Star Retro : ‘โซบี-โชติรส’ ชีวิตลงตัว กับสิ่งที่รัก

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/entertain/256161

วันอาทิตย์ ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560, 06.00 น.

แม้จะผันตัวไปทำธุรกิจ และมีครอบครัวอยู่ที่เพชรบุรี แต่ผลงานทางหน้าจอทีวี ของ นักแสดงสาวยิ้มสวย “โซบี-โชติรส ชโยวรรณ” ยังคงมีออกมาให้แฟนๆ ได้หายคิดถึงอยู่เรื่อยๆ สตาร์เรโทรมีโอกาสเจอะเจอเธอ จึงชวนมานั่งจับเข่าเม้าท์ถึงเรื่องราวชีวิต ที่เชื่อว่าหลายคนจะต้องอมยิ้มไปกับเธอ

“ตอนนี้ทำธุรกิจส่วนตัวค่ะ คือตั้งแต่แต่งงานไปเมื่อปี’53 ก็ต้องย้ายไปอยู่ที่เพชรบุรี เริ่มรับงานน้อยลง บางทีก็ไม่ค่อยสะดวกในการเดินทางเราไม่เหมือนแต่ก่อนแล้ว ที่ว่าเฮไหนเฮกัน แต่ไม่ได้เลือกงานนะคะ จะดูเวลาที่เราสะดวกมากกว่า งานในวงการยังมีอยู่บ้าง อย่างละครก็มีรอออนแอร์อยู่ค่ะเรื่อง “รักพลิกล็อก” และละครเทิดพระเกียรติเรื่อง “เสียงเต้นของหัวใจในป่าใหญ่” ที่เพชรบุรีคือบ้านแฟนค่ะ ซึ่งเขาทำธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้า ส่วนของแฟนเองเขาทำเฟอร์นิเจอร์ โซบีจะดูแลร้านอาหารเล็กๆ สไตล์คาเฟ่ชื่อร้าน Take a Rest อยู่แถวราชภัฏทางไปหาดเจ้าสำราญค่ะ”

เริ่มต้นธุรกิจจากสิ่งที่ชอบ

จุดเริ่มต้นของการมาเปิดร้านอาหารเอง คือตอนนั้นโซบีทำพิธีกรเกี่ยวกับอาหาร แล้วได้คลุกคลีอยู่กับเซฟ และส่วนตัวก็เป็นคนชอบทำอาหาร พอได้ไปเจอที่ตรงนั้น มีเพื่อนมาชักชวน เราก็สนใจ เพราะว่าเป็นสิ่งที่เราชอบ เลยไปเรียนทำขนมเพิ่มเติมในร้านจะมีทั้งอาหาร กาแฟสด เละขนม ทำมาประมาณ3 ปีแล้วค่ะ อยู่ตัวแล้ว เรียกว่าดีกว่าที่เราคิดไว้ตอนแรกหวังแค่กลุ่มนักศึกษา แต่ไปๆ มาๆ กลายเป็นทุกกลุ่ม ทั้งครอบครัว กลุ่มคนทำงานด้วย รวมทั้งกลุ่มนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางไปหาดเจ้าสำราญมีเมนูขนมที่ขึ้นชื่อ เป็นซิกเนเจอร์ของร้าน คือเครปแป้งนิ่มค่ะ เสิร์ฟเป็นจานพร้อมไอศกรีม ซึ่งเป็นอะไรที่แปลกใหม่สำหรับเพชรบุรี จากที่ตอนแรกเราจะไม่มีเมนูที่เป็นอาหาร ก็เริ่มมีอาหารด้วย เพื่อให้ครบปกติโซบีจะเข้าร้านทุกวัน ถ้าอยู่ที่เพชรบุรีนะคะทำเองด้วย เพราะว่าเราชอบทำครัวทำอาหาร ลูกค้าส่วนใหญ่จะไม่ทราบเลยค่ะว่าเราเป็นดารา เพราะโซบีแทบจะไม่ได้ใช้ตรงนี้ในการโปรโมทเลย อารมณ์เราคือทำธุรกิจ แต่ว่าเพื่อนฝูงกันก็รู้ แล้วก็น้องๆนักศึกษาบางคนก็จะรู้ ส่วนใหญ่เขาจะรู้ด้วยการที่เขามาเจอเองที่ร้านแล้วจำเราได้ อย่างตอนที่ละครเรื่อง “ทองเนื้อเก้า” ออนแอร์ เขาก็จำได้ว่าเราเล่นเป็นลำยง น้องสาวของลำยอง

ถึงเวลาวางแผนสร้างครอบครัว

คือก็อยากจะแต่งงานมีสามีเป็นตัวเป็นตนกับเขาบ้าง (หัวเราะ) เรียกว่าช่วงนั้นความรักสุกงอมกำลังดีแล้ว เราเริ่มมั่นใจ และอยากให้ครอบครัวเขารู้สึกมั่นใจในตัวเราด้วย พ่อแม่ทั้งสองฝ่ายก็คงห่วงนะ ท่านก็อายุมากแล้ว อยากให้ท่านเห็นและรับรู้ว่าเราอยู่กับใคร ใครดูแลเรา ไม่อยากให้พ่อแม่มารับรู้ตอนที่ท่านไม่ได้อยู่กับเราแล้ว คือคิดไปถึงขนาดนี้เลยค่ะ และยอมรับว่าตอนนั้นก็ลังเลสับสนเหมือนกัน คือเรียกว่างานก็มีต่อเนื่องตลอด ถ้าเราแต่งงานไปแล้ว เราจะยังทำงานได้อีกไหม ก็คุยกัน แฟนเขาก็โอเคค่ะไม่ปิดกั้นสนับสนุนเต็มที่ โซบีก็หาวิธีการของเรา ลองเลือกๆ ดู อันไหนที่สะดวกที่เหมาะสมในช่วงเวลา เราก็รับ จะไม่ปฏิเสธ จะรับเท่าที่ผู้ใหญ่ยังเมตตาและยังให้โอกาสอยู่ค่ะ ไม่คิดว่าจะหยุดรับละคร คืออยู่ไปเรื่อยๆ มีอะไรก็ทำ ก็เล่นไป (วางแพลนที่จะมีทายาทหรือยัง?) ยังไม่มีค่ะ พร้อมแล้วแต่เขายังไม่มาเอง ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ เรายังไม่ถึงขั้นว่าจริงจังไปหาหมอ มีท้อบ้าง ที่เขายังไม่มาสักที แต่ก็ไม่ได้โฟกัสจริงจังค่ะ ถ้าเขามา เราก็ยินดี แต่ชีวิตทุกวันนี้ เราก็มีความสุขดีนะ ไม่ได้สูญเสีย หรือว่าขาดอะไรค่ะ

เส้นทางความรักกับหนุ่มนอกวงการ

กับคุณเชลล์ เราเรียนด้วยกันที่ ม.รังสิตค่ะแต่ว่าไม่ได้เป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกัน คือเป็นเพื่อนที่รู้จักกัน เจอในห้องเรียนบางวิชา จนเรียนจบได้นั่งรับปริญญาข้างกัน เพราะว่าชื่อเรา ช.ช้าง เหมือนกันเขาก็ไม่ได้คิดอะไรหรอก แต่โซบีนี่แหละที่คิดไปก่อน(หัวเราะ) รู้สึกว่าตาคนนี้แหละเหยื่อเรา (ยิ้ม)คือหมายถึงว่าวันรับปริญญา เขาจะห้ามพกอะไรเข้าไปใช่ไหมคะ เราก็คิดว่าจะต้องเบื่อ ต้องหิวแน่เลย แล้วผู้ชายเขาจะใส่สูท หางชุดครุยก็จะมีเหมือนถุงที่ใส่อะไรได้ เราก็แบบ เธอ..เดี๋ยววันนั้นฉันจะฝากขนมมานะ แล้วก็ขอเบอร์เขาไว้ เพราะกลัวมาแล้วไม่เจอ ก่อนเข้าหอประชุมจะได้ฝากของ เลยแลกเบอร์กันไว้ หลังจากนั้นเราก็ใช้ชีวิตของเรา ทำงานทำการไป

เขาคือหนุ่มในฝัน

ตอนหลังมีถามเขา เขาบอกว่าแอบหมั่นไส้เราคือเหมือนมีครั้งนึงไปแคสงาน ก่อนไปเรียนแล้วโซบีแต่งหน้าเต็มมาก มาเรียนก็เข้าห้องช้า อาจารย์ถามเขาก็แซวๆ เราประมาณว่าหมั่นไส้ สวยอะไรแบบเนี้ย (หัวเราะ) เชลล์เขารู้ตั้งแต่ตอนเรียนแล้วค่ะว่าโซบีเป็นดารา เคยโทร.ไปขอคำปรึกษาจากเขา เรื่องงานเหมือนกัน จนเลยเถิดไปถึงเรื่องส่วนตัว เลยทำให้เรารู้สึกว่าการที่ได้คุยกันมากขึ้นทำให้เราได้รู้จักเขา ได้เห็นจิตใจเห็นความคิดเขา เมื่อก่อนเราจะคิดว่าเขาก็เป็นแค่ผู้ชายวัยรุ่นคนนึงที่ใช้ชีวิตทั่วไป แต่จริงๆแล้วเขามีความคิดที่เป็นผู้ใหญ่ ก็เลยคุยกันมาเรื่อยๆ เคยเก็บเอามาฝันด้วยค่ะสงสัยว่าจะคุยกันเยอะ คือฝันว่าเรานั่งอยู่ริมทะเลแล้วมีผู้ชายคนนึงนั่งอยู่กับเพื่อนเรา เขาไม่หันหน้ามาสักที แต่มีความรู้สึกว่า ชอบเขาจังเลย ตื่นมาก็นั่งยิ้มอยู่คนเดียว แล้วก็นึกถึงว่าใครนะ ทำไมเรารู้สึกดีกับเขาจัง ผู้ชายในฝัน ก็เลยรีบวิ่งออกมาบอกแม่ว่าเรามีผู้ชายในฝันแล้ว แม่ก็หมั่นไส้ แต่ตอนนั้นรู้สึกว่าอยากจะบอกใครสักคน แล้วเราก็ยังฝันถึงฉากเดิมกับผู้ชายในฝันนั้นอีก แต่คราวนี้เขาหันหน้ามาแล้ว และมันก็กลายเป็นเชลล์ พอเราตื่นก็บอกตัวเองว่า เชลล์เหรอ คือผู้ชายคนนั้น (หัวเราะ) ก็ขำตัวเอง จนวันนึงไปเดินที่สวนจตุจักร มีโทรศัพท์เรียกเข้ามา พอเห็นเป็นชื่อเขาก็ตกใจ เพราะกำลังอยากจะโทร.หาเขา เล่าเรื่องความฝันให้เขาฟัง แล้วโซบีก็บอกเขาเลยว่า ให้จีบเราสิพูดไปเล่นๆ ลอยๆ แต่ว่าจะต้องรีบหน่อยนะ เพราะว่าเดี๋ยวหมดเขต(หัวเราะ) จนคบกันมาประมาณ 7 ปีก็ตัดสินใจแต่งงานกันค่ะ

ย้อนวันวานก้าวแรกในวงการบันเทิง

ตอนนั้นไปเดินห้างค่ะ เซ็นทรัลลาดพร้าวยุคนั้นโมเดลลิ่งเยอะ แล้วพี่เขาก็มาแจกนามบัตรซึ่งเราไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะเป็นดารา โซบีอยากเป็นแอร์โฮสเตส และอยากทำงานโรงแรมนี่คือที่เราใฝ่ฝันไว้ ทุกวันนี้ก็ยังอยากจะเป็นแอร์อยู่แต่คงจะไม่ทันแล้วได้นามบัตรมา 2 ใบด้วยนะแล้วยังคิดว่าเขามาหลอกด้วยซ้ำ ตอนนั้นเรียนอยู่ ม.6 โรงเรียนสาธิตวัดพระศรี ไปเดินห้างกับเพื่อนก็งงๆ แล้วเอากลับมาเล่าให้แม่ฟัง แม่ก็นิ่ง นิ่งแบบผิดสังเกต เหมือนแม่ไม่สนใจเลย เวลาผ่านไปจนวันที่โมเดลลิ่งเขานัดไปถ่ายรูปเผื่อส่งแคสงานแม่ก็พาไป มารู้ทีหลังว่าตอนนั้นในหมู่บ้านเราก็มีโมเดลลิ่ง และเขาเคยมาขอแม่ว่าจะพาเราไป แต่แม่ไม่เล่าให้ฟัง และเขาก็ไม่ให้ไปด้วย แม่คงเห็นว่าเรายังเด็กอยู่ แต่ตอนนั้นที่แม่ไปด้วย เพราะว่าโซบีจะเรียนจบ จะเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว แม่ก็เลยคิดว่าคงจะห้ามเราไม่ได้แล้วมั้ง เลยพาไปเอง และได้ไปแคส งานโฆษณา ตามสเต็ปเลยค่ะ ต่อมาก็ได้เล่นเอ็มวีเล่นหนัง เล่นละคร (แม่กลายเป็นผู้ผลักดัน?)ใช่ค่ะ เขาขับรถพาไปแคสงานตลอด คือแม่ก็เป็นห่วงเราด้วย ห่วงเรื่องการเรียน เรื่องสังคมเรื่องการวางตัว เลยจะเป็นคนที่คอยขับรถไปรับไปส่งให้ตลอด

ภูมิใจกับเงินก้อนแรก

พอเริ่มเข้าไปทำแล้ว ก็ชอบ รู้สึกว่ามันดีนะ แล้วอีกอย่างคือเราภูมิใจกับเงินก้อนแรกที่ได้จากงานโฆษณา โซบีก็ให้แม่ เคยได้ยินแต่คนอื่นหรือดาราเขาให้สัมภาษณ์ว่าเงินก้อนแรกให้คุณแม่ เอ้ย!เราก็มีวันนี้เหมือนกันนะ ภูมิใจค่ะ และเริ่มเห็นความงดงามของวงการบันเทิง ว่ามันก็สนุกดี และแปลกใหม่ดี ไม่ได้รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องยากอะไร

