ไปสู่ถนนดินลูกรัง : แมกไม้สองข้างถนน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/detail/20160413/225821.html

การเมือง : ข่าวทั่วไป
วันพุธที่ 13 เมษายน 2559
ไปสู่ถนนดินลูกรัง : แมกไม้สองข้างถนน

ไปสู่ถนนดินลูกรัง : แมกไม้สองข้างถนน : โดย…เฉลิมศักดิ์ แหงมงาม

                    ปีนี้ ภัยแล้งน่าจะหนักหน่วงกว่าทุกปี เพราะข่าวเกี่ยวกับแล้งร้อน ชนิดหนองน้ำเหือดสิ้นเกือบทุกภูมิภาค โหมกระหน่ำเกือบทุกสื่อ ไม่ว่ารายการวิทยุ ทีวี แล้งถึงขนาดจะไม่มีน้ำประปาใช้ในระยะอันใกล้ น้ำดิบใช้ทำน้ำประปา จะเหือดสิ้นเกือบทุกพื้นที่ในเร็ววันนี้
                    ผมเขียนถึงเรื่องดังกล่าวมาหลายบทความ ชักจะเป็นโรควิตกจริตไปกับข่าวที่สื่อโหมอย่างไม่ให้ตั้งตัว ยุคข้อมูลข่าวสาร ถั่งเทเข้ามาทุกสารทิศ อีกทั้งสังคมอินเทอร์เน็ต เฟซบุ๊ก ไลน์ ทวิตเตอร์ในมือถือ หลากหลายจนผมจำได้ไม่หวาดไหว อัดกันเข้าไปในสังคมมือถือ ผมว่าสังคมไทย จะเป็นโรคเครียดกันทั้งประเทศเป็นแน่ บางครั้งผมต้องนึกถึงพระเครื่องที่เก็บไว้ในตู้บูชาที่บ้าน ผมมีอยู่หลายองค์ “พระปิดตา” คนโบราณสร้างปริศนาธรรมไว้ในพระเครื่อง ปิดหูปิดตากันเสียบ้าง แล้วโลกจะน่าอยู่มากขึ้น
                    ความจริงป่าในเมืองไทย ไม่ถึงกับวิกฤติจนเกินไป แต่แนวโน้มการทำลาย ชักจะถี่มากขึ้นเรื่อยๆ บางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการสร้างถนน อยากได้งบประมาณ มีป่าในชุมชนอยู่ดีๆ เส้นทางเหมือนอุโมงค์แมกไม้ตลอดเส้นทาง ใครขับรถผ่านเข้าออกต่างชื่นชมในความร่มรื่นฉ่ำเย็น เหมือนเส้นทางขึ้นเขาใหญ่ วันดีคืนดี ข้าราชการหน่วยนั้น ก็ขอไปทำประชาคมกับประชาชน กำนันผู้ใหญ่ในพื้นที่ ขอทำถนนขนาดสี่เลนให้ อำเภอจะได้มีถนนซูเปอร์ไฮเวย์ผ่ากลางเข้ามาในอำเภอ เป็นที่เชิดหน้าชูตา เป็นศักดิ์เป็นศรีแก่อำเภอ
                    จากนั้น ก็เปิดโอกาสให้ประชาชนมีการอภิปรายพอหอมปากหอมคอ โดยเอาความไม่รู้ของประชาชน ที่หลงความเจริญทางวัตถุ ทำให้เวลาผ่านไปไม่นานนัก ก็มีการตัดไถป่าข้างทาง ขยายถนนขนาดสองเลนให้กว้างขึ้น กลับกลายเป็นถนนสี่เลน เพื่อจะทำให้รู้ว่า พวกเขาได้เข้ามาสร้างความเจริญให้แก่คนในพื้นที่แล้วนะ
                    ถนนอุโมงค์แมกไม้ที่เคยสร้างความชุ่มชื้นตลอดสองข้างทางเข้าอำเภอ หายไปในเวลาไม่ถึงเดือน หน่วยราชการเอาเครื่องจักรเครื่องกลเข้ามาทำการก่อสร้างอย่างรวดเร็ว ให้ทันกับปีงบประมาณที่ได้มา สิ่งที่ต้องทำในเบื้องต้นก็คือ รื้อแมกไม้สองข้างทางให้เหี้ยนเตียน ไม่ช้านัก เส้นทางหน้าหน่วยราชการในอำเภอเล็กๆ แห่งนั้น จึงมีเพียงถนนคอนกรีตร้อนๆ โชว์ความทันสมัย อุบัติภัยทางรถยนต์ไม่เคยเกิด ไม่มีใครเคยเสียชีวิตบนท้องถนน ก็เริ่มจะมีผู้คนมาตายเพราะรถชนกันถี่ขึ้นเรื่อยๆ
                    อยากจะบอกด้วยซ้ำไปว่า เงินงบประมาณรัฐบาลชักจะมากเกินขีดจำกัด ทำให้หน่วยราชการถือโอกาสคิดโครงการ เพื่อดูดเงินจากส่วนกลางเข้าพื้นที่ โดยไม่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและชีวิตผู้คน ชนบทในอำเภอเล็กๆ จึงเริ่มถูกรุกรานมากขึ้น ด้วยอำนาจของเงินตรา และค่านิยมทางวัตถุที่กำลังล้างผลาญแผ่นดินสงบร่มรื่นชนบท เกือบทุกภูมิภาคทั่วประเทศไทย ให้กลับกลายเป็นแผ่นดินแล้งร้อนในที่สุด ด้วยค่านิยมความทันสมัย
                    นี่ไม่ขอเขียนถึงถนนเข้าสู่เขตเศรษฐกิจพิเศษ ไม่ทันใจกับระบบโลจิสติกส์ของนักลงทุน ถึงขนาดบางพื้นที่ ระเบิดภูเขา ทำลายป่าไม้สองข้างทาง โดยอ้างความปลอดภัยบนท้องถนนของผู้บริหารในพื้นที่ สร้างเสร็จจะสร้างความปลอดภัยได้จริงหรือไม่ เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์
                    แต่สิ่งสูญเสีย คือทรัพยากรธรรมชาติที่ทำลายกันได้ทุกวัน สงสารประเทศไทยบ้างเถอะ อย่าโหมทำลายด้วยโครงการอภิมหาโปรเจกท์กันนักเลย
————————-
(ไปสู่ถนนดินลูกรัง : แมกไม้สองข้างถนน : โดย…เฉลิมศักดิ์ แหงมงาม)

