เช็กกำหนดการ ‘เทศกาลดิวาลี’ สัมผัสเสน่ห์ ลิตเติ้ล อินเดีย @ คลองโอ่งอ่าง

https://www.komchadluek.net/kom-lifestyle/travel/563386

เช็กกำหนดการ 'เทศกาลดิวาลี' สัมผัสเสน่ห์ ลิตเติ้ล อินเดีย @ คลองโอ่งอ่าง

เช็กกำหนดการ ‘เทศกาลดิวาลี’ สัมผัสเสน่ห์ ลิตเติ้ล อินเดีย @ คลองโอ่งอ่าง

15 พ.ย. 2566

‘เทศกาลดิวาลี’ ประจำปี 2566 ระหว่างวันที่ 17-19 พ.ย. ที่ คลองโอ่งอ่าง ถนนพาหุรัด มีกิจกรรมต่างๆ ที่น่าสนใจมากมาย ไปดูเลยมีอะไรบ้าง

ปีนี้ กระทรวงวัฒนธรรม เป็นเจ้าภาพร่วมกับ สมาคมอินเดียแห่งประเทศไทย และองค์การทางศาสนา และภาครัฐอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง มีกำหนดจัดงานเพื่อเฉลิมฉลอง “เทศกาลดิวาลี” ประจำปี 2566 ถึง 2 ช่วงด้วยกัน โดยในช่วงแรกระหว่างวันที่ 10-12 พ.ย. ที่ห้างสรรพสินค้าเอ็มควอเทียร์ ชั้น G เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร และช่วงที่สอง ระหว่างวันที่ 17-19 พ.ย. ที่ คลองโอ่งอ่าง ถนนพาหุรัด จะมีการนำเสนอเทศกาลดิวาลี ในมิติทางศาสนาและวัฒนธรรม

ภายในงานเฉลิมฉลอง “เทศกาลดิวาลี” ประจำปี 2566 จะมีกิจกรรมการจัดแสดงนิทรรศการเพื่อเผยแพร่องค์ความรู้ในมิติศาสนาของทั้งศาสนาพราหมณ์-ฮินดู และศาสนาซิกข์ เพื่อสนับสนุนส่งเสริมองค์การทางศาสนาให้ร่วมดำเนินงานส่งเสริมเผยแพร่ความรู้ด้านศาสนา และกิจกรรมในมิติศาสนาตามความเชื่อ ได้แก่ การบูชาองค์เทพของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ลานกิจกรรมจุดประทีปในสวนแห่งศรัทธาตามหลักศาสนาเพื่อเฉลิมฉลองเทศกาลดิวาลี นิทรรศการเผยแพร่องค์ความรู้ทางศาสนาพราหมณ์-ฮินดู และศาสนาซิกข์ และกิจกรรมเส้นทางท่องเที่ยวในศาสนสถานย่าน ลิตเติ้ล อินเดีย รวมถึงการร่วมอุดหนุนสินค้ากระตุ้นเศรษฐกิจ กว่า 100 ร้านค้า ชมศิลปะการแสดงภารตะในเชิงพหุวัฒนธรรม รวมถึงมหกรรมสินค้านานาชนิดจากผู้ประกอบการสะพานเหล็ก

กำหนดการ เทศกาลดิวาลี กรุงเทพมหานคร  วันที่ 17 – 19 พ.ย. 2566 ณ คลองโอ่งอ่าง (โซนลิตเติ้ลอินเดีย) เขตพระนคร

วันศุกร์ที่ 17 พ.ย. 2566 (17 November 2023)

10.00 น. เริ่มสวดมนต์เฉลิมฉลองวันดิวาลี (Morning prayer)

11.00 น. เปิดบูธขายสินค้าและอาหารอินเดีย (Open Incredible India Zone)

13.00 น. การแสดงเชิงพหุวัฒนธรรม (Culture Shows & Activities)

17.00 น. พิธีเปิดงานเทศกาล (Grand opening ceremony)

19.00 น. บอลีวูดมินิคอนเสิร์ต – ดีเจ (Bollywood Night)

21.00 น. จบงาน (End)

วันเสาร์ที่ 18 พ.ย. 2566 (18 November 2023)

10.00 น. เริ่มสวดมนต์เฉลิมฉลองวันดีวาลี (Morning prayer)

11.00 น. เปิดบูธขายสินค้าและอาหารอินเดีย (Open Incredible India Zone)

13.00 น. การแสดงเชิงพหุวัฒนธรรม (Culture Shows & Activities)

19.00 น. ปัญจาบีมินิคอนเสิร์ต – ดีเจ (Bhangra Night)

21.00 น. จบงาน (End)

วันอาทิตย์ที่ 19 พ.ย. 2566 (19 November 2023)

10.00 น. เริ่มสวดมนต์เฉลิมฉลองวันดิวาลี (Morning prayer)

11.00 น. เปิดบูธขายสินค้าและอาหารอินเดีย (Open Incredible India Zone)

13.00 น. การแสดงเชิงพหุวัฒนธรรม (Culture Shows & Activities)

19.00 น. วงดนตรี – ดีเจแนวอินเดียคลาสสิค (Sufi Night)

21.00 น. จบงาน (End)

ชวนเที่ยว ‘เทศกาลดิวาลี’ เสน่ห์แห่งสีสัน @ คลองโอ่งอ่าง 17-19 พ.ย.นี้

https://www.komchadluek.net/kom-lifestyle/travel/563378

ชวนเที่ยว 'เทศกาลดิวาลี' เสน่ห์แห่งสีสัน @ คลองโอ่งอ่าง 17-19 พ.ย.นี้

ชวนเที่ยว ‘เทศกาลดิวาลี’ เสน่ห์แห่งสีสัน @ คลองโอ่งอ่าง 17-19 พ.ย.นี้

15 พ.ย. 2566

วธ. ร่วมกับ สมาคมอินเดียแห่งประเทศไทย และองค์การทางศาสนา กำหนดจัดงานเฉลิมฉลอง ‘เทศกาลดิวาลี’ เทศกาลแห่งแสงสี จากแดนภารตะ ประจำปี 2566 วันที่ 17 – 19 พ.ย. ที่ คลองโอ่งอ่าง

“เทศกาลดิวาลี” คือ ประเพณีปีใหม่ของชาวฮินดูที่เก่าแก่ ซึ่งตรงกับวันอมาวัสยา หรือวันเดือนดับในเดือน 8 ตามระบบปฏิทินฮินดู จัดขึ้นเพื่อทำการบูชาขอพรพระแม่ลักษมี เทวีแห่งโชคลาภ ทรัพย์สิน เงินทอง และพระพิฆเนศ เทพเจ้าแห่งความสำเร็จ ในวันนี้ชาวฮินดูจะทำการบูชาองค์เทพด้วยแสงไฟจากตะเกียงประทีป โดยจุดให้สว่างตลอดวันตลอดคืน เพื่อขอให้ประทานพรแก่ผู้สักการะบูชา นอกจากนี้ยังเป็นการเฉลิมฉลองตามตำนาน คัมภีร์รามายณะ ซึ่งมีตำนานว่าเมื่อพระรามสู้รบกับเหล่าอสูรจนมีชัยแล้วก็ได้เดินทางกลับมาสู่อาณาจักรอโยธยาในคืนเดือนมืด จึงมีการเฉลิมฉลองชัยชนะด้วยไฟกันทั่วทั้งอาณาจักรอโยธยา เพื่อนำทางทัพพระรามกลับสู่อาณาจักร

ชวนเที่ยว \'เทศกาลดิวาลี\' เสน่ห์แห่งสีสัน @ คลองโอ่งอ่าง 17-19 พ.ย.นี้

ด้วยเหตุนี้ เทศกาลดิวาลี จึงเป็นเทศกาลแห่งแสงสว่าง แสงไฟ และความรื่นเริงมีการจุดประทีปเป็นสัญลักษณ์การเฉลิมฉลองชัยชนะของคุณงามความดีที่มีต่อความชั่วร้าย และแสงสว่างที่อยู่เหนือความมืดมน ผู้คนนิยมแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าใหม่ๆ มีการจุดตะเกียงเพื่อให้เกิดความสว่างไสวไปทั้งบ้าน รวมถึงการชำระปัดกวาดสถานที่ให้สะอาด เพื่อเตรียมรับสิ่งดีๆ ให้เข้ามาในบ้านเรือนหลังนั้นๆ ในขณะที่ผู้ที่นับถือศาสนาซิกข์ก็จะเฉลิมฉลองเทศกาลดิวาลีด้วยเหตุผลความเชื่อที่ต่างไป โดยจะเรียกว่าวัน “บัณดิ โชรฺ ดิวัส” หรือวันปลดปล่อยเพื่ออิสรภาพและสิทธิอันเท่าเทียมกัน ซึ่งเป็นวันที่คุรุ ฮัร โควินท์ ซาฮิบ ศาสดาองค์ที่ 6 ของศาสนาซิกข์ ได้รับการปลดปล่อยจากการจองจำของจักรวรรดิโมกุล โดยศาสนิกชนชาวซิกข์จะมีการทำพิธีสวดอัรดาส และสวดกีรตันขอพรร่วมกันที่คุรุดวาราศาสนสถานในศาสนาซิกข์

ในปีนี้ กระทรวงวัฒนธรรม ได้เป็นเจ้าภาพ ร่วมกับ สมาคมอินเดียแห่งประเทศไทย และองค์การทางศาสนา และภาครัฐอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง มีกำหนดจัดงานเพื่อเฉลิมฉลอง เทศกาลดิวาลี ประจำปี 2566 ถึง 2 ช่วงด้วยกัน โดยในช่วงแรกเมื่อวันที่ 10-12 พ.ย. ที่ห้างสรรพสินค้าเอ็มควอเทียร์ ชั้น G เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร และช่วงที่สอง ระหว่างวันที่ 17-19 พ.ย. ที่ คลองโอ่งอ่าง ถนนพาหุรัด จะมีการนำเสนอเทศกาลดิวาลี ในมิติทางศาสนาและวัฒนธรรม

ชวนเที่ยว \'เทศกาลดิวาลี\' เสน่ห์แห่งสีสัน @ คลองโอ่งอ่าง 17-19 พ.ย.นี้

ภายในงานจะมีกิจกรรมการจัดแสดงนิทรรศการเพื่อเผยแพร่องค์ความรู้ในมิติศาสนาของทั้งศาสนาพราหมณ์-ฮินดู และศาสนาซิกข์ เพื่อสนับสนุนส่งเสริมองค์การทางศาสนาให้ร่วมดำเนินงานส่งเสริมเผยแพร่ความรู้ด้านศาสนา และกิจกรรมในมิติศาสนาตามความเชื่อ ได้แก่ การบูชาองค์เทพของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ลานกิจกรรมจุดประทีปในสวนแห่งศรัทธาตามหลักศาสนาเพื่อเฉลิมฉลองเทศกาลดิวาลี นิทรรศการเผยแพร่องค์ความรู้ทางศาสนาพราหมณ์-ฮินดู และศาสนาซิกข์ และกิจกรรมเส้นทางท่องเที่ยวในศาสนสถานย่าน ลิตเติ้ล อินเดีย รวมถึงการร่วมอุดหนุนสินค้ากระตุ้นเศรษฐกิจ กว่า 100 ร้านค้า ชมศิลปะการแสดงภารตะในเชิงพหุวัฒนธรรม รวมถึงมหกรรมสินค้านานาชนิดจากผู้ประกอบการสะพานเหล็ก

