ความสวีทในห้องสวีท 137 พิลลาร์ส สวีทส แอนด์ เรซิเดนเซส กรุงเทพฯ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

26 สิงหาคม 2560 เวลา 08:00 น…. อ่านต่อได้ที่ : https://www.posttoday.com/travel/thailand/511150

ความสวีทในห้องสวีท 137 พิลลาร์ส สวีทส แอนด์ เรซิเดนเซส กรุงเทพฯ

โดย…นิทรา ราตรี

ประวัติศาสตร์ ศิลปะ แฟชั่น และเสียงเพลง ถูกถ่ายทอดอยู่ในทุกสัมผัสของ “137 พิลลาร์ส สวีทส แอนด์ เรซิเดนเซส กรุงเทพฯ” (137 Pillars Suites & Residences Bangkok) โรงแรมบูติกสุดหรูใจกลางกรุงที่ได้แสดงเสน่ห์แห่งเมืองหลวงในดีไซน์โมเดิร์นร่วมสมัย

โรงแรมประกอบด้วยห้องสวีท 34 ห้อง ที่ได้รับการตกแต่งอย่างสวยงามและหรูหรา โดยทุกห้องมีบริการผู้ช่วยส่วนตัว แม็กซี่บาร์ ตู้เสื้อผ้าแบบวอล์กอิน ห้องน้ำหินอ่อนขนาดใหญ่ อ่างอาบน้ำทรงกลมขนาด 2 คน พร้อมทีวีในตัว เตียงนอนที่สบายเป็นพิเศษด้วยผ้าลินินปูเตียงทอ 400 เส้น และระเบียงกว้างชมวิวทิวทัศน์ของมหานครกรุงเทพฯ

ห้องสวีทแบ่งเป็น 4 ประเภทตามยุคราชธานีไทย ได้แก่ สุโขทัย สวีท ห้องสวีท 1 ห้องนอนขนาด 70 ตร.ม. พร้อมห้องอาบน้ำกว้างขวางและระเบียงใหญ่เผยวิวเมืองหลวง อยุธยา สวีท ขนาด 95 ตร.ม. พร้อมพื้นที่รับแขกและโต๊ะรับประทานอาหารส่วนตัว ธนบุรี สวีท ขนาด 116 ตร.ม. พร้อมระเบียงที่หันหน้าเข้าถนนสุขุมวิทในบรรยากาศที่สงบที่สุดบนเก้าอี้โยกซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของ 137 พิลลาร์ส และรัตนโกสินทร์ สวีท ห้องสวีท 2 ห้องนอน ขนาด 127 ตร.ม. พร้อมห้องน้ำ 2 ห้อง และระเบียงกว้าง 9.5 ม.

googletag.cmd.push(function() { googletag.display(‘div-gpt-ad-1511154358428-0’); });

นอกจากนี้ โรงแรมยังให้บริการความสะดวกสบายด้วยสระว่ายน้ำ 2 สระ หนึ่งในนั้นคือสระว่ายน้ำบนดาดฟ้า ที่ยื่นออกไปยังเส้นขอบฟ้า เผยให้เห็นทิวทัศน์เมืองกรุงเกือบ 360 องศา พร้อมบาร์และสวนขนาดย่อมที่รายล้อมเตียงอาบแดด จนทำให้คุณหลุดกรอบจากคำว่าความวุ่นวายในเมืองหลวง

รวมถึงความผ่อนคลายที่นิทราสปา ฟิตเนส สนามกอล์ฟบนยอดตึก และเลียวโนเวนส์คลับ สถานที่ให้บริการชา กาแฟ ของว่าง ชุดน้ำชายามบ่าย และค็อกเทลยามเย็น ทั้งยังเป็นจุดเช็กอิน เช็กเอาต์ ห้องรับประทานอาหารเช้า ห้องนั่งเล่น และห้องทำงานในบรรยากาศผ่อนคลาย โดยให้บริการตั้งแต่เช้าตรู่ถึง 5 ทุ่มของทุกวัน

สำหรับห้องอาหารและบาร์มี 3 แห่ง 3 สไตล์ ที่บางกอกเทรดดิ้งโพสต์ ร้านอาหารแบบเดลิและบิสโทร ทั้งเมนูตะวันตก ไทยและเอเชีย เพื่อเป็นจุดนัดพบของคนหลายชาติหลากวัฒนธรรม

ร้านอาหารนิมิตร ให้บริการอาหารไทยร่วมสมัยในรูปแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน พร้อมไวน์คุณภาพเยี่ยมจากทั่วโลก และแจ็คเบนส์บาร์ ที่อุทิศแด่ตำนานแห่งบ้าน 137 เสาที่เชียงใหม่ ในบรรยากาศซิการ์บาร์สุดคลาสสิก

ไม่ว่าจะเป็นรายละเอียดแห่งประวัติศาสตร์ที่ได้นำมาเป็นแรงบันดาลใจ ศิลปะความเป็นไทยร่วมสมัยที่ซุกซ่อนอยู่ภายใน แฟชั่นเหนือกาลเวลาที่อยู่ในการดีไซน์ และเสียงเพลงที่ดังเคล้าจิตใจให้ผ่อนคลาย ล้วนเป็นองค์ประกอบที่ทำให้ 137 พิลลาร์ส สวีทส แอนด์ เรซิเดนเซส กรุงเทพฯ เป็นโรงแรมแห่งที่ 2 ที่ช่างงดงามสมความคาดหวังและการรอคอย

Price: สุโขทัย 18,500 บ. อยุธยา 21,000 บ. ธนบุรี 26,500 บ. รัตนโกสินทร์ 31,000 บ. (ไม่รวมภาษีและค่าบริการ)

Place: สุขุมวิทซอย 39 มีบริการรับส่งระหว่างโรงแรมและห้างเอ็มควอเทียร์ โทร. 02-079-7000 เว็บไซต์ 137pillarsbangkok.com

Promotion: แพ็คเกจ Legendary Suites ราคาเริ่มต้นคืนละ 15,080 บ. (สำหรับการพัก 2 คืนขึ้นไป) ประกอบด้วย รถรับ-ส่งสนามบิน ชุดน้ำชายามบ่ายที่ห้องอาหารนิมิตร บริการทำผมที่ซาลอนของโรงแรม และสิทธิประโยชน์ต่างๆ ที่เลียวโนเวนส์คลับ

 

ห้อยโหนเป็นลิง กรี๊ดลั่นป่า ที่หนุมาน เวิลด์

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

20 สิงหาคม 2560 เวลา 07:43 น…. อ่านต่อได้ที่ : https://www.posttoday.com/travel/thailand/510053

ห้อยโหนเป็นลิง กรี๊ดลั่นป่า ที่หนุมาน เวิลด์

โดย…สมแขก

หลายคนคุ้นเคยกับชื่อ “Flying Hanuman” กิจกรรมสุดแอดเวนเจอร์ที่ จ.ภูเก็ต ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องกิจกรรมโหนสลิง (Zipline) ระหว่างจุดหนึ่งไปจุดหนึ่ง (Platforms) การหย่อนตัวแนวดิ่ง (Abseil) ซึ่ง Flying Hanuman ตั้งอยู่ในพื้นที่เนินเขาและพยายามสร้างทุกอย่างให้กลมกลืนกับธรรมชาติมากที่สุด และครั้งนี้จะพาไปทำความรู้จักกับโลกของหนุมาน ซึ่งอลังการมากขึ้นด้วยพื้นที่แห่งใหม่ในเนื้อที่กว่า 60 ไร่ และความยิ่งใหญ่นี้จึงมีชื่อเรียกว่า “Hanuman World” ซึ่งคอนเซ็ปต์การสร้างทุกอย่างให้กลมกลืนกับธรรมชาติยังคงอยู่เช่นเดิม พื้นที่ของหนุมานเวิลด์ เดิมเป็นพื้นที่เหมืองแร่ จึงอุดมไปด้วยพรรณไม้ท้องถิ่นมากมาย ทั้ง ทุเรียนป่า เงาะป่า ต้นตะเคียนเก่าแก่ขนาด 3 คนโอบก็มี อายุร่วม 100 ปีก็มี บรรยากาศโดยรวมคล้ายเข้าป่าดงดิบ แต่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันเท่านั้นเอง ถ้าใครยังนึกภาพไม่ออกให้นึกถึงหนังจูราสสิคพาร์คไปก่อน

หนุมาน เวิลด์ ตั้งใจสร้างพื้นที่ให้เป็นโลกแห่งการผจญภัยแบบไร้ขีดจำกัดกับกิจกรรมแบบแอดเวนเจอร์ที่สามารถเล่นได้ทั้งครอบครัว เพราะมีกิจกรรมที่หลากหลายตั้งแต่เบาสุด คือการเดินสกายวอล์กชมความร่มรื่นของธรรมชาติ ไปจนถึงกิจกรรมผาดโผนที่ใส่ใจความปลอดภัยด้วยระบบ Safety ที่ได้มาตรฐานสากล

เริ่มต้นจากกิจกรรมเบาๆ สำหรับคนหัวใจไม่แข็งแรงก็คือการเดินศึกษาธรรมชาติในระยะสั้นๆ ระหว่างทางก็แวะถ่ายรูปกับบรรยากาศชิลๆ เรียกว่า Sky Walk ระยะทางกว่า 400 เมตร ซึ่งตลอดทางจะมีพืชพรรณไม้ท้องถิ่น พืชโบราณแปลกๆ อายุหลายสิบปีไปจนถึงร้อยปี เช่น ต้นกันเถา ต้นประดู่ป่า ต้นผลไม้ก็มีนะ ทั้ง ทุเรียน เงาะ จำปาดะ ขนุน ลองกอง ซึ่งระหว่างที่เดินมีเจ้าหน้าที่บรรยายให้ฟังตลอดทาง และจะได้เห็นการเล่นกิจกรรมการโหนสลิงอย่างใกล้ชิด โดยป่าผืนนี้นำ “อสุรผัด” มาเป็นสัญลักษณ์ของการเป็นผู้ปกป้องผืนป่า ซึ่งอสุรผัดเป็นบุตรของหนุมานกับนางเบญกาย มีหน้าเป็นลิง แต่มีหัวและตัวเป็นยักษ์ มีสีเหลืองเลื่อม ถึงแม้เขาจะมีเชื้อสายเป็นยักษ์และร่างกายใหญ่โต แต่จิตใจเขาอ่อนโยนมาก อสุรผัดรู้จักต้นไม้ทุกต้นในป่าแห่งนี้เป็นอย่างดี

googletag.cmd.push(function() { googletag.display(‘div-gpt-ad-1511154358428-0’); });

