แนวโน้มการก่อการร้ายโลก

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/detail/20160415/225904.html

การเมือง : ข่าวทั่วไป
วันศุกร์ที่ 15 เมษายน 2559
แนวโน้มการก่อการร้ายโลก

วิถีมุสลิมโลก : แนวโน้มการก่อการร้ายโลก : โดย…ศราวุฒิ อารีย์ tfarida@hotmail.com

                    ข้อแตกต่างประการหนึ่งระหว่างกลุ่มอัลไกดา กับ ‘ไอเอส’ ในแง่ของปฏิบัติการก่อความรุนแรงคือ ในขณะที่อัลไกดามุ่งเป้าโจมตี ‘Far enemy’ หรือ ‘ศัตรูทางไกล’ อันหมายถึงมหาอำนาจและชาติพันธมิตรตะวันตกเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่กลุ่มไอเอสกลับเปิดศึกทั้ง 2 ด้านไปพร้อมๆ กัน ทั้งศัตรูทางไกลและศัตรูทางใกล้ (Near enemy) อันหมายถึงกลุ่มประเทศมุสลิมที่ไอเอสมองว่ามีรัฐบาลนอกรีต ไม่ทำตามหลักการศาสนา
                    ด้วยเหตุนี้ การตั้งรัฐอิสลามของไอเอสขึ้นมาพร้อมกับการสถาปนาเคาะลีฟะฮ์ จึงไม่ได้กลายเป็นภัยคุกคามต่อตะวันตกเท่านั้น แต่ยังเป็นภัยคุกคามและความท้าทายต่อโลกมุสลิมในภาพรวมอีกด้วย ภัยคุกคามอย่างใหญ่หลวงต่อโลกมุสลิมอาจดูได้จากสถิติการก่อการร้ายของไอเอสที่สำนักข่าวซีเอ็นเอ็นได้รวบรวมไว้เกี่ยวกับปฏิบัติการของไอเอสนอกพื้นที่ซีเรียและอิรัก(ดูรายละเอียดได้ใน http://edition.cnn.com/…/mapping-isis-attacks-ar…/index.html)
                    ข้อมูลระบุว่านับตั้งแต่กลุ่มไอเอสประกาศตัวเป็นรัฐอิสลามในเดือนมิถุนายน 2014 กลุ่มนี้ได้ก่อเหตุไปแล้วรวม 75 ครั้ง ใน 20 ประเทศทั่วโลก โดยมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 1,280 คน บาดเจ็บอีกกว่า 1,770 คน พื้นที่ก่อเหตุส่วนใหญ่เป็นประเทศมุสลิมและผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บส่วนใหญ่ก็เป็นผู้ที่นับถือศาสนาอิสลาม
                    ที่น่าสนใจคือ ซีเอ็นเอ็นได้แบ่งประเภทการก่อการร้ายของกลุ่มไอเอสเป็นสองแบบคือ การก่อการร้ายโดยสมาชิกของกลุ่มหรือสาขาของกลุ่มตามดินแดนต่างๆ และการก่อการร้ายโดยบุคคลที่ได้รับแรงบันดาลใจจากกลุ่มไอเอส จากสถิติที่ซีเอ็นเอ็นให้ไว้พอสรุปเป็นแนวโน้มการก่อการร้ายตามที่ รุสตั้ม หวันสู นักศึกษาปริญญาเอก มหาวิทยาลัยมุสลิมอาลีการ์ ประเทศอินเดีย ได้แสดงความคิดเห็นเอาไว้อย่างน่าสนใจดังนี้ครับ
