Easy Bites เปาะเปี๊ยะกุ้งโหระพา

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

10 มกราคม 2559 เวลา 12:28 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/restaurant/409332

Easy Bites เปาะเปี๊ยะกุ้งโหระพา

โดย…สีวลี ตรีวิศวเวทย์ ภาพ Cookool Studio

ต้นปีแบบนี้ ใครๆ ก็ตั้ง New Year Resolution หรือเป้าหมายที่พร้อมพุ่งชนในศักราชใหม่ นัยของเป้าหมายมักจะมีไว้เพื่อปรับปรุง เเก้ไข ให้ชีวิตดียิ่งๆ ขึ้นไป สำหรับผู้เขียนในปีใหม่นี้ ตั้งใจว่าจะพยายามหาสูตรที่ไม่ยุ่งยาก เเต่จับมาเเต่งตัวหรือเพิ่มเติม Gimmick อีกเล็กน้อย เพื่อให้ได้เมนูที่ทำได้ง่ายๆ เร็วๆ เเต่เก๋ไก๋ ให้เป็นเมนู Heart made for Heart Eat สำหรับคอลัมน์นี้ตลอดปีลิงนี้

สำหรับฉบับนี้ เปิดตอนใหม่ Easy Bites อาหารกินเล่นที่จบเป็นคำๆ ยังใช้ได้ในช่วงเวลาต้นปีที่ยังติดลมปาร์ตี้ ด้วยเปาะเปี๊ยะกุ้งง่ายๆ อาศัยความหอมของโหระพามาเป็นตัวชูโรง ทำให้เปาะเปี๊ยะกุ้งธรรมดาๆ หอมชวนกินมากขึ้น

เปาะเปี๊ยะทอดโดยทั่วไปมักจิ้มกับน้ำจิ้มบ๊วย หรือน้ำจิ้มไก่ที่ออกรสเปรี้ยวหวาน เเต่อาจมีรสชาติไม่ “เป๊ะ” นักเมื่อรับประทานคู่กับเปาะเปี๊ยะกุ้งโหระพา สังเกตจากการจับคู่รสชาติแล้วได้ไอเดียจิ้มเปาะเปี๊ยะหอมโหระพากับน้ำพริกเผาปรุงรส ให้ได้ห้ารส เค็ม เผ็ด เปรี้ยว หวาน เเละอร่อย

เเป้งเปาะเปี๊ยะในปัจจุบันหาซื้อง่ายขึ้นเยอะ ทุกซูเปอร์มาร์เก็ตมักมีเเป้งเปาะเปี๊ยะวางขายตามตู้เเช่เเข็ง มาในรูปเเบบสี่เหลี่ยมจัตุรัส ขนาดมีตั้งเเต่ 6 จนถึง 8 นิ้ว เนื้อเเป้งเปาะเปี๊ยะเเบบเเช่เเข็งจะเรียบละเอียด ห่อได้ง่าย เเละไม่ค่อยอมน้ำมัน เมื่อทอดด้วยวิธีที่ถูกต้อง สามารถซื้อไว้ติดช่องเเข็งได้ จะใช้เมื่อไหร่ก็นำออกมาพักไว้ที่อุณหภูมิห้องสักครู่ก็จะนุ่มพอที่จะห่อม้วนได้ไม่ยาก เพียงเเค่อย่าให้สัมผัสกับลมนาน เพราะจะเเห้งกรอบเเละเเตกได้

เเน่นอนต้องมีวัตถุดิบเป็นกุ้งสด ที่สามารถเลือกเป็นกุ้งเเช่เเข็งที่สามารถเก็บไว้ได้ง่าย จะหยิบใช้เมื่อไหร่ก็เพียงเเค่เอาออกมาพักในตู้เย็น หรือเปิดก๊อกน้ำให้กุ้งละลาย ถ้าใช้กุ้งเเช่เเข็ง อาจจะข้ามขั้นตอนการหมักไปได้ เพราะเนื้อกุ้งเเช่เเข็งมักผ่านกระบวนการให้มีเนื้ออุ้มน้ำจึงเด้งดึ๋งๆ ไม่เเห้ง ถ้าคุณผู้อ่านใช้กุ้งสด สามารถหมักไว้ได้ง่ายๆ ตามสูตรพื้นฐาน เเต่เนื้อกุ้งไม่ควรหมักไว้นานเกินไป เพราะจะเเห้งเเข็งเเทนที่จะอร่อยไปได้

เปาะเปี๊ยะกุ้งที่ห่อไว้ สามารถเรียงใส่กล่องเเช่ช่องเเข็งไว้ได้ จะรับประทานเมื่อไหร่ เพียงเเค่ตั้งน้ำมันให้ร้อน เเล้วทอดด้วยน้ำมันท่วมๆ ที่ไฟกลางจนสุกเหลือง ดูกรอบ เเล้วตักใส่ตะเเกรงไว้ เพื่อให้ระบายความร้อน เปาะเปี๊ยะกุ้งจะได้กรอบนานๆ

สำหรับอาทิตย์หน้าจะเป็น Easy Bites สูตรง่ายๆ เป็นคำๆ เเบบไหน รับรองว่าง่ายๆ ไม่ยากตามสัญญา

สำหรับเปาะเปี๊ยะ

เเผ่นเเป้งเปาะเปี๊ยะ (ตัดขนาด 5×5 นิ้ว หรือให้สัมพันธ์กับขนาดกุ้ง) 15 เเผ่น

กุ้งเเชบ๊วย หรือกุ้งเกษตร (ตามงบประมาณเเละความชอบ) 15 ตัว

ใบโหระพา เด็ดเป็นใบๆ 15 ใบ

เกลือป่น 1 ส่วน 8 ช้อนชา

ไข่ขาว 1 ช้อนโต๊ะ

เเป้งมัน 1 ส่วน 2 ช้อนชา

พริกไทยขาว 1 ส่วน 4 ช้อนชา

น้ำตาลทราย ครึ่งช้อนชา

น้ำมันพืชสำหรับทอด

ตกเเต่งด้วยใบโหระพาทอดกรอบ พริกเเห้ง หั่นเเว่นๆ โรย จะได้สวยๆ

สำหรับน้ำจิ้มพริกเผา (ลองปรับรสเเล้วจดให้ด้วยนะจ๊ะ)

น้ำพริกเผาเเบบละเอียด 4 ช้อนโต๊ะ

น้ำปลา2 ช้อนชา

น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา

น้ำมะนาว 2 ช้อนชา

เม็ดมะม่วงหิมพานต์โขลกหยาบๆ สำหรับโรยหน้า

วิธีทำ

• ปอกเปลือกกุ้ง เเกะหัว ไว้หาง บั้งที่ส่วนท้องกุ้งเป็นเส้นๆ ไว้สัก 2-4 เส้น เพื่อให้ตัวกุ้งยืดได้เมื่อถูกความร้อน ทำความสะอาดด้วยน้ำเย็น ซับให้เเห้ง

• หมักส่วนผสมเกลือ ไข่ขาว เเป้งมัน พริกไทยขาว น้ำตาลทราย พักไว้สัก 10 นาที

• เเผ่เเป้งเปาะเปี๊ยะลง หั่นด้านมุมเข้าหาตัว พับมุมด้านขวาเข้ามาสัก 1.5 นิ้ว วางกุ้งด้านหางลงตรงด้านที่พับไว้เเล้วค่อยๆ ม้วนขึ้นมา วางใบโหระพาลงเเล้วพับมุมด้านซ้ายให้จรดกับเนื้อด้านหัวกุ้ง ม้วนขึ้นมาเรื่อยๆ จนสุดเเผ่นเเป้ง ทาด้วยเเป้งเปียกหรือไข่ขาว เรียงใส่ถาด พักไว้ ทำให้ครบตามจำนวน

• ตั้งน้ำมันให้ร้อน ทอดให้เหลือง ตักพักบนตะเเกรง

• ผสมน้ำจิ้ม โดยคนส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากัน โรยด้วยเม็ดมะม่วงหิมพานต์ เสิร์ฟพร้อมเปาะเปี๊ยะกุ้งโหระพา

 

Festive Holiday

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

03 มกราคม 2559 เวลา 13:14 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/restaurant/408066

Festive Holiday

โดย…สีวลี ตรีวิศวเวทย์ ภาพ : cookool studio

ฉบับแรกประจำปี 2559 ขอใช้พื้นที่เล็กๆ ตรงนี้กล่าวสวัสดีปีใหม่แก่คุณผู้อ่าน Heart Eat ทุกท่านทั้งขาประจำและขาจร พรใดคงไม่ประเสริฐเท่ากับสุขภาพที่แข็งแรง และความรักใคร่ในหมู่มวลมนุษย์โลก ที่จะทำให้อาหารจานไหนๆ ก็อร่อยถูกปากไปหมด