หลังจากจบ Skywalk มาถึงไฮไลต์ของกิจกรรมผจญภัยภายในหนุมาน เวิลด์ เตรียมตัวไปเล่น Zipline และเพื่อความปลอดภัยเราต้องสวมชุดป้องกันและอุปกรณ์ให้เรียบร้อยก่อน ฟังการเตรียมตัวในการเล่นและต้องเชื่อฟังตามที่เจ้าหน้าที่แนะนำ แต่ละฐานจะมีความสูงและระยะทางยาวแตกต่างกัน เมื่อถึงเวลาปล่อยตัวตามอากาศ ความรู้สึกสัมผัสถึงอิสระ ฐานแรกอาจจะรู้สึกหวาดเสียวอยู่บ้าง แต่ฐานต่อๆ มาเชื่อว่าความสนุกจะเข้ามาแทนที่ เพราะมีทั้งสลิง โรยตัว แล้วจะเล่น Zipline ได้อย่างสนุกมากขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่กลัวอีกต่อไป ในพื้นที่ 60 ไร่ หนุมาน เวิลด์ มีทั้งหมด 30 สถานี ซึ่งใครอยากสนุกเต็มคราบก็เลือกแพ็กเกจนี้ แต่ก็มีให้เลือกได้อีก คือ 16 สถานี และ 7 สถานี ตามเวลาที่ผู้เล่นสะดวก

ต่อจากนี้เราจะไปสู่ไฮไลต์ที่สุดของหนุมาน เวิลด์ นั่นคือ โรเลอร์ (Roller Zipline) ซึ่งที่นี่เคลมว่าเป็นโรเลอร์แห่งแรกของภาคใต้ บอกเลยว่า ถ้ามาเป็นกลุ่มต้องไม่พลาดที่จะมาเล่น ถ้าหากผ่านด่านสกายวอล์กมาแล้ว จะเห็นว่าเส้นทางของโรเลอร์จะโค้งวนไปวนมา ในระยะทาง 800 เมตร เจ้าหน้าที่บอกว่ารอบเวลาเล่นใช้เวลาเพียง 3 นาที แต่ดูด้วยตาก็ไม่รู้สึกว่าจะหวาดเสียวสักแค่ไหน จะรับรู้ความรู้สึกนั้นได้ก็ต่อเมื่อได้ลองเล่นจริง

ก่อนจะเริ่มความมันอันไร้ขีดจำกัด ต้องกลับมาเปลี่ยนชุดอุปกรณ์ป้องกันความปลอดภัยใหม่ ทันทีที่ถูกปล่อยตัวสลิงจะพาตัวผู้เล่นไปข้างหน้าด้วยความเร็วและแรง ซึ่งแรงเหวี่ยงจะรุนแรงแค่ไหนขึ้นอยู่กับน้ำหนักตัวผู้เล่นด้วย ถ้าน้ำหนักตัวมากก็จะเหวี่ยงรุนแรง แรงเหวี่ยงเวลาเข้าโค้งตื่นเต้นตลอดทาง บางช่วงก็มีการลอดผ่านต้นไม้ด้วย และที่สุดของกิจกรรมท้าความเสียวนี้ ก็คือการสร้างโรเลอร์ให้หมุนเป็นวงกลมรอบต้นไม้ยักษ์ เรียกได้ว่าทั้งเสียวแต่ก็สวยเกินบรรยาย

เมื่อจบการเล่นเครื่องเล่นทั้งหมด ต้องบอกได้คำเดียวถ้ายังไหว เมื่อใช้พลังงานไปมากแล้วก็หาอะไรใส่ท้อง ซึ่งที่นี่มีร้านอาหารไว้บริการด้วย หนุมาน เวิลด์ เป็นกิจกรรมที่เหนื่อย เสียว สนุก ปลดปล่อยความเครียดได้ดีทีเดียว คอแอดเวนเจอร์ที่อยากกรี๊ดสนั่นให้ลั่นป่า สามารถศึกษารายละเอียดตลอดจนฐานต่างๆ ผ่านทางเว็บไซต์ www.hanumanworldphuket.com/ หรือเฟซบุ๊ก: facebook.com/HanumanWorld และ โทร. 06-2979-5533

 

แคนทารี กบินทร์บุรี ความเรียบง่ายแบบตะวันออก

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

19 สิงหาคม 2560 เวลา 08:46 น….. อ่านต่อได้ที่ : https://www.posttoday.com/travel/thailand/509839

แคนทารี กบินทร์บุรี ความเรียบง่ายแบบตะวันออก

โดย…นิทรา ราตรี

 ได้ชื่อว่าแบรนด์แคนทารี คอลเลคชั่น ก็ไร้ข้อกังวลเกี่ยวกับคุณภาพและมาตรฐานของห้องพัก สิ่งอำนวยความสะดวก และการบริการ อย่าง แคนทารี กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี ที่ออกแบบด้วยรูปลักษณ์ทันสมัย อยู่ใกล้แหล่งนิคมอุตสาหกรรม 3 แห่ง และสนามกอล์ฟอีก 2 สนาม พร้อมให้บริการทั้งนักธุรกิจและนักท่องเที่ยว

โรงแรมประกอบด้วย 2 อาคาร มีห้องพักรวม 226 ห้อง แบ่งเป็น 3 ประเภท คือ ห้องสตูดิโอ ขนาด 44 ตร.ม. ที่นอกจากจะมีพื้นที่ห้องนอน ยังมีชุดโซฟานั่งเล่น ครัว และห้องน้ำที่แยกอ่างอาบน้ำและชาวเวอร์จากกัน

ห้องสวีท 1 ห้อง ขนาด 55 ตร.ม. มีการแบ่งสัดส่วนของห้องนอนและห้องนั่งเล่น และห้องสวีท 2 ห้องนอน ขนาด 88 ตร.ม. ประกอบด้วย 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ มีห้องนั่งเล่นแยกต่างหาก และพื้นที่รับประทานอาหารขนาดใหญ่พร้อมครัว

ทุกห้องได้เลือกใช้วัสดุที่ทำจากไม้เพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้กับห้อง คุมบรรยากาศด้วยสีเอิร์ทโทน เน้นความเรียบง่ายแบบตะวันออกผสานตะวันตก และทุกแบบเหมาะสำหรับการพักทั้งในระยะสั้นและยาว โดยมีครัว ไมโครเวฟ เครื่องปิ้งขนมปัง จาน ชาม และอุปกรณ์ทำอาหารไว้ให้พร้อม

 นอกจากนี้ โรงแรมยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่เป็นมาตรฐานของแบรนด์ ไม่ว่าจะเป็นสระว่ายน้ำ สระเด็ก สระจากุซซี่ ฟิตเนส เซาน่า ห้องรีดผ้า ห้องประชุม และเอ็กเซ็กคิวทีฟเลานจ์ที่ให้บริการ ชา กาแฟ และของว่างตลอดวัน พร้อมบริการอินเทอร์เน็ตฟรี สำหรับห้องอาหารมีให้บริการที่แคลิฟอร์เนีย สเต๊ก เสิร์ฟสเต๊กหลายชนิด อาหารญี่ปุ่น อาหารไทย และนานาชาติ

แคนทารี กบินทร์บุรี ถือเป็นโรงแรมเดียวในย่านที่บริหารงานโดยผู้เชี่ยวชาญด้านโรงแรมและเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ มีกลุ่มเป้าหมายหลักคือนักธุรกิจและนักท่องเที่ยว โดยมุ่งไปที่นักธุรกิจที่ทำงานอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมบริเวณใกล้เคียง ได้แก่ นิคมอุตสาหกรรม 304 นิคมอุตสาหกรรมกบินทร์บุรี และสวนอุตสาหกรรมเครือสหพัฒน์

ส่วนกลุ่มนักท่องเที่ยว โรงแรมตั้งอยู่ใกล้กับสนามกอล์ฟ 2 สนาม คือ สนามกอล์ฟกบินทร์บุรีสปอร์ตคลับ สนามที่ยาวที่สุดในประเทศไทย และสนามฮิลล์ไซด์คันทรีโฮม กอล์ฟ แอนด์ รีสอร์ท ปราจีนบุรียังเป็นศูนย์กลางของแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศวิทยาอย่างอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ แก่งหินเพิง วังน้ำเขียว และอุทยานแห่งชาติทับลาน

รวมไปถึงแหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์อย่างโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติปราจีนบุรี อีกทั้งยังสามารถเดินทางไปยังตลาดโรงเกลือ ตลาดขายสินค้ามือสองขนาดใหญ่ที่สุด โดยใช้เวลาเดินทางจากโรงแรมประมาณ 1 ชั่วโมง แคนทารีมีสโลแกนว่า Luxurious Residential Style Hotel หมายถึงเป็นโรงแรมที่มีบรรยากาศเสมือนพักอยู่บ้าน แต่ได้รับการบริการระดับโรงแรม 5 ดาว ที่ซึ่งสามารถใช้ชีวิตที่คุ้นเคยแต่ได้รับประสบการณ์ใหม่ๆ จากการเดินทาง

 Price: ห้องสตูดิโอ 2,500 บ. ห้องสวีท 1 ห้องนอน 3,500 บ. ห้องสวีท 2 ห้องนอน 5,500 บ.

Place: สี่แยกกบินทร์บุรี จ. ปราจีนบุรี โทร. 0-3728-2699 เว็บไซต์ www.kantarycollection.com/kantaryhotel-kabinburi

Promotion: เมื่อโชว์คูปองส่วนลด (เฉพาะคนไทยและชาวต่างชาติที่พำนักอยู่ในประเทศไทย) ห้องสตูดิโอ 2,000 บ. ห้องสวีท 1 ห้องนอน 2,400 บ. ห้องสวีท 2 ห้องนอน 4,200 บ. ตั้งแต่วันนี้ – 20 ธ.ค. 2560

 

อีต่อง เหมืองในหมอกภาคเหนือเมืองกาญจน์

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

19 สิงหาคม 2560 เวลา 08:30 น….. อ่านต่อได้ที่ : https://www.posttoday.com/travel/thailand/509835

อีต่อง เหมืองในหมอกภาคเหนือเมืองกาญจน์

โดย…กาญจน์ อายุ

399 โค้งจาก อ.ทองผาภูมิ สู่ ต.ปิล๊อก จ.กาญจนบุรี ถือเป็นความยาวนานที่บอบช้ำก้นกบเพียงเล็กน้อย เมื่อเทียบกับสภาพถนนในยุคดีบุกเฟื่องฟูที่การเดินทางไปปิล๊อกถือเป็นเรื่องใหญ่ เพราะระยะทาง 60 กิโลเมตร บนทางลูกรังขนแร่ต้องใช้เวลานานถึง 6 ชั่วโมง