ไฟโหมที่ชายป่า

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/detail/20160330/224986.html

การเมือง : ข่าวทั่วไป
วันพุธที่ 30 มีนาคม 2559
ไฟโหมที่ชายป่า

ไฟโหมที่ชายป่า : ไปสู่ถนนดินลูกรัง โดยเฉลิมศักดิ์ แหงมงาม

             เพิ่งอ่านเจอในเฟซบุ๊ก เรื่องไฟป่า ไหม้ลุกโหมลามเลียนับหลายวันติดต่อกันในเขตติดต่อระหว่างป่าแถบจังหวัดภาคกลาง ใช้น้ำดับเท่าไรก็ไม่หมด ผู้เดือดร้อนเกรงว่าไฟจะไหม้บ้านตนเองที่ปลูกอยู่ตรงชายป่า จึงส่งข้อความเข้าไปในเฟซบุ๊ก สะท้อนถึงบางสิ่งในธรรมชาติที่เปลี่ยนแปลงอย่างน่ากลัวมากยิ่งขึ้น

ธรรมชาติให้ความปรานีแก่มนุษย์น้อยลงทุกวัน เพราะโลกยุคนี้ ทำลายล้างธรรมชาติอย่างไม่ปรานีปราศรัย เน้นการบูชาเงินเป็นพระเจ้า

หนทางไหนที่ทำให้ได้เงินมากที่สุดก็บุกทำสิ่งนั้นมากที่สุดเช่นกัน เพื่อให้ได้มาซึ่งเงินตรา โดยไม่คำนึงถึงศีลธรรมความถูกต้อง สิ่งที่ทำมาหากิน ทำลายได้ง่าย ไม่มีใครฟ้องร้องจับกุมให้มากความก็คือ การทำลายล้างธรรมชาติ ไม่ว่า ตัดไม้ทำลายป่า เผาป่า หาของป่า ขุดหาแร่สินทรัพย์ใต้ดิน แหล่งน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อมาประเคนโรงงานอุตสาหกรรม ตัดถนน ใช้เป็นเส้นทางให้รถวิ่ง รวมถึงการระเบิดภูเขาเพื่อสร้างถนนประเคนเขตเศรษฐกิจพิเศษ รวมถึงการบุกรุกเข้าไปในเขตป่าสงวน ทำเกษตรกรรมพืชเชิงเดี่ยว การทำสนามกอล์ฟและรีสอร์ท