โครงการเสน่ห์แห่งสีสัน เทศกาลแห่งศรัทธา ภายใต้การจัดกิจกรรมเทศกาลของศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู ร่วมด้วยศาสนาซิกข์ เป็นการส่งเสริมให้ศาสนิกชนได้ปฏิบัติศาสนกิจตามศาสนา อันเป็นการสร้างความเข้มแข็งของสถาบันศาสนาให้เป็นเสาหลักที่จะสร้างสรรค์สังคมที่มีคุณธรรม ศาสนิกชนทุกศาสนาอยู่ร่วมกันด้วยความรักสามัคคีสืบต่อไป ทั้งยังเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวและเทศกาลในมิติทางศาสนา เป็นการยกระดับเทศกาลประเพณีให้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง สนับสนุนผู้ประกอบการท้องถิ่นด้านเศรษฐกิจวิถีชีวิตและวัฒนธรรมที่หลากหลาย และก่อให้เกิดความศรัทธาและความเชื่อ ที่จะช่วยส่งเสริมรายได้ให้กับผู้ประกอบการในการขายสินค้าและบริการต่างๆ ก่อให้เกิด สร้างรายได้จากการท่องเที่ยวในมิติศาสนา ส่งผลให้ประเทศไทยมีความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน

3 เมืองยอดนิยม ‘เที่ยวคนเดียว’ เฉลิมฉลอง ‘วันคนโสด’

https://www.komchadluek.net/kom-lifestyle/travel/563069

3 เมืองยอดนิยม 'เที่ยวคนเดียว' เฉลิมฉลอง 'วันคนโสด'

3 เมืองยอดนิยม ‘เที่ยวคนเดียว’ เฉลิมฉลอง ‘วันคนโสด’

10 พ.ย. 2566

อโกด้า เผย 3 อันดับเมืองฮิตของนักท่องเที่ยวไทยที่ ‘เที่ยวคนเดียว’ พร้อมเผย 3 เมืองยอดนิยมของนักท่องเที่ยวในภูมิภาค เอเชีย-แปซิฟิก ที่ ‘เที่ยวคนเดียว’ ช่วง ‘วันคนโสด’ 11 พ.ย. 2566

เพราะการเดินทางท่องเที่ยวมีหลายรูปแบบ เช่น ไปพักผ่อนกันเป็นคู่ และไปสนุกกันเป็นแก๊ง และเนื่องในโอกาส วันคนโสด ซึ่งตรงกับวันที่ 11 พ.ย. ของทุกปี เป็นเหมือนวันหยุดที่ไม่เป็นทางการ มีต้นกำเนิดจากประเทศจีน จัดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลอง คนโสด ที่ไม่ได้มีความสัมพันธ์แบบโรแมนติกกับใคร และในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ผู้คนทั่วโลกหันมาสนใจวันคนโสดกันมากขึ้น อโกด้า แพลตฟอร์มดิจิทัลสำหรับการเดินทางท่องเที่ยว จึงขอแชร์จุดหมายปลายทางยอดนิยมของคนเที่ยวคนเดียวเป็นไอเดีย โดยสำหรับนักท่องเที่ยวไทย เมืองฮิต 3 อันดับแรกคือ โตเกียว โซล และสิงคโปร์ ตามลำดับ

3 เมืองยอดนิยม \'เที่ยวคนเดียว\' เฉลิมฉลอง \'วันคนโสด\'

พีรพล สง่าเมือง ผู้อำนวยการประจำประเทศไทย อโกด้า กล่าวว่า เราได้พูดเกี่ยวกับการท่องเที่ยวแบบครอบครัวหรือเป็นกลุ่มมาตลอดปี และด้วยการที่ผู้คนออกเดินทางท่องเที่ยวกันมากขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับปีที่ผ่านๆ มาเราก็เห็นการเดินทางท่องเที่ยวคนเดียวมากขึ้นเช่นกัน ซึ่งการไป เที่ยวคนเดียว ถือเป็นหนึ่งในของขวัญหรือรางวัลที่ดีที่สุดที่เราสามารถมอบให้ตัวเองได้ ไม่ว่าจะเป็นการสำรวจสถานที่ที่ไม่เคยไป สัมผัสวัฒนธรรมใหม่ หรือทำความรู้จักเพื่อนใหม่ๆ ซึ่งการเดินทางท่องเที่ยวคนเดียวเรามักต้องก้าวออกจากความคุ้นเคยเคยชิน แต่ผู้ที่ออกผจญภัยด้วยตัวเองมักจะได้รับรางวัลเป็นความทรงจำที่มีค่าที่สุดเสมอ

3 เมืองยอดนิยม \'เที่ยวคนเดียว\' เฉลิมฉลอง \'วันคนโสด\'

ในการพิจารณาว่าเมืองใดคือจุดหมายปลายทางยอดนิยมของคน เที่ยวคนเดียว อโกด้าดูจากเมืองต่างๆ ที่นักท่องเที่ยวผู้ที่ตัดสินใจเที่ยวคนเดียวเช็คอินเข้าพักในโรงแรมต่างๆ ในช่วงสุดสัปดาห์มากที่สุด ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก 3 เมืองยอดนิยมแรกคือ โตเกียว กรุงเทพมหานคร และโซล ตามลำดับ

3 เมืองยอดนิยม \'เที่ยวคนเดียว\' เฉลิมฉลอง \'วันคนโสด\'

สำหรับนักท่องเที่ยวไทย 3 เมืองยอดนิยมแรก ได้แก่

1.โตเกียว, ประเทศญี่ปุ่น

เมืองหลวงของดินแดนอาทิตย์อุทัยที่ดึงดูดคนเที่ยวคนเดียวด้วยประเพณีโบราณ และเทคโนโลยีสมัยใหม่ในเวลาเดียวกัน โตเกียวเต็มไปด้วยท้องถนนที่มีชีวิตชีวา ซึ่งมีวัดเก่าแก่มากมายให้สำรวจ นอกจากนี้ก็ยังมีร้านอาหารอร่อยระดับโลกที่เสิร์ฟอาหารในห้องเล็กๆ ซึ่งออกแบบมาเฉพาะสำหรับการนั่งรับประทานอาหารคนเดียว และโรงแรมแคปซูลที่กว้างพอดีสำหรับหนึ่งคนนอนหลายแห่ง ที่นี่จึงเป็นจุดหมายปลายทางที่เหมาะสำหรับคนเที่ยวคนเดียว ไม่ว่าจะเป็นถนนชิบูย่าอันพลุกพล่าน ห้องโถงอาร์เคดที่ครึกครื้น หรือร้านอาหารท้องถิ่นเล็กๆ โตเกียวมีทุกอย่างที่นักผจญภัยคนเดียวทุกคนต้องการ

2.โซล, ประเทศเกาหลีใต้

โซลเป็นเมืองที่ผสมผสานประเพณีกับความทันสมัยได้อย่างลงตัว คนเที่ยวคนเดียวสามารถไปเดินชมพระราชวังโบราณ ทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่ขณะเพลิดเพลินไปกับโซจู และเดินช้อปปิ้งต่อในย่านกังนัมได้อย่างสะดวกสบาย เมืองหลวงของเกาหลีใต้นี้ไม่เพียงแต่จะปลอดภัย แต่ยังขึ้นชื่อในเรื่องระบบขนส่งสาธารณะที่เชื่อมต่อกันเป็นอย่างดี ทำให้การไป เที่ยวคนเดียว เป็นเรื่องง่ายที่ใครๆ ก็ทำได้

3.สิงคโปร์, ประเทศสิงคโปร์

สิงคโปร์ดึงดูดเหล่านักผจญภัยคนเดียวด้วยประเพณี และนวัตกรรมอันน่าทึ่ง เกาะที่มีชีวิตชีวาแห่งนี้มีสมบัติทางประวัติศาสตร์ รวมไปถึงที่เที่ยวใหม่ๆ มากมายให้ค้นพบ นอกจากนี้ยังมีอาหารที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก ตั้งแต่อาหารริมทางรสชาติอร่อย ราคาประหยัดในศูนย์อาหารที่พลุกพล่าน ไปจนถึงอาหารรสเลิศในร้านอาหารชั้นหนึ่งที่มีวิวเส้นขอบฟ้าอันงดงามของสิงคโปร์ ในส่วนของสถานที่ท่องเที่ยว สิงคโปร์ก็ยังเป็นที่รู้จักในฐานะเมืองในสวน ด้วยสวนต่างๆ มากมาย เช่น Gardens by the Bay และป่าในร่มแห่งใหม่ และ Canopy Park ที่เพิ่งเปิดใหม่ใน Jewel Changi Airport เพิ่มความน่าสนใจให้ใครที่กำลังคิดอยากไปเที่ยวคนเดียว ความปลอดภัยและระบบขนส่งสาธารณะของสิงคโปร์ก็ดีมาก จึงไม่แปลกที่สิงคโปร์นั้นเหมาะสำหรับคนเที่ยวคนเดียว โดยเฉพาะมือใหม่กับมือใหม่หัดเที่ยวคนเดียว

‘หมอชัย’ โว ‘นักท่องเที่ยวต่างชาติ’ แห่เที่ยวไทย โกยรายได้กว่า 9 แสนล้านบาท

https://www.komchadluek.net/kom-lifestyle/travel/562945

'หมอชัย' โว 'นักท่องเที่ยวต่างชาติ' แห่เที่ยวไทย โกยรายได้กว่า 9 แสนล้านบาท

‘หมอชัย’ โว ‘นักท่องเที่ยวต่างชาติ’ แห่เที่ยวไทย โกยรายได้กว่า 9 แสนล้านบาท

08 พ.ย. 2566

หมอชัย โฆษกรัฐบาล เผย ‘นักท่องเที่ยวต่างชาติ’ แห่เที่ยวไทยเพิ่มขึ้นทุกภูมิภาค ในช่วงสัปดาห์เดียว สูงถึง 557,554 คน สร้างรายได้สะสมให้ประเทศกว่า 9 เเสนล้านบาท ระบุ นักท่องเที่ยว จากมาเลเซียมากที่สุด ตามด้วย จีน รัสเซีย อินเดีย และเกาหลีใต้ ตามลำดับ