ทว่า ปัจจุบันเส้นทางขนแร่ได้กลายเป็นเส้นทางขนส่งนักท่องเที่ยว ด้วยแหล่งท่องเที่ยวชื่อดังอย่างเขาช้างเผือก เนินช้างศึก น้ำตกจ๊อกกะดิ่ง และ “บ้านอีต่อง” ที่ได้รับสมญานามว่าเป็นภาคเหนือแห่งกาญจนบุรี ด้วยสภาพอากาศหนาวเย็นและปกคลุมด้วยหมอกเกือบตลอดปี จนทำให้ผู้คนหลงลืมว่ากำลังอยู่บนเทือกเขาตะวันตกติดชายแดนเมียนมา

มนตรี เหลืองอิงคสุต ขุดหาควอตซ์ที่มีแร่ดีบุกผสมอยู่

 

ขณะเดียวกันบ้านอีต่องยังมีความสำคัญด้านธรณีวิทยา เพราะบริเวณของบ้านอีต่องทั้งหมดเป็นเหมืองแร่ดีบุกที่ชื่อ “เหมืองปิล๊อก” (อีต่องเป็นหนึ่งในหมู่บ้านของ ต.ปิล๊อก) คือบรรดาเหมืองแร่มากมายทั้งของเอกชนและองค์การอุตสาหกรรมเหมืองแร่ ได้แก่ กลุ่มเหมืองราชธน กลุ่มเหมืองอีต่อง-อีปู กลุ่มเหมืองผาแป กลุ่มเหมืองสัตตมิตร-มกราคม และกลุ่มเหมืองตะนาวศรี คลุมพื้นที่ประมาณ 122 ตารางกิโลเมตร มีพื้นที่ติดชายแดนเมียนมาเพียงก้าวขาข้าม และอยู่ห่างจากทะเลอันดามันไม่ถึง 100 กิโลเมตร

สายแร่ดีบุกเห็นได้ชัดเจนในชั้นดิน

 

ปิล๊อกอยู่บนเทือกเขาตะนาวศรีที่เป็นแหล่งแร่ขนาดใหญ่และมีลักษณะยาวตั้งแต่ด่านเจดีย์สามองค์จนถึงระนอง ซึ่งเหมืองปิล๊อกเป็นแหล่งแร่ขนาดยาวประมาณ 30 กิโลเมตร กว้างประมาณ 2 กิโลเมตรตามแนวชายแดน ประกอบด้วยหินเดิมซึ่งเป็นพวกหินดินดานและพวกหินแปรในชุดหินของชุดกาญจนบุรี วางตัวอยู่ใต้หินปูนของชุดราชบุรี (อายุเปอร์เมียน) โดยแร่ดีบุกเกิดในสายควอตซ์ที่พาดไปมาระเกะระกะ และมีสายแร่ขนาดกว้าง 2 เซนติเมตร-2 เมตร นักท่องเที่ยวจึงสามารถสวมบทเป็นนักธรณีวิทยาได้ด้วยการสังเกตสายแร่ด้วยตาเปล่าตามชั้นดิน เนื่องจากเหมืองปิล๊อกเป็นแหล่งแร่ที่ยังมีเปลือกดินคลุมสายแร่อยู่ จึงไม่มีการแผ่กว้างเป็นลานแร่เหมือนทางภาคใต้ จึงสามารถเห็นสายแร่ได้ไม่ยากเย็น

นักธรณีวิทยาชี้ให้ดูหินควอตซ์

 

มนตรี เหลืองอิงคสุต ผู้อำนวยการสำนักทรัพยากรแร่ กรมทรัพยากรธรณี ให้ความรู้ว่าแหล่งแร่ในปิล๊อกมีมากกว่า 10 ชนิด แต่ที่พบมากที่สุดคือ แร่ดีบุก รองลงมาและมักอยู่ปะปนกันคือ แร่ทังสเตน และสายแร่ทองคำ (ไม่มีการทำเป็นเหมืองทองคำขนาดใหญ่เพราะไม่คุ้มค่าทางเศรษฐกิจ จะมีก็เพียงแรงงานร่อนหาแร่ทองคำให้พ่อค้ามารับซื้อ) โดยในอดีตกำลังการผลิตแร่ดีบุกของแต่ละเหมืองอยู่ที่ประมาณ 50 ตัน/ปี และสามารถทำเหมืองได้ลึก 30-40 เมตร แต่ไม่เกิน 50 เมตร เพราะในระดับลึกกว่านี้จะไม่มีแร่

อุโมงค์ขุดแร่ดีบุกขนาดเท่าตัวคน

 

อย่างไรก็ตาม เมื่อเริ่มทำเหมืองดีบุกใหม่ๆ ได้มีชาวเมียนมาข้ามมาทำเหมืองเถื่อนจำนวนมาก ทำให้บ้านอีต่องเต็มไปด้วยประชากรหลายชาติหลายภาษา ทั้งไทย เมียนมา กะเหรี่ยง ทวาย มอญ และลาว กระทั่งทุกวันนี้ก็ยังได้ยินภาษาเพื่อนบ้าน และยังเห็นสินค้าจากเมียนมาเข้ามาขาย

สะพานเหมืองแร่ หนึ่งจุดเช็กอินของนักท่องเที่ยว

 

หลังจากนั้นทางการไทยได้ประกาศเปิดเหมืองปิล๊อกอย่างเป็นทางการในปี 2484 ทำให้ไม่ว่าใครที่เข้ามาทำงานในหมู่บ้านนี้จะกลับออกไปพร้อมเงินทองมากมาย ชาวบ้านจึงเรียกหมู่บ้านนี้ว่า หมู่บ้านณัตเอ็งต่อง หมายถึง บ้านเทพเจ้าแห่งขุนเขา จนเพี้ยนเสียงกลายเป็นชื่อบ้านอีต่อง

ป้ายบอกแนวท่อส่งก๊าซธรรมชาติจากทะเลอันดามันผ่านเมียนมา เข้าแดนไทยไปยังราชบุรี

 

ส่วนชื่อเหมืองปิล๊อกก็มีเรื่องเล่าต่อกันมาว่าเพี้ยนมาจากผีหลอก เพราะในอดีตพื้นที่ทั้งหมดเป็นป่ารกชัฏ และมีโรคมาลาเรียระบาดหนักจนคนเหมืองล้มตายจำนวนมาก ต่อมาจากผีหลอกก็กลายเป็นปิล๊อก ชุมชนที่ปราศจากไข้มาลาเรียและคงไม่มีที่ให้ผีหลอก เพราะถูกนักท่องเที่ยวถล่มเต็มพื้นที่

วัยรุ่นกำลังเขียนป้ายที่ระลึกแขวนไว้บะสะพานอีต่อง

 

นอกจากนี้ การทำแร่ขององค์การอุตสาหกรรมเหมืองแร่ในอดีต เป็นวิธีแบบรับซื้อมากกว่าลงมือทำเอง กล่าวคือ มีการกำหนดพื้นที่ให้และให้เครื่องมือแก่แรงงานไปขุดหาแร่ เมื่อได้มาก็นำไปขายให้องค์การฯ ส่วนการทำแร่ของเอกชนมีทั้งวิธีรับซื้อและวิธีทำเหมืองแบบฉีด (ลักษณะอุปกรณ์เป็นกระบอกฉีดคล้ายปืนฉีดน้ำแต่น้ำจะแรงกว่ามากถึงขนาดทำให้รถหงายท้องได้) โดยคุณสมบัติของแร่ดีบุกจะมีความทนทานต่อการกัดกร่อน ไม่เป็นสนิม สามารถผสมเป็นเนื้อเดียวกับโลหะอื่นได้ดี และไม่เป็นพิษต่อร่างกายมนุษย์ คนจึงนำดีบุกมาใช้ในทางโลหกรรม อุตสาหกรรม และศิลปกรรม เช่น ใช้ทำกระป๋องบรรจุอาหาร เบียร์ กระดาษห่ออาหารหรือที่เรียกว่ากระดาษตะกั่ว กระดาษห่อบุหรี่ และกระดาษไหว้เจ้า

 

กระทั่งในปี 2528 เกิดวิกฤตราคาแร่ดีบุกตกต่ำทั่วโลก จนทำให้เหมืองแร่ดีบุกที่เคยมีกว่า 40 เหมืองในปิล๊อกปิดกิจการเกือบทั้งหมด และทยอยปิดไม่มีเหลือภายในปี 2534 หลังจากพื้นที่บางส่วนถูกประกาศให้เป็นอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ

เค้กป้าเกล็นที่ร้านชาวเหมือง

 

ปัจจุบันบ้านอีต่องจึงเหลือเพียงร่องรอยของการทำเหมือง ชาวบ้านที่ยังไม่อพยพก็เปลี่ยนอาชีพมาทำการท่องเที่ยว บ้านเรือนจึงถูกปรับเปลี่ยนให้เป็นโฮมสเตย์ เกสต์เฮาส์ ร้านอาหาร ร้านกาแฟ และร้านค้า แต่ที่พอจะเห็นวิถีดั้งเดิมอยู่บ้างคงเป็นบรรยากาศของตลาดเช้าที่ชาวไทยและชาวเมียนมามาพบปะซื้อขายสินค้ากัน กลายเป็นตลาดมิตรภาพที่คนสองชาติสามารถไปมาหาสู่กันผ่านช่องทางมิตรภาพ

ผลิตภัณฑ์จากเมียนมาวางขายที่ตลาดจนกลายเป็นของฝากจากอีต่อง

 

ส่วนเค้กป้าเกล็น (เกล็น เสตะพันธุ ภรรยาของสมศักดิ์ เสตะพันธุ) ตำนานความรักแห่งเหมืองสมศักดิ์ ที่ใครมาอีต่องต้องมาชิมเค้กของป้าอย่างเค้กแครอต เค้กกล้วยน้ำว้า และเค้กช็อกโกแลต สนนราคาทุกชิ้น 70 บาท โดยแต่ละวันป้าจะทำไม่มาก และตั้งขายอยู่ที่เดียวที่ ร้านชาวเหมือง บริเวณปากทางเข้าหมู่บ้าน

อดีต “เหมือง” อันยิ่งใหญ่ได้กลายเป็น “เมือง” ท่องเที่ยวขนาดย่อม ตามกระแสนักเดินทางที่เห่อหาสถานที่แปลกใหม่ที่ไม่เน้นความสบาย แต่เน้นตัวตนของสถานที่นั้น ซึ่งความเป็นอีต่องยังคงอยู่ในดินในหินในสายแร่และในสายเลือดของลูกหลานชาวเหมือง ส่วนในอนาคตยุคของเหมืองดีบุกจะกลับมาหรือไม่ มิอาจทราบได้ แต่สิ่งสำคัญที่สุดที่อยากให้รักษาไว้คือ “ธรรมชาติ” หัวใจของชาวบ้าน และสภาพอากาศที่ทำให้อีต่องเป็นภาคเหนือของภาคตะวันตกต่อไปตลอดกาล

 

หลบฝนในบ้านริมชี วิชชิ่ง ทรี ขอนแก่น รีสอร์ท

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

12 สิงหาคม 2560 เวลา 10:44 น…. อ่านต่อได้ที่ : https://www.posttoday.com/travel/thailand/508585

