ซ้ำ…วิกฤติแล้ง ทุจริตกลบบ่อบาดาล

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/detail/20160515/227671.html

การเมือง : ข่าวทั่วไป
วันอาทิตย์ที่ 15 พฤษภาคม 2559
ซ้ำ...วิกฤติแล้ง ทุจริตกลบบ่อบาดาล

เรื่องเล่าข่าวดัง : ซ้ำ…วิกฤติแล้ง ทุจริตกลบบ่อบาดาล : โดย…กมลชนก ทีฆะกุล

                    สภาพอากาศที่ร้อนระอุในช่วงปลายปรากฏการณ์เอลนิีโญส่งผลให้ไทยได้รับผลกระทบจากภัยแล้งอย่างรุนแรง หลายพื้นที่เข้าขั้นวิกฤติน้ำที่ใช้ในการอุปโภคบริโภคขาดแคลนอย่างรุนแรง เพราะแหล่งน้ำแห้งขอด
                    หลายจังหวัดบ่อบาดาล กลายเป็นแหล่งน้ำสำคัญเป็นความหวังฝ่าวิกฤติแล้งของชาวชุมชน แต่ความหวังนั้นต้องพังทลายลงเพราะมีการกลบบ่อโดยเจ้าหน้าที่รัฐที่เข้าไปดำเนินการตามโครงการอุดกลบบ่อบาดาล ของสำนักพัฒนาน้ำบาดาล กรมทรัพยากรน้ำบาดาล กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
                    “แปลกใจทำไมเขาต้องปิดบ่อบาดาลในช่วงวิกฤติแล้งทั้งที่เราต้องการใช้น้ำ น้ำก็ไม่มีอยู่แล้วมาปิดบ่อบาดาลอีกแล้วจะให้ใช้น้ำจากไหน” ความสงสัยของชาว จ.ขอนแก่น ซึ่งอยู่ใกล้กับบ่อบาดาลที่ถูกปิดกลบไป กลายเป็นข้อร้องเรียนให้มีการตรวจสอบโครงการนี้
                    เรื่องถูกส่งเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบของศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอตช.) ซึ่งมีสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ท. ทำหน้าที่ฝ่ายเลขาฯ ดำเนินการตรวจสอบอย่างละเอียด พบว่า โครงการนี้เป็นงบประมาณปี 2557 ของกรมทรัพยากรน้ำบาดาล วงเงินกว่า 103 ล้านบาท ซึ่งกำหนดให้มีการอุดกลบบ่อบาดาลจำนวน 4,886 บ่อทั่วประเทศ ซึ่งได้ดำเนินการอุดกลบไปแล้วจำนวน 1,820 บ่อ อยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 1,320 บ่อ ภาคเหนือจำนวน 200 บ่อ ภาคกลางและภาคตะวันออก 300 บ่อ
                    คณะทำงานของ ป.ป.ท. ในจำนวนนั้นมี พล.ต.อ.จรัมพร สุระมณี หนึ่งในคณะกรรมการ ป.ป.ท. รวมอยู่ด้วย ได้นำหลักนิติวิทยาศาสตร์เข้ามาร่วมในการตรวจสอบความไม่ชอบมาพากลในโครงการนี้ มีการสุ่มตรวจทั้งเอกสารการเบิกจ่ายเงิน การลงพื้นที่สอบถามพยาน และการใช้เครื่องมือตรวจสอบความต่อเนื่องของเนื้อซีเมนต์ หรือที่เรียกว่า “Semic Test”
                    ตามข้อตกลง หรือทีโออาร์ การอุดกลบบ่อบาดาลต้องใช้เนื้อซีเมนต์อุดกลบบ่อบาดาลตลอดระดับความลึกของบ่อ แต่กลับพบว่าเมื่อมีการสุ่มตรวจบ่อบาดาลที่มีการอุดกลบแล้วกลับพบว่าไม่ได้เป็นไปตามข้อตกลง เอกสารประกอบการเบิกจ่ายเงินก็ไม่เป็นไปตามจริง ในจำนวนนั้นมีจำนวนไม่น้อยพบพิรุธว่าอาจมีการปลอมแปลงเอกสารที่นำมาใช้ในการเบิกจ่ายเงิน