Heart Eat ฉบับนี้ยังคงยึดพื้นที่ในช่วงเวลาแห่งความสุข นำเอาสูตรขนมที่เหมาะสำหรับช่วงเทศกาล ทั้งทำกินเองที่บ้านหรือจะนำไปเป็นของขวัญแบบฉบับโฮมเมด โดยมากในช่วงเวลาเฉลิมฉลองแบบนี้ ในซีกโลกตะวันตกที่ย้อนกลับไปเป็นร้อยปีได้ เขามี “Tradition” หรือแบบแผนของการเฉลิมฉลองด้วยขนมที่มีเกร็ดน่ารักน่ารู้ที่น่าสนใจ เราคงอาจสงสัยกันว่าทำไมขนมในช่วงคริสต์มาสของฝรั่งถึงหวานนัก? คำตอบแรกเลยคือ สมัยนั้นน้ำตาลเป็นสิ่งของหายาก ต้องมาจากอีกทวีปหนึ่งโดยขนส่งมาทางเรือ ราคาของน้ำตาลทรายสูงนัก เลยทำให้บ้านไหนที่มีขนมหวานไว้เลี้ยงแขก แจกญาติในช่วงเทศกาล ถือว่าเป็น “ไฮโซ สวยและรวยมาก” อย่างภาษาปัจจุบัน ดังนั้นขนมในช่วงคริสต์มาสถึงได้ค่อนหนักไปทางหวานๆ เคลือบน้ำตาล น้ำเชื่อม ยังมักเพิ่มเติมผลไม้ที่แช่อิ่มด้วยน้ำตาลลงไปในส่วนผสม หรืออาจตกแต่งไว้ด้านนอก ที่ไม่เพียงแค่ “โชว์ฐานะ” เท่านั้น ยังช่วยให้ขนมเก็บไว้ได้นานขึ้นอีกด้วย

นอกจากความแพงของน้ำตาลแล้ว เหล่าเครื่องเทศต่างๆ จากซีกโลกตะวันออก ยังเป็นอีกหนึ่งเครื่องแสดงความฟู่ฟ่าทางฐานะการเงินของเจ้าของงานเลี้ยงในช่วงฤดูหนาวและเทศกาลเฉลิมฉลอง เพราะพวกเครื่องเทศ ไม่ว่าจะเป็นอบเชย กระวาน กานพลู ล้วนแล้วแต่มาจากฝั่งเอเชีย ตะวันออกกลางและอินเดีย การนำเอาเครื่องเทศมาเติมแต่งในขนมหวาน แน่นอนว่าเกิดขึ้นหลังจากการแลกเปลี่ยนสินค้าจากซีกโลกตะวันออกไปยังตะวันตกอีกเช่นกัน อาหาร เครื่องปรุง เครื่องเทศจากโลกตะวันออก ถือเป็นเครื่องบ่งบอกความร่ำรวยในยุคที่การเดินเรือเป็นทางเดียวที่จะขนส่งสินค้าได้รวดเร็วข้ามโลกที่สุด อย่าเปรียบเทียบกับตอนนี้เพราะคุณผู้อ่านอาจไม่เห็นภาพ ตัวอย่างง่ายๆ เลยว่า โต๊ะอาหาร Feast ใหญ่ๆ ในยุโรปในช่วงเวลาหนึ่งเน้นการตกแต่ง Center Piece ด้วยสับปะรด เพราะหายากและมาจากแอฟริกาเท่านั้น นี่คือหนึ่งในตัวอย่าง

พวกขนมในคริสต์มาสหรือปีใหม่ จึงมีส่วนผสมของเครื่องเทศ และเน้นความหวานหอมของน้ำตาลตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เวลาจะรับประทานอาจทำให้เจือจางอีกนิดด้วยการเสิร์ฟกับครีม จนเป็นที่มาว่าเพลงคริสต์มาสของเด็กๆ อย่างเพลง Christmas Pudding จึงมีท่อนหนึ่งที่บอกว่าก่อนกินต้องราดครีมจนทั่ว เห็นไหมว่าวัฒนธรรมการกินยังเรียนรู้ได้จากเพลงอีกด้วย

ฉบับนี้ผู้เขียนจึงอยากนำเอาไอเดียการกิน Christmas Pudding ในแบบสมัยใหม่ ที่ใช้สูตร Fruit Cake เข้ามา เอ่ยถึง Fruit Cake เขาว่ากันว่า ฟรุตเค้กถ้าไม่ชอบไปเลย ก็คือเกลียดไปเลย คุณผู้อ่านอย่าเพิ่งกลัวเพราะสูตรนี้เราใช้หลักการของ Light Fruit Cake ที่เนื้อนุ่มเบา ไม่หนักหวาน และเลือกแต่ผลไม้ที่ชอบแต่งเติมลงมาใส่ สำหรับ Heavy Fruit Cake ที่หลายคนกลัวนั้นจะราดและเคลือบด้วยน้ำเชื่อม ผลไม้อาจจะเยอะแยะจนหนักหวานและแคลอรี สูตรนี้ตรงกันข้ามกับที่ว่ามาทั้งหมด ช่วงปีใหม่ที่ผ่านมาทำแจกญาติชิมไปบ้าง ได้รับคำชมว่ารับประทานกับกาแฟหรือชาในตอนเช้าแสนจะเข้ากัน ยิ่งกินยิ่งมันหยุดไม่ได้ จากส่วนผสมที่หวานน้อยๆ ตัดสูตรน้ำตาลจากเดิมของฝรั่งไปกว่าครึ่งก็ยังอร่อยอยู่ เคล็ดลับมีเพียงนิดนึงคือ ต้องใช้เนยที่ไม่เย็นและไม่เหลวจนเกินไป พร้อมกับไข่ที่อุณหภูมิห้อง หลักการเดียวกับบัตเตอร์เค้กทั่วๆไป อย่าลืมว่าลูกเกดที่เลือกใช้คุณผู้อ่านสามารถลดความหวานได้โดยเลือกยี่ห้อที่ปราศจากน้ำตาล และนำมาแช่น้ำอุ่นสักครั้งหนึ่งล้างเอาความหวานรอบหนึ่งออกไป ก่อนจะแช่ให้นุ่มนิ่มด้วยเหล้ารัมดีๆ ถ้าไม่ชอบเหล้ารัมไม่ต้องกังวล ลองเปลี่ยนเป็นน้ำเปล่าหรือน้ำแอปเปิ้ลก็ให้ผลดีไม่ต่างจากเหล้ารัมเลย

สูตรนี้ทำแล้วเก็บไว้ในตู้เย็นได้สบายๆ หลายวัน เวลาจะรับประทานเพียงแค่นำมาอุ่นในไมโครเวฟ หรือจะเป็นเตาติ๊ง แบบเตาอบขนาดเล็กก็ได้ไม่ผิดหวัง

Cookool Black Raisin & Rum Cake

เนยจืด 120 กรัม

น้ำตาลทรายขาว ½ ถ้วย

น้ำตาลทรายแดง แบบสีเข้ม ½ ถ้วย

ไข่ไก่ 3 ฟอง

กลิ่นวานิลลา 1 ช้อนชา

แป้งอเนกประสงค์ 1 ถ้วย + ¼ ถ้วย

เกลือป่น ½ ช้อนชา

อบเชยป่น ½ ช้อนชา

ลูกเกดสีอ่อน ½ ถ้วย

ลูกเกดสีเข้ม ½ ถ้วย

เหล้ารัม ¼ ถ้วย

น้ำสะอาด ½ ถ้วย

วิธีทำ

• คืนก่อนหน้าที่จะทำขนม ผสมน้ำสะอาด เหล้าและลูกเกดทั้งสองชนิดลงในชาม นำเข้าไมโครเวฟประมาณ 2 นาทีเพื่อให้ร้อน พักไว้สักครู่แล้วนำเข้าตู้เย็น หมักลูกเกดไว้อย่างน้อย 1 คืน เมื่อถึงเวลาทำเค้กให้นำออกมาพักไว้ที่อุณหภูมิห้องประมาณ 2 ชั่วโมง พร้อมไข่ไก่ด้วยเลย

• เริ่มทำเค้ก โดยร่อนแป้ง เกลือ และอบเชยเข้าด้วยกัน พักไว้

• หั่นเนยจืดในโถตี แล้วพักไว้ที่อุณหภูมิห้อง สำหรับสูตรนี้จำเป็นต้องให้เนย ไข่ไก่ และลูกเกดมีอุณหภูมิใกล้เคียงกัน

• เตรียมพิมพ์และเตาอบ โดยทาเนยลงในพิมพ์ หากพิมพ์มีก้นที่กว้าง แนะนำให้ปูกระดาษไขรองก้นพิมพ์ แล้วทาเนยร่อนแป้งบางๆ เพื่อให้ขนมร่อนออกจากพิมพ์ได้โดยง่าย อุ่นเตาอบไว้ที่ 170 องศา

• “ครีม” หรือตีเนยกับน้ำตาลทั้งสองชนิดให้เบาฟู ที่ความเร็วค่อนข้างสูง ใช้เวลาประมาณ 5-8 นาที

• ค่อยๆ เติมไข่ไก่ลงไปทีละน้อยจนหมด ปาดขอบโถและตีต่อไปจนเนียนเข้ากัน

• เติมแป้งที่ร่อนแล้วลงไป ตีให้พอเข้ากัน จากนั้นเติมลูกเกดพร้อมน้ำที่แช่ลูกเกดลงไป ตะล่อมให้ส่วนผสมเข้ากันเป็นเนื้อเดียว

• เทลงพิมพ์ที่เตรียมไว้ นำเข้าอบทันทีที่ 170 องศาอบเค้กโดยใช้เวลาประมาณ 50-60 นาที ขึ้นอยู่กับความกว้างและขนาดของพิมพ์ วิธีสังเกตคือ เนื้อเค้กจะหดจากพิมพ์เล็กน้อย ใช้ไม้แหลมจิ้มลงกึ่งกลางพิมพ์ เพื่อดูว่ามีเศษเค้กแฉะๆ ติดขึ้นมาหรือไม่ นำออกมาพักบนตะแกรงรอให้อุ่นๆ แล้วคว่ำออกจากพิมพ์

• รอให้เย็นสนิท ตกแต่งตามชอบ

• วิธีเสิร์ฟ : หั่นเป็นชิ้นขนาดพอดีเสิร์ฟ อุ่นในไมโครเวฟประมาณ 10-15 วินาที เสิร์ฟกับวิปครีมเย็นๆ