นายสัตวแพทย์ชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงสถานการณ์การท่องเที่ยวของประเทศไทย พบว่า นักท่องเที่ยวชาวยุโรปขยายตัวเพิ่มขึ้น คิดเป็นร้อยละ 28.75 หรือ 32,053 คน และนักท่องเที่ยวชาวรัสเซียขยับเพิ่มขึ้นมาเป็นอันดับที่ 3 ของ “นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ” ที่เดินทางมายังประเทศไทย ซึ่งเป็นตัวเลขในช่วงเวลาเพียง 1 สัปดาห์ ระหว่างวันที่ 30 ตุลาคม-5 พฤศจิกายน 2566

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากการคาดการณ์ของกองเศรษฐกิจการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาว่า จำนวนนักท่องเที่ยวในช่วงสัปดาห์ (30 ตุลาคม-5 พฤศจิกายน 2566) จะมีจำนวนเพิ่มขึ้น ซึ่งผลปรากฏว่า สถิติจำนวน “นักท่องเที่ยวต่างชาติ” ที่เดินทางเข้ามายังประเทศไทยสอดคล้องกับการประเมินดังกล่าว 

โดยมีจำนวนเพิ่มขึ้นถึง 557,554 คน (ข้อมูล ณ วันที่ 6 พฤศจิกายน 2566) เพิ่มจากสัปดาห์ก่อนหน้าร้อยละ 10.26 หรือเพิ่มขึ้น 51,882 คน สร้างรายได้จากการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติสะสมทั้งสิ้นกว่า 954,239 ล้านบาท โดยนักท่องเที่ยวจากมาเลเซีย เป็นนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าไทยมากที่สุด รองลงมา ได้แก่ จีน รัสเซีย อินเดีย และเกาหลีใต้ตามลำดับ

โดยเป็นผลมาจาก การเพิ่มจำนวนเที่ยวบินที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เมื่อเข้าสู่ช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวในช่วงฤดูหนาวของเที่ยวบินจากยุโรป และภูมิภาคเอเชียตะวันออก การมีวันหยุดต่อเนื่องในเทศกาลดิวาลีของอินเดีย รวมทั้งสะท้อนผลสำเร็จจากมาตรการต่าง ๆ ของภาครัฐที่อำนวยความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยว ทั้งการยกเลิกบัตร ตม.6 ณ ด่านสะเดา เป็นการชั่วคราว การยกเว้นการตรวจลงตราหนังสือเดินทาง หรือ Visa Free ให้แก่นักท่องเที่ยวชาวจีน คาซัคสถาน อินเดีย และไต้หวัน รวมถึงการขยายวันพำนักให้กับนักท่องเที่ยวชาวรัสเซียอีกด้วย

“นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้ความสำคัญในการกำหนดนโยบายสนับสนุนอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในประเทศ ถือเป็นนโยบายเร่งด่วน พลิกฟื้น และขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยการท่องเที่ยว ซึ่งเชื่อมั่นว่าจะสร้างรายได้มหาศาลให้กับประเทศ พร้อมชื่นชมความร่วมมือของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ร่วมกันสนับสนุนการทำงานซึ่งกันและกันอย่างบูรณาการทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาในไทยมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง สะท้อนผลสำเร็จจากมาตรการเชิงรุกต่าง ๆ ของรัฐบาล”โฆษกรัฐบาล กล่าว

แช่ตัวสุดฟิน โดนใจสายเฮลตี้ กับพิกัด 13 ‘บ่อน้ำพุร้อน’ ดีที่สุดใน ‘ไต้หวัน’

https://www.komchadluek.net/kom-lifestyle/travel/562738

แช่ตัวสุดฟิน โดนใจสายเฮลตี้ กับพิกัด 13 'บ่อน้ำพุร้อน' ดีที่สุดใน 'ไต้หวัน'

แช่ตัวสุดฟิน โดนใจสายเฮลตี้ กับพิกัด 13 ‘บ่อน้ำพุร้อน’ ดีที่สุดใน ‘ไต้หวัน’

05 พ.ย. 2566

ชี้พิกัด 13 ‘บ่อน้ำพุร้อน’ ดีที่สุดใน ‘ไต้หวัน’ พร้อมเยียวยาร่างกายและจิตใจให้ผ่อนคลายจากความเหนื่อยล้า ทั้งยังอุดมไปด้วยแร่ธาตุสำคัญจากชั้นใต้พื้นผิวโลก ช่วยในการฟื้นฟูสุขภาพและปรนนิบัติผิวให้แลดูมีชีวิตชีวา

หากใครที่กำลังมองหาจุดหมายปลายทางเพื่อพักผ่อนช่วงปลายปี ‘ไต้หวัน’ ถือเป็นอีกหนึ่งเดสติเนชั่นที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ฉบับคนมีเวลาน้อย เพราะบินเพียงไม่กี่ชั่วโมงก็ได้เปลี่ยนบรรยากาศอย่างน่าอัศจรรย์ใจในดินแดนแห่งหุบเขาที่รายล้อมไปด้วยธรรมชาติอันแสนงดงามและสิ่งที่น่าค้นหาอีกมากมาย การท่องเที่ยวไต้หวัน ประจำกรุงเทพฯ จึงอยากชวนทุกคนมาพักผ่อนหย่อนกายแช่ตัวสุดฟินรับไออุ่นไปกับ 13 บ่อน้ำพุร้อน ที่พร้อมเยียวยาร่างกายและจิตใจให้ผ่อนคลายจากความเหนื่อยล้า ทั้งยังอุดมไปด้วยแร่ธาตุสำคัญจากชั้นใต้พื้นผิวโลก ช่วยในการฟื้นฟูสุขภาพและปรนนิบัติผิวให้แลดูมีชีวิตชีวา

  • ขึ้นเหนือฮีลกาย ฮีลใจ แช่น้ำพุร้อนท่ามกลางหุบเขา

บ่อน้ำพุร้อนซินเป่ยโถวบ่อน้ำพุร้อนซินเป่ยโถว

เริ่มต้นเดินสายพักผ่อนกันที่แรกด้วย บ่อน้ำพุร้อน ที่มีชื่อเสียงและเก่าแก่ที่สุดในไต้หวัน ซินเป่ยโถว ตั้งอยู่ใจกลางนครนิวไทเป มีอาณาเขตกว้างขวางเหมาะแก่การมาเที่ยวชมวิวทิวทัศน์และสัมผัสธรรมชาติจากบ่อน้ำพุร้อนหลากหลายสไตล์ จนทำให้ได้รับความนิยมจากทั้งชาวไต้หวัน รวมถึงนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง

บ่อน้ำพุร้อนหยางหมิงซานบ่อน้ำพุร้อนหยางหมิงซาน

มาต่อกันที่แลนด์มาร์คยอดฮิตในไทเปอย่าง บ่อน้ำพุร้อนหยางหมิงซาน ตั้งอยู่ท่ามกลางทัศนียภาพชั้นยอดบนหุบเขาสูงที่อุดมไปด้วยทรัพยากรจากธรรมชาติ และทุ่งดอกคาลล่า ลิลลี่ ผลิดอกบานสะพรั่งสวยงามให้เชยชมในทุกปี พร้อมให้แช่ตัวกันอย่างเพลิดเพลินโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ไม่ว่าจะเป็น บ่อน้ำพุร้อนเท้าหลิวหวงกู่ บ่อน้ำพุร้อนสาธารณะเหลิงสุ่ยเคิง บ่อน้ำพุร้อนหม่าเฉา เป็นต้น

 บ่อน้ำพุร้อนจินซานบ่อน้ำพุร้อนจินซาน

บ่อน้ำพุร้อนจินซาน แห่งนครนิวไทเป ดินแดนที่เปรียบเป็นดั่งสวรรค์ของคนรักการแช่น้ำพุร้อนเป็นชีวิตจิตใจ เป็น บ่อน้ำพุร้อน กำมะถันที่มีแร่ธาตุหายาก ที่ไหลเวียนอยู่ใต้พื้นพสุธา มีคุณสมบัติในการฟื้นฟูสุขภาพและผิวพรรณได้เป็นอย่างดี

บ่อน้ำพุร้อนอูไหลบ่อน้ำพุร้อนอูไหล

บิวตี้เลิฟเวอร์ต้องกรีดร้องกับ บ่อน้ำพุร้อนอูไหล ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น ‘บ่อน้ำพุร้อนผิวสวย’ ว่ากันว่าใครที่ได้มาแช่ตัวในบ่อน้ำพุร้อนอูไหลแห่งนี้ จะได้ผิวสวยกลับบ้าน เพราะมีแร่ธาตุที่เติมเต็มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว ปรับสภาพผิวให้เนียนนุ่ม มีออร่า และแลดูสุขภาพดี รวมทั้งอูไหลยังมีอาหารชนพื้นเมืองไต้หวันอย่าง “ชนพื้นเมืองไท่หย่า” ที่รอให้นักท่องเที่ยวได้มาสัมผัสลิ้มรสความอร่อยกันในที่แห่งนี้อีกด้วย

บ่อน้ำพุร้อนเจียวซีบ่อน้ำพุร้อนเจียวซี

เดินทางมาถึงที่สุดท้ายของไต้หวันตอนเหนือกับ บ่อน้ำพุร้อนเจียวซี แหล่งพักผ่อนหย่อนใจอันเต็มไปด้วยวัฒนธรรมอันทรงคุณค่า และประวัติศาสตร์อันแสนยาวนานได้รับการขนานนามว่า ‘มินิเป่ยโถว’ โดยเป็น บ่อน้ำพุร้อน อัลคาไลน์ตามธรรมชาติ อุดมไปด้วยแร่ธาตุที่หลากหลาย ล้วนมีความสำคัญต่อร่างกาย โดยเฉพาะโพแทสเซียมคลอไรด์ และโซเดียมซัลไฟด์ ช่วยปลุกกายปลุกใจให้มีชีวิตชีวา และยังเชื่อว่าหากได้แช่ตัวในบ่อน้ำพุร้อนแห่งนี้จะพบว่าผิวและสุขภาพจะดีขึ้น

  • ปลดปล่อยความเหนื่อยล้า ด้วยสปาจากธรรมชาติที่บ่อน้ำพุร้อนไต้หวันภาคกลาง

บ่อน้ำพุร้อนไท่อันบ่อน้ำพุร้อนไท่อัน

ทางภาคกลางของ ไต้หวัน ก็มี บ่อน้ำพุร้อน ให้หย่อนกายแช่ตัว ผ่อนคลายความเหนื่อยล้าท่ามกลางธรรมชาติแบบใกล้ชิดอย่าง บ่อน้ำพุร้อนไท่อัน ณ เหมียวลี่ ตื่นตาตื่นใจไปกับวิวทัศน์อันน่าอัศจรรย์ใจได้ในทุกฤดูกาลไม่ว่าจะเป็นดอกซากุระที่บานสะพรั่ง วิวภูเขาหู่ซ่าน และภูเขาเหิงหลง นับว่าเป็นแหล่งน้ำพุที่ควรค่าแก่การมาเยือนกันสักครั้ง