อีกไม่นานน่าจะมีมหกรรมไฟป่าลามไหม้เมืองอย่างแน่นอน เหมือนแถบสหรัฐหรือยุโรป ถ้าขืนคนไทยยังดิ้นรนสร้างความมั่นคงมั่งคั่งทางด้านเศรษฐกิจอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง

คราวหนึ่งที่ อ.หนองฮี จ.ร้อยเอ็ด เกิดไฟฟ้าลัดวงจร ไฟไหม้ที่ทำการองค์การบริหารส่วนตำบล ที่ทำการตั้งอยู่กลางป่า โชคดีเจ้าป่าเจ้าเขาเมตตา เผาเพียงบางส่วน ยังพอแก้ไขทัน อำเภอจึงสั่งให้ชี้แจงมาเป็นลายลักษณ์อักษร

อีกครั้งหนึ่ง ที่ที่ว่าการอำเภอสามเงา จ.ตาก บ้านพักสรรพากร ไม่รู้นึกอย่างไรไปสร้างบ้านพักหลังที่ว่าการอำเภอกลางป่า ไฟโหมกระหน่ำผ่านเข้ามาอย่างรุนแรง ผมอยู่เฝ้าอำเภอพอดี จึงช่วยบัญชาการให้หลายหน่วยงาน ช่วยกันเอารถดับเพลิงเข้ามาร่วมด้วยช่วยกัน ไฟล้อมตีคอกเข้ามายิ่งกว่าไฟนรก ยามเพลิงอุบัติ ลมร้ายจะโหมแรงกราดเกรี้ยวขึ้นทันที ตีลมวนวก เกือบถึงที่ว่าการอำเภอ โชคดีมีถนนดินลูกรังโอบล้อม เหมือนเป็นแนวกันไฟ ขนาดขอกำลังจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกแห่ง รวมถึงการไฟฟ้าเขื่อนภูมิพลมาระดมช่วยกันสุดความสามารถ ผมชอบที่นั่นที่แสดงถึงน้ำใจอย่างเปี่ยมล้น จึงสามารถดับไฟป่าได้ในที่สุด

ผมอยากจะย้ำว่า สภาพป่าปัจจุบันต่างจากอดีตเกือบสิ้นเชิง น้ำซึมน้ำซับหายไปจากป่าหมดสิ้น เหลือเพียงน้ำตามฤดูกาล เพราะป่าใหญ่ ต้นไม้ใหญ่หยั่งรากลึกๆ ดึงน้ำใต้ดินขึ้นมาหล่อเลี้ยงลำต้น ในผืนป่าแทบไม่มีหลงเหลือ แผ่นดินจึงแห้งกรอบ ใบไม้กรอบแห้ง ปลิวกระจายเกลื่อนกล่น นั่นคือเชื้อไฟอย่างดี

ไฟเผาป่า ไม่ใช่ไฟธรรมชาติ แต่คือไฟที่มนุษย์จุดขึ้น ไม่ว่าผู้ลักลอบถางป่าเพื่อทำพืชไร่ ค่านิยมผิดๆ ที่คิดว่าขี้เถ้าไฟคือปุ๋ยสำหรับหล่อเลี้ยงดิน รวมถึงพวกหาของป่า ไล่ล่าสัตว์กลางป่าแล้ง โดยไม่คำนึงถึงเพลิงผลาญที่กำลังรุกไล่ความเห็นแก่ตัวของมนุษย์

ทุกวันนี้ ขับรถออกไปต่างจังหวัด อากาศเหมือนฟ้าหลัว ไม่มีแสงแดด แรกๆ เข้าใจว่าฝนจะตก มองไปบนท้องฟ้า ไม่มีเมฆแม้เพียงก้อน แท้จริง…นั่นละ…หมอกควันสีดำกำลังครอบคลุมผืนฟ้า

ไม่นานแน่นอน…มหกรรมธรรมชาติเผาเมืองจะอุบัติ ถ้าคนไทยยังเห็นแก่ตัว.