 

Festive Holiday Merry Matcha Scone

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

27 ธันวาคม 2558 เวลา 11:16 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/restaurant/407058

Festive Holiday Merry Matcha Scone

โดย…สีวลี ตรีวิศวเวทย์ ภาพ Cookool Studio

สุขสันต์วันคริสต์มาสที่เพิ่งผ่านไปไม่นานด้วยสูตร Matcha Scone ในฉบับนี้ นอกจากสีสันเข้ากับเทศกาลเขียวเเดงเเล้ว กลิ่นหอมๆ ของขนมอบที่ฟุ้งอยู่ในครัวที่ผ่านช่วยให้ช่วงเทศกาลดูอบอุ่นขึ้นมาอีกนิด

สูตรของสโคนค่อนข้างมีโครงสร้างสูตรที่ง่ายไม่ยุ่งยาก เเต่ถ้าฝีมือเเละประสบการณ์ในการทำขนมต่างกันเเล้ว สูตรเดียวกันเเต่คนทำคนละคน อาจส่งผลให้ขนมออกมาต่างกันก็เป็นได้ จึงจำเป็นต้องเข้าใจหลักการง่ายๆ ของสโคนก่อน เช่น การตัดเนยกับเเป้ง ทำขึ้นเพื่อให้เนื้อขนมร่วนๆ จากการที่เนยเข้าไปหุ้มเเป้งในขนาดต่างๆ กัน เมื่อเติมของเหลวเย็นจัดๆ อย่างนมเเละไข่ไก่ลงไป เนยไม่ละลาย ช่วยให้เกิดชั้นของขนมได้เเละเนื้อขนมเบาจากการที่ไม่นวด ตะล่อมพอเข้าๆ กันเท่านั้น อุณหภูมิในการอบก็สำคัญ ถ้าอยากได้กึ่งกลางเเยกสวยๆ ต้องอุณหภูมิสูงๆ ขนมจะ “สปริง” ตัวขึ้นสูงดูสวยน่ากินเมื่ออบสุก

สำหรับสูตรนี้ผู้เขียนดัดเเปลงมาจากสูตรดั้งเดิม เติมผงชาเขียวลงไปนิดหน่อย เปลี่ยนจากครีมเป็นนมเพื่อให้ได้เนื้อสัมผัสของขนมที่เบาขึ้น

ขั้นตอนการทำยังเหมือนเดิม เพียงเเค่ชงผงชาเขียวกับนมซึ่งอาจจะละลายยากนิดหน่อยเพราะเราต้องใช้นมเย็นๆ วิธีที่ผู้เขียนใช้ คือ ใช้เครื่องปั่นขนาดเล็กปั่นนมเเละชาเขียวด้วยความเร็วสูงเเละใบพัดมีด ทำให้เข้ากันได้ง่ายขึ้นเยอะ

อย่าลืมว่าขนมที่ส่วนผสมไม่เยอะเเยะ คุณภาพของส่วนผสมสำคัญยิ่งยวด อย่างสูตรของสโคน คุณภาพเนยส่งผลมากๆ กับความอร่อยของขนม เนยต่างประเทศจะมีเปอร์เซ็นต์ไขมันสูงกว่าเเละความชื้นในเนยต่ำ มักทำจากนมสดไม่เติมนมผง ช่วยให้เนยมีความยืดหยุ่นสูง เหมาะกับกรรมวิธีในการตัดเเป้งกับเนยของสโคน ช่วยให้ขนมสวยด้วย อร่อยด้วย อันนี้เป็นเรื่องจริงในการทำขนมบ้านเรา

ผงชาเขียวเป็นอีกหนึ่งตัวเเปรความอร่อย ยิ่งผงชาเขียวใหม่ๆ เเละเป็นผง Matcha ชาเขียวเเท้ใช้ไม่มากก็ให้ความหอมเต็มที่เเล้ว ผู้เขียนทดลองสูตรนี้ใช้ผงชาเขียวเยอะๆ ไม่เป็นผลดีต่อเนื้อขนม เเละยังทิ้ง
รสชาติขมๆ ไว้ในลำคอ ปริมาณพอดีๆ เเต่เลือกคุณภาพดีหน่อยจะให้สีสวยเเละกลิ่นหอมที่พอดีๆ

หลายๆ ร้านเลือกเสิร์ฟสโคนชาเขียวกับวิปครีมเบาฟูเเละถั่วเเดงกวน ถ้าคุณผู้อ่านจะเติมถั่วเเดงเม็ดเล็กต้มสุกนุ่มเเล้วลงในสูตรนี้ก็ได้ ไม่มีผลต่อการขึ้นฟู คล้ายๆ กับการเติมผลไม้เเห้งลงในสโคนนั่นเอง หรือจะยีถั่วเเดงกวนผสมกับวิปครีม จนได้เป็น Red Bean Cream เเบบร้านคาเฟ่ต์สไตล์ญี่ปุ่นก็เป็นไอเดียที่ดี

ในฉบับนี้ Cookool ของเรา นำเสนอไอเดียการตกเเต่งให้สโคนเป็นของขวัญเเด่คุณผู้อ่านไว้ด้วย เผื่อว่าจะใช้เป็นขนมโฮมเมดให้เป็นของขวัญ สุขสันต์วันคริสต์มาสที่ผ่านไปเเละปีใหม่ที่กำลังจะเข้ามาค่ะ

Cookool Matcha Scone

ส่วนผสม

– เเป้งอเนกประสงค์ 130 กรัม

– เเป้งเค้ก 120 กรัม

– ผงฟู 15 กรัม

– น้ำตาลทรายละเอียด 50 กรัม

– เกลือป่น 1/4 ช้อนชา

– เนยจืด 70 กรัม

– ไข่ไก่ 1 ฟอง

– ผงชาเขียวอย่างดี 5 กรัม

– นมจืด 120 กรัม

– เพิ่มคุณค่าทางอาหารด้วยถั่วเเดงเม็ดเล็กต้มพอสุก

– ประมาณ 1/4 ถ้วย

วิธีทำ

– ตัดเนยจืดให้เป็นชิ้นเล็กๆ เเช่เย็นไว้ให้เย็น

– ร่อนเเป้งทั้งสองชนิด น้ำตาลทราย ผงฟู เกลือ เข้าด้วยกัน

– ชงนมจืดเเละผงชาเขียวเข้าด้วยกัน (ถ้าต้องการสีสันสวยงามเเนะนำให้หยดสีเขียวลงไปสักนิด) ตอกไข่ไก่ลงไปตีผสม

– ตัดเนยจืดกับเเป้งเข้าด้วยกันด้วยส้อม หรือถ้าจะให้ดีคือ Pastry Cutter

– เติมนมที่ผสมไว้ลงไป พร้อมกับถั่วเเดงต้มสุก ผสมพอเเค่เข้ากัน พยายามอย่านวด

– เทโดลงบนเเผ่นพลาสติกที่ปูไว้ ตบเบาๆ พอให้เกาะกันเเละมีความหนาเท่ากันทั้งเเผ่น

– เเช่เย็นไว้ ประมาณ 30 นาที

– อุ่นเตาอบไว้ 210C เตรียมถาดอบ ปูกระดาษไขไว้

– ใช้ที่กดกดขนมออกมาเป็นชิ้นๆ เรียงใส่ถาด อบประมาณ 12-15นาที

– พักไว้จนอุ่นๆ พร้อมเสิร์ฟ

– วิธีเก็บ เก็บในกล่องหรือภาชนะปิดสนิท ที่อุณหภูมิห้องได้ 2-3วัน หรือห่อพลาสติกไว้ เเช่เย็นไว้ นำออกมาพักที่อุณหภูมิห้อง15-20 นาที เเล้วอุ่นไมโครเวฟประมาณ 15-20 วินาที

 

Festive Holiday Grand Marnier Cream Scone

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

20 ธันวาคม 2558 เวลา 11:23 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/restaurant/405833

Festive Holiday Grand Marnier Cream Scone

โดย…สีวลี ตรีวิศวเวทย์ ภาพ Cookool Studio

ช่วงเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่แบบนี้ หากได้รับห่อขนมโฮมเมดสักห่อ ที่กรุ่นไปด้วยกลิ่นหอมของนมเนย คงทำให้ช่วงเทศกาลดูน่าประทับใจยิ่งขึ้นไปอีก

อย่างสโคนสูตรนี้ ที่แอบเติมเหล้ากรองด์มานิเอร์ บรั่นดีหอมกลิ่นส้ม ที่ช่วยให้สโคนมีเสน่ห์ชวนลิ้มลอง แถมผู้เขียนเอาเคล็ดลับของเพื่อนอายุรุ่นคุณแม่ที่เคยเรียนทำขนมด้วยกันมาแบ่งปันให้คุณผู้อ่านในสูตรนี้ เพราะเพื่อนของผู้เขียนมีเชื้อสายผู้ดีอังกฤษนิยมใช้วิปปิ้งครีม แทนที่จะเป็นนมสดอย่างสูตรสโคนทั่วไปลงมาผสมกับส่วนผสมอื่นๆ เธอบอกว่า ช่วยให้สโคนฉ่ำเข้มข้นขึ้นเข้ากับกลิ่นของเหล้าส้มที่เสริมให้สโคนนี้พิเศษเข้ากับช่วงปีใหม่ที่จะเข้ามา