สู่งานแสดงอย่างเต็มตัว

มีโอกาสได้เข้ามาเล่นหนังเรื่อง “แม่เบี้ย” ละครเรื่องแรก เล่นกับทางช่อง 5 เรื่อง “มนต์รักส้มตำ” ก็เล่นกับ “มะหมี่” (นภคปภา นาคประสิทธิ์) ทั้งสองเรื่อง หลังจากนั้นก็มาอยู่ในสังกัด บรอดคาซท์เล่นเรื่องแรกคือ “พระจันทร์แสนกล” มีงานละครเข้ามาเรื่อยๆ ซึ่งโซบีชอบละครทุกเรื่องที่ตัวเองเล่นนะคะ เพราะเป็นสิ่งที่เราชอบ ที่สำคัญคือเราได้ประสบการณ์อะไรใหม่ๆ แต่ถ้าเอาที่โซบีประทับใจเลยคือเรื่อง“ทองเนื้อเก้า” เพราะว่าเป็นเรื่องแรกที่เราเปลี่ยนคาแร็กเตอร์เปลี่ยนบทบาททุกอย่าง คือก่อนหน้านั้น มักจะได้เล่นเป็นคนเรียบร้อย แต่งตัวสวยๆ เป็นผู้ดี ก่อนที่จะมาเล่น “ทองเนื้อเก้า” ก็ได้เล่นบทร้ายซึ่งก็ชอบมาก เพราะว่าการเล่นเป็นคนดีเหมือนเราต้องเก็บกด แต่การเล่นเป็นตัวร้าย เราได้ปลดปล่อย อย่างทองเนื้อเก้าที่ชอบ เพราะว่าเป็นอะไรที่บ้านๆ ตัวละครต้องอยู่ในสลัมเลย นุ่งผ้าถุง พูดจาก็ต้องตะโกนคุยกัน แต่ยากมากเลยนะคะ รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ต้องเก็บให้หมด เรียกว่าบทบาทในเรื่องทองเนื้อเก้าเป็นอะไรที่คนจำเราได้ ทุกวันนี้ไปไหนคนก็ยังจำได้อยู่ ยังเรียกลำยง

มากกว่าฝัน เกินกว่าที่คาดไว้

งานแสดงไม่เคยอยู่ในเป้าหมายชีวิต เป็นอะไรที่เกินความคาดหมาย และเป็นโอกาสที่ดีที่สุดในชีวิตที่ได้เข้ามาสัมผัส อะไรที่ดีๆ หลายอย่างก็ตามมา แม้ว่าจะดับฝันการเป็นแอร์ก็ตาม จริงๆ แล้วโซบีว่าสมัยนี้แอร์กับนักแสดงแทบจะไม่ต่างกันเลยนะ คือภาษีสังคมคล้ายกัน แต่ว่าแต่ละอาชีพก็มีความท้าทาย ความเหนื่อยที่แตกต่างกันออกไป บางคนมองว่าดาราเป็นอาชีพที่สวยหรู คือเขาเห็นแต่ภาพนี้ของเรา แต่เราก็จะพยายามบอกเขาว่าจริงๆ ไม่ใช่แค่ชอบนะ คุณต้องรัก แล้วไม่ได้สบายอย่างที่คิด เวลาที่สบายก็สบายจริง แต่เวลาที่ต้องเข้าป่าลุยไปถ่ายทำไม่มีห้องน้ำนะ อยากจะล้างมือยังไม่มีน้ำให้ล้างเลย ต้องทน ตอนที่แม่ไปกองถ่ายด้วย แม่ก็จะเที่ยวบอกทุกคนว่าเราไม่ได้สบายอย่างที่คิดนะ บางทีไปนอนรอกว่าจะได้เข้าฉาก ยุงก็กัด แต่ว่ามันอยู่ที่ใจ ถ้าเรารักเราชอบก็ถึงไหนถึงกัน

ช่วงจังหวะชีวิตที่รู้สึกท้อ

ปกติโซบีจะปรึกษาคุณแม่ค่ะ ให้แม่ช่วยคิดช่วยตัดสินใจ แต่วันที่ถึงจุดเปลี่ยน คือวันที่เราคิดว่าจะต้องดูแลตัวเอง ต้องไปออกกองเอง คงจะเป็นเรื่องนี้แหละค่ะที่ทำให้เราคิดมาก คือตอนนั้นแม่ก็ป่วย เราไม่ได้รู้สึกว่าน้อยใจนะ แต่เรารู้สึกว่าทำไมจะต้องขับรถมาเองด้วย เราเป็นคนไม่ค่อยรู้เส้นทาง มันเหมือนว่าขาดอะไร ทุกครั้งที่แม่มาด้วย เราจะทะเลาะกันตลอดทาง พอวันนึงเราต้องขับรถมาเองตัดสินใจเอง เลยรู้สึกว่าคิดถึงแม่ เริ่มมาดูแลตัวเองตอนที่เรียนจบมหาวิทยาลัยค่ะ เป็นจุดที่เราต้องหักดิบ เพราะว่าแม่ไม่สบาย และตอนนี้แม่ก็หายป่วยแล้ว แต่ว่าพ่อกลับไม่สบาย ตอนแรกรู้สึกว่าหนักนะตอนที่พ่อเข้าโรงพยาบาล เราก็เป๋ไปเลย คือเราห่วงเขา และก็ไปนึกถึงภาพที่เราทำกิจกรรม ภาพที่เรามีความสุขร่วมกัน เลยรู้สึกว่าเราเสียดาย ถ้าเกิดว่าจะไม่มีโอกาสทำแบบนั้นแล้ว กลายเป็นว่าเราเองก็แย่ ก็คุยกันกับพี่เชลล์ เขาก็บอกอย่าไปคิดอย่างนั้นสิ พ่อยังไม่เป็นอะไรเลย เขาคอยปลอบคอยคุยกับหมอ แม่ก็จะโทร.มาเล่าตลอดว่าพ่อเป็นยังไงบ้าง ช่วงนี้เลยเป็นช่วงที่ต้องคอยดูแลพ่อเป็นพิเศษค่ะจะเดินทางไป-กลับกรุงเทพฯ-เพชรบุรี ตลอด

ความในใจจากโซบี

ต้องขอบคุณนะคะ ที่คนยังจดจำเราได้ เวลาไปไหนยังเข้ามาทักทายกัน โซบีดีใจนะดีใจมากๆ ที่ยังนึกถึงกันเสมอ รวมถึงพี่ๆ นักข่าวรุ่นเรา เจเนอเรชั่นเราต้องขอบคุณมากเลยที่ยังสนับสนุน เวลาไปออกกองเจอกัน ก็ยังเรียกมาถ่ายรูปพูดคุยกันก็ดีใจค่ะ อยากให้อยู่เป็นแฟนคลับเป็นกำลังใจให้กับพี่ๆ น้องๆ คนอื่นต่อไป และขอฝากผลงานด้วยหรือว่าใครผ่านไปเพชรบุรี แวะมาที่ร้าน Take a Rest ได้นะคะ

กุหลาบสีเงิน

 

Star Retro : จารึก วิริยะกิจ ‘Elvis 3 in 1’

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/entertain/255255

วันอาทิตย์ ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560, 06.00 น.

พราะความชอบและหลงใหลกับเสียงดนตรีมาตั้งแต่เด็ก ทำให้ จารึก วิริยะกิจ ค่อยๆ ศึกษาด้านดนตรี การร้องเพลง จากต้นแบบศิลปินชื่อดังมากมาย จนค้นพบแนวเพลงในสไตล์ที่ถนัดของตัวเองนั่นคือ แนวเพลงแบบ เอลวิส เพรสลี่ย์หลังจากนั้นเขาได้มุ่งมั่นและฝึกฝนกับรุ่นพี่เอลวิสเมืองไทยที่มีชื่อเสียงหลายคน ด้วยเอกลักษณ์และเสียงร้องที่โดดเด่น เขาได้รับฉายาว่าเป็น จารึกวิริยะกิจ “Elvis 3 in 1” ในวันนี้กับวัย67 ปี จารึกยังคงขึ้นเวทีมอบความสุขสร้างความสนุกสนานให้แฟนเพลงทุกวัน เรียกว่าไม่มีวันไหนที่เหนื่อย หรืออยากจะหยุดร้องเพลงเลย อะไรคือแรงบันดาลใจและสิ่งที่ทำให้เขามีพลังทำงานอย่างล้นเหลือขนาดนี้สตาร์เรทโทร สัปดาห์นี้พาไปพูดคุยกับ จารึก วิริยะกิจ เอลวิสเมืองไทยอีกคนที่ทุกคนคุ้นเคย

ก้าวสู่การเป็น เอลวิส เมืองไทย

ผมเป็นคนชอบดนตรีมาตั้งแต่ปี 1967 หลังจากนั้นก็เริ่มร้องเพลง แต่ยังไม่ได้ร้องแบบเอลวิส จะร้องแนวเพลงที่เสียงใหญ่ๆ พวกโมทาวน์ แล้วก็เข้ามารู้จักพี่ๆ เอลวิสเมืองไทย พี่ศักรินทร์ บุญฤทธิ์,พี่วิสุทธิ์ ตุงคะรัตน์, พี่จีระศักดิ์ ปิ่นสุวรรณ, พี่องอาจจีระพันธ์ เมื่อก่อนมีกัน 8 คน ตอนนี้ล้มหายตายจากกันไปแล้ว ผมก็อยู่วงดนตรีมาหลายวง ตอนแรกมาอยู่วงอิเล็กทริกซาวนด์ แล้วก็วงแคนดี้ และที่ได้รับชื่อเสียงมากที่สุด คือวง “เดอะ เบลสส์” (The Bless)หัวหน้าวงคือ “อิทธิ พลางกูร” ผมร่วมทำสองชุด“หัวใจขายขาด” กับ “เมื่อใดฉันไร้รัก” ผมเข้าไปช่วง 5 ปีหลังก่อนที่วงเดอะเบลสส์แยกย้าย นับว่าเป็นช่วงที่ดีที่สุดของผมทั้งงานร้องงานโชว์ตัวก็เข้ามาเยอะแยะมากมาย

ส่วนปัจจุบันผมทำงานอยู่ที่โรงแรมเอเชียเป็นผู้จัดการฝ่ายบันเทิง (Entertainment Manager)ทำที่นี่มาประมาณ 30 กว่าปีแล้วครับ ผมจะมีฉายาว่าเป็น จารึก วิริยะกิจ “Elvis 3 in 1” เพราะผมร้องเพลงสไตล์ เอลวิส เพรสลี่ย์, Tom Jones และ Engelbert Humperdrinck ร้องได้ 3 สไตล์ และยังเป็นคณะกรรมการอยู่ที่สมาคมดนตรีแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ อีกด้วย

เสน่ห์ที่หลงรักเอลวิส เพรสลี่ย์

ผมเริ่มเข้าสู่วงการ เอลวิส เต็มตัว ตอนประมาณอายุ 38 ปี เพราะพอเราจับงานดนตรีในสายเอลวิส ก็เริ่มศึกษาดูวีดีโอของเขาตั้งแต่เริ่มต้นเอลวิส ยิ่งใหญ่มาก เขามีความสามารถมาก ร้องเพลงช้าก็เพราะ เพลงเร็วก็สนุก เต้นท่าโยกๆ ของเขาก็เท่มากมันส์มาก แถมยังมีงานแสดงที่ดีด้วย แต่สิ่งหนึ่งที่ผมรักเอลวิสมากๆ คือ เขาเป็นคนที่รักพ่อแม่มากเป็นลูกที่กตัญญู ผมรู้สึกหลงใหลเขาตรงนี้ และจุดประกายให้เราอยากจะเป็น อยากเจริญรอยตามเขาทั้งการใช้ชีวิตและการร้องเพลง

จัดคอนเสิร์ตรำลึกเอลวิสทุกปี

ตอนมาอยู่ที่โรงแรมเอเชียแรกๆ ก็จัดคอนเสิร์ตรวมเอลวิส ซึ่งตอนนั้นเรายังไม่ได้ร้องนะเมื่อ 16 ปีที่แล้ว พอจัดแล้วเวิร์ก คนให้ความสนใจเยอะปีที่สองเลยจัดอีก เราก็เริ่มฝึกร้องเอลวิส ในระยะปีหนึ่งเราก็ฝึกฝนตัวเองไปเรื่อยๆ ฝึกร้อง ดูหนัง พอร้องได้ประมาณ 6-7 เพลง ค่อยๆ เรียนรู้ การแต่งตัว ทำผม จับไมค์ หลังจากนั้นก็จัดรวมตัวเอลวิส ที่โรงแรมเอเชียทุกปีมาโดยตลอด เพิ่งหยุดไป 2 ปี หลังเกิดเรื่องต่างๆ ขึ้น ในการจัดแต่ละครั้งก็มีการเชิญเอลวิสต่างประเทศมาแจมด้วย ฮ่องกง มาเก๊าออสเตรเลีย จากการที่ผมไปทัวร์ในต่างประเทศ อาทิออสเตรเลีย มาเลเซีย สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ ไปมาหลายประเทศครับ บางทีก็ไปเดี่ยว บางทีก็ไปกับจิ๊บ(วสุ แสงสิงแก้ว) บ้าง ไปโชว์ด้วยกัน เลยมีคอนเนคชั่นกับเอลวิสในประเทศที่เราไปกัน ชวนเขามาร่วมแจมในคอนเสิร์ตของเราที่เราจัดขึ้นสนุกๆ กัน

ภาคภูมิใจสุดๆ ในชีวิต

ตำแหน่งแชมป์ The best winner of Asian 2520 ที่ประเทศมาเลเซีย ตอนนั้นอยู่วงเดอะเบลสส์ก็ลาวงไปประกวด ผมจะร้องแนวทอมโจนส์ ซึ่งดังมากออกทีวี.ทุกช่อง ค่าตัวก็สูงมาก แล้วมีไปร้องต่างประเทศด้วย ช่อง 3 ส่งผมไปประกวดที่ประเทศมาเลเซีย และได้แชมป์กลับมาด้วย เป็นรางวัลแรกของเรา ไปร้องแนวทอมโจนส์ ตื่นเต้นมาก ตอนนั้นร้องเพลง ดีไลลาห์ คนอื่นยืนร้องบนเวทีปกติ แต่ผมลงไปสนุกกับคนดูข้างล่าง กรรมการก็เรียกให้กลับขึ้นบนเวที คนดูก็ลุกขึ้นสนุกกับผม กลายเป็นว่าผมได้คะแนนเพิ่ม คือเพลงนี้ที่ผมร้องจะเป็นดนตรีสนุกๆ ผมก็อยากให้คนดูสนุกด้วย ทุกคนก็สนุกกับผม กลายเป็นว่าผมสามารถคว้าแชมป์มาได้ จำได้ว่าตอนนั้นอายุประมาณ 20 กว่า ดีใจและภูมิใจที่สุดครับ

ผลงานด้านการแสดง

ผมไม่ค่อยถนัดเท่าไหร่ มีเล่นภาพยนตร์บ้างนิดๆ หน่อยๆ ที่เล่นก็เรื่อง “หัวใจขายขาด” แล้วก็มา“2499 อันธพาลครองเมือง” เล่นนิดๆ หน่อยๆแล้วอีกอย่างผมมีงานประจำ เลยไปไหนค่อนข้างลำบากนิดนึงครับ