บ่อน้ำพุร้อนไท่อันบ่อน้ำพุร้อนไท่อัน

สายสปาต้องห้ามพลาด บ่อน้ำพุร้อนกู่กวน แห่งเมืองไถจง แหล่งน้ำพุร้อนแห่งนี้มีอุณหภูมิเฉลี่ยราว 48 องศาเซลเซียส เหมาะกับการทำสปาตัวจากน้ำแร่ธรรชาติ ทำให้มีนักท่องเที่ยวแวะเวียนเข้ามาแช่ตัวกันมากที่สุดในภาคกลาง รวมถึงบริเวณใกล้เคียงยังมีจุดชมวิวทิวทัศน์อย่างกู่กวน รับรองว่านอกจากสบายตัวแล้วยังได้เดินเล่น แชะภาพวิวสวยเช็คอินอวดบนโลกโซเชียลได้อีกด้วย

 บ่อน้ำพุร้อนตงผู่บ่อน้ำพุร้อนตงผู่

จบท้ายภาคกลางด้วย บ่อน้ำพุร้อนตงผู่ แห่งเมืองหนานโถว ตั้งอยู่ไม่ไกลจากอุทยานแห่งชาติอวี่ซาน พร้อมให้เพลิดเพลินไปกับการแช่บ่อน้ำพุร้อน และเปิดประสบการณ์ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมแบบครบจบในที่เดียวด้วยการลัดเลาะไปตามเส้นทางโบราณปาทงกวน และชมวิวน้ำตกสายรุ้งอันแสนงดงาม และนอกจากเป็นแหล่งน้ำพุร้อนที่น่าสนใจแล้ว ยังเป็นแหล่งเพราะปลูกบ๊วยขึ้นชื่อในไต้หวันอีกด้วย

  • ลงใต้ให้ธรรมชาติโอบกอดไปกับบ่อน้ำพุร้อนหลากหลายสไตล์ตามแบบฉบับไต้หวัน

บ่อน้ำพุร้อนกวนจื่อหลิงบ่อน้ำพุร้อนกวนจื่อหลิง

ลงใต้เที่ยว บ่อน้ำพุร้อนกวนจื่อหลิง แห่งเมืองไถหนาน บ่อน้ำพุร้อนโคลนแห่งเดียวในไต้หวัน รวมถึงเป็น 1 ใน 3 แห่งของโลก ที่มีประวัติศาสตร์เก่าแก่อันทรงคุณค่ามากมาย โดยโคลนในที่แห่งนี้มีคุณสมบัติช่วยให้ผิวสวย และดีต่อสุขภาพ จึงทำให้นักท่องเที่ยวจำนวนมากชื่นชอบบ่อน้ำพุร้อนกวนจื่อหลินแห่งนี้มาจนถึงปัจจุบัน หากใครได้มีโอกาสมาเที่ยวในฤดูร้อนจะได้ชม “เทศกาลดอกบัวไป๋เหอ” และได้สัมผัสรสอาหารที่ทำจากดอกบัวในรูปแบบของคาวและของหวาน

น้ำพุร้อนเป่าไหลน้ำพุร้อนเป่าไหล

น้ำพุร้อนปู้เหล่า และน้ำพุร้อนเป่าไหล แห่งเมืองเกาสง แลนด์มาร์คใหม่ที่กำลังได้รับความนิยม เนื่องจากเป็นน้ำพุร้อนที่มีสีใสชวนแช่กายแบบฟินๆ ไม่มีกลิ่นของกำมะถัน ทำให้ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาแหล่งน้ำพุแห่งนี้มีโรงแรมและรีสอร์ทต่างเข้ามาพัฒนาและเปิดให้บริการอย่างมากมาย สำหรับอาหารขึ้นชื่อประจำท้องถิ่นนี้จะเป็นอาหารที่ทำจากเผือก อาทิ เค้กเผือก น้ำแข็งใสเผือก และบิสกิตสอดไส้เผือก เป็นต้น

 บ่อน้ำพุร้อนซื่อฉงซีบ่อน้ำพุร้อนซื่อฉงซี

ปิดท้ายภาคใต้ด้วย บ่อน้ำพุร้อนซื่อฉงซี แห่งเมืองผิงตง ตั้งอยู่ท่ามกลางภูเขาที่มีวิวทิวทัศน์ทางธรรมชาติสวยงาม พร้อมเปลี่ยนวันที่เหนื่อยล้า ให้เป็นวันแสนสบาย ด้วยการปล่อยใจแช่กายในน้ำพุร้อนที่มีน้ำใสกิ๊ง

  • ล่องบ่อน้ำพุร้อนทางตะวันออก ให้ธรรมชาติเยียวยาจิตใจ พร้อมปรณบัติผิวให้สดใสมีชีวิตชีวากว่าที่เคย

บ่อน้ำพุร้อนรุ่ยซุ่ยบ่อน้ำพุร้อนรุ่ยซุ่ย

ภาคตะวันออกของ ไต้หวัน นั้นมี บ่อน้ำพุร้อน ให้ได้ผ่อนคลายไม่แพ้ภาคอื่นๆ กับ บ่อน้ำพุร้อนรุ่ยซุ่ย ในเขตฮวาเหลียน บ่อน้ำพุร้อนคาร์บอเนตที่อุดมไปด้วยธาตุเหล็ก พร้อมเสกผิวกายให้สดใส ผุดผ่อง มีชีวิตชีวา มีลักษณะเป็นสีเหลืองทอง

บ่อน้ำพุร้อนจือเปิ่นบ่อน้ำพุร้อนจือเปิ่น 

เดินทางมาถึงบ่อน้ำพุร้อนแห่งสุดท้าย บ่อน้ำพุร้อนจือเปิ่น แห่งเมืองไถตง ซึ่งต้องบอกเลยว่าที่แห่งนี้อัศจรรย์มากเพราะถูกค้นพบโดยบังเอิญจากชนพื้นเมืองเปยหนานในปี 1917 จนทำให้มีนักลงทุนเริ่มเข้ามาเปิดโรงแรมหลายแห่ง และได้มีการพัฒนาบ่อน้ำพุร้อนแห่งนี้อย่างต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ส่งผลให้มีสิ่งอำนวยความสะดวกในการแช่น้ำพุร้อนมากมาย ไม่ว่าจะเป็นอ่างอาบน้ำสปา อาบน้ำสมุนไพร หากแวะมาที่เขตไถตงต้องทดลองลิ้มรสเมนูอาหารที่รังสรรค์จากวัตถุดิบขึ้นชื่อของท้องถิ่นอย่างปลากระโทงดาบ และผลไม้ขึ้นชื่ออย่างน้อยหน่า รับรองว่าอร่อยไม่รู้ลืมเลยทีเดียว

ทั้งนี้สามารถติดตามอัปเดทข่าวสารความเคลื่อนไหวกิจกรรม และแหล่งท่องเที่ยวของไต้หวันที่ไม่ควรพลาดได้จาก สำนักงานท่องเที่ยวไต้หวัน ประจำกรุงเทพฯ ผ่านทาง https://www.taiwantourism.org/th/ หรือ ช่องทางโซเชียลมีเดีย Facebook : Taiwan Tourism TH

ชม ‘ตลาดชุมชนวัดศรีสุพรรณ’ จ.เชียงใหม่ อุดหนุนสินค้าชุมชน กระตุ้นเศรษฐกิจ

https://www.komchadluek.net/kom-lifestyle/travel/562715

ชม 'ตลาดชุมชนวัดศรีสุพรรณ' จ.เชียงใหม่ อุดหนุนสินค้าชุมชน กระตุ้นเศรษฐกิจ

ชม ‘ตลาดชุมชนวัดศรีสุพรรณ’ จ.เชียงใหม่ อุดหนุนสินค้าชุมชน กระตุ้นเศรษฐกิจ

05 พ.ย. 2566

วธ.จับมือ จังหวัดเชียงใหม่ เปิดตัว ‘ตลาดชุมชนวัดศรีสุพรรณ’ สืบสานวัฒนธรรมไทย สัมผัสวิถี “กาดหมั้ว คัวเงิน คัวเขิน ชุมชนวัดศรีสุพรรณ ชุมชนวัดหมื่นสาร และชุมชนวัดนันทาราม” เผยแพร่ภูมิปัญญา soft power ส่งเสริมการท่องเที่ยว อุดหนุนของดีชุมชน กระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่น

ในช่วงปลายปีนักท่องเที่ยวมักเลือกเดินทางท่องเที่ยวในแถบภาคเหนือของประเทศ เนื่องจากสภาพอากาศที่ค่อนข้างเย็นกว่าภาคอื่นๆ และจังหวัดที่นักท่องเที่ยวให้ความสนใจกันมาก คงต้องยกให้ “เชียงใหม่” โดยล่าสุด กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) โดยกรมส่งเสริมวัฒนธรรม จัดพิธีเปิดตัวตลาดบก “ตลาดชุมชนวัดศรีสุพรรณ” หนึ่งในกิจกรรม 10 ตลาดบก 6 ตลาดน้ำ สืบสานวัฒนธรรมไทย ประจำปีงบประมาณ 2566 โดยมี โชติกา อัครกิจโสภากุล รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธาน ลิปิการ์ กำลังชัย รองอธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม กล่าวรายงาน, วีรพงศ์ ฤทธิ์รอด รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวต้อนรับ พร้อมด้วย ดิเรก สิทธิการ ศิลปินแห่งชาติสาขาทัศนศิลป์ ผู้รังสรรค์อุโบสถเงิน วัดศรีสุพรรณ  ผู้บริหารวธ., ธวัชชัย อุบลพิทักษ์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงใหม่ พร้อมวัฒนธรรม 16 จังหวัดภาคเหนือ หัวหน้าส่วนราชการจังหวัด รองนายกเทศมนตรีนครเชียงใหม่ ผู้นำชุมชนวัดศรีสุพรรณ ชุมชนวัดหมื่นสาร และชุมชนวัดนันทาราม (ย่านวัวลาย) ผู้ขับเคลื่อนตลาด นักท่องเที่ยวและประชาชน เข้าร่วมงานที่ผ่านมา ณ ตลาดวัฒนธรรมชุมชนวัดศรีสุพรรณ อ.เมือง จ.เชียงใหม่

ชม \'ตลาดชุมชนวัดศรีสุพรรณ\' จ.เชียงใหม่ อุดหนุนสินค้าชุมชน กระตุ้นเศรษฐกิจ
ชม \'ตลาดชุมชนวัดศรีสุพรรณ\' จ.เชียงใหม่ อุดหนุนสินค้าชุมชน กระตุ้นเศรษฐกิจ