                    1.พื้นที่เป้าหมายหลักในการก่อการร้ายโดยกลุ่มไอเอสคือ กลุ่มประเทศตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ (MENA)และทวีปยุโรป
                    2.การก่อการร้ายโดยตรง หรือจากกลุ่มสาขาของไอเอสมีจำนวนครั้งมากกว่าเหตุก่อการร้ายโดยบุคคล/กลุ่มบุคคลที่ได้รับแรงบันดาลใจจากกลุ่มไอเอส โดยเฉพาะกลุ่มประเทศตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ (MENA) ส่วนในทวีปอื่นๆ นั้น การก่อการร้ายส่วนใหญ่กระทำโดยบุคคล/กลุ่มบุคคลที่ได้รับแรงบันดาลใจจากกลุ่มไอเอส
                    3.การก่อการร้ายโดยกลุ่มไอเอสคุกคามประชาชนทุกศาสนา ไม่ว่าจะเป็นเหตุก่อการร้ายในฝรั่งเศสที่มีผู้เสียชีวิต 130 ศพ หรือเหตุระเบิดสองมัสยิดในเยเมนที่มีผู้เสียชีวิต 137 ศพ เหตุระเบิดในตุรกี ซึ่งมีผู้เสียชีวิต 97 ศพ เหตุระเบิดเครื่องบินรัสเซียเหนือน่านฟ้าอียิปต์ ซึ่งมีผู้เสียชีวิต 224 ศพ เหตุระเบิดในเลบานอน ซึ่งมีผู้เสียชีวิต 43 ศพ
                    4.ประเทศที่มีสาขาหลักของกลุ่มไอเอสอย่างอียิปต์ ลิเบีย เยเมน เสี่ยงต่อภัยคุกคามจากการก่อการร้ายมากที่สุด การที่กลุ่มไอเอสเริ่มเสียฐานการยึดครองและปฏิบัติการในซีเรียและอิรัก ทำให้มีแนวโน้มที่กลุ่มไอเอสจะปฏิบัติการในพื้นที่อื่นๆ มากขี้น ซึ่งทำให้ไอเอสยังคงยึดหน้าหลักในกระแสข่าวการก่อการร้าย
                    5.ประเทศในยุโรปอย่างฝรั่งเศสและเบลเยียม เสี่ยงต่อภัยก่อการร้ายมากที่สุด ตัวเลขของประชาชนประเทศดังกล่าวเดินทางไปร่วมรบในซีเรียและอิรักมีจำนวนมาก จำนวนหนึ่งได้เดินทางกลับเข้าประเทศมาก่อเหตุหรือวางแผนก่อการร้าย
                    6.รูปแบบการก่อการร้ายได้เปลี่ยนไปจากการเน้นก่อเหตุรุนแรง หวังจำนวนผู้เสียชีวิตจำนวนมากวางแผนนาน อย่างที่กลุ่มอัลไกดาเคยทำ มาเป็นการก่อการร้ายที่มีรูปแบบที่ยืดหยุ่น เน้นระเบิดพลีชีพ ใช้จำนวนผู้ก่อเหตุและงบประมาณไม่มากอย่างที่กลุ่มไอเอสทำ
————————–
(วิถีมุสลิมโลก : แนวโน้มการก่อการร้ายโลก : โดย…ศราวุฒิ อารีย์ tfarida@hotmail.com)