นอกจากงานประจำที่ทำอยู่

ผมทำเกี่ยวกับจัดสรรที่ดิน เป็นธุรกิจเล็กๆ ของที่บ้าน ทำไปเรื่อยๆ เป็นของครอบครัว ดีบ้างไม่ดีบ้าง แต่หลักๆ ก็ยังอยู่ที่โรงแรมเอเชีย จะร้องอยู่ที่นี่ประจำวันจันทร์-เสาร์ เวลา 19.00-21.30 น.แต่ถ้ามีงานจ้างที่ไม่ชนงานประจำก็ยินดีไปครับ

งานการกุศลไม่เคยขาด

ล่าสุดไปร้องที่ภูเก็ต “100 วันคีตราชัน”ไปกับอาสุเทพ วงศ์คำแหง ไปกันหลายคนครับสนุกดีครับเวลาได้ออกไปทำงานแต่ละที่ ไม่เหนื่อยนะชอบ (หัวเราะ) และอีกที่หนึ่งผมจะไปร้องเพลงจัดคอนเสิร์ตเล็กๆ เป็นประจำที่โรงพยาบาลพระมงกุฎทำทุกเดือน เดือนละครั้ง ก็จะแท็กทีมนักดนตรีรุ่นเก่า สุชาติ ชวางกูร, ทิพวัลย์ ปิ่นภิบาล, ปนัดดา วงศ์ผู้ดี ไปช่วยผู้ป่วยที่พิการ จัดคอนเสิร์ตฟรีให้เขาดู มอบความสุขสนุกสนานให้เขา

ชวนไปสนุกกับคอนเสิร์ตร่วมแจม

ผมมีโอกาสได้ไปร่วมแจมใน คอนเสิร์ต “ชาตรี Memory Love Songs” ณ วิว@เขาใหญ่รีสอร์ท อ.ปากช่อง ก็จะมีประกวดคาวบอย คาวเกิร์ลสามารถจองบัตรแล้วไปสนุกกันได้นะครับ วันอาทิตย์12 กุมภาพันธ์นี้ รับรองว่าไม่ผิดหวังแน่นอน ติดต่อสอบถามกันมาได้ครับ 084-3369559 รับเพียง200 ท่านเท่านั้น มาสนุกด้วยกันครับ

ชีวิตครอบครัว

เมื่อก่อนบอกเลยว่าผมเป็นคนเจ้าชู้มาก เรียกว่าเป็นปกติของนักดนตรี (หัวเราะ) คือผมมีแฟนเยอะ ทั้งคนไทย ฝรั่ง คนดัง อายุน้อย อายุเยอะมีหมด แต่ไม่มีลูกเลย ส่วนภรรยาคนปัจจุบันเป็นลูกครึ่ง ไทยผสมอิหร่าน แต่งงานกันมา 10 กว่าปีแล้ว ตอนนี้ไม่มีลูกครับ คืออยากมีไหม ก็ยากมีนะแต่มันไม่มีเอง เลยเอาหลานมาเลี้ยงวันหยุดจะได้ไม่เหงาครับ

ถ่ายทอดความเป็น เอลวิส สู่เยาวชน

ผมมีลูกศิษย์นะ คือ มีผู้ปกครองหลายคนเขาชอบและหลงใหลสไตล์เอลวิส เขาก็ส่งลูกๆมาเรียนกับผม ก็เลยสอนเป็นคอร์สๆ เล่นๆ สนุกๆ แต่ไม่ได้คิดอะไรมาก เดี๋ยวปิดเทอมก็มากันละ แต่เด็กสมัยนี้จำเร็วสอนง่าย บางคนก็ไม่ได้นะเสียงดีแต่จังหวะไม่ได้ มีหลายรูปแบบครับ (เคยคิดที่จะหยุดร้องเพลงไหม?) ไม่คิดครับ อยากทำไปเรื่อยๆกำลังสนุก ทำไปก่อน ในเมื่อเรามีงานทำก็ทำไปยังไหวครับ สนุกกับสิ่งที่เราทำทุกวัน มันก็ไม่เหนื่อยนะมีความสุข ถ้าจะหยุดจริงๆ คือวันอาทิตย์ ผมก็จะไปเที่ยวกับครอบครัวพักผ่อน

หยุดทำเพลงเพื่อทำพิธีทางศาสนา

ผมค่อนข้างจะเคร่งศาสนาครับ ผมเป็นอิสลาม ผมละหมาดวันละ 5 ครั้ง เช้า กลางวัน บ่าย เย็น ก่อนนอน ไปไหนก็ต้องละหมาด ก็จะมีช่วงหนึ่งที่ผมไปทำพิธีฮัจญ์ คือการเดินทางไปปฏิบัติศาสนกิจที่มหานครเมกกะ ประเทศซาอุดิอาระเบีย คือมุสลิมทุกคน ถ้าชีวิตหนึ่งมีพร้อม พอจะมีเงินมีทองพอสมควรไม่ต้องเป็นหนี้เขา เงินที่ได้ต้องบริสุทธิ์เงินที่เราหามาด้วยน้ำพักน้ำแรงของเรา ผมก็ไปทำแล้วก็ไปหลายเมืองทำจนครบพิธีประมาณ 40 วัน ก็ได้เจอคนเป็นล้านๆ คน ทุกคนมีความมุ่งมั่นมากๆที่ไปทำพิธีของคนอิสลาม ก็ไป 5 เมือง ดูตึกเก่าแก่ ประวัติศาสตร์ความเป็นมาต่างๆ ของศาสดามูฮัมหมัด

วิธีดูแลเสียงให้ไพเราะ

พักผ่อนให้เพียงพอ การนอนคือสิ่งสำคัญของนักร้องทุกคนครับ รวมไปถึงการออกกำลังกาย ผมชอบเล่นฟุตบอลอยู่แล้ว ตอนนี้อายุเยอะขึ้นก็ไปฟิตเนส ตีแบดบ้าง แต่ที่ทำบ่อยมากที่สุดก็คือว่ายน้ำ เพราะการว่ายน้ำช่วยในเรื่องของการใช้เสียงของเราได้เยอะ เพราะบางทีเราร้องและเต้นไปด้วยก็ต้องใช้พลังเยอะ เหนื่อยง่าย แต่ถ้าเราได้ออกกำลังกายเป็นประจำร่างกายก็จะช่วยได้ เต้นไปร้องไปก็ไม่เหนื่อยเร็ว ส่วนแอลกอฮอล์ผมก็ไม่ได้ดื่มอยู่แล้ว และก่อนร้องเพลงก็ดื่มน้ำอุ่นๆ หรือน้ำขิงร้อนๆน้ำมะนาว ช่วยได้ดี

ฝากถึงนักร้องรุ่นใหม่

อยากให้น้องๆ ฟังเพลงอะไรก็ฟังให้ละเอียด ร้องเพลงเปล่งเสียงภาษาไทยก็ร้องให้ชัดๆ ผมเองก็ไม่ถนัดเพลงไทยแต่อยากได้ยินและเห็นนักร้องที่ร้องชัดๆ มีความมุ่งมั่นและขยันฝึกฝนให้ดี มีความพยายามอย่าลืมตัวเร็วและหลงระเริงกับชื่อเสียง อยากให้เขาทำแต่ความดีเป็นคนดีของสังคมครับ

แน่นอนความสามารถที่เป็นเนื้อแท้จริงๆของเรา จะเป็นตัวพิสูจน์และทำให้เรายืนหยัดอยู่ในอาชีพที่เราเลือกอย่างมีคุณภาพและสร้างสรรค์ ไม่เฉพาะวงการเพลงหรือวงการบันเทิง ขอแค่ขยันและหมั่นฝึกฝนวิชาความรู้นั้นอยู่เสมอ

ใบพร้าว

 

Star Retro : ‘โพลาร์-ชยพล’ อดีตหนุ่มเซอร์ เบนเข็มสู่อาชีพ ‘ครู’

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/entertain/254327

วันอาทิตย์ ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2560, 06.00 น.

สตาร์เรโทร สัปดาห์นี้ขอนำทุกท่านไปร่วมย้อนวันวาน และรู้จักตัวตนของนักแสดงหนุ่มมาดเข้มสายเฮลตี้ “โพลาร์-ชยพล อินทรวงศ์” พร้อมการเปิดใจถึงอีกหนึ่งบทบาทที่เขาภูมิใจสุดๆ

นอกจากการเป็นนักแสดงแล้วยังมีอาชีพประจำที่เริ่มทำมาได้สองปีกว่าแล้วครับ คืออาชีพอาจารย์ เรียกว่าเป็นอาชีพเลยครับ เพราะว่ารับเงินเดือนประจำมีบทบาท มีหน้าแปะอยู่ที่บอร์ดว่าเป็นอาจารย์ประจำคณะนิเทศศาสตร์ สาขาประชาสัมพันธ์ อยู่ที่มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ก่อนที่จะมาเป็นอาจารย์ ผมเคยถูกเชิญให้มาเป็นวิทยากร ด้วยความที่เป็นคนชอบถ่ายทอดชอบสอนชอบอธิบาย แม้กระทั่งกับน้องนักแสดงที่เราพอจะแนะนำได้เราก็ทำ เขาก็มองว่าพูดได้แบบนี้น่าจะลองมาเป็นวิทยากรไหม ก็รู้สึกว่าดีเหมือนกันคือเราต้องยอมรับว่าอาชีพนักแสดงมันไม่แน่นอน รายได้อาจจะสูงจริง แต่เราไม่รู้ว่าจะมีใครจ้างเราจนถึงอายุ 60 หรือเปล่า ก็เลยมาทำอาชีพนี้ด้วยดีกว่า

ความรู้สึกแรกกับคำว่า “อาจารย์”

ตื่นเต้นครับคือลองมองย้อนไปตอนที่เราเป็นนักศึกษา เราจะรู้สึกว่าอาจารย์จะเป็นผู้ทรงภูมิ แต่พอวันนี้เราไปเป็นอาจารย์เราไปยืนในตำแหน่งที่เราไม่เคยเป็นก็เลยต้องพยายามทำตัวให้เหมาะสมกับคำว่าอาจารย์ซึ่งก็คือเป็นครู (คาแร็กเตอร์ของอาจารย์โพลาร์ ?) ดุมาก(ยิ้ม) ดุจริงครับ ต้องบอกว่าอาจารย์โพลาร์เป็นคนที่มี2 พาร์ทอย่างชัดเจน นอกห้องเรียนใจดีมาก จะคุยจะแซวอะไรได้หมด แต่ต้องอยู่ในขอบเขต ในห้องเรียนดุมากทุกอย่างต้องเป็นตามกฎและกติกาที่ตั้งกันเอาไว้ ผมเป็นคนละเอียด เลยอยากจะฝึกให้เด็กมีระเบียบ จนกลายเป็นอาจารย์โพลาร์สุดเฮี้ยบไป มีคนบอกว่าเป็นอาจารย์ที่ดุที่สุดในคณะ มีเด็กหลายคนที่ก่อนจะเรียนบอกว่าอยากเรียนกับผมมาก แต่พอมาเรียนด้วย เริ่มมีกลิ่นของความเข้มงวดจริงจัง เมื่อไหร่ก็ตามที่อาจารย์โพลาร์เดินมา เด็กก็จะนอบน้อมอย่างเห็นได้ชัด

ผู้นำเทรนด์แฟชั่นในมหาวิทยาลัย

ด้วยสไตล์และด้วยเราเป็นดารานักแสดง เราก็จะดูวัยรุ่น คือดูแลตัวเอง และทรงผมก็จะตามแฟชั่น ยิ่งวันไหนไปถ่ายละครก่อน แล้วค่อยไปสอน ก็จะหน้าเนียนไปเลย คืออาชีพนักแสดงทำให้เราเป็นคนที่ดูแลตัวเอง พอมาเป็นอาจารย์ก็เลยกลายเป็นอาจารย์ที่แต่งตัวจัด แต่ทุกอย่างอยู่บนพื้นฐานของความเรียบร้อย กาลเทศะไม่มีอะไรขาดตกบกพร่อง แต่แฟชั่น(ในโลกโซเชียลจะดูโชว์สรีระ?) ผมจะพูดกับเด็กเสมอว่า คนเราทุกคนต้องแบ่งแยกกาลเทศะ คือคนเราทุกคนมีหลายหัวโขน ผมก็เป็นคนหนึ่งที่มีหัวโขนดารานักแสดง มีหัวโขนลูก
ของแม่ มีหัวโขนอาจารย์ของนักศึกษา แต่สิ่งต่างๆ เราต้องอิงกาลเทศะเป็นสำคัญ อยู่ในรั้วมหาวิทยาลัยผมแต่งตัวเรียบร้อยมาก ผมให้เกียรติเด็ก พูดจาสุภาพผมไม่เคยใช้ถ้อยคำหยาบคายกับเด็ก แม้แต่ครั้งเดียว ยกเว้นพูดเป็นโจ๊กเป็นเรื่องเล่าสนุกๆ อาจจะมีบ้างครับ

ภูมิใจในอาชีพเรือจ้าง

ต้องยอมรับว่างานอาจารย์เป็นงานที่ยุ่ง และเหนื่อยนะ การเป็นนักแสดงก็เหนื่อยเพราะมันจะมีช่วงที่เราจะต้องทำงานกลางแดดกลางฝน แต่ว่าเราเหนื่อยไม่นาน และงานแสดงภาพสวยรายได้สูง งานอาจารย์รายได้น้อยมาก ถ้าเทียบกับสิ่งที่เขาต้องทำ คือไม่ได้พูดแทนว่าตัวเองเป็นอาจารย์นะ อยากจะให้ใครที่มีอำนาจมาช่วยกันดูแล แต่เราก็เรียกว่ามาถูกครับ สิ่งที่ได้รับกลับมาคือความสุขแม้ว่าเราจะเหนื่อยก็ตาม มีความสุขที่เห็นว่าเด็กที่เราสอนค่อยๆ รู้มากขึ้น ค่อยๆ เปลี่ยนค่อยๆ โตวันที่เห็นเขารับปริญญามันเป็นวินาทีที่ดีมากนะครับ

ความฝันในวัยเยาว์

ผมอยากเป็นดารานักแสดงตั้งแต่เด็กแล้วครับไม่ได้มีใครเป็นไอดอล แต่ว่าแม่เป็นคนชอบดูละครเราก็เลยพลอยได้ดูไปด้วย พอดูเสร็จเราจะรู้สึกว่ามันดีจังเลยไม่รู้ทำไม ไม่รู้ว่าอะไรเป็นแรงบันดาลใจ รู้สึกว่าดาราอยู่หน้ากล้องแล้วเท่จังเลยเล่นมิวสิกเล่นละคร เราก็เอามาเลียนแบบเล่นคนเดียวอย่างมีความสุขกระโดดโลดเต้นอยู่บนเตียงเอาพัดลมมาเปิดเหมือนเราเล่นคอนเสิร์ต ทำอย่างนั้นตั้งแต่เด็กๆ (หัวเราะ) เป็นความชอบที่แอบเก็บไว้คนเดียวไม่บอกแม่เขิน เคยมีคนถามว่าโตขึ้นจะเป็นอะไร เราก็ยังตอบว่าไม่รู้เลย เพิ่งมาวิเคราะห์ตอนมัธยมครับว่าสรุปเราอยากเป็นนักแสดง อาชีพอื่นๆ ไม่ได้มีอยู่ในหัวเลย การเป็นนักแสดงเรารู้สึกว่ามันเท่มันดูดีสวยงามก็เลยอยากทำ