โชติกา อัครกิจโสภากุลโชติกา อัครกิจโสภากุล

รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ประธานกล่าวว่า กระทรวงวัฒนธรรม มีเป้าหมายและพันธกิจสำคัญในการเทิดทูน สถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ให้มีการรักษาสืบทอด พัฒนาอย่างยั่งยืน มุ่งขับเคลื่อนงานศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม โดยปรับบทบาทสู่กระทรวงสังคมกึ่งเศรษฐกิจ สร้างความเข้มแข็งให้ระบบเศรษฐกิจฐานรากของชุมชน จึงได้ดำเนินโครงการเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ ด้วยทุนทางวัฒนธรรม การส่งเสริมอัตลักษณ์ชุมชน สู่เส้นทางท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม : การดำเนินงานพัฒนาตลาดบกสืบสานวัฒนธรรมไทย ด้วยการพัฒนาศักยภาพเส้นทางท่องเที่ยวตลาดบก สืบสานวัฒนธรรมไทย และจัดพิธีเปิดตัว 10 ตลาดบก 6 ตลาดน้ำ สืบสานวัฒนธรรมไทย ประจำปีงบประมาณ 2566 เพื่อส่งเสริมให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้กับประชาชน จากการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์และวัฒนธรรม พร้อมสนับสนุนขยายช่องทางการตลาด ประชาสัมพันธ์ให้เกิดการรับรู้ ในวงกว้าง ให้ตลาดชุมชนเป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม พร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยว อันจะส่งผลให้เศรษฐกิจชุมชนเกิดความเข้มแข็งและยั่งยืนสืบไป

ชม \'ตลาดชุมชนวัดศรีสุพรรณ\' จ.เชียงใหม่ อุดหนุนสินค้าชุมชน กระตุ้นเศรษฐกิจ
ชม \'ตลาดชุมชนวัดศรีสุพรรณ\' จ.เชียงใหม่ อุดหนุนสินค้าชุมชน กระตุ้นเศรษฐกิจ

วีรพงศ์ ฤทธิ์รอดวีรพงศ์ ฤทธิ์รอด

ด้าน วีรพงศ์ ฤทธิ์รอด รองผู้ว่าราชการฯ เชียงใหม่ เปิดเผยว่า ตลาดชุมชนวัดศรีสุพรรณ “กาดหมั้ว คัวเงิน คัวเขิน ชุมชนวัดศรีสุพรรณ ชุมชนวัดหมื่นสาร และชุมชนวัดนันทาราม” (ย่านวัวลาย) หรือที่เรียกกันว่า “ถนนคนเดินวัวลาย” อยู่ในเขต ต.หายยา อ.เมือง จ.เชียงใหม่ จัดขึ้นตั้งแต่ปี 2545 เป็นถนนทางเดิน ที่มีลักษณะเป็นตลาดนัดกลางคืน ทั้งสองข้างทางมีทั้งร้านขายเครื่องเงิน เครื่องเขิน อาหาร สินค้าพื้นเมือง และของฝากของที่ระลึก ตลอดแนวทางเดิน ตั้งแต่แยกประตูเชียงใหม่ จนถึงแยกประตูหายยา ถนนทิพย์เนตร เขตเทศบาลนครเชียงใหม่ แขวงเม็งราย ระยะทางประมาณ 1.5 กิโลเมตร และพื้นที่ปากทางจากถนนวัวลาย เข้าสู่วัดศรีสุพรรณ อุโบสถเงิน อีกประมาณ 500 เมตร โดยมีวัดศรีสุพรรณเป็นศูนย์กลางจัดกิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ บูรณาการทางศิลปวัฒนธรรม ประเพณีท้องถิ่นกับการท่องเที่ยววิถีชุมชนเครื่องเงิน เครื่องเขิน ย่านวัวลาย 

ชม \'ตลาดชุมชนวัดศรีสุพรรณ\' จ.เชียงใหม่ อุดหนุนสินค้าชุมชน กระตุ้นเศรษฐกิจ
ชม \'ตลาดชุมชนวัดศรีสุพรรณ\' จ.เชียงใหม่ อุดหนุนสินค้าชุมชน กระตุ้นเศรษฐกิจ
ชม \'ตลาดชุมชนวัดศรีสุพรรณ\' จ.เชียงใหม่ อุดหนุนสินค้าชุมชน กระตุ้นเศรษฐกิจ

ตลาดชุมชนวัดศรีสุพรรณ เปิดให้บริการทุกวันเสาร์ ตั้งแต่เวลา 18.00 – 22.00 น. มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ เข้ามาท่องเที่ยวจำนวนมาก ซึ่งนับเป็นความโชคดีของจังหวัดเชียงใหม่ ที่ ตลาดวัฒนธรรมชุมชนวัดศรีสุพรรณ (ย่านวัวลาย) ได้รับเลือก เป็น 1 ใน 10 ตลาดบก สืบสานวัฒนธรรมไทย ประจำปีงบประมาณ 2566 ของกระทรวงวัฒนธรรม อันจะเป็นการต่อยอดด้านการท่องเที่ยวของจังหวัดเชียงใหม่ให้เกิดความคึกคัก ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม สร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้กับประชาชน สร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจฐานราก ทั้งยังเป็นการเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมไทย ปลูกฝังให้แก่เยาวชน ประชาชนได้ตระหนักถึงคุณค่าและความสำคัญของศิลปวัฒนธรรมนำไปสู่การอนุรักษ์สืบสาน โดยการนำทุนทางวัฒนธรรมมาพัฒนาสินค้าและบริการทางวัฒนธรรม อันจะส่งผลให้เศรษฐกิจท้องถิ่นเกิดความมั่นคง ยั่งยืนได้”

‘ยูเนสโก’ ประกาศ ‘เชียงราย-สุพรรณบุรี’ เมืองสร้างสรรค์ จาก 55 เมืองทั่วโลก

https://www.komchadluek.net/kom-lifestyle/travel/562553

'ยูเนสโก' ประกาศ ‘เชียงราย-สุพรรณบุรี’ เมืองสร้างสรรค์ จาก 55 เมืองทั่วโลก

‘ยูเนสโก’ ประกาศ ‘เชียงราย-สุพรรณบุรี’ เมืองสร้างสรรค์ จาก 55 เมืองทั่วโลก

02 พ.ย. 2566

ยูเนสโก ประกาศ ‘เชียงราย’ เป็นเมืองสร้างสรรค์ด้านการออกแบบ ‘สุพรรณบุรี’ เป็นเมืองสร้างสรรค์ด้านดนตรี ปี 2566 เป็น 2 รายการ จาก 55 รายการทั่วโลก

นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2566 องค์การเพื่อการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือยูเนสโก ได้ประกาศผลการรับรองเมืองสมาชิกเครือข่ายเมืองสร้างสรรค์ 55 เมืองทั่วโลก ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่งที่ประเทศไทยของเราได้มีเมืองที่มีเอกลักษณ์และได้รับการรับรองจากยูเนสโก

จังหวัดเชียงราย เมืองสร้างสรรค์ด้านการออกแบบจังหวัดเชียงราย เมืองสร้างสรรค์ด้านการออกแบบ

\'ยูเนสโก\' ประกาศ ‘เชียงราย-สุพรรณบุรี’ เมืองสร้างสรรค์ จาก 55 เมืองทั่วโลก

ยกจังหวัดเชียงราย เป็นเมืองสร้างสรรค์ด้านการออกแบบ (City of Design) และจังหวัดสุพรรณบุรี เป็นเมืองสร้างสรรค์ด้านดนตรี (City of Music)

จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นเมืองสร้างสรรค์ด้านดนตรีจังหวัดสุพรรณบุรี เป็นเมืองสร้างสรรค์ด้านดนตรี

\'ยูเนสโก\' ประกาศ ‘เชียงราย-สุพรรณบุรี’ เมืองสร้างสรรค์ จาก 55 เมืองทั่วโลก

โดย ทั้ง 55 เมืองสร้างสรรค์ ได้รับการยอมรับว่าเป็นเมืองที่กำลังเป็นผู้นำในการเพิ่มการเข้าถึงวัฒนธรรม และกระตุ้นพลังแห่งความคิดสร้างสรรค์ ปรับประยุกต์ใช้วัฒนธรรมและความคิดสร้างสรรค์ให้เกิดประโยชน์ในการพัฒนาเมืองรวมทั้งมีแนวปฏิบัติเชิงนวัตกรรมในการวางแผนพัฒนาเมืองที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง 

อีกทั้ง 55 เมืองสร้างสรรค์ที่ได้รับการแต่งตั้งใหม่นี้ จะได้รับเชิญให้เข้าร่วมการประชุมเครือข่ายเมืองสร้างสรรค์ (the UNESCO Creative Cities Network :UCCN) ประจำปี 2024 ระหว่างวันที่ 1 – 5 กรกฎาคม 2567 ที่เมืองบรากา ประเทศโปรตุเกส ภายใต้หัวข้อ “Bringing Youth to the table for the next decade”

“ตามที่กระทรวงวัฒนธรรม เป็นหน่วยงานภาครัฐที่มุ่งเน้นนำวัฒนธรรมสร้างเศรษฐกิจ จึงพร้อมส่งเสริมการสร้างรายได้ด้วยการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ให้วัฒนธรรมเป็นกลไกหนึ่งในการเชื่อมและสร้างความสัมพันธ์ทางการทูตกับนานาประเทศ เปิดกว้างความหลากหลายทางอัตลักษณ์ ความเชื่อ และความคิด ให้ประเทศไทยเป็นหมุดหมายของผู้คนที่มีความเป็นเลิศในด้านต่างๆ และเป็นกลไกในการพัฒนาประเทศต่อไป โดยคาดว่าเมืองเชียงรายและเมืองสุพรรณบุรีที่ได้รับการรับรองเป็นสมาชิกเมืองสร้างสรรค์ในปีนี้ จะเป็นอีกหนึ่งหมุดหมายท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมของไทยที่จะสร้างรายได้ เกิดกระตุ้นเศรษฐกิจ ให้มีมูลค่าการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน” นายเสริมศักดิ์กล่าว

นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมนายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม

เปิด 5 เมืองสร้างสรรค์ของยูเนสโก

ที่ผ่านมาประเทศไทย มีเมืองที่ได้รับรองเป็นสมาชิกเครือข่ายเมืองสร้างสรรค์ของยูเนสโกแล้ว 5 แห่ง ได้แก่ 

  1. ภูเก็ต เมืองสร้างสรรค์ด้านอาหาร(City of Gastronomy) ปี 2558
  2. เชียงใหม่ เมืองสร้างสรรค์ด้านหัตถกรรมและศิลปะพื้นบ้าน(City of Crafts and Folk Art) ปี 2560
  3. กรุงเทพมหานคร เมืองสร้างสรรค์ด้านการออกแบบ(City of Design) ปี 2562
  4. สุโขทัย เมืองสร้างสรรค์ด้านหัตถกรรมและศิลปะพื้นบ้าน(City of Crafts and Folk Art) ปี 2562,
  5. เพชรบุรี เมืองสร้างสรรค์ด้านอาหาร(City of Gastronomy) ปี 2564 ซึ่งทำให้เมืองดังกล่าวได้เป็นที่รู้จักในวงกว้าง เกิดการเดินทางแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกัน และมีจำนวนนักท่องเที่ยวเดินทางมาท่องเที่ยวมากขึ้น

