เปิดใจ ‘ดาวน้อย’ เซตซีโร่ภาษีบุหรี่

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

01 ธันวาคม 2560 เวลา 09:19 น…. อ่านต่อได้ที่ : https://www.posttoday.com/analysis/interview/528235

เปิดใจ ‘ดาวน้อย’ เซตซีโร่ภาษีบุหรี่

โดย…เกียรติศักดิ์ ผิวเกลี้ยง

เพียงเวลาไม่กี่เดือนที่กระทรวงการคลังประกาศใช้อัตราภาษีสรรพสามิตบุหรี่ใหม่ ก็เกิดประเด็นใหม่เรื่องของผลกระทบของโรงงานยาสูบที่จะลำบากมากจากนโยบายดังกล่าว ซึ่งความเห็นได้แตกออกไปหลายเรื่องโดยเฉพาะการที่โรงงานยาสูบถูกตั้งคำถามในเรื่องของประสิทธิภาพและกลยุทธ์การตลาด จนกลายเป็นเรื่องที่จะต้องติดตามว่าปัญหานี้จะจบอย่างไร

ดาวน้อย สุทธินิภาพันธ์ ผู้อำนวยการโรงงานยาสูบ เปิดเผยกับ “โพสต์ทูเดย์” ว่า ข้อเสนอของโรงงานยาสูบเพื่อให้หยุดใช้กฎหมายภาษีสรรพสามิตใหม่สามารถเป็นไปได้ เพราะเป็นการให้ยกเลิกหรือระงับใช้กฎกระทรวงการคลังการกำหนดเก็บอัตราภาษีบุหรี่ใหม่ และกลับไปใช้อัตราภาษีเดิมก่อนกฎหมายใหม่มีผลบังคับใช้ จนกว่าคลังจะแก้ปัญหาการดัมพ์ราคาขายของบุหรี่ต่างประเทศให้ได้ก่อน

ทั้งนี้ ดาวน้อย กล่าวว่า การออกกฎหมายเก็บภาษีสรรพสามิตบุหรี่ใหม่มีจุดบกพร่องอยู่มาก เพราะในแง่ของการค้าเป็นไปไม่ได้ที่จะคิดตามหลักคณิตศาสตร์ว่าผู้ประกอบการจะเดินแถวตรง ตัวอย่าง บุหรี่กลุ่มบนกับกลุ่มล่างที่ขายราคา 95 บาท กับ 60 บาท กำไรเท่ากัน ก็ไม่มีผู้ประกอบการไปขายบุหรี่กลุ่มบนและลงมาขายกลุ่มล่าง

googletag.cmd.push(function() { googletag.display(‘div-gpt-ad-1511154358428-0’); });

นอกจากนี้ กรมสรรพสามิตไม่ได้มีมาตรการอะไรออกมาควบคู่กับการประกาศใช้อัตราภาษีบุหรี่ใหม่ ทำให้ตลาดบุหรี่รวนหมดเลย ขณะที่โรงงานยาสูบเป็นรัฐวิสาหกิจจากกระทรวงการคลัง มีกรรมการที่เป็นตัวแทนจากกระทรวงการคลัง 4 คน ก็สั่งให้โรงงานยาสูบทำตามกติกาหมด

ขณะที่บุหรี่ต่างประเทศที่เดิมอยู่กลุ่มบนราคาแพง แต่เมื่อใช้อัตราภาษีใหม่ก็มีการดัมพ์ราคาลงมาขายซองละไม่เกิน 60 บาท เพื่อเสียภาษี 40 บาท แทนที่กรมสรรพสามิตจะได้ภาษีมากขึ้นแต่กลับเป็นได้น้อยลง ตอนนี้สรรพสามิตก็รู้ปัญหาแล้วและพยายามจัดกลุ่มแต่ยังแก้ปัญหาการดัมพ์ราคาไม่ได้ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการออกกฎหมายไม่รอบคอบ

“ตอนนี้ได้ทำหนังสือถึงคลังและกรมสรรพสามิตให้เซตซีโร่ยกเลิกกฎกระทรวงและเก็บภาษีแบบเดิมไปพลางก่อน จนกว่ากรมสรรพสามิตจะทำให้เกิดความเป็นธรรมกับผู้ประกอบการได้ ซึ่งตอนนี้บุหรี่มี 3 กลุ่ม คือ ราคาถูก ราคากลาง และราคาแพง ซึ่งใครอยู่กลุ่มไหนก็ควรอยู่กลุ่มนั้นหลังจากใช้อัตราภาษีบุหรี่ใหม่ ซึ่งโรงงานยาสูบก็ทำเช่นนั้น แต่บุหรี่ต่างประเทศเล่นนอกกติกาและทำอะไรเขาไม่ได้ ถ้าข้อเสนอของโรงงานยาสูบไม่ได้รับการตอบสนอง โรงงานยาสูบคงขาดทุนอยู่ไม่ได้ เพราะโรงงานยาสูบไม่มีทางเลือกอื่น” ดาวน้อย กล่าว

ดาวน้อย กล่าวว่า ได้บอกกับกรมสรรพสามิตมาตลอดว่าโครงสร้างภาษีบุหรี่ใหม่ที่เก็บด้านปริมาณมวลละ 1.20 บาท และเก็บด้านราคาซองละไม่เกิน 60 บาท อัตรา 20% และซองเกิน 60 บาท อัตรา 40% ไม่ได้เป็นการช่วยโรงงานยาสูบ ที่ผ่านมาโรงงานยาสูบได้ทำหนังสือถึงกรมสรรพสามิตและนายกรัฐมนตรี บอกว่าไม่ต้องการแต้มต่อขอให้ทำตรงไปตรงมา

ที่ผ่านมาได้หารือกับกรมสรรพสามิตว่าหากจะแบ่งกลุ่มต้องกำหนดว่าใครอยู่กลุ่มไหนต้องอยู่กลุ่มนั้น และทางโรงงานยาสูบขอให้แบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ ราคาต่ำกว่า 50 บาท ราคา 50-100 บาท และราคาเกิน 100 บาท ซึ่งจะทำให้ไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบ แต่กรมสรรพสามิตไม่เห็นด้วยและไปออกแบบที่เป็นอยู่ปัจจุบัน ส่งผลให้ส่วนแบ่งการตลาดบุหรี่ของโรงงานยาสูบเดือน ต.ค. 2560 จากอยู่ที่ 80% เหลืออยู่ที่ 55%

ขณะเดียวกันโรงงานยาสูบยังมีหลักฐานผู้ค้าบุหรี่ต่างประเทศไปแจกทองให้กับตัวแทนจำหน่วย ซึ่งผิดกฎหมายก็ไม่เห็นกรมสรรพสามิตและกระทรวงสาธารณสุขดำเนินการเอาผิดแต่อย่างไร ทั้งที่โรงงานยาสูบได้แจ้งให้ทราบไปหมดแล้ว

ดาวน้อย กล่าวว่า การทำเรื่องที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เพื่อขอชดเชยผลกำไรที่หายไป เพราะถือว่าเป็นเรื่องที่เกิดความเสียหายกับโรงงานยาสูบแล้ว ในเดือน ก.ย. 2560 โรงงานยาสูบซื้อแสตมป์จากกรมสรรพสามิต 400 ล้านบาท จากเคยซื้อเดือนละ 4,000 ล้านบาท ทั้งที่โรงงานยาสูบอยากขายของแต่ไม่มีคนซื้อ นอกจากนี้โครงสร้างภาษีบุหรี่เก่าโรงงานยาสูบขายบุหรี่กำไรซองละ 7 บาท แต่โครงสร้างภาษีบุหรี่ใหม่กำไรเหลือไม่ถึง 1 บาท

ทั้งนี้ โครงสร้างภาษีบุหรี่ใหม่ทำให้การเสียภาษีเพิ่มมากขึ้น โดยบุหรี่ราคาซองละไม่เกิน 60 บาท ต้องเสียภาษีซองละ 47 บาท ค่าการตลาดอีก 5 บาท ค่าขนส่งอีก 1 บาท ค่าบริหารจัดการอีก 6 บาท จะเหลือกำไรซองละไม่ถึง 1 บาท จากเดิมกำไรเฉลี่ยซองละกว่า 7 บาท

ผู้อำนวยการโรงงานยาสูบ ระบุว่า กระทรวงการคลังให้โรงงานปรับกลยุทธ์การขายแต่ทำได้ยาก เพราะถูกบังคับโดยโครงสร้างภาษีบุหรี่ใหม่ เหมือนกับบังคับให้โรงงานยาสูบซึ่งเป็นมวยรุ่นเล็กไปชกกับมวยรุ่นใหญ่ที่เป็นบุหรี่ต่างประเทศ เหมือนกับการตัดแขนตัดขาโรงงานยาสูบและจะให้ไปสู้กับคนที่รัฐบาลเอาอาวุธไปให้ ซึ่งบุหรี่ต่างประเทศที่เป็นแบรนด์ใหญ่ที่วันนี้เขาตีปี๊บเลย เพราะหลังจากเขาได้ส่วนแบ่งการตลาดจากโรงงานยาสูบไปแล้ว ต่อไปเขาจะปู้ยี่ปู้ยำอุตสาหกรรมยาสูบในประเทศอย่างไรก็ได้ วันนี้บุหรี่ต่างประเทศไม่ต้องสนใจกำไรก็ได้ เพราะที่ผ่านมาเขาพยายามช่วงชิงส่วนแบ่งการตลาดมาตลอด

 

ฟ้าหลังฝน “อัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์” ความในใจของคนสวนกระแสครูจอมทรัพย์

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

28 พฤศจิกายน 2560 เวลา 19:30 น…. อ่านต่อได้ที่ : https://www.posttoday.com/analysis/interview/527725

ฟ้าหลังฝน "อัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์" ความในใจของคนสวนกระแสครูจอมทรัพย์

โดย…วรรณโชค ไชยสะอาด

“อัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์” ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรมไม่เคยลืมช่วงเวลาเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา หลังสวนกระแสในคดีครูจอมทรัพย์ ผู้ต้องหาในคดีขับรถชนคนตาย โดยประกาศอย่างมั่นใจว่าอดีตข้าราชการครูไม่ใช่แพะเหมือนที่ทุกคนพากันดราม่า จนได้รับแรงกระเเทกจากเสียงด่าทอและโจมตีชนิดสาดเสียเทเสีย

เหมือนฟ้าหลังฝน ผ่านไป 10 เดือน ศาลตัดสินยกคำร้องขอรื้อฟื้นคดีของครูจอมทรัพย์ ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจเดินหน้าฟ้องร้องเอาผิดกับผู้ที่เกี่ยวข้องอย่างหนัก โดยผู้ต้องหารายสำคัญรับสภาพแล้วว่าเรื่องทั้งหมดเป็นเพียงการจัดฉาก ขณะที่ครูจอมทรัพย์เองอยู่ระหว่างถูกฝากขังและห้ามประกันตัว

“เหมือนได้ปลดปล่อย ก่อนหน้านี้เราตกเป็นจำเลยของศาลเฟซบุ๊ก หนักและบอบช้ำอย่างแสนสาหัส วันนี้เราได้พิสูจน์แล้วว่าสิ่งที่พูดเอาไว้เมื่อ 10 เดือนก่อนนั้นเป็นความจริง”ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรมเล่าถึงวันที่ได้ยินศาลอ่านคำพิพากษาเมื่อวันที่ 17 พ.ย. ที่ผ่านมา

googletag.cmd.push(function() { googletag.display(‘div-gpt-ad-1511154358428-0’); });

10 เดือนแห่งความบอบช้ำ

กว่า 10 เดือนที่ชีวิตประจำวันของอัจฉริยะต้องเผชิญหน้ากับความกดดันทั้งในโลกออนไลน์และในชีวิตจริง จากอดีตที่เคยโพสต์เฟซบุ๊กแล้วเต็มไปด้วยความคิดเห็นเชิงยกย่องชื่นชม กลับกลายเป็นถูกด่าทอด้วยข้อความหยาบคาย บ้างสาปแช่งให้ตกนรก บ้างสร้างเรื่องโกหกขึ้นมาดิสเครดิตโดยไร้หลักฐาน เมื่อออกไปในที่สาธารณะก็เจอแต่สายตาดูถูกเหยียดหยาม

“นักข่าวไร้จรรยาบรรณ เพจต่างๆ บางเพจโนเนมได้โอกาสเกาะกระแส กลุ่มมิจฉาชีพพากันรุมกระหน่ำ พยายามหาจุดอ่อนทุกรูปแบบมาโจมตีและดิสเครดิต ใส่ร้ายทั้งที่ไม่มีหลักฐานเพื่อทำให้เราหมดความน่าเชื่อถือ ไม่ให้กลับมามีที่ยืนในสังคม”

“เราคิดไม่ถึง มีทั้งด่าต่อหน้า ถ่มน้ำลายใส่ตอนที่เดินผ่าน เจอมาหมด บางทีเราไม่กล้าไปไหนเพราะอาย รู้สึกเป็นคนแปลก ตัวประหลาด ถูกมองด้วยสายตาเหยียดหยาม จนเรารู้สึกได้ มันเหมือนเราเป็นคนเลวเลยจริงๆ นะ ผมบอกเลยว่าเจ็บปวดทรมานมาก”

สิ่งที่ทำให้อัจฉริยะรู้สึกเจ็บปวดมากที่สุดถึงขั้นเสียน้ำตา คือการด่าทอลูกสาวและคนในครอบครัว

“ผมรับไม่ได้กับการหยิบรูปลูกเราขึ้นมาด่า ทำให้ลูกเราอับอายไม่กล้าไปโรงเรียน สงสารลูกมาก ร้องไห้กับลูกอยู่หลายวัน ร้องเพราะลูกๆ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ทำไมต้องเอาลูกมาเล่น ถ้าทำลายผมคนเดียว ไม่ว่า แต่นี่ไม่ใช่ ลูกเป็นเด็กผู้หญิงด้วย ถูกเพื่อนล้อและรู้สึกอับอายมาก”อัจริยะเล่าถึงความบอบช้ำเมื่อครั้งอารมณ์ของผู้คนในสังคมอยู่เหนือเหตุผลและข้อเท็จจริง ซึ่งสุดท้ายเขาสามารถทำความเข้าใจกับลูกได้สำเร็จ

“สิ่งที่พ่อทำเป็นสิ่งที่ถูกต้องและลูกต้องอดทน เพราะถ้าลูกอาย ต้องอายตลอดชีวิต จะหนีไม่ไปโรงเรียนก็ต้องหนีไปตลอดชีวิต ผมเอาหลักฐานให้ลูกดูและอธิบายจนเข้าใจ”

ชายวัย 50 ปี เล่าว่า ท่ามกลางกระแสโจมตีอย่างหนักสิ่งที่เขายึดมั่นคือ “ความจริง” ที่แม้จะช้าแต่จำเป็นต้องอดทน

“ที่ผ่านมาเหมือนตกนรกทั้งเป็น เฝ้ารอว่าเมื่อไหร่ศาลจะอ่านคำพิพากษาเสียที เราจะได้พิสูจน์ให้สังคมเห็นว่าทั้งหมดเป็นเรื่องจริง”

ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรมบอกด้วยว่า ในอดีตมีทนายความรายหนึ่งโทรมาด่าและท้าว่า ถ้าครูจอมทรัพย์เป็นแพะ เขาต้องเอาหัวโขกกำแพงจนเลือดออกพร้อมกับถ่ายคลิปมาให้ดู แต่หากเป็นแกะจะขอลาออกจากการเป็นทนายความ ซึ่งสุดท้ายทนายความรายนั้นก็ไม่ได้รับผิดชอบคำพูดแต่อย่างใด