ทบทวนความสัมพันธ์ซาอุฯ-อิหร่าน (จบ)

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/detail/20160205/221856.html

การเมือง : ข่าวทั่วไป
วันศุกร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ 2559
ทบทวนความสัมพันธ์ซาอุฯ-อิหร่าน (จบ)

ทบทวนความสัมพันธ์ซาอุฯ-อิหร่าน (จบ) : วิถีมุสลิมโลก โดยศราวุฒิ อารีย์

           การที่สหรัฐใช้กำลังโค่นอำนาจซัดดัมแห่งอิรักเมื่อปี 2003 เป็นจุดเริ่มต้นของความขัดแย้งครั้งใหม่ระหว่างซาอุดีอาระเบียกับอิหร่าน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะสงครามอิรักทำให้ดุลอำนาจในอ่าวเปอร์เซียที่เป็นแบบ “สามเหลี่ยม” หมดไป เพราะอำนาจที่เคยคานกันระหว่างซาอุดีอาระเบีย อิรัก และอิหร่าน มาบัดนี้ถูกแทนที่ด้วยโครงสร้างที่เป็นการแข่งขันกันแบบสองขั้ว (bipolar) คืออิหร่านกับซาอุดีอาระเบียโดยตรง

ขณะเดียวกัน การโค่นล้มซัดดัม ซึ่งเป็นศัตรูของอิหร่าน ก็ทำให้อำนาจการปกครองอิรักจากที่เคยอยู่ในมือของนักชาตินิยมอาหรับอย่างพรรคบาอัธของซัดดัมก็เปลี่ยนเป็นอำนาจของฝ่ายชีอะห์ ซึ่งได้รับเลือกตั้งให้เป็นรัฐบาลใหม่ เพราะประชาชนส่วนใหญ่ในอิรักกว่าร้อยละ 60 เป็นชีอะห์ ส่งผลให้อิหร่านมีเครื่องมือเชื่อมต่อความสัมพันธ์และเข้าไปมีอิทธิพลบทบาทในอิรักได้ง่าย

เท่านั้นยังไม่พอ บทบาทของกลุ่มเฮซบอลเลาะห์ยังปรากฏเด่นชัดขึ้นในการเมืองเลบานอนจากการช่วยเหลือของซีเรีย (ทั้งเฮซบอลเลาะห์และซีเรียต่างเป็นพันธมิตรใกล้ชิดกับอิหร่าน) ทำให้อิทธิพลของอิหร่านแพร่ขยายอย่างเด่นชัดในระยะหลัง ในทางตรงข้าม บทบาทของซาอุดีอาระเบียในการเมืองตะวันออกกลางกลับลดน้อยถอยลง

ด้วยเหตุนี้ สภาวะแห่งการแข่งขันระหว่างมหาอำนาจทั้งสองจึงเริ่มเปิดฉากขึ้นอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการแข่งขันกันในสมรภูมิอิรักหลังยุคซัดดัม ไม่ว่าจะเป็นสงคราม 33 วันในเลบานอนระหว่าง

เฮซบอลเลาะห์กับอิสราเอล (ปี 2006) ตลอดจนการบุกโจมตีกาซาโดยกองกำลังอิสราเอลเป็นเวลา 22 วันถล่มกลุ่มฮามาส (ปี 2008-2009)

ปัจจัยอีกประการที่นำไปสู่การแข่งขันระหว่างซาอุฯ-อิหร่านอย่างที่เราเห็นในปัจจุบันคือ ความก้าวหน้าของอิหร่านในการพัฒนาพลังงานนิวเคลียร์ ซาอุดีอาระเบียเชื่อว่าเรื่องนี้ทำให้อิหร่านมีสถานะที่เหนือกว่าตนในภูมิภาค ซึ่งในทางกลับกันก็สะท้อนให้เห็นถึงความล้าหลังไร้ศักยภาพของซาอุดีอาระเบียที่ไม่สามารถพัฒนาเทคโนโลยีดังกล่าวได้

การขับเคี่ยวแข่งขันระหว่างซาอุฯ-อิหร่านเดินทางมาถึงจุดเปลี่ยนที่สำคัญอีกครั้งหลังผู้นำเผด็จการในตะวันออกกลาง ไม่ว่าจะเป็นตูนิเซีย อียิปต์ ลิเบีย และเยเมน ถูกโค่นอำนาจโดยกองทัพประชาชนที่ลุกฮือขึ้นต่อต้าน อีกทั้งกระแสการเปลี่ยนแปลงนี้ยังได้ลุกลามไปประเทศอื่นๆ ทั่วภูมิภาค รวมถึงในซาอุดีอาระเบียเองด้วย การล้มลงของเผด็จการในหลายประเทศในเวลาที่รวดเร็วเป็นปรากฏการณ์ที่คล้ายกับตอนที่สหรัฐบุกโค่นล้มระบอบซัดดัมในอิรักในแง่ที่ว่า มันเกิดการปรับดุลอำนาจครั้งใหม่ในตะวันออกกลางและเกิดสุญญากาศทางอำนาจในหลายประเทศ

