กปภ.เดินหน้า17โครงการสำรองน้ำดิบ-สู้ภัยแล้ง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/detail/20160126/221201.html

การเมือง : ข่าวทั่วไป
วันอังคารที่ 26 มกราคม 2559
กปภ.เดินหน้า17โครงการสำรองน้ำดิบ-สู้ภัยแล้ง
กปภ.เดินหน้า17โครงการสำรองน้ำดิบ-สู้ภัยแล้ง

เกาะติดวิกฤติแล้ง : กปภ.เดินหน้า 17 โครงการ สำรองน้ำดิบ-สู้ภัยแล้ง

 

    จากสภาวะภัยแล้งที่ส่งผลกระทบกับกลุ่มเกษตรกร ทำให้ขาดแคลนน้ำเพื่อการเกษตร ขณะเดียวกันภาวะน้ำสะสมในเขื่อนต่างๆ และแม่น้ำคูคลองที่ลดระดับลง ยังอาจส่งผลต่อน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคที่จะกระทบต่อประชาชนจำนวนมาก
    ล่าสุด การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) มีแผนงานใช้งบประมาณ 8,000 ล้านบาท รับมือสถานการณ์แล้ง ทั้งระยะสั้น-ระยะยาว และแก้ปัญหาเฉพาะหน้า โดยเดินหน้า 17 โครงการจัดหาน้ำดิบสำรอง พร้อมเร่งทำยุทธศาสตร์น้ำในปี 2560-2561 และบูรณาการหน่วยงานเกี่ยวข้องสู้ภัยแล้งอย่างยั่งยืน
    “รัตนา กิจวรรณ” ผู้ว่าการการประปาส่วนภูมิภาค กล่าวถึงการรับมือภัยแล้งว่า กปภ.ได้กำหนดมาตรการรับสถานการณ์ภัยแล้งในปี 2559 ไว้ 3 ระยะด้วยกัน คือ ในระยะเร่งด่วน จะเร่งดำเนินการขุดลอกคูคลอง วางระบบท่อน้ำดิบ โดยใช้งบประมาณกว่า 300 ล้านบาท และมีงบลงทุนประจำปีอีก 700 ล้านบาท ประกอบด้วย แผนงานเจาะบ่อบาดาล วางท่อน้ำดิบ ก่อสร้างระบบผลิตและวางท่อ ปรับปรุงแหล่งน้ำ ขุดสระเก็บน้ำและวางท่อขยายเขต
    รวมทั้งในปีนี้มีการจัดซื้อรถบรรทุกน้ำเพิ่มอีก 10 คัน พร้อมจัดตั้งศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจและแก้ไขภัยแล้งของ กปภ. ทั้งในส่วนสำนักงานใหญ่ กปภ.เขต และ กปภ.สาขา
    ส่วนในระยะสั้น จัดทำแผน 17 โครงการ วงเงิน 1,155 ล้านบาท ประกอบด้วย แผนงานวางท่อน้ำดิบ ก่อสร้างระบบผลิตและวางท่อ และก่อสร้างระบบผลิต เพื่อรองรับการหาแหล่งน้ำสำรองเพิ่มเติม ส่วนในระยะยาวจะกำหนดยุทธศาสตร์บริการจัดการน้ำระหว่างปี 2560-2561 โดยใช้งบประมาณอีกกว่า 4,000 ล้านบาท ประกอบด้วย แผนงานเจาะบ่อบาดาล วางท่อน้ำดิบ ก่อสร้างระบบผลิตและวางท่อ ก่อสร้างระบบผลิต ปรับปรุงแหล่งน้ำ และขุดสระเก็บน้ำ
    นอกจากนี้ยังกู้เงินมาสำรองไว้บริหารจัดการน้ำกว่า 1,700 ล้านบาท เพื่อขยายพื้นที่ให้บริการน้ำประปา ปรับปรุงระบบการผลิตด้านต่างๆ พร้อมจัดตั้งศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยแล้ง ที่ กปภ.สำนักงานใหญ่ เพื่อติดตามสถานการณ์ภัยแล้งและตั้งศูนย์อำนายการเฉพาะกิจในพื้นที่ 10 เขตรับผิดชอบของ กปภ.ทั่วทุกภาค