เนื้อหอมตั้งแต่ยังไม่เข้าวงการ

ผมเคยได้นามบัตรครั้งแรกตอนอยู่ ป.6 จากบริษัทดาราวิดีโอ พี่ท่านหนึ่งให้มาซึ่งผมมาสืบทราบภายหลังว่าพี่เขาได้เสียไปแล้ว คือพี่เขาเป็นทีมงานของบริษัทดาราวิดีโอเดินเจอกันแล้วเขาก็ยื่นนามบัตรให้ สมัยนั้นเขาจะให้มาเล่นละครจักรๆ วงศ์ๆ ก่อนนะ เราก็เคยไปครั้งหนึ่งตอนนั้นออฟฟิศเขาอยู่ติวานนท์แล้วบ้านผมอยู่สำโรงเลยพ่ายแพ้กับการเดินทาง ไปครั้งเดียวและไม่ไปอีกเลย หลังจากนั้นเขาก็โทร.มาตามอีกหลายครั้งนะครับ เราก็บอกเขาไปตรงๆว่าไม่ไหวเพราะมันไกลจริงๆ พอตอน ม.1 ม.2 ก็ยังได้รับนามบัตรจากโมเดลลิ่งต่างๆ อีกเรื่อยๆ เคยเอามานับน่าจะมีประมาณ 30-40 ใบ คือเราไม่ได้ว่าเราหล่ออะไรนะแต่ผมว่ามันเป็นยุคที่โมเดลลิ่งเฟื่องฟู แล้วผมก็ชอบไปปรากฏตัวตามที่ต่างๆ ที่มีโมเดลลิ่ง (ตั้งใจไปเองรึเปล่า?) ไม่ครับ เพื่อนที่สนิทกันเขาไปประกวดเต้นแล้วเราก็ไปเชียร์เพื่อน ไปรอบหนึ่งก็จะได้นามบัตรมา 3 ใบ 5 ใบ แต่ก็ไม่ค่อยได้ไปเทสต์งานอะไร เพราะว่าทุกที่มันอยู่ไกลหมด บ้านเราอยู่สำโรงไปไหนก็ไกล

เริ่มต้นก้าวแรกจากการประกวด

กว่าจะได้ทำงานที่แตะงานบันเทิงจริงๆ คือแนะนำดาราหน้าใหม่ของนิตยสารเธอกับฉันตอนประมาณช่วง ม.ปลาย พอได้ลงก็หายไปอีก ไปเรียนหนังสือตามปกติ ทำงานหารายได้เสริมบ้าง เป็นเด็กเสิร์ฟเพื่อช่วยเหลือที่บ้าน ก็ไม่ได้สนใจงานบันเทิง จนกระทั่งเพื่อนคนหนึ่งเขาจะไปประกวดชีเน่ซัมเมอร์แคสติ้งของอาร์เอสฯ ก็เลยชวนเราไปด้วย เขาจะมีให้เลือกประกวดนักแสดงและนักร้อง เราก็ลงทั้งคู่เลย แต่สุดท้ายเราก็ชนะจากนักแสดง คนประมาณสามพันกว่าคนคัดเหลือชาย 8 หญิง 8 เราก็ติดหนึ่งในนั้น และได้ไปเรียนการแสดง จนคัดเหลือชาย 4 หญิง 4 ก็ยังอยู่ในนั้นแล้วท้ายที่สุดก็เหลือชายหนึ่งหญิงหนึ่งซึ่งที่ 1 นั่งอยู่ตรงนี้แหละครับ (ยิ้ม) แต่กว่าจะได้ทำงานละครก็ไม่ได้ทำตอนที่อยู่อาร์เอสฯนะครับ คือพอชนะเลิศการประกวดเราก็ได้ทำพิธีกร เล่นเอ็มวีเป็นเจ้าพ่อเอ็มวีอยู่พักหนึ่ง อยู่อาร์เอสฯประมาณ 3 ปี แล้วก็มีงานถ่ายแบบแนวเซ็กซี่ถอดเสื้อโชว์สรีระ คือจากในเอ็มวีเราก็ถอดเสื้อมาแล้วเหมือนกันเพราะว่าผมเป็นคนที่มีบอร์ดี้มีกล้ามพอผู้กำกับเขารู้เขาก็อยากจะให้เราโชว์

หนุ่มเฮลตี้

ผมเป็นนักกีฬาโรงเรียนตั้งแต่สมัยมัธยมแล้วครับ จะรู้จักคำว่าฟิตเนสมาตั้งแต่เด็กเพียงแต่ว่าไม่ได้จริงจังเหมือนตอนนี้ พองานผมมันถูกโชว์บ่อยๆ ก็เลยกลายเป็นมีติดต่อเข้ามาเรื่อยๆ ทำให้เราได้ไปร่วมงานกับช่างภาพดังๆ หลายคน เคยติดอันดับผู้ชายที่ถูกพูดถึงมากในเว็บเกย์เว็บหนึ่งด้วยนะครับ (หัวเราะ) ผมค่อนข้างโชคดีที่ว่าจะมีคนติดต่องานเข้ามาจากงานชิ้นเก่าๆ “อาตู่”(นพพล โกมารชุน) ก็ไปเจอผมในคลีโอ แล้วเรียกเข้ามาแคสละคร แต่คือทีมงานเขาก็บอกว่าเคยเอารูปผมไปเสนอแล้วแต่อาตู่ไม่สนใจเอง จนกระทั่งอาตู่มาเปิดเจอเองก็เลยบอกให้เรียกเด็กคนนี้เข้ามา ก็เลยทำให้ได้เจออาตู่ครั้งแรก และเกือบจะได้เล่นละครเรื่อง “เพลิงพายุ” แต่ว่าได้มาเล่นเรื่อง “แคนลำโขง” แล้วต้องบอกว่าตัวละครของผมเขาเขียนขึ้นมาทีหลัง และเขาก็หากันใหญ่เลยว่าเอาใครดีมาเล่นบทนี้ต้องเป็นผู้ชายสีเทา สีขาว “พี่ออย” (ธนา สุทธิกมล) สีดำ “พี่ลิฟท์” (สุพจน์ จันทร์เจริญ)

สัมผัสแรกของการแสดง

ต้องบอกว่าชนะเลิศที่ 1 การแสดงนะครับ แต่ว่าพอเข้าฉากเหมือนคนตกรอบครับ (หัวเราะ) การประกวดเขาก็มีคุณภาพของเขานะ แต่พอลงสนามจริงมันกดดันไปหมดแล้วเราคือเด็กใหม่มาเจอ “นุ่น” (วรนุช ภิรมย์ภักดี) เราก็รู้สึกว่าตัวลีบเลยตื่นเต้นเป็นธรรมดาครับ ทุกวันนี้พอเจอเด็กใหม่แล้วเขาสั่นตื่นเต้นเราไม่เคยโกรธเลยนะ เพราะเราก็เคยเป็นมาก่อน (กับลุคหนุ่มเซอร์ผมยาว ?) ผู้ชายที่อยู่โรงเรียนมัธยมที่มีการซีเรียสเรื่องทรงผมมากๆ มันจะเก็บกดพอเรียนจบก็อยากจะไว้ผมยาว ตอนนี้ผมเพิ่งบวชมานี่ถือเป็นช่วงที่ผมสั้นที่สุดในรอบ20 ปี คือผมไว้ผมยาวอยู่ประมาณ 7-8 ปีเหมือนกันนะ เล่นละครผมยาวตลอดแต่จะเปลี่ยนทรงไปบ้าง

เสียงตอบรับละครเรื่องแรก

จริงๆ มันดีมากเลยนะครับจากเรื่อง “แคนลำโขง”เป็นละครที่เรตติ้งสูงที่สุดอันดับ 3 ในปีนั้น บทที่เราได้รับอาตู่ก็ให้โอกาสค่อนข้างเยอะ ไปไหนมาไหนคนก็ชื่นชอบและด้วยความที่คาแร็กเตอร์เราผมยาวนี่แหละ คนก็เลยจำง่าย เลยเป็นการจุดประกายเรื่องแรกนำไปสู่ละครเรื่องที่ 2 “สตรีที่โลกลืม” เท่าที่ผมรู้คือตอนที่เสนอตัวละครเขาก็เสนอกันไปพระ-นางเป็นออยกับนุ่นแล้ว “คุณแดง”(สุรางค์ เปรมปรีดิ์) ก็บอกว่าให้เอาผมมาเล่นเป็นตัวสองตอนแรกก็ดีใจคือไม่ได้สนใจหรอกว่าบทเด่นหรือดีแค่ไหน มีละครเล่นก็ดีแล้วเพราะว่าเราก็เป็นเด็กใหม่และไม่มีผู้จัดการที่มาดูแลคิวอะไรให้เลย แต่พอมาเห็นบทแล้วก็ช็อกเหมือนกันเพราะว่าบทยากมาก การที่มาเล่นกับอาตู่ก็ไม่ได้เซ็นสัญญานะครับ แต่ทุกคนจะมองว่าเราเป็นลูกรักเป็นเด็กในสังกัดของเป่าจินจง เล่นกับเป่าจินจงเรื่อยๆ จนอาตู่ย้ายไปช่อง 3 เรื่องแรกผมก็ยังได้เล่นด้วยทุกวันนี้ผมมีโอกาสได้เล่นละครกับค่ายอื่นๆ แต่กว่าที่เราจะขยับเพิ่มขึ้นแต่ละค่ายได้ต้องใช้เวลา ผมได้เล่นกับดาราวิดีโอในเรื่อง “โบ๊เบ๊” ซึ่งเป็นละครที่ผมประทับใจมาก ต้องบอกว่ามีผู้ใหญ่หลายท่านมากๆ ที่ให้โอกาสผมอาตู่ พี่นุช (ปรียานุช ปานประดับ) และเป่าจินจง ท่านเป็นเหมือนครูที่ให้โอกาส และต้องขอบคุณคุณแดง เมื่อครั้งที่อยู่ช่อง 7 ซึ่งคุณแดงก็เป็นคนพิจารณาและเลือกเราให้มารับบทบาทต่างๆ “พี่หลุยส์” (สยาม สังวริบุตร) รวมทั้งช่อง 3 “พี่สมรักษ์ ณรงค์วิชัย”

ผลงานที่ประทับใจ

จริงๆ ประทับใจทุกเรื่องไม่ใช่ว่าเป็นดาราเลยต้องตอบแบบนี้นะครับ แต่ว่าละครแต่ละเรื่องมันก็มีความสำคัญมีเรื่องใหม่ๆ มาให้ลองเรียนรู้เสมอ แต่ถ้าที่เราประทับใจที่สุดก็น่าจะเป็นละครเรื่องแรกแคนลำโขงครับ เพราะว่าเรื่องแรกมันคือตัดสายสะดือ มันคือจากคนธรรมดาหนึ่งคนเปลี่ยนสถานะเป็นดารา เป็นความฝันของเราจากเด็กที่เคยแอ๊กติ้งคนเดียวอยู่ในห้องนอนและวันหนึ่งได้เห็นหน้าตัวเองออกทีวี.และมีคำว่าขอแนะนำ “โพลาร์ อิศวร์” ก็ประทับใจ ส่วนละครเรื่องอื่นไม่มีคำว่าขอแนะนำนะ ทุกวันนี้ไปไหนมาไหนก็ยังเรียกนุ่น ว่าเป็นนางเอกคนแรกของผม (ยิ้ม)

ทำหลายบทบาทแล้วมีเวลาให้กับหัวใจไหม

ต้องบอกว่ามีเสมอครับ (ยิ้ม) เพียงแต่ว่ายังไม่เจอคนที่ถูกใจ คือเป็นคนเรื่องมาก เป็นคนละเอียด แม่เคยบอกว่าใครที่จะมาอยู่กับผมได้น่าจะหายากน่าดู แต่ว่าแม่จะไม่ค่อยยุ่งเรื่องนี้คือแม่เขาอาจจะชินกับการที่อยู่กับเรามาตั้งแต่เด็ก จริงๆ ผมมีพี่น้องนะครับแต่ว่าผมจะสนิทกับแม่มาก ถ้าผมมีแฟนแม่เขาก็คงจะดี แต่ถ้าไม่มีเขาก็คงจะแฮปปี้ไปอีกแบบ (มักเห็นภาพควงคุณแม่ออกสื่อ ?) ใช่ครับ ผมมองว่าโซเชียลเน็ตเวิร์กมันคือชีวิต อย่างนักข่าวก็ต้องลงภาพไปทำข่าว ผมเองก็มีลงภาพขึ้นรถลงเรือรูปกับแม่ ซึ่งแม่ก็คือส่วนหนึ่งในชีวิตเรา คุณพ่อไม่ค่อยได้ลงเพราะว่าคุณพ่อกับคุณแม่แยกทางกัน ลงรูปพ่อก็อาจจะมีเห่อบ้างแต่ว่าท่านไม่ค่อยแข็งแรงบางทีรูปถ่ายออกมาอาจจะไม่ค่อยหล่อก็เลยเห็นน้อยกว่า

อีกหนึ่งหน้าที่ของลูกผู้ชาย

ผมมีความตั้งใจว่าจะบวชมาเป็นสิบปีแล้ว แต่ผมเป็นคนที่รับผิดชอบทุกอย่างในบ้าน งานละครก็ไม่ได้มีบ่อยนัก บางทีจะโกนหัวไปแล้วถ้าเกิดมีงานเข้ามามันจะยังไง จังหวะปิดเรื่อง “ดาวหลงฟ้า ภูผาสีเงิน” และมหาวิทยาลัยปิดเทอม บวกกับช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาสุขภาพพ่อก็ไม่ค่อยจะดีนัก แต่ว่าตอนนี้สุขภาพพ่อแข็งแรงพอที่จะมางานแม่ก็ด้วย เราก็เลยรู้สึกว่าเราอยากจะบวชในวันที่พ่อกับแม่มีแรงมาปลงผม และต้องบอกว่าการบวชครั้งนี้คุ้มค่าที่สุดในชีวิต คือความตั้งใจแรกผมจะบวชเดี่ยว แต่ว่าด้วยจังหวะเวลาและทุกอย่างมันไม่ได้เลยแต่ทางวัดจะมีอุปสมบทหมู่ ที่วัดบวร แต่ว่าเต็มแล้วสุดท้ายจังหวะมีคนยกเลิกเราเลยได้เข้าแล้วหลังจากนั้นก็มีข่าวในหลวงรัชกาลที่ 9 เสด็จสวรรคตการบวชครั้งนี้ก็เลยเป็นการบวชเพื่อถวายเป็นพระราชกุศล บวชให้พ่อ-แม่เราก็ว่าดีแล้ว ได้บวชให้ในหลวงก็ยิ่งดีรวมทั้งได้รับการนิมนต์จากรัฐสภาไปสวดในงานทำบุญ เราคงจะตอบแทนอะไรมากมายไม่ได้ในฐานะคนไทยคนหนึ่งแต่ว่าอย่างน้อยเราก็ได้บวชให้ท่านและได้ไปร่วมงานที่เกี่ยวกับพระองค์ในช่วงที่เราเป็นพระ