สำหรับซาอุดีอาระเบีย กระแสการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นใหม่นี้ถือเป็นภัยคุกคามใหญ่ต่อราชวงศ์ซาอูด เพราะเป็นกระแสที่กำลังคืบคลานเข้ามาและบ่อนเซาะการปกครองในระบอบอำนาจนิยมของซาอุดีอาระเบีย ฉะนั้นการรับมือกับกระแสที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะการหาวิธีหยุดยั้งกระแสอาหรับสปริง จึงเป็นเป้าหมายหลักที่ซาอุดีอาระเบียต้องรีบดำเนินการ

แต่สำหรับอิหร่านแล้ว กระแสอาหรับสปริงถือเป็นโอกาสที่จะสร้างพันธมิตรใหม่ในประเทศที่มีการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะกับตัวแสดงใหม่ที่ขึ้นมาเป็นรัฐบาลจากการเลือกตั้งที่เป็นฝ่ายนิยมแนวทางศาสนา ขณะเดียวกันอิหร่านก็พยายามรักษาอำนาจของพันธมิตรอย่างซีเรียเอาไว้

ลักษณะเช่นนี้จึงเท่ากับเป็นการสร้างสมรภูมิแข่งขันระหว่างซาอุฯ-อิหร่านอีกครั้ง ซึ่งทำให้อุณหภูมิการเมืองในตะวันออกกลางร้อนแรงยิ่งขึ้น

ความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศนี้จะเป็นไปอย่างไร และจะส่งผลกระทบต่อเอเชียและโลกมากน้อยแค่ไหนนับจากนี้ต่อไป คงต้องติดตามกันอย่างใกล้ชิดครับ

ทบทวนความสัมพันธ์ซาอุฯ-อิหร่าน(2)

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/detail/20160122/220953.html

การเมือง : ข่าวทั่วไป
วันศุกร์ที่ 22 มกราคม 2559
ทบทวนความสัมพันธ์ซาอุฯ-อิหร่าน(2)

ทบทวนความสัมพันธ์ซาอุฯ-อิหร่าน (2) : วิถีมุสลิมโลก ศราวุฒิ อารีย์

            สถานการณ์ร้อนในตะวันออกกลางที่เริ่มตั้งแต่สัปดาห์แรกของปีนี้คือกรณีที่ทางการซาอุดีอาระเบียลงโทษประหารชีวิตเชคนิมร์ อัล-นิมร์ นักการศาสนาชีอะฮ์วัย 56 ปีซึ่งซาอุดีอาระเบียเชื่อว่าเป็นกบฏต่อต้านรัฐบาล จนเหตุการณ์บานปลาย มีการบุกเผาสถานทูตซาอุดีอาระเบียในอิหร่านนำไปสู่การตัดสัมพันธ์ทางการทูตของซาอุดีอาระเบียต่ออิหร่านในท้ายที่สุด

ความจริงความขัดแย้งลักษณะนี้ไม่ใช่เกิดครั้งแรกระหว่าง 2 ประเทศนี้ เพราะในปี 1987 ก็เกิดเหตุการณ์สำคัญที่สะเทือนความสัมพันธ์ระหว่างซาอุฯ-อิหร่านมาครั้งครั้งหนึ่งแล้ว เป็นเหตุการณ์ที่เริ่มต้นจากการที่ผู้แสวงบุญชาวอิหร่านจัดขบวนชุมนุมทางการเมืองต่อต้านสหรัฐระหว่างประกอบพิธีฮัจญ์ ณ นครเมกกะจนเกิดการปะทะรุนแรงกับกองกำลังรักษาความมั่นคงของซาอุดีอาระเบีย นำไปสู่การนองเลือดซึ่งทำให้ผู้แสวงบุญชาวอิหร่านเสียชีวิตทันที 275 คน บาดเจ็บอีก 303 คน

