Sky Lane ปิด คนกรุงไปปั่นกันที่ไหน…

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

24 กันยายน 2560 เวลา 10:20 น….. อ่านต่อได้ที่ : https://www.posttoday.com/travel/thailand/516553

Sky Lane ปิด คนกรุงไปปั่นกันที่ไหน...

โดย/ภาพ : Withaya Heng

นับตั้งแต่เส้นทางจักรยานรอบท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ หรือ Sky Lane ปิดปรับปรุงลงตั้งแต่กลางเดือน เม.ย.เป็นต้นมา ผ่านมาแล้ว 4-5 เดือน เรามาดูกันว่านักปั่นในกรุงเทพฯ เขามีการปรับตัวกันอย่างไร

แน่นอนว่าคนที่อยู่ฟากฝั่งตะวันตกของกรุงเทพฯ คงไม่ได้รู้สึกเดือดร้อนอะไร เพราะพวกเขาก็ปั่นกันที่พุทธมณฑล ปั่นเส้นนครชัยศรี หรือเส้นกำแพงแสนเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว นานๆ ครั้งถึงจะข้ามฟากไปปั่นที่ Sky Lane แต่คนที่อยู่ฝั่งตะวันออกซึ่งเป็นขาประจำ Sky Lane นี่สิ ในระยะแรกที่ Sky Lane ปิดตัวลง สวนสาธารณะบริเวณนั้นจึงเป็นที่รองรับบรรดานักปั่น

ทั้งบึงรับน้ำหนองบอนและสวนหลวง ร.9 ต่างมีปริมาณนักปั่นเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว โดยเฉพาะในวันเสาร์-อาทิตย์ แต่ด้วยระยะทางที่ค่อนข้างจำกัด อย่างบึงรับน้ำหนองบอน เส้นปั่นได้ระยะทาง 3.8 กม./รอบ หรือสนามราษฎร์ สวนหลวง ร.9 ระยะทางต่อรอบเพียง 600 เมตรเท่านั้น ถ้าเป็นขาแรงหรือนักแข่งสมัครเล่นที่ต้องการปั่นซ้อมกันระยะทางเป็นร้อยกิโลเมตร ก็อาจจะต้องปั่นวนจนเวียนหัวก่อนจะเหนื่อยได้

googletag.cmd.push(function() { googletag.display(‘div-gpt-ad-1511154358428-0’); });

วันนี้ เราจึงขอแนะนำเส้นปั่นที่พอจะเทียบเคียงกับ Sky Lane ทั้งระยะทาง และความสนุกที่ได้ อาจจะไกลไปนิด ความสะดวกสบายอาจจะไม่เท่า แต่บางแห่งได้ความสวยงามและธรรมชาติรอบด้านที่เหนือกว่ามาชดเชย

อ่างเก็บน้ำบางพระ

จากมอเตอร์เวย์เลยผ่านท่าอากาศยานสุวรรณภูมิไปเพียง 70 กม. คุณจะได้พบกับเส้นปั่นจักรยานรอบอ่างเก็บน้ำบางพระที่มีระยะทาง 20 กม. เป็นทางลาดยางอย่างดี บางช่วงมีเลนจักรยานโดยเฉพาะ บางช่วงก็ใช้ทางร่วมกับรถยนต์ แต่โดยรวมถือว่าค่อนข้างปลอดภัย เมื่อปั่นมาถึงหน้าสนามกอล์ฟบางพระให้เลี้ยวเข้าไปในสำนักงานชลประทานที่ 9 จะเป็นเส้นไต่เนินให้ได้ออกแรงปั่นขึ้นสู่สันอ่าง เส้นทางโดยรวมร่มรื่น อากาศดี โดยเฉพาะช่วงเช้าและเย็นจะมีนักปั่นจำนวนมาก จุดจอดรถมีหลายจุด สามารถจอดได้ในสำนักงานชลประทาน หรือร้านครัวในสวน ซึ่งมีร้านจักรยาน Ban Bike อยู่ในพื้นที่เดียวกัน ก็ทำที่จอดรถที่จอดจักรยานไว้ให้ รวมทั้งมีห้องอาบน้ำให้บริการอีกด้วย

รังสิตคลอง 12-13

คลอง 13 เป็นคลองสาขาที่แยกออกมาจากคลองรังสิต ด้านเหนือขึ้นไปบรรจบกับคลองระพีพัฒน์ที่ไหลลงมาจากนครสวรรค์ ส่วนด้านใต้ไหลยาวลงมาเจอกับคลองแสนแสบ ระหว่างทางจะมีถนนตัดขวางอยู่หลายช่วง ตั้งแต่ประตูน้ำพระอินทร์ (ทางหลวงหมายเลข 3045) ถัดมาเป็นถนนรังสิต-นครนายก (ทางหลวงหมายเลข 305) ชั้นต่อมาคือถนนลำลูกกา และมาสุดทางแถวหนองจอก

เส้นปั่นจักรยานของเรานั้นคือถนนเลียบคลองตั้งแต่ช่วงรังสิต-นครนายก ถึงหนองจอกนั่นเอง โดยเราจอดรถที่สถานีตำรวจนครบาลประชาสำราญ ซึ่งอยู่คลอง 12 ปั่นวนลงล่างเข้าคลอง 13 เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่ยาวมากๆ ระยะทาง 50 กม. บรรยากาศโดยรอบเป็นทุ่งนากว้างเขียวขจีจนไม่คิดว่าเรายังอยู่ในกรุงเทพฯ สองข้างทางร่มเงาค่อนข้างน้อยจึงควรเริ่มปั่นแต่เช้าตรู่ ถ้าสายมากจะค่อนข้างร้อนและมีรถใหญ่ออกวิ่งในเส้นคลอง 12 หรือเมื่อปั่นไปจนสุดถนนรังสิต-นครนายกแล้ว ปั่นกลับย้อนทางเดิมเลียบคลอง 13 ก็จะได้ปั่นบนถนนเลียบคลองตลอดเส้นทางทั้งขาไปและกลับ ลมที่พัดผ่านน้ำจะมีความเย็นต่างกันโดยสิ้นเชิง ช่วยบรรเทาอากาศร้อนลงได้เป็นอย่างดี

และอีกหนึ่งเส้นทางที่กำลังจะเปิดให้บริการปลายเดือนนี้คือ เส้นปั่นจักรยาน โครงการป่าสิริเจริญวรรษ อยู่บริเวณโครงการพัฒนาพื้นที่วัดญาณสังวรารามฯ ต.นาจอมเทียน อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี

เส้นปั่นจักรยาน โครงการป่าสิริเจริญวรรษ

โครงการป่าสิริเจริญวรรษ หรือ “ป่าแห่งความรัก” เป็นโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ เพื่อเป็นการสงวนและรักษาสมดุลทางธรรมชาติ เมื่อปี พ.ศ. 2535 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้พระราชทานโครงการป่าสิริเจริญวรรษเพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 5 รอบ ป่านี้จึงถือเป็น “ป่าแห่งความรัก” ของทั้งสองพระองค์

ทาง จ.ชลบุรี ได้จัดทำเส้นทางจักรยานที่สามารถเข้าศึกษาธรรมชาติในพื้นที่โครงการป่าสิริเจริญวรรษขึ้นมา โดยมีระยะทาง 18 กม./รอบ เป็นทางลาดยางอย่างดี มีความร่มรื่นของป่าไม้นานาพันธุ์และที่ไม่ธรรมดาคือเส้นทางมีการไต่เนินขึ้นลงตลอดทาง และมีความคดเคี้ยวจนเรียกได้ว่าแทบจะไม่มีทางตรงยาวอยู่เลย ช่วงไหลลงจากเนินก็เป็นทางโค้งอยู่หลายช่วง ดังนั้นจึงต้องใช้ความระมัดระวังให้มาก

เส้นทางจักรยาน โครงการป่าสิริเจริญวรรษ จะมีกิจกรรม “รวมใจรัก ปั่นเพื่อพ่อ” ในวันอาทิตย์ที่ 24 ก.ย.นี้ เป็นการเปิดตัวเส้นทางอย่างเป็นทางการ และหลังจากนี้จะเปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 06.00-18.30 น.

 

ทริปบ้าๆ ในราคาคุ้มค่า โลว์คอสต์ไทยแลนด์

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

23 กันยายน 2560 เวลา 13:17 น…. อ่านต่อได้ที่ : https://www.posttoday.com/travel/thailand/516430

ทริปบ้าๆ ในราคาคุ้มค่า โลว์คอสต์ไทยแลนด์

 โดย รอนแรม ภาพ : โลว์คอสต์ไทยแลนด์

หนุ่มเพื่อนซี้มหาวิทยาลัย แซง-อดุลวิทย์ วาณิชอุปถัมภ์กุล ต้น-กีรติ แสงใหญ่ และรุ่นน้อง จาคอป-ลัทธวิทย์ ธูปแจ้ง ได้กลายมาเป็นกลุ่มแอดมินฯ แห่งเพจเฟซบุ๊ก “โลว์คอสต์ไทยแลนด์” (Lowcost Thailand) ที่จะพาคนรุ่นใหม่ไปตะลุยทริปแบ็กแพ็ก โบกรถ นอนโฮมสเตย์ และทำอะไรบ้าๆ ในราคาที่คุ้มค่า

แซง รับหน้าที่เป็นคนเล่าให้ฟังว่า เพจโลว์คอสต์ไทยแลนด์ เป็นผลพลอยได้จากรายการทีวีที่แซงและต้นช่วยกันผลิตเพื่อส่งเป็น “การบ้าน” ตามคำสั่งอาจารย์

โดยทั้งคู่มีเรย์ แมคโดนัลด์ เป็นแรงบันดาลใจจึงตัดสินใจทำรายการท่องเที่ยว แต่ความท้าทายคือ จะทำอย่างไรให้เป็นรายการที่แตกต่าง

googletag.cmd.push(function() { googletag.display(‘div-gpt-ad-1511154358428-0’); });

ทั้งสองจึงหันกลับมาดูสไตล์การท่องเที่ยวของตัวเองแล้วพบว่า การท่องเที่ยวแบบไม่มีค่อยมีเงินนี่แหละ น่าจะเป็นจุดเด่นที่ดีทีเดียว

“เราทั้งสองคน (แซงและต้น) ชอบเดินทางกันมาตั้งนานแล้ว ไม่ว่าจะนั่งรถไฟฟรีก็ไป โบกรถก็ไป คือทำยังไงก็ได้แต่ขอให้ได้ไปเที่ยว เลยมานั่งคิดกันว่าเราทำเป็นรายการโลว์คอสต์ดีไหม ตามสไตล์ท่องเที่ยวของพวกเราและความหมายก็ตรงตัวดี

“จากนั้นพอมีรายการก็ต่อยอดมาสู่เพจเฟซบุ๊กโลว์คอสต์ไทยแลนด์ โดยตอนนั้นเราไม่คิดเลยว่าบล็อกเกอร์ท่องเที่ยวจะกลายเป็นอาชีพได้ เพราะเราเริ่มจากทำส่งเป็นการบ้าน ทำให้เพื่อนๆ ในคณะดู ไม่ได้คาดหวังว่า เพจของเราจะดังและปังจนกลายเป็นงานได้อย่างตอนนี้”

ปัจจุบันเพจมียอดไลค์ประมาณ 2.3 แสนไลค์ ภายในระยะเวลาไม่ถึง 2 ปี ซึ่งจุดเริ่มต้นของความดังน่าจะมาจากโพสต์ “เขื่อนเชี่ยวหลาน กับ แบงค์พันสองใบทำไมจะไปไม่ได้” ที่มียอดแชร์ 7 หมื่นกว่า และยอดไลค์มากกว่า 9 หมื่นไลค์ไปแล้ว

“โพสต์นี้ทำให้เพจที่มีคนตามแค่หลักร้อยกลายเป็นแปดหมื่นแค่ชั่วข้ามคืน” ตอนนั้นแซงและต้นยังเรียนอยู่ชั้นปีที่ 4 เขาเล่าต่อว่า

“กลายเป็นว่าผมกับต้นทำตัวไม่ถูกเลยว่าต้องทำอะไรต่อไป รู้แค่ว่าเราจะอยู่เฉยๆ ไม่ได้แล้ว เพราะคอนเซ็ปต์ที่เราสร้างมีคนชอบ มีคนถูกใจ ดังนั้นเราต้องรักษาตัวตนนี้ไว้และเที่ยวต่อไป (หัวเราะ) จนถึงตอนนี้ก็ยังเที่ยวไม่หยุดเลย”

หลังจากเรียนจบปริญญาตรี สองเพื่อนซี้คุยกันว่า อยากยึดอาชีพบล็อกเกอร์ท่องเที่ยวเต็มตัว แต่ก่อนจะทำแบบนั้นได้เด็กจบใหม่ควรมีประสบการณ์ด้านกระบวนการทำงาน ทั้งคู่จึงแยกย้ายไปสมัครงาน ทดลองเป็นพนักงานบริษัทอยู่ 9 เดือน หลังจากนั้นก็ลาออกเพื่อกลับมาเพจเฟซบุ๊กและยูทูบเป็นอาชีพ