บทเรียนสังคมไทย เหตุผลเป็นสิ่งสำคัญ อย่าตัดสินจากกระแส

ปฏิเสธไม่ได้ว่าปัจจุบันโซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะเฟซบุ๊กได้กลายเป็นพื้นที่ในการแสดงความคิดเห็นวิพากษ์วิจารณ์ เรื่องบางเรื่องหลายครั้งมักถูกตัดสินจากกระแสสังคมในขณะนั้น แม้ที่ผ่านมาจะมีบทเรียนจากความผิดพลาดเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า แต่การแสดงความคิดเห็นอย่างรุนแรงด้วยอารมณ์และความรู้สึกยังเกิดขึ้นเสมอ

“สังคมไทยสมัยนี้มีศาลเฟซบุ๊กในการพิจารณาพิพากษา บทเรียนที่สังคมได้รับคือ ควรจะฟังหูไว้หูก่อน นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ตัดสินทั้งที่ยังไม่ทราบข้อเท็จจริงทั้งหมด ก่อนหน้านี้มีน้องคนหนึ่งใส่รองเท้าขาดขึ้นรถไฟฟ้า จนถูกหญิงสาวกล่าวหาว่าติดกล้องแอบถ่ายเอาไว้ กว่าจะพิสูจน์ว่าเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ก็แทบจะไม่มีแผ่นดินอยู่แล้ว”

“ผมว่าทุกอย่างต้องตรวจสอบก่อนไม่ใช่แค่คิด 30 วินาทีแล้วอยากจะโพสต์ สิ่งที่โพสต์ไปอาจกำลังทำลายชีวิตของคนๆ หนึ่งเลยก็ได้”

ผลของคดีนี้ไม่ใช่แค่คนที่เผชิญหน้ากับปัญหาโดยตรงเท่านั้นที่ได้รับบทเรียน แต่ยังรวมไปถึงทุกคนในสังคมไม่เว้นแม้กระทั่งสื่อและเจ้าหน้าที่รัฐ

ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรมบอกว่า กระบวนการยุติธรรมนั้นถูกดำเนินการด้วยมนุษย์ จึงมีโอกาสเกิดความผิดพลาดได้ อย่างไรก็ตามเมื่อมีข้อผิดพลาดและตรวจสอบพบเจอ รัฐต้องเป็นฝ่ายเยียวยา หาเหตุผลมารองรับ ไม่ใช่เร่งชี้นำหรือสนับสนุนความเชื่อในลักษณะที่ว่า “คนนี้เป็นแพะอย่างแน่นอน” เช่นกันกับสื่อมวลชนที่ไม่ควรให้น้ำหนักกับความดราม่าเกินกว่าข้อเท็จจริง

“คดีนี้ดังเพราะเกิดจากสื่อแห่งหนึ่งต้องการเรตติ้งเพื่อให้ตัวเอง รายงานในลักษณะชี้นำ ครูจอมทรัพย์เลยสร้างดราม่าได้ต่อเนื่อง ทำให้สังคมเกิดความเชื่อ สุดท้ายกระทรวงยุติธรรรมดันมารับรองด้วยว่าเขาเป็นแพะ ทำทีเหมือนสนับสนุนจนกลายเป็นเครื่องมือของกระบวนการรับจ้างติดคุก”

อัจริยะบอกว่า คดีดังกล่าวเป็นบทเรียนชั้นดีของการใช้อำนาจรัฐ งบประมาณแผ่นดินไปช่วยเหลือคนกระทำผิดกฎหมาย โดยมองข้ามการทำงานของหน่วยงานอื่นในกระบวนการยุติธรรมไม่ว่าจะเป็นตำรวจ อัยการหรือแม้กระทั่งศาล

เมื่อถามว่าครูจอมทรัพย์จะรื้อฟื้นคดีไปเพื่ออะไร อัจริยะตอบทันที

“หนึ่ง ล้างมลทิน สอง มุ่งหวังเงินเดือนย้อนหลัง ถ้าได้กลับไปรับราชการ รวมถึงยังได้เงินบำเหน็จ-บำนาญตลอดชีวิต สาม เงินจากมูลนิธิ-องค์กรต่างๆ ในการเยียวยา สี่ เงินจากกองทุนกระทรวงยุติธรรม และห้า เงินจากการฟ้องละเมิดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จอมทรัพย์มั่นใจว่าจะสำเร็จ พูดง่ายๆ ไม่คิดว่าจะมีวันนี้”

กระบวนการรับจ้างติดคุกแทนนั้นเขาบอกว่ามีมานานกว่า 10 ปี โดยเฉพาะในคดีการพนัน ซึ่งจะสำเร็จหรือไม่ขึ้นอยู่กับเจ้าหน้าที่รัฐและจำนวนเงิน นอกจากนั้นปัจจุบันยังมีเบาะแสเรื่องกระบวนการรับจ้างรื้อฟื้นคดีของหน่วยงานรัฐ โดยใช้งบประมาณแผ่นดินเป็นตัวขับเคลื่อนอีกด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่สังคมต้องจับตา

ช่วยเหลือเหยื่อ-แบ่งเบาภาระตำรวจ

ผลกระทบจากคดีสุดดราม่าครั้งนี้ทำให้อัจฉริยะในฐานะประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ตัดสินใจปรับเปลี่ยนบทบาทในการทำงาน เลือกให้น้ำหนักมากขึ้นกับการร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจจัดการมิจฉาชีพ โดยจะช่วยแบ่งเบาภาระตามช่องทางและโอกาสที่ประชาชนสามารถทำได้

“เราได้เรียนรู้อะไรมหาศาล สิ่งที่ตั้งใจไว้ตอนแรกคือการช่วยเหลือประชาชนเรียกร้องความเป็นธรรมจากการโดนเอาเปรียบ ต้องทบทวนอย่างหนัก เพราะสังคมเปลี่ยนไปมาก คนที่มาร้องให้เราช่วยส่วนใหญ่เอาผลประโยชน์ของตนเองเป็นตัวตั้ง มีหลายครั้งไม่ใช่เรื่องจริง นโยบายใหม่ที่เราจะทำคือร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ในการปราบปรามมิจฉาชีพ”

อย่างไรก็ตามชมรมฯ ยังยินดีช่วยเหลือผู้บริสุทธิ์ที่ถูกเอาเปรียบไม่ได้รับความเป็นธรรม เช่นกันกับการปราบปรามอำนาจทุจริตของเจ้าหน้าที่รัฐเช่นเดิม

อัจริยะเข้าใจดีว่าต้องใช้เวลาอีกสักระยะหรืออาจจะเนิ่นนานเพื่อให้คนกลับมาเชื่อมั่นในสิ่งที่ชมรมฯ ทำ

“วันนี้คนยังไม่ยอมรับเท่าไหร่หรอก อย่าลืมว่าการเอาชื่อเสียงกลับมานั้นไม่ง่ายต่างกับตอนที่เราถูกทำลาย แค่ 1 ชั่วโมงเราก็พังแล้ว แต่อย่างน้อยที่สุดผมดีใจที่วันนี้ลูกเรามองหน้าคนอื่นได้อย่างภาคภูมิใจว่าสิ่งที่พ่อทำไม่ใช่เรื่องเท็จ” เขาทิ้งท้าย

 

เลือกตั้งท้องถิ่น อุ่นเครื่องการเมือง-จุดกระแสปฏิรูป

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

26 พฤศจิกายน 2560 เวลา 08:17 น…. อ่านต่อได้ที่ : https://www.posttoday.com/analysis/interview/527320

เลือกตั้งท้องถิ่น อุ่นเครื่องการเมือง-จุดกระแสปฏิรูป

โดย…กนกพรรณ บุญคง, ไพบูลย์ กระจ่างวุฒิชัย

ปี่กลองการเมืองเริ่มกลับมาคึกคักอีกครั้ง ภายหลังรัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เตรียมให้ประเทศมีการเลือกตั้งในปี 2561 แม้จะเป็นเพียงแค่การเลือกตั้งผู้บริหารท้องถิ่นแต่ก็นับว่ามีนัยทางการเมืองไม่น้อยกับการที่ คสช.ยอมคืนอำนาจให้กับประชาชนในส่วนหนึ่ง

ความคืบหน้าในเรื่องนี้รัฐบาลได้เรียกประชุมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงมหาดไทย สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา คณะกรรมการการเลือกตั้ง และคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) โดยได้สรุปเบื้องต้นว่าจะดำเนินการแก้ไขกฎหมายที่จำเป็นต่อการเลือกตั้งท้องถิ่นจำนวน 6 ฉบับ

ชาติชาย ณ เชียงใหม่ กรรมการ กรธ.ในฐานะตัวแทนของ กรธ.ที่เข้าร่วมประชุมเรื่องดังกล่าว ได้ให้โอกาสโพสต์ทูเดย์สัมภาษณ์พิเศษถึงความสำคัญของการเลือกตั้งท้องถิ่น ซึ่งไม่ได้เป็นแค่การหย่อนบัตรเลือกตั้งลงในหีบเท่านั้น แต่หมายถึงการแสดงออกของประชาชนที่อาจจะมีต่อการเลือกตั้ง สส.ในอนาคตด้วย

googletag.cmd.push(function() { googletag.display(‘div-gpt-ad-1511154358428-0’); });

อาจารย์ชาติชาย เริ่มอธิบายว่า การริเริ่มที่จะให้มีการเลือกตั้งท้องถิ่นนั้นมาจากเหตุผลในหลายๆ ด้าน เช่น การประกาศเตรียมการเลือกตั้ง สส.ในปีหน้า จนกระทั่งเกิดกระแสเรียกร้องให้พรรคการเมืองสามารถทำกิจกรรมทางการเมืองบางประการเพื่อให้สอดคล้องกับกฎหมายฉบับใหม่ หรือแม้แต่ความพยายามในการปฏิรูปท้องถิ่น ส่วนตัวจึงมองว่าปัจจัยเหล่านี้เป็นสาเหตุที่ทำให้มาคิดกันว่าควรจะมีการเลือกตั้งท้องถิ่น แต่ทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับ คสช.ว่าจะตัดสินใจให้เลือกตั้ง สส.หรือเลือกตั้งท้องถิ่นก่อนอย่างไร อย่างไรก็ตาม การประชุมร่วมกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็เห็นตรงกันว่าต้องมีการแก้ไขกฎหมายท้องถิ่นให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญฉบับใหม่

“ความมุ่งหมายของรัฐธรรมนูญ ทั้งในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการปกครองท้องถิ่น และการเข้าสู่อำนาจรัฐของผู้ที่จะเป็น สส. สว. วางหลักไว้ว่าจะต้องเข้มงวด จะต้องได้คนที่มีประวัติสะอาด ต้องเป็นคนที่เชื่อถือได้ว่าเมื่อเข้ามาแล้ว จะใช้อำนาจรัฐไปในทางที่ถูกที่ควร และสร้างประโยชน์ให้บ้านให้เมือง แล้วก็วางกำหนดโทษไว้ด้วย ถ้าใครมาแล้วทำไม่ถูกไม่ต้อง ทุจริตต่อหน้าที่ หรือทุจริตเรื่องคอร์รัปชั่น ก็ต้องถูกลงโทษอย่างรุนแรง อันนี้ได้วางหลักไว้แล้วเป็นพื้นฐาน”

กรรมการ กรธ.ระบุถึงกฎหมายที่ต้องดำเนินการแก้ไข ว่า ที่ต้องแก้ไขแน่นอน คือ พ.ร.บ.การเลือกตั้งผู้บริหารและสมาชิกผู้แทนท้องถิ่น พ.ศ. 2545 ซึ่งกฎหมายเลือกตั้งท้องถิ่นฉบับนี้เป็นกฎหมายกลาง และต้องแก้ไข 3 จุด ได้แก่ 1.สิทธิของผู้ที่จะไปออกเสียงเลือกตั้งในระดับท้องถิ่น โดยพิจารณาว่ามันมีเรื่องอะไรที่ยังไม่ครบถ้วนตามที่รัฐธรรมนูญได้กำหนดไว้ 2.ลักษณะต้องห้ามของคนที่จะมาลงสมัครรับเลือกตั้งในระดับท้องถิ่น ไม่ว่าจะมาสมัครเป็นนายกเทศมนตรี หรือจะสมัครเป็นสมาชิกสภาท้องถิ่นใดๆ ก็ตาม และ 3.บทกำหนดโทษสำหรับผู้กระทำผิด

“สาเหตุที่ต้องแก้ไข 3 เรื่องนี้ เพราะว่าในบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ฉบับปัจจุบัน มาตรา 252 วรรค 3 เขียนไว้ว่า การเลือกตั้งระดับท้องถิ่น ผู้ได้มาซึ่งผู้บริหารท้องถิ่นและสมาชิกสภาท้องถิ่น ให้เป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติ และให้คำนึงถึงเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ทำให้ต้องมาพิจารณาเรื่องคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้ที่จะมาลงสมัครเป็นผู้บริหารท้องถิ่นเข้มงวดมากขึ้น”

“เราจะใช้มาตรฐานของคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้สมัคร สส.มาเป็นตัวตั้งในการกำหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้ที่ลงสมัครเป็นผู้บริหารท้องถิ่น เพื่อให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ มาตรา 98 เพราะฉะนั้นคนที่จะลงรับสมัครเลือกตั้งท้องถิ่นต่อไปนี้ แต่เดิมอาจจะมีลักษณะต้องห้ามแค่ 4-5 ข้อ แต่เดี๋ยวนี้ปาไป 17-18 ข้อแหละ เยอะขึ้น คือคุมเข้ม ไม่สะอาดจริงๆ มีความด่างพร้อยจะมาลงสมัครไม่ได้”

“เอา สส.เป็นตัวตั้ง ก็เพราะรัฐธรรมนูญให้คำนึงถึงเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญที่ต้องการป้องกันและปราบปรามการทุจริต สิ่งนี้กฎหมายรัฐธรรมนูญไปใส่ใน สส.ไว้แล้ว ดังนั้น จึงต้องเอามาตรา 98 เป็นแม่ และเอามาเขียนลงในกฎหมายเลือกตั้งท้องถิ่นให้มันสอดคล้องกัน”

“ถ้าผู้บริหารท้องถิ่นปฏิบัติทุจริตต่อหน้าที่ ประพฤติผิดต่อหน้าที่ ละเลยไม่ปฏิบัติต่อหน้าที่ ก็ต้องให้มีกลไกที่จะเข้าไปจัดการให้เขา หรือในส่วนว่าด้วยเรื่องของการถูกให้สั่งพ้นจากหน้าที่โดยเหตุทำงานหรือใช้อำนาจไปในทางที่ไม่ชอบ ก็ต้องไปสร้างกลไก ซึ่งอาจจะให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเข้ามามีบทบาทในการตรวจสอบมากขึ้น เพื่อให้ทันสถานการณ์ จากเดิมที่มีขั้นตอนตรวจสอบค่อนข้างจะยืดยาว”

อาจารย์ชาติชาย สรุปในเบื้องต้นว่า เมื่อเห็นตรงกันในเรื่องหลักการและประเด็นที่ต้องแก้ไขแล้ว จากนั้นจะเป็นหน้าที่ของกระทรวงมหาดไทย กกต.และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา มาดำเนินการจัดทำกฎหมายด้วยกัน และส่งมาให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)