หลบฝนในบ้านริมชี วิชชิ่ง ทรี ขอนแก่น รีสอร์ท

โดย…นิทรา ราตรี ภาพ : วีรวงศ์ วงศ์ปรีดี, วิชชิ่ง ทรี

 แทบไม่อยากเชื่อว่าแม่น้ำที่ไหลเอื่อยอยู่นี้คือลำน้ำชี และความเขียวขจีของ “วิชชิ่ง ทรี ขอนแก่น รีสอร์ท” จะมีอยู่ที่อีสาน

รีสอร์ทถูกออกแบบภายใต้แนวคิดหลัก “เป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ เรียบง่าย สบายสไตล์อีสาน” เป็น 3 หัวใจสำคัญที่ได้ถ่ายทอดผ่านห้องพักและวิลล่าจำนวน 47 ห้อง

โดยทุกห้องจะตกแต่งด้วยผ้าขาวม้าซึ่งเป็นสัญลักษณ์เดียวที่ทำให้ไม่หลงลืมไปว่ากำลังทอดกายอยู่ในอีสาน แบ่งเป็นห้องดีลักซ์ ขนาด 30 ตร.ม. อยู่ภายในตึกวารี วาปี และวารา โดยตึกวารีและวาราสามารถชมวิวแม่น้ำชีได้จากระเบียงห้องพัก และตึกวาปีจะได้ชมวิวทุ่งนาเขียวขจีที่จะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทองช่วงปลายปีหลังหมดฝน

ห้องจูเนียร์สวีท ขนาด 38 ตร.ม. เป็นห้องมุมของอาคารซึ่งสามารถเลือกได้ว่าจะปรารถนาชมวิวแม่น้ำหรือทุ่งข้าว ห้องวิลล่า ขนาด 76 ตร.ม. ตั้งอยู่ริมทะเลสาบและทางฝั่งริมแม่น้ำชี มีระเบียงกว้างเปิดรับธรรมชาติ และมีความเป็นส่วนตัวมากด้วยอาณาบริเวณของวิลล่าที่แยกจากกัน

 ห้องพูลวิลล่า ขนาด 93 ตร.ม. ห้องพักที่หรูหราที่สุดด้วยสระว่ายน้ำส่วนตัว ห้องนั่งเล่น ห้องนอน ห้องน้ำขนาดใหญ่ และระเบียงพร้อมเตียงอาบแดด เหมาะสำหรับการพักผ่อนทั้งแบบคู่รักและครอบครัว

ทว่า ไฮไลต์ที่คุณหนูๆ ชอบใจต้องยกให้บรรดาสัตว์เลี้ยงที่ทางรีสอร์ทซื้อไถ่มา ไม่ว่าจะเป็นควายเผือก วัว ม้าแคระ แพะ แกะ สุนัข และฝูงห่าน ที่กลายเป็นดาวเด่นจนทุกคนต้องไปทักทาย โดยสามารถเข้าร่วมกิจกรรมขี่หลังควายเพื่อเรียนรู้วิถีชีวิตชาวนาไทย และสนุกสนานกับการขี่ม้าชมรีสอร์ทได้

นอกจากนี้ รีสอร์ทยังมีมุมสวนผักและสวนสมุนไพรไทยให้ได้ชมและลองปลูก รวมทั้งเส้นทางปั่นจักรยานชมธรรมชาติ เพื่อให้สัมผัสการใช้ชีวิตแบบสโลว์ไลฟ์ที่ทำได้ง่ายๆ ใกล้ตัว

สำหรับสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ รีสอร์ทมีทั้งห้องอาหารให้บริการอาหารไทย อาหารอีสาน และอาหารนานาชาติ คลาสเรียนทำอาหาร สระว่ายน้ำ ฟิตเนส ชีวาณาสปา ห้องจัดเลี้ยงและห้องประชุมสัมมนา ตอบโจทย์ข้าราชการ องค์กรต่างๆ และงานวิวาห์ในบรรยากาศสุดชิล

ชื่อ วิชชิ่ง ทรี (Wishing Tree) หมายถึง ต้นกัลปพฤกษ์ที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางรีสอร์ท เป็นพันธุ์ไม้พระราชทานประจำ จ.ขอนแก่น สื่อความหมายถึงการอุ้มชูปกป้อง

 เช่นเดียวกับความตั้งใจที่อยากให้ผู้เข้าพักเข้ามาผ่อนคลายเติมพลังชีวิตไปกับธรรมชาติและวัฒนธรรมท้องถิ่น จนลืมเวลาและชีวิตที่เหนื่อยล้าไปโดยสิ้นเชิง

Price: ดีลักซ์ 1,620 บ. จูเนียร์สวีท 1,980 บ. วิลล่า 2,700 บ. พูลวิลล่า 3,600 บ.

Place: ห่างจากตัวเมืองขอนแก่น 10 กม. โทร. 043-209-333 เว็บไซต์ www.wishingtreeresort.com

Promotion: วันนี้ – 15 ส.ค. 2560 พาคุณแม่มาพักรับส่วนลด พัก 1 คืนลด 20% พัก 2 คืนลด 30% และพัก 3 คืนขึ้นไปลด 35% จองโทร. 043-209-333

 

ขับโฟร์วีลฝ่าความมืด หลุดยุคสู่อุโมงค์เหมืองแร่

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

12 สิงหาคม 2560 เวลา 10:29 น….. อ่านต่อได้ที่ : https://www.posttoday.com/travel/thailand/508581

ขับโฟร์วีลฝ่าความมืด หลุดยุคสู่อุโมงค์เหมืองแร่

โดย…กาญจน์ อายุ

 ความมืดสนิทชนิดที่มองไม่เห็นไรฟันของคนตรงหน้า ความเงียบสงัดจนได้ยินเสียงปีกค้างคาว และความเย็นชวนขนลุกในอุโมงค์ใต้ดินลึก 180 เมตร กลายเป็นอีกโลกหนึ่งที่มีแต่ความฉงนสนเท่ห์ และความลับทางธรณีวิทยา

บริเวณ อ.ทองผาภูมิ สังขละบุรี และศรีสวัสดิ์ จ.กาญจนบุรี ถือว่าเป็นแหล่งผลิตแร่ตะกั่วที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทย มีวิวัฒนาการการทำเหมืองที่ทันสมัย และมีการลงทุนสูงแห่งหนึ่งของโลก

หนึ่งในนั้นคือ “อุโมงค์สามมิติ” ส่วนหนึ่งของเหมืองสองท่อของ ดร.ผล กลีบบัว ผู้ที่เคยได้รับสัมปทานและสิ้นสุดไปเมื่อหลายสิบปีก่อน ปัจจุบันพื้นที่ของเหมืองสองท่อจึงอยู่ในความดูแลของเทศบาลตำบลสหกรณ์นิคม ที่มีความพยายามจะพัฒนาเหมืองแร่เก่าให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว โดยใช้เส้นทางอุโมงค์ขนส่งถ่ายแร่ในอดีต 3 อุโมงค์เป็นเส้นทางท่องเที่ยวเชิงธรณีวิทยาและประวัติศาสตร์

นักท่องเที่ยวโบกมือเมื่อออกจากอุโมงค์สามมิติ

 มนตรี เหลืองอิงคสุต ผู้อำนวยการสำนักทรัพยากรแร่ กรมทรัพยากรธรณี อธิบายว่า แหล่งแร่ตะกั่ว-สังกะสีในพื้นที่ทองผาภูมิมีลักษณะการเกิดแบบแหล่งแร่สะสมตัวในชั้นหินอุ้มแร่ คือเป็นแหล่งแร่ที่ไม่มีความสัมพันธ์กับขบวนการเกิดหินอัคนี แหล่งหินต้นกำเนิดจะเป็นแอ่งหินดินดานหรือหินดินดานปนหินปนปูนที่มีความเข้มข้นของธาตุตะกั่วสูง ที่ถูกแรงกดตามธรรมชาติบีบอัดให้แทรกตัวตกตะกอนอยู่ตามแนวชั้นหินปูน ซึ่งในประเทศไทยมักจะเกิดร่วมกับหินปูนของยุคออร์โดวิเชียน จึงให้แหล่งแร่ขนาดใหญ่และมีคุณค่าทางเศรษฐกิจ

อย่างแหล่งสองท่อ-บ่อใหญ่-บ่องาม-บ่อน้อย ต.ชะลอ อ.ทองผาภูมิ เป็นแหล่งแร่โบราณที่มีร่องรอยการผลิตแร่มากว่า 1,500 ปี โดยในปี 2521 บริษัทของตระกูลกลีบบัวได้ร่วมทุนกับบริษัทเยอรมัน ผลิตแร่ที่แหล่งแร่สองท่อ-บ่อใหญ่-บ่อน้อย ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ทำให้มีการทำเหมืองอุโมงค์ใต้ดินขนาดใหญ่ลึกจากผิวดิน 180 เมตร รวมความยาวของอุโมงค์ใต้ดินทั้งหมดได้กว่า 50 กิโลเมตร ซึ่งนับตั้งแต่ปี 2498 ที่สำรวจพบแหล่งแร่นี้มีการผลิตแร่ตะกั่วไปแล้วมากกว่า 7 ล้านตัน และคาดว่ายังมีปริมาณสำรองแร่คงเหลืออยู่อีกมากกว่า 7 ล้านตัน จัดเป็นแหล่งแร่ตะกั่วที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย

นั่งหลังกระบะตะลุยอุโมงค์สามมิติ

 เส้นทางท่องเที่ยวระยะทาง 2.4 กิโลเมตร ในอุโมงค์ใต้ดินก็ยังคงเต็มไปด้วยแร่ตะกั่ว แต่เป็นเหมืองที่ไม่มีคนงานและไร้เสียงเครื่องจักรมานานหลายสิบปีจนธรรมชาติทวงคืนพื้นที่ เหลือไว้แต่ร่องรอยของอดีตและความสวยงามในปัจจุบัน โดยทางเทศบาลตำบลสหกรณ์นิคมมีบริการนำเที่ยวด้วยรถขับเคลื่อนสี่ล้อที่แปลงหลังกระบะให้เป็นที่นั่ง

ตั้งแต่ปากอุโมงค์จะขับผ่านร้านค้าหรือที่ชาวบ้านเรียกมันเล่นๆ ว่า เซเว่นฯ มีประตูเป็นลูกกรงเหล็กสนิมกรัง ข้างในยังมีกล่องและข้าวของของคนงานที่วางไว้ตำแหน่งเดิมคลุมด้วยฝุ่นหนาหรือไม่ก็อาจเป็นเชื้อราเพราะความชื้น