                    อย่างในพื้นที่บ้านหนองเรือ ต.เสือเฒ่า อ.เชียงยืน จ.มหาสารคาม หนึ่งในพื้นที่ที่ถูกซุ่มตรวจพบว่า บ่อบาดาลยังใช้งานได้ดี หากไม่ถูกอุดกลบเสียก่อนน่าจะพอเป็นแหล่งน้ำหนึ่งที่ช่วยบรรเทาวิกฤติแล้งให้แก่ประชาชนในพื้นที่ได้บ้าง แต่บ่อบาดาลที่นี่กลับถูกอุดกลบ เจ้าหน้าที่ใช้เครื่องมือประเมินความต่อเนื่องของเนื้อซีเมนต์ที่ใช้อุดกลบวัดได้เพียง 13.75 เมตร ทั้งที่บ่อแห่งนี้มีความลึก 36 เมตร
                    ไม่ต่างจากบ่อบาดาลที่ตั้งอยู่ในละแวกโรงเรียนบ้านบึงตะกาด อ.วังจันทร์ จ.ระยอง พิกัดหลุมที่ อี 770333 เอ็น 1436244 ความลึก 72 เมตร มีการรายงานว่าบ่อบาดาลแห่งนี้ชำรุดและมีน้ำน้อย เมื่อตรวจสอบความต่อเนื่องของเนื้อซีเมนต์พบมีเพียง 6-8 เมตร ห่างออกไปไม่มากนักใกล้กับโรงเรียนบ้านชุมแสง ต.ชุมแสง อ.วันจันทร์ จ.ระยอง พิกัดบ่อบาดาล อี 774320 เอ็น 1431870 ความลึกของบ่อ 72 เมตร พบเนื้อซีเมนต์อยู่ในระดับ 4-7 เมตร เท่านั้น
                    “ตอนที่เจ้าหน้าที่เอาเอกสารมาให้เซ็นยินยอมให้รื้อถอนบ่อบาดาลและดำเนินการอุดกลบไม่มีการเป่าล้างเพื่อทำความสะอาดบ่อบาดาลตามขั้นตอน ไม่เห็นมีอุปกรณ์หรือเครื่องไม้เครื่องมือที่บ่งบอกว่าต้องใช้ในงานอุดกลบบ่อบาดาลแต่อย่างใด ส่วนภาพที่อยู่ในรายงานผลการดำเนินการประกอบการเบิกจ่ายงบประมาณมันไม่ตรงกับพื้นที่” ผู้พักอาศัยใกล้บ่อบาดาลที่ผ่านการอุดกลบแล้วใน จ.ระยอง ให้ข้อมูล
                    สอดคล้องกับ พล.อ.จรัมพร ที่ยืนยันว่า การสุ่มตรวจบ่อบาดาลที่มีการอุดกลบแล้วหลายพื้นที่ทั้งใน จ.ขอนแก่น จ.มหาสารคาม จ.ชลบุรี และ จ.นครปฐม พบปัญหาการทุจริตไม่เเตกต่างกันวิธีการอุดกลบคล้ายกัน ปกติการอุดกลบบ่อบาดาลตามมาตรฐานจะใช้เวลาทำงาน 2 วัน แต่ผู้รับเหมาเข้าไปทำงานไม่ถึงครึ่งวัน เมื่อนำเครื่องมือประเมินความต่อเนื่องของซีเมนต์เข้าไปตรวจวัดพบไม่เป็นไปตามข้อตกลง คือต้องอุดกลบด้วยซีเมนต์เต็มตลอดความลึกของบ่อ บางบ่อลึกถึง 70 เมตร แต่พบความหนาแน่นของเนื้อซีเมนต์เพียง 50 เซนติเมตร เมื่อเปิดบ่อดูพบมีทราย มีดิน แทน ทั้งที่ตามมาตรฐานต้องเป็นน้ำปูนมอร์ตาร์เท่านั้น