    “ขณะเดียวกันยังร่วมกับหลายภาคส่วนจัดโครงการ “ราษฎร์ รัฐ ร่วมใจช่วยภัยแล้ง” แจกจ่ายน้ำให้ประชาชนในพื้นที่ประสบภัยแล้ง เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนด้วย โดยร่วมกับหลายหน่วยงาน ทั้งกองทัพบก การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค กรมทรัพยากรน้ำบาดาล กรมทางหลวง และปตท. ทั้งนี้ในปี 2558 ที่ผ่านมา กปภ.มีการจ่ายน้ำฟรีเพื่อช่วยเหลือภัยแล้งไปแล้วประมาณ 642 ล้านลิตร คิดเป็นมูลค่า 11.6 ล้านบาท และปีนี้ได้เตรียมการเป็นพิเศษใน กปภ.สาขา ที่เคยมีปัญหาในปีก่อน” ผู้ว่าการ กปภ. กล่าว
    รัตนา ระบุด้วยว่า ปีที่ผ่านมาแม้ผลจากพายุหว่ามก๋อ จะทำให้มีฝนตกเป็นบริเวณกว้าง ซึ่งน่าเป็นผลดีต่อการที่น้ำจะไหลลงอ่างเพื่อกักเก็บไว้ใช้ในการผลิตน้ำประปา แต่จากข้อมูลปริมาณน้ำฝนตกสะสมทั่วประเทศในปี 2558 น้อยกว่าเกณฑ์ปกติอยู่มาก จะทำให้ปีนี้เกิดภาวะภัยแล้งรุนแรง ทาง กปภ.จึงกำชับให้ กปภ.ทั้ง 234 สาขา เร่งสำรวจแหล่งน้ำสำรองในแต่ละพื้นที่ ทั้งที่เป็นส่วนของเอกชน แหล่งน้ำสาธารณะหรือหน่วยงานอื่นๆ ที่สามารถนำมาใช้เป็นแหล่งน้ำดิบในการผลิตน้ำประปาได้เพื่อเป็นน้ำต้นทุนสำรอง รวมทั้ง กปภ.ยังทำข้อตกลงกับกรมชลประทาน เพื่อให้จัดสรรน้ำให้เพียงพอต่อการผลิตน้ำประปา แต่ขณะเดียวกันก็มองแหล่งน้ำอื่นไว้ด้วย เพราะอาจจะมีสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ เช่น การลักลอบสูบน้ำเพื่อไปใช้ในการเกษตร
    อย่างไรก็ตาม แม้ กปภ.จะพยายามหาแหล่งน้ำสำรอง แต่ก็อยากจะขอความร่วมมือประชาชนช่วยกันประหยัดการใช้น้ำ และช่วยกันลดความสูญเสีย อย่างเช่น ช่วยกันตรวจดูท่อที่ชำรุดรั่วไหล
    “ปัจจุบันประชาชนบางส่วนยังไม่เห็นความสำคัญของการประหยัดน้ำ คิดว่าน้ำเป็นของหาง่ายและไม่มีวันหมด และเห็นว่าน้ำประปามีราคาถูกสามารถที่จะจ่ายได้ จึงไม่ได้คิดเรื่องการประหยัดน้ำ ซึ่งเป็นความเข้าใจผิด เพราะสถานการณ์น้ำปัจจุบันมีความน่าเป็นห่วง เห็นได้จากคุณภาพน้ำดิบจากแม่น้ำสายหลักที่คุณภาพเสื่อมลงมาก”
    ขณะที่ “จิรชัย ทองมูลโร่ย” ประธานกรรมการการประปาส่วนภูมิภาค กล่าวว่า จากการประเมินสถานการณ์ภัยแล้งร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะการติดตามสถานการณ์น้ำท่าร่วมกับกรมชลประทาน พบว่าในปี 2559 ประเทศไทยจะประสบปัญหาภัยแล้งที่รุนแรงและยาวนานกว่าทุกปี
    ดังนั้น กปภ.จึงได้ประชุมประเมินสถานการณ์ร่วมกับกรมชลประทาน กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น เพื่อบูรณาการแก้ปัญหา โดยนำข้อมูลของ กปภ.สาขาที่ประสบภัยแล้งปีที่ผ่านมา เข้าไปไว้ในแผนการจัดสรรน้ำปี 2559 และยืนยันว่า จะกักเก็บน้ำไว้เพื่อการอุปโภคบริโภคเป็นอันดับแรก ในกรณีพื้นที่ใดมีน้ำดิบไม่พอผลิตน้ำประปา กรมชลประทานพร้อมจะสูบหรือผันน้ำจากแหล่งน้ำใกล้เคียงเข้ามาช่วยเหลือ