“นี่คือสิ่งที่ต้องไปปรับแก้ ถ้าแก้พวกนี้เสร็จสรรพ จะเลือกตั้งท้องถิ่นก็เลือกได้แล้ว แต่ก็อยู่ที่ คสช. รัฐบาล จะให้เลือกเมื่อไหร่ ถ้าจำได้ไม่ผิด กระบวนการทางฝ่ายบริหารในเรื่องนี้ ก็น่าจะแล้วเสร็จภายในเดือน ธ.ค.นี้ นั่นก็หมายถึงว่าเดือน ม.ค.ก็คงมาที่ สนช. คราวนี้ก็อยู่ที่นโยบายของ คสช.และรัฐบาลว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป”

ขณะเดียวกัน ในมุมมองของอาจารย์ชาติชาย ยังคิดว่า การเลือกตั้งท้องถิ่นน่าจะเป็นอุ่นเครื่องก่อนการเลือกตั้ง สส.ที่จะมีขึ้นในอนาคต แต่ไม่อาจเป็นการวัดกระแสความนิยมของพรรคการเมืองได้ทั้งหมด

“แน่นอนว่ามีการเลือกตั้งท้องถิ่น ปี่กลองมันก็จะขึ้น มันก็จะเกิดคึกคัก คนที่อยากจะลงสมัครก็ต้องเดินสายพูดคุยล่ะ คสช.เองก็ต้องอนุโลมเปิดโอกาสประชุมทางการเมือง ทำกิจกรรมได้ มันก็จะค่อยๆ สร้างบรรยากาศขึ้น ก็เหมือนอุ่นเครื่องอย่างที่บอก เพราะจะได้เกิดความเข้าใจว่า รัฐธรรมนูญเขียนไว้ว่าอะไร กฎหมายเลือกตั้งใหม่เขียนไว้ว่าอะไร ประชาชนก็จะรู้ สื่อมวลชนก็จะลงข่าวให้ เท่ากับว่าเป็นการสร้างการศึกษาทางการเมืองอีกครั้งหนึ่งให้คนเห็น”

“แต่จะมีผลต่อคะแนนพรรคการเมืองหรือไม่นั้นก็อาจจะมี อาจจะเป็นไปได้ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะมีผลวัดได้มากน้อยแค่ไหนนะ แต่ว่าบ้านเราไปทำให้เครือข่ายการเมืองระดับท้องถิ่น ตั้งแต่ระดับ อบต. เทศบาล อบจ. และระดับ สส. สว.กลายเป็นเนื้อเดียวกันไปหมด กลายเป็นท่อเดียวกันหมด”

“เมื่อมีรัฐธรรมนูญใหม่แล้ว ประชาชนก็ยังหวังอยากจะเห็นว่าคนรุ่นใหม่ กลุ่มรุ่นใหม่ออกมาบ้าง อยากได้นักแสดงหน้าใหม่มาบ้าง กติกาก็มีให้ใหม่แล้ว คนที่สนใจการเมืองเขาก็อยากที่จะเห็นอะไรที่ใหม่ๆ ผมก็เข้าใจว่าพรรคการเมืองส่วนใหญ่ ก็คิดอยู่เหมือนกันมั้งว่าจะทำอะไรใหม่ๆ อยู่เหมือนกัน”

ในช่วงท้ายของการสนทนา อาจารย์ชาติชาย บอกว่า จะเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิรูปท้องถิ่นในเชิงโครงสร้างตามรัฐธรรมนูญด้วย แต่จะดำเนินการก่อนหรือหลังการเลือกตั้งท้องถิ่นจะต้องมาพิจารณาถึงความเหมาะสมและความพร้อมของแต่ละพื้นที่อีกครั้ง

“อยู่ที่เรื่องเวลาและความพร้อม เพราะการแก้กฎหมายเลือกตั้งท้องถิ่นมีไม่กี่เรื่อง เพียงแต่การยุบรวมส่วนท้องถิ่นเข้าด้วยกัน จะต้องสอบถามความคิดเห็น หรืออาจเลือกตั้งไปก่อน แล้วค่อยแก้ไขและปรับโครงสร้างในอนาคต”

สุดท้าย อาจารย์ชาติชาย สรุปว่า การจะปฏิรูปท้องถิ่นก็จะต้องทำอย่างไร เพื่อไม่ให้การเมืองระดับชาติเข้ามามีบทบาทในการเมืองระดับท้องถิ่น

“ที่จริงหลักการเก่าผมว่าดีในฐานะนักเรียนเก่ารัฐศาสตร์ เพราะว่าในเรื่องท้องถิ่นมันเรื่องเป็นการจัดการปัญหาแต่ละท้องที่ มันเป็นเรื่องของการเห็นอกเห็นใจกัน ช่วยเหลือกันอะไรกัน คือ มันมีมิติของการประนอมอำนาจ

“ดังนั้น ความเห็นผม ควรที่จะพยายามทำให้การเมืองระดับท้องถิ่นไม่เหมือนการเมืองระดับชาติ ไม่เหมือนในความหมายที่ว่าต้องโยงพรรคนั้นพรรคนี้ และไม่เหมือนในรูปแบบขององค์การบริหารงานหรือการดูแลกัน เพราะน่าจะมีพื้นที่ให้ประชาชนมีส่วนร่วมจัดการตัวเองได้มากที่สุด”อาจารย์ชาติชาย สรุป

 

ปฏิรูปทุจริตจับปลาใหญ่ นักการเมืองโกงห้ามประกัน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

19 พฤศจิกายน 2560 เวลา 08:26 น….. อ่านต่อได้ที่ : https://www.posttoday.com/analysis/interview/526054

ปฏิรูปทุจริตจับปลาใหญ่ นักการเมืองโกงห้ามประกัน

โดย…ปริญญา ชูเลขา

ในช่วงเวลานี้ คณะกรรมการปฏิรูป 11 ด้าน กำลังทำงานกันอย่างขะมักเขม้น เพื่อให้ได้ข้อสรุปแนวทางการปฏิรูปประเทศให้เป็นรูปธรรมโดยเร็ว เพื่อให้ทันก่อนจะมีการเลือกตั้งในเดือน พ.ย. 2561 และหนึ่งในนั้นคือคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ หรือชุดปราบโกงที่มี ปานเทพ กล้าณรงค์ราญ เป็นประธาน

ทั้งนี้ ผลงานแนวทางข้อเสนอของคณะกรรมการดังกล่าว พล.อ.อ.วีรวิท คงศักดิ์ ในฐานะกรรมการ ได้เปิดเผยกับโพสต์ทูเดย์ถึงข้อสรุปเบื้องต้นเกี่ยวกับแผนปฏิบัติการปราบโกงต่อนักการเมืองและข้าราชการ โดยมีสาระที่น่าสนใจดังนี้

พล.อ.อ.วีรวิท บอกว่า ผลงานการทำงานด้านปราบทุจริตแบ่งได้ 2 ส่วน คือ กฎหมายที่ผลิตออกไปแล้ว 3 ฉบับ คือ พ.ร.บ.การอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ. … พ.ร.บ.จัดตั้งศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ. … และ พ.ร.บ.การจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 ที่ได้มีการยกระดับวิธีการป้องกันและป้องปรามการทุจริตในภาครัฐให้เข้มข้นมากขึ้น

googletag.cmd.push(function() { googletag.display(‘div-gpt-ad-1511154358428-0’); });

นอกจากนี้ อีก 3 ฉบับกำลังดำเนินการ อาทิ ร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลและประโยชน์ส่วนรวม พ.ศ. … อยู่ในชั้นกรรมาธิการกำลังพิจารณา ร่าง พ.ร.บ.มาตรการติดตามทรัพย์สินของรัฐคืนจากการเอาไปโดยมิชอบ อยู่ในชั้นการพิจารณาของกฤษฎีกา และร่างปรับปรุงกฎหมายการเปิดเผยข้อมูลสาร ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของสำนักนายกรัฐมนตรี

นอกจากนี้ ได้มีกำหนดมาตรการคุมเข้มแบบรอบด้าน เพื่อ “ป้องกัน-ป้องปราบ-ปราบปราม” โดยการป้องกัน จะเน้นการเฝ้าระวังโดยเป็นไปตามมาตรา 63 ของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ขณะนี้อยู่ระหว่างการแก้ไขปรับปรุงโดยคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ที่ต้องการเห็นการทำงานของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เข้มงวดขึ้น

ทั้งนี้ ต้องสนับสนุนการรวมตัวของภาคประชาชนเป็นเครือข่ายเฝ้าระวังคอยสอดส่องดูแลช่วยงานภาครัฐกล่าวคือ 1.ให้ความรู้แก่ประชาชนถึงกลโกง เพราะการจับคนโกงติดคุกเพียงอย่างเดียวไม่พอ ในการป้องกัน จำเป็นต้องให้ความรู้แก่ประชาชนว่าเจ้าหน้าที่รัฐ หรือนักการเมือง มีวิธีโกงอย่างไร เพื่อให้ประชาชนได้รู้เท่าทัน

2.การรณรงค์และเผยแพร่ความรู้ผ่านงานวิจัย หรืองานรณรงค์ เช่น พิพิธภัณฑ์ต้านโกง หรือโครงการโตไปไม่โกง เป็นต้น ที่จะขยายไปทั่วทุกพื้นที่ เพื่อสร้างความตระหนักรู้แก่ประชาชนโดยมีเป้าหมายสำคัญ คือ จากนี้ไปต้องไม่ทนต่อการทุจริต รวมถึงต้องรังเกียจที่จะนำไปสู่การใช้มาตรการทางสังคมกดดันคนที่ทุจริตให้อยู่ในสังคมไม่ได้

ประเด็นที่ 3 ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญมาตรา 63 สนับสนุนให้ประชาชนได้แจ้งเบาะแสหากพบการทุจริต รวมถึงส่งเสริมการรวมกลุ่มตั้งแต่ 15 คนขึ้นไป เพื่อเป็นเครือข่ายเฝ้าระวัง โดยที่ประชาชนไม่ต้องกังวลอีกต่อไป เพราะระบบใหม่จะดูแลคุ้มครองพยาน ปกปิดชื่อ ไม่ให้เกิดการฟ้องกลับหรือได้รับอันตรายจากกลุ่มผู้มีอิทธิพล

สำหรับมาตรการป้องปราม แนวทางปฏิบัติสำคัญ คือ หน่วยงานราชการต้องปฏิรูปตัวเองไม่ให้เกิดการทุจริตแนวคิดต่อยอดจากคำสั่ง คสช.69/2557 การสร้างกลไกบังคับให้ภาครัฐต้องเข้มงวดเรื่องการป้องปราบการทุจริตไม่ให้เกิดขึ้นภายในองค์กรตัวเอง โดยมีหัวหน้าส่วนราชการต้องมีบทบาทสำคัญ ที่ต้องรับผิดชอบในการสร้างความโปร่งใสและธรรมาภิบาลภายในองค์กร

ทั้งนี้ รวมถึงมีบทบาทสืบสวนสอบสวนข้อเท็จจริงถึงพฤติกรรมของลูกน้องและประเมินผลงานด้วยการนำระบบการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ ของ ป.ป.ช.มาใช้เป็นตัวชี้วัดประเมินผลการแต่งตั้งโยกย้าย หรือย้ายออกจากตำแหน่ง ที่ต้องได้รับการประเมินแบบเปอร์เซ็นต์ที่ต้องได้คะแนนเกิน 75-80% อาทิ ความโปร่งใสความรับผิดชอบ ปลอดทุจริต วัฒนธรรมองค์กร และคุณธรรม เบื้องต้นให้ทุกหน่วยงานจัดทำมาตรฐานกลางในการบริหารงานบุคคล สิ่งที่คาดหวัง คือ ต้องการให้คนดีคนเก่งเข้าสู่ระบบทำงานราชการมากขึ้น

นอกจากนี้ การดำเนินการทางวินัยต่อข้าราชการที่กระทำผิดต้องมีมาตรฐานเดียวกัน ตั้งแต่กระบวนการสอบสวนข้อเท็จจริงต้องแล้วเสร็จภายใน 30 วัน หรือ 60 วัน ก่อนจะส่งเรื่องต่อให้ ป.ป.ช.หรือคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) ดำเนินการต่อไป และส่วนราชการต้องมีการประชุมทุกเดือนเพื่อประเมินความเสี่ยงเพื่อไม่ให้เกิดการรับสินบนใต้โต๊ะ หรือจะมีการออกประกาศใหม่ๆ เพื่อป้องกันความเสี่ยง

อีกทั้งจะมีการนำระบบ COST (Construction Sector Transparency Initiative) หรือโครงการความโปร่งใสในการก่อสร้างภาครัฐ และ 2.IP (Integrity Pact) หรือข้อตกลงคุณธรรม ทั้งสองมาตรการเน้นการเปิดเผยข้อมูลกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างและการก่อสร้างโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ของภาครัฐ โดยเฉพาะโครงการที่มูลค่าเกินพันล้านบาท เพื่อให้ผู้เชี่ยวชาญและประชาชนทั่วไปสามารถเข้ามาตรวจตราการใช้เงินภาษีได้ โดยเฉพาะโครงการในท้องถิ่น ตัวอย่างที่จะนำมาใช้ก่อนเลย คือ โครงการก่อสร้างถนน เพราะถ้าถนนดีถนนเรียบไม่ต้องซ่อมแซมบ่อยๆ แสดงว่างบประมาณในการก่อสร้างมีความโปร่งใสปราศจากการทุจริตในค่าหัวคิวหรือวัสดุก่อสร้าง

สำหรับมาตรการปราบปราม จะเน้นการกวดขันวินัยร้ายแรงด้วยการให้ข้าราชการเปิดเผยบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน ตั้งแต่วันแรกที่เข้ารับราชการบรรจุไว้ในสมุดประวัติโดยจะเป็นความลับ แต่ทางหัวหน้าส่วนราชการสามารถเปิดดูได้ เว้นแต่มีเรื่องร้องเรียนว่าราชการคนนั้นร่ำรวยผิดปกติหรือประพฤติมิชอบ ซึ่งข้อมูลนี้จะเป็นข้อมูลสำคัญในการสอบสวนของ ป.ป.ช.และ ป.ป.ท.ในการลงโทษทางวินัย ดังนั้นต่อไปข้าราชการต้องรายงานบัญชีทรัพย์สินเป็นระยะๆ หากรายการทรัพย์สินเพิ่มขึ้น และเมื่อไรมีเรื่องราวร้องเรียนก็จะมีหลักฐานประกอบหรือพิสูจน์ความบริสุทธิ์ ซึ่งแนวทางนี้ทุกกระทรวง ทบวง กรม ต้องดำเนินการ ย่อมจะส่งผลให้การทำคดีของทั้ง ป.ป.ช.และ ป.ป.ท.รวดเร็วขึ้น

พล.อ.อ.วีรวิท ระบุอีกว่า ต่อไปกระบวนการปราบปรามการทุจริตจะเน้นจับปลาใหญ่ไม่ใช่ปลาซิวปลาสร้อยเหมือนในอดีตที่ผ่านมา โดยจะมีการจัดองค์กรศูนย์อำนวยการต่อต้านการุจริตแห่งชาติ (ศอตช.) ที่ประกอบด้วย สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ป.ป.ช. ป.ป.ท. กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เพื่อบูรณาการในการทำงานโดยเฉพาะตำแหน่งประธาน ศอตช. ปัจจุบันตามคำสั่ง คสช. นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน แต่ในอนาคตที่จะมีการเสนอให้เป็นประธานร่วม 3 ฝ่าย ระหว่างฝ่ายตุลาการ คือ ประธานศาลฎีกา ฝ่ายนิติบัญญัติ คือ ประธานรัฐสภา และฝ่ายบริหาร คือ นายกรัฐมนตรี เพื่อสามารถตรวจสอบถ่วงดุลซึ่งกันและได้หากฝ่ายใดเป็นผู้กระทำผิดเสียเอง