                    “สิ่งที่เราพบคือความไม่ตรงไปตรงมา เช่น ในทีโออาร์บอกว่า จะต้องมีการเป่าล้างบ่อในกรณีน้ำปนเปื้อนหรือเป็นสนิม ซึ่งเราก็ได้รับทราบว่าหลายที่ที่เราไปไม่มีการล้างบ่อ เพราะต้องใช้เวลา 4-5 ชั่วโมง มากกว่านั้น การที่จะใช้ปูนก็ต้องเป็นเครื่องอัด ปูนก็ต้องเป็นปูนผสมน้ำอย่างเดียว คือ น้ำประมาณ 20-25 ลิตร ต่อ ปูน 1 ถุง แล้วอัดจากข้างล่างขึ้นมาข้างบน น้ำปูนจะล้นขึ้นมา แต่บางพื้นที่ที่เข้าไปตรวจสอบมีการผสมปูนหรือวัสดุอื่น อาจจะเป็น ทราย เทกลบปากหลุมแล้วปิดปากบ่อ แล้วบันทึกข้อมูลแท่นปากบ่อ ปัญหาที่จะตามมาคือการอุดกลบบ่อบาดาลที่ไม่ได้มาตรฐานอาจทำให้เกิดการปนเปื้อนในชั้นน้ำบาดาลได้” พล.ต.อ.จรัมพร กล่าว
                    การตรวจสอบยังพบการปลอมเอกสารประกอบฎีกา เบิกงบประมาณ เช่น ใบเสร็จค่าวัสดุ ซึ่งไม่ตรงกับของร้านค้าที่ระบุไว้ ใบเสร็จค่าน้ำมันมีการปลอมแปลงขึ้น มีการระบุราคาน้ำมันที่แตกต่างจากราคาน้ำมันที่จำหน่ายกันในท้องตลาดในระยะเวลานั้น
                    “บางพื้นที่ตรวจพบว่าบิลที่เบิกค่าน้ำมันเป็นบิลที่ดูเหมือนจริงแต่เมื่อไปเทียบกับบิลของร้านค้าหรือปั๊มน้ำมันชื่อปั๊มตรงแต่ลักษณะบิลไม่ตรง ราคาก็ไม่ตรงกับราคาน้ำมันรายวัน ใบเสร็จค่าวัสดุมีการปลอมขึ้นมา เมื่อนำไปสอบถามกับร้านค้าได้รับการยืนยันว่าไม่ใช่ของทางร้าน” พล.ต.อ.จรัมพร กล่าว
                    ท่ามกลางข้อกล่าวหาและเสียงวิจารณ์เกี่ยวการทุจริตในโครงการนี้ นายสุพจน์ เจิมสวัสดิพงษ์ อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาล ยืนยันว่า มีการวางมาตรการในการกำกับควบคุมทั้งในเรื่องขั้นตอนการอุดกลบบ่อน้ำบาลที่ต้องได้มาตรฐาน หรือทีโออาร์ โดยการดำเนินงานเริ่มตั้งเเต่การสำรวจว่า เเต่ละพื้นที่มีบ่อน้ำบาดาลอยู่จุดไหน บ่อมีความลึกเท่าไหร่ รวมทั้งการทำหนังสือยินยอม เพราะบางพื้นที่ที่เป็นที่ที่มีเจ้าของ ในหนังสือรายงานผลก็ต้องมีชื่อผู้ปฏิบัติการ เเละผู้อำนวยการเขตลงนาม เเละมีพยานถึง 4 คน ทั้งเจ้าหน้าที่ของท้องถิ่น ประชาชนในพื้นที่ ที่ต้องร่วมกันลงนามในรายงานการปฏิบัติงาน นอกจากนั้นก็ยังมีการรายงานที่ประกอบไปกับภาพถ่ายตั้งเเต่ก่อนดำเนินงาน ระหว่างดำเนินงาน เเละหลังดำเนินงาน ทุกอย่างได้เตรียมการไว้เป็นอย่างดี เมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้ได้มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวน หากพบมีความผิดก็จะถูกลงโทษทางวินัยที่มีระเบียบขั้นตอน
                    น่าจับตาอย่างยิ่งยวดงบประมาณแผ่นดินกว่า 100 ล้านบาท ในโครงการนี้ถูกนำไปใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินจริงหรือไม่
——————–
(เรื่องเล่าข่าวดัง : ซ้ำ…วิกฤติแล้ง ทุจริตกลบบ่อบาดาล : โดย…กมลชนก ทีฆะกุล)