นอกจากนี้ ประชาชนชาวไทยยังสามารถเตรียมลุ้นให้เมืองเชียงใหม่เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมประจำปีของเครือข่ายเมืองสร้างสรรค์ขององค์การยูเนสโก ครั้งที่ 17 ในปี พ.ศ. 2568 (UCCN Annual Conference 2025) อีกด้วย โดยมีกระทรวงวัฒนธรรม จังหวัดเชียงใหม่ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) และสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) เป็นหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อนงานและผลักดันเมืองเชียงใหม่ ให้เป็น 1 ใน 5 เมืองที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นเมืองสร้างสรรค์ของประเทศไทย สาขาหัตถกรรมและศิลปะพื้นบ้าน (Crafts and Folk Art) ในวาระการเสนอเมืองเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมประจำปี ครั้งที่ 17 ในปี พ.ศ. 2568 โดยองค์การยูเนสโกจัดขึ้นในรูปแบบออนไลน์ ช่วงปลายปี 2566 นี้

\'ยูเนสโก\' ประกาศ ‘เชียงราย-สุพรรณบุรี’ เมืองสร้างสรรค์ จาก 55 เมืองทั่วโลก
\'ยูเนสโก\' ประกาศ ‘เชียงราย-สุพรรณบุรี’ เมืองสร้างสรรค์ จาก 55 เมืองทั่วโลก
\'ยูเนสโก\' ประกาศ ‘เชียงราย-สุพรรณบุรี’ เมืองสร้างสรรค์ จาก 55 เมืองทั่วโลก

วิถี ‘ตลาดริมน้ำคลองแดน’ เส้นทางท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม สืบสานวัฒนธรรมไทย

https://www.komchadluek.net/kom-lifestyle/travel/562185

วิถี 'ตลาดริมน้ำคลองแดน' เส้นทางท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม สืบสานวัฒนธรรมไทย

วิถี ‘ตลาดริมน้ำคลองแดน’ เส้นทางท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม สืบสานวัฒนธรรมไทย

29 ต.ค. 2566

วธ.เปิด ‘ตลาดริมน้ำคลองแดน’ จ.สงขลา เพื่อส่งเสริมให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้กับประชาชนในพื้นที่ จากการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ทางวัฒนธรรม เสน่ห์ที่มีเอกลักษณ์ของวิถีชีวิตของผู้คนในท้องถิ่น

นางโชติกา อัครกิจโสภากุล รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานพิธีเปิดตัวตลาดบก ‘ตลาดริมน้ำคลองแดน’ หนึ่งในกิจกรรม 10 ตลาดบก 6 ตลาดน้ำ สืบสานวัฒนธรรมไทย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ณ ตลาดริมน้ำคลองแดน (ชุมชนวิถีพุทธคลองแดน) อำเภอระโนด จังหวัดสงขลา

วธ.เปิดตลาดริมน้ำคลองแดนวธ.เปิดตลาดริมน้ำคลองแดน

รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวว่า กระทรวงวัฒนธรรมและกรมส่งเสริมวัฒนธรรม มีเป้าหมายและพันธกิจสำคัญในการเทิดทูน สถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ พร้อมทำนุบำรุงศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม ให้มีการรักษา สืบทอด และพัฒนาอย่างยั่งยืน มุ่งขับเคลื่อนงานศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรม ปรับบทบาทสู่กระทรวงสังคมกึ่งเศรษฐกิจ สร้างความเข้มแข็งให้แก่ระบบเศรษฐกิจฐานรากของชุมชน ได้ดำเนินโครงการส่งเสริมอัตลักษณ์ชุมชน สู่เส้นทางท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม : การดำเนินงาน พัฒนาตลาดบก สืบสานวัฒนธรรมไทย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 โดยดำเนินการคัดเลือกตลาดบกที่มีความเข้มแข็ง พร้อมร่วมมือร่วมใจพัฒนาศักยภาพเพื่อยกระดับตลาดบก จำนวน 10 แห่ง เพื่อส่งเสริมให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างอาชีพ สร้างรายได้ ให้กับประชาชนจากการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและ ‘ตลาดริมน้ำคลองแดน’ (ชุมชนวิถีพุทธคลองแดน) แห่งนี้ เป็น 1 ใน 10 ตลาดบก สืบสานวัฒนธรรมไทย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ที่ได้รับการคัดเลือก จากกระทรวงวัฒนธรรม

วธ.เปิดตลาดน้ำคลองแดนวธ.เปิดตลาดน้ำคลองแดน

ด้าน น.ส.ลิปิการ์ กำลังชัย รองอธิบดี สวธ. กล่าวว่า ด้วยสำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ร่วมกับ กรมส่งเสริมวัฒนธรรม ดำเนินโครงการ การส่งเสริมอัตลักษณ์ชุมชน อัตลักษณ์ไทย สู่เส้นทางท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม : 10 ตลาดบก 6 ตลาดน้ำ สืบสานวัฒนธรรมไทย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ซึ่ง ‘ตลาดริมน้ำคลองแดน’ (ชุมชนวิถีพุทธคลองแดน) ได้รับคัดเลือกให้ 1 ใน 10 ตลาดบก สืบสานวัฒนธรรมไทย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 เนื่องจากเป็นตลาดริมน้ำที่มีศักยภาพ และมีความพร้อมในการพัฒนาเป็นตลาดสืบสานวัฒนธรรมไทย เพื่อส่งเสริมให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้กับประชาชน จากการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์และวัฒนธรรม สวธ. จึงได้ดำเนินโครงการด้วยการจัดการประชุม เชิงปฏิบัติการเพื่อพัฒนาศักยภาพชุมชนให้พร้อมต่อการบริหารจัดการชุมชน และบริหารจัดการมรดกภูมิปัญญาที่มีอยู่ นำเสนออัตลักษณ์ของชุมชนให้สอดรับกับความต้องการของนักท่องเที่ยว และสนับสนุนการพัฒนาศักยภาพของการท่องเที่ยวโดยชุมชนและองค์กรเครือข่าย ในการคิดค้นและพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ ทั้งในด้านผลิตภัณฑ์ บรรจุภัณฑ์ การบริการ การเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ การบริหารจัดการองค์กร และแหล่งท่องเที่ยวในชุมชน ตามความเหมาะสมของบริบทพื้นที่

ตลาดริมน้ำคลองแดนตลาดริมน้ำคลองแดน

‘ตลาดริมน้ำคลองแดน’ ตั้งอยู่ริมคลองระโนด คลองชะอวด และคลองปากพนัง เพียงแค่ข้ามคลองก็จะเป็นเขตอำเภอหัวไทร จังหวัดนครศรีธรรมราช จึงได้ชื่อว่า สามคลอง สองเมือง เป็นตลาดเชิงอนุรักษ์วัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อมที่บริหารจัดการโดยชุมชน เน้นการท่องเที่ยวที่อาศัยธรรมชาติ ลดผลกระทบที่จะเกิดกับระบบนิเวศน์ ภายในตลาดเป็นห้องแถวไม้เก่าแก่ มีสะพานและทางเดินไม้เชื่อมต่อถึงกัน จำหน่ายสินค้าที่เป็นผลผลิตในชุมชน อาทิ ยาแผนโบราณ ลูกปัดมโนราห์ ข้าวยำห่อใบบัว กล้วยทับ กระเป๋า แป้งแดง ก๋วยเตี๋ยวโบราณ เป็นต้น และมีการแสดงโนราจากเยาวชนในพื้นที่รวมถึงการล่องเรือชมทัศนียภาพตลาดน้ำและชุมชนริมน้ำอีกด้วย เปิดให้บริการทุกวันเสาร์ ตั้งแต่เวลา 12.00 น. -21.00 น.

ตลาดริมน้ำคลองแดนตลาดริมน้ำคลองแดน

สำหรับตลาดบกที่มีกำหนดเปิดในลำดับต่อไป ได้แก่ ตลาดวัฒนธรรมชุมชนวัดศรีสุพรรณ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ในวันเสาร์ที่ 4 พฤศจิกายน 2566 ถนนคนเดินกาดข่วงเมืองน่าน อำเภอเมือง จังหวัดน่าน ในวันอาทิตย์ที่ 12 พฤศจิกายน 2566 ตลาดเขมราษฎร์ธานี อำเภอเขมราฐ จังหวัดอุบลราชธานี ในวันเสาร์ที่ 18 พฤศจิกายน 2566 ตลาดตรอกโรงยา อำเภอเมือง จังหวัดอุทัยธานี ในวันเสาร์ที่ 25 พฤศจิกายน 2566 และปิดท้ายด้วยตลาดเก่าหัวตะเข้ เขตลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร ในวันอาทิตย์ที่ 26 พฤศจิกายน 2566 จึงขอเชิญชวนประชาชน ไปเที่ยวชมอุดหนุนสินค้าของดี สัมผัสวิถีชุมชน กระจายรายได้ให้ท้องถิ่นต่อไป

ตลาดริมน้ำคลองแดนตลาดริมน้ำคลองแดน

10 ที่สุด ไปรษณีย์กลางบางรัก soft power สถานที่ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์

https://www.komchadluek.net/kom-lifestyle/travel/562110

10 ที่สุด ไปรษณีย์กลางบางรัก soft power สถานที่ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์

10 ที่สุด ไปรษณีย์กลางบางรัก soft power สถานที่ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์

28 ต.ค. 2566

‘ไปรษณีย์ไทย’ เปิด 10 ที่สุดแห่งความเป็น ‘ไปรษณีย์กลางบางรัก’ soft power ในมิติสถานที่ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ด้านการสื่อสารของคนไทย พร้อม 10 สตอรี่ที่ทุกคนต้องไม่พลาด

ประเทศไทยมีจุดขายทางวัฒนธรรมมากมาย ซึ่งหนึ่งในสิ่งที่น่าสนใจคือ สถาปัตยกรรม ทั้งที่เป็นของดั้งเดิมและปลูกสร้างใหม่ ซึ่งล้วนแล้วแต่มีความสวยงามแทบทั้งสิ้น โดยอาคารแห่งหนึ่งที่ถือเป็นแลนด์มาร์คสุดคลาสสิกและมีเสน่ห์ ได้รับความนิยมจากผู้คนทุกกลุ่มก็คืออาคาร “ไปรษณีย์กลางบางรัก” สถาปัตยกรรมที่เจิดจรัสอยู่บนย่านเจริญกรุง ซึ่งเป็น soft power ในมิติสถานที่ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ด้านการสื่อสารของคนไทย ซึ่งไม่ว่าจะผ่านมากี่ยุคกี่สมัยอาคารแห่งนี้ก็ไม่เคยถูกมองว่าเชย หรือเลือนหายไปกับกาลเวลา และวันนี้เราจะไปดูกันว่าอะไรที่ทำให้คนชื่นชอบ อาคารไปรษณีย์กลาง บางรักจากวันแรกจนถึงวันนี้ 