    ส่วนกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น จะให้ความร่วมมือกับ กปภ.ในการพัฒนาและแก้ไขปัญหาแหล่งน้ำดิบ ตลอดจนการเตรียมความพร้อมเพื่อให้การช่วยเหลือประชาชนในแต่ละพื้นที่หากประสบปัญหาภัยแล้งรุนแรง
    สำหรับการแก้ปัญหาภัยแล้งอย่างยั่งยืน กปภ.ได้กำหนดยุทธศาสตร์ปี 2560-2561 เดินหน้าแผนงานเจาะบ่อบาดาล วางท่อน้ำดิบ ก่อสร้างระบบผลิตและวางท่อ ปรับปรุงแหล่งน้ำและขุดสระเก็บน้ำ วงเงินรวมประมาณ 4,000 ล้านบาท เพื่อเสริมสร้างศักยภาพการเก็บน้ำและสูบจ่ายน้ำประปาให้ประชาชนได้มีน้ำประปาใช้ตลอดทั้งปี
    จิรชัย กล่าวทิ้งท้ายว่า “แม้ภัยแล้งจะเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นปกติทุกปี และกปภ.มีการลงทุนแก้ปัญหาน้ำดิบอย่างต่อเนื่องแล้วก็ตาม แต่ยังต้องขอคว?ามร่วมมือประชาชนในการประหยัดน้ำ และช่วยกันตรวจสอบระบบท่อประปาภายในบ้านไม่ให้เกิดการรั่วไหล และหากประชาชนประสบปัญหาสามารถแจ้งได้ที่สำนักงานของ กปภ.ทั้ง 234 สาขา”
นักวิชาการหวั่นสงครามแย่งน้ำ
    ดร.ธนวัฒน์ จารุพงษ์สกุล ภาควิชาธรณีวิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงสถานการณ์ภัยแล้งว่า ปีที่แล้วฝนตกช้า และมีปริมาณที่ตกลงมาน้อย ทำให้น้ำต้นทุนที่มีอยู่ในเขื่อนหลักๆ ทั่วประเทศมีปริมาณน้อยกว่าปีที่แล้วมาก ที่ผ่านมาหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการน้ำก็พยายามแก้ปัญหาด้วยการลดการปล่อยน้ำ รวมถึงรณรงค์ให้ชาวนาในพื้นที่ชลประทานในภาคกลางงดปลูกข้าวนาปรังและพยายามปล่อยน้ำลงมาให้น้อยที่สุด
    “ถ้าประเมินจากปริมาณน้ำต้นทุนที่มีอยู่ใน 4 เขื่อนหลัก สถานการณ์น้ำตอนนี้เริ่มเห็นแล้วว่าไม่น่าจะเพียงพอ ในเดือนมกราคมนี้เริ่มเห็นชัดเจนมากขึ้น คาดว่าในเดือนเมษายนนี้ สถานการณ์ภัยแล้งจะหนักหน่วง และฝนที่ตกตอนนี้เป็นฝนที่ตกท้ายเขื่อนคลายความร้อนเท่านั้น ไม่ได้เติมน้ำต้นทุนในเขื่อนและฝนที่ตกลงมาก็ไม่ได้มีปริมาณมากเพียงพอ”
    ดร.ธนวัฒน์ ระบุว่า จากสถานการณ์ที่กำลังเผชิญภัยแล้ง ในเดือนมีนาคมและเมษายนปีนี้ จะร้อนสูงสุดเป็นประวัติการณ์ก็ได้ สิ่งที่ตามมาอาจจะมีฝนตกมีพายุฤดูร้อน แต่พายุฤดูร้อนก็ไม่ได้มีปริมาณน้ำฝนมาก อาจมีลมกระโชก พายุลูกเห็บ ความรุนแรงก็จะตามมา ทั้งนี้จากแบบจำลองของเอลนีโญที่นักวิทยาศาสตร์ได้จัดทำขึ้น ตอนนี้ประเทศไทยยังอยู่ในปรากฏการณ์เอลนีโญที่รุนแรง สภาพอากาศจะเข้าสู่ภาวะปกติในช่วงต้นฤดูฝนคือเดือนพฤษภาคมปีนี้
    ส่วนการบริหารจัดการน้ำใน 4 เขื่อนหลัก อาจารย์ภาควิชาธรณีวิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ ผู้นี้ กล่าวว่า เท่าที่สังเกตดูตอนนี้มีปริมาณน้ำปริ่มๆ แต่ตรงนั้นเป็นตัวเลขในเชิงคณิตศาสตร์ ความจริงแล้วการปล่อยน้ำต้องคำนึงถึงปัจจัยผันแปร เพราะปริมาณน้ำในเขื่อนที่มีอยู่จะมีการระเหย ปริมาณน้ำที่ตั้งไว้คงต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ รวมถึงอาจจะต้องมีการปล่อยน้ำมากกว่าปริมาณที่หน่วยงานที่รับผิดชอบตั้งเอาไว้ เพราะตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์เป็นต้นไป เราจะเจอปัญหาเรื่องน้ำทะเลหนุน ทำให้เกิดปัญหาน้ำเค็ม จึงอาจจะต้องปล่อยน้ำเพื่อผลักดันน้ำเค็มมากขึ้น ดังนั้นหน้าแล้งปีนี้จึงคิดว่าหนักหนาสาหัส