เวทีสันติภาพโลกถกต้านสงคราม-ก่อการร้าย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/detail/20160221/222811.html

การเมือง : ข่าวทั่วไป
วันอาทิตย์ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2559
เวทีสันติภาพโลกถกต้านสงคราม-ก่อการร้าย
เวทีสันติภาพโลกถกต้านสงคราม-ก่อการร้าย

เวทีสันติภาพโลกถกต้านสงคราม-ก่อการร้าย : เรื่องเล่าข่าวดัง โดยพรรณทิพา จิตราวุฒิพร

 

ความระหองระแหงที่มีมาอย่างยาวนานระหว่างเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ ทำให้กลิ่นอายสงครามไม่เคยห่างหายจากคาบสมุทรเกาหลี กองกำลังของทั้งสองฝ่ายจ่อประชิดตะเข็บชายแดนพร้อมประจันหน้ากันได้ทุกเมื่อ

อุณหภูมิที่คุกรุ่นสุ่มเสี่ยงที่ไฟสงครามจะลุกโชนในแถบนี้ จึงกลายเป็นประเด็นแรกๆ ที่ถูกหยิบยกมาถกกันในเวทีการประชุม “บทบาทของสื่อในการสร้างสันติภาพโลก” (The role of the media in creating world peace) ซึ่งจัดขึ้นที่กรุงโซล เกาหลีใต้ ระหว่างวันที่ 11-16 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา โดยสหพันธ์สันติภาพสากล ซึ่งมีตัวแทนจาก 197 ประเทศ ที่เป็นสมาชิก รวมถึงตัวแทนจากประเทศไทย รวมกว่า 500 ราย เข้าร่วมประชุมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเพื่อหาแนวทางในการผลักดันให้เกิดสันติภาพบนโลกใบนี้

พล.ต.ท.ทวีศักดิ์ ตู้จินดา อนุกรรมการศึกษาฝ่ายบริหารคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ในฐานะกรรมการมูลนิธิสหพันธ์สันติภาพสากล (ประเทศไทย) หนึ่งในตัวแทนจากประเทศไทยที่เข้าร่วมประชุมในครั้งนี้ ระบุว่า มีกลุ่มผู้นำทางศาสนา ผู้นำของรัฐบาล ผู้นำทางรัฐสภาทั้งในอดีตและปัจจุบันที่ยังดำรงตำแหน่ง รวมถึงตัวแทนสื่อมวลชนจากประเทศสมาชิกเข้าร่วมประชุมเพื่อเสนอแนวคิดในการผลักดันให้รัฐบาลของประเทศนั้นๆ ดำเนินนโยบายที่ไม่เป็นการเบียดเบียนระหว่างกัน ซึ่งเชื่อว่าหากทำได้จะเกิดสันติภาพขึ้น

“ย้อนไปเมื่อ 5 ปีที่แล้ว เกาหลีใต้กับญี่ปุ่นเคยบาดหมางกัน แต่เมื่อมีการประชุมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างกันก็มีความสัมพันธ์ที่ดีขึ้น ซึ่งนั้นถือเป็นตัวอย่างหนึ่งที่นำมาสู่สันติภาพ หลังจากนี้ทางสหพันธ์สันติภาพสากลกำลังมีความพยายามในการจัดประชุมเพื่อให้มีการแลกเปลี่ยนกันเกี่ยวกับปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ จะทำอย่างไรจะสะท้อนให้เห็นว่าเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้สามารถอยู่กันอย่างสมานฉันท์ เพื่อสะท้อนไปถึงผู้นำและประชาชนในเกาหลีเหนือ ขณะเดียวกันก็แสวงหาความร่วมมือประชาชนเกาหลีใต้และประชาชนในภาคพื้นเอเชียให้ช่วยกันสนับสนุน” พล.ต.ท.ทวีศักดิ์ กล่าว

กรรมการมูลนิธิสหพันธ์สันติภาพสากล (แห่งประเทศไทย) บอกด้วยว่า ปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ เกิดในระดับรัฐบาลเท่านั้น แต่ในระดับประชาชนไม่ได้มีปัญหา แต่กลับตรงกันข้าม เพราะผู้คนทั้งสองประเทศมีความพยายามที่จะเชื่อมความสัมพันธ์กัน แต่ยอมรับว่าเป็นเรื่องยากลำบาก เพราะคนของเกาหลีเหนืออยู่ในกำกับดูแลของรัฐบาล ซึ่งค่อนข้างจะเข้มงวด ซึ่งการจัดประชุมในลักษณะนี้จะมีขึ้นทุกปี เพื่อสื่อให้เห็นแนวคิดการรวมพลังให้เกิดขึ้นในสังคมโลก อย่างประเทศเกาหลีเหนือกับเกาหลีใต้ จะทำอย่างไรที่จะให้สมาชิกรัฐสภาที่มาร่วมประชุม 50-60 ประเทศ จะได้แสดงจุดยืนและมีมติว่าให้ประเทศเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ควรดำรงความสัมพันธ์กัน