“ตอนทำงานประจำ เรามีเงินเดือนทุกเดือน แต่ตอนนี้เราเป็นบล็อกเกอร์ต้องมีวินัย ต้องขยัน และต้องอยู่รอด จากเดือนแรกที่ทำเต็มตัวเราแทบไม่มีงานไม่มีรายได้เลย แต่เพราะการบอกแบบปากต่อปาก และจากคาแรกเตอร์ที่ชัดเจนของเพจเราทำให้มีงานเข้ามาเรื่อยๆ โดยเรายังคงสัดส่วนทริปที่เที่ยวเองไปเองไว้ 70 เปอร์เซ็นต์และทริปที่เป็นงานอีก 30 เปอร์เซ็นต์ เพื่อรักษาตัวตนของโลว์คอสต์ไทยแลนด์ไว้”

แซงพูดไว้อย่างน่าสนใจว่า ขณะนี้เทรนด์วิดีโอในยูทูบกำลังได้รับความนิยม ซึ่งบล็อกเกอร์ท่องเที่ยวต้องปรับตัวให้ทันกระแสอย่างโลว์คอสต์ไทยแลนด์ก็จะมุ่งไปทางวิดีโอมากขึ้น รวมถึงจะสร้างเว็บไซต์ของตัวเองให้เสร็จภายในปีนี้ด้วย

“คอนเซ็ปต์เป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะเป็นสิ่งที่คนจะตัดสินว่าจะตามหรือไม่ตาม การท่องเที่ยวแบบราคาประหยัดก็เป็นหนึ่งอย่างที่นักท่องเที่ยวรุ่นใหม่ชอบ เพราะมันเข้าถึงง่าย ไปตามได้จริง แต่ที่สำคัญกว่าน่าจะเป็นการรักษาตัวตนของเราไว้ และความเสมอต้นเสมอปลายกับคนที่ติดตามเราไปเรื่อยๆ” หนึ่งในแอดมินฯ กล่าวทิ้งท้าย

 

ผาปัง แดนในฝันเมืองลำปาง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

23 กันยายน 2560 เวลา 11:56 น….. อ่านต่อได้ที่ : https://www.posttoday.com/travel/thailand/516419

ผาปัง แดนในฝันเมืองลำปาง

 โดย/ภาพ กาญจน์ อายุ

หากดินแดนในฝันคือพื้นที่แห่งความสุข ชุมชน “ผาปัง” ก็คงเป็นหมุดหมายที่ทุกคนตามหา

ลบภาพจำของ จ.ลำปาง ออกไปให้หมด เพราะที่นี่ไม่มีรถม้า ไม่มีโรงงานเซรามิก และไม่มีความฮิปส์ใดๆ มีแต่เพียงท้องนา ป่าไผ่ และหัวใจของพ่อๆ แม่ๆ

ชุมชนผาปัง ตั้งอยู่ใน ต.ผาปัง อ.แม่พริก จ.ลำปาง ห่างจากตัวเมืองประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง มุ่งสู่หมู่บ้านหลังเขาในเขตเงาฝน ที่ผู้คนยังคงรักษาวิถีชีวิตเกษตรกรรมตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง

googletag.cmd.push(function() { googletag.display(‘div-gpt-ad-1511154358428-0’); });

โดยชาวบ้านที่จะกลายเป็นพ่อและแม่ตั้งแต่วันแรกที่เจอหน้ากัน ล้วนคุ้นเคยกับลูกหลานต่างถิ่นที่เข้ามาศึกษาดูงานเป็นหมู่คณะ แต่เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา พวกท่านเพิ่งมีลูกหลานกลุ่มใหม่ที่เรียกตัวเองว่า “นักท่องเที่ยว”

หลังได้รับคำแนะนำด้านการท่องเที่ยววิถีชุมชนจากพี่เลี้ยงอย่าง โลเคิล อไลค์ และการสนับสนุนจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย สายการบินบางกอกแอร์เวย์ส และหน่วยงานเอกชนต่างๆ ทำให้บ้านผาปังพร้อมเปิดรับนักท่องเที่ยวที่เปิดใจสู่ครอบครัวใหม่ที่แสนเรียบง่ายและมีความสุข

ดังนั้น จุดเด่นของผาปังคืออะไร คนที่เคยไปมาแล้วจะไม่ตอบว่าธรรมชาติที่มองปุ๊บแล้วรู้ปั๊บถึงความสวยงาม แต่คือพ่อๆ แม่ๆ หรือชาวบ้านที่มองไปกี่ครั้ง ก็เห็นแต่รอยยิ้มพิมพ์ใจและรู้สึกถึงได้ความจริงใจ ซึ่งเป็นที่มาของความสุขทั้งมวล

ความสุขคือชาวบ้าน

รอยยิ้มจริงใจจากพ่อและแม่บ้านผาปัง

 

ความน่ารักที่สุดของชุมชนผาปังคือ ผู้สูงอายุ เพราะนอกจากชุมชนจะมีจำนวนผู้สูงอายุร้อยละ 42 ของประชากรทั้งหมด พวกท่านยังมีบทบาทเป็นผู้นำการท่องเที่ยวชุมชนตามฐานต่างๆ ด้วย

ตา-กันต์ระพี แก้วมณีพัชร์ เลขานุการเครือข่ายวิสาหกิจชุมชนผาปัง เล่าให้ฟังว่า ชุมชนเปิดเป็นแหล่งเรียนรู้เรื่องไผ่และเรื่องพลังงานทดแทนให้กับกลุ่มศึกษาดูงานมานานกว่า 2 ปี ทำให้มีเกสต์เฮาส์ ห้องประชุม และโฮมสเตย์รองรับเป็นทุนเดิม ซึ่งเอื้อประโยชน์กับการท่องเที่ยวชุมชน ที่เพิ่งเริ่มเมื่อ 2 เดือนที่ผ่านมา

รวมถึงทรัพยากรเรื่องคนที่มีอยู่แล้วในกลุ่มต่างๆ เช่น สภาเด็กและเยาวชน ชมรมการท่องเที่ยวเชิงวิถีผาปัง และศูนย์นวัตกรรมผู้สูงอายุ สมาชิกของกลุ่มเหล่านี้ได้เข้ามารับหน้าที่ในกระบวนการการท่องเที่ยวชุมชน อย่างน้องดาด้า ประธานสภาเด็กและเยาวชนรับหน้าหน้าที่เป็นไกด์ท้องถิ่น หรือพ่อๆ แม่ๆ สมาชิกศูนย์นวัตกรรมผู้สูงอายุก็กลายเป็นผู้นำกิจกรรมท่องเที่ยว

“ต.ผาปัง เป็นตำบลเล็กๆ ประกอบด้วย 5 หมู่บ้าน และทุกคนเป็นเครือญาติกันหมด แต่ไหนแต่ไรชาวบ้านจะช่วยเหลือกัน สมมติว่าวันนี้หมู่ 3 จะเข้าไปพัฒนาป่า ชาวบ้านหมู่อื่นก็จะไปช่วยเหลือโดยไม่ต้องบอกเลย ที่เห็นว่าทำไมชาวบ้านสามัคคีกัน ดูรักกัน ก็เพราะว่าทุกคนต่างช่วยเหลือเกื้อกูลกันแต่ดั้งเดิมอยู่แล้ว ทุกอย่างที่เห็นคือสิ่งที่เราเป็น ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นเพราะมีใครเข้ามา” ตา กันต์ระพี กล่าว

ชุมชนผาปังจึงพร้อมรับนักท่องเที่ยวและแทบไม่ต้องปรับเปลี่ยนสิ่งใด เพราะวิถีชีวิตของชาวบ้านล้วนเป็นสิ่งที่คนเมืองสนใจ แม้ว่าจะเป็นสิ่งเรียบง่ายที่สุดก็ตาม

บูชาพระธาตุประจำวันเกิดด้วยสวยดอก

ฐานหนึ่ง สวยดอก

สิ่งแรกที่ผู้มาเยือนควรปฏิบัติคือ สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของชุมชน โดยการเรียนรู้การทำสวยดอกหรือกรวยดอกไม้จากแม่ๆ คนสวยเพื่อนำไปบูชาพระธาตุ 12 ราศี ตามพระธาตุประจำวันเกิด บนเนินทางทิศใต้ของวัดผาปังกลาง

น้องดาด้า เล่าตามประวัติว่า แต่เดิมเนินแห่งนี้เคยชื่อ วัดดอยน้อย มีกำแพงเป็นก้อนหินล้อมรอบเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส มีพื้นที่เดิมประมาณ 50 ตารางวา ล้อมรอบด้วยแมกไม้และอุดมไปด้วยเห็ดต่างๆ แต่ก่อนใช้เป็นที่พักของพระธุดงค์ที่เดินทางมาจาริกแสวงบุญ

ต่อมาได้ถูกทิ้งเป็นวัดร้างทำให้โบสถ์และวิหารที่สร้างด้วยไม้ถูกธรรมชาติกัดกร่อนไปตามกาลเวลา เหลือไว้เพียงกำแพงหิน ปัจจุบันเนินวัดดอยน้อยเป็นที่ตั้งของโครงการก่อสร้างมหาธาตุเจดีย์ 12 ราศี เคียงคู่กับอนุสาวรีย์พระนเรศวรมหาราช สิ่งรำลึกถึงประวัติศาสตร์การเคลื่อนทัพผ่านชุมชนในช่วงปลายกรุงศรีอยุธยาที่มีการเคลื่อนทัพจากอยุธยาไปเชียงใหม่ เมืองหลวงของอาณาจักรล้านนาในยุคนั้น โดยผ่านเส้นทางลัดดอยแม่ดงเก๊าะผ่านผาปังไปยัง อ.ลี้ จ.ลำพูน

จากนั้นเคลื่อนย้ายไปสักการะพระไม้โบราณ ณ วัดศิริภูมิวนา หรือวัดห่าง อายุกว่า 400 ปี ที่มีเรื่องเล่าอีกเช่นกันว่า มีพระรูปหนึ่งมาสร้างวัดอยู่บริเวณวัดห่างแห่งนี้นาม พระดำ พร้อมพระลูกวัดอีก 6 รูปจำพรรษา ซึ่งวัดทางล้านนาทุกวัดจะมีกลองเพื่อตีเป็นสัญญาณให้ชาวบ้านรู้วันพระ วันโกน แต่ด้วยความมักง่ายที่นำไม้กลวงมาสร้างกลอง ทำให้ชาวบ้านเข้าใจคิดว่า “ขึด” หรือเกิดอาถรรพ์ จนเป็นเหตุให้พระดำและพระลูกวัดมรณภาพพร้อมกันทั้ง 7 รูป เป็นเหตุให้กลายเป็นวัดร้าง

ทว่า ปัจจุบันวัดห่างยังเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปที่ทำด้วยไม้ ซึ่งชาวบ้านเชื่อในความศักดิ์สิทธิ์ นอกจากนี้ยังมีประเพณีประจำปีโดยถือเอาวันปากปี 16 เม.ย.ของทุกปี เป็นวันสรงน้ำพระธาตุและสืบชะตาบ้านเมือง ซึ่งเป็นประเพณีใหญ่และสำคัญของชุมชน

ฐานสอง ตุงล้านนา

กระดาษสี กรรไกร และไม้ไผ่เป็นอุปกรณ์ง่ายๆ ในการทำตุงล้านนา โดยมีแม่ๆ พร้อมประจำการภายในวัดห้วยไร่ คอยสอนวิธีทำตุงอย่างใจเย็น ตั้งแต่ขั้นตอนพับ ขึ้นลาย ตัดกระดาษ จนคลี่คลายเป็นตุง ซึ่งชาวบ้านมักทำตุงล้านนาเพื่อถวายเป็นพุทธบูชาและอุทิศให้กับผู้ล่วงลับ โดยเชื่อว่าเมื่อถวายตุง (ทานตุง) จะได้เกาะชายตุงขึ้นสวรรค์

นักท่องเที่ยวจะนำตุงไปไว้ใต้ต้นโพธิ์ใหญ่อายุหลายร้อยปี และในวันที่ 15 เม.ย.ของทุกปี ชาวบ้านจะมาร่วมกันแห่ไม้ค้ำศรี อันเป็นประเพณีที่ฟื้นฟูให้กลับมาใหม่ หลังจากถูกละเลยไปเพราะคนเข้าใจว่าการตัดไม้ค้ำศรีเป็นการตัดไม้ทำลายป่า ปัจจุบันจึงมีการตกลงกันให้นำไม้ค้ำศรีของแต่ละหมู่บ้าน หมู่บ้านละ 1 ต้น มาร่วมกันแห่รักษาประเพณีไว้และเพื่อความเป็นสิริมงคล