จากนั้นทั้งสี่ล้อจะเคลื่อนผ่านทางกรวดหินและทางน้ำที่ไหลลงมาจากผืนป่าเหนืออุโมงค์ ไม่มีความนิ่งเรียบ แต่ก็ไม่โยกเยกจนทรงตัวยืนไม่ไหว โดยไฟหน้ารถไม่ได้มีหน้าที่แค่ส่องนำทางแต่ยังเป็นไฟฉายชั้นดีที่ทำให้คนหลังกระบะเห็นผนังอุโมงค์ได้ชัดเจน รวมถึงเผยให้เห็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่เล็กที่สุดในโลกอย่างค้างคาวคุณกิตติ ที่ยึดผนังอุโมงค์บริเวณทางเข้าออกเป็นบ้านพักตากอากาศ

ช่องทางเหมืองเก่าที่ได้รับสมญานามว่าประตูพิศวง

 ตลอดเส้นทางจะเห็นหินงอกหินย้อยที่เริ่มก่อตัวขึ้น เห็นสายไฟที่ถูกโอบรัดด้วยหินปูน เห็นเครื่องจักรสนิมเกรอะไร้พลังงาน เห็นท่อระบายอากาศปล่องใหญ่ที่เคยหล่อเลี้ยงชาวเหมืองให้มีอากาศหายใจ เห็นสายระเบิดที่ยังไม่ทำงาน เห็นลำธารในอุโมงค์ เห็นภาพของอดีตในยุคที่เหมืองแร่เฟื่องฟู และเห็นการฟื้นฟูตามหลักของธรรมชาติเมื่อมนุษย์ได้จากไป

ระยะเวลาเกือบ 1 ชั่วโมง ในความมืดมิดผ่านไปอย่างไว ซึ่งก่อนถึงทางออกในห้วงที่อากาศเย็นภายในกระทบกับความร้อนภายนอกได้ก่อให้เกิดไอหมอกขึ้นในอุโมงค์ เสมือนภาพมิติพิศวงโดยมีแสงจากปลายทางค่อยๆ สว่างจนเจิดจ้ากระทบม่านตา ก่อนรถจะพุ่งถลาออกจากอุโมงค์สู่ป่าเขียวขจี

ทว่า เส้นทางนี้ก็ยังคงต้องส่งคำเตือนไปถึงผู้ที่กลัวความมืดและที่แคบ เพราะถึงแม้จะมีไฟหน้ารถและไฟสปอตไลต์ดวงโตของเจ้าหน้าที่คอยสาดส่อง แต่ก็ยังไม่ทำให้ความมืดมิดหายไป และถึงแม้อากาศในอุโมงค์จะเย็นสบายเหมือนอยู่กลางทุ่งหญ้าใหญ่ แต่ความคับแคบของเหมืองก็ใหญ่เพียงให้รถกระบะผ่านได้เท่านั้น

ความซับซ้อนของเหมืองเก่าในยุครุ่งเรือง

 หลังจากนั้นเส้นทางท่องเที่ยวยังเชื่อมโยงไปยังอีก 2 อุโมงค์สั้นๆ ซึ่งเป็นอุโมงค์ที่ทับซ้อนกันกับอุโมงค์แรก และปิดท้ายด้วยการชมยอดเอเวอเรสต์แห่ง ต.สหกรณ์นิคม เป็นเขาที่มีสินแร่มากที่สุดในบรรดาภูเขาในเขตสัมปทานเหมืองแร่บ่อใหญ่จึงมีการขุดเจาะเป็นอุโมงค์มากมาย การพิชิตยอดต้องปีนเขาดึงเชือกขึ้นไปแสนลำบากไม่ต่างจากการขึ้นเขาเอเวอเรสต์

นอกจากนี้ ยังสามารถเที่ยวเชื่อมโยงไปยังจุดชมวิวเนินสวรรค์ ในเขตอุทยานแห่งชาติเขื่อนศรีนครินทร์ ที่มองเห็นภูเขาสลับซับซ้อน ในอดีตบริเวณเนินสวรรค์เคยเป็นที่รวบรวมแร่ของเหมืองสองท่อ แต่ปัจจุบันถูกแทนที่ด้วยต้นป่าไปหมดสิ้นแล้ว รวมถึงเป็นพื้นที่ประวัติศาสตร์ เพราะเป็นที่ตั้งของชุมชนห้วยเสือ ถิ่นที่อยู่ของแรงงานชาวอีสานที่มาทำเหมืองแร่จนกลายเป็นชุมชนคนกาญจน์ที่พูดภาษาอีสาน และมีประเพณีบุญบั้งไฟช่วงก่อนเข้าพรรษาที่เนินสวรรค์ด้วย

ภาพย้อนแสงของนักท่องเที่ยวบริเวณทางเข้าอุโมงค์เหมืองตะกั่ว

 อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมการผลิตแร่ตะกั่วนับเป็นอุตสาหกรรมต้นน้ำที่นำไปสู่การผลิตอุตสาหกรรมอื่นๆ เช่น แบตเตอรี่รถยนต์ ตะกั่วแผ่น กระสุนปืน สายเคเบิล ลวดบัดกรี และงานหล่อโลหะ ทรัพยากรแร่จึงเป็นสิ่งกำนัลที่ธรรมชาติสร้างสรรค์ไว้ให้ประเทศนั้นๆ

ทว่า แหล่งแร่ที่ปรากฏพบจะเปิดทำเหมืองได้หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับนโยบายรัฐและคุณค่าในเชิงเศรษฐกิจเป็นหลัก แต่ต้องไม่หลงลืมชาวบ้านและธรรมชาติที่อาศัยบนแผ่นดินที่แร่ซุกฝังร่าง ซึ่งไม่สมควรถูกปล่อยทิ้งขว้าง เพราะค่าของสิ่งกำนัล

ค่าบริการเที่ยวอุโมงค์สามมิติคนละ 200 บาท สอบถามเทศบาลตำบลสหกรณ์นิคม โทร. 034-685-038

ไอหมอกฟุ้งตรงทางออกจากอุโมงค์สามมิติ

อดีตที่ทิ้งแร่จากเหมืองกลายเป็นเขียวชอุ่มหลังธรรมชาติฟื้นฟูตัวเอง

เอเวอเรสต์แห่งเหมืองบ่อใหญ่ ที่เต็มไปด้วยช่องขุดตะกั่ว

ธรรมชาติอีกฟากฝั่งหนึ่งของเหมืองตะกั่วยังอุดมสมบูรณ์ไปด้วยต้นไม้ใหญ่

อุปกรณ์ในการทำเหมืองตะกั่วเก่ายังคงติดกับผนังอุโมงค์

วิธีการเย็บหินเพื่อป้องกันผนังอุโมงค์ถล่ม

สังเกตตะกั่วง่ายๆ ที่รอยสีขาวแวววาว

ท่อระบายอากาศสภาพสมบูรณ์ภายในอุโมงค์

 

 

ทับลาน ประทับใจ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

08 กรกฎาคม 2560 เวลา 08:17 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/502016

ทับลาน ประทับใจ

โดย…กาญจน์ อายุ

 ความคิดแรกเมื่อได้ยินคำว่า อุทยานแห่งชาติทับลาน คือความไม่รู้อะไรเลย

ไม่รู้ว่าที่นี่มีช้างเหมือนเขาใหญ่หรือเปล่า มีต้นลานอย่างเดียวหรือไม่ หรือมีแหล่งท่องเที่ยวอะไรที่คุ้นหูบ้าง

วิกิพีเดียบอกเราว่า อุทยานแห่งชาติทับลานเป็น 1 ใน 5 พื้นที่คุ้มครองหรือพื้นที่อนุรักษ์ธรรมชาติในเขตผืนป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่ หรือผืนป่าตะวันออก ซึ่งมีเนื้อที่ประมาณ 3.8 ล้านไร่ ครอบคลุมพื้นที่บางส่วนของสระบุรี นครนายก นครราชสีมา ปราจีนบุรี สระแก้ว และบุรีรัมย์ และ 5 ผืนป่า ได้แก่ อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ทับลาน ปางสีดา ตาพระยา และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าดงใหญ่ โดยอุทยานแห่งชาติทับลานอยู่ใน จ.ปราจีนบุรี มีเขตติดต่อกับอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ และเป็นป่าลานผืนสุดท้ายของประเทศไทยด้วย

ลูกลานลอยแก้ว บีบมะนาวลงไปหน่อยจะชื่นใจมาก

 ทว่า ข้อมูลก็ยังไม่ตอบคำถามข้องใจ จนกระทั่งมีโอกาสร่วมเดินทางไปกับโครงการตู้ยาไบโอฟาร์ม เพื่อชุมชนปีที่ 3 ของบริษัท ไบโอฟาร์ม เคมีคัลส์ ที่ได้ลงพื้นที่เยี่ยมเยือนและให้กำลังใจเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่า หลังจากได้ติดตั้งตู้ยาพร้อมเวชภัณฑ์จำนวน 23 ตู้ตามหน่วยต่างๆ เป็นที่เรียบร้อย

ณ ที่ทำการอุทยานแห่งชาติทับลาน ภาคภูมิ อร่ามศิริรุจิเวทย์ นักวิชาการป่าไม้ปฏิบัติการ รับหน้าที่เป็นผู้เล่าและตอบคำถาม โดยเริ่มจากเปิดสไลด์ประกอบการพูดคุย “อุทยานมีพื้นที่ 1,397,375 ไร่ มีอัตรากำลังไม่เพียงพอ และมีคดีลักลอบตัดไม้พะยูงจำนวนมาก” สามหัวข้อบนสไลด์หน้าแรกระบุไว้เช่นนี้ โดยครึ่งปีแรกในปี 2560 มีการกระทำผิดเกี่ยวกับไม้พะยูงจำนวน 33 ราย

ภาคภูมิเล่าว่า ด้วยปัญหาการลักลอบตัดไม้พะยูงที่มีมาเนิ่นนานและยังไม่หมดไป ทางอุทยานฯ จึงนำเครื่องมือที่พวกเขาเรียกย่อๆ กันเองว่า เอ็นแคป (NCAPS-Network Centric Anti-Poaching System) มาร่วมแก้ปัญหา เป็นเครื่องมือขนาดเล็กที่ฝรั่งใช้จับภาพสัตว์ป่าเพื่อให้รู้ตำแหน่งล่า แต่ทางอุทยานฯ ได้นำมาใช้เพื่อจับภาพผู้ล่าหรือมนุษย์ที่ลักลอบเข้ามากระทำความผิด

ลูกลานลอยแก้ว ของฝากจากที่ทำการอุทยานฯ ทับลาน

 โดยกล้องเอ็นแคปจะใช้เลเซอร์ตรวจจับความเคลื่อนไหวในป่าและส่งภาพแบบเรียลไทม์ไปยังอีเมล ทำให้เจ้าหน้าที่ทราบถึงความผิดปกติ สามารถวิเคราะห์พฤติกรรมหรือปัจจัยคุกคามที่เกิดขึ้น วางแผนได้รัดกุม และออกปฏิบัติการได้รวดเร็ว โดยภาพจะสามารถคาดการณ์เส้นทางที่ผู้ลักลอบใช้ ขนาดกำลังคน หรือตำแหน่งซุ่มรอ ซึ่งนอกจากความรัดกุมและทันท่วงที ยังช่วยให้เจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าทำงานได้อย่างปลอดภัยมากขึ้น