กับกระแสข่าวด้านลบ

ต้องยอมรับครับว่าถ้าเป็นสมัยที่เข้าวงการใหม่ๆ ภูมิเราไม่แข็งแรงเจอเข้าไปโดนเข้าไปคนนั้นเลี้ยงเป็นเด็กคนนี้บ้าง ก็แอบเศร้านิดหนึ่งนะ จริงๆ เข้ามามองในชีวิตผมสมัยนั้นไม่มีโซเชียลผมนั่งรถเมล์ รถสองแถวนั่งเรือคลองแสนแสบ คนที่มีคนเลี้ยงมันลำบากแบบนี้ได้ยังไง ทุกวันนี้เวลาที่ผมจะขับรถไปไหนมาไหนก็ได้แค่ไม่ชอบเอง แต่ว่าการที่เราใช้ชีวิตง่ายๆ แปลว่าเราไม่ยึดติดกับความหรูหรา มีข่าวคนนั้นคนนี้เลี้ยงเราก็รู้สึกนิดๆ เจอข่าวว่าเป็นเกย์บ้างเราก็แอบนอยด์แอบจิตตกไปบ้าง แต่พอเวลามันผ่านไปเราก็เลือกที่จะไม่สนใจ ใครจะคอมเม้นท์อะไรก็เรื่องของเขา เราก็แค่มีพ่อ-แม่มีเพื่อนๆทุกคนรอบตัวที่รู้ว่าเราเป็นยังไงก็พอแล้ว ณ วันนี้ก็เลยอยู่ในจุดที่ความแข็งแรงและเข้มแข็งมันเยอะแล้วสิบกว่าปีมันหล่อหลอม

อนาคตที่เป็นไป

อยากจะเล่นละครไปจนแก่ ก็หวังว่าผู้ใหญ่จะเมตตา และเราก็ต้องพัฒนาฝีมืออยู่ตลอดนะครับพยายามทำตัวเป็นคนง่ายๆ ผมเชื่อว่าเราอยู่กันมานานก็เห็นๆ อยู่ว่าบางคนมาแล้วหายไป ขนาดคนที่เขาทำตัวดีๆ ก็ใช่ว่าจะอยู่กันได้นิรันดร์เลย แล้วจะยังไม่ทิ้งอาชีพอาจารย์ถ้าเขายังไม่ไล่ออก (ยิ้ม) แต่ก็จะพยายามใฝ่หาความรู้เพื่อที่จะได้มีความรู้ใหม่ๆ มาถ่ายทอดถ้ามีจังหวะเหมาะก็จะเรียนต่อดอกเตอร์ และอาจจะมองหาธุรกิจอะไรทำเสริมสักอย่างเป็นธุรกิจเล็กๆ แต่นั่นเป็นเรื่องของระยะยาว

กุหลาบสีเงิน

 

Star Retro : ‘เบิร์ด-กุลพงศ์’ พักร่าง สมานแผลหลังอักเสบ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/entertain/253437

วันอาทิตย์ ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2560, 06.00 น.

ถ้าพูดถึงนักร้องหนุ่มดูโอคู่แรกๆ ของวงการเพลงบ้านเรา แน่นอนว่าหนึ่งในนั้นต้องมีคู่เพื่อนรักนักร้องนักดนตรี “เบิร์ดกะฮาร์ท” เจ้าของเพลงฮิตมากมายที่มาทำให้หัวใจสาวๆ ยุค90 เต้นผิดจังหวะ วันนี้สตาร์เรโทรมีโอกาสเจอะเจอ “เบิร์ด-กุลพงศ์ บุนนาค”ซึ่งเขาจะมาบอกเล่าเรื่องราววันวานสุดประทับใจ และพร้อมกับอัพเดทชีวิตและโปรเจกท์พิเศษที่กำลังจะเกิดขึ้น

“ก่อนหน้านี้จะมีปัญหาเรื่องสุขภาพนิดหน่อยก็เป็นอุทาหรณ์ให้กับน้องๆ นะครับว่าควรจะออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ โดยปกติผมเป็นคนที่ว่ายน้ำ แต่พอหยุดว่ายน้ำไปสักครึ่งปี มันกลับมาเลยคือหลังเจ็บ ด้วยความที่เรานั่งอยู่ในที่เดิมนานๆ คือผมนั่งรถไปทำกิจกรรมกับลูกของโรงเรียนมาแตร์ที่สวนผึ้ง แล้วนั่งรถทัวร์ไปกลับ6 ชม. ก็เลยทำให้หลังอักเสบ ซึ่งตอนนี้อาการเริ่มดีขึ้นตามลำดับ ผมก็พยายามพักร่างกายดูแลตัวเองแล้วกลับมาว่ายน้ำตามปกติ แต่ถ้าจะให้มันหายขาดก็คงจะต้องใช้เวลา เพราะว่าเราก็ยังต้องนั่งรถไปนู่นไปนี่อยู่ ไหนจะครอบครัวลูกๆ แล้วยังจะงานที่ทำอีก”

กับงานประจำที่ทำอยู่

ที่ผ่านมางานในวงการบันเทิงผมทำอยู่หลายที่ เคยทำที่โซนี่มิวสิค ที่ฟิล์มสีฟูจิ จนวันหนึ่งก็มีคนมาชวนผมว่าสนใจที่จะทำธุรกิจบันเทิงที่เกี่ยวกับหนังไหม และเป็นแอพพลิเคชั่นที่จะสามารถให้คุณดูหนังได้นั่นก็คือบริษัทที่ชื่อว่าฮุค (HOOQ) เป็น Country Manager ผู้จัดการประจำระหว่างประเทศ ซึ่งธุรกิจฮุคจริงๆ แล้วเป็นแอพพลิเคชั่นที่ดูหนังเรียกว่า SVOD เป็นธุรกิจที่เรียกว่า OTT คือตัว Instructure ของมันเป็นเครือข่ายของโทรศัพท์ หรือว่าเป็นไฟเบอร์ที่เข้ามาในบ้านก็ได้โดยที่เราจะมีหนังอยู่ในเซิร์ฟเวอร์แล้วคุณสามารถดูได้โดยการติดต่อเราผ่านทางอินเตอร์เนต http://www.hoog.tv หรือผ่านเครือข่ายมือถือต่างๆ หลายคนอาจจะยังไม่เข้าใจว่ามันคืออะไรคุณจ่ายเงิน 119 บาท แล้วคุณได้อะไรบ้าง อยากให้ลองดูเข้ามาเถอะครับ

เรามีผู้ถือหุ้นอยู่ 3 ราย ได้แก่ สิงเทล โซนี่ พิคเจอร์สเทเลวิชั่นส์ และวอร์เนอร์บราเธอร์สโดยฮุคนำเสนอภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดชื่อดังมากมาย รวมถึงโปรแกรมยอดนิยมจากภายในประเทศกว่า 10,000 เรื่อง ให้ลูกค้าได้รับชมอย่างจุใจ ทุกเวลา ทุกสถานที่งานนี้ทำมาได้ประมาณปีหนึ่งแล้วครับ ซึ่งถือเป็นธุรกิจที่เหมาะกับปัจจุบันนี้มาก ในเวลาที่เราเคยเสพหนังหรือว่าดูหนังผ่านโรงภาพยนตร์ ซื้อดีวีดีมาดูหรือว่าดูผ่านช่องทีวีต่างๆ แต่ทุกวันนี้โลกมันถูกย่อลงมาแล้ว นั่นคือเสน่ห์ของมันเป็นธุรกิจที่น่าสนใจมากแล้วก็เป็นธุรกิจที่ในอนาคตอีกสัก 5 ปี จะมีคนใช้มันเยอะขึ้นเรื่อยๆ

ตรงกับไลฟ์สไตล์

คนที่ชอบทั้งหนังไทยและเทศ รวมทั้งซีรี่ส์ ฮุคตอบโจทย์ให้ครับ และเรียกว่าเป็นการตอบโจทย์ของตัวผมเองด้วย ผมว่ามันสนุกนะถ้าจะบอกว่าวันหนึ่งผมนั่งทำงานอยู่ที่บ้านหรือว่าที่ออฟฟิศก็สามารถเปิดหนังดูได้ มันก็เลยเหมือนว่าเรายังทำงานอยู่ เหมือนตอนที่เราทำงานเป็นผู้บริหารค่ายเพลงแล้วเราฟังเพลงก็คือเราทำงานอยู่ เป็นธุรกิจที่ทำแล้วค่อนข้างจะมีความสุข เหมือนเวลาที่เราร้องเพลง ร้องไปเราก็มีความสุข ให้ความสุขกับคนฟังแล้วได้ตังค์ด้วย (หัวเราะ) สนุกดีนะกับงานนี้เพราะว่าเราไม่ได้ทำอะไรที่มันฝืนใจ สองไม่ได้ทำอะไรที่ดูแล้วเหนื่อย จะบอกว่างานทุกงานเหนื่อยหมดแหละแต่ว่าทำไปแล้วเรามีความสุขก็เลยหายเหนื่อย

ยังไม่อิ่มตัวกับงานเพลง

การร้องเพลงผมไม่ได้มองว่าเป็นงานเลยครับ เพลงสำหรับผมมันเป็นฮอบบี้ เพราะว่าผมไม่เคยคิดจะทำมาหากินจากงานร้องเพลง ไม่ได้คิดว่าจะเป็นนักดนตรีประจำแค่เล่นสนุกๆ ผมทำงานประจำมาตลอดแล้วพอมีเวลาว่างก็มานั่งทำเพลง มีชุดหนึ่งของเบิร์ดกะฮาร์ทชื่อว่าชุด Moonlighting ซึ่งเป็นศัพท์แสลงแปลว่างานที่เราทำภายใต้แสงจันทร์ หรือว่างานกลางคืน ณ วันนี้เราเล่นดนตรีกันก็เพื่อความสนุกสนาน คนมาจ้างก็สนุกด้วยได้เจอกันได้ตังค์ด้วย บางทีได้ไปเที่ยวด้วย เดือนหนึ่งก็จะมีงานที่เขาจ้างไปร้องอยู่สัก 3-4 ครั้ง เพลงของเบิร์ดกะฮาร์ทมันเป็นเพลงเก่าครับเราก็จะได้ไปแจมกับเขา เพลงยังคงเป็นชีวิตที่ผมยังมีความสุขอยู่ ผมกับพี่ฮาร์ทเกิดวันเดียวเดือนเดียวกันนะ ต่างกันแค่ปีเท่านั้นเองคือผมเกิดก่อน ความเป็นเพื่อนของเรามันมีมายาวนานอย่างเมื่อปีที่แล้วเราเพิ่งจะมีคอนเสิร์ตครบรอบ 30 ปี เบิร์ดกะฮาร์ท แต่เราเป็นเพื่อนกันมา 35 ปี การที่จะมีเพื่อนซึ่งเป็นเพื่อนรักกันถึง 35 ปี มันเป็นสิ่งที่เรียกว่าวิเศษมากขึ้นเรื่อยๆ

วันวานของเด็กชายกุลพงศ์

ผมเป็นเด็กชายกุลพงศ์ที่เรียนอยู่เซนต์คาเบรียลแล้วก็ย้ายไปเรียนที่อเมริกาตั้งแต่ 9 ขวบ จนกระทั่งเรียนจบมหาวิทยาลัย รวม 15 ปีที่อยู่อเมริกา ก่อนที่จะมาทำเพลงกับพี่ฮาร์ทผมเป็นเด็กที่เงียบๆ ขี้อายคุยกับใครไม่ค่อยเก่ง ชอบดนตรีและเล่นกีตาร์เป็น คือตอนที่อยู่อเมริกาในวันคริสต์มาสก็จะมีกองไฟแล้วพี่ๆ เขาก็ร้องเพลงกันพอเขาวางกีตาร์น้องก็หยิบมาเล่นบ้าง เล่นไปเล่นมาก็รู้สึกสนุก พอโตขึ้นมาหน่อยก็เริ่มแต่งเพลงจีบสาวตอนนั้นอายุประมาณ 16 แต่งเพลงสากล ส่วนเพลงไทยก็มีแต่งกับพี่ฮาร์ทแล้วก็เพื่อนๆ

จุดเริ่มต้นของมิตรภาพ

สมัยนั้นผมน่าจะอยู่ประมาณปีหนึ่งที่ UCLAยังไม่รู้จักพี่ฮาร์ท แล้วก็มีพี่อยู่คนหนึ่งเขาอยากจะตั้งวงดนตรี เขาก็ไปเห็นพี่ฮาร์ทเล่นดนตรีในวันอาทิตย์อยู่ที่วัดไทยในแอลเอ พี่คนนั้นเขาก็เลยจับเรามารวมกันเป็นวง ตอนนั้นจะมี “พี่โจ๋” “พี่จั๋ม” ด้วย คือก่อนที่จะมาเป็นเบิร์ดกะฮาร์ทเราเคยทำวงชื่อว่าSystem 4 ดังนั้นช่วงแรกเราก็จะเล่นดนตรีกันอยู่ 4 คน แต่ตอนที่กลับมาเมืองไทยแล้วนำเพลงมาเสนอ “พี่วินิจ” (วินิจ เลิศรัตนชัย) ที่ไนท์สปอตเนี่ย เป็นเพลงที่เราแต่งและเปิดให้เพื่อนที่อเมริกาฟังแล้วเขาก็แนะนำว่าเขารู้จักคนที่นี่ให้เราเอาเพลงมาเสนอ โดยเรานำมา 3 เพลงคือ ลืม, อาลัยเธอและ Susan Joan หลังจากนั้นก็มีเพลงไม่ลืม รวมเป็น4 เพลงที่มานำเสนอ ตอนนั้นเราก็มั่นใจมากคือเราเดินเข้าไปหาค่ายเพลงนั้นด้วยเพลงลืม แล้ว “คุณไชยยงค์นนทสุต” ที่เป็นผู้จัดการทั่วไปของไนท์สปอตเขาก็บอกว่าไม่ต้องเสียใจนะที่เราจะไม่ได้ทำงานร่วมกัน อ้าวเขาปฏิเสธเรานี่นา แต่โดยคำปฏิเสธนั้นเขาก็ให้โอกาสเรา คือเขาบอกว่าจะเอาเพลงนี้ไปให้ดีเจอันดับหนึ่งของเขาที่คลื่น 100.5 โลกสวยด้วยเพลง ซึ่งก็คือพี่วินิจ