“ตอนนี้ทางคณะปฏิรูปกำลังศึกษาโมเดลการปราบปรามการทุจริตของประเทศเกาหลี ที่เห็นว่าหากนักการเมืองมีคดีทุจริต ควรถูกควบคุมตัว ไม่ควรให้ประกันตัว เพราะหากถูกปล่อยตัวออกไปแล้ว อาจจะไปยุ่งเกี่ยวทางคดีได้ โดยเฉพาะตำแหน่งนักการเมืองระดับสูง เช่น นายกรัฐมนตรี หรือประธานาธิบดี”

นอกจากนี้ จะนำระบบศูนย์ปฏิบัติการ (ศปก.) ที่เป็นหน่วยงานย่อยของ ศอตช.ที่อยู่ประจำกระทรวงต่างๆ เช่น ศปก.กระทรวงพาณิชย์ ศปก.กระทรวงมหาดไทย จะต้องมีการทำงานเชื่อมโยงกันกับกฎหมายใหม่ของ ป.ป.ช.ที่กำลังจะออกมาบังคับใช้ โดยเฉพาะมาตรการให้ข้าราชการเปิดเผยบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินไว้ในสมุดประวัติการทำงาน โดยจะมี 2 เล่ม คือ เล่มที่ 1 สมุดประวัติการทำงานหรือผลงาน และเล่มที่ 2 สมุดเปิดเผยบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน สมุดสองเล่มนี้จะถูกเปิดเผยเมื่อมีเรื่องร้องเรียนว่าเจ้าหน้าที่รัฐรับสินบน หรือจ่ายเงินสุรุ่ยสุร่ายโดยชี้แจงไม่ได้ว่านำเงินมาจากไหน

“ต่อไปทั้งนักการเมืองหรือข้าราชการหากมีทรัพย์สินหรือหนี้สินเพิ่มเติม อาทิ อสังหาริมทรัพย์ รถยนต์ หรือเครื่องประดับมีค่าที่มีมูลค่าเกิน 1 ล้านบาท ต้องแจ้งต่อธนาคาร ถึงแหล่งรายได้ และใบกำกับภาษีว่าเอาเงินมาจากที่ไหนถึงได้ทรัพย์สินนั้นๆ มา ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นมาตรการป้องปรามไม่ให้ข้าราชการหรือนักการเมืองออกนอกลู่นอกทาง และในอนาคตเมื่อมีระบบอี-เพย์เมนต์เต็มรูปแบบแล้ว การจัดซื้อจัดจ้างต่างๆ จะจ่ายเงินผ่านธนาคาร โดยกรมบัญชีกลางหรือสำนักงบประมาณ กระทรวงการคลัง สามารถตรวจสอบได้”

อย่างไรก็ตาม พล.อ.อ.วีรวิท กล่าวว่า มาตรการทั้งหมดที่กล่าวมาจะนำเสนอต่อที่ประธานร่วมคณะกรรมการปฏิรูป 11 คณะ ภายในเดือน ธ.ค.นี้ ก่อนเสนอให้นายกรัฐมนตรีพิจารณาภายในเดือน ก.พ. 2561 และเมื่อคณะรัฐมนตรีเห็นชอบ ก็สามารถนำมาเป็นแผนปฏิบัติการ หรือแอ็กชั่นแพลนได้ทันทีภายในเดือน เม.ย. 2561 เมื่อถึงเวลานั้นเชื่อว่าภาพลักษณ์หรือปัญหาการทุจริตของไทยจะดีขึ้นอย่างแน่นอน

 

ขายหมูปิ้งยังไงให้รวย? ถอดประสบการณ์ “เฮียนพ หมูนุ่ม” เจ้าพ่อหมูปิ้งร้อยล้าน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

16 พฤศจิกายน 2560 เวลา 20:30 น…. อ่านต่อได้ที่ : https://www.posttoday.com/analysis/interview/525634

ขายหมูปิ้งยังไงให้รวย? ถอดประสบการณ์ "เฮียนพ หมูนุ่ม" เจ้าพ่อหมูปิ้งร้อยล้าน

โดยวรรณโชค ไชยสะอาด

ภาพเนื้อหมูสดจำนวนมากกำลังถูกสับและหยิบเสียบใส่ไม้ชิ้นแล้วชิ้นเล่าด้วยความขยันขันแข็งของเหล่าแรงงาน ภายในบริษัทหมูนุ่ม จำกัด บนถนนติวานนท์ 59 จ.นนทบุรี แสดงให้เห็นถึงความมั่งคั่งของ เฮียนพ “ชวพจน์ ชูหิรัญ” เจ้าของบริษัท

ท่ามกลางความสงสัยเรื่องโอกาสประสบความสำเร็จในธุรกิจหมูปิ้ง วันนี้เฮียนพพร้อมแล้วที่จะฉายภาพปัจจัยความรุ่งโรจน์และโอกาสล้มเหลวให้ฟัง

หมูปิ้งขายยังไงก็รวย? “ไม่จริงครับ” เฮียนพตอบคำถามแรกพร้อมส่งเสียงหัวเราะ…

googletag.cmd.push(function() { googletag.display(‘div-gpt-ad-1511154358428-0’); });

4 เหตุผลทำคนอยากขายหมูปิ้ง

เมื่อ 10 ปีก่อน “เฮียนพ” เป็นเพียงแค่คนขับมอเตอร์ไซค์รับจ้าง มีรายได้วันละไม่กี่ร้อย จนกระทั่งได้พบกับสูตรเด็ดเปลี่ยนชีวิตจาก “อั้ว อักษร” แม่ค้าหมูปิ้งหน้าสถานีตำรวจ อ.ปากเกร็ด ด้วยทำเล ความสามารถและอีกหลากหลายปัจจัย ส่งผลให้ปัจจุบันเขามีโรงงานผลิตและส่งออกหมูปิ้งเฉลี่ยวันละ 1 แสนไม้

เขาวิเคราะห์ว่ามี 4 ปัจจัยสำคัญที่ทำให้หมูปิ้งกลายเป็นสินค้าที่คนคิดถึงเป็นอันดับแรกๆ เมื่ออยากค้าขาย

ความคุ้นเคย

“อาหารเช้าของคนไทยมีอยู่ 3-4 อย่างเท่านั้น ขนมครก น้ำเต้าหู้ ปาท่องโก๋ และหมูปิ้งมีอยู่แค่นี้แหละครับ ตอนหลังมีแซนวิชเพิ่มเข้ามา เพราะฉะนั้นคนไทยโดยเฉพาะคนเมืองจะคุ้นเคยกับหมูปิ้งมาก ตั้งแต่เป็นนักเรียนจนกระทั่งทำงาน”

ตัวเลขกำไรที่ชัดเจน

“คุณได้กำไรจากการขายหมูและข้าวเหนียวเป็นกำไรสองทาง มีการอธิบายชัดเจน ควบคุมต้นทุนได้ ราคาส่งไม้ละ 6 บาท ขาย 10 บาทได้ทันทีเลย 4 บาท ไม่มีการสูญเสียระหว่างทาง ถ้าทำก๋วยเตี๋ยวใส่เส้น ผัก ถั่วงอก คุณคำนวณต้นทุนไม่ได้เว้นแต่จะขายหมด ถามว่าก๋วยเตี๋ยวชามหนึ่งได้กำไรกี่บาท คนขายตอบไม่ได้หรอก แต่หมูปิ้งตอบได้

“ข้าวเหนียวปริมาณ 1 กิโลกรัม หลังจากนึ่งคุณจะได้ 1.5 กิโลกรัม ซื้อมา 30 บาท จะขายได้มากถึง 75 บาท เท่ากับกำไรกว่า 100 เปอร์เซนต์ คนเขาอยากขายและเห็นว่าน่าสนใจ เพราะรู้กำไรทันที”

ระยะเวลาการขาย

“ใช้เวลาไม่นาน เช่นขายในช่วงเช้า 3-4 ชั่วโมง ทำให้หลายคนมองเห็นว่าสามารถเป็นอาชีพเสริมได้”

กลุ่มผู้ซื้อหลากหลาย

“สินค้าอะไรก็ตามหากมีลูกค้าแค่กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง คุณจบเลย อย่างสุกี้บางคนกินไม่เป็น ซื้อไปฝากเพื่อนยังไม่กินเลยแต่หมูปิ้งถามหน่อยในเมืองไทยใครกินไม่เป็น นี่คือจุดขาย ลูกค้ามีทุกกลุ่มตั้งแต่คนจนยันคนรวย”

ช่วงเช้าขายดีกว่าช่วงเย็น

ตลาดและช่วงเวลาการทำมาหากินของหมูปิ้งนั้นมีหลักๆ 2 ช่วงคือเช้าและเย็น จากประสบการณ์ของเฮียนพ 90 เปอร์เซนต์ของคนที่ประสบความสำเร็จคือการขายในตลาดเช้า ด้วยโอกาสจากกลุ่มเด็กนักเรียน คนทำบุญตักบาตร ตลอดจนคนทำงานที่มักไม่มีเวลาในการรับประทานอาหาร

ด้านตลาดเย็น เขาบอกว่า ต้องขายในสถานที่ท่องเที่ยวถึงจะประสบความสำเร็จ เช่น พระราม 9 อาร์ซีเอ ประตูน้ำ สีลม ถนนข้าวสารหรือพัทยาใต้ เป็นต้น

“พวกแหล่งท่องเที่ยวกลางคืน หัวค่ำขายไม่ดีหรอก แต่หลังจากเที่ยงคืนไปแล้วขายดีมาก เพราะคนเที่ยวออกมาไม่มีอะไรกิน ส่วนพวกตลาดเย็น ปัจจุบันคนไม่ค่อยอยากกินอะไรที่มันหนักๆ เลือกกินของเบาๆ ในมื้อเย็น”

ทั้งนี้ด้วยเทรนด์รักสุขภาพในปัจจุบันทำให้ยอดขายหมูปิ้งนั้นตกลง หลายคนเลือกที่จะปฏิเสธอาหารปิ้งย่างหรือเลือกทานน้อยลง

ปิ้งขายข้างทาง รวยยาก

จำนวนการผลิตเฉลี่ย 100,000 ไม้ หรือ 4,000-5,000 กิโลกรัมต่อวัน ถูกกระจายออกไปสู่ลูกค้า 4 กลุ่มได้แก่

– พ่อค้า-แม่ค้าทั่วไป

เจ้าพ่อหมูปิ้งบอกว่า โอกาสค้าขายจนร่ำรวยในระดับนักธุรกิจนั้นยากแต่อาจมีฐานะดีขึ้น เนื่องจากถูกจำกัดด้วยระยะเวลาในการผลิตและพื้นที่ในการขาย

“เก่งให้ตายยังไงก็ขายได้ไม่ถึง 2,000 ไม้ สมมุติคุณขายดีมาก คนรุมเลย ถามว่าระหว่างที่มีคนรุมคนต่อคิว ก็ต้องมีคนเดินออกเหมือนกัน เพราะขี้เกียจรอ และถามว่าอร่อยแล้ว คุณขายหน้าปากซอย คนอยู่สุราษฎร์ฯ นครฯ หาดใหญ่ เขารู้จัก แต่จะกินได้ไหม ไม่ได้เพราะเข้าไม่ถึง”

ขณะที่กำไรในขายนั้นขึ้นอยู่กับต้นทุนของวัตถุดิบตั้งแต่ ซอส ซีอิ๊ว น้ำตาล ผงปรุงรส นมสด รวมถึงถ่าน ซึ่งมีหลากหลายคุณภาพ นอกจากนั้นยังขึ้นอยู่กับ
เทคนิคการจัดการเรื่องปริมาณ

สำหรับหมูปิ้งของเฮียนพแบ่งออกเป็น 4 ราคาได้แก่ หมูนักเรียนขายส่งไม้ละ 3.50 บาท ไปปิ้งขาย 5 บาท หมูเล็กไม้ละ 4.90 บาท ขาย 8 หรือ 10 บาท แล้วแต่สถานที่ หมูกลางไม้ละ 5.70 บาท และหมูใหญ่ 6.20 บาท ทั้งหมดสูตรเดียวกัน โดยส่วนใหญ่กว่า 50 เปอร์เซนต์ในตลาดนั้นเลือกขายในราคา 10 บาท

– ตัวแทนจำหน่าย

“ตัวแทนจำหน่าย” มีโอกาสและช่องทางกระจายสินค้ามากกว่าในกลุ่มแรก นอกจากนั้นยังได้เปรียบในเรื่องราคาที่รับมาต่ำและสามารถกำหนดราคาได้หลากหลายกว่า โดยเฮียนพมีรถห้องเย็นวิ่งไปส่งตัวแทนจำหน่ายที่จะนำสินค้าไปสต็อกไว้ตามแต่ละอำเภอ

“แม่ค้าปิ้งให้ตายทั้งวันไม่เกิน 2,000 ไม้ ขณะที่กลุ่มตัวแทนมีโอกาสขายได้เป็นหมื่นๆ” เฮียนพบอกถึงข้อดีก่อนเผยถึงข้อเสียทันทีว่า “แต่ไม่ประสบความสำเร็จทุกคนหรอก รวยก็มีเจ๊งก็มี จุดอ่อนคือตัวแทนหลายคนไม่เคยเห็นเงิน บริหารไม่ได้ หมุนไม่เป็น เอาไปซื้อรถ ซื้อของหมด สุดท้ายมาติดค่าหมูโรงงาน ไม่มีเงินเคลียร์ พูดง่ายๆ ลืมตัว พวกที่จะรวยคือรู้จักบริหาร มีวินัย เก็บข้อมูลลูกค้าและรับฟังปัญหาไปปรับปรุง”

– สร้างแบรนด์

ผลิตภัณฑ์ของเฮียนพเปิดโอกาสให้ผู้สนใจนำไปติดตราและโปรโมทเป็นสินค้าของตัวเองได้ ปัจจุบันมีกลุ่มลูกค้าประเภทนี้จำนวนมาก เกือบทุกจังหวัดในประเทศไทย

“พวกนี้มีโอกาสรวยมาก ไม่เหนื่อยผลิตสินค้าแต่ต้องเพียรพยายาม เพราะสินค้าไม่ได้ขายด้วยตัวมันเอง เป็นแค่ 50 เปอร์เซนต์อีกครึ่งหนึ่ง ต้องมีความพยายาม ตั้งใจและมีวิธีทำตลาดที่สร้างสรรค์ให้ผู้บริโภคสนใจ”

– โมเดิร์นเทรด–ห้างสรรพสินค้า

ปัจจุบันกลุ่มโมเดิร์นเทรดและห้างสรรพสินค้า กลายเป็นลูกค้ารายใหญ่ของเฮียนพ ซึ่งมีข้อดีเรื่องความแน่นอนในการชำระเงินและปริมาณการสั่งซื้อจำนวนมาก

