่ผ่านความเห็นชอบใดๆ จากประชาชนผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยเลย
และข้อเสนอสุดท้ายคือ ข้อเสนอเรื่องการปรับระบบเลือกตั้ง ให้เป็นเขตใหญ่ แต่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งกากบาทเลือกได้แค่คนเดียว จากนั้นให้เรียงลำดับคะแนนของผู้ได้คะแนนสูงสุดในเขตนั้นๆ จำนวนสามคนให้ได้เป็น ส.ส.ไป
ระบบนี้พรรคใหญ่เสียเปรียบและจะเสียที่นั่งจำนวนมากอย่างชัดเจน จากเดิมพรรคใหญ่อาจจะชนะแบบแบ่งเขตเกินครึ่ง เพราะเป็นการเลือกเขตเล็กเขตละหนึ่งคน แต่ในระบบนี้ผู้ลงคะแนนในเขตต้องตัดสินใจเลือกใครคนใดคนหนึ่งเพียงคนเดียวหากต้องวการให้ผู้ที่ตนเองสนับสนุนได้เป็น ส.ส. หากแบ่งใจหรือแบ่งคะแนนก็เป็นไปได้ว่าโอกาสที่จะแพ้เลือกตั้งก็มีสูง
ดังนั้นความเป็นไปได้จึงอยู่ที่ว่า พรรคใหญ่จะได้ ส.ส.เขตละ 1 คนเท่านั้น หากจะมีเขตที่ได้มากกว่าหนึ่งคนก็จะมีไม่มาก ซึ่งแปลว่าพรรคอันดับหนึ่งอาจจะมี ส.ส.เกินหนึ่งในสามมาไม่กี่มากน้อย ยิ่งทำให้จำนวน ส.ส.ที่ได้น้อยกว่าระบบจัดสรรปันส่วนผสมที่ “มีชัย” ออกแบบไว้เสียอีก
นี่คือข้อเสนอของแม่น้ำ 4 สายในเรื่องโครงสร้างทางการเมืองในช่วงเปลี่ยนผ่าน หากนำมาใช้จริง บทเฉพาะกาลที่ว่านี้จะกลายเป็นรัฐธรรมนูญชั่วคราว ซึ่งซ้อนอยู่ในรัฐธรรมนูญฉบับจริง และแก่ดีกรีกว่า ขณะที่รัฐธรรมนูญฉบับจริงก็ต้องร้องเพลงรอต่อไปอีก 5 ปี
ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
http://www.komchadluek.net/detail/20160302/223399.html
“คงไม่จำเป็นต้องตั้งคณะอะไรขึ้นมา กลไกต่างๆ จะอยู่ที่ ส.ว.จะเป็นแค่ช่วงเปลี่ยนผ่านเท่านั้น ส่วน ส.ว.ก็แต่งตั้งกันไปให้ทำงานด้วยกันได้ ในอนาคตจะมีการเลือกตั้งได้อย่างไม่มีปัญหา” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม บอกกับสื่อมวลชน
ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เคยให้สัมภาษณ์ว่า ในช่วงเปลี่ยนผ่านจะยกเว้นบางส่วนก่อน เมื่อถึงเวลาสถานการณ์ปกติก็กลับมาทั้งหมด จะกลับเข้าที่เดิมหมด ส.ว.ก็เลือกตั้งใหม่ทั้งหมดก็ได้
หากแปลความที่นายกฯพูด อีกนัยหนึ่งก็คือ ในช่วงเปลี่ยนผ่านที่สถานการณ์ยังไม่ปกติ ส.ว.ยังไม่ต้องเลือกตั้ง
เรื่อง ส.ว.แต่งตั้ง ก่อนหน้านี้ก็เคยมีคนเสนอว่า ให้นายกรัฐมนตรีเป็นคนแต่งตั้ง ส.ว.เหมือนกับกรณีสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ที่ให้นายกรัฐมนตรีเป็นคนแต่งตั้งจำนวน 200 คน และยังให้ ส.ว.ร่วมกับ ส.ส.ในการเลือกนายกรัฐมนตรี
ดังนั้น เมื่อ “พล.อ.ประวิตร” เปิดประเด็นนี้ออกมาก็มีเสียงสะท้อนตามมาในทาง “ขานรับ”
“วันชัย สอนศิริ” สมาชิก สปท.เห็นว่า สำหรับช่วงเปลี่ยนผ่าน ศักดิ์และสิทธิของสมาชิกทั้ง 2 สภาจะต้องเท่ากัน ด้วยการกำหนดให้ ส.ส.และ ส.ว.มีอำนาจเสนอและลงมติเลือกนายกรัฐมนตรี