สโคนแบบนี้เป็นสไตล์อังกฤษ แบบรับประทานกับน้ำชา ปาดด้วยวิปครีมและแยม ต่างจากสโคนแบบอเมริกันที่นิยมรับประทานกับกาแฟและอัดแน่นไปด้วยความหวานพร้อม Mix-in ต่างๆ ทั้งช็อกโกแลตชิป หรือผลไม้แห้ง แต่สูตรนี้อนุโลม เพราะผู้เขียนชอบแอบเติม Candied orange peel หรือผิวส้มเชื่อมลงไปด้วย เพื่อเสริมกลิ่นหอมๆ ให้แทรกซึมอยู่ในเนื้อขนม แม้จะแอบเติมลงไปแต่ก็กลัวความหวานผิดแผกต้นตำรับ เลยใช้น้ำร้อนล้างเอาความหวานของส้มเชื่อมออกไปรอบหนึ่งเสียก่อน นำมาหั่นเป็นเต๋า เติมลงในแป้งก่อนจะเติมของเหลว เพื่อให้เนื้อผลไม้กระจายได้ง่ายในเนื้อขนมเวลาขึ้นรูป

กว่าจะได้สูตรที่ลงตัว ยอมรับว่าผิดพลาดกับการทำสโคนมาหลายครั้ง เคล็ดลับแรกที่อยากนำเสนอคือ เนยจำเป็นต้องเป็นเนยคุณภาพดีที่สุดที่หาได้ ถ้ามีกำลังใช้เนยที่มาจากฝรั่งเศส หรือแหล่งเนยดีๆ อื่นๆ แนะนำให้เลือกใช้ได้เลย

ลำดับถัดมาคือ แนะนำให้ส่วนผสมอื่นๆ เย็นจัดไปด้วย ทั้งครีมและไข่ไก่ แตกต่างจากตอนที่พวกเค้ก ที่ส่วนผสมจะต้องอยู่ที่อุณหภูมิห้อง สำหรับสโคนจะต้องเย็นจัดเท่านั้น เพื่อให้เนยอยู่ตัว เนื้อสโคนถึงจะร่วนอร่อย

ฝีมือของผู้ทำขนม มีส่วนมากสำหรับสโคน ต้องเป็นคนมือเบาไม่นวด เพราะจะทำให้เนื้อสโคนแน่น ไม่อร่อย ขอแค่ตบๆ เข้ามาเกาะกันอย่างหลวมๆ วิธีนี้จะช่วยให้ขนมอบออกมาแล้วเบาฟูดูน่ากิน แถมยังแตกกลางเป็น 2 ส่วน ช่วยให้อู้หูเวลาเห็นสโคนอยู่ในจาน

สุดท้ายอุณหภูมิเตาอบที่ร้อนจัดๆ จะช่วยให้สโคน “Spring” ตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็วจนมีรอยแยก อบที่อุณหภูมิสูงคือ 200 °C ขึ้นไปแบบนี้ รับรองว่าขนมจะขึ้นได้ดีและดูน่ากินที่สุด แต่ต้องระวังเพราะสโคนอบสุกได้ง่ายมาก เพียง 10-15 นาที สำหรับขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางไม่เกิน 2 นิ้ว ก็พร้อมสุกและทำให้ครัวหอมฟุ้งในเวลาแป๊บเดียวแล้ว

นำสโคนออกมาพักนอกเตาอบสักครู่ก่อนรับประทานกับวิปครีมตีให้คงตัวกับแยม หรือใครหา Clotted cream ได้ก็ยิ่งอร่อย ถ้าไม่ได้ลองใช้เป็น Mascapone cheese ของอิตาลีที่หาได้ง่ายกว่า พอทดแทนกันได้ไม่ยาก

สโคนสูตรนี้ทำเป็นชุดของขวัญสำหรับคนพิเศษยิ่งน่าประทับใจ เพราะอุ่นได้ง่าย ใช้ไมโครเวฟเพียง 15 วินาที จะได้ขนมนุ่มๆ กินคู่กับแยมสตรอเบอร์รี่และน้ำชา อร่อยเป็นที่สุด ห่อใส่กล่องพลาสติกปิดฝาแน่น แล้วใช้กระดาษห่อผูกด้ายเลียนแบบไปรษณีย์โบราณ ช่วยให้ได้ชุดขนมน่ารักเป็นของขวัญสำหรับเทศกาลปีใหม่ที่ใกล้เข้ามา

Cookool Grand Marnier Cream Scone

สำหรับสโคน

– แป้งอเนกประสงค์ 130 กรัม

– แป้งเค้ก 100 กรัม

– ผงฟู 13 กรัม

– น้ำตาลทรายละเอียด 40 กรัม

– เกลือป่น 1 ส่วน 4 ช้อนชา

– เนยจืด 70 กรัม

– ไข่ไก่ 1 ฟอง

– วิปปิ้งครีม 75 กรัม

– เหล้ากรองด์มานิเอร์ 1 ช้อนโต๊ะ

(เปลี่ยนเป็นกลิ่นวานิลลา หากต้องการเลี่ยงแอลกอฮอล์ได้)ผลไม้แห้ง เช่น แครนเบอร์รี่ ลูกเกดขาว ส้มแช่อิ่ม หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ประมาณครึ่งถ้วยตวงEgg Wash : ไข่แดง 1 ฟอง + น้ำสะอาด 1 ช้อนโต๊ะ ตีให้เข้ากัน สำหรับทาหน้าสโคน

สำหรับแยมสตรอเบอร์รี่โฮมเมด

– สตรอเบอร์รี่แช่แข็ง 250 กรัม

– น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ

– สำหรับสโคน : ตัดเนยจืดให้เป็นชิ้นเล็กๆ แช่เย็นไว้ให้เย็น

-ร่อนแป้งทั้งสองชนิด น้ำตาลทราย ผงฟู เกลือ เข้าด้วยกัน

– ผสมครีมและเหล้าเข้าด้วยกัน พักไว้ในตู้เย็น สักพักตอกไข่ใส่ลงไป

– ตัดเนยจืดกับแป้งเข้าด้วยกันด้วยส้อม หรือถ้าจะให้ดีคือ Pastry Cutter ถ้าเติมพวกผลไม้แห้ง แนะนำในขั้นตอนนี้ได้เลย

– เติมครีมที่ผสมไว้ลงไป ผสมพอแค่เข้ากัน พยายามอย่านวด

– เทโดลงบนแผ่นพลาสติกที่ปูไว้ ตบเบาๆ พอให้เกาะกันและมีความหนาเท่ากันทั้งแผ่น (ถ้าขนมเละไป แนะนำให้เอาไปแช่เย็นไว้ประมาณ 30 นาที)

– อุ่นเตาอบไว้ 220 °C เตรียมถาดอบ ปูกระดาษไขไว้

– ใช้ที่กดกดขนมออกมาเป็นชิ้นๆ เรียงใส่ถาด ทาด้วย Egg washเฉพาะด้านบน อบประมาณ 12 นาที

– พักไว้จนอุ่นๆ พร้อมเสิร์ฟ

– วิธีเก็บ เก็บในกล่องหรือภาชนะปิดสนิท ที่อุณหภูมิห้องได้ 2-3วัน หรือห่อพลาสติกไว้ แช่เย็นไว้ นำออกมาพักที่อุณหภูมิห้อง15-20 นาที แล้วอุ่นไมโครเวฟประมาณ 20 นาที

– สำหรับแยม : เติมน้ำตาลและสตรอเบอร์รี่แช่แข็งลงในหม้อตั้งไฟอ่อนๆ ประมาณ 15 นาที คนไปเรื่อยๆ จนเนื้อสตรอเบอร์รี่ข้นขึ้น เคี่ยวต่อจนได้ลักษณะคล้ายแยม เนื้อสตรอเบอร์รี่จะค่อยเละแบบบี้ ได้ ยกลงจากเตา ทำให้เย็นลงอย่างรวดเร็วใส่กระปุกเก็บไว้

 

Festive Holiday Cranberry Bliss Bar

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

13 ธันวาคม 2558 เวลา 13:20 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/restaurant/404745

Festive Holiday Cranberry Bliss Bar

โดย…สีวลี ตรีวิศวเวทย์ ภาพ Cookool Studio

เมนูขนมประจำเทศกาลในร้านที่ผู้เขียนเเกะสูตรมาให้คุณผู้อ่านได้ทดลองทำในฉบับนี้ ผู้เขียนเคยชิมครั้งเเรก นับมาได้ไม่ต่ำกว่า 14 ปี ลองถามน้องชายที่ยังใช้ชีวิตอยู่ที่อเมริกา ได้ความว่า เเม้เวลาผ่านไปก็ยังมีเมนูนี้อยู่ เมนูที่ว่าคือ Cranberry Bliss Bar นั่นเอง

เอกลักษณ์ของขนม Cranberry Bliss Bar คือ เป็นขนมสไตล์ “Bar” จัดอยู่ในกลุ่มเดียวกับ Sheetpan Cake หรือเค้กที่อบในถาดสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดสัก 50 เซนติเมตร เเล้วนำมาตัดเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมผืนผ้า จึงเรียกเป็น Bar หรืออาจจะเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส

เเครนเบอร์รี่บลิสบาร์ มีลักษณะเนื้อเค้กได้หลายรูปเเบบ อย่างในอเมริกาค่อนข้างคล้ายไปทางเเครอตเค้ก คือ เนื้อไม่เเน่นมาก ออกฟูนิดๆ เเต่จะหนึบๆ หน่อย คล้ายกับจะมีไข่ไก่เป็นส่วนผสมหลักสไตล์บราวนี่บางสูตร ที่ญี่ปุ่นจะคล้ายๆ ขนม Blondie มีเนยเป็นส่วนผสมหลัก ส่วนที่ฮ่องกงจะออกไปทางเเห้งๆ สักนิด เพื่อให้รับประทานคู่กับ Frosting ด้านบนที่ทุกที่คล้ายกันหมด คือ เป็น Cream Cheese Frosting เเล้วโรย Cransin หรือ Cranberry แห้งสีเเดงสวยเข้ากับเทศกาลสังสรรค์