“ปริมาณการสั่งซื้อก้อนใหญ่เพราะเขามีเป็นร้อยสาขา จ่ายเงินตรงเวลา ทุกวันนี้คนต่างจังหวัดแห่ไปซื้อจากห้างและนำไปขายต่อสร้างอาชีพกันแล้ว เพราะราคาไม่แตกต่างกันมากแถมบางช่วงยังมีโปรโมชั่นด้วย”

ศึกษาให้ดี อยู่กับสภาพความเป็นจริง

เรื่องที่ผู้นำตลาดหมูปิ้งรายนี้แนะนำคือ เปิดโลกทัศน์ศึกษาตลาดให้รอบคอบ รอบด้านและอยู่กับความเป็นจริง

เฮียนพ บอกว่า การทำธุรกิจโดยเฉพาะค้าขายอาหาร อย่าไปโฟกัสแค่เรื่องมาตรฐาน ต้องให้ความสำคัญกับสภาพตลาดในความเป็นจริงด้วย ผู้บริโภคหลายคนไม่สนใจเรื่องมาตรฐาน แต่ซื้อเพราะชื่อเสียงของผู้ขาย ความรู้สึกและภาวะอารมณ์นั้นๆ อย่างไรก็ตามสิ่งสำคัญคือต้องมีจรรยาบรรณและไม่หลอกลวงผู้บริโภค

“สินค้าบางอย่างไม่มีแผนการตลาดแต่ไปได้สวย ไม่มีอะไรเป็นทฤษฎีชัดเจน มันเหนือหลักการได้ มาตรฐานเป็นเพียงส่วนหนึ่ง แต่ตลาดก็เป็นส่วนหนึ่ง อยู่ที่ว่าเราจะไปขายที่ไหน เพื่อใคร ไม่อยากให้คนหลงเชื่อภาพที่เห็นไป เห็นแล้วต้องขายได้ ความสำเร็จนั้นเกิดจากหลายปัจจัย”

สองเกร็ดธุรกิจที่เฮียนพฝากไว้คือ 1.อายุของธุรกิจ คือความยาวนานของสินค้าหรือแบรนด์ ยิ่งยาวนานยิ่งได้เปรียบและเป็นความเสี่ยงสำหรับผู้ที่จะเข้าไปท้าทายสินค้าเดิม 2.ทำเล เป็นเรื่องของความหนาแน่นของผู้คนซึ่งนับเป็นความน่าจะเป็นในการจับจ่าย

“เห็นป้าขายหมูปิ้งหน้าโรงเรียน ขายดิบขายดี เราอยากขายบ้าง เอาของมีมาตรฐานไปขาย อย่าหวังเลย เพราะเขาขายมานาน 10-20 ปีแล้ว ความน่าเชื่อถือให้การยอมรับเป็นหัวใจเลย ต้องใช้เวลา ไม่งั้นจะมีคำว่าเก๋าไม่เก๋าเหรอ”

เจ้าของธุรกิจหมูปิ้งวัย 50 ปี ทิ้งท้ายว่า ศึกษาให้รอบคอบถี่ถ้วนก่อนทำธุรกิจ อย่าเอาความสำเร็จของผู้อื่นมาเป็นบรรทัดฐานอนาคตของเรา ไม่เช่นนั้นอาจไม่เหลืออะไรเลยจากการลงทุน

“เห็นคนอื่นสำเร็จ ไม่ใช่ว่าเราทำตามแล้วจะสำเร็จ บางทีเขามีต้นทุนอื่นๆ ประกอบที่เรายังมองไม่เห็น เห็นคนขายหมูปิ้งตอน 7 โมง บอกรวยแน่เลย อยากขายบ้าง เคยเห็นตอน 9 โมงที่เขานั่งน้ำลายไหลรอลูกค้าหรือเปล่า”

ทั้งหมดนี้คือความรู้และประสบการณ์การทำธุรกิจหมูปิ้งจากปากเฮียนพ ผู้สร้างเม็ดเงินจากหมูปิ้งได้มากกว่าปีละ 100 ล้านบาท

 

เปิดใจ “เพ็ญพร ไม่มีนามสกุล” สาวไร้สัญชาติบัณฑิตเกียรตินิยม ผู้ไร้อิสระในการเดินทาง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

13 พฤศจิกายน 2560 เวลา 19:13 น…. อ่านต่อได้ที่ : https://www.posttoday.com/analysis/interview/525065

เปิดใจ "เพ็ญพร ไม่มีนามสกุล" สาวไร้สัญชาติบัณฑิตเกียรตินิยม ผู้ไร้อิสระในการเดินทาง

โดย…วรรณโชค ไชยสะอาด

หลังจากที่ เพียว เพ็ญพร สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาเทคนิคการแพทย์ คณะสหเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร เธอรู้ดีอยู่แก่ใจว่า สัญชาตินั้นไม่สำคัญสำหรับเธออีกแล้ว ขอเพียงแค่ได้ทำงานที่รักและมีชีวิตอย่างมีความสุขในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง อย่างไรก็ตามเมื่อถึงคราวมีโอกาสเดินทางไปเที่ยวกับเพื่อนร่วมงานที่หัวหิน ปัญหาเรื่องสัญชาติก็กลับมาบั่นทอนหัวใจอีกครั้ง

“เพียวไปขออนุญาตออกนอกพื้นที่เพื่อขอไปเที่ยวต่างจังหวัดกับพี่ๆ เพียวเพิ่งรู้ว่าขออนุญาตออกนอกพื้นที่เพื่อไปเที่ยวไม่ได้ นอกจากไปทำธุระ เยี่ยมญาติ หรืออบรม มันน่าน้อยใจไหมล่ะคะ” ข้อความจากหญิงสาวไร้สัญชาติวัย 24 ปีที่บอกผ่านเฟซบุ๊กด้วยความน้อยใจกับโอกาสในการเดินทางของชีวิตอีกครั้ง โดยมีผู้แชร์ต่อเป็นจำนวนมาก

จากลูกสาวชาวกะเหรี่ยง แต่ใฝ่ดีหาโอกาสทางการศึกษา เผชิญหน้ากับความยุ่งยากของระบบราชการ จนกระทั่งเรียนจบปริญญาตรีและเข้าทำงาน ชีวิตที่ไร้สัญชาติของเธอไม่ง่ายเลย

googletag.cmd.push(function() { googletag.display(‘div-gpt-ad-1511154358428-0’); });

เรียนเก่งจนได้เกียรตินิยม

เพียว เพ็ญพร เกิดเมื่อวันที่ 3 มิ.ย. 2536 ที่ อ.แม่สอด จ.ตาก พ่อแม่เป็นชาวกะเหรี่ยงเดินทางจากประเทศพม่าเข้ามาทำงานเป็นลูกจ้างที่เมืองไทย โดยทำงานเป็นช่างซ่อมเครื่องยนต์รถไถ ขณะที่คุณแม่เป็นแม่บ้าน

แม้จะไม่มีเอกสารประจำตัว แต่โชคยังดีเมื่อนายจ้างเป็นผู้บริหารโรงเรียนเอกชน ทำให้เพ็ญพรได้รับโอกาสทางการศึกษามาตั้งแต่ระดับอนุบาลถึงมัธยมตอนต้น ก่อนเข้าเรียนต่อในระดับ ม.ปลาย ที่โรงเรียนเทศบาลเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี

“ตอนเป็นเด็กไม่ได้คิดอะไรมากจนอายุได้ 12 ปี มีโอกาสได้ไปแข่งขันทักษะวิชาการนอกโรงเรียน อาจารย์ที่อื่นเขาเริ่มถามว่า หนูไม่มีนามสกุลเหรอ ลืมเขียนหรือเปล่า ตอนนั้นเป็นเด็กตอบได้แค่หนูไม่มี จนช่วง ม.ปลาย คำตอบเริ่มมาพร้อมกับความน้อยใจ เพียวไม่มีนามสกุลเพราะไม่ใช่คนไทยค่ะ”

เด็กหญิงเพ็ญพรมีเอกสารแสดงตัวตนครั้งแรกเมื่ออายุ 12 ปี คือ บัตรประจำตัวผู้ไม่มีสถานะทางทะเบียน (บัตรเลข 0)ก่อนจะได้รับสูติบัตรเมื่ออายุ 18 ปี จากความช่วยเหลือของคุณครู เพื่อนๆ และนายกเทศมนตรีนครแม่สอดในขณะนั้น กระทั่งปัจจุบันถือบัตรในประเภทที่ 7 (บัตรเลข 7) ที่แสดงให้เห็นว่าเป็นบุตรของผู้ที่ยังไม่ได้สัญชาติ เพราะทางการยังไม่รับรองทางกฎหมาย

ความซับซ้อนในการจัดการเปลี่ยนแปลงเอกสารจากบัตรเลข 0 เป็นเลข 7 ส่งผลต่ออนาคตทางการศึกษาไม่น้อย เมื่อต้องล้มเลิกความฝันที่จะเป็นแพทย์ ตัดสินใจไม่สมัครสอบรับตรง “กลุ่มสถาบันแพทยศาสตร์แห่งประเทศไทย” หรือ กสพท.

“ด้วยความยุ่งยากวุ่นวายเรื่องบัตร ทำให้ตัดสินใจไม่สมัครสอบ กสพท. เพราะแค่สมัครสอบ gat pat ยังต้องรบกวนให้คุณครูโทรไปแจ้งแก้ไขเรื่องบัตรต่างๆ นานา ถ้าเพียวยังดื้อรั้นที่จะสอบหมอคงทำให้คุณครูปวดหัวน่าดู จริงๆ แล้วก็เสียดายนะ แต่ย้อนเวลากลับไปไม่ได้” เพ็ญพรเล่าถึงอดีต ก่อนที่จะตัดสินใจเลือกสอบเข้าสาขาเทคนิคการแพทย์ คณะสหเวชศาสตร์ ม.นเรศวร “อยากเรียนสายการแพทย์ เพราะแต่ก่อนเวลาพ่อกับแม่ไม่สบาย จะไป รพ.ทีก็ต้องเสียเงิน ไปคลินิกก็ยิ่งแพงไปใหญ่ สงสารพ่อกับแม่ที่ต้องทำงานหนักเพื่อหาเงิน แต่กลับไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องและดีที่สุด

“เพียวเลยเลือกเรียนสายนี้ เพื่อที่จะช่วยดูแลพ่อกับแม่ได้บ้าง ถ้าได้เป็นหมอคงได้ดูแลรักษาพ่อกับแม่มากกว่านี้ แต่เป็นนักเทคนิคการแพทย์ก็ไม่ได้เสียหาย ถึงจะรักษาพ่อกับแม่เองไม่ได้ แต่ก็หาเงินมารักษาได้”

ชีวิตของคนไร้สัญชาติ โอกาสหลายอย่างนั้นน้อยกว่าคนทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นการเดินทาง การเข้าถึงกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาหรือ กยศ. , การเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล อย่างไรก็ดีด้วยความเรียนเก่ง ประพฤติปฎิบัติตัวดีทำให้เธอได้รับเงินทุนจากแหล่งทุนอื่น ก่อนพัฒนาตัวเองจนเรียนจบในฐานะเด็กเกียรตินิยม

ไร้อิสระในการเดินทาง

เรื่องบั่นทอนหัวใจของคนไร้สัญชาติคือการเดินทาง สมัยเรียนผู้หญิงคนนี้ต้องขออนุญาตจากอำเภอเพื่อออกนอกพื้นที่ทุก 6 เดือน “ขนาดเรียนยังต้องมีใบอนุญาต” หญิงสาวหัวเราะให้กับเรื่องที่ผ่านมา “ไม่รู้ว่าเป็นความผิดของเพียวหรือเปล่าที่เลือกไปเรียนที่พิษณุโลก ช่วงปีหนึ่งต้องกลับไปขออนุญาตทุก 6 เดือน แต่หลังๆ โชคดีหน่อยเจ้าหน้าที่ออกใบอนุญาตให้จนเรียนจบ”

เพียว เล่าว่า ใบอนุญาตสำคัญมากเวลาผ่านด่านตรวจ ทุกครั้งที่นั่งรถตู้เพื่อกลับไปเรียนหรือไปไหนก็ตาม จะพยายามนั่งแถวหน้า เหตุผลหลักคือ ไม่อยากให้ตำรวจที่มาตรวจรู้สึกเหมือนตัวเองหลบซ่อนอยู่ท้ายรถ

“มีอยู่ครั้งหนึ่งได้นั่งรถตู้แถวหลังสุด พอถึงด่านตรวจ ทุกคนยื่นบัตรของตัวเองให้ตำรวจดู แต่เพียว ต้องยื่นเอกสารหนึ่งแผ่นพร้อมแนบบัตรประจำตัวที่มี เกิดอะไรขึ้นล่ะ ทุกคนในรถก็มองมาสิคะ ต้องคิดว่าเพียวเป็นต่างด้าวชัวร์ ความมั่นใจในตัวเองหายสาบสูญ หน้าซีดไม่กล้าสบตาใคร แล้วทันใดนั้นคุณตำรวจก็พูดขึ้นว่า ‘นี่ดูไว้เป็นตัวอย่างนะเขาไม่มีสัญชาติแต่ตั้งใจเรียนถึงขั้นปริญญา ดูซิเด็กบางคนเป็นคนไทยแท้ๆ แต่ไม่เอาไหน’ ขอบคุณค่ะ เทวดามาโปรดแท้ๆ เพียวยิ้มออกเลยล่ะ สิ่งที่คุณตำรวจพูดน่าจะเพียงพอที่จะทำให้ทุกคนในรถตู้เปลี่ยนความคิดแล้ว”

อีกหนึ่งปัญหาการเดินทางที่เพ็ญพรไม่มีวันลืมคือ การพลาดไปเยี่ยมเพื่อนที่บาดเจ็บอาการสาหัส “เขาถูกรถชน เพื่อนในกลุ่มก็ชวนเพียวไปเยี่ยมเพื่อนคนนี้ทันทีหลังจากทราบข่าว เพียวก็ไปขออนุญาตตามปกติ แต่ปัญหาคือต้องมีใบรับรองแพทย์ของเพื่อนคนนั้น ณ เวลานั้นเพื่อนที่อาการโคม่า ญาติๆ ต้องคอยดูแลไม่ห่าง คำถามคือ ใครจะส่งใบรับรองแพทย์มาให้เพียวได้ สรุปแล้วเพียวก็ไม่ได้ไปเยี่ยมเพื่อน”

ภายหลังเรียนจบความตั้งใจที่จะเข้าทำงานในโรงพยาบาลรัฐถูกปิดกั้นเพราะการไม่มีสัญชาติไทย ทำให้เธอเบนเข็มมาทำงานให้กับศูนย์วิจัยมาลาเรียโซโกล องค์กรไม่แสวงหากำไรใน อ.แม่สอด ในตำแหน่งเจ้าหน้าที่ประจำห้องปฏิบัติการ

ชีวิตการทำงานของหญิงสาวมีความสุขดีและแทบไม่คิดว่าสัญชาติเป็นเรื่องสำคัญ จนกระทั่งเมื่อถึงคราวต้องไปพักผ่อนกับเพื่อนร่วมงานในต่างจังหวัด

“เราผ่านช่วงเวลาที่สัญชาติมีความสำคัญมากที่สุดในชีวิตมาแล้ว จนเคยรู้สึกว่าไม่มีมันก็ได้จนล่าสุดถูกปฏิเสธ ขออนุญาตไปเที่ยวไม่ได้ มันทำให้เข้าใจว่าสุดท้ายแล้ว เราก็ต้องการสัญชาติอยู่ดี