ที่มาของชื่อวง

มันมีเรื่องเล่าที่มีทั้งจริงและไม่จริงนะ และมุขที่เราเล่นแล้วคนเชื่อก็คือผมบอกทุกคนว่าเราไม่ได้ชื่อเบิร์ด-ฮาร์ทกันหรอก ผมหน้าตาตี๋ขนาดนี้จริงๆ แล้วชื่อย้ง ส่วนพี่ฮาร์ทก็ชื่อใช้ แต่ว่าเราเพิ่งเป็นถึงเด็กนักเรียนนอกแต่งเพลงมา 2 หนุ่มจากอเมริกาย้งกับใช้เวรกรรม (หัวเราะ) เขาก็เลยตั้งชื่อให้ใหม่เป็นภาษาอังกฤษ คนฟังก็เชื่อ ซึ่งจริงๆแล้วมันไม่ใช่ ด้วยความที่เราเป็นคนขี้เล่นไงครับ อย่างตอนที่เล่นคอนเสิร์ตสมัยก่อน 4 ชม.ร้องเพลงไปจริงๆ แค่ชม.ครึ่งอีก 2 ชม.ครึ่งเล่าเรื่องปล่อยมุขกัน ที่ผมชื่อเบิร์ดก็เพราะว่าตอนสมัยเด็กๆ แม่อยากให้ผมชื่อนกแล้วพ่อมีเพื่อนรักชื่อเบิร์ตพ่อเลยเรียกเราว่าเบิร์ตแม่ก็เรียกนก คนก็เลยคิดว่าเบิร์ตคือเบิร์ดส่วนพี่ฮาร์ทเป็นดวงใจพ่อ-แม่ พอเราบังเอิญมาอยู่ด้วยกันก็เลยเป็นเบิร์ดกะฮาร์ท จริงๆ น่าจะเป็นฮาร์ทกะเบิร์ดซะด้วยซ้ำนะ เพราะว่าพี่ฮาร์ทเก่งกว่าทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นแต่งเพลง เล่นดนตรี เป็นโปรดิวเซอร์ แต่ในวันที่เพลงนั้นถูกไปเปิดที่โลกสวยด้วยเพลง ทางคุณไชยยงค์ไม่ได้บอกพี่วินิจว่าเพลงนี้มาจากใครบอกแต่ว่าเด็กนักเรียนนอก2 คนเอามาให้เปิด เพลงมันกำลังดังเขาก็ต้องการที่จะรู้ชื่อคนร้อง เราด้วยความที่ยังเขียนภาษาไทยไม่คล่องพี่ฮาร์ทเลยเขียนชื่อโดยการให้เกียรติเขียนชื่อเราก่อน พอพี่วินิจได้ไปก็จะอ่านตามที่พี่ฮาร์ทเขียน คือ2 หนุ่มจากอเมริกา เบิร์ดกะฮาร์ท (หัวเราะ) เชื่อว่าพี่ฮาร์ทตอนแรกต้องมีเคืองบ้างล่ะน่าจะเป็นฮาร์ทกะเบิร์ดเพราะว่าเขาเป็นหัวหน้าวง ถ้าตอนนี้จะมาบอกว่าฮาร์ทกะเบิร์ดมันก็ไม่ใช่แล้ว ที่มาของชื่อวงเพราะว่าพี่ฮาร์ทเขาให้เกียรติเรา แต่เราไม่ได้คิดว่าจะใช้เป็นชื่อวงนะพี่วินิจเป็นคนตั้งชื่อให้ด้วยซ้ำเบิร์ดกะฮาร์ท ไม่ใช่กับ ก็เลยกลายเป็นว่าใช้ชื่อนี้ตลอดมาแต่เราก็รู้สึกผิดเพราะว่าตอนนั้นที่นำเพลงมาเสนอเราไม่ได้จะเสนอเป็นนักร้องคู่ แต่มาเสนอเป็นวงโดยมีเพื่อนอีก2 คนคือเบสกับกลองแต่ว่าเขายังกลับมาเมืองไทยไม่ได้เพราะว่าติดเรียน ในแง่ของสมัยนั้นเราเป็นคู่ดูโอ้คู่แรกของเมืองไทย จริงจริ๊งสมัยก่อนมันไม่มีใครร้องคู่เราทำมาก่อน “พี่ป้อม-พี่โต๊ะ” อีกนะ

หลากหลายบทเพลงที่ประทับใจ

เราออกอัลบั้มประมาณ 5-6 อัลบั้ม ที่ทำกับไนท์สปอต เพลงเราส่วนมากจะเป็นเพลงช้าซึ่งถ้าฟังติดๆ กันคนดูก็อาจจะหลับได้ ดังนั้นเวลาเล่นคอนเสิร์ตเราก็เลยจะต้องมีการพูดคุยเพื่อที่จะให้คนหัวเราะแล้วค่อยกลับมาฟังเพลงการพูดคุยบนเวทีก็ไม่ได้เป็นเรื่องที่เกี่ยวกันเลยนะอาจจะคุยเรื่องต้นไม้ พี่ฮาร์ทชอบเลี้ยงไส้เดือนก็เล่าไปเรื่อยแล้วก็หันมาร้องเพลงเพลงที่คนมักให้ผมร้องให้ฟังก็คือเพลงฝน ส่วนเพลงที่แต่งเองคือเพลงเพียงเรา เพลงที่ผมชอบร้องแล้วคนเซอร์ไพรส์คือเพลงเพ้อเพราะว่ามันเป็นเพลงที่ไม่ได้โปรโมทอะไรแต่คนรู้จักเยอะถ้าเพลงที่ชอบมากที่สุดน่าจะเป็นเพลงฝน เพราะว่าพี่ฮาร์ททำดนตรีได้ดีมาก เป็นเพลงที่วงดนตรียุคนี้หลายวงฟังแล้วรู้สึกว่าอินกับเพลงไม่ใช่แค่เนื้อร้องและทำนอง แต่ว่าจากดนตรีที่พี่ฮาร์ททำขึ้นมา เนื้อเพลงมันจะมีประโยคหนึ่ง “รู้เป็นเพียงอากาศ แต่ไม่อาจห้ามใจ”

เพลงที่มาจากประสบการณ์ตรง

(หัวเราะ) รู้สึกว่าจะหมดทุกเพลงนะจ๊ะ คือเอาง่ายๆ อย่างพี่ฮาร์ทเนี่ยอกหักเพียงครั้งเดียวกับผู้หญิงที่ชื่อ Susan Joanได้มา 5 เพลงเลย ทำมาหากินไปอีก 30 ปีแต่จริงๆ พี่ฮาร์ทเขาก๊อปผมนะเพราะว่าผมแต่งเพลงชื่อผู้หญิงก่อนเขา เพลงผม Christine Maria ในอัลบั้มนา นา นา ของวง System 4 เราไม่เคยแต่งด้วยกันนะครับ ส่วนมากเราก็จะแต่งมาก่อน อย่างเพลงเพ้อ “อยากจะรู้ใจทำไมรักเธอ” แต่พอท่อนแยกเรายังไปไม่สุดเราก็จะมาบอกให้เขาแต่งต่อ ผมกับพี่ฮาร์ทไม่เคยมานั่งแต่เพลงด้วยกัน จะเป็นแบบคนนี้มีต้น คนนั้นมีกลาง ไม่ก็เรามีทั้งต้นทั้งกลางแล้วเขาก็มาขัดเกลาเนื้อหน่อย

ความดังของเพลงทำให้ชีวิตเปลี่ยน

ต้องนึกสภาพนะครับตอนอยู่ที่อเมริกาผมชื่อ “คูปอง บุนนาค” เพราะว่ากุลพงศ์ Kulpong ฝรั่งเขาก็ไม่ได้อ่านว่ากุลพงศ์ เขาอ่านว่าคูปอง ดังนั้นนายคูปองหรือว่ากุลพงศ์ที่อยู่ที่ UCLA เดินไปไหนก็คือตี๋หนึ่งคน ทำงานอยู่ในร้านอาหารในโรงหนัง พอวันหนึ่งเรามาเป็นเบิร์ดกะฮาร์ทอยู่ที่เมืองนอกก่อนขึ้นเครื่องบินไม่มีใครรู้จักเราเลย แต่พอกลับมาเมืองไทยมีคนมารอที่สนามบินเป็นพันๆ คน เพราะฉะนั้นเราก็เลยทำตัวไม่ถูก ตอนจะกลับอเมริกาคนก็ไปส่งที่สนามบิน ในระหว่างที่จะออกมีผู้หญิงคนหนึ่งมองหน้าผมแล้วหยิบแหวานออกมาใส่มือให้แล้วสิ่งที่ตลกคือ 3 เดือนหลังจากนั้นเขาก็ได้เขียนจดหมายมาหาผมว่าแหวนที่ให้ไปเป็นแหวนคุณย่าไม่ทราบว่าจะขอคืนได้ไหม (หัวเราะ) พอกลับมาเมืองไทยเขาก็ซื้อแหวนอีกวงมาเพื่อแลกกับวงเดิมที่ให้เราไป

เพราะการเขียนจดหมายที่ทำให้ภาษาไทยแข็งแรงขึ้น

เราพยายามตอบจดหมายทุกฉบับครับ คือในสมัยนั้นถ้าเกิดว่ามันมีเฟซบุ๊คเราก็จะสามารถพูดคุยเล่นกันได้ ต้องบอกว่าพอเราโปรโมทเพลงแค่ 3 อาทิตย์แล้วเพลงมันดังเราก็เหมือนศิลปินต่างประเทศ มันไม่สามารถไปเจอเดินโต๋เต๋ที่สยามได้ เขาก็จะต้องเขียนจดหมายมาหาเรา บุรุษไปรษณีย์มาที่บ้านจะเอาจดหมายมาให้เป็นปึ้งเลยวันละเป็นร้อยฉบับ ที่ผมเขียนภาษาไทยได้ก็เพราะการตอบจดหมายแฟนเพลงนี่แหละ ร้อยฉบับเราก็เลือกมาสัก20แล้วเขียนกลับไปฉบับหนึ่งต้องใช้เวลา 15 นาทีเขียน 3 ประโยค แต่ประเด็นที่มันเกิดขึ้นเมื่อตอนคอนเสิร์ต 30 ปี ที่เราได้นำจดหมายเหล่านั้นทั้งที่ตอบและยังไม่ตอบ รวมทั้งที่ไม่ได้แกะ บางอันก็ฉีกเดี๋ยวนั้นแล้วก็ตามหาใครสักคนตอนนั้นเรียนอยู่เซ็นโย คอนเสิร์ต 30 ปีมันเลยประสบความสำเร็จมากเพราะว่าเป็นการรวมรุ่นที่มองออกไปเด็กมาแตร์อยู่ตรงนั้นเด็กเซ็นโยเด็กบดินทร์ เขาไม่ได้มาดูเราหรอกแต่ว่าเขามารียูเนียนกัน

บทบาทของหัวหน้าครอบครัว

ผมมีภรรยาคนเดียวเนาะ (หัวเราะ) ชื่อปนิตา บุนนาค มีลูกสาวอยู่ 3 คน คนโตปีนี้ก็ 18 คนที่สอง 15 คนเล็ก 12 แต่ไม่มีใครอยากจะเป็นเหมือนคุณพ่อเลย แต่ผมเห็นภาพหนึ่งแล้วชอบมากคือลูกชายคนโตของพี่ฮาร์ทชื่อบาสเล่นกีตาร์เก่งเหมือนพ่อมาก แล้ววันหนึ่งเขามาเจอลูกสาวคนโตของผมชื่อเนเน่ เราก็นึกในใจว่ามันคงน่ารักดีนะถ้าให้ 2 คนมานั่งร้องเพลงด้วยกัน เป็นลูกเบิร์ดกะลูกฮาร์ท คือเนเน่เขาเล่นเปียโนได้เคยขึ้นคอนเสิร์ตกับผมมาแล้ว แต่เขาก็ไม่ได้อยากจะเป็นศิลปิน เราเองก็ไม่ได้น้อยใจอะไรนะแค่รู้สึกก็เสียดาย (หวงลูกสาวไหม?) ไม่หรอกครับ เลี้ยงลูกสาวในลักษณะที่แบบว่าผู้หญิงผู้ชายเท่าเทียมกัน เราไม่เคยบอกเขาว่าโตขึ้นมาหนูจะต้องเป็นนางงามจักรวาล โตขึ้นมาหนูจะเป็นอะไรก็ได้เราไม่ได้เป็นห่วงเขาเพราะสิ่งที่เราสอนเราปลูกฝังความถูกไม่ถูก สุดท้ายคือมันอยู่ที่เขาว่าจะเอาไปใช้หรือไม่ใช่ส่วนมากจะเลี้ยงเขาแบบไทยๆ แต่ผมนับถือคาทอลิกลูกจะนับถือพุทธทั้ง 3 คน ความสำคัญมันไม่ได้อยู่ที่ศาสนาแต่ถ้าอยู่ในเมืองไทยศาสนาพุทธมันจะดูเป็นธรรมชาติดีนะ วันนี้เป็นวันพระนะ มีเทศกาลอะไรก็ไปวัดไหว้พระ

หลากเรื่องเล่าชวนฮา

เวลาเดินไปไหนกับลูกๆ ผมก็จะชอบเดินข้างหน้าคนก็จะซุบซิบกันนั่นมันเบิร์ดกะฮาร์ทนี่หว่า แล้วทำไมมันตัวเตี้ยจัง (หัวเราะ) ลูกๆ ผมเขาก็จะได้ยินตลอดเวลา เขาอาจจะไม่อยากจะเป็นเซเลบฯก็ได้เพราะว่าคนคอมเม้นต์ตลอด แต่เราก็ไม่เคยถามเขา จะมีคุณครูที่โรงเรียนฝากมาบอกบ้างว่าอยากได้แผ่นซีดี แล้วมีเรื่องตลกที่ลูกมาเล่าให้ฟังว่าเพื่อนเขาบอกว่าสมัยแม่เขาเด็กๆ ฮาร์ทมาจีบแม่เขา ตกลงพ่อเธอเบิร์ดหรือฮาร์ทเนี่ย ผมก็บอกว่าผมไม่เคยนะน่าจะเป็นฮาร์ทมากกว่า (หัวเราะ) คนมักจะจำผิดบ่อยๆ และมีอีกครั้งหนึ่งไปที่สนามบินเชียงใหม่เดินลงมาจากบันไดเลื่อน มีผู้หญิงอยู่คนหนึ่งหน้าตาตื่นเต้นดีใจมากแล้วมาบอกว่าชอบมากๆ เลยคุณฮาร์ท ผมก็เอิ่มผมชื่อเบิร์ดครับ ตกลงว่าชอบผมหรือชอบฮาร์ท

โปรเจกท์ที่อยากจะทำ

มีอยู่สองอย่างที่อยากจะทำคือหนึ่งอยากจะชวนน้องๆ ก็ได้ทาบทาม ป๊อด หนึ่ง อีทีซี มาทำเพลงกัน คือเขาเอาเพลงเราไปทำใหม่ แต่จะมีหลากหลายศิลปิน ซึ่งเราอาจจะทำดนตรีให้หรืออาจจะไปร้องด้วยประสานเสียงกันส่วนอีกอย่างที่อยากทำก็คือคอนเสิร์ต ความเป็นเบิร์ดกะฮาร์ทถ้าบอกว่าอยากจะจัดคอนเสิร์ต 31 ปี มันก็คงแปลกๆ มั้ง ก็เลยอยากทำเบิร์ดกะฮาร์ทที่เป็นแบบทอล์กโชว์ มาฟังผมคุยเถอะ แต่ยังไงก็ยังมีเพลงให้ฟังแน่นอน ก็คิดว่าจะจัดกันในปลายปีนี้

ถ้าไม่ใช่เบิร์ดกะฮาร์ท จะเป็นเบิร์ดกะ?