ผู้เขียนทดลองทำสูตรขนมที่คล้ายกับต้นตำรับมา 5 สูตร เลือกสูตรที่ง่ายๆ มานำเสนอในฉบับนี้ เนื้อของขนมจะอร่อยเเม้ว่าจะเเช่เย็น หรืออยู่ที่อุณหภูมิห้อง เพราะมีส่วนผสมเนยอยู่ไม่มาก จึงสามารถอร่อยได้ทุกอุณหภูมิ ถ้ามีเนยเป็นส่วนผสมหลัก หากรับประทานทันทีที่ออกจากตู้เย็น เนื้อขนมจะกระด้างกว่าไม่อร่อย

เนื้อของ Cranberry Bliss Bar ในเเบบของ Cookool นั้น จึงนุ่มๆ หนึบๆ มีส่วนผสมของเเครนเบอร์รี่กระจายอยู่ในเนื้อขนม เพิ่มความเข้มข้นด้วย Baking Chocolate ที่เป็น White Chocolate มาเป็นส่วนผสมด้วย กินเเล้วจะหวานๆ ซ้อนเปรี้ยว เข้ากับครีมชีสด้านบนเป็นอย่างดี

ขนมฝรั่งในช่วง Festive ขาดไม่ได้เลยต้องมีกลิ่นหอมๆ ของเครื่องเทศ อย่างอบเชย ลูกจันทน์ป่น กานพลู สำหรับเราคนไทยหากไม่คุ้น อาจเลือกที่จะไม่เติมความหอมด้วยเหล่าเครื่องเทศเเบบนี้ สำหรับผู้เขียนเเนะนำให้ “พบกันครึ่งทาง” คือ เติมเเต่งกลิ่นด้วยเครื่องเทศเเต่พอดี เน้นอบเชยที่กินง่ายหน่อย คู่กับลูกจันทน์ป่นที่เข้ามาช่วยสร้างสมดุลของกลิ่นอบเชยไม่ให้นำโด่งเตะจมูกนัก

เคล็ดลับหนึ่งที่ผู้เขียนคิดว่าทำให้สูตรของ Cookool เลียนเเบบออกมาได้อร่อยกว่า คือ เติมเเยมส้ม Marmalade เเบบน้ำตาลน้อย Low Sugar ลงในส่วนผสม Creamcheese Frosting นอกจากจะได้กลิ่นหอมสดชื่นที่ปลายลิ้นเเล้ว ยังสร้างเสน่ห์ให้กับขนมสูตรนี้ได้เป็นอย่างดี

Cranberry Bliss Bar ตามสไตล์ Cookool

สำหรับขนม

ไข่ไก่ 3 ฟอง

น้ำตาลทรายเเดง 220 กรัม

เนยจืด ละลาย 85 กรัม

เเป้งอเนกประสงค์ 230 กรัม

อบเชยป่น 1/2 ช้อนชา

ลูกจันทน์ป่น 1/4 ช้อนชา

เกลือป่น 1/8 ช้อนชา

กลิ่นวานิลลา 1 ช้อนชา

ช็อกโกเเลตชิปขาว 1/2 ถ้วย

เเครนเบอร์รี่เเห้ง 1/2 ถ้วย

สำหรับหน้าขนม Cream cheese frosting

ครีมชีส 2 ก้อน

น้ำตาลไอซิ่ง 2/3 ถ้วย

กลิ่นวานิลลา 1 ช้อนชา

เเยมผิวส้ม 2 ช้อนโต๊ะพูน

สำหรับตกเเต่ง

เเครนเบอร์รี่เเห้ง 1/2 ถ้วย

สับหยาบๆ

ช็อกโกเเลตขาวละลาย 1/4 ถ้วย

วิธีทำ

• อุ่นเตาอบที่ 190 เซลเซียส เตรียมถาดอบขนาด 50 ซม. ทาเนยบางๆ ปูกระดาษไขที่ก้นถาด

• ตีไข่ไก่กับน้ำตาลทรายเเดงเเละเกลือป่น จนข้นเป็นริ้ว ประมาณ 8 นาที

• เติมเนยจืดละลายที่ไม่ร้อนเเละไม่เย็นจนเกินไป ลงไปเป็นสาย ตีจนเข้ากัน

• เติมเเป้งอเนกประสงค์ที่ร่อนกับลูกจันทน์เเละอบเชย ลงไป

• ใส่วานิลลา ช็อกโกเเลตชิป เเละผลไม้เเห้ง

• เทส่วนผสมลงในถาดอบ นำเข้าเตาอบ อบเป็นเวลา 12-15 นาที นำออกมาพักไว้บนตะเเกรง รอให้เย็นสนิท

• ระหว่างที่รอ ตีครีมชีสให้นุ่ม เติมน้ำตาลไอซิ่ง เเยมส้ม เเละกลิ่นวานิลลาลงไป ตีต่อให้เข้ากันเป็นครีมนุ่มๆ

• เมื่อขนมเย็นสนิทดีเเล้ว ปาดครีมชีสลงให้ทั่วหนาเท่าๆ กัน โรยด้วยเเครนเบอร์รี่เเห้งที่สับไว้หยาบๆ เเล้วบีบช็อกโกเเลตขาวเป็นเส้นๆ ริ้วๆ สำหรับตกเเต่ง

• นำขนมทั้งถาดเข้าตู้เย็นประมาณ 1 ชั่วโมง ก่อนนำมาตัดเป็นขนาดที่ต้องการ

• วิธีเก็บขนมนี้ สามารถเก็บไว้ที่อุณหภูมิห้องในภาชนะปิดสนิทได้ 3-4 วัน หรือเก็บไว้ในภาชนะปิดสนิทในตู้เย็นได้ถึง 7-10 วัน

 

Spaghetti Kitchen สปาเกตตีลาบหมูคั่ว

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

06 ธันวาคม 2558 เวลา 13:29 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/restaurant/403559

Spaghetti Kitchen สปาเกตตีลาบหมูคั่ว

โดย…สีวลี ตรีวิศวเวทย์ ภาพ Cookool Studio

ไอเดียของจานนี้เกิดขึ้นจากการทำพาสต้าสไตล์อิตาเลียนแบบที่มีน้ำมันมะกอกเป็นหัวใจสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นแบบผัดไส้กรอก ผัดกระเทียมแบบ Aglio Olio แม้แต่ Vongole หอยลาย รับรองว่าต้องมีการผัดกระเทียมกับน้ำมันใหัหอมฟุ้งๆ ที่ไฟอ่อนๆ จนกว่ากระเทียมจะนุ่ม ผลพลอยได้คือน้ำมันที่มีกลิ่นกระเทียม ผัดกับเส้นพาสต้าแบบไหนก็อร่อยถูกใจ

สอดคล้องกับกระบวนการปรุง “ลาบคั่ว” แบบทางเหนือ ที่จะใช้น้ำมันเจียวมันหมูจนได้เป็นกากหมูกรอบๆ เก็บเอาไว้โรยหน้าลาบทีหลัง จากนั้นใช้น้ำมันเดิมเจียว กระเทียม หอมแดง และทอดพริกจนกรอบเหลือง ก่อนใช้น้ำมันเดิมผัดน้ำพริกลาบคั่วและเนื้อหมูสับ เคล็ดลับน้ำมันหอมๆ นี่แหละช่วยชูรสลาบคั่วให้เด็ดขาด ถ้านำมาผัดกับเส้นสปาเก็ตตีแล้วละก็ รับรองว่าเข้มข้นถึงใจ

น้ำพริกลาบคั่ว ผู้เขียนขอแนะนำให้ซื้อจากร้านที่ขายอาหารเหนือที่ถูกใจจะสะดวกกว่า เพราะน้ำพริกลาบคั่วซับซ้อนทั้งในเรื่องของส่วนผสมและกรรมวิธีในการทำน้ำพริก ไม่เพียงแต่หอม กระเทียม พริกแห้ง ข่า ตะไคร้ เท่านั้น ยังมีเครื่องเทศอย่างยี่หร่า ลูกผักชี กระวาน พริกไทยดำ ดีปลี มะแขว่น เร่ว หรือยากๆ บอกชื่อไปก็นึกภาพไม่ออก อย่าง บ่าแหลบหรือเมล็ดเทียนตาตั๊กแตน สัดส่วนแต่ละอย่างขึ้นกับที่มาที่ไปอีก แต่ละจังหวัดก็สัดส่วนต่างกันออกไป ทั้งหมดนี้ไม่ใช่นำมาโขลกโป๊กๆ ก็ได้เป็นน้ำพริกลาบคั่ว หากต้องนำไปหมกขี้เถ้า เผาไฟ ปิ้ง ตามแต่ชนิดของวัตถุดิบ ก่อนนำมาโขลกกับเกลือ เพื่อช่วยให้เก็บได้นานขึ้นอีกนิด สรุปว่าซื้อเอาจะง่ายกว่า อาจจะซื้อเก็บไว้สักขีดหรือสองขีด ใส่ช่องแช่แข็งไว้ ใช้เป็นวัตถุดิบยามยาก