ฐานสาม สวนเกษตรพอเพียง

นักท่องเที่ยวโบกตุงล้านนากลางนาข้าว

 

ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว ภาพตรงหน้าเป็นอย่างนั้นไม่ผิดเพี้ยนที่ สวนเกษตรพอเพียง (โต้งครูอาวรณ์) ศูนย์กลางด้านการเกษตรของชุมชน ซึ่งเป็นสวนแห่งแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตแบบพอเพียง โดยได้น้อมนำหลักเกษตรทฤษฎีใหม่มาปรับใช้ในพื้นที่

คุณลุงเจ้าของสวน เล่าว่า สวนแห่งนี้ทำเกษตรอินทรีย์ ปลูกนาข้าวอินทรีย์ เลี้ยงไก่ เป็ด ปลา และวัวแบบอินทรีย์ โดยใช้ปุ๋ยอินทรีย์ที่ทำเอง หลักๆ จะเน้นปลูกเพื่อกินเอง หากเหลือก็แบ่งขายหรือแบ่งปันกันในชุมชน

“เราอยู่เขตเงาฝน” คุณลุงกล่าว

“เพราะ ต.ผาปังอยู่ในหุบเขาและถูกล้อมรอบด้วยภูเขาสูง ดังนั้นลมจะพัดเมฆฝนให้ไปตกที่อื่น รวมถึงหอบความชุ่มชื้นไปด้วย”

ชาวผาปังจึงเริ่มดำนาช้ากว่าที่อื่น อย่างปีนี้เริ่มลงแขกเมื่อเดือน ส.ค. เข้า ก.ย. โดยแต่ละปีจะไม่มีช่วงดำนาที่แน่นอน ถ้าฝนมาเร็วก็ดำนาเร็ว หรือถ้าฝนไม่มานาก็ร้าง (เหมือน 3 ปีที่ผ่านมา)

ดังนั้น ส่วนใหญ่ชาวบ้านจึงทำนาเพื่อเก็บข้าวไว้กินเอง เพราะพวกเขาไม่รู้ว่าปีหน้าจะมีข้าวให้เก็บหรือไม่?

ฐานสี่ ป่าไผ่

ป่าไผ่ชางที่รอวันเติบโตเป็นอุโมงค์

 

ความน่าทึ่งของพื้นที่ในเขตเงาฝน คือความเขียวชอุ่มเหมือนป่าฝน เพราะชาวบ้านไม่ตัดไม้ทำให้ป่าอุ้มน้ำทำดินชุ่มชื้นแม้ไม่มีฝน รวมถึงยังใช้ภูมิปัญญา ปลูกไผ่ พืชกินน้ำน้อยแต่อุ้มน้ำมาก ให้ออกซิเจนมากกว่าพืชทุกชนิดร้อยละ 35 และมีประโยชน์ครบปัจจัย 4 บวกปัจจัยที่ 5 คือ สามารถนำไปแปรรูปทำเป็นถ่านให้พลังงานทดแทน

โดยชาวบ้านได้จัดตั้งวิสาหกิจชุมชนไผ่ แจกพันธุ์ไผ่ให้ชาวบ้านนำไปปลูกไว้ที่หัวไร่ปลายนา จากนั้นเมื่อได้อายุ 2 ปีกว่า ก็ได้ตัดขายให้บริษัท (ชาวบ้านได้พัฒนาจากวิสาหกิจสู่บริษัทเพื่อจัดจำหน่าย) เพื่อนำมาแปรรูปเป็นตะเกียบ ไม้เสียบลูกชิ้น และถ่าน

“หลักการทำงานของเราจะเริ่มจากการวิจัยและพัฒนาก่อน ดูว่าไผ่ชนิดนี้สามารถไปแปรรูปทำอะไรได้บ้าง หากทดลองใช้แล้วมีประสิทธิภาพจึงค่อยเชื่อมโยงตลาด และเมื่อมีตลาดรองรับก็จะกลับมาวางแผนการผลิต มาบอกชาวบ้านให้ปลูกเพราะเราไม่อยากให้ชุมชนไปเสี่ยง อย่างถ่านจากไม้ไผ่เราก็พัฒนาจดเป็นบริษัท รับซื้อไผ่จากชาวบ้าน สร้างโรงงานผลิตถ่าน และขายสินค้าตามออร์เดอร์” ตา กันต์ระพี กล่าวเพิ่มเติม

ในอนาคตอีก 5 ปีข้างหน้า ป่าไผ่ที่ทั้งตำบลร่วมกันปลูกจะกลายเป็นอุโมงค์ไผ่ขนาดใหญ่แห่งแรกและแห่งเดียวในประเทศไทย ซึ่งนอกจากประโยชน์จากไผ่ มันจะเป็นตัวดึงดูดให้คนทั้งประเทศรู้จักผาปังผ่านความสวยงามและความอลังการตามธรรมชาติ

ฐานสุดท้าย ออกกำลัง

ในทุกเย็นชาวบ้านจะมารวมตัวกันที่วัดผาปังกลางเพื่อออกกำลังกาย แน่นอนว่าสมาชิกหน้าใหม่ในฐานะนักท่องเที่ยวก็สามารถเข้าร่วมได้ โดยเสียงเพลงภาษาเหนือจะถูกเปิดเป็นตัวกำกับจังหวะร่างกายไปพร้อมกับแม่ๆ ที่เริ่มขยับจากช้าไปถึงเร็ว

บรรยากาศเป็นกันเองนับเป็นการปิดท้ายกิจกรรมท่องเที่ยวที่น่ารักที่สุด ซึ่งในเวลานั้นเหมือนกับว่าคนแปลกหน้าได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนโดยสมบูรณ์ เหมือนคนต่างถิ่นได้กลับบ้าน และเหมือนเป็นลูกหลานของพ่อแม่ทุกคน

ถ้าถามย้ำว่า จุดเด่นของผาปังคืออะไร ก็คงไม่ตอบว่าธรรมชาติที่มองปุ๊บแล้วรู้ปั๊บถึงความสวยงาม แต่ยังยืนยันว่าเป็น พ่อๆ แม่ๆ หรือชาวบ้านที่มองไปกี่ครั้งก็เห็นแต่รอยยิ้มพิมพ์ใจและรู้สึกได้ถึงความจริงใจซึ่งเป็นที่มาของความสุขทั้งมวล

………..ใต้ภาพ………..

00 รูปเปิด รอยยิ้มจริงใจจากพ่อและแม่บ้านผาปัง

01 จุดชมวิวทุ่งนาที่สวยที่สุดของหมู่บ้าน

02 ป่าไผ่ซางที่รอวันเติบโตเป็นอุโมงค์

03 นักท่องเที่ยวโบกตุงล้านนากลางนาข้าว

04 บูชาพระธาตุประจำวันเกิดด้วยสวยดอก

05 เครื่องแต่งกายสุดฮิปสเตอร์ของคุณลุงชาวสวน

06 รถอีแต๋นบรรทุกนักท่องเที่ยวสู่ป่าไผ่

07 นักท่องเที่ยวและชาวบ้านร่วมกันออกกำลังกายตอนเย็นภายในวัด

08 ร่วมประดิษฐ์ตุงล้านนากับแม่ๆ ในหมู่บ้าน

09 ประสานมือทำสวยดอกบูชาพระธาตุ

10 ฝายไม้ไผ่โดยภูมิปัญญาของชาวบ้าน

11 ปราชญ์ชาวบ้านสอนวิธีดำนา

12 คุณป้านั่งขายผลิตภัณฑ์จากใบตาล ของฝากจากผาปัง

13 การชำกิ่งไผ่ซาง

14 วิวท้องนาและภูเขายามเช้าจากบ้านเคียงดอย

15 อุโบสถวัดห่างที่ประดิษฐานพระไม้โบราณ

16 ความสุขในสวนเกษตรอินทรีย์

 

ยู นิมมาน เชียงใหม่ ความรู้สึกต่างในเมืองอาร์ต

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

09 กันยายน 2560 เวลา 15:06 น…. อ่านต่อได้ที่ : https://www.posttoday.com/travel/thailand/513855

ยู นิมมาน เชียงใหม่ ความรู้สึกต่างในเมืองอาร์ต

 โดย นิทรา ราตรี

ถนนสุดฮิปกลายเป็นถนนสุดฮอต เมื่อโรงแรม ยู นิมมาน เชียงใหม่ เปิดให้บริการบนถนนสายอาร์ต นิมมานเหมินทร์ สัญลักษณ์ของความฮิปสเตอร์ใจกลางเมืองเชียงใหม่ที่นักท่องเที่ยวต่างหลงใหลอยากไปสัมผัส

โรงแรมถูกออกแบบโดยได้รับแรงบันดาลใจมาจากศิลปกรรมล้านนาที่นำมาลดทอนให้เข้ากับความทันสมัย จึงสร้างดีไซน์เก๋ไก๋และไม่เหมือนใครซึ่งเป็นความถนัดของแบรนด์ โรงแรมมีห้องพักจำนวน 147 ห้อง แบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ ดีลักซ์ และสวีท

ประเภทแรกมีขนาดเริ่มต้นที่ 36-50 ตร.ม. และสำหรับห้องสวีทมีทั้งแบบ 1 และ 2 ห้องนอน ขนาดใหญ่สุดอยู่ที่ 134 ตร.ม. โดยมีความพิเศษด้วยอ่างอาบน้ำ พื้นที่ห้องนอน ห้องนั่งเล่น และห้องอาบน้ำกว้างขวาง

googletag.cmd.push(function() { googletag.display(‘div-gpt-ad-1511154358428-0’); });

นอกจากนี้ หากใครอยากลิ้มลองอาหารเหนือรสต้นตำรับสามารถไปรับประทานได้ที่ อีท แอด ริมคำ (Eat @ Rincome) เชฟจะคัดสรรวัตถุดิบในท้องถิ่นมาปรุงอาหารไทยและอาหารเหนือในหน้าตาทันสมัย

โดยมื้อเช้าเชฟจะทำอาหารร้อนเสิร์ฟแบบจานต่อจาน รวมถึงมื้อกลางวัน เย็น ถึงค่ำ (เปิดบริการ 06.30-23.00 น.) ที่พร้อมให้บริการจานอร่อยในบรรยากาศแกลเลอรี่ที่ตกแต่งด้วยชิ้นงานศิลปะมากมาย

ผู้เข้าพักยังสามารถไปชิลต่อได้ที่ เดอะ เลานจ์ ในบรรยากาศห้องสมุดสุดคลาสสิกพร้อมไวน์ เครื่องดื่มหลากชนิด และทาปาส

หรือจะเปลี่ยนบรรยากาศไปชุ่มฉ่ำที่ เดอะ สแปลช พูลบาร์ บาร์เครื่องดื่มกลางสระว่ายน้ำบนดาดฟ้า และชมวิวเชียงใหม่มุมท็อปแบบที่ไม่ค่อยมีใครเห็น

ยู นิมมาน เชียงใหม่ จึงเหมาะกับผู้เข้าพักทุกรูปแบบรวมถึงกลุ่มประชุมสัมมนา ด้วยห้องนิมมานฮอลล์ที่รองรับได้ 600 คน และพื้นที่กลางแจ้งขนาด 550 ตร.ม. พร้อมเครื่องมือทันสมัย บริการอาหาร และทีมงานมือโปร

สำคัญที่สุด โรงแรมยูทุกแห่งจะมีบริการที่เป็นเอกลักษณ์กับ ยู ชูส โปรแกรม (U Choose Programme) นั่นคือ ผู้เข้าพักใช้ห้องพักได้ 24 ชม. (เช็กอินเวลาใดเช็กเอาต์เวลานั้นในวันที่คืนห้อง) บริการอาหารเช้าถึง 22.00 น. สัญญาณอินเทอร์เน็ตไร้สายฟรี บริการจักรยานฟรี เลือกเครื่องดื่มจากมินิบาร์ได้คนละ 1 อย่าง และเลือกประเภทหมอน กลิ่นสบู่ กลิ่นชา รายการเพลงได้ตามใจชอบ

ถนนนิมมานเหมินทร์เวลานี้จึงไม่ได้มีแค่ร้านกาแฟ ร้านหนังสือ หรือร้านงานฝีมือ แต่ยังเป็นหมุดหมายของนักท่องเที่ยวที่ต้องการเวลาพักผ่อนในโรงแรมที่ให้ความสบายและประสบการณ์ไม่เหมือนใครอย่าง ยู นิมมาน เชียงใหม่ แห่งนี้

Price: ห้องดีลักซ์ 3,289 บ. ห้องสวีท 1 ห้องนอน 6,089 บ. เช็กราคาล่าสุดได้ที่เว็บไซต์www.unimmanchiangmai.com

Place: ถนนนิมมานเหมินทร์ (สี่แยกรินคำ) โทร. 052-005-111 เว็บไซต์

Promotion: โปรฯ ลักชัวรี่ นิมมาน ห้องดีลักซ์คอร์เนอร์และห้องสวีท 1 ห้องนอนลด 35% เหลือราคาเริ่มต้น 3,509 บ. และห้องสวีท 2 ห้องนอนลด 40% ตั้งแต่วันนี้ – 31 ต.ค. 2560