มอเตอร์ไซค์ เมืองพะโค

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/detail/20160217/222599.html

การเมือง : ข่าวทั่วไป
วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ 2559
มอเตอร์ไซค์ เมืองพะโค

มอเตอร์ไซค์ เมืองพะโค : ไปสู่ถนนดินลูกรัง โดย… เฉลิมศักดิ์ แหงมงาม

นครย่างกุ้ง รัฐบาลพม่ากำหนดไม่ให้มีมอเตอร์ไซค์วิ่งพล่านบนถนนเป็นควายตื่นฝูง ดังนั้น จักรยานยนต์เด็กแว้นจึงมาอัดแน่นอยู่เมืองพะโค
          พะโคก็คือหงสาวดี เมืองหลวงพม่าในอดีตนั่นเอง ห่างจากนครย่างกุ้งไม่มากนัก ทัวร์ยอมจัดหารถบัสใหม่อย่างดีแอร์เย็นฉ่ำให้นั่งไปถึงเมืองพะโคได้
          เข้าสู่เมืองพะโคหรือหงสาวดีแล้ว ผมก็นึกถึงบุเรงนอง กษัตริย์ผู้ครองนครแห่งนี้ ผู้ได้รับฉายาว่า “ผู้ชนะสิบทิศ” จากนักเขียนไทยนามว่า “ยาขอบ” นักอ่านในอดีตติดตามอ่านกันอย่างงอมแงมเหมือนยาเสพติด ชนิดต้องยืนเข้าแถวซื้อหนังสือหน้าโรงพิมพ์ คนไทยส่วนใหญ่จึงรู้จักบุเรงนอง
          ผมมองฝูงมอเตอร์ไซค์บนถนนใจกลางเมืองพะโค ที่ถูกกดดันออกจากนครย่างกุ้ง กระเด็นกระดอนมาอยู่ที่นี่ น่าจะเป็นเพราะพะโคเป็นเมืองหลักของพม่าถัดๆ มา แต่ผมดูจำนวนรถแล้ว ไม่น่าจะมากมายเท่าเมืองไทย
          ประเทศพม่ากำหนดโซนการมีรถ รวมถึงต้องมีพื้นที่จอดรถเสียก่อนจึงจะซื้อรถได้ในย่างกุ้ง ทำให้นึกถึงปริมาณรถบ้านเราที่กำลังวิกฤติอยู่ในขณะเวลานี้
ผมดูข่าวทางทีวีสีช่อง 7 เกือบทุกเช้า เพราะเป็นเพียงช่องเดียวที่เสนอข่าวอุบัติเหตุบนท้องถนนได้อย่างเห็นภาพชัด ภาพมอเตอร์ไซค์ชนกับรถยนต์เป็นศพเรี่ยราดบนท้องถนน ทุเรศอุจาดตา รวมถึงรถบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์ขับฝ่าไฟแดง ชนปิกอัพโดยสาร ผู้คนกระเด็นกระดอนลงมาจากรถอย่างน่ากลัวอันตรายกลางสี่แยก
ไม่รู้ว่านายกรัฐมนตรีทนดูได้อย่างไร ถึงเวลาหรือยังที่เราจะลดจำนวนรถยนต์ รถมอเตอร์ไซค์บนท้องถนน หรือจะปล่อยให้คนไทยประสบอุบัติเหตุ ติดอันดับเบิ้ลที่หนึ่งของโลกก่อนหรือไง จึงจะยอมกำหนดโซน ชนิดรถ ที่จอดรถ ในแต่ละเมือง
          ทุกวันนี้ อุบัติเหตุบนท้องถนนนั้นรุนแรงกว่ายาเสพติดด้วยซ้ำ ไม่อย่างนั้นคงไม่มีนโยบาย 7 วันอันตรายในช่วงเทศกาล
          เวียดนามแม้มอเตอร์ไซค์จะมาก แต่เขาจำกัดความเร็วแรงอัดในเครื่องยนต์ มึงขับเร็ว รถดับทันที แต่ไทยไม่อย่างนั้น ช็อปเปอร์สิงห์มอเตอร์ไซค์ขับเร็วยิ่งกว่าจรวด คราวหนึ่งผมเห็นคนขับช็อปเปอร์นอนตายกลางถนน เพราะปะทะท้ายรถยนต์ที่จอดรอไฟแดงสี่แยกกลางถนนต่างจังหวัด
          เห็นแล้วผมได้แต่เศร้าหดหู่ ภาวนาอยู่ทุกวัน เมื่อไรรัฐบาลจะลดจำนวนรถบนท้องถนนในเมืองไทย
          เดี๋ยวนี้ ไม่ว่าบ้านนอก เมืองกรุงเหมือนกันทั้งนั้น ขับในกรุงเทพฯ ยังปลอดภัยเสียกว่า เพราะรถติดเป็นตังเมใช้ความเร็วไม่ได้
          พะโคหรือหงสาวดี รถกำลังทวีปริมาณ แต่ยังไม่มากเท่าไร ยังมีอากาศได้หายใจไม่มีคำว่ารถติด ไม่มีคำว่าความเร็วปานเครื่องบิน เพราะสังคมพม่ายังเป็นสังคมแห่งความเชื่องช้าสบายๆ เจริญทีหลัง ทำให้สามารถกำหนดได้ว่า ควรจะจัดการปัญหาการคมนาคมอย่างไร ไม่ใช่ปล่อยให้อุตสาหกรรมรถยนต์ครอบครองประเทศเหมือนไทยอยู่ในเวลานี้
          เขียนถึงพม่า ดันผ่ามาพูดปัญหาในสังคมไทย ผมนี่ชักจะเครียดแฮะ