ขั้นตอนของการทำลาบคั่วทางแบบฉบับทางเหนือแท้ๆ ประกอบไปด้วยเนื้อสัตว์นำมาหั่นชิ้นเล็กๆ สับเป็นชิ้นย่อยๆ กระบวนการนี้แหละเรียกว่า “ลาบ” ใครชอบเลือดก็สามารถเติมลงไปขั้นตอนนี้ได้เลย จากนั้นถึงจุดที่แตกต่างจากลาบแบบอีสานที่หลายท่านคุ้นเคย เพราะจะต้อง “ยำลาบ” หรือ “ก่นลาบ” ก่อนที่เนื้อสัตว์จะสุก โดยนำเอาเนื้อที่สับไว้มาเคล้ากับน้ำพริกลาบคั่ว ปรุงรสไปเลย ตามด้วยสมุนไพรสับหลายๆ ชนิด อย่างผักไผ่ หรือผักแพว ตามด้วยต้นหอม ผักชีซอย เมื่อเคล้าเข้ากันแล้ว จึงค่อยนำลงไปผัดกับน้ำมันที่เจียวหอมแดงและกระเทียมไว้ เพื่อให้ได้กลิ่นหอมๆ เนื้อสัตว์ที่เลือกมา จะเป็นเนื้อหมู เนื้อไก่ หรือเนื้อวัวก็ย่อมได้ หรือจะเลี่ยงไปเป็นเนื้อปลาสับก็น่าสนใจไม่แพ้กัน

วิธีการผัดสปาเกตตีของเราก็ลอกทางเหนือมาเลย โดยใช้น้ำมันมะกอกเจียวหอมแดงและกระเทียมไว้ใช้สำหรับโรยหน้า แน่นอนว่า “ยำลาบ” ไว้เลยเพื่อรสชาติต้นตำรับ ผัดให้สุกหอม ก่อนเคล้ากับเส้นพาสต้าที่เลือกใช้ จริงๆได้หลายชนิด เพราะรสชาติเข้มข้นแบบนี้ผัดกับเส้นแบบไหนก็อร่อย

เสิร์ฟกับผักสด ผักสลัดก็เข้าท่า ยิ่งใครไม่กินรสจัดมา คลุกกับกะหล่ำปลีซอยฝอยและบีบมะนาว ช่วยบรรเทาความจัดจ้านไปได้บ้าง อย่าลืมว่าเส้นสปาเกตตีผัดที่อร่อยต้องไม่เละ ดังนั้นเผื่อเวลาต้มเส้นจากเวลาที่บอกไว้ข้างถุงสัก 2-3 นาที เพื่อให้เส้นมาสุกต่อได้ในกระทะเวลาผัดต่อ เส้นหนึบๆ จะเข้ากับสูตรนี้ที่สุด รับประกัน

สปาเกตตีลาบหมูคั่ว สูตร Cookool

ส่วนผสม

– หมูสับติดมัน 1 ถ้วย

– ตับหมู 0.5 ขีด

– น้ำมันมะกอก 2-3 ช้อนโต๊ะ

– น้ำพริกลาบคั่ว 1 ช้อนโต๊ะ

– กระเทียมสับละเอียด 1 ช้อนชา

– หอมแดงซอยบาง 2 ลูก

– พริกแห้งทอด 2-3 เม็ด

– น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ

– น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา

– ต้นหอมซอยสั้น 2 ช้อนโต๊ะ

– ผักเคียงลาบ เช่น กะหล่ำปลี

– ถั่วฝักยาว สะระแหน่ มะนาว

– เส้นสปาเกตตี หรือเส้นแองเจิลแฮร์

วิธีทำ

– ต้มเส้นสปาเกตตีในน้ำเกลือเดือดประมาณ 6-7 นาที

– ลวกตับหมูในน้ำต้มเส้นพาสต้า

– ตั้งกระทะอีกใบให้ร้อน เติมน้ำมันมะกอกลงไป เจียวกระเทียมให้เหลือง ตักขึ้น เจียวหอมแดงให้เหลือง ตักขึ้นพักไว้

– เคล้าหมูสับ น้ำพริกลาบคั่วปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำตาลนิดหน่อยขยำให้เข้ากัน

– ใส่หมูสับที่ “ยำลาบ” ไว้แล้ว ลงไปผัดให้หอม ใส่เส้นลงไปผัดให้เข้ากันให้แห้ง

– ตักใส่จานโรยต้นหมและผักเคียงแนะนำให้เสิร์ฟพร้อมมะนาวสักเสี้ยวหนึ่งจะยิ่งครบรสมากขึ้น

 

Spaghetti Kitchen Cold Capellini with Tuna Black Pepper

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

29 พฤศจิกายน 2558 เวลา 10:59 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/restaurant/402288

Spaghetti Kitchen Cold Capellini with Tuna Black Pepper

โดย…สีวลี ตรีวิศวเวทย์ ภาพ Cookool Studio

ถ้าพูดถึงการรับประทานปลาดิบ วูบแรกที่เข้ามาในสมองทุกคนต้องตอบว่าญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็นซูชิ ซาชิมิ แต่ยังมีอีกประเทศอ้อมมาอีกซีกโลกหนึ่งที่รับประทานอาหารทะเลดิบเก่งไม่แพ้คนญี่ปุ่น ชาวเปรูเวียนนิยมรับประทานปลาดิบหั่นเต๋า หากเมืองอยู่ติดกับมหาสมุทรแปซิฟิก ฝั่งภาคตะวันออกของประเทศ ชาวเปรูแถบนั้นจะรับประทาน Ceviche หรือยำปลากับน้ำมะนาว ทรงเครื่องด้วยหอมแดง พริกสับ ถั่วเคล้ากัน ชิมแล้วเกือบๆ คล้ายยำบ้านเรา หากแต่ไม่ปรุงด้วยน้ำปลา แต่ถ้าอยู่ในโซนเทือกเขาแอนดีส ห่างจากทะเลไม่ไกลนักแต่เดินทางยากลำบากต้องข้ามเทือกเขาสูง เขาก็ยังรับประทานปลาดิบ แต่เป็นลักษณะของปลาเทราต์จากแหล่งน้ำธรรมชาติ ตามน้ำตก แหล่งน้ำไหล หั่นเนื้อปลาเป็นลูกเต๋ายำแบบเกลือ มะนาว หอมแดงหรือหอมขาวซอยบางๆ ใส่ข้าวโพดเม็ดใหญ่ยักษ์ต้มสุก เนื้อเหนียวหนับ เข้ากันดีกับเนื้อปลานุ่มๆ ปราศจากกลิ่นคาว

ชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกของเปรูอุดมไปด้วยปลาหลากหลายสายพันธุ์ เพราะมีกระแสน้ำเย็น Humboldt ซึ่งถือเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ปลาตามธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดในโลกแหล่งหนึ่ง ถือได้ว่า 1 ใน 4 ของการประมงของโลกเรา เกิดขึ้นในบริเวณกระแสน้ำเย็น Humboldt ส่วนนี้ เพราะปลาชุกชุมมากแถมยังมีหลากหลายไม่แพ้มหาสมุทรแปซิฟิกในโซนกระแสน้ำKuroshio และ Oyashio ของญี่ปุ่น นี่เองจึงเป็นสาเหตุให้เชฟชื่อดังของญี่ปุ่นหลายคนมาฝึกหัดและเรียนรู้หลากหลายของสายพันธุ์ปลา ที่กรุงลิมาของเปรู แม้กระทั่งเชฟชื่อดังอย่าง Nobu Matsuhina ที่เปิดร้าน Nobu ไปหลายสาขาทั่วโลก ยังเคยมาทำงานที่เปรูเป็นเวลานาน กว่าจะได้ไปเปิดร้านของตัวเองแห่งแรกที่แอลเอ

นั่นเป็นครั้งแรกที่ทำให้อาหารลูกครึ่งผสมระหว่างญี่ปุ่นและเปรูเวียน หรือ Nikkei เริ่มเป็นที่รู้จักทั่วโลก ลีลาของอาหารสไตล์นี้ กล่าวคือ มีรากเหง้าของความเป็นญี่ปุ่นอยู่เต็มๆ ไม่ว่าจะเป็นอาหารจานปลาที่มีทั้งดิบและสุก รสชาติการใช้น้ำสต๊อกดาชิ โชยุ แต่ผสานไว้ด้วยเครื่องเทศที่เป็นอเมริกาใต้ ทำให้รสชาติ “จังงัง” ในปากเมื่อรับประทานเข้าไป ถ้าคุณเข้าใจและชอบลองของใหม่ๆ รับรองว่าต้องถูกใจกับรสชาติอาหารสไตล์ Nikkei เพราะลิ้นคนไทยอย่างเรา อย่างไรเสียก็ชอบรสชาติที่สมดุลระหว่างเค็ม เผ็ด เปรี้ยว หวาน รวมไปถึงเครื่องเทศและความจัดจ้าน

ฉบับนี้เป็นสูตรของผู้เขียนที่ทดลองทำอาหารที่มีกลิ่นอายระหว่างความเป็นโลกตะวันออกของญี่ปุ่นและความเป็นโลกตะวันตกด้วยเครื่องปรุงอย่างเส้นพาสต้า น้ำมันมะกอกและพริกไทยดำ ผสมกับความเป็นญี่ปุ่นอย่างปลาทูน่าสด ที่ต้องเป็นซาชิมิเกรด เพราะอย่างแรก คือเป็นทูน่าชนิดที่เรียกว่า Blue Fin Tuna หรือถ้าใครมี Spanish Mackerel ยิ่งเจ๋ง แต่บ้านเราตามซูเปอร์มาร์เก็ตจะหาแบบแรกได้ง่ายกว่ามากๆ ซื้อมาแช่เย็นไว้ หั่นใช้ได้ง่ายสำหรับสูตรนี้