เซ็นทารา ชานทะเล รีสอร์ทและวิลลา ตราด ออกโปรฯ พัก กิน เที่ยว

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

09 กันยายน 2560 เวลา 14:45 น…. อ่านต่อได้ที่ : https://www.posttoday.com/travel/thailand/513854

เซ็นทารา ชานทะเล รีสอร์ทและวิลลา ตราด ออกโปรฯ พัก กิน เที่ยว

โดย กาญจนา

โรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารานำเสนอแพ็กเกจ All-Inclusive holidaysin Trat ณ เซ็นทารา ชานทะเล รีสอร์ทและวิลลา ตราด ล้อมรอบด้วยธรรมชาติชายหาดส่วนตัว พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกและกิจกรรมมากมาย เหมาะสำหรับคู่รัก ครอบครัว เพื่อน รวมถึงสามารถนำสัตว์เลี้ยงมาพักผ่อนได้

แพ็กเกจราคาเริ่มต้น 9,005.94 บาท(ไม่รวมภาษีและค่าบริการ) รวมที่พักแบบห้องทรอปิคอลสวีทหรือห้องทรอปิคอลแฟมิลี่สวีท2 คืน อาหารกลางวันแบบ 3 คอร์ส อาหารมื้อค่ำแบบ 3 คอร์ส อาหารเช้าสำหรับผู้ใหญ่ 2 คนและเด็ก 2 คน รถรับส่งสนามบินตราดและรีสอร์ท กิจกรรมทางน้ำที่ไม่ใช้เครื่องยนต์เช่น ดำน้ำตื้น พายเรือคายัก และวินด์เซิร์ฟ สิทธิเช็กเอาต์หลังเวลา 14.00 น.และบริการอินเทอร์เน็ตไร้สายทั่วบริเวณ

เฉพาะการจองห้องพักผ่านเว็บไซต์โรงแรมเท่านั้นที่ www.centarahotelsresorts.com/th/centara/cct สำหรับการเข้าพักตั้งแต่วันนี้-31 ต.ค. 2560 สอบถามโทร.02-101-1234

googletag.cmd.push(function() { googletag.display(‘div-gpt-ad-1511154358428-0’); });

เบสท์เวสเทิร์น โอซากา ซึคาโมโตะ พร้อมให้บริการแล้ว

เบสท์เวสเทิร์น โฮเทลแอนด์รีสอร์ท ภูมิภาคเอเชีย ขยายธุรกิจสู่เมืองท่องเที่ยวและเมืองสำคัญทางธุรกิจในเอเชียด้วย โรงแรมเบสท์เวสเทิร์น โอซากา ซึคาโมโตะ ที่เปิดต้อนรับนักท่องเที่ยวในวันที่ 1 ก.ย.ที่ผ่านมา โดยให้บริการห้องพักระดับกลาง ราคาที่เป็นมิตร และเหมาะสมกับทั้งนักท่องเที่ยวและนักธุรกิจ

โรงแรมตั้งอยู่ใจกลางเมืองโอซากา ห่างจากรถไฟสายเจอาร์สถานีซึคาโมโตะ 2 นาที และห่างจากโตเกียวด้วยรถไฟชินคันเซ็น 2 สถานี ให้บริการห้องพักทันสมัย 105 ห้อง ห้องอาหารญี่ปุ่นและนานาชาติ และศูนย์บริการธุรกิจตลอด 24 ชม. จองที่พักได้แล้วที่ www.bestwesternhotelasia.com

 

สุดหรูและโรแมนติก อาร์มานี่โฮเทลมิลาโน่ อิตาลี

อาร์มานี่โฮเทลมิลาโน่ โรงแรมหรูในย่านแฟชั่นของเมืองมิลาน ประเทศอิตาลี ต้อนรับเทศกาลแต่งงานด้วยแพ็กเกจฮันนีมูน ประกอบด้วยห้องพักประเภทอาร์มานี่ดีลักซ์ อาหารเช้าเสิร์ฟที่ห้องพัก แชมเปญต้อนรับหนึ่งขวด ดินเนอร์พร้อมช่อดอกไม้ ทรีตเมนท์แบบคู่ 80 นาที และเลตเช็กเอาต์ฟรี ราคาเริ่มต้นที่ 1,465 ยูโร จองที่พักได้ที่ www.armanihotels.com หรือสอบถามที่อีเมล reservations.milan@armanihotels.com

แต่งงานริมทะเลที่อมารี

อมารี แบรนด์ ในเครือออนิกซ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป พร้อมเนรมิตทุกงานแต่งงานให้เป็นจริงด้วยสถานที่แต่งงานสุดโรแมนติกที่สุดสามแห่งทั่วไทย พร้อมทีมผู้เชี่ยวชาญในการจัดงานแต่งตั้งแต่เริ่มวางแผนถึงวันสำคัญ ได้แก่ อมารี ภูเก็ต นำเสนอแพ็กเกจแต่งงานแบบตะวันตกราคาพิเศษเริ่มต้น 69,800 บาท อมารี หัวหิน ราคาเริ่มต้น 78,000 บาท และ อมารี เกาะสมุย ราคาเริ่มต้น 94,000 บาท ดูรายละเอียดที่ www.amari.com

 

กิน เที่ยว เฟี้ยว ยกเกาะ@ภูเก็ต

เทศกาลกิน เที่ยว เฟี้ยว ยกเกาะ@ภูเก็ต (Phuket Street Food Festival 2017) จะจัดขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดเดือน ก.ย. เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวในช่วงกรีนซีซั่น และเน้นย้ำภาพลักษณ์ภูเก็ตว่าเป็นเมืองสร้างสรรค์ด้านวิทยาการอาหาร (Gastronomy City)

โดยสถานประกอบการด้านที่พักทั้งโรงแรมทุกระดับ ภัตตาคาร ร้านอาหาร ตลอดจนร้านอาหารตลาดนัดที่กระจายอยู่ทั่วเกาะจะเน้นนำเสนอเมนูอาหารพื้นเมืองภูเก็ต อาหารเพื่อสุขภาพ อาหารทะเล อาหารสร้างสรรค์ และอาหารถิ่นหากินยาก ให้นักท่องเที่ยวท่องเที่ยวได้ชิมในราคาสุดพิเศษตลอดเดือนนี้

ส่องที่เที่ยวน่าเช็กอินที่ฮ่องกง

ท่ามกลางบรรยากาศการเฉลิมฉลองครบรอบ 20 ปีของการก่อตั้งเขตบริหารพิเศษฮ่องกง นักท่องเที่ยวจะได้พบกับการลดแลกแจกแถมกันแบบไม่อั้น ทั้งสายการบินและโรงแรมที่พักที่จะทำให้ทริปซัมเมอร์ที่ฮ่องกงสนุกยิ่งกว่าที่เคย

การท่องเที่ยวฮ่องกง จึงขอนำเสนอ 20 สถานที่เที่ยวน่าเช็กอินในย่านต่างๆ เพื่อให้คุณจดจำประสบการณ์ที่แตกต่างไป ได้แก่ ย่านเซ็นทรัลเมืองเก่า จิมซาจุ่ย มงก๊ก ซัมชุยโป ไซหว่าน หว่านไจ๋ คอสเวย์เบย์ เซาท์เทิร์น และฟู้ดส์ทรัคต่างๆ โดยดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.discoverhongkong.com

 

เที่ยว ‘คีรีมาศ’ ชมอารยธรรมขอมเมืองสุโขทัย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

03 กันยายน 2560 เวลา 17:24 น…. อ่านต่อได้ที่ : https://www.posttoday.com/travel/thailand/512621

เที่ยว ‘คีรีมาศ’ ชมอารยธรรมขอมเมืองสุโขทัย

โดย ภูเบศวร์ ฝ้ายเทศ

สุโขทัยปฐมราชธานีของชนเผ่าไทยที่มีประวัติศาสตร์กว่า 700 ปี ยังคงมีมนต์เสน่ห์น่าเที่ยวชม โดยเฉพาะชุมชนเก่าแก่หลายแห่งที่ยังอนุรักษ์วัฒนธรรมและวิถีชีวิตเอาไว้

องค์การบริหารส่วนจังหวัดสุโขทัย ได้จัดทำโครงการส่งเสริมการท่องเที่ยว อ.คีรีมาศ จ.สุโขทัย โดยนำผู้ทรงคุณวุฒิด้านการท่องเที่ยว พร้อมด้วยมัคคุเทศก์วัฒนธรรมท้องถิ่นและปราชญ์ชาวบ้าน มาร่วมกันทดสอบเส้นทางท่องเที่ยว อ.คีรีมาศ เมื่อช่วงปลายเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา

เส้นทางการท่องเที่ยว อ.คีรีมาศ เริ่มจากเข้า สักการะองค์พระแม่ย่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของสุโขทัย ที่บริเวณถ้ำแม่ย่า หมู่ 5 บ้านโว้งบ่อ ต.นาเชิงคีรี อ.คีรีมาศ จ.สุโขทัย เพื่อความเป็นสิริมงคล ก่อนที่จะเดินทางต่อไปยังเนินเขาลูกเตี้ยๆ สูง 80 เมตร ที่ตลอดสองข้างทางเดินอุดมไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ ร่มรื่น มีดอกไม้ป่าตามฤดูกาล และพืชสมุนไพรให้ศึกษาจำนวนมาก ใช้เวลาเพียง 10 นาที ก็เดินเท้าขึ้นมาถึงบริเวณที่ตั้ง “ปรางค์เขาปู่จ่า” ปราสาทขอมโบราณก่อด้วยอิฐ เก่าแก่ที่สุดในสุโขทัย

googletag.cmd.push(function() { googletag.display(‘div-gpt-ad-1511154358428-0’); });

ข้อมูลทางโบราณคดีสันนิษฐานว่าสร้างขึ้นตามคติความเชื่อในศาสนาฮินดู ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 16 ต่อมาได้มีการดัดแปลงมาเป็นพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน ดังเคยพบหลักฐานเป็นพระพุทธรูปนาคปรก ณ สถานที่แห่งนี้

จากนั้นคณะได้เดินทางมาชมหมู่บ้านนาเชิงคีรี ซึ่งยังคงอนุรักษ์การทำน้ำตาลโตนด ชิมน้ำตาลสดจากต้น พร้อมชมวิธีการหยอดน้ำอ้อยแบบถึงข้างเตา

ในปัจจุบันหมู่บ้านนาเชิงคีรียังคงมีต้นตาลโตนดอยู่เป็นจำนวนมาก เมื่อมองไปหาเขาหลวงทางทิศตะวันตก จะมองเห็นทิวทัศน์ที่สวยงามของต้นตาลโดยมีเขาหลวงเป็นฉากหลัง

จบจากการชิมน้ำตาลโตนดที่บ้านนาเชิงคีรีแล้ว คณะก็เริ่มเดินทางต่อไปเพื่อเยี่ยมชมชุมชนเก่าแก่บ้านโตนดและบ้านทุ่งหลวง ซึ่งยังคงมีบ้านเรือนไม้โบราณอยู่จำนวนมาก คงความมีเสน่ห์อยู่กับวิถีชีวิต บางหลังเปิดเป็นร้านขายกาแฟ ขายของชำ ในอาคารไม้โบราณที่มีลวดลายสวยงาม ขณะที่หมู่บ้านทุ่งหลวงก็ยังคงอนุรักษ์วิถีการตีหม้อกรัน ใช้ไม้ตีขึ้นรูปขดดินแบบโบราณดั้งเดิม ก่อนที่จะมีการใช้แป้นหมุน

“หม้อกรัน” คือ หม้อดินเผามีฝาปิด ทรงสูง ใช้สำหรับใส่น้ำดื่ม ในสมัยโบราณใช้ประกอบพิธีแต่งงาน และมอบให้กันเนื่องในโอกาสพิเศษ เช่น ต้อนรับเจ้านาย หรือขึ้นบ้านใหม่ แต่ปัจจุบันช่างโบราณที่ยังคง สืบทอดฝีมือเหลือเพียงไม่กี่ราย ซึ่งนับวันจะเป็นสิ่งที่หาดูได้ยาก

“บ้านทุ่งหลวง” ยังเป็นชุมชนของผู้ทำเครื่องปั้นดินเผาหลากหลายรูปแบบ ทั้งงานตีหม้อกรัน ปั้นแบบ แป้นหมุน งานหล่อพิมพ์ และงานประติมากรรม ปัจจุบันความนิยมในการใช้ภาชนะดินเผาลดลงไปมาก จึงยังคงเหลือผู้ผลิตแบบดั้งเดิมเพียงไม่กี่ราย อย่างไรก็ตาม อ.คีรีมาศ นับว่ามีของดีอยู่มากมายรอให้นักท่องเที่ยว มาเยี่ยมชมและชิม อย่างน้ำตาลสดที่หอมหวาน ชื่นใจแล้ว ยังมี “ขนมพับ” ที่ทำจากแป้งข้าวเหนียว ใส่ถั่วดำ โรยมะพร้าวขูด ห่อด้วยใบตองนำไปนึ่ง ซึ่งมีรสชาติหวานมัน กรุบกรอบของถั่วดำ อร่อยไม่เหมือนใครอีกด้วย