ไม่เคยคิดเลยครับ แต่มันคงจะออกมาไม่ดีหรอก เพราะว่าผมกับพี่ฮาร์ทก็แปลก พออยู่บนเวทีคนเดียวมันดูไม่มีเสน่ห์นะแต่ถ้ายืนอยู่ด้วยกันในสิ่งที่พูดในสิ่งที่เป็นมันดูกลมกลืนอย่างบอกไม่ถูกพี่ฮาร์ทจะเป็นคนที่ตลกลงใต้สะดือตลอด ถ้าให้ยืนคุยคนเดียวก็จะลามกมาก ผมก็จะแบบเสี่ยวๆ พอมาผสมกันแล้วมันดูพอดีๆ ถ้าในเรื่องของการร้องเพลงถ้าไม่มีทั้งคู่ก็จะไม่มีความเป็นเบิร์ดกะฮาร์ทแน่นอน รู้สึกไม่สนุกด้วยล่ะคนเดียว

คำนิยามของเบิร์ดกะฮาร์ท

เป็นเพื่อนที่กลายเป็นพี่เป็นน้องไปแล้ว แต่โดยความรู้สึกผมกับพี่ฮาร์ท คือเพื่อนรักที่กลายเป็นพี่เป็นน้องกันไปแล้ว มันคงไม่เลิกคบกันแล้วละครับ คือคนเราเป็นเพื่อนกันหรือว่าแฟนกัน มันไม่ได้คบกันด้วยความดีหรอก คนเป็นเพื่อนกันความดีทุกคนชอบหมด แต่การที่เราเป็นเพื่อนกันได้คือการยอมรับในข้อบกพร่องซึ่งกันและกัน จุดบอดของกันและกันเรารับได้ไหม และถ้ามาวัดแล้วจุดบอดของผมกับพี่ฮาร์ทมันรับกันหมดแล้วมันไม่มีเพิ่มเติมเพราะว่าเราก็มาถึงขนาดนี้แล้ว

ก็อยากให้ทุกคนยังมีความสุขได้ความสบายใจจากการที่ฟังเพลงของพวกเรา แล้วหวังว่าเพลงนั้นมันจะยังมีความหมายกับหลายๆ คนด้วย ในอนาคตก็คงจะมีโอกาสเจอกันตามงานวัดงานบวช ก็ยินดีเจอกันก็ทักกันไม่ต้องเคอะเขินครับแก่ขนาดนี้แล้ว (อมยิ้ม)บอกกันตรงๆ

Star Retro : 2 ความฝันของสาวเสียงสวย ‘กรพินธุ์ พ่วงโพธิ์’

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/entertain/252452

วันอาทิตย์ ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2560, 06.00 น.

ทุกคนต่างมีความฝัน แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถทำตามความฝันของตัวเองได้สำเร็จ เช่นเดียวกับ “กรพินธุ์ พ่วงโพธิ์” อดีตนักร้องสาวเสียงดีจากย่านลาดพร้าว เธอสามารถสานฝันของตัวเองให้เป็นจริงได้ ซึ่งมันไม่ใช่เพียงแค่หนึ่งความฝันเท่านั้น “สตาร์เรโทร” สัปดาห์นี้ขอนำอีกหนึ่งเรื่องราวที่พอจะเป็นแรงบันดาลใจให้ใครหลายคน ได้มุ่งมั่นทำความฝันให้เป็นจริงของผู้หญิงมากความสามารถ “กรพินธุ์ พ่วงโพธิ์”

ตอนนี้ก็จับงานเยอะแยะเลยค่ะ เพิ่งกลับมารับละครอีกครั้งปิดกล้องไปแล้วเรื่องสุดร้ายสุดรัก ทางช่อง 3 แล้วก็เป็น Sales assistance manager ทำบริษัทเสื้อยูนิฟอร์ม เสื้อโปโล เสื้อเพนท์ลาย ใครที่สนใจจะมาสั่งทำก็ออเดอร์ได้ และก็มีทำฟรีแลนซ์เป็นไกด์พาคนไปเที่ยวญี่ปุ่น จับหลายอย่างค่ะ(หัวเราะ)

เข้าสู่วงการนักปั่น

ส่วนกิจกรรมที่ทำอยู่ประจำก็คือปั่นจักรยานค่ะเริ่มปั่นมาสองปีกว่า คือตอนแรกอยากปั่นเพื่อสุขภาพ เพราะว่าไปเช็คร่างกายแล้วคอเลสเตอรอลสูงเพื่อนของพี่เอก (เอก กฤษณาวารินทร์) เขาก็อาการเดียวกัน เขาหันมาปั่นจักรยานแล้วได้ผล เลยเป็นแรงบันดาลใจให้เราอยากจะมาปั่นจักรยาน ซึ่งพี่เอกเขาก็ปั่นมาก่อนหน้านั้นแล้วพินไม่ได้มีเวลาว่างมาสนใจตรงนี้นักเพราะว่าตอนนั้นก็เป็นแอร์อยู่ด้วยอยู่เมืองไทยก็ไม่กี่วัน แล้วพอหมดสัญญาก็ไม่ได้ต่อ เลยซื้อจักรยานเลย แต่ตอนแรกคิดว่าจะปั่นง่ายๆ ชิลๆไปเรื่อยๆ จินตนาการไว้ว่าเหมือนเราปั่นจักรยานแม่บ้านตอนเด็กๆ แบบว่าปั่นไปหาอะไรกินหรือว่าท่องเที่ยวธรรมดา แต่พอเอาเข้าจริงแล้วในก๊วนเพื่อนๆ ในทีมคือพาไปขึ้นเขาลงเขาทางยาวปั่นกันเป็นร้อยโลซึ่งมันไม่ใช่แล้วล่ะเราจะไม่ซ้อมก็ไม่ได้ด้วยนะ แรกๆ พอเจอเนินนิดเดียวก็จะลงเข็นจนไม่อยากไป แต่ว่าสุดท้ายแล้วมันก็มีงานที่เป็นแรงดึดดูดให้ซ้อมให้ขึ้นเขาให้ได้ คือเป็นงานของสายการบินโลว์ครอสแห่งนึงแต่ตอนนี้เขาได้ปิดตัวไปแล้ว คือเขามาติดต่อเพราะว่าเห็นพินบินญี่ปุ่นบ่อยๆ ก็อยากให้เราจัดเส้นทางปั่นจักรยานเพื่อขึ้นเขาฟูจิ ตอนนั้นก็อยากทำมากแต่เรายังขึ้นเนินไม่ได้ ณ ตอนนั้นก็เลยมุ่งมั่นฝึกซ้อมตั้งใจจะขึ้นเขาให้ได้ พอใจได้ร่างกายแข็งแรงขึ้นเรื่อยๆ ทริปเกิดล่มคือเขาปิดโครงการไปเลยเพราะเหมือนว่าต้นทุนไม่พอ เราก็เสียดายมากแต่ผลพลอยได้ก็คือทำให้เราเก่งขึ้นมีเป้าหมายชนะใจตัวเองไปอีกขั้นนึง แล้วสุขภาพเราก็ดีขึ้นคอเลสเตอรอลก็ลดลง ก็เลยติดใจเพื่อนในกลุ่มก็จะหาทริปต่างๆทุกเสาร์อาทิตย์ แก๊งของพินชื่อ ถุงเท้าชมพู Pink Soxส่วนมากเราจะจัดทริปกันทุกเสาร์อาทิตย์ไม่เคยอยู่บ้านกันเลย พี่เอกก็ไปด้วยกันค่ะ

สานความฝันให้เป็นจริง

เป็นแอร์อยู่ประมาณ 10 ปี บินไปบินมาญี่ปุ่นตลอด ที่สายการบินเจแปนแอร์ไลน์ ตอนเด็กพินมีความฝัน 2 อย่างคือเป็นนักร้องแล้วก็เป็นแอร์โฮสเตส แต่ว่าตอนแรกเจ็บปวดมากกับการที่จะเลิกร้องเพลง เพราะว่าตอนนั้นร้องเพลงอยู่เกือบจะ 5 ปี พอสอบแอร์ได้ทางสายการบินเขาก็บอกว่าให้เลือกระหว่างร้องเพลงหรือว่าเป็นแอร์ ก็คิดในใจว่าไหนๆเราก็ได้ทำฝันแรกของเราสำเร็จแล้ว ถ้าเราเลือกร้องเพลงต่อเราก็จะไม่ได้สานฝันที่สองต่อก็เลยจำเป็นต้องตัดใจตรงร้องเพลงออกไป

ความประทับใจเมื่อครั้งเป็นแอร์โฮสเตส

ผู้โดยสารส่วนมากจะเป็นคนญี่ปุ่นเขาก็ไม่รู้จักเรา แต่ว่าจะมีผู้โดยสารที่เป็นคนไทยเข้าประเทศญี่ปุ่นที่แบบเอาใบเข้าประเทศมาให้เซ็นเป็นลายเซ็น (หัวเราะ) คือเขาก็จำเราได้ว่าเป็นนักร้อง ส่วนแอร์รุ่นพี่ๆ ก็มีแบบแซวและขอให้ร้องเพลงให้ฟังบ้าง สำหรับอาชีพนี้ให้ประสบการณ์เยอะมากคือตอนแรกเราก็นึกว่าแค่เสิร์ฟสวยๆ เดินออกมา แต่จริงๆ แล้วเหมือนว่าเราต้องเป็นทุกอาชีพอยู่ในตัว เป็นคนทำความสะอาดห้องน้ำ เป็นคนทำกับข้าว เป็นแม่ครัว เป็นพยาบาลเป็นหมอ เป็นตำรวจอยู่บนไฟล์ท คือจะมีหลายอาชีพอยู่ในแอร์หนึ่งคน ความอดทนเป็นเลิศมาก บางอย่างเราไม่ได้เป็นคนผิดก็ต้องก้มหัวขอโทษ การที่เราทำอะไรแล้วผู้โดยสารชมหรือชอบเราก็รู้สึกว่ามีความสุขทุกไฟล์ทแล้วค่ะ แต่ถ้าบางไฟล์ทเกิดเหตุอะไรนิดๆ หน่อยๆ หรือแม้กระทั่งผู้โดยสารเสียชีวิตหรือเกือบจะ แต่ว่าเราไปช่วยเขาได้ การเป็นแอร์ครั้งนี้คือได้ประสบการณ์เยอะมากจริงๆค่ะ มันก็เป็นช่วงชีวิตที่ต่างกับการเป็นนักร้อง ที่เราให้ความสุขกับผู้ชมผู้ฟังแล้วทุกคนก็คอยดูแลเทคแคร์เรา แต่พอไปเป็นแอร์เราก็ต้องไปดูแลคนอื่น หลังจากนั้นก็ไม่ได้ต่อสัญญาการเป็นแอร์อีก ก็เหมือนเราถึงจุดอิ่มตัวแล้วล่ะ เพราะบินทีนึงก็ประมาณ 10-12 วัน เวลาให้ครอบครัวอาจจะน้อยแล้วคุณแม่ก็อายุเยอะ เวลาไปบินก็ห่วงท่านด้วยเลยตัดสินใจว่าพอแล้วดีกว่าก็เลยมาหาอะไรทำ โดยพี่คนนึงได้ชวนให้มาเป็นมัคคุเทศก์เราก็เลยยังได้เดินทางอยู่ได้บินเรื่อยๆ

ย้อนวันวานก่อนจะมาเป็นนักร้อง

ตั้งแต่จำความได้ก็ชอบร้องเพลงมาก (เน้นเสียง)ฝันจะเป็นนักร้องมาตั้งแต่เด็กๆ ชอบร้องเพลงเหมือนคุณพ่อ และชอบเล่นดนตรี เวลาที่มีงานหรือว่ารวมญาติกันก็จะจับไมค์ร้องเพลงตลอด คือจำความได้ก็ร้องเพลงแล้วและก็ฟังกรอกหูมาเรื่อยๆ ส่วนมากพ่อก็จะเปิดแต่เพลงเก่าๆ ให้ฟังดังนั้นเพลงที่พินร้องก็เลยจะเป็นเพลงของสุนทราภรณ์ คือตอนนี้ถ้าเปิดคาราโอเกะมาเพลงเก่าน่ะสู้ตาย (หัวเราะ) ไม่ได้ร้องแต่สตริง แต่ร้องลูกกรุง ลูกทุ่งก็ได้ คือมาหัดร้องลูกทุ่งตอนประกวดไทยแลนด์โค้กมิวสิคอวอร์ด ตอนที่อยู่มหาวิทยาลัยซึ่งเป็นเพลงบังคับ ก็มีพี่ที่เขาเรียกเอกวอยซ์ขับร้องไทยมาช่วยสอนให้ ทำให้รู้สึกว่าเพลงลูกทุ่งเป็นเพลงที่มีเสน่ห์มากนะคะแล้วก็ท้าทายในการเอื้อน สนุกที่ได้เรียนรู้ พินเรียนร้องเพลงเรียนดนตรีตั้งแต่เด็กแล้วค่ะ เช้ามาก็ซ้อมอยู่ในวงดุริยางค์ ชีวิตไม่เคยห่างจากดนตรีเลย ม.ปลายก็เป็นนักร้องของโรงเรียน แล้วมาปี 1 มศว ประสานมิตร ก็เรียนเกี่ยวกับดนตรีโดยเฉพาะเลย