10 ที่สุด ไปรษณีย์กลางบางรัก soft power สถานที่ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์

1. จุดเริ่มต้นกิจการ ไปรษณีย์ไทย

สิ่งแรกที่ไม่อยากให้พลาดก็คือด้านหน้าของ อาคารไปรษณีย์กลาง ที่มีพระอนุสาวรีย์ของสมเด็จพระราชปิตุลาบรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้าภาณุรังษี สว่างวงศ์  กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช ผู้สำเร็จราชการกรมไปรษณีย์โทรเลขพระองค์แรก โดยนอกจากจะเป็นผู้ทรงวางรากฐานระบบไปรษณีย์แล้ว ยังทรงริเริ่มระบบตั๋วแสตมป์เพื่อเป็นค่าฝากส่ง และยังทรงเป็นผู้ให้กำเนิดคำว่า “โพสต์แมน” ก่อนจะมาเป็น “บุรุษไปรษณีย์” หรือที่ปัจจุบันรู้จักกันว่า “พี่ไปรฯ” ในทุกวันนี้

10 ที่สุด ไปรษณีย์กลางบางรัก soft power สถานที่ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์
10 ที่สุด ไปรษณีย์กลางบางรัก soft power สถานที่ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์

2. ที่ทำการที่สวยที่สุดในประเทศ

ไปรษณีย์กลางบางรัก ออกแบบอาคารสไตล์อาร์ตเดโค ความตระการตาของประตูทางเข้าที่เป็นเหล็กหล่อประดับตราสัญลักษณ์ครุฑยุดแตรงอน เส้นสายที่เรียบง่ายและอาคารทรงเรขาคณิต สื่อถึงความหนักแน่นแข็งแรง ภายในโถงตึกไม่มีเสา ถือเป็นตึกที่ใหญ่ที่สุดในกรุงเทพสมัยนั้นที่เปี่ยมด้วยไปด้วยพลังและความสง่างาม เครื่องแบบของพนักงานการออกแบบในลักษณะร่วมสมัยและเข้ากับบรรยากาศของที่ทำการแบบไม่มีที่อื่นในประเทศ ในส่วนของเคาน์เตอร์มีการจำลองแบบของประตูประดับมาไว้ด้านหลัง ส่วนด้านนอกของอาคารมีความสวยงามตามฉบับศิลปะอาร์ตเดโคที่นำความเป็นตะวันตกยกมาไว้ ณ ที่แห่งนี้แบบลงตัว             

10 ที่สุด ไปรษณีย์กลางบางรัก soft power สถานที่ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์

3. ประติมากรรมนูนต่ำหนึ่งเดียวในโลก

งานประติมากรรมภาพแสตมป์นูนต่ำจำนวน 8 ชิ้น ที่ประดับผนังห้องโถงไปรษณีย์นฤมิตทั้งสี่ด้านของอาคาร และอีก 1 ชิ้น ถูกค้นพบภายหลังจึงนำไปประดับที่โถงบันได เป็นผลงานที่ออกแบบโดยบิดาแห่งศิลปะร่วมสมัยไทยอย่างศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ผลงานที่ประดับในอาคารเหล่านี้ไม่เพียงแต่สะท้อนในเรื่องความสวยงามเท่านั้น แต่ยังบอกเล่าถึงยุคสมัยของกิจการไปรษณีย์โทรเลขตั้งแต่ยุครัชกาลที่ 5 จนถึงปัจจุบัน 

10 ที่สุด ไปรษณีย์กลางบางรัก soft power สถานที่ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์

4. จินตนาการไปกับอดีตกับภาพที่ยังมีชีวิต

ภาพเก่าที่จัดแสดงอยู่ภายในอาคารบริเวณชั้น 3  ที่ไม่มีเผยแพร่ที่ไหน ภาพทุกภาพต้องยังเสมือนมีชีวิต ซ่อนเรื่องราวสำคัญต่างๆ ไว้มากมาย เช่น ภาพแบบร่างอาคารที่ไม่ได้สร้าง ก่อนที่จะมาเป็นอาคารในรูปแบบปัจจุบัน ภาพการทำงานของไปรษณีย์ไทยและบุรุษไปรษณีย์ในอดีต อีกทั้งยังมีภาพที่ทำการไปรษณีย์ที่สำคัญที่เคยใช้อำนวยความสะดวกให้กับผู้คน ความรุ่งเรืองของกิจการที่ยังคงส่งต่อมาจนถึงปัจจุบัน 

10 ที่สุด ไปรษณีย์กลางบางรัก soft power สถานที่ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์

5. ครุฑยุดแตรงอน ศิลปะแห่งงานปั้น และความอัศจรรย์เหนือกาลเวลา

บนดาดฟ้าของอาคารคือที่ที่เราจะได้พบกับความอันซีนของรูปปั้นครุฑยุดแตรงอนขนาดใหญ่ 3 เท่าของคนจริง รูปปั้นนี้เคยเป็นสัญลักษณ์ของกรมไปรษณีย์โทรเลข มีลักษณะกายวิภาคด้วยท่ากางปีกที่ดูมีพละกำลัง กำยำ น่าเกรงขาม แตกต่างจากครุฑที่เห็นทั่วไป ที่ไม่ได้มีลวดลายอ่อนช้อย ใครเคยเก็บภาพกับองค์พญาครุฑจะทราบดีว่า ภาพที่ถ่ายออกมานั้นดูทันสมัยแบบศิลปะสมัยใหม่  ยิ่งถ่ายในช่วงเย็นภาพที่จะออกมาสวยงามเป็นพิเศษ

นอกจากความงามทางศิลปะยังมีความเชื่อกันว่าพญาครุฑ 2 องค์นี้มีความศักดิ์สิทธิ์มาก มีเรื่องเล่าช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ว่าอาคารไปรษณีย์กลาง เป็นที่ที่ใกล้การทิ้งระเบิดโดยฝ่ายสัมพันธมิตรแต่กลับได้รับความปลอดภัย ซึ่งชาวบ้านร่ำลือว่าเห็นพญาครุฑ 2 องค์ที่อยู่หน้าตึกบินไปปัดลูกระเบิด

10 ที่สุด ไปรษณีย์กลางบางรัก soft power สถานที่ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์

6. เหนือกว่าพื้นที่ส่งจดหมาย และศิลปะตามสไตล์ Beyond Logistics

ปัจจุบันมีการใช้ประโยชน์จากอาคารที่มีคุณค่าทางศิลปะให้เกิดประโยชน์อย่างสูงสุด ภายในนอกจากจะมีเคาน์เตอร์บริการแล้ว ฝั่งใต้ของอาคารยังเป็นที่ตั้งของศูนย์สร้างสรรค์การออกแบบ หรือ TCDC สำหรับคนที่กำลังมองหาแรงบันดาลใจในด้านงานอาร์ต การต่อยอดความคิดสร้างสรรค์ และผลงานการดีไซน์เจ๋งๆ ของคนไทย มีโรงละครสุดคลาสสิคที่รองรับการจัดประชุม การแสดงแขนงต่างๆ ตลอดจนมีห้องโถง พื้นที่ส่วนกลาง ดาดฟ้าที่ทุกคนสามารถเอ็นจอยกับการถ่ายรูปได้แบบไม่รู้จบเลยทีเดียว

10 ที่สุด ไปรษณีย์กลางบางรัก soft power สถานที่ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์

7. ไปรษณีย์กลางกับห้องแห่งความ (ไม่) ลับ

น้อยคนที่จะรู้ว่าที่ไปรษณีย์กลางก็มีพิกัดลับ มีสองจุดไฮไลท์ที่ควรค่าแก่การเข้าถึง ที่แรกคือห้องใต้ดิน อาคารชั้นล่างของตึกไปรษณีย์กลางที่เป็นชั้นต่ำกว่าระดับพื้นดิน มีพื้นที่กว้างใหญ่กว่า 1,500 ตารางเมตร นับเป็นห้องใต้ดินที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยในขณะนั้น ในอดีตเมื่อแรกสร้างใช้สำหรับเก็บสิ่งของและงานบางอย่าง ต่อมาใช้เป็นคลังเก็บตราไปรษณียากร และภายหลังจากเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ ปี 2485 ห้องใต้ดินก็ไม่ได้ใช้งานอีกต่อไป มาในปี 2555 เมื่อมีการปรับปรุงตึกไปรษณีย์กลางครั้งใหญ่ ได้ปรับปรุงให้สามารถใช้งานได้สำหรับจัดนิทรรศการ และกิจกรรมต่างๆ

ส่วนอีกที่คือ ลิฟต์ดั้งเดิมออกแบบก่อสร้างมาพร้อมกับการก่อสร้างอาคารเมื่อปี 2478 ติดตั้งอยู่บริเวณเชิงบันไดชั้น 2 และชั้น 3 เป็นลิฟต์ที่สั่งเข้ามาจากเยอรมนี มีประตูชั้นนอกเป็นไม้ยืดแบบอาคารพาณิชย์รุ่นเก่า ส่วนตัวลิฟต์มีประตูบานเหล็กทึบแบบบานเลื่อนด้านบนภายนอก มีหน้าปัดครึ่งวงกลม แสดงการขึ้นลงของลิฟต์ ภายหลังการบูรณะอาคารไปรษณีย์กลางครั้งใหญ่เมื่อปี 2555 ได้ปิดใช้งาน แล้วไปติดตั้งลิฟต์ที่ปีกอาคารทั้งสองด้าน และได้อนุรักษ์ช่องปุ่มเรียกลิฟต์เดิมไว้เป็นประวัติศาสตร์

10 ที่สุด ไปรษณีย์กลางบางรัก soft power สถานที่ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์

8. “ไปรษณีย์กลาง” รอยต่อร้านอร่อย

อีกเหตุผลที่ต้องไป ไปรษณีย์กลาง คือ ที่นี่เป็นพื้นที่ที่ใกล้ร้านอร่อยเป็นจำนวนมากรายรอบไม่ว่าจะเป็น ไอศกรีมฮงฮวด ของหวานสูตรโบราณที่ขายมานานกว่า 80 ปี เติบโตเคียงคู่มากับไปรษณีย์กลางบางรัก ชิมเมนูแกงเขียวหวานกินคู่กับโรตี ร้านฮาร์โมนิค หรือหากอยากจะจัดเครื่องดื่มอร่อยชื่นใจ ก็เพียงข้ามไปที่ฝั่งตรงข้ามกับร้านมาดิ และยังมีร้านอื่นๆ เช่น วัวทองโภชนาสำหรับคนรักเนื้อและอาหารสไตล์จีน ข้าวหมูแดงหมูกรอบบ้านบางรัก เป็นต้น

10 ที่สุด ไปรษณีย์กลางบางรัก soft power สถานที่ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์