คาดว่าอีกไม่นานจากนี้ โครงการท่องเที่ยวชุมชนเก่าแก่แห่ง อ.คีรีมาศ จ.สุโขทัย น่าจะเริ่มดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อต่อยอดจากการท่องเที่ยวแหล่งโบราณสถาน อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย และแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติอีกมากมายของ จ.สุโขทัย

 

ผาหัวนาค วิวดีๆ มีในเมืองไทย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

03 กันยายน 2560 เวลา 11:33 น…. อ่านต่อได้ที่ : https://www.posttoday.com/travel/thailand/512641

ผาหัวนาค วิวดีๆ มีในเมืองไทย

เรื่อง/ภาพ : โยโมทาโร่

กลางเดือนที่ผ่านมามีคนชวนผมไปเที่ยวที่ จ.ชัยภูมิ เขาบอกว่าที่จังหวัดนี้ที่เที่ยวสวย ตอนแรกผมก็แอบคิดอยู่เหมือนกันว่าสวยจริงๆ เหรอเพราะดูรูปภาพรีวิวก็สวยในระดับนึง แต่ไม่ได้ถึงกับทำให้เราอยากไป แต่พอเดินทางไปถึงแล้วกลับไม่ใช่อย่างที่คิด ทุกอย่างดูสวยงามตระการตาไปหมดแม้จะไม่ใช่ฤดูท่องเที่ยวก็ยังสวยงามอยู่ดี พลางบอกกับตัวเองว่าเราพลาดที่นี่ไปได้อย่างไร

ที่ จ.ชัยภูมิ มีสถานที่ท่องเที่ยวสวยงามอยู่หลายแห่ง แต่วันนี้เราขอโฟกัสไปที่อุทยานแห่งชาติภูแลนคา ที่ทำให้เรารู้สึกเซอร์ไพรส์มากที่สุด การเดินทางจากกรุงเทพฯ มาที่อุทยานแห่งชาติภูแลนคา ใช้เวลาประมาณ 4-5 ชั่วโมง ใช้ทางหลวงหลักหมายเลข 2 ผ่าน จ.สระบุรี จากนั้นใช้เส้นทางหมายเลข 201 มุ่งหน้าเข้าสู่ตัว จ.ชัยภูมิ แวะซื้อเสบียงเติมเชื้อเพลิงให้เต็ม แล้วขับรถตามเส้นทางหมายเลข 2051 วิ่งตามป้ายบอกทางไปอุทยานแห่งชาติภูแลนคาไปเรื่อยๆ เราจะพบกับมอหินขาว เป็นสถานที่เที่ยวจุดแรก

เราต่างคุ้นภาพคุ้นตากับเสาหินทรายยักษ์ อันเป็นจุดเด่นของที่นี่ หินทรายยักษ์อายุประมาณ 175 ล้านปีตั้งตระหง่านท้าแสงแดด สายลม สายฝน หากดูในภาพเราคงจินตนาการไม่ออกว่าใหญ่ขนาดไหน แต่ถึงที่จริงปรากฏว่าใหญ่โตมโหฬารสมกับเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมของ จ.ชัยภูมิ แต่ละเสาหินยักษ์ทั้ง 5 มีชื่อตั้งให้เรียบร้อยได้แก่ ขุนศรีวิชัย หลวงปู่ฤาษี หลวงสมชาย หลวงจันทร์ และหมื่นสิงขร ชื่อราวกับหลุดมาจากนิทานพื้นบ้านเกราะเพชรเจ็ดสีกันเลยทีเดียว เชื่อกันว่าเสาหินแต่ละเสาล้วนให้โชคแตกต่างกันออกไป บริเวณมอหินขาว เราสามารถกางเต็นท์นอนดูดาวได้ แต่ในช่วงเวลาที่เราไปนั้นเป็นช่วงฤดูฝนไม่เหมาะกับการกางเต็นท์นอนบริเวณนี้สักเท่าไหร่ แต่ในบริเวณใกล้ๆ กันก็จะมีทุ่งหินเล็กหินน้อยอยู่เรียงรายให้เราเดินชมเล่น

googletag.cmd.push(function() { googletag.display(‘div-gpt-ad-1511154358428-0’); });

สิ่งที่เราชอบมากที่สุดและเชื่อว่าเป็นวิวเนินเขา ที่อยู่เบื้องหลังให้เห็นพื้นที่ราบลุ่มมากกว่าปรากฏให้เห็นตั้งแต่ทางเข้าจนถึงบริเวณมอหินขาว เป็นวิวที่ทำให้เรารู้สึกประทับใจมากที่สุด แต่มีน้อยคนนักที่จะโพสต์วิวนี้ในรีวิว เราใช้เวลาเดินชมถ่ายภาพนั่งพักในร่มไม้รับลมเย็นๆ มีรถไอศกรีมและผลไม้จอดขายอยู่ในบริเวณ แม้ไม่ใช่ฤดูท่องเที่ยว แต่ก็มีนักท่องเที่ยวจำนวนไม่น้อยขับรถขึ้นมาเที่ยวชมที่นี่

พลันมองเห็นป้ายจุดชมวิวผาหัวนาค ซึ่งต้องขับรถขึ้นไปอีกหน่อยและต้องเสียค่าเข้าให้กับอุทยานแห่งชาติ เราถามกับพ่อค้าขายไอศกรีมว่า วิวผาหัวนาค สวยไหมคุ้มที่จะเข้าไปชมหรือเปล่า น้ำเสียงในคำตอบนั้นหนักแน่นดั่งหินผาว่า ควรขึ้นไปชมครับไม่ไปถือว่าพลาดมาก เมื่อคนท้องถิ่นพูดถึงขนาดนี้จากที่ตั้งใจจะดูแค่ มอหินขาวเราก็ต้องดั้นด้นขึ้นไปชมดูสักครั้ง

ขับรถขึ้นไปอีกประมาณ 10 นาทีก็ถึงจุดเสียค่าเข้าชมอุทยานเราเข้าชมอุทยานแห่งชาติครั้งสุดท้ายก็เมื่อประมาณ 4 ปีที่แล้วในสมัยที่เสียค่าเข้าที่เดียวก็สามารถนำตั๋วไปเที่ยวชมอุทยานแห่งชาติอื่นๆ ที่อยู่ใกล้เคียงได้ในวันเดียวกัน เพิ่งมารู้ในวันนั้นว่าปัจจุบันการเสียค่าเข้าชมอุทยานแห่งชาติไม่สามารถนำตั๋วจากอีกที่หนึ่งไปเข้าอีกที่หนึ่งในวันเดียวกันได้อีกแล้ว แต่ถ้าเราติดตามข่าวปัญหาการขาดแคลนเจ้าหน้าที่ดูแลป่าไม้ ปัญหาการขาดแคลนเงินทุนที่จะเข้ามาดูแลรักษาป่าก็แค่ไม่กี่สิบบาทยอมเสียไปเถอะครับเพื่อให้เราได้มีป่าไม้และธรรมชาติส่งต่อถึงลูกหลาน

เมื่อเข้ามาในเขตอุทยานแห่งชาติภูแลนคาก็คือ ภายในบริเวณอุทยานตั้งแต่สำนักงานที่ทำการอุทยาน อาคารหอประชุม ลานจอดรถ บริเวณกางเต็นท์ ร้านกาแฟ ร้านขายของที่ระลึก ดูทันสมัยดูดีสะอาดตา ถึงขนาดทำให้เรารู้สึกระมัดระวังตัวที่จะทำขยะหล่นไปสักชิ้นจะรู้สึกเสียใจมาก เรียกได้ว่าการกลับมาเที่ยวอุทยานแห่งชาติอีกครั้งในรอบ 4 ปี มีความประทับใจอย่างยิ่งและที่สำคัญวิวสวยถึงสวยมากๆ และมากที่สุด

จากประสบการณ์เที่ยวอุทยานแห่งชาติกางเต็นท์นอนมาก็หลายที่ยังนึกภาพไม่ออกว่าที่ไหนสวยเทียบเคียงกับที่นี่ได้บ้าง ถ้าไม่นับ เขาช้างเผือก อุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี ซึ่งเป็นการเดินบนสันเขา และวิวแบบ 360 องศา ที่นี่อาจจะเป็นวิวริมผาที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย

เพราะบริเวณผาหัวนาค ตั้งอยู่ตรงแนวสันเขาที่ทอดยาวเบื้องล่างเป็นพื้นที่ราบลุ่ม อ.หนองบัวแดง วิวผาที่โล่งกว้างเห็นวิวได้ 180 องศา ทิวเขาข้างหน้าคือเขตอุทยานแห่งชาติ ทิวเขาด้านขวาคืออุทยานแห่งชาติภูเวียง และด้านซ้ายคืออุทยานแห่งชาติไทรทอง หากโชคดีในวันที่ฟ้าเปิดและไม่มีหมอกแดด มองข้ามผ่านทิวเขาในเขตอุทยานแห่งชาติภูเวียงเราอาจจะได้เห็นทิวเขาของเขตอุทยานทุ่งแสลงหลวงทับซ้อนอยู่ข้างหลัง

เป็นผาที่ค่อนข้างเปิดกว้าง ลมเย็นทิวทัศน์ตระการตา เห็นแล้วแทบอยากจะขอค้างคืนที่นี่ให้ได้เลยทีเดียว มีเจ้าหน้าที่เดินเข้ามาดูแลทักทายอย่างมีอัธยาศัย ส่วนหนึ่งก็อาจจะเป็นเพราะต้องการนับจำนวนคนที่อยู่บริเวณผาให้กลับออกไปอย่างไม่ตกหล่น เพราะถ้าตกหล่นขึ้นมาก็เป็นเรื่องใหญ่แน่ๆ

สอบถามเจ้าหน้าที่ถึงคำแนะนำในการมาเที่ยวที่นี่ ก็ได้ใจความว่าหากต้องการมาเที่ยวที่ผาหัวนาคสามารถมาเที่ยวได้ตลอดปี ซึ่งแต่ละฤดูก็จะมีบรรยากาศที่สวยงามแตกต่างกันไป แต่แนะนำให้เที่ยวช่วงปลายฝนต้นหนาวที่ท้องฟ้าเริ่มโปร่งใสจะดีที่สุด เพราะในช่วงฤดูฝนบนยอดผามีความสูงเหนือระดับน้ำทะเลประมาณ 900 กว่าเมตรเป็นความสูงระดับเมฆฝนชั้นต่ำ เวลาเมฆฝนเคลื่อนผ่านบริเวณนี้ก็แทบจะมองไม่เห็นอะไรเลย

แต่ในฤดูหนาวเป็นช่วงเวลาที่สุดยอด เพราะคุณจะได้เห็นดาวบนดินบนพื้นราบและดาวบนฟ้าเกลื่อนตา เจ้าหน้าที่บอกกับเราอีกว่าตั้งแต่ทำงานเป็นเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติหมุนเวียนกันดูแลหลายๆ ที่ วิวผาหัวนาคสวยที่สุดเท่าที่เคยอยู่มาซึ่งเราก็เห็นด้วยในความเห็นนั้น ในช่วงฤดูหนาวบางปีมีอุณหภูมิลดต่ำถึง 1 องศา ส่วนทะเลหมอกนั้นแล้วแต่สภาพอากาศซึ่งคาดเดาได้ยากแต่เท่าที่เห็นและเป็นอยู่ก็เรียกได้ว่าสุดยอดของจุดชมวิวแล้วไม่มีคำว่าเสียดายหรือรู้สึกเสียเที่ยวแม้แต่น้อย ปลายปีลมหนาวพัดมาเมื่อไหร่ต้องจัดมาที่นี่อีกสักครั้งแน่นอน

 

เสาชิงช้า

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

02 กันยายน 2560 เวลา 16:33 น….. อ่านต่อได้ที่ : https://www.posttoday.com/travel/thailand/512560

เสาชิงช้า

โดย โสภิตา สว่างเลิศกุล

เสาชิงช้า

จดหมายเหตุกรุงรัตนโกสินทร์บันทึกไว้ว่าพระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทรมหาจักรีบรมนาถ หรือพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 โปรดให้สร้างเสาชิงช้าในพระนครขึ้นตรงหน้าเทวสถานโบสถ์พราหมณ์ เมื่อวันพุธ เดือน 5 แรม 4 ค่ำ ปีมะโรง บริเวณลานด้านเหนือของวัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร

ต่อมาย้ายมาสร้างใหม่ ณ ที่ตั้งปัจจุบันบริเวณหน้าวัดสุทัศน์ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องจากข้อจำกัดด้านสถานที่กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนเสาชิงช้าเป็นโบราณสถานสำคัญของชาติ เมื่อวันที่ 22 พ.ย. 2492 นับตั้งแต่สร้างครั้งแรกเมื่อปี 2327 จนถึงการบูรณปฏิสังขรณ์ครั้งล่าสุด ซึ่งเสาชิงช้าคู่เดิมถูกถอดเปลี่ยนเมื่อปี 2549 ปัจจุบันเสาชิงช้ามีอายุรวมประมาณ 233 ปี

googletag.cmd.push(function() { googletag.display(‘div-gpt-ad-1511154358428-0’); });

สำหรับการขุดค้นทางโบราณคดี พบหลักฐานต่างๆ สามารถสรุปชั้นดินเบื้องต้นได้ว่าแนวอิฐในสมัยที่ 1 (ด้านวัดสุทัศน์) น่าจะเป็นแนวถนนเดิมที่มีมาก่อนสมัยรัชกาลที่ 4 ส่วนแนวพื้นสมัยที่ 2 (ด้านวัดสุทัศน์) น่าจะเป็นแนวถนนที่สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4 โดยมีรางระบายน้ำอยู่ขอบถนน อาจมีการปรับพื้นที่ด้วยการอัดดินเหนียวเพื่อให้ได้ระดับแล้วจึงเทชั้นถนน ส่วนท่อเหล็กสมัยที่ 3 น่าจะเป็นท่อประปาที่สร้างขึ้นในสมัยหลัง คือสมัยรัชกาลที่ 5 สร้างขึ้นหลังจากมีการสร้างถนนแล้ว

สาเหตุที่สร้างเสาชิงช้า กล่าวกันว่า เนื่องมาจากมีพราหมณ์นาฬิวันชาวเมืองสุโขทัยผู้หนึ่ง ซึ่งมีนามว่าพระครูสิทธิชัย (กระต่าย) ได้นำความขึ้นกราบบังคมทูลต่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ว่าในการประกอบพระราชพิธีตรียัมปวายอันเป็นประเพณีของพราหมณ์มีมาแต่โบราณนั้น จำเป็นต้องมีการโล้ชิงช้า และเสาชิงช้าก็ถูกสร้างขึ้นตรงกลางพระนคร เมื่อวันที่ 8 เม.ย. 2327 (โบราณกำหนดเอาบริเวณเสาชิงช้าว่าเป็นกึ่งกลางพระนคร)

ต่อมาอีก 34 ปี คือเมื่อเดือน พ.ย. 2361 (รัชกาลที่ 2) ได้เกิดฟ้าผ่าลงบนยอดเสาชิงช้าทำให้เสียหายไปเล็กน้อย และดูเหมือนว่าตั้งแต่นั้นมาก็จะไม่ได้ซ่อมแซมกันเท่าไรนัก

ต่อมาอีกร้อยปีปรากฏว่าบริษัท หลุยส์ ที เลียวโนเวนส์ ซึ่งเป็นบริษัทค้าไม้อยู่ในเวลานั้น ได้อุทิศซุงไม้สักให้หลายต้นเพื่อซ่อมแซมให้ดีดังเดิม โดยอุทิศบุญกุศลเป็นที่ระลึกแก่ หลุยส์ ธอมัส เลียวโนเวนส์ การซ่อมแซมครั้งนั้นสำเร็จลงเมื่อวันที่ 12 ม.ค. 2463 ดูเหมือนจะมีคำจารึกไว้ที่เสาด้วย

ในปี 2502 ทางกรุงเทพมหานครได้จัดการซ่อมแซมใหม่ ได้ทำพิธียกกระจังขึ้นตั้งยอดเสาเมื่อเดือน ธ.ค. 2502 และมีการบูรณะในวาระครบรอบ 222 ปี ในปี 2549

เมื่อกล่าวถึงเสาชิงช้า ก็ต้องกล่าวถึงพิธีโล้ชิงช้ามีที่มาจากคัมภีร์เฉลิมไตรภพกล่าวไว้ว่า พระอุมาเทวีทรงมีความปริวิตกว่าโลกจะถึงกาลวิบัติ พระนางจึงทรงพนันกับพระอิศวร โดยให้พญานาคขึงตนระหว่างต้นพุทราที่แม่น้ำ แล้วให้พญานาคแกว่งไกวตัวโดยพระอิศวรทรงยืนขาเดียวในลักษณะไขว่ห้าง เมื่อพญานาคไกวตัว เท้าพระอิศวรไม่ตกลง แสดงว่าโลกที่ทรงสร้างนั้นมั่นคงแข็งแรง พระอิศวรจึงทรงชนะพนัน

ดังนั้น พิธีโล้ชิงช้าจึงเปรียบเสาชิงช้าเป็น “ต้นพุทรา” ช่วงระหว่างเสาคือ “แม่น้ำ” นาลีวัน ผู้โล้ชิงช้าคือ “พญานาค” โดยมีพระยายืนชิงช้านั่งไขว่ห้างอยู่บนไม้เบญจมาศ

อีกตำนานหนึ่งเชื่อว่า พระพรหมเมื่อสร้างโลกแล้ว ได้เชิญให้พระอิศวรทดสอบความแข็งแรงของโลก พระอิศวรจึงใช้วิธีการเช่นเดียวกันกับข้างต้นในการทดสอบ คตินี้สอนเรื่องการไม่ประมาท

พิธีโล้ชิงช้านี้ได้มีติดต่อกันมาหลายรัชกาล จนถึงรัชกาลที่ 7 เศรษฐกิจของไทยเราชักไม่ค่อยมั่นคง เงินในท้องพระคลังร่อยหรอลงเต็มที การโล้ชิงช้าต้องใช้เงินมาก และเป็นการหมดเปลืองเงินหลวง และในระยะนั้นเป็นสมัยที่เพิ่งเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตยใหม่ๆ เหตุการณ์ยังไม่ค่อยสงบดีนัก ด้วยเหตุผลต่างๆ เหล่านี้จึงได้ยกเลิกประเพณีการโล้ชิงช้าเสีย คงทำเฉพาะปี 2477 ซึ่งพระยาชลมารควิจารณ์ (ม.ล.พงศ์ สนิทวงศ์) ได้เป็นประธานหมู่นาฬิวัน นับเป็นปีสุดท้ายที่ได้มีการโล้ชิงช้า ปัจจุบันการประกอบพระราชพิธีนี้จะกระทำเป็นการภายในเทวสถานเท่านั้น

เสาชิงช้าตั้งอยู่หน้าวัดสุทัศนเทพวราราม และลานคนเมือง หน้าศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร ใกล้กับเทวสถานโบสถ์พราหมณ์ ในพื้นที่แขวงเสาชิงช้า และแขวงวัดราชบพิธ เขตพระนคร กรุงเทพฯ ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของกรุงเทพมหานคร

บริเวณย่านเสาชิงช้าเป็นย่านเก่าแก่แห่งหนึ่งของกรุงเทพฯ มีสถาปัตยกรรมเก่าแก่จำนวนมากโดยเฉพาะอาคารพาณิชย์สองฝั่งถนนบำรุงเมืองรอบเสาชิงช้า ระหว่างแยกสี่กั๊กเสาชิงช้า และแยกสำราญราษฎร์ ถือเป็นย่านจำหน่ายสังฆภัณฑ์ที่สำคัญของกรุงเทพฯ

นอกจากนี้ โดยรอบยังมีศาสนสถานที่สำคัญในศาสนาพราหมณ์-ฮินดูอยู่หลายแห่ง ได้แก่เทวสถานโบสถ์พราหมณ์ วัดเทพมณเฑียร และศาลพระนารายณ์ ซึ่งสร้างขึ้นภายหลังบริเวณเกาะกลางถนนอุณากรรณ-ถนนศิริพงษ์ ข้างวัดสุทัศน์

เสาชิงช้าจึงเป็นย่านที่มีแหล่งท่องเที่ยวและย่านของกินที่สำคัญของเกาะรัตนโกสินทร์ที่พลาดไม่ได้

 

ปรากฏการณ์อีสานหน้าฝน ตามล่า 4 น้ำตกกับ 2 สิ่งมหัศจรรย์

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

02 กันยายน 2560 เวลา 14:13 น….. อ่านต่อได้ที่ : https://www.posttoday.com/travel/thailand/512543

ปรากฏการณ์อีสานหน้าฝน ตามล่า 4 น้ำตกกับ 2 สิ่งมหัศจรรย์

โดย กาญจน์ อายุ

ฤดูแล้งพัดไป เมื่อสายฝนพัดมาพร้อมสายน้ำจากยอดป่าไหลลงสู่พื้นดิน กลายเป็น “น้ำตก” บนอีสานตอนล่างอย่าง 4 น้ำตกจากอุบลราชธานีถึงศรีสะเกษ ที่เหมาะแก่การเปิดศักราช “ล่าน้ำตก” อย่างเป็นทางการอุบลราชธานี วิถีน้ำตกกลางป่าใหญ่

จังหวัดที่มีทั้งประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และธรรมชาติรังสรรค์อย่าง อุบลราชธานี เป็นที่ตั้งของอุทยานแห่งชาติ 3 แห่ง ได้แก่ อุทยานแห่งชาติแก่งตะนะ ที่ไม่โดดเด่นเรื่องน้ำตก แต่มีเอกลักษณ์ตรงเกาะแก่งกลางลำน้ำมูล

อุทยานแห่งชาติผาแต้ม มีความสำคัญด้านประวัติศาสตร์กับภาพเขียนสีศิลปะถ้ำโบราณกว่า 300 ภาพ

และอุทยานแห่งชาติภูจองนายอย ที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยน้ำซึ่งเป็นจุดหมายออกล่าในฤดูกาลนี้

googletag.cmd.push(function() { googletag.display(‘div-gpt-ad-1511154358428-0’); });

อุทยานแห่งชาติภูจองนายอย มีเนื้อที่ประมาณ 686 ตร.กม. ครอบคลุมพื้นที่ อ.บุณฑริก นาจะหลวย และน้ำยืน มีอาณาเขตติดต่อกับ สปป.ลาว และกัมพูชา หรือที่เรียกว่า สามเหลี่ยมมรกต น้ำตกที่สวยงาม ยอดนิยม และเดินเหนื่อยที่สุดต้องยกตำแหน่งให้ “น้ำตกห้วยหลวง” หรืออีกชื่อคือ น้ำตกบักเตว

มีเรื่องเล่าว่า ในอดีตชาวบ้านมีอาชีพหาของป่าล่าสัตว์เพื่อการยังชีพ บักเตวและพวก 3 คนก็ได้พากันขึ้นมาหาของป่าและได้พบรวงผึ้งมากมายเกาะอยู่ตามหน้าผาน้ำตกแห่งนี้ จึงได้นำเถาวัลย์มาฟั่นปั่นเป็นเชือกหย่อนลงไป โดยมีนายเตวเป็นผู้โรยตัวแต่ไม่ได้มีการบนบานศาลกล่าวบอกเจ้าที่เจ้าทางก่อน ในระหว่างเก็บรวงผึ้งอยู่นั้นบักเตวได้ร่วงหล่นลงสู่หุบเหวเบื้องล่างและกระทบหินร่างแหลกถึงแก่ความตาย ชาวบ้านจึงได้ขนานนามน้ำตกแห่งนี้ว่า น้ำตกถ้ำบักเตว

ทว่าในแต่ละปีได้เกิดอุบัติเหตุมีนักท่องเที่ยวจมน้ำเสียชีวิตซึ่งเชื่อว่าเป็นอาถรรพ์บักเตว ทำให้ในปี 2535 หัวหน้าอุทยานฯ ในสมัยนั้นจึงให้เปลี่ยนชื่อเป็น น้ำตกห้วยหลวง ตามชื่อของลำห้วยที่ไหลผ่านน้ำตกจวบจนปัจจุบัน จากนั้นน้ำตกห้วยหลวงก็โด่งดังและถูกยกให้เป็นน้ำตกที่งดงามที่สุดในอุบลฯ

น้ำตกแห่งนี้มีขนาดใหญ่ที่สุดในอุบลฯ สูงประมาณ 30 ม. ไหลเป็นเส้นตรงตกลงสู่หุบเขาที่มีลักษณะเป็นอ่างน้ำ มีหาดทรายขาว และน้ำเป็นสีมรกต แต่ก่อนที่นักท่องเที่ยวจะลงไปชมความงามด้านล่างต้องผ่านด่านบันไดหินประมาณ 300 ขั้น ที่ทางอุทยานฯ มีป้ายเตือนตั้งแต่ขั้นที่ 1 ว่าถ้าใครเป็นโรคหัวใจหรือโรคหอบต้องพิจารณาร่างกาย