    ดร.ธนวัฒน์ เห็นว่า การแก้ปัญหาระยะสั้น ให้หน่วยงานภาครัฐออกมาให้ความรู้และสร้างความตระหนักวิกฤติภัยแล้งปีนี้ เพื่อให้ทุกภาคส่วนช่วยกันประหยัดน้ำ ไม่ใช่เฉพาะคนในเมือง ภาคอุตสาหกรรม ภาคอุปโภคบริโภค ภาคเกษตรก็ต้องช่วยกัน อย่าขโมยสูบน้ำที่ปล่อยออกมา ต้องประหยัดน้ำตั้งแต่วันนี้ ไม่ใช่ไปรณรงค์กันตอนที่เกิดวิกฤติแล้ว ซึ่งคนกรุงเทพฯ ก็ยังไม่เห็นวิกฤติ ส่วนหน่วยงานที่ผลิตน้ำประปาก็ควรผลิตน้ำประปาสำรองเอาไว้ แล้วมีมาตรการออกมา เช่น ปล่อยน้ำในปริมาณลดลง พอเริ่มวิกฤติจริงก็อาจจะปล่อยน้ำแบบวันเว้นวัน เพื่อเตือนประชาชนจะได้รู้ว่าตอนนี้เรากำลังเข้าสู่ภาวะที่เสี่ยงมากๆ ที่จะขาดน้ำ
    “ปีนี้คงเห็นภาคเกษตรแย่งน้ำหนักกว่าทุกปี คงเห็นสงครามแย่งน้ำที่เป็นรูปธรรม ในส่วนนี้ต้องทำความเข้าใจและมีระบบเยียวยา โดยเฉพาะชาวนาที่ไม่ได้ปลูกข้าวนาปีในปีที่แล้ว เพราะเชื่อรัฐบาล ซึ่งกลุ่มนี้น่าเห็นใจที่สุด รัฐบาลต้องเข้าไปช่วยเหลือ ไม่เช่นนั้นเขาจะเดือดร้อนหนัก โดยความเสี่ยงขาดแคลนน้ำในภาคเกษตรกรจะประสบปัญหาทั่วประเทศ ทั้งในเขตพื้นที่ชลประทานและนอกเขตพื้นที่ชลประทาน ตอนนี้พื้นที่วิกฤติมากคือภาคกลาง เพราะชาวนาคุ้นเคยกับการได้น้ำมาตั้งแต่ในอดีต อย่างเช่นปี 2549 ที่วิกฤติหนักที่สุด ชาวนาในภาคกลางก็ยังได้น้ำปลูกข้าวนาปรังได้ แต่ปีนี้ภัยแล้งน่าจะหนักกว่าปี 2549 ข้าวนาปรังที่ปลูกจะได้รับความเสียหาย ส่วนภาคใต้ปัญหาไม่หนัก”
    อาจารย์ภาควิชาธรณีวิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวด้วยว่า การเรียนรู้ของเรายังน้อย โดยเฉพาะคนที่บริหารจัดการน้ำ เพราะธรรมชาติบอกและเตือนแล้วว่าธรรมชาติเปลี่ยนไปแล้ว แต่คนที่บริหารจัดการน้ำยังมีวิธีคิดและปรัชญาในการบริหารจัดการน้ำเป็นแบบเดิมๆ จึงต้องมาดูกันทั้งระบบ ซึ่งเราต้องปรับตัวกับสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป และปรับตัวกับทรัพยากรน้ำที่ไม่แน่นอน
    ทั้งนี้ หน่วยงานของรัฐและรัฐบาลจะต้องเอาจริงเอาจัง ไม่มองระยะสั้น ต้องมองระยะยาวในหลายมุม ไม่ใช่มองหาน้ำอย่างเดียว เช่นเวลาเกิดภัยแล้งก็ไปมองเรื่องการผันน้ำเข้ามา ตรงนี้เป็นการแก้ไขปัญหามิติเดียว ปัญหาที่จะตามมาอาจจะใหญ่กว่าการแก้ปัญหาภัยแล้งที่ทำความเสียหายมากกว่า เช่น เมื่อขาดแคลนน้ำก็หาน้ำเข้ามาเยอะๆ แต่เมื่อมีน้ำเยอะก็อาจเจอกับปัญหาน้ำท่วมหนักด้วย

 