“อุทยานฯ ทับลานมีลักษณะเป็นเมืองล้อมป่า ทำให้มีจุดสุ่มเสี่ยงต่อการลักลอบเข้าพื้นที่ การใช้เครื่องมือและเทคโนโลยีจึงเป็นหัวใจสำคัญต่อการป้องกัน นอกเหนือไปจากการเฝ้าระวังและการลาดตระเวนของเจ้าหน้าที่” ภาคภูมิ กล่าว

โดยรอบผืนป่าทับลานมีเครื่องมือเอ็นแคปอยู่รอบพื้นที่ รวมถึงเครื่องมืออีกชิ้นที่เจ้าหน้าที่ให้สมญานามว่า กระต่ายน้อยพเนจร หรือจีพีเอส แทร็กเกอร์ อุปกรณ์ติดตามการเคลื่อนที่ของวัตถุโดยใช้สัญญาณดาวเทียมจีพีเอส ซึ่งสามารถแจ้งเตือนเมื่อมีการขยับหรือเคลื่อนที่ และบันทึกความเร็วในการเคลื่อนที่

ต้นยูคาลิปตัส ทิวทัศน์จากหน่วยห้วยคำภู

 “เมื่อพบไม้พะยูงแปรรูปที่ซุกซ่อนไว้ในป่าแต่ไม่พบตัวผู้กระทำความผิด เราจะนำกระต่ายน้อยไปติดตั้งไว้ในเนื้อไม้ เมื่อมีการขนย้ายกระต่ายน้อยจะส่งสัญญาณมายังแอพพลิเคชั่นในมือถือ ช่วยให้เราติดตามเส้นทางการเคลื่อนที่ พฤติกรรมของขบวนการลักลอบตัดฟันไม้พะยูง และทำให้สาวไปถึงต้นตอของขบวนการได้”

ด้าน ประวัติศาสตร์ จันทร์เทพ หัวหน้าอุทยานแห่งชาติทับลาน กล่าวย้ำว่า ระบบเอ็นแคปทำให้เจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าสามารถจับกุมผู้กระทำความผิดได้หลายครั้ง เช่น เมื่อปลายปี 2559 สามารถจับกุมกลุ่มลักลอบตัดไม้พะยูง และเมื่อต้นปี 2560 ทำให้ติดตามจับกุมกลุ่มชาวกัมพูชาที่หลบหนีอยู่ในป่าท้ายบ้านลำเพียก จ.นครราชสีมา ที่บุกรุกได้เพิ่มอีก 7 คน และตรวจยึดไม้พะยูงแปรรูปได้เพิ่มอีก 2 แผ่น

“เราไม่กลัวว่าคนร้ายจะรู้ว่ามีการติดตั้งกล้อง เพราะเราอยากให้เกิดความยำเกรงไม่กล้าทำผิด หรืออย่างน้อยเจ้าหน้าที่จะสามารถเข้าจับกุมทันเวลาก่อนที่จะตัดไม้ ถึงแม้จะไม่มีของกลาง โทษที่ได้รับจะน้อย แต่แบบนี้คุ้มกว่า เพราะได้ปกป้องป่าจากการถูกทำลาย ปกป้องคนร้ายจากคุก ถึงแม้เขาจะทำผิด แต่ถ้าถูกจับติดคุก ญาติพี่น้องของผู้กระทำความผิดก็จะบ่มเพาะความรู้สึกเกลียดชังเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่า ดังนั้นการจับก่อนตัดจึงให้ผลดีในระยะยาว ลดการสูญเสียทุกรูปแบบ

ซากแถวต้นยูคาลิปตัสกลางอ่างเก็บน้ำนฤบดินทรจินดา

 แม้ตอนนี้จะยังป้องกันไม่ได้ 100 เปอร์เซ็นต์ เพราะป่าทับลานยังมีไม้พะยูงเยอะมาก ซึ่งล่อตาล่อใจให้กระทำผิด แต่จริงๆ มันคือไม้แห่งความตาย ก่อให้เกิดการแย่งชิง หักหลังเข่นฆ่า ก็หวังว่ากล้องเอ็นแคปจะช่วยเปลี่ยนใจคนที่จะกระทำผิดได้บ้าง รวมไปถึงช่วยปกป้องชีวิตสัตว์ป่า ลดการปะทะระหว่างสัตว์ป่ากับชาวบ้าน เช่น นำมาใช้เฝ้าระวังช้างป่าออกนอกพื้นที่ ก็สามารถสกัดช้างป่าและต้อนกลับป่าได้อย่างปลอดภัย”

ไม่ผิดเลยที่จะกล่าวว่านี่คือผู้พิทักษ์ป่ายุค 4.0 และเป็นต้นแบบของอุทยานแห่งชาติอื่นๆ ที่สามารถแก้ไขปัญหาแบบ “จับก่อนตัด” และลดจำนวนคดีการลักลอบทำความผิดได้จริง นอกจากนี้กล้องเอ็นแคปยังช่วยสำรวจประชากรสัตว์ป่า โดยพบช้างป่าร้อยละ 45 ของพื้นที่ที่ติดต่อกล้องเอ็นแคป พบเสือโคร่งร้อยละ 21 รวมถึงกระทิง กวาง เก้ง ชะมด เลียงผา หมีควาย และหมูป่า

ตอนนี้จึงตอบคำถามได้แล้วว่า อุทยานฯ ทับลานมีช้างป่า และไม่มีเพียงต้นลานเพียงอย่างเดียว ทว่าคำถามสุดท้าย “ที่นี่มีแหล่งท่องเที่ยวอะไรที่คุ้นหูบ้าง” เห็นท่าทีของภาคภูมิไม่อยากยกให้วังน้ำเขียวเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิดหน้าชูตา จึงพาไปหาความงามของธรรมชาติอย่างอื่นแทน ณ อ่างเก็บน้ำนฤบดินทรจินดา โครงการห้วยโสมงอันเนื่องมาจากพระราชดำริ อ่างเก็บน้ำที่สร้างขึ้นตามพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ซึ่งนับเป็นเขื่อนพระราชทานแห่งสุดท้ายที่กำลังจะแล้วเสร็จในเร็วๆ นี้

เจ้าหน้าที่ลาดตระเวนสาธิตการติดตั้งกล้องเอ็นแคปบนต้นไม้สูง

 ทั้งนี้ บริเวณอ่างเก็บน้ำยังเป็นที่ตั้งของหน่วยย่อย 2 หน่วย ได้แก่ หน่วยห้วยคำภู และหน่วยวังทะลุ บริเวณสันเขื่อนหรือเนินเหนืออ่างเก็บน้ำนฤบดินทรจินดา โดยสภาพความเป็นอยู่ของเจ้าหน้าที่จะเรียบง่าย กินง่ายอยู่ง่ายอย่างพอเพียง หาปลาตัวเล็กๆ จากอ่างเก็บน้ำมาตากแห้งแล้วนำมาประกอบอาหาร

โดยเฉพาะหน่วยวังทะลุที่ต้องนั่งเรือล่องไปตามอ่างเก็บน้ำเป็นเวลาประมาณ 30 นาที จึงตัดขาดกับโลกภายนอก ไม่มีระบบไฟฟ้า ประปา และอยู่ในป่าลึก เพื่อป้องกันผืนป่าที่อยู่ห่างไกลไม่ให้ถูกรุกรานโดยง่าย เนื่องจากป่าที่เชื่อมโยงกับลำน้ำจะเป็นจุดที่มักถูกบุกรุก เพราะเดินทางด้วยเรือสามารถขนอาวุธเข้ามาได้ง่าย ไม่เหนื่อยแรงเท่าการเดินเท้า และการใช้เรือที่ไม่มีเครื่องยนต์จะไม่มีเสียงดัง ทำให้ง่ายต่อการหลบเลี่ยงเจ้าหน้าที่

เมื่อต้องเข้าป่าลาดตระเวนจะทำงานเป็นทีมผลัดเปลี่ยนกัน ทีมละประมาณ 4-5 คน ทีมใดเข้าป่าลาดตระเวน อีกทีมหนึ่งจะอยู่บ้านพักคอยเป็นกองกำลังเสริม มีวันหยุดเดือนละเพียง 4 วัน ซึ่งจากการพูดคุย เจ้าหน้าที่ทุกคนล้วนมาประจำการด้วยความสมัครใจ แม้จะใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในป่าก็ตาม

เจ้าหน้าที่กำลังออกเรือลาดตระเวนพื้นที่รอบๆอ่างเก็บน้ำ

 “เราต้องการกำลังใจมากที่สุด” ภาคภูมิ กล่าวทิ้งท้าย

“เพราะกำลังใจสำคัญพอๆ กับปัจจัยสี่ที่สามารถทำให้เราดำรงชีวิตอยู่ได้”

ดังนั้น การมาเยี่ยมเยียนผู้พิทักษ์ป่าในครั้งนี้ จึงไม่ได้มาเพื่อหาคำตอบในใจเพียงอย่างเดียว แต่ยังมาให้กำลังใจและแสดงความขอบคุณผู้พิทักษ์ป่าทุกท่านที่มีจิตใจของผู้เสียสละ ซึ่งต้องยกย่องสุดหัวใจอย่างแท้จริง

อ่างเก็บน้ำนฤบดินทรจินดาจะเปิดอย่างเป็นทางการเร็วๆ นี้

ภาคภูมิโชว์ตู้ยาไบโอฟาร์ม

เจ้าหน้าที่เช็กสภาพกล้องเอ็นแคป

เจ้าหน้าที่ล่องเรือลาดตระเวนตรวจความเรียบร้อย

ลูกลานนำมาขยายพันธุ์ต่อหลังจากต้นที่มันเกิดมาตาย

 

 

ปั่นโต้ลมทะเล @เขาสามร้อยยอด

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

09 กรกฎาคม 2560 เวลา 07:49 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/502187

ปั่นโต้ลมทะเล @เขาสามร้อยยอด

โดย…Withaya Heng

วันนี้จะพาไปรู้จักกับเส้นทางจักรยานทางภาคใต้กันบ้าง แต่ก็ไม่ได้ไปไหนไกล ปราณบุรี เลยหัวหินไปหน่อยเดียวครับ