9. ไปรษณีย์กลางยามเย็น พื้นที่เที่ยวเล่น และบรรยากาศที่เป็นใจ

ช่วงเย็นบริเวณหน้าอาคารจะเปิดไฟประดับหลากสีสัน สาดส่องขึ้นบนอาคาร ให้ความสวยงามอีกอารมณ์ เป็นจุดเช็กอินยอดฮิตที่ใครต่อใครพากันมาแวะเวียนไม่ขาดสาย หรือหากใครอยากเห็นและเก็บบรรยากาศตอนเย็นให้ได้ยิ่งกว่าตัวอาคาร ที่นี่ยังมีริมน้ำซึ่งเป็นท่าเรือสำหรับใช้สัญจรจริงหลังอาคารบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ มองเห็นวิวแม่น้ำเจ้าพระยายามพลบค่ำ และบรรยากาศนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาร้านอาหาร ห้างสรรพสินค้ายามค่ำ

10 ที่สุด ไปรษณีย์กลางบางรัก soft power สถานที่ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์

10. Grand Postal Building สมชื่อตำนานแห่งความแกรนด์ สู่ความแกรนด์ยิ่งกว่าในงาน POSTiverse

ที่แห่งนี้มีการจัดงานใหญ่ๆ แกรนด์ๆ อยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นงานระดับโลก งานระดับชาติ หรืองานแฟชั่นโชว์ก็ผ่านการอวดโฉมสู่สายตาคนไทยมาแล้วทั้งสิ้น โดยเฉพาะในปลายปีนี้ที่จะมีการใช้ไปรษณีย์กลางจัดอีเว้นท์ใหญ่ระดับโลกอย่างการจัดงานแสดง ตราไปรษณียากรโลก 2566 และเปิดพื้นที่อวดโฉมความสร้างสรรค์ soft power และย่านเจริญกรุง รวมถึงการฉลองครบรอบ 140 ปีกิจการไปรษณีย์ไทยและส่งพลังความสุขให้กับคนไทย

เตรียมตัวพบกับไฮไลท์สำคัญที่ไม่ว่าจะเป็นนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ “เจ้าฟ้านักสะสม” จำลองพิพิธภัณฑ์ตราไปรษณียากรส่วนพระองค์ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี แสตมป์ที่แพงที่สุดในโลก และเอเชีย สิ่งสะสมสุดพิเศษจากนักออกแบบชื่อดัง และศิลปินกลุ่ม Art Toy มินิคอนเสิร์ตจากวงดนตรี New Gen และศิลปินรุ่นใหม่ รวมร้านเด็ดจากทุกตรอกซอกซอยสำหรับสายกิน อีกทั้งยังมีมุมถ่ายภาพทำคอนเทนต์สุดเก๋ ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 27 พ.ย. ถึง 3 ธ.ค. 2566 สุข สร้างสรรค์ ตระการตาตลอดทั้ง 7 วันส่งท้ายปี

กฟผ. ชวนมาฟิน มาอินกับ ‘หลงเสน่ห์บางกรวย’ สัมผัสวิถีชีวิตธรรมชาติแบบเต็มอิ่มวันนี้-29 ต.ค. นี้

https://www.komchadluek.net/kom-lifestyle/travel/562099

กฟผ. ชวนมาฟิน มาอินกับ 'หลงเสน่ห์บางกรวย' สัมผัสวิถีชีวิตธรรมชาติแบบเต็มอิ่มวันนี้-29 ต.ค. นี้

กฟผ. ชวนมาฟิน มาอินกับ ‘หลงเสน่ห์บางกรวย’ สัมผัสวิถีชีวิตธรรมชาติแบบเต็มอิ่มวันนี้-29 ต.ค. นี้

28 ต.ค. 2566

กฟผ. ชวนอิน ชวนฟิน กินเที่ยวไปกับงาน ‘หลงเสน่ห์บางกรวย’ ตั้งแต่วันนี้ -29 ต.ค.นี้ ขนกิจกรรมหลากหลายให้เข้าใกล้และสัมผัสความเป็นบางกรวยมากขึ้น ห้ามพลาดกับเส้นทาง One Day Trip ชวนลัดเลาะ อิ่มเอมธรรมชาติใกล้กรุง สถานท่องเที่ยวที่เดินทางมาได้ตลอดทั้งปี

การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ร่วมกับเทศบาลเมืองบางกรวย และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จัดงาน “หลงเสน่ห์บางกรวย” ตอน ชีวิตติดป๊อปที่บางกรวย ณ ศูนย์การเรียนรู้ กฟผ. สำนักงานกลาง จ.นนทบุรี ซึ่งภายในงานจัดเต็มด้วยกิจกรรมมากมายเพื่อให้ประชาชนที่เข้าร่วมงานได้สัมผัสความเป็นบางกรวยอย่างใกล้ชิด ตั้งแต่นิทรรศการ “จากรากเติบโตเป็นต้นกล้า : บางกรวยดินแดนแห่งสุขที่ยั่งยืน” ที่บอกเล่าเรื่องราวภูมิปัญญาท้องถิ่นของคนบางกรวย การอนุรักษ์พันธุ์ไม้โดยเฉพาะทุเรียนนนท์ การอนุรักษ์นกแก้วโม่งฝูงสุดท้าย การทำสวนแบบยกร่องซึ่งเป็นภูมิปัญญาแบบดั้งเดิม นอกจากนี้บางกรวยยังเป็นเมืองประวัติ 3 ราชธานีที่มีมาตั้งแต่สมัยอโยธยาที่มีความเจริญรุ่งเรืองทั้งด้านเศรษฐกิจ ศิลปะ และวัฒนธรรม ไม่เพียงเท่านั้นแต่บางกรวยยังได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองของสายมู เพราะมีวัดเก่าแก่หลายแห่ง อาทิ วัดโพธิ์บางโอ วัดโตนด วัดสักใหญ่ ให้ได้เข้าสักการะขอพรเพื่อเสริมสิริมงคลด้วย รวมถึงนิทรรศการภาพถ่าย “หลงเสน่ห์บางกรวย ตอน ชีวิตติดป๊อปที่บางกรวย”

หลงเสน่ห์บางกรวยหลงเสน่ห์บางกรวย

ไม่เพียงเท่านี้ภายในงานยังมีกิจกรรม Workshop ชวนลงมือทดลองทำผลิตภัณฑ์และแปรรูปอาหารท้องถิ่น อาทิ  การทำกระทง EM รักษ์โลก นวัตกรรมแปรรูปอาหาร (ถุงหูหลู)  และการทำตะกร้ากาบหมากใบปาล์ม ผ้าเช็ดหน้ามัดย้อมสีจากผักและผลไม้ งานนี้นอกจากสนุกได้ทุกวัยแล้ว ยังได้ผลงานติดไม้ติดมือกลับบ้านไปอีกด้วย

หลงเสน่ห์บางกรวยหลงเสน่ห์บางกรวย

หลงเสน่ห์บางกรวยหลงเสน่ห์บางกรวย

แต่หากใครอยากสัมผัสวิถีชีวิตคนบางกรวยภายใต้การท่องเที่ยวแบบยั่งยืน ยังสามารถเที่ยวตามรอยตามเส้นทางแนะนำที่สามารถเที่ยวได้ตลอดทั้งปี อาทิ สวนอนุรักษ์นกแก้วโม่งที่อาศัยอยู่บนต้นยางนาด้านหลังวัดสวนใหญ่ ซึ่งเป็นนกแก้วขนาดใหญ่ที่สุดในเมืองไทย โดยหัวและลำตัวจะมีสีเขียว จะงอยปากอวบอูมสีแดงสด บริเวณหัวไหล่จะมีแถบสีแดงแต้มอยู่ทั้งสองข้าง ซึ่งนกแก้วโมงเพศผู้จะมีแถบขนสีดำและสีชมพูรอบคอที่มักเรียกกันว่า “Ring Neck” ส่วนนกแก้วโมงเพศเมียจะไม่มีแถบดังกล่าวและมีขนาดเล็กกว่า

หลงเสน่ห์บางกรวยหลงเสน่ห์บางกรวย

นกแห้วโม่งนกแห้วโม่ง

สักการะหลวงพ่อสำเร็จ วัดโตนด ซึ่งสันนิษฐานว่าถูกสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยกรุงธนบุรี เป็นพระพุทธรูปอายุเก่าแก่ที่ขึ้นชื่อเรื่องความศักดิ์สิทธิ์และเป็นที่เคารพบูชาของชาวบางกรวย นอกจากนี้โบสถ์ของวัดโตนดยังมีความแปลกไม่เหมือนใคร เพราะมีลายปูนปั้นรูปผักและผลไม้ประดับแทนช่อฟ้า อาทิ ข้าวโพด สับปะรด ชมพู่ กะหล่ำปลี มะละกอ อุปมาว่าลายปูนปั้นผักและผลไม้คือสิ่งที่แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ในช่วงเวลานั้น และเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นสิริมงคลตามความเชื่อของชาวจีนอีกด้วย

หลงเสน่ห์บางกรวยหลงเสน่ห์บางกรวย

หากชื่นชอบประวัติศาสตร์แนะนำให้เที่ยวชมวัดบางอ้อยช้าง ซึ่งเป็นชุมชนเก่าแก่ตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนปลาย และเป็นสถานที่สนับสนุนทั้งเสบียงอาหารและกำลังพลให้กับกองทัพของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช นอกจากนั้นภายใน “พิพิธภัณฑ์วัดบางอ้อยช้าง” ยังเก็บรักษาของเก่าหาชมได้ยาก อาทิ ภาพเขียนพระราชทานสมัยรัชกาลที่ 5 พระไตรปิฎกโบราณและของเก่ามีค่าทางพระพุทธศาสนาอีกหลายชิ้น

หลงเสนห่์บางกรวยหลงเสนห่์บางกรวย

เมื่อแดดร่มลมตกยิ่งเหมาะแก่การลิ้มลองอาหารรสเลิศ ชอปสินค้าดีจากชุมชนในอำเภอบางกรวยกว่า 20 ร้าน ที่รวบรวมมาให้นักท่องเที่ยวได้เลือกมากมาย ก่อนจะปิดท้ายแบบย้อนวันวานชมหนังกลางแปลงริมแม่น้ำเจ้าพระยากับหนังดังตลอดทั้ง 3 วัน ได้แก่ บัวผัน ฟันยับ, แดง พระโขนง, จูราสสิค เวิลด์ ที่เริ่มฉายตั้งแต่ 18.00 น. เป็นต้นไป

สำหรับประชาชนที่อยากมาสัมผัสความเป็นบางกรวยมาได้แล้วตั้งแต่วันนี้ -29 ต.ค. 2566 เวลา 11.00-20.00 น. งานนี้เข้าชมฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย หรือสอบถามรายละเอียดเส้นทางท่องเที่ยวหลงเสน่ห์บางกรวยได้ที่ โทร. 0 2436 8952-3 หรือ Facebook Page ศูนย์การเรียนรู้ กฟผ. สำนักงานกลาง

หลงเสน่ห์บางกรวยหลงเสน่ห์บางกรวย