เปิดแผนฝ่าแล้งทัพหน้าเศรษฐกิจ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/detail/20160125/221152.html

การเมือง : ข่าวทั่วไป
วันจันทร์ที่ 25 มกราคม 2559
เปิดแผนฝ่าแล้งทัพหน้าเศรษฐกิจ
เปิดแผนฝ่าแล้งทัพหน้าเศรษฐกิจ
เปิดแผนฝ่าแล้งทัพหน้าเศรษฐกิจ
เปิดแผนฝ่าแล้งทัพหน้าเศรษฐกิจ

เปิดแผนฝ่าแล้ง ทัพหน้าเศรษฐกิจ : เกาะติดวิกฤติแล้ง

 

     แม้สภาพอากาศที่แปรปรวน มีฝนตกจนน้ำท่วมในบางพื้นที่ ตามด้วยสายลมหนาว ซึ่งทำให้อุณหภูมิลดลงอย่างรวดเร็ว หากแต่สถานการณ์ภัยแล้งที่ก่อตัวขึ้นอีกครั้งเมื่อสิ้นสุดหน้าฝนในเดือนพฤศจิกายน ก็ยังไม่มีสัญญาณใดบ่งบอกว่าจะคลี่คลายได้เร็วกว่า 4 เดือน เป็นอย่างน้อย อย่างที่คาดหมายกันไว้ล่วงหน้า
     ภาคอุตสาหกรรม อันเป็นเครื่องจักรใหญ่ของระบบเศรษฐกิจก็กำลังถูกจับตามองว่า จะได้รับผลกระทบหรือไม่ ซึ่งทั้งหลายทั้งปวงย่อมขึ้นอยู่กับแผนรับมือ และการบริหารจัดการที่ดี
     จักรรัฐ เลิศโอภาส รองผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) กล่าวว่า ในภาคเหนือจะได้รับผลกระทบมากที่สุด ส่วนภูมิภาคอื่นๆยังคงมีปริมาณน้ำสำรองเพียงพอ ในส่วนสถานการณ์น้ำของนิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือ จ.ลำพูน สูบน้ำดิบจากแม่น้ำกวงวันละ 1 หมื่นลบ.ม. มาเก็บสำรองไว้ในอ่างน้ำดิบ รักษาปริมาณน้ำสำรองให้เต็มความจุอ่างน้ำดิบที่ 4 แสน ลบ.ม. คาดว่าสูบได้ถึงสิ้นเดือนมกราคมนี้ เพื่อผลิตน้ำประปาจำหน่ายให้ผู้ประกอบการจำนวน 75 โรงงาน ส่วนใหญ่เป็นโรงงานจากญี่ปุ่น จำนวน 30 ราย โดยในปัจจุบันจ่ายน้ำประปาประมาณ 1.8 หมื่น ลบ.ม./วัน
     นอกจากนี้ยังจัดให้มีฟอรั่มแลกเปลี่ยนเรียนรู้การประหยัดการใช้น้ำประปาโดยไม่ลดกำลังการผลิตของโรงงานที่ใช้น้ำมาก 10 อันดับ เมื่อวันที่ 11 มกราคม ที่ผ่านมา เริ่มใช้ระบบนำน้ำเสียที่ผ่านการบำบัดแล้วมาเก็บไว้ในอ่างน้ำดิบ 1 หมื่น ลบ.ม./วัน ผลิตเป็นน้ำประปา การพัฒนาน้ำบาดาลสำหรับเป็นแหล่งน้ำสำรอง โดยจะขุดเจาะบาดาล 1 บ่อ จะสามารถเริ่มสูบน้ำบาดาลมาเก็บไว้ในอ่างน้ำดิบได้ตั้งแต่กลางเดือนกุมภาพันธ์ 2559 เป็นต้นไป รวมทั้งยังเตรียมทำสัญญาซื้อน้ำดิบจากบ่อเอกชนในบริเวณใกล้เคียง ปริมาณรวม 3 แสน ลบ.ม. สามารถส่งน้ำดิบให้นิคมภาคเหนือได้ภายในวันที่ 15 กุมภาพันธ์นี้
     กฤตยาพร ทัพภะทัต รองผู้ว่าการ กนอ.กล่าวว่า ในเขตนิคมภาคกลาง พื้นที่ จ.พระนครศรีอยุธยา และ จ.สระบุรี ทั้ง 5 นิคมนั้น จะอยู่ในพื้นที่ จ.พระนครศรีอยุธยา 3 แห่ง คือ นิคมบางปะอิน นิคมไฮเทค และนิคมสหรัตนนคร โดยนิคมเหล่านี้พึ่งพาน้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยา และแม่น้ำป่าสัก และใช้น้ำบาดาลเป็นน้ำสำรองเป็นหลัก ซึ่งในพื้นที่นี้มีน้ำบาดาลอยู่เพียงพอ รวมทั้งยังให้แต่ละนิคมใช้นโยบายประหยัดน้ำ และนำน้ำเสียกลับมาบำบัดหมุนเวียนใช้ในนิคมให้มากที่สุด ซึ่งจะทำให้แต่ละนิคมปล่อยน้ำเสียลดลง ช่วยลดปัญหาน้ำเน่าเสียในช่วงหน้าแล้งได้ด้วย