ชีวิตสอนให้เข้มแข็งและมีหวัง

กระบวนการขอสัญชาติของเพียวเดินทางมาถึงปีที่ 4 ผ่านขั้นตอนมากมายในระบบราชการ ไล่ตั้งแต่ระดับเทศบาล อำเภอ จังหวัด และกรมการปกครอง สิ่งที่กลายเป็นความคับข้องใจมาตลอดคือ มาตรฐานในการตรวจสอบและจัดการ

“หลังเรียนจบเราตามเรื่องแทบทุกเดือน ตอนนี้อยู่ที่กรมการปกครองแล้ว ที่แปลกใจไม่ใช่เรื่องระยะเวลาที่ยาวนาน แต่ปัญหาคือมาตรฐานในการจัดการ อะไรเป็นตัวกำหนด บางคนเร็ว บางคนช้า ทั้งๆ ที่เอกสารหลักฐานมีเท่ากัน สอบถามแล้วเจ้าหน้าที่ไม่สามารถบอกเราได้ว่าต้องรอนานเท่าไหร่ 2 เดือนหรือ 3 เดือน ในแต่ละขั้นตอน”

รสชาติแห่งความลำบากและผิดหวังเหมือนความโชคดีที่แฝงตัวมา เพราะส่งผลให้เธอกลายเป็นมนุษย์ที่อดทนและเข้มแข็ง เพียวบอกว่า “ไม่ใช่ความเข้มแข็งทางกาย แต่คือความเข้มแข็งทางใจที่ทำให้เราผ่านช่วงชีวิตที่ยากลำบากและอุปสรรคต่างๆ ไปได้ ถ้าเพียวไม่เข้มแข็งพอที่จะรอสัญชาติ เพียวอาจจะเลือกไปเป็นแค่ลูกจ้างธรรมดาๆ คนหนึ่ง ทุกช่วงเวลาเพียวคาดหวังเสมอว่าจะได้สัญชาติในเร็ววัน แต่ในเมื่อมันไม่เป็นอย่างที่หวัง ก็ไม่ได้หมายความว่าชีวิตเราจะจบลง เรายังต้องดำเนินชีวิตต่อไป และคิดซะว่า “ถ้าวันนี้ไม่ได้พรุ่งนี้ก็ได้แหละหน่า”

เรื่องราวของ เพียว แสดงให้เห็นถึงความอดทนต่อสู้แสวงหาโอกาสในชีวิตอย่างมีความหวัง รวมถึงเป็นหนึ่งในตัวอย่างของความลำบากที่คนไร้สัญชาติต้องเผชิญ เธอบอกทิ้งท้ายว่า เมื่อได้สัญชาติไทย อยากเปลี่ยนชื่อใหม่และใช้ เพ็ญพร เป็นนามสกุลแทน

————————————–

ปล.โชคดีของหญิงสาว เมื่อภายหลังเจ้าหน้าที่อีกรายอนุญาตให้เธอสามารถเดินทางไปหัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ได้ โดยให้เพื่อนรับรองการเดินทางครั้งนี้

 

“ขอเป็นผู้ประคอง ไม่ขอเป็นนายกฯ” เปิดใจ อนุทิน ชาญวีรกูล

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

12 พฤศจิกายน 2560 เวลา 10:57 น…. อ่านต่อได้ที่ : https://www.posttoday.com/analysis/interview/524886

"ขอเป็นผู้ประคอง ไม่ขอเป็นนายกฯ" เปิดใจ อนุทิน ชาญวีรกูล

โดย…ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์

การเมืองไทยหลังจากนี้แน่นอนว่าสปอตไลต์ทุกดวงส่องสว่างไปยัง “อนุทิน ชาญวีรกูล” หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เพราะอาจได้มาเป็นนายกรัฐมนตรีในอนาคตหากเกิดการเลือกตั้ง เนื่องด้วยอานิสงส์ของรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่เปิดทางให้กับพรรคขนาดกลาง

อนุทิน หัวเรือใหญ่ บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น เปิดใจผ่าน “โพสต์ทูเดย์” ว่า “สิทธิที่บอกว่าผมเป็นนายกฯ สิทธินั้นใครๆ ก็รู้ว่ามี แต่ไม่เป็น ถ้าคิดถึงประโยชน์บ้านเมือง คือ ไม่ได้ ต้องเอาประโยชน์บ้านเมืองเป็นหลัก” เสียงยืนยันหนักแน่น

อนุทิน บอกว่า ถ้าเป็นนายกฯ ก็ได้แต่ชื่อ ส่วนตัวพูดชัดเจน การเมืองต้องมีกติกา ถ้าไม่ได้รับคะแนนไว้วางใจมากที่สุดอย่ามา เพราะถ้าเป็นนายกฯ คนกลาง ความเป็นผู้นำพรรคก็หายไป และกลายเป็นตาอยู่ ไม่ใช่เสียงข้างมาก จะมีปัญหาในการร่วมรัฐบาลร่วมกันทำงาน อำนาจนายกฯ จะเหลืออะไร

googletag.cmd.push(function() { googletag.display(‘div-gpt-ad-1511154358428-0’); });

“สมมติพรรคอะไรก็แล้วแต่เป็นนายกฯ ผมเป็นคนประคองนายกฯ เชื่อว่าเครดิตผม คนเป็นนายกฯ สบายใจได้มากกว่า นักการเมืองเคี่ยวๆ คนอื่นมันไปกันได้ ผมเชื่อว่าตำแหน่งนายกฯ วันนี้ไม่ได้น่าเสน่หาแบบเสี้ยวหนึ่งของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ สมัยเป็นนายกฯ เพราะฉะนั้น เราผ่านร้อน ผ่านหนาว มาขนาดนี้ เราต้องเข้าใจการเมืองไทยมันเป็นแบบนี้”

อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวไม่ใช่นักการเมืองแสวงหาอำนาจ 100% ยังมีความเป็นมืออาชีพ และรักในคุณสมบัติหน้าที่ของนักการเมือง ถ้าตั้งเป้าให้พรรคถึง 200 คน วันนี้คงไม่มีเวลามานั่งให้สัมภาษณ์ แต่พอใจที่มีอย่างนี้ เพราะรัฐธรรมนูญฉบับแรกยังไม่รู้หมู่หรือจ่า ข้อบังคับข้างบนเต็มไปหมด ผิดอะไรไม่ได้สักอย่าง โดนเว้นวรรคไม่กลัว แต่มีอาญาด้วย มีคุก

“เรามีเวลา เราได้จากรัฐธรรมนูญ เนื้อหาของมันได้ทุกคะแนน พอแล้ว ไม่ต้องขออะไร ต้องรู้ตัวเอง ไปทดสอบก่อนว่าจริงแล้วมันทำงานได้หรือไม่ ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปหมด มีหลายปัจจัย ดังนั้น ต้องรู้ตัวเองระดับไหน Support ให้มันดีที่สุดกับประเทศในช่วงเปลี่ยนผ่าน”

ส่วนความพร้อมของพรรคภูมิใจไทยสู่สนามเลือกตั้ง แม้จะยังไม่มีการปลดล็อกทางการเมือง อนุทิน ยืนยันว่าตัวนโยบายพรรคชัดเจน คือ สงบ สันติ สามัคคี ประชานิยมสังคมเป็นสุข แต่คำว่าประชานิยมอาจจะต้องมานั่งอธิบาย ทำยังไงให้มันอยู่ภายใต้กรอบแห่งรัฐธรรมนูญ

“คนจะทำอะไรถ้ามันเพื่อส่วนรวม ไม่ต้องกลัว ถ้าทำแล้วประโยชน์ไม่ได้เข้ากระเป๋าตัวเองหรือคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ของพวกนี้เป็นวิทยาศาสตร์ กดตัวเลข หรือเอาเหตุผลมาให้ดู คนเห็นก็รู้ ใครจะมาห้าม ก็ไปตอบประชาชน ไม่ใช่ผม คุณจะห้ามได้สักกี่อัน อันนั้นอันนี้จะช่วยก็ห้าม รัฐบาลไปยืนอยู่ฝั่งประชาชน แล้วก็มาทวงถามคนห้าม จะทนได้สักกี่น้ำ”

ส่วนประเด็นที่มีความกังวลว่าถ้ากลับมาเลือกตั้งสามารถเลือกนายกฯ ได้รอบแรก และพยายามสร้างอารมณ์ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯ จะเดินได้หรือไม่ อนุทิน มองว่า อยู่ที่คนในระบบเข้ามาแล้วทำความสงบให้บ้านเมืองหรือไม่ เพราะวันนี้พรรคใหญ่สุดใคร ยังไม่เห็น คนจะมาเป็นผู้นำพรรค หรือ สส.ปาร์ตี้ลิสต์เบอร์ 1 ต้องได้รับการยอมรับด้วย ไม่ใช่จะหยิบใครมา ยุคนี้ไม่เอาแล้ว ส่วนตัวไม่ได้ปฏิเสธ แต่ต้องดูก่อน ถ้าหยิบเอาคนที่รับไม่ได้มา ก็ยินดีเป็นฝ่ายค้าน

อนุทิน ฉายภาพมุมมองส่วนตัว โดยคิดว่าการเมืองไม่น่าจะถึงจุดนั้น แต่ถ้าเป็นคนนอกต้องใส หรือแบบสมัย พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ซึ่งไม่ได้เสนอตัวเอง แต่เป็นพรรคการเมืองทั้งหลายไปกราบกราน ซึ่งต้องดูวันนั้น แต่ถ้าให้พูดบางทีก็เหมือนเห็นแก่ตัว เพราะการเมืองไทยวันนี้ได้แต่พูดเพราะๆ สวยๆ เก๋ๆ แต่ไม่มีอะไร สู้คนไม่ค่อยพูด พูดไม่ค่อยเก่ง แต่รู้ว่าปัญหาสังคมในวันนี้วางแผนระยะยาวไม่ได้การเมือง

“วางแผนแทบตายแต่ได้ 20 เสียง สำหรับผมอยู่บนโลกแห่งความเป็นจริง ชีวิตทั้งชีวิตไม่เชื่อดวง เชื่อแต่หน้างานเป็นยังไง แก้ปัญหายังไง ทุกอย่างจะมีคำตอบที่ชัด ผมจะไม่เป็นพรรคต่ำ 5 แน่นอน ส่วนพื้นที่อื่นๆ ก็หยอดกระปุกไปเรื่อยๆ ออกมาเท่าไรก็เท่านั้น ออกมาเท่านี้ก็มีแนวคิดแบบนี้ ทุกอย่างหน้างานอย่างเดียว”

แม้จะมีการมองรัฐบาลข้างหน้าอาจไม่เปลี่ยนจากภาพการเมืองเดิมๆ อนุทิน ขยายความว่า ระบอบประชาธิปไตยมันมีของมัน วันดีคืนดีมีคนแข็งแรงขึ้นมาชกบนเวที แพ้ทุกวัน เลยต้องตีหัวตอนเดินลงจากเวที ทุกคนก็ต้องรับผิดชอบไป พยายามทำใหม่ให้มันดีที่สุด

“ภาพในสังคมการเมือง ในสังคมวงกว้าง มองผมเป็นคน Compromise เป็นคนประสานได้ แต่ไม่ได้ประสานแบบเสียหลักการ แต่มีจุดตัวเอง ซึ่งไม่เสียหายอะไร และมีภาพของความเป็นนักปฏิบัติ กล้าตัดสินใจ ไม่สนใจในเรื่องของภาพ ทำในสิ่งถูกต้อง ทนต่อการก่นด่าได้ แล้วพิสูจน์ด้วยผลงาน ตรงนี้ พรรคผมมี ทีมผมมี

ถามว่าพรรคภูมิใจไทย ผมดีใจที่สุด แบรนด์ผมติดแล้ว เพราะมีรายการไปสัมภาษณ์ท่านพิชัย รัตตกุล ท่านระดับไหน ท่านพูดถึงเพื่อไทย ประชาธิปัตย์ ชาติไทยพัฒนา และภูมิใจไทย ท่านเอาชื่อพรรคผม ถือว่าโอเค วันนี้ไม่มีใครไม่รู้จักภูมิใจไทย ยังรู้จักมากกว่าชื่อ อนุทิน ผมแฮปปี้ ถ้าวันไหนคนรู้จักชื่อ อนุทิน เนวิน มากกว่า ไม่ดี

ที่ทำงานพรรคเคยเช่า วันนี้ผมเป็นหัวหน้า ไม่ได้ ต้องซื้อ ผมจะไม่มีวันเดินเข้าไปพรรควันไหน บอกว่าคุณเป็นพรรคการเมืองแล้วไม่ดีขอยกเลิกสัญญาเช่า เพราะไม่มีเจ๊งมันอยู่ริมถนน เดี๋ยวรถไฟสีเขียวผ่าน ถ้าเลิกพรรค อาจกลายเป็นภูมิใจไทยคอนโด หรือคอมมูนิตี้มอลล์ คือ เราต้องคิด ต้องมีเอกลักษณ์”

อนุทิน ยอมรับว่า แม้ชื่อพรรคจะติดเป็นอันดับ 3 แต่ถ้าคนอื่นคงคิดเป็นนายกฯ ทั้งวัน แต่ส่วนตัวอยู่ให้มีความสุข เพราะอำนาจมันเท่านั้น อย่าไปบ้าจี้ ยอมรับความจริง ถ้าอยู่บนความเป็นจริง ยอมรับได้ ไม่ต้องคาดหวังอะไรสวยหรู ประเทศไทยไม่มีใครซ่อมได้

อย่างไรก็ตาม ต้องบริหารให้ถูก ตีมือคนให้เป็น หัวไม่ส่าย หางไม่กระดิก คนไม่พร้อมเป็นผู้นำไม่ได้ อาชีพการเมืองไม่มี นักการเมืองต้องพร้อมทุกอย่าง หยุดคอร์รัปชั่นได้ประเทศจะเจริญเท่าไร นอกจากนี้ พวก สส.ไม่ต้องห่วง ยังไงก็อยู่ได้ ส่วนตัวขอรักษาประโยชน์บ้านเมือง

ขณะเดียวกัน ส่วนตัวมีความเป็นห่วงเรื่องเศรษฐกิจประเทศไทย โดยเฉพาะการลงทุนโครงการรถไฟความเร็วสูง จำนวน 3 ล้านล้านบาท พร้อมตั้งคำถาม หากให้ถนน 8 เลน คนไทยจะเลือกอะไร เพราะเรื่องนี้คนมีการศึกษาสูงคิดแทน ทว่าประเทศที่มีระบบขนส่งมีประสิทธิภาพที่สุด คือ มีเส้นเมนหลักและแตกแขนงออกไป

“สมมติผมดูพื้นฐานเรื่องสาธารณูปโภค ก่อสร้าง โครงการรวบรวมมาให้หมด ถนนไฮเวย์ของภาครัฐ ปีที่แล้วมีงบประมาณเท่าไร แล้วทำให้มันเกิดการแข่งขัน เอาตัวเลขจริงมาวาง ผมกล้าพูด แต่ถ้าไม่มีคนประมูล เดี๋ยวผมเอาบริษัทไปประมูลให้เกลี้ยง เดี๋ยวจะทำให้ดู มันต้องมีอะไรที่ท้าทาย

ถ้าผมมีโอกาสเข้าไปช่วยงานภาครัฐ ท่านนายกฯ ครับ ถ้าเราเน้นงานในประเทศไทยแล้ว เขียนมาในสเปกว่าจากนี้ไป วัตถุดิบใดก็ตามที่มันสามารถผลิต ซื้อ และหาได้ภายในประเทศ ต้องเขียนตรงนั้น แล้วต้องออกมาตรการควบคุมราคาเพื่อป้องกันการโก่งราคา ยกเว้นของต้องนำเข้า”