ปราณบุรี อำเภอที่อยู่ถัดไปจากหัวหิน ห่างออกไปจากตัวเมืองหัวหินเพียง 30 กม. เราจะพบกับความสงบเงียบที่แตกต่างโดยสิ้นเชิงกับหัวหิน หาดทรายกว้างที่ทอดตัวยาวสุดสายตา ถนนเลียบหาดที่ทำหน้าที่แยกรีสอร์ทที่พักต่างๆ ให้ถอยห่างออกมาจากหาดทราย จึงทำให้หาดทรายยาวตลอดแนวยังคงความเป็นสาธารณะอยู่ได้โดยไม่มีใครกล้ามาทำเนียนแสดงความเป็นเจ้าของ และถนนเลียบหาดเส้นเดียวกันนี้คือเสน่ห์ของการปั่นจักรยานทางเรียบรับลมทะเล พร้อมๆ ไปกับการชมวิวสวยๆ ตลอดทาง โดยเส้นปั่นจักรยานของเราในครั้งนี้จะเริ่มต้นจากหาดปราณไปทางเขากะโหลก ต่อไปยังอุทยานแห่งชาติเขาสามร้อยยอด สุดเขตสามร้อยยอดต่อเข้าบ่อนอก ไปสิ้นสุดจุดหมายปลายทางที่ร้านครัวชมวาฬ

เส้นทางจักรยานเส้นนี้ถือว่าได้รับความนิยมมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว นอกจากวิวที่สวยงามมีครบทั้งทะเล ภูเขาและป่าเขียว สภาพผิวทางถนนถือว่าทำไว้ดีมากๆ เป็นถนนคอนกรีตเรียบกริบตลอดเส้นทาง และที่สำคัญทางราบตลอดแทบไม่มีเนินเขาเลย จึงทำให้ได้รับความนิยมจากนักปั่นกันพอสมควร จนได้มีการทำทางจักรยานโดยเฉพาะขึ้นในช่วงหาดปราณไปถึงสุดหาดสามร้อยยอด เพื่อรองรับนักปั่นที่หลากหลายฝีมือ

ทางจักรยานช่วงแรก เป็นทางบนฟุตปาทสีแดงอิฐ เริ่มจากบริเวณหน้าแบคคัสโฮมรีสอร์ท ไปจนถึงปราณธารา รีสอร์ท ระยะทาง 4 กม. จากนั้นลงปั่นบนถนน ตีเป็นเส้นชิดขอบทางด้านซ้ายไปอีก 2.5 กม.ถึงเขากะโหลก เมื่ออ้อมเขามาอีกด้านจะเป็นหาดที่ชาวประมงใช้จอดเรือหลบลม จะมีการสร้างเป็นทางริมหาดขนานไปกับถนนเลียบหาดอีกชั้นหนึ่ง ระยะทาง 4 กม. ทางจะไปชนกับขุนเขาสามร้อยยอดที่ขวางอยู่ตรงหน้าต้องอ้อมออกมา เมื่อกลับเข้ามาถนนเลียบหาดอีกครั้งจะเป็นหาดสามร้อยยอด

ทางจักรยานช่วงนี้จะเป็นเลนจักรยานบนถนนทาสีแดงอิฐเลียบกับหาดไปอีก 5 กม. ก็จะสิ้นสุดช่วงที่เป็นถนนเลียบหาดทั้งหมดแล้ว เราต้องปั่นออกไปสู่ถนนสาย 4020 ผ่านที่ทำการอุทยานแห่งชาติสามร้อยยอดไปยังถ้ำไทร เมื่อถึงแยกถ้ำไทรที่จริงเราต้องเลี้ยวขวาเพื่อไปทางหาดสามพระยา แต่ทางเข้าถ้ำไทรจะเป็นช่องเขาที่สวยงาม จะปั่นตรงเข้าไปแวะถ่ายรูปก่อนก็สวยดี ผ่านช่องเขาไปแล้วทางจะลงไปสู่ทะเลมีทางเลียบหาดสั้นๆ ต้องกลับออกมาทางเดิม เราออกมาเลี้ยวซ้ายผ่านทางเข้าหาดสามพระยา ออกจากเขตอุทยานฯ เขาสามร้อยยอดเข้าสู่ ต.บ่อนอก เพื่อไปถึงจุดหมายปลายทางที่ครัวชมวาฬ

ครัวชมวาฬ เป็นร้านอาหารและที่พักแบบท้องถิ่น เจ้าของคือ เจริญ วัดอักษร อดีตประธานกลุ่มอนุรักษ์ท้องถิ่นบ่อนอกและเป็นแกนนำต่อต้านการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินบ่อนอก ซึ่งภายหลังถูกลอบยิงเสียชีวิต คุณกระแต ภรรยาจึงมารับช่วงทำร้านครัวชมวาฬต่อ ปัจจุบันในส่วนที่พักมีการปรับปรุงขนานใหญ่ มีการลงฐานซีเมนต์ก่อสร้างแบบถาวรวัตถุมากขึ้น แต่ยังคงคอนเซ็ปต์เดิมๆ คือ กระต๊อบริมทะเล ที่ลงจากบันไดบ้านก็เหยียบทรายเลย

พูดขึ้นมาแบบนี้วัยรุ่นหนุ่มสาวอาจจะไม่เข้าใจ แต่สำหรับคนวัย 40plus คิดว่าช่วงเวลาเยาว์วัยต้องเคยสัมผัสที่พักแบบนี้มาแล้วแน่นอน ในส่วนของอาหาร ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ยังคงใช้วัตถุดิบสดๆ จากท้องถิ่น ปรุงรสฝีมือจัดจ้านแบบบ้านๆ จัดจานไม่ต้องสวยขอเพียงสด-อร่อย เท่านี้ก็เพียงพอแล้วที่เราจะต้องกลับมาที่นี่อีก…ซ้ำแล้วซ้ำเล่า…

ระยะทางที่ปั่นมาทั้งหมดประมาณ 57 กม. ปั่นแบบสบายๆ มีแวะถ่ายรูป มีโอ้เอ้บ้างก็ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่งถึง 3 ชั่วโมง ออกแต่เช้าหน่อยจะไม่เจอแดดร้อนนัก แต่เรื่องลมนี่ต้องเจอแน่นอนไม่ขาไปก็ขากลับแล้วแต่ทิศทางของลมมรสุมในแต่ละฤดู ถึงที่หมายนั่งเล่นสักพัก ทานอาหารอร่อยๆ สักมื้อ พักให้ย่อยอีกหน่อยค่อยปั่นกลับ จะได้ทริปท่องเที่ยวเต็มวันกับระยะทาง 114 กม. บนเส้นทางที่สวยงาม วิวดี ปั่นสนุก อาหารอร่อย…แล้วเราจะต้องการอะไรอีกล่ะ…

 

 

บันยัน เดอะ รีสอร์ท หัวหิน อบอุ่นเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือ ‘อิ่ม’ เอม

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

08 กรกฎาคม 2560 เวลา 08:26 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/502019

บันยัน เดอะ รีสอร์ท หัวหิน อบอุ่นเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือ ‘อิ่ม’ เอม

โดย…นิทรา ราตรี

 หมุดหมายของครอบครัวอย่างเมืองชายทะเลหัวหิน ยังคงเป็นตัวเลือกยอดนิยมไปตลอดกาล ด้วยระยะทางที่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ มนต์เสน่ห์ของชายหาด และความหลากหลายของที่พักที่ตอบโจทย์ทุกกลุ่มโดยเฉพาะครอบครัว

หนึ่งในนั้นต้องมีชื่อ บันยัน เดอะ รีสอร์ท หัวหิน

รีสอร์ทให้บริการที่พักแบบวิลล่าขนาด 120 ตร.ม. ประกอบด้วย 2 ห้องนอน (หรือเลือกพักแบบ 1 ห้องนอนก็ย่อมได้) ห้องนั่งเล่น ห้องครัว ห้องนั่งรับประทานอาหาร สระว่ายน้ำ จากุซซี่ ส่วนตัว ฝักบัวอาบน้ำด้านนอกระเบียง และชุดเก้าอี้อาบแดด

 พร้อมกิจกรรมที่ตอบโจทย์ครอบครัวอย่าง ตะกร้าปิกนิก ให้ทุกคนในบ้านได้สนุกไปกับการรับประทานอาหารมีให้เลือก 2 แบบ คือ เอเชีย มีไฮไลต์เป็นติ่มซำ ซาลาเปา และเปาะเปี๊ยะสด หรือเวสเทิร์น มีทั้งขนมปัง ชีส โคลด์คัต และสลัด โดยทั้งหมดจะถูกจัดสรรใส่ตะกร้าให้คุณปิกนิกได้ที่วิลล่าส่วนตัวหรือทุกที่ที่ต้องการ

สำหรับมื้อเย็นทางรีสอร์ทสามารถจัดปาร์ตี้บาร์บีคิวที่วิลล่าหรือริมสระว่ายน้ำ โดยจะมีเชฟบริการปิ้งย่างให้เสร็จสรรพทั้งเมนูเนื้อสัตว์ ซีฟู้ด สลัด ข้าว ขนมปัง และผลไม้

บันยัน เดอะ รีสอร์ท ยังโดดเด่นด้านสนามกอล์ฟเวิลด์คลาส 18 หลุม ณ บันยัน กอล์ฟ คลับ จากการออกแบบโดย พิรพน นะมาตร์ ซึ่งมีจุดเด่นอยู่ที่หลุม 15 ระยะ 139 หลา พาร์ 3 เพราะผู้เล่นสามารถมองเห็นเกาะสิงโตและทิวทัศน์ของท้องทะเล ทำให้เป็นหลุมที่มีชื่อเสียงและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว

โดยในขณะที่คุณพ่อกำลังออกรอบนั้น คุณแม่สามารถใช้เวลาว่างอยู่ที่ เดอะ สปา วิลล่า สถานที่ให้บริการทรีตเมนต์หลายชนิด เช่น นวดไทย นวดน้ำมันตามกรุ๊ปเลือด และตัดแต่งเล็บ ส่วนลูกๆ จะได้สนุกสนานในสระว่ายน้ำเด็กหรือสระว่ายน้ำหลักที่ทอดยาวผ่านหน้าวิลล่า

 รีสอร์ทจึงเป็นที่รักของกลุ่มครอบครัว ซึ่งในอนาคตทุกคนจะได้สัมผัสกับวิลล่าโฉมใหม่ที่ถูกปรับเปลี่ยนให้ทันสมัยและผ่อนคลาย ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนกระเบื้องปูพื้น โต๊ะรับประทานอาหาร ชุดโซฟาในบ้าน เก้าอี้อาบแดด และเพิ่มเฟอร์นิเจอร์บางชิ้นเพื่อสร้างบรรยากาศให้วิลล่ามีกลิ่นอายความเป็นรีสอร์ทมากขึ้น