     ส่วนนิคมในพื้นที่ จ.สระบุรี และ อ.แก่งคอย ได้เตรียมบ่อน้ำบาดาลสำรองไว้แล้ว สำหรับนิคมหนองแคยังพัฒนาเหมืองดินเก่าเป็นอ่างเก็บน้ำเพิ่มเพื่อสำรองใช้น้ำในหน้าแล้ง มีปริมาณกักเก็บ 9 แสนลบ.ม. ซึ่งเพียงพอต่อการใช้ในช่วงแล้ง ทำให้มั่นใจว่าจะไม่ประสบภาวะขาดแคลนน้ำจนส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของภาคอุตสาหกรรม ขณะที่นิคมในภาคตะวันออกคาดว่าจะไม่ประสบปัญหาขาดแคลนน้ำ เพราะบริษัทอีสท์วอเตอร์ได้เตรียมการรองรับมานานแล้ว และอ่างน้ำสำรองทั้งหมดมีน้ำอยู่เพียงพอ
     วิบูลย์ กรมดิษฐ์ กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า หลักการจัดการน้ำของอมตะอยู่บนพื้นฐานสำคัญ นั่นคือ การสร้างกลไกการใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพ และการพัฒนาแหล่งน้ำอย่างต่อเนื่อง ไม่ได้พึ่งพาน้ำต้นทุนหรือน้ำจากธรรมชาติที่มีอยู่อย่างจำกัด แต่ได้พัฒนาแหล่งน้ำ และรีไซเคิลน้ำเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่ แม้จะมีต้นทุนที่สูง แต่นี่คือ “สแตนดาร์ดของนิคม”
     วิบูลย์ ย้ำว่า นิคมอมตะมีการใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพ และลงทุนสร้างแหล่งน้ำเป็นของตัวเอง เพราะมองว่าแหล่งน้ำของภาครัฐไม่สามารถใช้ได้ทั้งปี ในส่วนของอมตะนคร บริหารและเก็บสต็อกไว้ใช้ได้ทั้งปี แม้ฝนจะตกล่าช้าไป ไม่ว่าจะเป็นช่วงเดือนมิถุนายน เดือนกันยายน เดือนตุลาคม หรือเดือนธันวาคม ทางอมตะก็มีน้ำใช้ที่เพียงพอ ต้องยอมรับว่า มีการใช้น้ำเพิ่มขึ้นทุกปี แต่เรามีการจัดการโดยการรียูส-รีไซเคิลนำน้ำกลับมาใช้ ดังนั้นแล้งไม่แล้งเราก็มีน้ำใช้ที่เพียงพอ
     “พี่ชายผม (วิกรม กรมดิษฐ์) เป็นโรคกลัวน้ำมาก นั่นหมายถึงว่า ถ้าเราส่งน้ำให้โรงงานไม่ได้ โรงงานฟ้องเราเจ๊งแน่ อย่างไดกิ้น อินดัสทรีส์ (ประเทศไทย) จำกัด หากเขาฟ้องร้องสัก 3-4 หมื่นล้านบาท แค่โรงงานเดียวก็ยืนไม่อยู่แล้ว เพราะเขาผลิตปีละประมาณ 3-4 หมื่นล้านบาท หรือบริษัทมิตซูบิชิ อิเล็คทริค ผลิตปีละประมาณ 3-4 หมื่นล้านบาท ผมโดนไปสองบริษัทเป็นแสนล้านบาท ถ้าถูกฟ้องขึ้นมาเพราะไม่มีน้ำให้ ผมไม่เชื่อว่าอมตะจะรอด” วิบูลย์ กล่าว
     ดังนั้นเพื่อเป็นการรองรับการใช้น้ำของภาคการผลิตและสนามกอล์ฟ อมตะมีบ่อผลิตน้ำดิบทั้งบ่อที่อยู่ในพื้นที่ของอมตะเอง และบ่อน้ำที่รับซื้อจากภายนอก รวมเนื้อที่ประมาณ 900 ไร่ ในส่วนของบ่อเอกชนก็มีสัญญารับซื้อที่แน่นอน โดยในปี 2558 อมตะสามารถเก็บน้ำต้นทุนหรือน้ำดิบไว้ 19.5 ล้าน ลบ.ม. แต่ปี 2559 สามารถเก็บไว้ได้ถึง 19.8 ล้านลบ.ม.