เพราะขาลงที่ว่าเหนื่อยแล้ว ขาขึ้นยิ่งเหนื่อยกว่า เพราะความชันตลอดแนวแบบไร้ทางราบ บันไดแต่ละขั้นที่สูงๆ ต่ำๆ และตะไคร่น้ำที่ทำให้พลาดพลั้งได้ทุกนาที ทำให้ทุกก้าวต้องใช้สติ สมาธิ และกำหนดลมหายใจ แต่สำหรับใครที่แข็งแรงและมีใจสู้ไหวขอแนะนำให้ไปเห็นกับตา

จากมุมด้านล่างจะเห็นสายน้ำตกสีขาวผืนกว้างและสูงตระหง่าน ตัวคนจะถูกละอองน้ำสาดเข้าร่างเพราะความแรงน้ำที่ตกกระทบหินทราย และต้นไม้ที่มีรากชอนไชจะเปลี่ยนเป็นสีเขียวครึ้ม โดยนักท่องเที่ยวจะถูกจำกัดวงเล่นน้ำเพื่อความปลอดภัย เฉพาะในเดือนนี้ (ก.ย.) ที่น้ำมากและแรงที่สุด ซึ่งมีข้อดีตรงที่คุณจะได้ชุ่มฉ่ำที่สุดและเห็นภาพน้ำตกที่งามที่สุด แต่ข้อเสียคือจะไม่สามารถเข้าใกล้สายน้ำตกได้มากที่สุดเท่านั้นเอง

อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาสุขภาพแล้วคิดว่าไม่ไหว ก็สามารถชมจากจุดชมวิวได้ จุดนั้นจะเห็นภาพน้ำตกห้วยหลวงท่ามกลางป่าใหญ่และผาหินที่จะงามหมดจดในช่วงเช้าตรู่ เพราะควันหมอกที่พวยพุ่งจากป่าผสมกับละอองน้ำตกที่ลอยตัวขึ้น ธรรมชาติได้สร้างบรรยากาศเหมือนมีใครมาจัดฉากให้เป็นยามเช้าที่สมบูรณ์แบบ

นอกจากนี้ อุทยานแห่งชาติภูจองนายอยยังเป็นที่ตั้งของ “น้ำตกแสงจันทร์” ที่ได้รับสมญานามว่า น้ำตกลงรู จัดเป็นแหล่งท่องเที่ยวอันซีนของอุบลฯ ซึ่งถึงแม้ว่าจะเป็นน้ำตกขนาดเล็กแต่มีความพิเศษ คือ ลำห้วยเล็กๆ บนลานหินจะไหลลอดผ่านหน้าหินที่มีลักษณะเป็นรูลงสู่เพิงผาด้านล่าง

หากชมตอนเที่ยงวันแสงอาทิตย์จะลอดผ่านรูพอดีและจะเปลี่ยนสายน้ำตกให้เป็นเหมือนแสงจันทร์ เช่นเดียวกับ “น้ำตกห้วยทรายใหญ่” หรือแก่งอีเขียว ที่เป็นน้ำตกขนาดเล็ก ชื่อไม่ดัง แต่เดินถึงตัวน้ำตกง่าย ไม่โลดโผน และที่สำคัญคือ เงียบสงบ ถึงขนาดที่คุณจะได้นั่งเอาเท้าแช่น้ำให้ปลาตอดและฟังเสียงน้ำตกบอกคุณว่า ซู่ๆ จนพลังชีวิตที่หายไปกลับคืนมา

อุบลราชธานี ยังมีธรรมชาติที่น่าตื่นตาตื่นใจกับสิ่งมหัศจรรย์ “กุ้งเดินขบวน” ที่แก่งลำดวน บริเวณนี้มีลักษณะเป็นแก่งหินและลานกว้าง ชาวบ้านเรียกว่า พลาญหิน ในช่วงฤดูน้ำหลาก (ก.ย.) แก่งลำดวนจะมีกระแสน้ำเชี่ยวกรากจึงทำให้บรรดากุ้งก้ามขนพร้อมใจกันขึ้นมาเดินขบวนทวนกระแสน้ำบนลานหิน มุ่งสู่แหล่งต้นน้ำลำโดมใหญ่ที่มีความอุดมสมบูรณ์

กุ้งเดินขบวนจะเกิดขึ้นเฉพาะช่วงเวลากลางคืนเท่านั้น แต่คืนไหนจะมาเดินมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยธรรมชาติ ฤดูกาล และปริมาณน้ำฝนที่ตกลงมาในบริเวณต้นน้ำลำโดมใหญ่ ถ้าปริมาณน้ำฝนมาก กระแสน้ำแรงจะพบกุ้งเดินขบวนจำนวนมาก หากปริมาณฝนน้อย กระแสน้ำไม่ค่อยแรงกุ้งก็จะเดินน้อยหรือไม่ขึ้นมาเดินบนบบก

ปรากฏการณ์กุ้งเดินขบวนจึงพบเห็นได้ยากและเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติอย่างแท้จริง ไม่ต่างจากน้ำตกที่ต้องรอฤดูกาลและรอให้ธรรมชาติอนุญาตก่อนพบเจอความงาม

ศรีสะเกษ สุดเขตความงาม

ดินแดนปราสาทขอมและแหล่งรวมวัฒนธรรมไทย ลาว กัมพูชา ส่วย เยอ คือแผ่นดินเดียวกับดินแดนแห่งธรรมชาติอย่างน้ำตกที่จะออกล่า 2 แห่งใน อ.ขุนหาญ จ.ศรีสะเกษ จังหวัดที่คนมักมองข้ามแต่ต้องไม่ใช่ในคราวนี้

เริ่มต้นที่ “น้ำตกสำโรงเกียรติ” หรือน้ำตกปีศาจ อยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าพนมดงรัก ลักษณะเป็นน้ำตกขนาดกลาง เหนือน้ำตกเป็นธารน้ำไหลไปตามลานหินและตกจากหน้าผาสูง 8 ม. ซึ่งต้องสารภาพว่าสมญานาม น้ำตกปีศาจ ไม่ทราบว่ามาจากไหน แต่คนตั้งให้อาจจะยังไม่เคยไปช่วงบ่ายสามคล้อยบ่ายสี่ในฤดูฝนเยี่ยงนี้

เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นคงให้สมญานามใหม่ว่า น้ำตกนางฟ้า ซึ่งมีแสงพระอาทิตย์ที่ส่องผ่านกิ่งก้านลงมาช่างเหมาะเจาะและงดงามพอดีประหนึ่งแสงของนางฟ้ายามปรากฏตัว ซึ่งความมหัศจรรย์นี้ต้องใช้จังหวะและโชคช่วยอยู่บ้างตามคอนเซ็ปต์ของธรรมชาติที่มักหยอกล้อมนุษย์หลังเลนส์เสมอ

จากนั้นตามมาด้วย “น้ำตกห้วยจันทร์” หรือน้ำตกกันทรอม ที่มีสายน้ำต้นกำเนิดจากเทือกเขาบรรทัดไหลลดหลั่นมาตามชั้นหินทรายก่อนไหลลงแม่น้ำมูล ระหว่างทางน้ำจะมีลานหินให้นั่งพักผ่อนหย่อนใจหลายจุด จึงน่าพกชุดปิกนิกที่ประกอบด้วยข้าวเหนียวไก่ย่างส้มตำมานั่งจกริมสายน้ำเย็น

นอกจากนี้ อาณาเขตของศรีสะเกษยังติดต่อกับประเทศกัมพูชา โดยมีเทือกเขาพนมดงรักและอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหารเป็นแนวกั้นเขตแดน ที่ถึงแม้ว่าคนไทยจะไม่ได้รับอนุญาตเข้าเขตปราสาทเขาพระวิหาร แต่สามารถมองเห็นบางส่วนของปราสาทได้จากอุทยานฯ

อุทยานแห่งชาติเขาพระวิหารตั้งอยู่ใน อ.กันทรลักษ์ มีแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์และแหล่งศึกษาธรรมชาติอย่าง ภาพสลักนูนต่ำ โดยทางทิศใต้จะมีบันไดทางลงเลียบหน้าผาไปชมภาพสลักนูนต่ำรูปเทพสามองค์บนผาหินทราย สันนิษฐานว่ารูปบุรุษเป็นท้าวกุเวร หนึ่งในจตุมหาราชประจำทิศเหนือ หรือรูปบุคคลสูงศักดิ์ในราวพุทธศตวรรษที่ 17 ส่วนรูปบุคคลประทับบนนาค สันนิษฐานว่าเป็นเทพวรุณทรงนาคหรือพระนารายณ์ทรงนาค และภาพสัตว์สองตัวที่ยังแกะสลักไม่เสร็จอาจเป็นเทพพาหนะ และบริเวณดังกล่าวยังเชื่อว่าเป็นที่ซ้อมมือของช่างแกะสลักก่อนจะดำเนินการแกะสลักจริงที่ปราสาทเขาพระวิหาร

ส่วนทางทิศตะวันตกเป็นที่ตั้งของสถูปคู่ ชาวบ้านเรียกว่า ธาตุ ทำมาจากหินทรายตัดเป็นทรงสี่เหลี่ยมลูกบาศก์ ด้านบนกลมมนตั้งอยู่คู่กัน ข้างในเป็นโพรงบรรจุสิ่งของ เชื่อกันว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งความอุดมสมบูรณ์ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของปราสาทเขาพระวิหารเช่นกัน

ส่วนจุดที่พลาดไม่ได้ที่สุดคงจะเป็น “ผามออีแดง” สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 556 ม. เป็นจุดชมทัศนียภาพสองฝั่งชายแดนไทย-กัมพูชากว้างไกลสุดสายตา และเป็นจุดชมทะเลหมอกไหลผ่านเหลี่ยมเขาเหนือยอดป่าจวบจนพระอาทิตย์ขึ้นพ้นฟ้า หรือหากตื่นมาตอนเช้ามืดก็จะได้ชมทั้งสายหมอกและแสงดาวอยู่คู่กัน

คราวนี้คงปฏิเสธไม่ได้แล้วว่าศรีสะเกษมีดีมากกว่าเป็นแค่เมืองผ่าน เพราะที่นี่มีความงดงามที่ต้องใช้เวลาละเลียดและรอเพื่อสัมผัสความลับที่ซุกซ่อนอยู่

การออกล่า 4 น้ำตก 2 อุทยานแห่งชาติ 2 จังหวัด จึงเป็นเรื่องสนุกและผิดหวังได้ง่ายมากถ้าคาดหวังกับธรรมชาติ เลยเป็นเรื่องสนุกกว่าถ้าปล่อยให้ “เขา” รังสรรค์ความงดงาม ณ ขณะ แล้ว “เรา” เสพสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ปรารถนาความจริงที่ปรากฏออกมา หรือหากไม่พอใจก็แค่มาใหม่วันหน้า เพราะไม่ว่าวันไหนธรรมชาติก็มีเรื่องเซอร์ไพรส์ให้ลุ้นระทึกได้อยู่ดี

 

ชิลชิล 1 วัน ในพังงา

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

27 สิงหาคม 2560 เวลา 06:59 น…. อ่านต่อได้ที่ : https://www.posttoday.com/travel/thailand/511368

ชิลชิล 1 วัน ในพังงา

โดย…สืบสิน

ทันทีที่ก้าวพ้นสะพานสารสิน นั่นหมายถึงเราได้ก้าวเข้าสู่ จ.พังงา กันแล้ว การเดินทางครั้งนี้ไม่ได้หวังจะท่องเที่ยวเหมือนใครๆ แต่ตั้งใจเพียงว่าขอแค่หลุดพ้นมาจากเมืองใหญ่อันแสนวุ่นวาย บอกได้เลยว่าช่างสบายนักเมื่อเราได้เดินทางมาเยี่ยมน้องๆ ที่โรงเรียนเยาววิทย์ จ.พังงา ที่ถูกก่อตั้งขึ้นเพื่อให้ความช่วยเหลือให้แก่เด็กและเยาวชนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์สึนามิ รวมไปถึงเด็กๆ ที่ได้รับผลพวงจากโรคร้ายและสถานภาพทางสังคมที่ย่ำแย่ เพื่อเตรียมตัวให้พวกเขาพร้อมสำหรับการใช้ชีวิตในอนาคต

หลังจากที่เราได้เยี่ยมน้องๆ ที่เปี่่ยมไปด้วยความสุข ความหวัง และรอยยิ้มอันน่าชื่นใจ ปลุกพลังให้เราเดินทางต่อไปเพื่อหามุมสงบทางจิตใจกันที่วัดเทสก์ธรรมนาวา หรือ “วัดป่าไทร” วัดที่สร้างขึ้นจากป่าช้า ทว่างดงามยิ่งนัก

รอยยิ้มอันเปี่ยมสุข ณ โรงเรียนเยาววิทย์

googletag.cmd.push(function() { googletag.display(‘div-gpt-ad-1511154358428-0’); });