ขณะที่เจ้าหน้าที่ความมั่นคงของซาอุดีอาระเบียก็เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนไม่น้อยเช่นกัน เหตุการณ์นี้สร้างความเกลียดชังและความหวาดระแวงซึ่งกันและกันเพิ่มมากขึ้น อันนำไปสู่การตัดความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกันในที่สุดเมื่อปี 1988 ขณะที่อิหร่านก็ประกาศคว่ำบาตรไม่ขอเข้าร่วมพิธีฮัจญ์ในซาอุดีอาระเบียอีกต่อไป

แม้สัมพันธภาพระหว่างซาอุฯ-อิหร่านจะไม่ถูกรื้อฟื้นขึ้นมาทันทีหลังสงคราม 8 ปีอิรัก-อิหร่าน (1980-1988) จบสิ้นลง แต่ในทศวรรษที่ 1990 ก็มีเหตุการณ์สำคัญหลายเหตุการณ์ที่ทำให้มหาอำนาจทั้ง 2 ประเทศต้องโน้มเอียงเข้าหากัน

เริ่มจากการที่กองกำลังอิรักเคลื่อนทัพไปบุกยึดคูเวตในปี 1990 ซึ่งเป็นการปรับเปลี่ยนความสัมพันธ์ของมหาอำนาจในภูมิภาคที่เป็นแบบสามเหลี่ยมอีกครั้ง เพราะสงครามอ่าวเปอร์เซียที่ตามมาหลังจากนั้นได้ทำให้ความขัดแย้งระหว่างซาอุฯ-อิหร่านคลายความตึงเครียดลง ต่างฝ่ายต่างต้องมาให้ความสนใจร่วมต่อปัญหาภัยคุกคามจากอิรักภายใต้ประธานาธิบดีซัดดัม

ความก้าวร้าวของซัดดัมได้นำทั้ง 2 ประเทศมาสู่เป้าหมายทางการเมืองร่วมกัน เนื่องจากอิหร่านยังฝังใจเจ็บอิรักจากการทำสงคราม 8 ปี ขณะที่ซาอุดีอาระเบียเองก็มองอิรักและพฤติกรรมการยึดครองคูเวตเป็นภัยคุกคามต่อราชวงศ์สะอูดมากกว่าภัยคุกคามที่มาจากอิหร่าน สุดท้ายความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างซาอุฯ-อิหร่านก็เปิดฉากขึ้นอีกครั้งในวันที่ 19 มีนาคม 1991

นอกจากนั้น เหตุผลด้านเศรษฐกิจยังเป็นอีกปัจจัยที่ดึง 2 ฝ่ายให้ต้องหันหน้าเข้าหากัน อิหร่านเริ่มเห็นความสำคัญของซาอุดีอาระเบียในฐานะ “พี่ใหญ่” ขององค์กรร่วมของประเทศผู้ผลิตน้ำมันเพื่อการส่งออก หรือโอเปก (Organization of the Petroleum Exporting Countries) เพราะเป็นหนทางในการร่วมมือเพิ่มการค้าและรายได้อันเกิดจากการขายน้ำมันในตลาดโลก เพื่อที่จะเอาเงินมาบูรณะฟื้นฟูประเทศอิหร่านหลังตกอยู่ในภาวะสงครามมานานหลายปีติดต่อกัน

ขณะที่ซาอุดีอาระเบียเองก็ต้องการรักษาภาพลักษณ์ในฐานะผู้พิทักษ์ศาสนสถานสำคัญทั้งสองของโลกมุสลิม โดยไม่ต้องการให้ชาติใดคว่ำบาตรพิธีฮัจญ์ ซึ่งเป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญของซาอุดีอาระเบียรองจากน้ำมัน ทั้งนี้อิหร่านในยุคนั้นถือเป็นประเทศที่ประชาชนมาทำฮัจญ์มากที่สุด ขณะที่ความรู้สึกว่าอิหร่านเป็นภัยคุกคามต่อกลุ่มประเทศอ่าวเปอร์เซียก็ลดน้อยลงตามลำดับ โดยเฉพาะหลังจากที่อิหร่านมีรัฐบาลชุดใหม่ภายใต้ผู้นำและนักการศาสนาสายปฏิรูป