ที่นี่ยังคงอบอุ่นเหมือนเดิม ที่เพิ่มเติมคือ ความอิ่มเอม เพราะความรู้สึกที่ออกจากบ้านมาเพื่อมาอยู่บ้านอีกหลัง แล้วยังสามารถพักใจและพักกายได้แบบไร้กังวล ย่อมเป็นความรู้สึกที่ดีที่สุดแล้วสำหรับสถานที่ที่เรียกตัวเองว่า รีสอร์ท

Price: วิลล่า 1 ห้องนอนพร้อมบัตรออกรอบกอล์ฟ 1 ใบ ราคา 9,500 บ. และ วิลล่า 2 ห้อง พร้อมบัตรออกรอบกอล์ฟ 2 ใบ ราคา 12,100 บ. ตั้งแต่สิงหาคม – กันยายน

Place: หมู่บ้านหัวนา หนองแก ถ. เพชรเกษม หัวหิน โทร. 0-3253-888 เว็บไซต์ www.banyanthailand.com

Promotion: แพ็คเกจสเตย์และเพลย์ 3 วัน 2 คืน พร้อมออกรอบที่สนามกอล์ฟบันยัน หัวหิน ราคาเริ่มต้นที่ 11,900 บ. สำหรับวิลล่า 1 ห้องนอน หรือ 15,200 บ. สำหรับวิลล่า 2 ห้องนอน ตั้งแต่วันนี้ – 31 ธ.ค. 2560

 

ตามหามือปืน เช็กอินงานอาร์ต หอศิลป์ ศุภโชค ดิ อาร์ต เซ็นเตอร์

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

02 กรกฎาคม 2560 เวลา 08:02 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/500971

ตามหามือปืน เช็กอินงานอาร์ต หอศิลป์ ศุภโชค ดิ อาร์ต เซ็นเตอร์

โดย…กาญจนา อายุวัฒน์ธนชัย ภาพ ทวีชัย ธวัชปกรณ์

จากความตั้งใจของ ศุภโชค อังคสุวรรณศิริ นักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และนักสะสมของเก่าที่ประสงค์สร้าง “หอศิลป์ ศุภโชค ดิ อาร์ต เซ็นเตอร์” (S.A.C. Subhashok The Arts Centre) เพื่อเก็บรวบรวมของสะสมของตน จากนั้นได้ขยายผลไปสู่สาธารณะให้ผู้ที่สนใจเข้ามาชมงานศิลปะ หรืออุดหนุนงานศิลป์ของศิลปินไทยที่มีฝีมือแต่ยังไม่เป็นที่รู้จักมากนัก

หอศิลป์แบ่งพื้นที่ออกเป็น 3 โซน ได้แก่ หอศิลป์ เป็นอาคาร 3 ชั้น โดยชั้น 3 ทำเป็นนิทรรศการถาวร จัดแสดงพระพุทธรูปโบราณซึ่งเป็นของสะสมล้ำค่าของศุภโชค ซึ่งคาดว่าจะเปิดให้เข้าชมไม่เกินต้นปี 2561 เนื่องจากอยู่ในช่วงจัดการข้อมูลให้ถูกต้องและลึกซึ้ง ส่วนชั้น 1 และ 2 เป็นพื้นที่จัดแสดงงานศิลปะร่วมสมัย ที่จะหมุนเวียนเปลี่ยนงานศิลปะไปทุกๆ 6 สัปดาห์

โซนที่ 2 แกลเลอรี่ เป็นพื้นที่จัดแสดงงานศิลปะขนาดย่อม เพื่อให้นิสิตนักศึกษาหรือศิลปินรุ่นเยาว์มาใช้พื้นที่โชว์งานศิลปะและรับคำวิจารณ์งานจากภัณฑารักษ์ (Curator) และโซนที่ 3 ร้านกาแฟ โกปิโอบอร์ดเกมคาเฟ่ ที่นอกจากจะขายกาแฟและอาหารจานเดียวแล้ว ยังเป็นโรงเรียนสอนศิลปะตั้งแต่เบสิกถึงเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัย และเป็นแหล่งรวมตัวของสาวกบอร์ดเกม โดยจะมีเกมมาสเตอร์ช่วยอธิบายกติกา ทำหน้าที่เป็นกรรมการ และสามารถเป็นตัวเสริมให้เล่นได้ครบทีมด้วย

ด้าน เอิง-จงสุวัฒน์ อังคสุวรรณศิริ วัย 28 ปี ผู้อำนวยการฝ่ายบริหาร และทายาทของ หอศิลป์ ศุภโชค ดิ อาร์ต เซ็นเตอร์ กล่าวต่อว่า วัตถุประสงค์ของหอศิลป์ศุภโชคต้องการสนับสนุนศิลปินรุ่นใหม่ที่มีความสามารถแต่ไม่ได้รับโอกาส โดยใช้แนวคิดนี้ในการคัดเลือกศิลปินมาจัดนิทรรศการและเปิดเป็นพื้นที่ตรงกลางให้ผู้ที่สนใจซื้องานจากศิลปิน

“หลายคนไม่กล้าเข้าแกลเลอรี่เพราะคิดว่าไม่ได้เข้าไปซื้องาน เขาจะรำคาญเราหรือเปล่า หรือเข้าไปดูแล้วจะเข้าใจงานไหม ก็อาจจะตัดสินใจไม่เดินเข้าไป แต่ที่นี่เราทำหอศิลป์ให้เฟรนด์ลี่ มีภัณฑารักษ์ให้ข้อมูลกับทุกคนอยู่ตลอดเวลา สามารถถามได้ทุกคำถามไม่ว่าจะเป็นคำถามที่อาจรู้สึกว่าง่ายเกินไปหรือเปล่า เราก็ยินดีให้คำตอบและช่วยหาข้อมูล รวมถึงเสาร์-อาทิตย์จะมีศิลปินเจ้าของผลงานมาให้ความรู้ด้วย”

จุดเด่นของหอศิลป์ศุภโชคจึงอยู่ที่ความหลากหลายของนิทรรศการ อย่างเมื่อวันที่ 1 ก.ค.ที่ผ่านมา หอศิลป์เพิ่งเปิดนิทรรศการใหม่ของ 2 ศิลปินไทยที่มี “หน้ากาก” เข้ามาเกี่ยวข้อง ได้แก่ นิทรรศการ Live a life งานจิตรกรรมร่วม 30 ชิ้น โดย ทรงวุฒิ แก้ววิศิษฎ์ ศิลปินไทยมากความสามารถ เจ้าของรางวัลทางศิลปะมากมาย

ทั้งรางวัลใหญ่ระดับประเทศและรางวัลชนะเลิศของเอเชีย และนิทรรศการ Dreamy Land โดย สุภสิทธิ์ ธรรมประเสริฐ ผลงานจิตรกรรมของเขาสามารถแบ่งออกเป็นหลายชุด โดยประเด็นร่วมสมัยของเขานำเสนอโลกอุดมคติที่ไม่ใช่สวรรค์หรือยูโทเปีย แต่ได้ศึกษาประวัติศาสตร์ สังเกตความเป็นไปของการเมืองการปกครอง และทุกๆ ความเคลื่อนไหวบนโลกนี้ทั้งในอดีตและปัจจุบัน โดยเฉพาะในประเทศไทย เพื่อทำความเข้าใจโครงสร้างและชั้นผิวทางสังคม การต่อสู้ ต่อรอง และการดำรงอยู่ร่วมกัน

“ศิลปะเหมาะกับคนทุกวัยตั้งแต่เด็กถึงคนสูงอายุ เชื่อว่าเมื่อมาจะเจอกับนิทรรศการที่ตรงกับรสนิยมของตัวเองแน่นอน ในหนึ่งปีเราจะมีนิทรรศการเฉลี่ย 14-15 งาน เพราะเรามีพื้นที่สองชั้น และมีพื้นที่จัดงานนิทรรศการต่างประเทศด้วย” จงสุวัฒน์ กล่าวเพิ่มเติม

นอกจากนี้ เดือน ก.ค.ยังเป็นเดือนประเดิมเปิดนิทรรศการในต่างจังหวัด เพื่อนำศิลปะให้ไปอยู่ใกล้ชิดผู้คนต่างจังหวัด โดยได้เริ่มต้นที่มหาวิทยาลัยนเรศวร จ.พิษณุโลก ต่อด้วยขอนแก่นและเชียงใหม่ตามลำดับ ซึ่งนับเป็นโครงการที่ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย คือ ตัวศิลปินเองจะได้โชว์ผลงานไปทั่วประเทศไทยให้คนรู้จักมากขึ้น ส่วนผู้ชมก็จะได้ชมงานศิลปะโดยไม่ต้องเดินทางมาไกลถึงกรุงเทพฯ

หอศิลป์ศุภโชคกำลังย่างเข้าสู่ปีที่ 5 ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาคนวงในได้เห็นความเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน กล่าวคือ เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงที่ก้าวกระโดดของคนไทยที่สนใจงานศิลปะมากขึ้น รวมถึงมีหอศิลป์และแกลเลอรี่เกิดใหม่มากมายซึ่งถือว่าเป็นเรื่องดีในวงการศิลปะ

“ผมเห็นความนิยมในศิลปะมากขึ้นชัดเจนเมื่อปีที่ผ่านมา คล้ายๆ เป็นเทรนด์ใหม่ที่คนรุ่นใหม่สนใจ ทำให้คนที่มีอาชีพเป็นศิลปินก็สามารถทำเงินได้ เพราะปัจจุบันมีคนสนับสนุนงานศิลปะมากพอให้ศิลปินสามารถอยู่ได้ และคิดว่าในอนาคตจะดีขึ้นไปกว่านี้จนไม่มีคำว่าศิลปินไส้แห้งอีกต่อไป และหวังว่าหอศิลป์ศุภโชคจะเป็นหนึ่งแรงที่จะผลักดันวงการศิลปะไทยให้ก้าวหน้ามากขึ้น” เขากล่าวทิ้งท้าย

ใครที่แวะเวียนไปหอศิลป์อย่าลืมถ่ายรูปเช็กอินกับสตรีทอาร์ต (ที่จะเปลี่ยนไปทุกเดือน) สุดฮิปตามกำแพง และยืนประกบคู่กับเจ้ามือปืน (Gun Hand) ของประติมากร เปี่ยมจันทร์ บุญไตร ที่สร้างสรรค์สัญลักษณ์แทนอำนาจชี้เป็นชี้ตายจนกลายเป็นเอกลักษณ์ของหอศิลป์ศุภโชคไปแล้ว

หอศิลป์ ศุภโชค ดิ อาร์ต เซ็นเตอร์ เปิดบริการวันอังคาร-วันอาทิตย์ (หยุดทุกวันจันทร์) เวลา 10.00-18.00 น. ตั้งอยู่ในย่านสุขุมวิทระหว่างสุขุมวิท ซอย 31 และ 39 ติดตามข่าวสารและงานนิทรรศการใหม่ๆ ได้ทางเพจเฟซบุ๊ก S.A.C. Subhashok The Arts Centre และโทร. 02-662-0299