พร้อมอธิบายว่า แนวทางนี้ไม่ได้ให้อำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดกับสภาใดสภาหนึ่ง แต่เป็นการมอบอำนาจให้ทั้ง 2 สภาร่วมกันพิจารณาถ่ายโอนอำนาจช่วงเปลี่ยนผ่านให้ราบรื่น โดยไม่ปล่อยให้เป็นประชาธิปไตยแบบสากล แต่ก็ไม่ให้เป็นเผด็จการอย่างเต็มที่ ส่วนระยะเวลาในการใช้กลไกนี้ก็ให้ ส.ส.และ ส.ว.ร่วมกันประเมินทุก 2 ปี ว่าเรียบร้อยแล้วหรือไม่ ถ้าคิดว่าเรียบร้อยก็เปิดให้มีการเลือกตั้งตามแบบประชาธิปไตยทั่วไป
ส่วน “พีระศักดิ์ พอจิต” รองประธาน สนช.คนที่ 2 เห็นว่า เมื่อไม่อยากให้ตั้งองค์กรใหม่มาควบคุมก็ควรใช้องค์กรที่มีอยู่ เช่น ส.ว.มาดูแลในช่วงเฉพาะกิจ เพื่อให้มาทำหน้าที่ถ่วงดุลกับ ส.ส.จากการเลือกตั้ง เพื่อกำกับดูแลการทำงานของ ส.ส.ให้อยู่ในกรอบกฎหมาย แต่ ส.ว.ชุดนี้ควรทำหน้าที่ถ่วงดุลฝ่ายบริหารเพียงอย่างเดียว ไม่ควรมีอำนาจเข้าไปก้าวก่ายการทำงานฝ่ายบริหาร
“ทวีศักดิ์ สูทกวาทิน” สมาชิก สนช. ซึ่งเป็นรองประธานคณะกรรมาธิการศึกษาพิจารณาข้อเสนอแนะและจัดทำความเห็นประกอบการร่างรัฐธรรมนูญ บอกว่า เป็นความเห็นที่คล้ายกับของ สนช.ที่เสนอให้ ส.ว.มาจากการสรรหาทั้งหมด และเห็นว่า ส.ว.จะคอยทำหน้าที่เป็นสภาถ่วงดุลกับสภาผู้แทนฯ เมื่อมีการประชุมรัฐสภา อีกทั้ง ส.ว.จะช่วยคอยทำหน้าที่สำคัญต่อสถานการณ์ที่ยังไม่เสถียรภาพ ซึ่งจำเป็นต้องใช้ความร่วมมือสูง ดังนั้นจึงเชื่อว่า ส.ว.ทั้งหมดจะช่วยประคับประคองช่วงระยะเวลาเปลี่ยนผ่าน 5 ปีได้
แต่ “กรรมการร่างรัฐธรรมนูญ” หรือ กรธ. ซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรงกับการยกร่างรัฐธรรมนูญยัง “แทงกั๊ก”
“อุดม รัฐอมฤต” โฆษก กรธ.บอกว่า ถือเป็นอีกหนึ่งข้อเสนอที่ กรธ.ต้องขอดูในรายละเอียดก่อนว่าจะมีข้อดีและข้อเสียอย่างไรก่อน ณ เวลานี้ยังตอบไม่ได้ว่าจะปรับตามความเห็นของ พล.อ.ประวิตรได้หรือไม่
อย่างไรก็ตาม เรื่อง ส.ว.แต่งตั้งหรือจะใช้วิธีตั้งคณะกรรมการสรรหาขึ้นมา แม้จะมีข้อดีที่ว่า ส.ว.จะคอยถ่วงดุลกับ ส.ส.ที่มาจากการเลือกตั้งและช่วยประคับประคองสถานการณ์ในช่วงเปลี่ยนผ่าน
แต่ก็มีข้อน่าเป็นห่วงที่ว่า “ส.ว.แต่งตั้ง” จะใหญ่ถึงขนาดเข้าไปก้าวก่ายการทำงานฝ่ายบริหารและคุมรัฐบาลได้ ซึ่งผิดกับหลักการแบ่งแยกอำนาจอธิปไตย
ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
http://www.komchadluek.net/detail/20160223/222933.html
ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
http://www.komchadluek.net/detail/20160222/222874.html
ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
http://www.komchadluek.net/detail/20160129/221436.html
ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
http://www.komchadluek.net/detail/20160126/221200.html