วิธีทำสูตรนี้ ไม่ต่างอะไรกับ Cold Pasta ทั่วไป คือ เริ่มจากทำน้ำสลัด ซึ่งของเราแม้ว่าจะตั้งต้นด้วยการผัดหอมใหญ่ และพริกไทยดำในน้ำมันมะกอกร้อนๆ แต่ก็ต้องรอให้เย็นสนิทเสียก่อนจะคลุก เพื่อให้ได้ลักษณะของพาสต้าเย็น หากไม่รับประทานปลาดิบ แนะนำให้ทดลองจี่ทูน่ากับกระทะเคลือบเล็กน้อยเพื่อให้สุกด้านนอก เท่านี้ก็พอจะช่วยให้ปลาสุกภายนอก อร่อยได้เหมือนกัน หรือจะเปลี่ยนเป็นปูอัดหรือกุ้งต้มสุกก็สามารถเอนจอยสูตรนี้ได้ เพราะ Dressing เข้ากับเนื้อสัตว์ได้หลายชนิดแถมยังเพิ่มผักสลัดเคล้าไปได้รสชาติเข้ากัน

Cold Cappelliniwith Tuna Black Pepper

ปลาทูน่า ซาชิมิเกรด หั่นเต๋า 200 กรัม

ถั่วเอดามาเมะ หรือถั่วแระญี่ปุ่น 3 ช้อนโต๊ะ (แกะเม็ด)

Black Pepper Shoyu Dressing

หัวหอมใหญ่ 6 ช้อนโต๊ะ

กระเทียม ½ ช้อนชา

พริกไทยดำ ½ ช้อนชา

น้ำมันมะกอก 4 ช้อนโต๊ะ

ซีอิ๊วญี่ปุ่น 2 ช้อนโต๊ะ

มิริน 2 ช้อนโต๊ะ

น้ำส้มหมักจากข้าว 4 ช้อนชา

น้ำตาลทราย 2 ช้อนชา

เส้น Angel Hair 200 กรัม

ตกแต่งด้วย : หัวไช้เท้าขูดฝอย ต้นหอม ไควาเระ

• สำหรับ Dressing : ตั้งกระทะขนาดเล็กให้ร้อน เติมน้ำมันมะกอก ผัดหัวหอมใหญ่ กระเทียมผัดให้นุ่ม เติมพริกไทยดำลงไป ผัดให้หอม ปรุงรสด้วยซีอิ๊วญี่ปุ่น มิริน น้ำส้มหมัก และน้ำตาลทรายรอให้เย็นสนิทก่อนใช้

• ตั้งน้ำสะอาดประมาณ 2 ลิตรให้เดือด เติมเกลือป่นลงไปประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ ต้มเส้น AngelHair ประมาณ 3 นาทีตักขึ้นมาแช่น้ำเย็นลอยน้ำแข็ง เพื่อให้เส้นเย็นสนิท

• หั่นปลาทูน่าให้เป็นเต๋าเล็ก ขนาด 1.5×1.5 ซม.

• เคล้ากับเส้นและปลากับเดรสซิ่ง โรยด้วยพริกป่นญี่ปุ่น ตกแต่งด้วยไช้เท้า ต้นหอม ไควาเระ

 

Spaghetti Kitchen สปาเกตตีเย็นกับเป๋าฮื้อ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

22 พฤศจิกายน 2558 เวลา 12:24 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/restaurant/401050

Spaghetti Kitchen สปาเกตตีเย็นกับเป๋าฮื้อ

โดย…สีวลี ตรีวิศวเวทย์ ภาพ Cookool Studio

ใครว่าสปาเกตตีเสิร์ฟร้อนแล้วจะอร่อยเท่านั้น มีหลายๆ สูตรที่เสิร์ฟเย็นแล้วรสชาติน่าประทับใจ ส่วนมากจะให้รสชาติสดชื่นสไตล์สลัด ทำให้เรา “กินเส้น” แบบเพลินๆ จนหมดจานแทบไม่รู้สึกตัว เป็นจานเรียกน้ำย่อยที่ไม่ทำให้รู้สึกผิดเท่ากับสปาเกตตีจานร้อน ในความเห็นของผู้เขียนยังสามารถต่อด้วยอาหารจานหลักได้สบายๆ

อย่างสูตรในฉบับนี้ ผู้เขียนเคยได้ชิมจากร้าน Water Library ร้านอาหารสไตล์ Fine Dining ที่มี Cold Pasta ที่เชฟไฮเคิลเลือกเป็นเส้น Angel Hairม้วนมาในจานอย่างสวย มีเป๋าฮื้อหั่นมาบางเฉียบ พร้อมกับไข่คาเวียร์พูนช้อนโปะมาด้านบน ชิมแล้วหอมกลิ่นทรัฟเฟิลออยล์ หรือน้ำมันมะกอกที่แต่งกลิ่นด้วยทรัฟเฟิลขาว รสชาติของDressing ที่เคล้ามากับเส้นชิมแล้วครบ3 รสแบบสลัดน้ำใส เพียงแต่ไม่มีผักเลย นอกจากช่อ Chervil ที่ตกแต่งมาด้านบนเท่านั้น ชิมไปชิมมาหมดจานโดยไม่รู้ตัว เพราะรสชาติที่สดชื่น เข้ากันทั้งเส้น เป๋าฮื้อ ไข่ปลาสเตอร์เจียนชั้นดี และกลิ่นหอมๆ ของน้ำปรุงที่เคล้ากันมา รสชาติมาทางตะวันออกมาทางเอเชีย จีน ญี่ปุ่น แม้ว่าส่วนผสมหลักจะเป็นอาหารจานเส้นของอิตาเลียน

อยากจะไปชิมอีก ก็ไม่มีเวลาไปสักทีเลยเป็นที่มาให้ลองแกะสูตร ทดลองทำเองที่บ้าน ประกอบกับได้รับ “คาเวียร์”อย่างดีมาเป็นของฝาก เกรดเดียวกับที่เชฟ Robuchon ใช้ที่ร้านยิ่งอยากชิมเครื่องเคราครบถ้วนพอที่จะลองทำ ColdPasta with Abalone & Caviar จานนี้

เริ่มต้นจากเส้นที่เลือกใช้ เป็น AngelHair หรือ Capellini Pasta ที่มีขนาดเล็กพอๆ กับเส้นหมี่บ้านเรา

ไอเดียในการเลือกเส้นพาสต้าขนาดเล็กละเอียดมาเป็นสูตรเด็ด ผู้เขียนชิมแล้วขอสรุปว่า เป็นเพราะเส้นขนาดเล็กมีพื้นผิวเยอะแยะในการกักเก็บ ดูดซับDressing หอมกลิ่นโชยุนิดๆ และทรัฟเฟิลออยล์ ข้อสำคัญสำหรับสูตรนี้คือ ต้องต้มเส้นให้สุกที่ Al Dente เท่านั้น อย่าต้มสุก 100% จนนิ่มเด็ดขาด เพราะจะทำให้เส้นดูด Dressing เข้าไปจนอืดขึ้นมาอีกนิดแล้วจะเสียรสชาติความอร่อย

แนะนำว่า ตอนที่ทำผู้เขียนใช้น้ำในการต้มเส้นเยอะสักหน่อย เติมเกลือลงไปจนน้ำเค็มปี๋ เพื่อช่วยให้เส้นนิ่มยากขึ้นอีกนิดกว่าน้ำที่จืดๆ ไม่ต้องกังวลเรื่องความเค็ม เพราะเราต้องล้างเส้นในน้ำเย็นจัดแช่น้ำแข็ง เพื่อให้เส้นเย็นเจี๊ยบก่อนคลุกกับ Dressing เย็นๆ เพราะเราจะทำพาสต้าเย็นนั่นเอง

ถัดมาคือ เป๋าฮื้อ อย่าเพิ่งกังวลว่ามันจะยากเกินไปเมื่อเห็นคำว่า “เป๋าฮื้อ”เพราะจริงๆ แล้วใช้เป็นเป๋าฮื้อกระป๋องได้เลย แถมยังไม่ต้องเลือกแบบแพงอะไรมาก เนื่องจากเราต้องนำมาหั่นบางๆ เรียงในจาน ไม่จำเป็นต้องซื้อแบบกระป๋องละ 3,000-4,000 บาท ขอแค่เป็นเป๋าฮื้อคุณภาพชิ้นเล็ก หรือครึ่งตัวมาในกระป๋อง รับรองว่าไม่เสียรสชาติความอร่อย สำหรับเป๋าฮื้อกระป๋องหาซื้อไม่ยาก มุ่งตรงไปยังเยาวราชก่อนถึงตรอกอิสรานุภาพ มีอาคารพาณิชย์ทางด้านซ้ายมือหลายๆ ร้าน ขายวัตถุดิบแห้งเครื่องกระป๋องสำหรับอาหารจีน เลือกร้านที่ดูน่าไว้ใจ ร้านแถวนี้จะมีเป๋าฮื้อกระป๋องคุณภาพสูงขาย โดยมากจะไว้ใจได้ อย่างร้านที่ผู้เขียนซื้อประจำ เจ้าของร้านแนะนำว่าซื้อกับร้านจะปลอดภัยกว่าตรงที่ร้านอยู่ตรงนี้แหละไม่ไปไหน ไม่กล้าหลอกลูกค้าอยู่แล้ว หรือถ้าหลอกยังมาจัดการได้ ผู้เขียนเลือกเป๋าฮื้อในช่วงราคากระป๋องละ 1,000 บาท มาจากเม็กซิโกเรียกว่าเป็นเมนูที่ต้องลงทุนสักนิด แต่รับรองถูกกว่ารับประทานที่ร้านแน่นอน