สะเทิม..ก้าวย่างที่ต้องระมัดระวัง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/detail/20160203/221654.html

การเมือง : ข่าวทั่วไป
วันพุธที่ 3 กุมภาพันธ์ 2559
สะเทิม..ก้าวย่างที่ต้องระมัดระวัง

สะเทิม..ก้าวย่างที่ต้องระมัดระวัง : ‘ไปสู่ถนนดินลูกรัง’ โดย เฉลิมศักดิ์ แหงมงาม

           ถ้าเป็นประเทศไทย ต้องมีตึกสูงระฟ้าเป็นเครื่องหมายแต่ละจังหวัด อย่างน้อยๆ ต้องหกเจ็ดชั้นขึ้นไปถึงสิบกว่าชั้น ส่วนใหญ่น่าจะเป็นตึกโรงแรม ห้างสรรพสินค้า ที่นักธุรกิจเข้าไปลงทุนแต่ละจังหวัด เป็นเครื่องหมายแสดงถึงความเฟื่องฟูทางเศรษฐกิจ ธุรกิจและการลงทุน เป็นสัญลักษณ์ของโลกทุนนิยม

แต่เมืองสะเทิม เมืองหลวงรัฐชาวมอญ หรือผาอัน เมืองหลวงรัฐกะเหรี่ยง ไม่มีตึกทันสมัยขนาดหลายชั้นให้ได้เห็น มีเพียงบ้านไม้ ตึกแถวขนาดชั้นเดียว สองชั้นเสียส่วนใหญ่ บ้านไม้หลังเล็กๆ ขนาดสองชั้น บอกความสมถะมักน้อยสันโดษ ไม่ใช่บ้านสองชั้นโอ่โถงเหมือนคฤหาสน์อย่างแผ่นดินไทย แต่ความยิ่งใหญ่ของพม่า คือวัดวาอาราม เจดีย์ ปรากฏบนภูเขาสูงเสียดฟ้า เทือกเขาทอดเทือกเขียวชอุ่ม ยอดเจดีย์เห็นอยู่เป็นระยะ เอกลักษณ์พุทธศาสนา มีเจดีย์สีทองเหลืองอร่ามบนยอดเขาไปทั่วแทบทุกรัฐ

สะเทิมเป็นเมืองใหญ่รถราพลุกพล่านแล่นขวักไขว่ ตัวเมืองยังไม่เป็นระเบียบ ถนนลาดยาง คอนกรีตฟุตบาทยังไม่เต็มท้องถนน ทางเท้า ฝุ่นดินเป็นละอองสองข้างถนน ขยะสิ่งสกปรกมีให้เห็น บ้านเมืองจึงดูมอมแมม เหมือนเมืองเล็กๆ ในต่างจังหวัดของไทยเมื่อสามสิบปีก่อนหน้านี้