“เมื่อ 3 อาทิตย์ที่ผ่านมา ประเทศเกาหลีเหนือมีการยิงจรวดดาวเทียมขึ้นไปในอวกาศศักยภาพที่ติดขีปนาวุธรบนิวเคลียร์ ซึ่งจะก่อให้เกิดความไม่มั่นคง และเกิดหวาดกลัวแก่ประชาชนในเกาหลีใต้ รวมทั้งประเทศใกล้เคียง จุดประสงค์การประชุมครั้งนี้ที่เชิญสมาชิกรัฐสภาประเทศต่างๆ มา เชิญตัวแทนสื่อมวลชนแต่ละประเทศรับรู้รับทราบเสนอแนวคิด เพื่อสื่อจะได้สะท้อนไปถึงผู้นำเกาหลีเหนือ ให้ล้มเลิกแนวคิด แต่ถ้าคุณทำเพื่อการวิทยาศาสตร์หรือการสื่อสารโทรคมนาคมเพื่อพัฒนาประเทศก็ไม่เป็นอะไร แต่อย่าแปรผันในการยิงจรวดมาผลิตเป็นอาวุธนิวเคลียร์” พล.ต.ท.ทวีศักดิ์ กล่าว

นอกจากปัญหาคาบสมุทรเกาหลีแล้ว การคุกคามของขบวนการก่อการร้ายที่มีผลมาจากการอ้างศาสนาตามความเชื่อที่ผิด ซึ่งกำลังเป็นภัยคุกคามภูมิภาคอาเซียนในเวลานี้ ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดคุยในเวทีนี้ โดย มาธินี รามาน โปรดิวเซอร์สถานีโทรทัศน์ช่อง 3 มาเลเซีย โดยเธอ อ้างว่า มาเลเซียมีมาตรการในการดำเนินการกับผู้ก่อการร้าย โดยแบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอน 1.การจับกุม 2.การฟื้นฟู เข้าโครงการฟื้นฟูของรัฐ และ 3. เตรียมตัวกลับเข้าสู่สังคม คือการทำให้สังคมยอมรับคนเหล่านี้กลับสู่สังคมได้อย่างเป็นคนปกติ ทางการจึงได้หาต้นเหตุขอคนที่เปลี่ยนแปลงไปเป็นพวกกลุ่มรุนแรง โดยเบี่ยงเบนคำสอนของศาสนา ซึ่งความเป็นจริงต้องทำความเข้าใจกับคำสอนในคำภีร์อัลกุรอานให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน

“จีฮัดไม่ได้หมายความว่าไปทำสงครามศักดิ์สิทธิ์ แต่หมายความว่าเป็นความเพียรพยายามตั้งใจที่จะทำในสิ่งที่ดีที่สุดได้ผลดีที่สุด เพราะการที่ไปฆ่าคน ทำลายสิ่งของ หรือทำให้คนอื่นเสียใจจะได้ขึ้นสวรรค์ ทางประเทศมาเลเซียไม่ได้มีความเชื่อแบบนั้น แต่ทางมาเลเซียจะนำคำสอนที่ถูกต้องให้ความรู้แก่ประชาชน ต่อต้านกลุ่มไอเอส ต่อต้านความรุนแรงทุกรูปแบบ” ตัวแทนจากประเทศมาเลเซีย กล่าว

ชามาลา มิฮิรี รัตนายาคา นักข่าวจากประเทศศรีลังกา ระบุว่า ก่อนหน้านี้กลุ่มพยัคฆ์ทมิฬอีแลมได้สังหารเจ้าหน้าที่ระดับสูงถึง 89 คน และผู้นำโลก 2 คน รวมถึงนายราจีฟ คานธี ประธานาธิบดีของอินเดีย เมื่อปี 1993 ซึ่งเป็นกลุ่มก่อการร้ายที่เป็นต้นคิดประดิษฐ์สายเข็มขัดระเบิดพลีชีพ และใช้ผู้หญิงก่อการร้ายโดยการพลีชีพ ประเทศเขาไม่ยอมที่จะยอมแพ้กับกลุ่มคนเหล่านี้