สำหรับ “Dressing” ทำได้ไม่ยากส่วนผสมพื้นๆ อย่างโชยุหรือซีอิ๊วญี่ปุ่นน้ำส้มสายชูจากข้าวช่วยให้เปรี้ยวแบบละมุน ตัดรสด้วยน้ำตาลทราย ความกลมกล่อมของ Dressing ต้องอาศัยน้ำมันสลัดมาช่วยสักนิด เพื่อไม่ให้รสแหลมจนเกินไป เพิ่มความหอมที่ต้องลงทุนอีกนิด คือน้ำมันมะกอกกลิ่นทรัฟเฟิลขาว ราคาแพงสักนิดขวดละหลายร้อยอยู่ แนะนำให้ซื้อขวดเล็กที่สุด เพราะจะค่อนข้างเหม็นหืนง่ายถ้าไม่ได้ปรุงบ่อยๆ เสียดายของเอาได้ง่ายๆ Dressing หอมฟุ้งขึ้นด้วยสาหร่ายโนริชั้นดี สับๆ ละเอียดแล้วเติมลงใน Dressing ถ้าได้หมักไว้ในตู้เย็นสักคืนนึง กลิ่นหอมๆ ของสาหร่ายจะฟุ้งใน Dressing มากขึ้น ผู้เขียนว่าอร่อยกว่าทำแล้วคลุกเลย ทั้งนี้แล้วแต่ชอบ

ส่วนจะใส่คาเวียร์หรือไม่นั้น แล้วแต่งบประมาณ จริงๆ แล้วแค่ไข่ปลาแซลมอน หรือไข่ Tobiko ก็อร่อยและสวยพอๆ กันไม่ต้องลงทุนถึงคาเวียร์ของปลาสเตอร์เจียนก็ไม่เสียรส

สุดท้าย การอยู่ที่ฝีมือการคลุกเคล้าเตรียมส่วนผสมทุกอย่างให้พร้อม อาหารจานนี้เหมาะสำหรับปาร์ตี้ที่บ้าน เพราะขั้นตอนการเตรียมทุกอย่างสามารถทำไว้ได้ล่วงหน้า เมื่อพร้อมรับประทานคลุกเคล้าไม่นาน จัดจานให้สวยอลังการเหมาะสำหรับเทศกาลสังสรรค์ที่ใกล้เข้ามา รับรองว่าจะเป็นหนึ่งในจานเด็ดของงานเลี้ยงเลย

Cookool Cold Capellini with Abalone

ส่วนผสม

น้ำมันมะกอกกลิ่นทรัฟเฟิล 1 ช้อนโต๊ะ

น้ำมันสลัด 1 ช้อนโต๊ะ

น้ำส้มสายชูจากข้าว 1 ช้อนโต๊ะ

ซีอิ๊วญี่ปุ่น 2 ช้อนชา

น้ำตาลทราย 1.5 ช้อนชา

สาหร่ายโนริ 1 แผ่น (ขนาด 4×2 นิ้ว)

เป๋าฮื้อกระป๋อง 1 ตัว

ต้นหอมซอยละเอียด 1 ช้อนชา

เส้น Angel Hair

ตกแต่งด้วยไข่ปลาตามชอบ ไม่ว่าจะเป็นไข่ปลาแซลมอนหรือไข่ปลาคาเวียร์

ผักที่แนะนำและเข้ากันคือ หน่อไม้ฝรั่งลวก

วิธีทำ

• ผสม Dressing สำหรับพาสต้าไว้โดยผสมน้ำมันมะกอกกลิ่นทรัฟเฟิล น้ำมันสลัดน้ำส้มสายชู ซีอิ๊วและน้ำตาลเข้าด้วยกัน พักไว้ในตู้เย็น

• ปิ้งสาหร่ายโนริที่ไฟอ่อนๆ พลิกไปมาเหนือเตาแก๊สพอให้สาหร่ายกรอบๆจากนั้นสับเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วเติมลงใน Dressing สำหรับพาสต้าเย็น เพื่อรสชาติที่อร่อย แนะนำให้แช่เย็นข้ามคืนไว้จะทำให้รสชาติของสาหร่ายซึมซาบออกมามากยิ่งขึ้นใน Dressing

• หั่นเป๋าฮื้อกระป๋องเป็นชิ้นบางๆเรียงใส่จานไว้

• คลุกเส้นกับ Dressing ตักใส่จานที่มีเป๋าฮื้อเรียงไว้ โรยต้นหอมและตักไข่ปลาคาเวียร์ลงตกแต่งด้านบน พร้อมเสิร์ฟ

 

Spaghetti Kitchen สปาเกตตี ไข่หอยเม่น

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

15 พฤศจิกายน 2558 เวลา 18:14 น….. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/restaurant/399866

Spaghetti Kitchen สปาเกตตี ไข่หอยเม่น

โดย…สีวลี ตรีวิศวเวทย์ ภาพ Cookool Studio

สำหรับเมนูนี้ผู้เขียนต้องออกตัวก่อนว่าไม่รู้รายละเอียดรายการอาหารที่บ้านเราเลย เพราะไม่ได้เข้าคิวรับประทานในครั้งนี้ แต่เคยมีโอกาสได้ไปชิมร้านของเชฟ Robuchon มาหลายร้าน มีเมนูที่ถูกใจในรสชาติหลากหลายเมนู โดยเฉพาะในญี่ปุ่นที่ถือได้ว่าเป็นสาขาใหญ่ที่ประสบความสำเร็จมาก แถมเมนูน่าสนใจมี “Creation” ที่ใช้วัตถุดิบญี่ปุ่นตามฤดูกาลเข้ามาผสมผสาน หรืออย่างสาขาในฮ่องกง ที่คล้ายคลึงกับในบ้านเรา มีเมนูเด็ดเป็น “สปาเกตตีไข่หอยเม่น” ที่รสชาติกลมกล่อม สั่งมาชิมแล้วรู้สึกได้ว่ารสชาติเข้มข้นแต่ไม่ซับซ้อน เลยถือโอกาสแกะสูตรมาไว้ใน Spaghetti Kitchen ในฉบับนี้

ถึงแม้ว่าจะมี “Look” หรูหรา จริงๆ แล้วง่ายและมีส่วนผสมไม่มาก ก็สามารถทำให้อร่อยได้ไม่ยาก หัวใจของความอร่อย คือ ไข่หอยเม่น รสหวานหอมตามธรรมชาติ ตอนนี้สามารถหาซื้อไข่หอยเม่นได้ไม่ยาก ต้องวางแผน สั่งล่วงหน้าไว้สักนิด เพราะหลายๆ ร้านไม่ได้สต๊อกของไว้ เนื่องจากไข่หอยเม่นเก็บได้ไม่นาน บางเจ้ามีส่งให้ถึงบ้านด้วย ถือว่าสะดวกมาก

ไข่หอยเม่นสำหรับการปรุงอาหารแบบ “บ้าน” ของเรา นำมาปรุงโดยใช้เป็นวัตถุดิบในสปาเกตตี ไม่ต้องเอาชนิดที่ “เว่อร์วัง” มาก เพราะไม่ได้รับประทานสดๆ 100% แบบพวกซูชิ ขอให้สดใหม่สังเกตจากสีสัน ต้องไม่ด้าน ไม่แห้ง ดูชุ่มฉ่ำ นอกจากนั้นกลิ่นยังสำคัญ ดมดูแล้วต้องไม่มีกลิ่นคาว เพราะไข่หอยเม่นที่สดๆ กลิ่นคล้ายน้ำทะเล จะต้องไม่มีกลิ่นคาวรุนแรงเด็ดขาด

 

สำหรับโทนสีของไข่หอยเม่น ซึ่งถือเป็นส่วนของต่อมอวัยวะสืบพันธุ์ มีทั้งตัวผู้และตัวเมีย มีทั้งสีออกส้มๆ ไปจนถึงเหลืองเข้ม เหลืองอ่อน สำหรับการเลือกใช้มาในสูตรนี้ สีสันของไข่หอยเม่นขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ ฤดูกาลและน่านน้ำเป็นสำคัญ ขอเพียงว่าไข่หอยเม่นดูแล้วมาทั้งชิ้นเป็นยวงติดกัน ไม่รุ่งริ่งหลุดลุ่ย

ทีนี้มาถึงส่วนผสมอื่นๆ ในสูตรนี้ ซอสครีมเป็นเพียงแค่ครีมสด เติมเกลือปรุงรสลงไปเล็กน้อย สูตรเรียบง่ายแบบนี้ ใกล้เคียงกับไอเดียของชาวประมงในแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน อย่างผู้เขียนเคยไปเจอสูตรเรียบง่ายแบบนี้ ทั้งที่ Capri และ Sicily ในอิตาลี แถบนั้นร้านอาหารชาวประมงมักมีของดีเก็บไว้ให้ลูกค้า เป็นไข่หอยเม่นสดๆ ผัดสปาเกตตีมาง่ายๆ กับน้ำมันมะกอก พอมาถึงโต๊ะ ตักไข่หอยเม่นสดๆ จากเปลือกโปะลงบนพาสต้าร้อนๆ เคล้าไปมา น่ารับประทานเป็นที่สุด

นี่จึงเป็นไอเดียที่ผู้เขียนอยากนำมาเสนอให้คุณผู้อ่านลองปรุงรับประทานเองที่บ้าน เพราะถ้าหาไข่หอยเม่นได้ สูตรสปาเกตตีเรียบง่ายแต่อร่อยแบบนี้ ไม่ควรปล่อยให้หลุดมือไป

หวังว่าคุณผู้อ่านจะยังไม่ท้อที่ลองปรุงเมนูชิมเองที่บ้าน รับรองว่าอร่อยได้ไม่แพ้เชฟโรบูชองเลย