ทั้งนี้ ประเทศต้องการอย่างเดียว คือ ต่อยอด แล้วตามด้วยเทคโนโลยี วันนี้ประเทศไทยต้องการจะออกจากไอซียู รากฐานผุกร่อน ถ้ารากฐานแน่นหนามากมันถึงจะอยู่ได้ ตรงไหนผุต้องปะ ท่านนายกฯ เป็นทหาร ส่วนตัวเป็นคนกลางเก่ากลางใหม่ ทำได้อย่างเดียว วางรากฐานให้แน่น

 

“เศรษฐกิจพอเพียง” กุญแจแห่งความสำเร็จของ “แดรี่โฮม”

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

08 พฤศจิกายน 2560 เวลา 19:38 น…. อ่านต่อได้ที่ : https://www.posttoday.com/analysis/interview/524236

"เศรษฐกิจพอเพียง" กุญแจแห่งความสำเร็จของ "แดรี่โฮม"

โดย…วราภรณ์ เทียนเงิน

“แดรี่โฮม” ธุรกิจไทยที่ใช้หลักเศรษฐกิจพอเพียงมาปรับใช้ในการบริหารจัดการองค์กร จึงสามารถนำพาองค์กรเติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน ถือเป็นแบบแผนสำคัญให้กับธุรกิจ เกษตรกรไทย หรือคนที่สนใจสร้างธุรกิจ สามารถนำแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง ที่เริ่มต้นจากการทำสิ่งที่เล็กๆ ก่อนขยายสู่สิ่งที่ใหญ่ขึ้นได้อย่างไร

“พฤฒิ เกิดชูชื่น” กรรมการผู้จัดการและผู้ก่อตั้งบริษัท แดรี่โฮม (Dairyhome) ซึ่งผลิตนมพร้อมดื่มและโยเกิร์ตในแบรนด์แดรี่โฮม เปิดเผยว่า บริษัทได้ก่อตั้งธุรกิจมามากกว่า 10 ปีแล้ว โดยได้น้อมนำการใช้หลักทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มาเป็นแนวทางสำคัญในการบริหารจัดการองค์กร ตั้งแต่เริ่มสร้างบริษัทนี้ คือการลงทุนในเม็ดเงินทีละน้อย พร้อมกับลงทุนในสิ่งที่จำเป็นและไม่ลงทุนทำอะไรเกินตัว

การที่องค์กรได้น้อมนำหลักปรัชญาของทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ จึงสามารถพิสูจน์ให้ทุกคนได้เห็นว่า ธุรกิจสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน มีแบบแผน สามารถสร้างอาชีพได้อย่างมั่นคง รวมถึงผลักดันให้บริษัทเกิดการบ่มเพาะองค์ความรู้ไปพร้อมกัน

“พฤฒิ เกิดชูชื่น” กรรมการผู้จัดการและผู้ก่อตั้งบริษัท แดรี่โฮม

พฤฒิ กล่าวต่อว่า กว่าที่จะก้าวมาสร้างแดรี่โฮม ให้เติบโตได้นั้น ก่อนหน้านี้ได้เคยทำบริษัทด้านอื่นมาก่อน และประสบกับปัญหาธุรกิจล้ม 2-3 ครั้ง ซึ่งถือเป็นบทเรียนให้กับตัวเอง ที่มีความอ่อนด้อยประสบการณ์ ในช่วงที่เรียนจบจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์และเลือกเรียนด้านโคนม ได้ไปทำงานในองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) เป็นเวลากว่า 10 ปี ทำหน้าที่นักวิชาการให้ความรู้แก่เกษตรกร ปรับปรุงพันธุ์วัวให้มีน้ำนมที่มีคุณภาพสูงขึ้น

googletag.cmd.push(function() { googletag.display(‘div-gpt-ad-1511154358428-0’); });

หลังจากนั้นเมื่อตัดสินใจเปลี่ยนแปลงการทำงาน จึงได้ออกจาก อ.ส.ค. มาเปิดบริษัทที่เกี่ยวกับธุรกิจโคนมด้วยที่ไม่มีประสบการณ์ด้านธุรกิจ ส่งผลให้ธุรกิจไม่เติบโต ต่อมาทำธุรกิจอาหารสัตว์ก็ประสบปัญหาเช่นเดียวกัน โดยพบว่าการมุ่งขยายธุรกิจมาก ทำให้ธุรกิจล้มได้เหมือนกัน ถือเป็นบทเรียนสำคัญในชีวิต ในที่สุดค้นพบว่า การทำธุรกิจที่มีความมั่นคงได้นั้น จะต้องอยู่บนฐานความรู้ของตัวเองอย่างแท้จริงได้คำตอบในการทำธุรกิจสู่ แดรี่โฮม มาจากฐานความรู้เดิมที่มีอยู่ และสามารถดูแลบริหารจัดการเองได้ทั้งหมด

“ตั้งแต่ช่วงเด็กได้ไปท่องเที่ยวดูฟาร์มโคนมที่ อ.มวกเหล็ก จึงเกิดความประทับใจทำให้อยากจะทำฟาร์มโคนม และเลือกเรียนด้านนี้โดยตรง เพราะเราชอบด้านนี้ทั้งที่ในบ้านทุกคนจะทำงานข้าราชการทั้งหมด”พฤฒิกล่าว

การทำธุรกิจแดรี่โฮมจะเป็นธุรกิจที่ค่อยๆ เติบโต ไม่หวือหวาเหมือนธุรกิจอื่น โดยช่วงเริ่มต้นได้เปิดร้านขนาดเล็กบริเวณ อ.มวกเหล็ก และเมื่อธุรกิจมีการขยายตัว ทำให้เริ่มลงทุน ตั้งแต่เครื่องจักรขนาดเล็กที่เป็นแบบพื้นฐานและเป็นเครื่องจักรที่สั่งผลิตในประเทศ ซึ่งเมื่อธุรกิจโตมากขึ้น จึงได้นำเงินภายในองค์กรมาขยายธุรกิจต่อไป อีกทั้งการใช้เครื่องจักรในโรงงาน ได้มีการเตรียมแผนสำรองไว้ หากเครื่องจักรมีปัญหาจะสามารถผลิตสินค้าได้ต่อเนื่อง ขณะเดียวกันองค์กรยังมีการมุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์ สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์สิ่งใหม่ๆ ผ่านการร่วมมือกับนักวิจัยมหาวิทยาลัยอย่างใกล้ชิด

“จากปัญหาของเราที่เคยประสบปัญหาทางธุรกิจ ทำให้พบว่าถ้าเราเดินไม่ระมัดระวัง ก็จะเป็นปัญหาได้และได้ฟังพระราชดำรัสของในหลวงรัชกาลที่ 9 เศรษฐกิจพอเพียง นำมาใช้ในธุรกิจ” พฤฒิ กล่าว

พฤฒิ กล่าวต่อว่า ตนเองได้รับฟังกระแสพระราชดำรัสของในหลวงรัชกาลที่ 9 ตรัสไว้ว่าการทำงานประกอบด้วยความอดทนอย่างต่อเนื่องและยาวนาน ซึ่งจะหมายถึงการมีความอดทนอย่างเดียวไม่พอ จะต้องอดทนอย่างต่อเนื่องยาวนานด้วย บางโครงการใช้เวลา20-30 ปี จะเกิดดอกออกผลมาได้ ก็เหมือนกับบริษัทที่อดทน มุ่งมั่นทำเรื่องนี้ พร้อมใช้แนวทางการทำโคนมเกษตรอินทรีย์ ที่ไม่ใช้สารเคมี และยังสอดคล้องกับแนวทางของเศรษฐกิจพอเพียงเรื่องเกษตรอินทรีย์มากขึ้นไปอีก

โคนมเกษตรอินทรีย์เป็นแนวทางให้เกษตรกรพึ่งพาตัวเอง ใช้ปัจจัยภายในฟาร์ม ทำให้เกษตรกรมีรายจ่ายลดลงรายได้เพิ่มขึ้น ได้น้ำนมมีคุณภาพสูง รวมถึงวัว มีอายุยืนยาวมากขึ้น เพราะจะมีความสุขในการใช้ชีวิตในฟาร์มมีพื้นที่ได้เดินเล่น และมีเวลานอน ไม่ต้องเครียดในการเร่งให้น้ำนม ทำให้ผู้บริโภคที่ดื่มนมอินทรีย์ หรือนมออร์แกนิกได้ประโยชน์สูง

“ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงเป็นแรงบันดาลใจในการทำงานที่สำคัญ ทั้งการเริ่มต้นสร้างฟาร์มโคนมที่เป็นออร์แกนิก ถ้าไม่อดทน คงล้มเลิกไปนานแล้ว และเมื่อมีปัญหาอุปสรรคก็ต้องอดทน ทุกอย่างจะผ่านไปได้ และประสบความสำเร็จในที่สุด”พฤฒิ กล่าวทิ้งท้าย

อาชีพพระราชทาน

อาชีพโคนมมีความสำคัญ ถือว่าเป็นอาชีพพระราชทานของในหลวงรัชกาลที่ 9 ให้แก่คนไทยมาจากการที่ในช่วงปี 2503 พระองค์ได้เสด็จประพาสเดนมาร์ก จึงเห็นฟาร์มโคนมในเดนมาร์กมีจำนวนมากและนมเป็นเครื่องดื่มที่มีประโยชน์ต่อผู้ที่บริโภค สามารถเป็นอาชีพเกษตรที่คนไทยทำได้และมีหลายภูมิภาคที่เลี้ยงโคนมได้ ต่อมาในปี 2505 เดนมาร์กได้มอบโคนมให้แก่ไทย และมีฟาร์มโคนมและศูนย์ฝึกอบรมการเลี้ยงโคนมไทย-เดนมาร์ก

รวมถึงการจัดตั้งสหกรณ์โคนมหนองโพราชบุรี และพระองค์ยังทรงสร้างฟาร์มโคนมในสวนจิตรลดาเพื่อศึกษาเรื่องโคนมอย่างใกล้ชิดด้วยพระองค์เอง ทำให้อาชีพโคนมเจริญก้าวหน้า

แดรี่โฮมที่เป็นโรงงานนมขนาดเล็ก จึงขอมุ่งเผยแพร่ความคิดเรื่องนมอินทรีย์และแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงไปยังเกษตรกรที่ทำฟาร์มโคนม ให้มาใช้แนวทางดังกล่าวเหมือนบริษัท โดยเกษตรอินทรีย์ไม่ว่าจะมีฟาร์มขนาดเล็กและขนาดใหญ่ สามารถใช้แนวทางเกษตรอินทรีย์ได้ทั้งหมด รวมถึงการเปิดให้ร้านแดรี่โฮม อ.มวกเหล็กให้เป็นพื้นที่สาธิต เพื่อให้คนสนใจเข้ามาเรียนรู้เรื่องนี้และมีเกษตรกรที่เลี้ยงโคนมมาศึกษาดูงานอย่างต่อเนื่อง

บริษัทยังมุ่งปลูกฝังพนักงานทุกคนให้มีหัวใจเกษตรอินทรีย์ เปิดให้พนักงานทำฟาร์มปลูกผักอินทรีย์ปลอดสารพิษ และนำมาส่งที่ร้านแดรี่โฮมทำให้พนักงานมีรายได้สูงขึ้น พร้อมร่วมมือกับชุมชนดูแลสิ่งแวดล้อม มีการจัดทำโครงการอนุรักษ์ลำน้ำมวกเหล็ก และการกระตุ้นให้ชุมชนใช้ถังดักไขมัน เพื่อร่วมมือกันบำบัดน้ำเสียภายในชุมชน เป็นผลทำให้สิ่งแวดล้อมในชุมชนดีขึ้น และทุกคนมีคุณภาพชีวิตที่ดี

“น้ำใจทำให้คนรวยกับเศรษฐีแตกต่างกัน” แง่คิดจาก “จิมมี่ ชวาลา”

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

07 พฤศจิกายน 2560 เวลา 18:09 น…. อ่านต่อได้ที่ : https://www.posttoday.com/analysis/interview/524038

"น้ำใจทำให้คนรวยกับเศรษฐีแตกต่างกัน" แง่คิดจาก "จิมมี่ ชวาลา"

ส่องความคิดเศรษฐีใจบุญ “จิมมี่ ชวาลา” แห่งเมืองนครศรีธรรมราช ผู้เชื่อว่าการให้จะช่วยทำให้หลุดพ้นจากพันธนาการของทรัพย์สิน

ชื่อของ “จิมมี่ ชวาลา” เจ้าของกิจการ “จิมมี่คลังผ้า” ใจกลางเมืองนครศรีธรรมราช ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวาง หลังประกาศมอบเงิน 16 ล้านบาทให้กับโครงการก้าวคนละก้าว ของ ตูน บอดี้สแลม

ไม่ใช่ครั้งแรกที่เจ้าของฉายาเศรษฐีผู้ใจบุญบริจาคเงินจำนวนมหาศาลเพื่อสาธารณะประโยชน์ หากย้อนกลับไปเมื่อปี 2558 เขาเคยสร้างความฮือฮา มอบเงิน 28 ล้าน ซื้อทองคำหนัก 20 กิโลกรัมเพื่อใช้บูรณะฯ ปลียอดทองคำพระบรมธาตุเจดีย์ วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหารมาแล้ว นอกจากนั้นยังเป็นที่รับรู้กันดีของชาวนครฯ ถึงความมีน้ำใจและช่วยเหลืองานกุศลต่างๆ มาอย่างต่อเนื่อง

แนวคิดที่ชายหนุ่มวัย 60 ปียึดถือมาตลอดคือ หลักการ “รู้คุณ–ทดแทนคุณ” และหลักธรรมของพระพุทธศาสดาคือ “กฏไตรลักษณ์” อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หมายถึงเกิดมา ตั้งอยู่ และดับไป เป็นหลักในการดำเนินชีวิตและธุรกิจมาโดยตลอด

googletag.cmd.push(function() { googletag.display(‘div-gpt-ad-1511154358428-0’); });

จิมมี่ บอกว่า การนำเงินออกมาบริจาคจะส่งผลให้เราและท่านรู้สึกสบาย ตัวเลขยิ่งมาก ยิ่งหนัก ยิ่งเป็นทุกข์ เป็นภาระและเต็มไปด้วยความห่วง เราไม่รู้ว่าวันข้างหน้าจะยังมีแรงพอเอามาใช้ได้หรือไม่ เพราะฉะนั้นในขณะที่ยังมีลมหายใจ เราควรจะทำในสิ่งที่อยากทำ ทำในสิ่งที่หัวใจเราเรียกร้อง เพื่อทำให้ทุกคนมีความสุข

“วันนี้เราร่วมบริจาค ซื้อเตียง ซื้อเครื่องฟอกไต เครื่องช่วยหายใจ วันข้างหน้าเราหรือลูกหลานเราอาจจะเป็นผู้ใช้สิ่งนั้นก็ได้ พระพุทธองค์สอนเสมอว่า อย่าประมาทในการใช้ชีวิต มนุษย์หนีไม่พ้นกฎไตรลักษณ์ ทุกอย่างเกิดมา ตั้งอยู่ และดับไป