ทว่า เงาแห่งการลงทุน กำลังเข้าครอบงำสะเทิมอย่างรวดเร็ว ไม่ช้าสะเทิมจะกลายเป็นแผ่นดินทันสมัยแบบก้าวกระโดด เพราะผมเห็นมีผ้ายางพลาสติก โฆษณาไวนิล รูปดารา นักร้องชาวพม่า กับมือถือยี่ห้อดังสินค้าระดับสากล ที่วางขายเกลื่อนเมืองไทย ติดตามชายคาร้านค้า ข้างถนน บอกความทันสมัยเทคโนโลยีที่กำลังก้าวเข้ามาอย่างรวดเร็ว

ไม่รู้ว่า “สังคมก้มหน้า” เกิดขึ้นในแผ่นดินมอญแล้วหรือยัง ดูจากบรรยากาศผมว่าน่าจะยัง เพราะรัฐบาลพม่ายังคงควบคุมสื่อพอสมควร ไม่ว่า ทีวี โทรทัศน์ หรือเฟซบุ๊ก อินเทอร์เน็ต ไม่เสรีจ๋าเหมือนประเทศไทยเราขณะนี้ ที่ว่ากันให้เปรอะ กลับกลายเป็นสงครามทางความคิดไปทุกหย่อมหญ้า

บทเรียนในประเทศไทย น่าจะเป็นข้อมูลให้เขาได้ศึกษาทิศทางการพัฒนาประเทศชาติบ้านเมืองของเขาอย่างแน่นอน

เหมือน ลาว เขมร ที่ศึกษาบทเรียนจากแผ่นดินไทย โลกทุนนิยม ใช่จะวิเศษเลิศเลอไปเสียทั้งหมด สิ่งใดเขาควรหยิบไปใช้ สิ่งใดน่าจะหยุดมันตั้งแต่เริ่มต้น ไม่ใช่กลับกลายเป็นสังคมบูชาเงินเป็นพระเจ้า พัฒนาไปสู่สงครามทางความคิดและความแตกแยกภายในชาติ

แม้ถนนหนทางก็ตาม แผ่นดินพม่ายังเป็นถนนขนาดสองเลนเป็นส่วนใหญ่ จะให้โลจิสติกส์แบบทันสมัย ก็ไม่เห็นมันจะลดอุบัติเหตุบนท้องถนนได้แต่ประการใด สถิติอุบัติเหตุกลับยิ่งทบทวี แต่ถนนยางมะตอยแบบโบราณของพม่า สถิติอุบัติเหตุบนท้องถนนกลับมีน้อยและมีความปลอดภัยมากกว่า

เมืองสะเทิม เมืองหลวงชาวมอญ กำลังจะก้าวย่างเข้าสู่โลกทุนนิยม สังเกตรถราวิ่งขวักไขว่มากมายบนท้องถนน

เมืองยังดูสกปรก การเมืองท้องถิ่น น่าจะยังไม่มีบทบาท การค้าขายเป็นธรรมชาติ อาศัยความจริงใจเป็นที่ตั้ง

นักธุรกิจฝั่งตะวันตกแถบแม่สอดมักให้ข้อมูลเพื่อให้รัฐบาลไทยตระหนก การก้าวกระโดดทางการเมืองและเศรษฐกิจพม่า ถึงขนาดรถไฟความเร็วสูงปานเครื่องบินจะสร้างเสร็จก่อนพี่ไทยอย่างแน่นอน ถ้ารัฐบาลไทยยังคลานต้วมเตี้ยม ไม่สนับสนุนเงินลงทุนให้พื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษแม่สอด ไทยต้องเป็นประเทศล้าหลัง

คำว่า “ล้าหลัง” นั้น เสียหายที่ตรงไหน ทำให้ชาติบ้านเมืองถึงกับล่มจมกันเลยเชียวหรือ ผมเห็นแผ่นดินพม่า เขาก็ยังอยู่กันมาอย่างสงบร่มเย็น ก้าวย่างอย่างเชื่องช้า แต่มั่นคง