ในฐานะสื่อมวลชน ผู้สื่อข่าวชาวศรีลังการายนี้ บอกว่า ในการรายงานข่าวจะมุ่งเน้นเรื่องจริยธรรมของสื่อมวลชน โดยจะไม่รายงานวิธีการสืบสวนของตำรวจออกสื่อ เพราะจะทำให้ผู้ก่อการร้ายรู้ระบบการสืบสวน ซึ่งจะทำให้คนร้ายปรับเปลี่ยนวิธีการก่อการร้ายที่พัฒนาขึ้น ส่งผลให้ตำรวจทำงานได้ยากขึ้นด้วย

ในการประชุมครั้งนี้นอกจากจะมีการหยิบยกปัญหาความรุนแรงระหว่างประเทศมาพูดคุยแล้ว ยังมีการพูดคุยถึงปัญหาภายในประเทศด้วย ซึ่งหนึ่งในปัญหานั้นคือความรุนแรงภายในครอบครัวที่ระยะหลังพบว่ามีปัญหาค่อนข้างมากในแทบทุกประเทศ โดยในไทยมีสถิติเพิ่มขึ้นทุกปี ซึ่งความรุนแรงในครอบครัวนี้นำไปสู่การนอกใจคู่ครอง และการหย่าร้างในที่สุด ไม่ใช่เฉพาะคู่สามีภรรยาเท่านั้น ปัญหานี้ยังนำไปสู่การขาดความอบอุ่นในเด็กและเยาวชน ลุกลามไปสู่การชิงสุกก่อนห่าม เพราะขาดการดูแลที่ดี ส่งผลให้เกิดปัญหาสังคมตามมาหลายด้าน

พล.อ.เทอดศักดิ์ มารมย์ ประธานมูลนิธิสหพันธ์สันติภาพสากล (ประเทศไทย) หรือ ยูพีเอฟ กล่าวว่า เป้าหมายขององค์กรต้องการสร้างสันติภาพและความสงบสุขให้แก่ประชาชน โดยจุดเริ่มต้นของโครงการนี้เริ่มจากครอบครัวขยายต่อยังชุมชน หมู่บ้าน ตำบล อำเภอ และจังหวัด ซึ่งได้รับความร่วมมือจากทางจังหวัดเป็นอย่างดี จึงได้ให้ความรู้ พร้อมกับนำศาสนาทั้ง 5 ศาสนา คือ พุทธ คริสต์ อิสลาม พราหมณ์-ฮินดู และซิกข์ มายึดเหนี่ยวจิตใจให้คนเกิดความรักกัน

ก่อนหน้านี้มูลนิธิได้จัดกิจกรรมขึ้นที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา โดยให้คู่สมรสทั้งที่แต่งงานกันมา 50 ปี หรือแต่งงานได้ไม่นานเข้าไปฟื้นฟูความรัก ทั้งหมด 1,000 คู่รัก ซึ่งคู่รักทั้งหมดเมื่อเข้าพิธีแล้วก็จะรู้สึกเกิดความรักกันมากขึ้น จากนั้นจึงได้ขึ้นภาคเหนือและภาคอีสาน ในการทำกิจกรรมเดียวกัน ขณะนี้ดำเนินการมาแล้วกว่า 50 จังหวัดทั่วประเทศและมีเป้าหมายไปให้ครบ 77 จังหวัด รวมถึงในพื้นที่กรุงเทพมหานครในหลายเขตที่ได้ดำเนินการไปแล้ว ถือเป็นทางช่วยเหลือสถาบันครอบครัวของรัฐบาลในทางอ้อม ซึ่งประสบความสำเร็จขึ้นเรื่อยๆ เพราะเป็นความรู้เกี่ยวกับการดำรงชีพ ดำรงชีวิตในครอบครัวให้มีความอบอุ่น เข้มแข็ง เมื่อครอบครัวเข้มแข็งจะทำให้ชุมชน เมือง และประเทศชาติจะมีความเข้มแข็งต่อไป

“หากย้อนไปเมื่อ 5 ปีที่ผ่านมา แนวทางการให้ความช่วยเหลือประชาชนในครอบครัวต่างจังหวัดให้สามีภรรยารักเดียวใจเดียว ลูกไม่ชิงสุกก่อนห่าม เพื่อให้เขามีความพร้อมในการสร้างครอบครัว อันนี้คือกิจกรรมที่เข้าไปร่วม ในกิจกรรมของมูลนิธิก็ทำให้สังคมดีขึ้น และผลที่ตามมาในหลายด้านก็ดีขึ้นไปด้วยเช่นกัน” ประธานมูลนิธิสหพันธ์สันติภาพสากล (ประเทศไทย) กล่าว