“เรารู้ว่าเราเอาอะไรไปไม่ได้ ตราบใดที่ยังมีลมหายใจ ทำไมไม่ทำในสิ่งที่ทำได้ ทำไมไม่หลุดพ้นจากพันธนาการของทรัพย์สิน ตรงนี้คือสิ่งสำคัญ ใช้มันให้คุ้มและถูกทาง” เขา บอกด้วยว่า ตลอดชีวิตที่ผ่านมาคิดเสมอว่าเมื่อมีโอกาสและอำนาจตัดสินใจทำในสิ่งที่ดีแล้ว ไม่จำเป็นต้องขออนุญาตใคร พร้อมกับหวังว่าจะมีผู้ใจดีและบริจาคเงินแบบตนในจังหวัดอื่นๆ

จิมมี่ ได้เปรียบเปรยด้วยว่า “เศรษฐี” กับ “คนรวย” มีความหมายต่างกัน คนรวยคือคนที่มีทรัพย์ มีเงิน อาจจะมีหลายสิ่งหลายอย่าง แต่เศรษฐีที่แท้จริงคือคนที่มีทรัพย์และมีน้ำใจประเสริฐ คือมีใจที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตากรุณา บางคนมีเงินแสนล้านก็เป็นได้แค่คนรวย แต่บางคนคนมี 5 ล้าน 1 ล้าน 1 แสน ก็เป็นเศรษฐีได้ ถ้าเขามีน้ำใจ คนรวยกับเศรษฐีจึงแตกต่างกัน

ทั้งนี้ ชาวจังหวัดนครศรีธรรมราช ยกย่องจิมมี่ว่าเป็น “มังกรเมืองคอนมหาเศรษฐีใจบุญ” และได้รับการคัดเลือกให้เป็น “คนดีศรีเมืองนคร” รวมถึงได้รับปริญญาธุรกิจมหาบัณฑิต สาขาวิชาบริหารธุรกิจ (การตลาด) จากมหาวิทยาลัยราชภัฎนครศรีธรรมราชอีกด้วย

 

สร้างคุณภาพใหม่ บนรากเหง้าที่ยิ่งใหญ่

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

05 พฤศจิกายน 2560 เวลา 07:51 น….. อ่านต่อได้ที่ : https://www.posttoday.com/analysis/interview/523613

สร้างคุณภาพใหม่ บนรากเหง้าที่ยิ่งใหญ่

โดย…ชัยรัตน์ พัชรไตรรัตน์

เป็นประเด็นได้รับความสนใจอย่างมาก เมื่อ “เอนก เหล่าธรรมทัศน์” อธิการวิทยาลัยรัฐกิจ มหาวิทยาลัยรังสิต และประธานคณะกรรมการปฏิรูปประเทศ ด้านการเมืองได้ออกโพสต์ผ่านเพจเฟซบุ๊กส่วนตัว เมื่อวันที่ 27 ต.ค.ที่ผ่านมา ถึง “คุณภาพของคนไทย เป็นยังไงแน่ : แง่คิดจากงานพระบรมศพ”

เอนก เล่าผ่าน “โพสต์ทูเดย์” ถึงเหตุผลที่เขียนเรื่องดังกล่าว หลังจากตลอดระยะเวลา 1 ปี จนสิ้นสุดงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร เมื่อวันที่ 26 ต.ค.ที่ผ่านมา ทำให้เห็นประชาชนไปอีกมุมหนึ่งเป็นมุมที่มีคุณภาพ

“ถ้าเราใช้มุมอื่นๆ มาดู เราจะเห็นว่าประชาชนไทย ส่วนที่พร้อมยังไม่มากนัก ส่วนที่มีการศึกษายังไม่พอ ส่วนที่เอาใจใส่เรื่องส่วนรวมยังไม่พอ ส่วนที่เป็นจิตอาสายังไม่พอ แต่ถ้าดู 1 ปีกว่า เราเห็นคนไทยอีกแบบหนึ่ง เป็นคนไทยจิตอาสาหลายล้านคน และคนไทยที่มาถวายดอกไม้จันทน์ร่วม 20 ล้านคน

googletag.cmd.push(function() { googletag.display(‘div-gpt-ad-1511154358428-0’); });

คนไทยที่มากราบพระบรมศพหนาแน่นทุกวันติดต่อกันปีกว่า แม้กระทั่งในวันท้ายๆ จนต้องมีการขยายเวลา เพื่อให้ประชาชนเข้ากราบพระบรมศพเป็นภาพที่ต่างชาติพิศวง ชื่นชม มีทั้งที่ไม่เข้าใจ ว่าทำไมประชาชนไทยถึงรักพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศมากมาย”

เอนก ฉายภาพว่า ถ้าสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นแค่วันสองวัน อาทิตย์สองอาทิตย์ หรือเดือนสองเดือน ยังสรุปได้ไม่ชัดว่าประชาชนไทยเป็นคนที่มีคุณภาพเช่นไร ทว่าผ่านมาเป็นปีและมีความเข้มข้นหนาแน่น ปริมาณและคุณภาพมากมาย ส่วนตัวเมื่อได้คิด ประกอบกับพระราชพิธีทุกขั้นตอน ทุกกระบวนการ รวมทั้งริ้วขบวนพระบรมราชอิสริยยศ การร่วมกันถวายพระเพลิงพระบรมศพทั่วประเทศ ทำให้เกิดความรู้สึกว่า “เราเป็นใคร”

“ความทุกข์ ความโศก ความอาลัย ความกตัญญู ประกอบกับพระราชพิธีที่มีเหง้า มีราก มีประวัติศาสตร์ มีประเพณีที่ชาติไหนๆ ในโลกก็เหลือน้อยเต็มที ทำให้เราได้คุณภาพใหม่ ทำให้รู้ว่าเราเป็นใคร มีความภูมิใจ มีพื้นฐาน รากเหง้าที่ยิ่งใหญ่ โอกาสเช่นนี้ไม่ใช่จะเกิดขึ้นง่ายๆ”

อย่างไรก็ดี ไม่มีใครไปจัดการให้มันได้แบบนี้ ถ้าไม่เกิดจากภายในใจ เมื่อเห็นแบบนี้ ความคิดที่มีต่อเรื่องการพัฒนา การปฏิรูป การรู้รักสามัคคี ก็ต้องคิดจากของดี พื้นฐานเดิมที่มีอยู่ ซึ่งเป็นเรื่องของสถาบันดั้งเดิมจำนวนมาก ถ้าคิดเรื่องพัฒนา การปฏิรูป การรู้รักสามัคคี โดยคิดจากมุมของโลกสมัยใหม่ องค์กรสมัยใหม่ หลักความคิดสมัยใหม่ อาจจะไม่เวิร์กเท่าที่ควร

“ถ้าคิดแบบดั้งเดิมของเราให้มากขึ้น ไม่ใช่แค่ข้อกฎหมาย ไม่ใช่เป็นแค่แรงจูงใจ ไม่ใช่เป็นแค่รางวัล ไม่ใช่เป็นแค่การลงโทษ แต่มันต้องเกิดจากจิตสำนึกข้างใน หรือถ้าพูดแบบธรรมะต้องเกิดจากธรรมะภายใน เกิดจากจิตใจภายในที่มันดีงาม ต้องบริสุทธิ์ ต้องสำรวม และต้องถ่อมตัว เข้มงวดตัวเอง ผ่อนปรนผู้อื่น และให้อภัยผู้อื่น มันต้องเริ่มจากตัวเรา ที่มาของการเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่เปลี่ยนแปลง ปฏิรูป พัฒนา โดยที่ภายในไม่ได้เปลี่ยนอะไร”

เอนก ย้ำว่า ของใหม่นั้นไม่ใช่ไม่ดี แต่คนไทยเรียนแบบตะวันตกตั้งแต่ชั้นประถมเรื่อยมาเป็นศาสตร์ของนานาอารยประเทศ เป็นศาสตร์ของแม่แบบประชาธิปไตย เป็นตัวอย่างประชาธิปไตย ทำให้มีแนวโน้มว่าการแก้ปัญหาอยู่ที่ เช่น การเจรจา การกดดัน การใช้กฎหมาย การอิงแต่รัฐธรรมนูญ หรือว่าต้องให้ราชการ หรือรัฐทำ แต่การปฏิรูป การพัฒนา การรู้รักสามัคคี จะไปหวังให้รัฐทำไม่ใช่

“ผมคิดว่าเรามีอะไรดีกว่านั้นเยอะในสถาบันดั้งเดิมของเรา คือ ท่านมีประสบการณ์ ท่านมีสิ่งที่สืบทอดกันมาในตระกูลของท่าน ในการปกครองบ้านเมือง หรือทรงครองราชย์มาร่วม 200 ปี มีอะไรเยอะมาก ดังนั้น เวลาเราพูดถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ ไม่ได้หมายถึงองค์พระมหากษัตริย์เท่านั้น ยังหมายถึงเจ้าฟ้า เจ้านาย ที่สำคัญๆ อีกหลายพระองค์ ผมคิดว่าถ้าเราสามารถทำให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

ปัญหาอะไรก็แก้ได้ ในสิ่งที่เราแก้ไม่ตก ไม่ว่าจะเป็นปฏิรูป การพัฒนา การรู้รักสามัคคี ได้อาศัยบุญบารมีของพระองค์ท่าน น้อมตัวที่จะไปขอพระราชทานคำแนะนำ ขอพระราชทานพระปรีชาญาณของท่านมาช่วยเรา อาจจะเป็นอีกทางหนึ่ง ถ้าเราอยู่ในระบบ ระบอบ ระเบียบของแบบสมัยใหม่ ก็ไม่แน่ใจว่าจะดีงามเช่นนี้หรือไม่ แต่ถ้าอยู่ในระบอบ ระเบียบ ระบบ วิธีคิด วัฒนธรรม แบบดั้งเดิม ผมว่าเห็นพลัง”

อย่างไรก็ตาม การเห็นคนรักสถาบันพระมหากษัตริย์ รักองค์พระมหากษัตริย์ รักพระมหากษัตริย์ที่สวรรคต และชื่นชมพระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่ที่อยู่ในขนบประเพณีตลอดเวลากว่า 1 ปี โดยเฉพาะตั้งแต่วันที่ 13-26 ต.ค. การที่ได้เห็นสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร เสด็จพระราชดำเนินบนถนนที่ร้อน เสด็จพระราชดำเนินเวียนรอบสนามหลวง รอบพระเมรุมาศ ซึ่งร้อนมาก แต่พระองค์ท่านอยู่ในขบวนพระราชพิธีทั้งหมดอย่างสง่างาม

“ทำให้เราเกิดความรู้สึกปลื้มปีติ และเราเองที่มาไม่ใช่ใครไปร้องขอ ไม่ใช่ใครให้เงินเป็นค่าเดินทางมา ทุกคนมาด้วยใจ หลายคนก็มานอนรอ และคนมานอนรอใช่ว่าจะเป็นคนยากจนเสียทั้งหมด คนมีฐานะก็จำนวนมากมานอนรอกลางดิน กินกลางทราย เหล่านี้ออกมาจากใจ ฉะนั้น ถ้าเราจะพัฒนา เราจะปฏิรูป เราจะรักสามัคคี ต้องออกมาจากใจของเราให้มากขึ้น คิดว่าอย่างนั้น เพราะดูจากงานพระบรมศพและทำให้ได้สติคิดอะไรขึ้นมา”

ส่วนการจะทำให้คนส่วนใหญ่มุ่งเห็นภาพไปในทิศทางเดียวกันโดยเฉพาะการปฏิรูปสามัคคีกันนั้น เอนก บอกว่า ทำได้หลายๆ อย่าง เท่าที่มีสติปัญญาคิดออก เช่น ทุกฝ่ายเข้ากราบบังคมทูลขอพระราชทานพระราโชบาย ถ้าจะให้พระองค์ท่านมาทำอะไรเองคงไม่เหมาะสม นอกจากเราน้อมตัวเพื่อขอพระราชทาน และต้องร่วมแรงร่วมใจกันว่า ถ้าท่านมีรับสั่ง ตรัสอะไร หรือสอนอย่างไร เอามาเป็นข้อยุติ

“มันจะเป็นคนอีกคุณภาพหนึ่งที่พร้อมใจ ต่อไปนี้ไม่ถือเป็นคนขัดแย้งกัน เป็นพสกนิกรร่วมพระเจ้าแผ่นดินองค์เดียวกัน จะทำให้การเริ่มรัชกาลที่ 10 ซึ่งกำลังจะมีพิธีพระบรมราชาภิเษก จะสง่างามสวยงามที่สุด ไม่อยากให้งานพระบรมศพจบลง แล้วเราก็กลับไปเป็นคนแบบเดิม การเสด็จสวรรคตของพระเจ้าอยู่หัวพระองค์หนึ่ง แล้วตามด้วยพระบรมศพยิ่งใหญ่มาก ได้สอนอะไรเราบ้าง เก็บรับเอามา คิดถึงปัญหาที่ยังเหลืออยู่ ซึ่งรัฐบาลก็คงพยายามคิด แต่เราต้องมาช่วยกันเป็นหนึ่งเดียวกัน โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นที่พึ่ง ซึ่งมันเหมาะสมมาก และจะสอดคล้องกับคุณสมบัติคนไทย”

เอนก ยอมรับว่า ถ้าเรื่องนี้สามารถทำกันเองได้ยิ่งดี แล้วน้อมเกล้าฯ ถวายแด่พระเจ้าอยู่หัวพระองค์ใหม่ได้ ก็จะยิ่งประเสริฐต้องคิดกันว่า ทำอะไรเพื่อเฉลิมฉลองรัชกาลใหม่ มอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับรัชกาลใหม่ เพราะรัชกาลใหม่สำคัญ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสถาบันพระมหากษัตริย์

“เราต้องเสริมความเข้มแข็งมั่นคงยืนยงให้กับสถาบัน รัชกาลแล้วรัชกาลเล่าก็จะเป็นเช่นนั้นไปเรื่อยๆ ฉะนั้น ถ้าเราคิดกันได้ประเสริฐที่สุด ถ้าเรามอง 70 ปี พระองค์ท่าน ประเทศไทยก้าวหน้ามาเยอะมาก แต่ถ้ามองรัฐบาลเป็นชุดๆ ก็จะไม่เห็น จะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ดูนายกฯ ดูรัฐมนตรีเป็นคนคนจะไม่มีอะไรชื่นชมจะเห็นแต่ปัญหา เมื่อมีเหตุการณ์สวรรคตทำให้กลับไปทบทวน 70 ปีของพระองค์ท่าน ว่าประเทศไทยยั่งยืน มั่นคง สืบต่อมา ความขัดแย้งมันจิ๊บจ๊อย

เพราะมันมีอะไรยิ่งใหญ่เหลือเกินที่มันเกิดขึ้นตลอด 70 ปี เราเปลี่ยนจากประเทศที่จนที่สุดแห่งหนึ่งของโลก กลายเป็นประเทศรายได้ปานกลางระดับบน จากประเทศไม่มีใครรู้จัก กลายเป็นประเทศที่มีคนมาเที่ยวมากอันดับ 4-5 ของโลก กรุงเทพฯ ที่ไม่มีใครรู้จัก ยกเว้นคนสนใจเอเชียอาคเนย์กลายเป็นเมืองที่คนมาเที่ยว เดินทางมารักษาตัวกันมากที่สุดในโลก ก็เกิดขึ้นภายใน 70 ปี ทำให้เราได้มาทบทวนตัวเอง และเราได้พบว่าคุณภาพใหม่ของเรา คือ ประเทศมาไกลมาก”