โรงเรียนเยาววิทย์เป็นโรงเรียนประจำสำหรับเด็กผู้ด้อยโอกาสที่มีประวัติทางสังคม ถูกก่อตั้งขึ้นเพื่อให้ความช่วยเหลือให้แก่เด็กและเยาวชนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์สึนามิ รวมไปถึงเด็กๆ ที่ได้รับผลพวงจากโรคร้ายและสถานภาพทางสังคมที่ย่ำแย่ เพื่อเตรียมตัวให้พวกเขาพร้อมสำหรับการใช้ชีวิตในอนาคต ด้วยความมุ่งหวังว่าการศึกษาที่พวกเขามอบให้จะสร้างโอกาสและเครื่องมือที่ดีที่สุดในการต่อสู้กับความยากจนและเปิดประตูไปสู่ความสำเร็จในชีวิตได้

ราวกลางเดือน ม.ค. 2548 เพียงสองสามสัปดาห์หลังจากคลื่นยักษ์สึนามิเข้าถล่มชายฝั่ง โรงเรียนเยาววิทย์ก็ได้ถูกสร้างขึ้นบนที่ดินขนาด 137.5 ไร่ ห่างออกไปทางทิศใต้ของหมู่บ้านกะปง เพื่อให้สามารถรองรับนักเรียนประจำ จำนวน 180 คน และนักเรียนไปกลับปกติอีกจำนวน 50 คน

เมื่อโรงเรียนแล้วเสร็จบางส่วน จึงได้จัดให้มีพิธีเปิดส่วนแรกสำหรับนักเรียนประจำไปเมื่อวันที่ 24 เม.ย. 2549 โดยมี สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเป็นประธาน จากนั้นในวันที่ 17 ของเดือนถัดมา โรงเรียนก็ได้เปิดดำเนินการอย่างเป็นทางการ

ปัจจุบันโรงเรียนเยาววิทย์เปิดสอนทั้งในระดับอนุบาลและชั้นประถม อย่างไรก็ตาม ทางโรงเรียนยังวางแผนสำหรับอนาคตไว้ว่าจะเปิดสอนนักเรียนในระดับมัธยม รวมถึงระดับชั้นที่สูงขึ้นไปอีกด้วย

ด้วยสีหน้าและรอยยิ้มจากการต้อนรับด้วยความเต็มใจของเด็กๆ ที่นี่ ทำให้เรารับรู้ทันทีว่าความเศร้าที่อยู่ในใจของพวกน้องๆ ดูเหมือนจะเลือนหายไป น้องๆ ตั้งใจเรียนและร่วมกิจกรรมทุกอย่างที่โรงเรียนจัดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการฟ้อนรำ การปลูกผัก เลี้ยงไก่ เลี้ยงแกะ และยังเป็นชาวสวนตัวน้อยที่คอยเก็บเกี่ยวผลไม้ประจำฤดูกาล

อันที่จริงแล้วด้วยผืนแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การเพาะปลูก ชาวบ้านกะปงจึงเป็นอีกหนึ่งพื้นที่ที่ป้อนผลผลิตทางการเกษตรให้แก่ประเทศ โดยเฉพาะผลไม้ เช่น มังคุด เงาะ และรวมไปถึงทุเรียน ที่นี่มีทุเรียนสายพันธุ์ดี นั่นคือทุเรียนสายพันธุ์สาลิกาที่มีที่ อ.กะปง เท่านั้น

และวันนั้นเราก็โชคดีที่ได้มีโอกาสได้ลิ้มลองรสชาติของทุเรียนพันธุ์นี้ในราคาถูก จากการจัดงานตลาดนัดประจำปีของ อ.กะปง นั่นเอง รสชาติของทุเรียนที่นี่ตามความรู้สึกของผม ผมว่าเป็นทุเรียนที่เอาข้อดีของพันธุ์หมอนทองและชะนีเข้าไว้ด้วยกัน ลูกเล็กๆ เนื้อแน่นหวานกำลังดี ซึ่งน้องๆ จากโรงเรียนเยาววิทย์ก็มีส่วนไปร่วมแสดงกิจกรรมและนำสินค้าอย่างมังคุดและผลิตภัณฑ์ธรรมชาติอย่างผงขัดตัว ยาดม ยาหม่อง ครีมกันปวดเมื่อย ของดีจากโรงเรียนมาจำหน่ายด้วยความสนุกสนานอีกด้วย

และที่นี่ยังมีห้องพักบังกะโลที่สวยงามในบริเวณโรงเรียน และมีทุกกิจกรรมที่พวกเขานำเสนอสำหรับนักท่องเที่ยวที่ใช้งาน ที่นี่เป็นจุดหมายปลายทางที่นักท่องเที่ยวที่สนใจช่วยเหลือสังคมไม่ควรพลาด

จากป่าช้า สู่วัดท่าไทร อันงดงาม

ท่ามกลางความสวยงามของธรรมชาติ ริมหาดทรายขาวและเงียบสงบ และทิวสนอันพลิ้วไหวริมชายฝั่งอันดามัน ณ บริเวณนี้เป็นที่ตั้งของวัดเทสก์ธรรมนาวา หรือ “วัดป่าไทร” (ชื่อเดิม) ตั้งอยู่ที่บ้านท่าแตง ต.นาเตย อ.ท้ายเหมือง จ.พังงา เป็นวัดริมทะเลบริเวณหาดชายทะเลท่าไทร

ในอดีตพื้นที่แห่งนี้เคยเป็นป่า เรียก “ป่าท่าไทร” ซึ่งนอกจากจะเป็นป่าของต้นไม้น้อยใหญ่แล้ว ยังเคยเป็น “ป่าช้า” มาก่อน อันเนื่องมาจากในอดีตป่าท่าไทรแห่งนี้ ชาวบ้านในพื้นที่และละแวกใกล้เคียงเมื่อมีการเสียชีวิตลงก็จะนำศพล่องเรือมาเผาหรือฝังยังป่าท่าไทรแห่งนี้ ซึ่งชาวบ้านเรียกขานกันว่า “อ่าวเหรว” หรือแอ่งน้ำในป่าช้า

ขณะที่แนวพื้นที่หาดชายทะเลท่าไทรนั้น เป็นแนวป่าสนชายฝั่งทะเลมีชายหาดทอดตัวยาวไกล เป็นหาดที่สงบและสะอาด จึงมีเต่าทะเลต่างๆ ขึ้นมาวางไข่ที่หาดแห่งนี้เป็นประจำ

ในยุคสมัยที่การทำเหมืองแร่ใน จ.พังงา เจริญรุ่งเรือง มีเรื่องเล่าว่า พื้นที่โดยรอบของป่าท่าไทรสามารถทำเหมืองได้หมด ยกเว้นที่ป่าท่าไทร ซึ่งเป็นดังไข่แดงอยู่ตรงกลาง ส่วนจะเป็นเพราะอะไรนั้นไม่อาจพิสูจน์ได้ แต่ชาวบ้านในพื้นที่ส่วนใหญ่ต่างเชื่อว่าเป็นพื้นที่อาถรรพ์ พอถึงยามตะวันตกดิน ชาวบ้านจะรีบเดินทางออกจากป่าท่าไทรก่อนพลบค่ำทันที

จนกระทั่งถึงปี พ.ศ. 2533 ได้มีพระชัยพล อาสโภ และพระอานนท์ พระผู้ติดตาม ได้เดินทางเข้ามาบำเพ็ญภาวนา ด้วยเห็นว่าพื้นที่ป่าท่าไทรมีความเงียบสงบ เหมาะต่อการปฏิบัติภาวนา หลังจากนั้นแรงศรัทธาจากชุมชนและในพื้นที่ใกล้เคียงที่รู้ข่าวก็ได้ร่วมใจกันมาสร้างเป็นที่พักสงฆ์ มีการสร้างศาลามุงจาก สร้างกุฏิให้พระจำพรรษา

ต่อมาในปี พ.ศ. 2534 พระอาจารย์เสนอ วัดถ้ำทะเลหอย จ.กระบี่ ได้ขอพื้นที่จากอธิบดีกรมป่าไม้สมัยนั้น อนุมัติให้ใช้พื้นที่ตามโครงการพุทธศาสนากับป่าไม้ ในชื่อโครงการว่า ศูนย์สาธิตพระพุทธศาสนากับป่าไม้ ภายใต้การกำกับดูแลของวัดประชาธิการาม

ปี พ.ศ. 2537 แหล่งปฏิบัติธรรมแห่งนี้ได้ก่อตั้งเป็นสำนักสงฆ์ท่าไทร โดยได้รับการอนุญาตจากทางการ ในเรื่องการขอใช้พื้นที่เพื่อเป็นศาสนสถานในการประกอบศาสนกิจ และบำเพ็ญกุศลของชาวบ้านในหมู่บ้านท่าแตงและละแวกใกล้เคียง ทว่าหลังจากนั้นสำนักสงฆ์ท่าไทรได้ถูกปล่อยทิ้งร้าง ไม่มีพระภิกษุมาพำนักอยู่ในบางขณะ เนื่องจากสำนักสงฆ์ไม่มีน้ำ ไม่มีไฟ

กระทั่งในปี พ.ศ. 2546 ได้มีการนิมนต์ “พระอาจารย์วินัย รัตนวณฺโณ” หนึ่งในผู้ที่ได้อยู่ปฏิบัติอาจริยวัตรกับหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี ที่วัดหินหมากเป้ง จ.หนองคาย มาเป็นเวลานาน 16 ปี จวบตนหลวงปู่เทสก์ท่านละสังขาร

พระอาจารย์วินัยเมื่อมาพำนักปฏิบัติธรรมที่สำนักสงฆ์ท่าไทร ก็ได้นำพาศรัทธาจากพุทธศาสนิกชนก่อสร้างเสนาสนะพร้อมอบรมปฏิบัติธรรมในที่ดินสาธารณประโยชน์หรือป่าช้าเดิม

จากนั้นพระอาจารย์วินัยได้ดำเนินการก่อตั้งวัดขึ้น จนกระทั่งได้รับอนุญาตให้สร้างวัดจากกรมการศาสนาเมื่อวันที่ 5 ก.พ. 2553 และได้รับอนุญาตให้ตั้งวัดในพระพุทธศาสนาเมื่อวันที่ 27 ต.ค. 2553 นามว่า “วัดเทสก์ธรรมนาวา”

วัดเทสก์ธรรมนาวา หรือวัดท่าไทร ปัจจุบันมีสิ่งก่อสร้างสำคัญคือ “พระอุโบสถไม้สัก” ขนาดกว้าง 8.30 เมตร ยาว 23.10 เมตร สูง 13.54 เมตร โบสถ์ไม้สักหลังนี้เป็นอาคารทรงไทยอ่อนช้อยงดงาม โครงสร้างภายนอกจำลองแบบมาจากพระอุโบสถพระอรัญวาสี อ.ท่าบ่อ จ.หนองคาย มาประยุกต์สร้างด้วยไม้ ส่วนช่อฟ้าของโบสถ์แกะสลักจากช่างฝีมือชาวเชียงใหม่

ภายในโบสถ์ไม้สักมีผนังเป็นฝาปะกน มีแท่นพระประธาน ชั้นบนประดิษฐานพระพุทธรูปปางปฐมเทศนา แกะสลักจากหินหยกขาว อิทธิพลศิลปะอินเดีย มีขนาดหน้าตักกว้างประมาณ 55 นิ้ว สูงประมาณ 2.15 เมตร มีพุทธลักษณะที่อ่อนช้อยงดงามเปี่ยมศรัทธา

ส่วนบริเวณรอบโบสถ์ไม้สักมีกำแพงแก้วเป็นไม้ ใบเสมาแกะสลักจากหินหยกขาวมีรูปพระพุทธรูปอยู่ตรงกลาง ตรงบันไดทางเข้าโบสถ์ประดับเสาอโศกสีทองอร่าม

โบสถ์ไม้สักวัดท่าไทรมีอีกหนึ่งลักษณะพิเศษ นั่นก็คือจะประดับประดาด้วยงานไม้แกะสลักฝีมือช่างจากอยุธยาอันประณีต อ่อนช้อย ทั้งตามบริเวณบานประตู หน้าต่าง หน้าบัน เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับพุทธประวัติ โดยเฉพาะที่บานหน้าต่างนั้นโดดเด่นไปด้วยงานแกะสลัก ปรมัตถบารมี 10 ซึ่งเป็นการบำเพ็ญบารมีชั้นสูง การเสียสละชีวิตของตนเองเพื่อประโยชน์ของผู้อื่นอีกด้วย

แม้ว่าวัดจะอยู่ใกล้ชายฝั่งทะเลอันดามัน แต่เมื่อเขามานั่งในโบสถ์อันงดงามแห่งนี้ ก็ทำให้จิตใจสงบและเบิกบานใจพร้อมสู้ต่อกันแล้วล่ะครับ

ขอขอบคุณ โรงแรมธัญญปุระ รีสอร์ทสุขภาพและกีฬา จ.ภูเก็ต ที่เอื้อเฟื้อข้อมูล ที่พัก และการเดินทาง โทร. 076-336-000 info@thanyapura.com