     ในจำนวนพื้นที่ 900 ไร่ เราสามารถกักเก็บน้ำไว้ใช้ได้ปีนี้ถึง 30 ล้านลบ.ม. ซึ่งเพียงพอต่อความต้องการใช้ของภาคการผลิตและสนามกอล์ฟอยู่แล้ว แม้ฝนจะตกหรือไม่ก็ตาม อมตะจะมีน้ำใช้อย่างเพียงพอ 14-15 เดือน
     นอกจากนี้เรายังมีแผนการรีไซเคิลน้ำที่ใช้แล้วด้วยระบบ RO (REVERSE OSMOSIS) นำกลับมาใช้ใหม่ในระบบ ทำให้การใช้น้ำดิบจากแหล่งที่อมตะกักเก็บไว้น้อยลง
     “อุตสาหกรรมไม่จำเป็นต้องไปแย่งน้ำจากเกษตรกรรมเลยแม้แต่น้อย เนื่องจากระบบบริหารจัดการและระบบกักเก็บของเรามันมีมากพอที่จะให้ใช้ได้ทั้งปี มากกว่า 1 ปี ดังนั้นปัญหาที่เราจะขัดแย้งกับชาวบ้านไม่มี น้ำใช้เพียงพอ จากการที่เราใช้เทคโนโลยีการรีไซเคิลของน้ำย้อนกลับเข้าสู่ระบบ” วิบูลย์ ย้ำ
     ในจำนวนน้ำดิบที่มีอยู่ 30 ล้านลบ.ม. มีการใช้สำหรับภาคอุตสาหกรรมวันละ 7-8 หมื่นลบ.ม. เดือนละ 2.1-2.4 ล้านลบ.ม. หรือปีละประมาณ 26-28 ล้านลบ.ม. ใช้รดน้ำต้นไม้หรือสนามกอล์ฟจะอยู่ที่วันละ 5,000 ลบ.ม. เฉพาะสนามกอล์ฟจะอยู่ที่วันละ 2,000 ลบ.ม. ตามสัญญาการใช้น้ำ ทั้งนี้กลุ่มที่มีการใช้น้ำมากที่สุด ประกอบด้วย การผลิตยางรถยนต์ อาหารและเครื่องดื่ม และโรงไฟฟ้า แต่ถึงอย่างไรก็มีน้ำใช้เพียงพอแน่นอน
     “จริงๆ เราไม่ได้ใช้น้ำดิบถึง 26-28 ล้านลบ.ม. เพราะเรายังสามารถรีไซเคิลน้ำที่ใช้แล้วนำกลับมาใช้ใหม่ได้อีกด้วยระบบ RO ได้อีกวันละ 1.7 หมื่นลบ.ม. หรือตกปีละประมาณ 6.2 ล้านลบ.ม. เท่ากับการเพิ่มปริมาณน้ำดิบขึ้นมา ตรงนี้ถือว่าช่วยประหยัดการใช้น้ำดิบ ทำให้ปลายปีมีน้ำดิบเหลือประมาณ 10 ล้านลบ.ม.” วิบูลย์ กล่าว
     ส่วนที่นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ จ.ระยอง วิบูลย์ กล่าวว่า หลักการใช้น้ำเหมือนกับอมตะนคร ซึ่งมีโรงงานอยู่เกือบ 300 โรง ใช้น้ำวันละ 3.8 หมื่นลบ.ม. ทั้งปีประมาณ 12 ล้านลบ.ม. อมตะซิตี้มีอ่างเก็บน้ำดิบทั้งในส่วนของที่เป็นของนิคมเองและบ่อเก็บน้ำจากภายนอก สามารถเก็บน้ำดิบได้รวม 8 ล้านลบ.ม. และยังมีแผนการต่อท่อรับน้ำจากส่วนราชการที่มาจากอ่างเก็บน้ำดอกกรายบางส่วน ทั้ง 2 นิคมจึงไม่เป็นปัญหาต่อการใช้น้ำแน่นอน
     นิพิฐ อรุณวงษ์ ณ อยุธยา กรรมการผู้จัดการ บริษัท นวนคร จำกัด (มหาชน) ผู้ดำเนินธุรกิจบริการนิคมอุตสาหกรรม กล่าวว่า ได้ประเมินสถานการณ์และวางแผนตั้งรับไว้ตั้งแต่ปลายปี 2558 ที่่ผ่านมา มั่นใจว่า ปัญหาภัยแล้งปีนี้จะไม่สร้างผลกระทบต่อบริษัทและลูกค้าในนิคมนวนครมากนัก ทั้งนี้ได้วางแผนรับมือออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกคือ การหาแหล่งทรัพยากรน้ำเพิ่ม และส่วนที่สองคือ การตั้งทีมขึ้นมาปรับปรุงคุณภาพน้ำ
     “แต่สิ่งที่น่ากังวลคือภาวะน้ำกร่อย เพราะคุณภาพน้ำที่ต่ำลง จะส่งผลกระทบลูกค้าในนิคมอย่างแน่นอน ซึ่งบริษัทได้บริหารจัดการปัญหาเรื่องนี้แล้ว โดยได้ตั้งทีมเฉพาะกิจขึ้นมาดูแล้วแล้ว”
     ในเรื่องการหาแหล่งทรัพยากรน้ำเพิ่มนั้น บริษัทนวนคร ซึ่งมีความต้องการใช้น้ำเฉลี่ยวันละ 5.1-5.3 หมื่นคิว ใช้แหล่งน้ำเจ้าแม่น้ำเจ้าพระยา และดำเนินการขุดเจาะบาดาลเพิ่มอีก 5-6 บ่อ บ่อละ 3,200 คิวต่อวัน ซึ่งในการดำเนินการตรงส่วนนี้ ได้ขออนุญาตกรมทรัพยากรน้ำบาดาลแล้วอย่างถูกต้อง นอกจากนี้บริษัทยังรีไซเคิลน้ำที่ใช้แล้วผันกลับมาใช้อีก โดยปัจจุบัน มีน้ำที่ออกจากโรงงานประมาณ 3 หมื่นคิวต่อวัน
     “ที่ผ่านมานวนครไม่เคยได้รับผลกระทบจากปัญหาภัยแล้ง แต่บริษัทไม่นิ่งนอนใจ และประสานงาน ประชุมร่วมกับลูกค้า และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง เพื่อสามารถปรับตัวและตั้งรับกับปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที
     อัญชลี ชวนิชย์ นายกสมาคมนิคมอุตสาหกรรมไทยและพันธมิตร กล่าวว่า นิคมของภาคเอกชนทุกแห่งได้เตรียมแผนรับมือภัยแล้วไว้แล้ว ทั้งในเรื่องการเตรียมบ่อน้ำสำรอง บ่อน้ำบาดาล และบางแห่งก็มีแหล่งรับซื้อน้ำดิบจากเอกชนในพื้นที่ โดยพื้นที่นิคมในภาคตะวันออก และภาคกลางไม่มีปัญหา เพราะมีฝนตก ส่วนนิคมในภาคเหนืออาจจะมีปัญหาบ้าง แต่ก็ได้เตรียมความพร้อมโดยการรีไซเคิลน้ำเสียกลับมาใช้แล้วเกือบทั้งหมด และมีมาตรการใช้น้ำอย่างประหยัด จึงคาดว่าจะมีน้ำเพียงพอจนผ่านหน้าแล้งนี้ได้
     วรวุฒิ อนุรักษ์วงศ์ศรี ผู้จัดการทั่วไป บริษัทที่ดินบางปะอิน จำกัด ผู้พัฒนานิคมอุตสาหกรรมอุตสาหกรรมบางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา กล่าวว่า ทางนิคมได้ตรวจวัดปริมาณน้ำมาโดยตลอด และยังได้เตรียมบ่อน้ำบาดาลไว้สำหรับสำรองได้ในระยะยาว
     น้ำบาดาลเหล่านี้ได้หยุดผลิตน้ำไปในช่วงที่รัฐบาลมีนโยบายหยุดใช้น้ำบาดาล แต่ก็อนุญาตให้ใช้ในช่วงหน้าแล้งได้ ซึ่งทางนิคมได้ปรับปรุงเครื่องจักรต่างๆ และระบบท่อให้สามารถใช้งานได้ทันที ซึ่งแม้การใช้น้ำบาดาลจะมีต้นทุนที่เพิ่มขึ้น แต่ทางนิคมก็ไม่ได้เก็บค่าใช้จ่ายเพิ่ม เพื่อไม่ให้กระทบลูกค้าภายในนิคม
     ทวิช เตชะนาวากุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทย อินดัสเตรียล เอสเตท ผู้พัฒนานิคมอุตสาหกรรมไฮเทค (บ้านหว้า) กล่าวว่า นิคมไฮเทคได้เตรียมการรับมือภัยแล้งตั้งแต่ 2 ปีก่อนที่เกิดภาวะแห้งแล้ง ในปีนี้จึงมั่นใจว่าจะไม่ได้รับผลกระทบ โดยนิคมนำน้ำทิ้งมาบำบัดหมุนเวียนในบ่อเก็บน้ำ และสูบน้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยามารักษาบ่อสำรองน้ำให้เต็มอยู่ตลอดเวลา รวมทั้งยังมีบ่อน้ำบาดาลที่สามารถเปิดใช้ได้ทันที ประกอบกับอุตสาหกรรมในนิคมส่วนใหญ่เป็นอุตสาหกรรมไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ และชิ้นส่วนยานยนต์ ที่ใช้น้ำน้อย จึงมองว่านิคมจะไม่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้วปีนี้
     “ในปัจจุบันสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงไม่สามารถคาดการณ์ได้ ดังนั้นนิคมจึงได้เตรียมสำรองน้ำไว้ในกรณีที่เลวร้ายที่สุด โดยเตรียมสำรองน้ำไว้ใช้ในนิคมทั้งบ่อน้ำบนดิน และบ่อน้ำบาดาล มีปริมาณกว่า 1 ล้านลบ.ม. จึงมั่นใจว่ามีปริมาณน้ำเพียงพออย่างแน่นอน” ทวิช กล่าว