มากับดวง

เริ่มประกวดตั้งแต่ปี 3 แต่ว่ายังไม่ได้แชมป์ ปี 4 ก็ประกวดอีกก็ได้ หลังจากนั้นก็ส่งเทปไปตามค่ายต่างๆ แต่ว่าเขาก็ไม่ได้เรียกนะรอนานเหมือนกัน (ค่ายเพลงในฝัน ?) สมัยก่อนก็จะมีแค่ 2 ค่ายใหญ่ๆ ที่ทุกคนอยากจะเข้าไปนะคะ คือแกรมมี่กับอาร์เอส ก็ไปทุกที่แม้แต่ค่ายเล็กๆ คือค่ายไหนก็ได้แต่ว่าพอถึงเวลาจริงๆ ทางอาร์เอสเรียกไปก่อนจำได้ว่าตอนนั้นร้องเพลงของโมเม (หัวเราะ) จริงๆ ส่งไปหลายรอบมาก แล้วจะเรียกว่าเป็นดวงของเราก็ว่าได้ คือเห็นพี่ที่อยู่ข้างในบอกว่าเทปที่พินส่งไปเขาทิ้งไปในลังอันนึง แล้วมีพี่โปรดิวเซอร์คนนึงเขามานั่งที่โต๊ะนั้นก็ไม่รู้จะทำอะไรเลยหยิบเทปมาฟังเล่น ซึ่งเป็นม้วนที่พินร้องพอดี มันเหมือนเป็นจังหวะที่เขาอยากจะทำเพลงแนวนี้คือเป็นเพลงฟังสมัยก่อนอาร์เอสจะไม่ค่อยมี จากนั้นเขาก็เลยติดต่อกลับมาว่าให้ไปเทสโดยตรงที่ห้องอัด ก็เลยเรียกว่าเป็นดวงมากๆ ที่พี่โปรดิวเซอร์หยิบเทปเราขึ้นมาจนในที่สุดก็ได้ทำอัลบั้ม เพลงแจ้งเกิดคือหลับทั้งน้ำตา จริงๆ น่ะชอบเต้นนะ (หัวเราะ) อยากออกเพลงแดนซ์เพลงเร็วแต่ว่ามันไม่ผ่าน มีคนเคยบอกว่าพินร้องเพลงสนุกแล้วมันไม่ค่อยสนุก เพราะว่าเสียงเราเหมาะสำหรับเพลงฟังมากกว่า เราก็เลยต้องยอมรับกับตรงนั้น แต่ถ้าไปสนุกกับเพื่อนก็แดนซ์เฮฮาไป

เสียงตอบรับจากแฟนเพลง

แอบโทร.ไปขอเพลงตัวเองทุกวันเลย (หัวเราะ) เรียกเรตติ้ง คือความฝันของเด็กคนนึงที่มันเป็นจริงขึ้นมาเราก็ตื่นเต้นมาก เพลงเราได้ออกวิทยุด้วยก็เลยโทร.กระหน่ำเลยค่ะขอทุกชั่วโมงดีเจ ส่วนกระแสจากแฟนเพลงก็ดีค่ะ มีแฟนคลับและเสียงตอบรับดีด้วย ไม่คิดว่าครั้งนึงในชีวิตจะมีช่วงระยะเวลาแบบนี้ ได้ทำอัลบั้มเดี่ยว 2 อัลบั้มและจะมีอัลบั้มพิเศษที่ร้องกับน้องเอิร์นแนนซี่ซึ่งอันนั้นฟินมากเพราะว่าได้เต้น คือเหมือนเราร้องเพลงคนเดียวมาตลอดแต่พอได้ออกเป็นกลุ่มแล้วไปคอนเสิร์ตไปงานด้วยกันก็สนุกมาก และได้ร้องเพลงประกอบละครซึ่งก็ชอบมากจนถึงทุกวันนี้ก็ยังชอบอยู่ (ได้ทำฝันแรกให้สำเร็จ?) อาจจะเหมือนว่าตัวเองชาติที่แล้วทำบุญมาดี เหมือนเราตั้งใจแล้วก็ได้ทำ แต่ว่าพอมานั่งนึกย้อนไปแต่ละฝันที่พินทำได้มันก็ไม่ได้มาง่ายๆ ก็ต้องผ่านคู่แข่งผ่านอะไรเยอะ มันเหมือนจังหวะชีวิต แต่ถ้าเป็นสมัยนี้พินอาจจะเป็นไม่ได้ก็ได้นะนักร้อง เพราะว่าทุกคนเสียงดีมาก นักร้องร้องเพลงเก่งมาก

ว่าด้วยเรื่องความรัก

เจอพี่เอกครั้งแรกตอนที่พินประกวดร้องเพลงค่ะ นัทมีเรียซิงกิ้งคอนเทส ที่แกรมมี่จัด พินก็ไปประกวดได้แชมป์มา แล้วพี่เอกก็เป็นพิธีกรรายการสนุกจันทร์บิ๊กฟันมันเดย์ สมัยก่อนออนแอร์อยู่ที่ฟิวเจอร์พาร์ครังสิต แล้วทางรายการเขาก็ติดต่อให้แชมป์ไปโชว์ที่รายการที่พี่เอกเป็นพิธีกร เลยได้รู้จักกัน (รู้จักก่อนที่จะเป็นศิลปิน?) ใช่ค่ะตอนนั้นเราก็เป็นเด็กกะโปโล ชอบประกวดร้องเพลงซึ่งยังไม่ได้อะไรแค่สวัสดีทักทายกันทำงานเสร็จต่างคนต่างกลับบ้าน จนมาอีกครั้งรายการเดิมก็ติดต่อให้ไปออกรายการอีก ก็เลยได้เจอพี่เอกอีกครั้ง เขาก็ทักทายและชมว่าร้องเพลงเพราะ แล้วทีมงานก็มาบอกว่าพี่เอกขอเบอร์โทรศัพท์คือแบบแอบชอบ เราก็จริงเหรอด้วยความที่เราก็ไม่ได้ฟังวิทยุก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นดีเจที่มีชื่อเสียง แต่เพื่อนที่ไปด้วยก็สะกิดบอกเราก็แอบเชยนะ หลังจากนั้นก็เลยคุยกันมาเรื่อยๆ จนกระทั่งเรามาเป็นศิลปิน (ค่ายไม่เป็นอุปสรรค?) สมัยก่อนเขาก็ไม่เปิดตัวกันนะทางค่ายก็ไม่อยากให้มีข่าวคราวเรื่องความรัก เหมือนกับว่าสมัยก่อนศิลปินหญิงในค่ายก็จะไม่เยอะด้วย ก็เลยต้องระมัดระวังตัววางตัวกันนิดนึง ถ้าเจอพี่เอกก็คือจะมาทานข้าวกันที่บ้านมาเจอคุณแม่ด้วย ข้างนอกนี่คือไม่ได้เจอกันเลย ส่วนมากก็จะชวนมาที่บ้านมานั่งเล่นมากินข้าวกัน อึดอัดบ้างเหมือนกันแต่ว่ามันก็อยู่ในระดับที่รับได้เพราะว่าต่างคนก็ต่างมีงานของตัวเอง แล้วโชคดีที่ว่าพี่เอกก็มีมุมส่วนตัวของเขา เราก็มีมุมส่วนตัวของเรา ไม่ได้ติดกันตลอดเวลาหรือว่าต้องโทร.จิกโทร.หากัน ต่างคนต่างทำงาน ให้เวลาซึ่งกันและกันไป

เส้นทางความรักที่ยาวนาน

คบกันประมาณ 13-14 ปี ถึงแต่งงานกัน นานมากจนมาเป็นแอร์แล้ว ก็คิดว่าถึงเวลาแล้วแหละ คือเขาขอแล้วแต่ว่าพินไม่พร้อมตลอด คือตัวเองเป็นคนที่บ้ากิจกรรมมาก คงจะแอบกลัวว่าถ้าแต่งงานไปแล้วจะไม่ได้ทำกิจกรรมมั้ง แต่ว่าสุดท้ายพอแต่งงานแล้วกิจกรรมเยอะขึ้นกว่าเดิม ชวนกันไปนู่นนี่ตลอด พี่เอกเป็นคนเสมอต้นเสมอปรายมากค่ะ ดูแลดีคอยเป็นห่วงเป็นใยตลอดไม่เคยที่จะเปลี่ยน เขาจริงใจเสมอมา แค่นี้ก็ซื้อใจเราไปแล้วแต่งงานเข้าปีที่ 5 แล้วค่ะก็แพลนว่าจะอยู่กันสองคนนี่แหละ ตั้งใจไม่มีคือพินก็คุยกับเพื่อนหลายๆ คนเขาก็คิดเหมือนกันว่าอยู่สองคนก็ดี ถ้าเรามีลูกมันก็ยิ่งมีห่วงเราไม่มั่นใจด้วยว่าเราจะเลี้ยงเขาได้ดีหรือเปล่า สังคมปัจจุบันก็อยู่ยากขึ้นทุกวัน อยู่สองคนเราก็แฮปปี้มีความสุขแล้วเป็นครอบครัวที่สมบูรณ์ด้วยกันสองคนแล้ว ชอบไปปั่นจักรยานและแข่งไตรกีฬากัน

หวนคืนจอแก้วอีกครั้ง

ได้กลับมาเล่นละครอีกครั้งเรื่องสุดร้ายสุดรัก เป็นละครครอบครัวที่ใช้เสียงเพลงเป็นสื่อกลางในการเชื่อมความสัมพันธ์ เมื่อก่อนก็ได้เล่นละครหลายเรื่องเหมือนกันนะ สู่ฝันตะบันแข้ง อลวนคนไร่ส้ม และเรื่องศึกรบศึกรัก สนุกมากช่วงชีวิตช่วงนั้นสนุกสุดๆ พอพักจากการออกอัลบั้มก็มาเล่นละคร ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งงานที่ชอบมากค่ะ มันเหมือนเราได้แสดงบทบาทอื่นที่ชีวิตจริงไม่เคยทำหรือว่าได้ทำอะไรที่ไม่ใช่เป็นตัวตนเรา แล้วก็ทิ้งงานละครไปนานเลย คราวนี้ก็กลับมาซึ่งเป็นละครของพี่บอย โกสิยพงษ์ กลับมาในบทแม่ (หัวเราะ) เป็นแม่น้องบัว วันศิริ นางเอก ซึ่งไม่อินเลยเพราะว่าด้วยประสบการณ์ในการเป็นแม่ของเราก็ยังไม่มี แต่ว่าบทอะไรก็ได้อยากเล่นเราก็พยายามให้อินที่สุดแล้วนะ เวลาเล่นผู้กำกับจะคอยบอกว่าพี่พินๆ มันดูเหมือนเพื่อนเกินไป ต้องกดเสียงให้ใหญ่ขึ้นแล้วก็ช่วยในเรื่องการแต่งหน้าทำผม ถ้าเกิดว่ามีช่องหรือว่าผู้จัดติดต่อเข้ามาก็อยากเล่นละครอีกค่ะบทอะไรก็ได้ เพราะว่าชอบอยากเล่นจริงๆ ก็จะพยายามให้เต็มที่ที่สุด ส่วนงานเพลงก็จะร้องเล่นๆ ตามงานแต่งงานเพื่อนหรือว่าไปร้องคาราโอเกะกัน ถ้าเป็นแบบจริงจังออกอัลบั้มเลยนั้นยังไม่มีค่ะ แต่ว่าก็ยังมีใจรักในการร้องเพลงอยู่นะคะขับรถไปก็ยังร้องเล่นไป

ผู้จัดท่านใดสนใจสามารถเรียกใช้บริการเธอกันได้ ส่วนแฟนเพลงที่รอฟังเพลงเพราะๆ จากสาวเสียงดีคนนี้ เห็นทีว่าจะต้องฟังงานเพลงเก่าๆ ของเธอรอกันไปพลางๆ ก่อนแล้วละค่ะ และนี่ก็คือ“กรพินธุ์ พ่วงโพธิ์”

กุหลาบสีเงิน

Star Retro : ‘ป้าแมว-รุ่งกานดา’ นางร้ายในตำนาน ผู้เกิดมาฆ่า! พจมานและดาวพระศุกร์

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/entertain/251514

วันอาทิตย์ ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2560, 06.00 น.

ถ้าพูดถึงนักแสดงนางร้าย ผู้ที่เป็นแรงส่งให้เหล่านางเอกได้รับคะแนนสงสารจากผู้ชม เชื่อว่าหนึ่งในนั้นต้องมี “ป้าแมว-รุ่งกานดา  เบญจมาภรณ์” หรือที่ทุกคนคุ้นเคยกันดีกับ “ป้าแมว ดาวพระศุกร์” เริ่มต้นศักราชใหม่ต้อนรับปีไก่ “สตาร์เรโทร” ขอนำทุกท่านร่วมย้อนวันวานความประทับใจไปกับนางร้ายรุ่นใหญ่ท่านนี้กันค่ะ

สุขภาพตอนนี้ไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไหร่ เป็นโรคหอบหืด แล้วก็เป็นนิ่วในถุงน้ำดี หัวเข่าไม่ค่อยดีมีความดันสูงไขมันในเส้นเลือดสูง เช้ามาก็จะต้องกินยาแก้โรคความดันสูงแล้วค่ะ 1 เม็ด ทานยาตามที่หมอสั่งค่ะอยู่คนเดียวกับแมวหนึ่งตัว ถามว่าเหงาไหม ป้าแมวไม่รู้จักคำว่าเหงาค่ะ เคยมีคนเขาบอกว่าอายุเท่านั้นเท่านี้จะเป็นวัยทองป้าแมวก็ไปถามหมอว่าวัยทองเป็นยังไงป้าแมวเป็นไหม หมอก็บอกว่าคนอย่างป้าแมวไม่มีทางเป็นวัยทองหรอกร่าเริงออกอย่างนี้ (หัวเราะ)

งานแสดงที่ยังคงต่อเนื่อง

ตอนนี้มีละครเรื่อง อังกอร์ และ เส้นสนกลรักทางช่อง 3 และป่ากามเทพ ทาง GMM25 งานละครก็ยังมีบ้างค่ะยังไม่หมดซะทีเดียว คือถามว่าตอนนี้งานน้อยลงไม่เหมือนสมัยก่อนที่มีติดๆ กัน แต่พองานลดลงมาเราก็แย่เหมือนกันค่าใช้จ่ายเราเยอะ ส่วนงานพากย์ละครวิทยุก็ยังคงทำอยู่ ซึ่งสามารถหาฟังได้ทางยูทูบ แล้วก็ทางวิทยุชุมชน ยังมีพากย์ละครวิทยุเรื่อยๆ เพราะว่าเป็นอีกงานที่เรารักเหมือนกัน หลักๆ ป้าแมวจะพากย์เป็นตัวร้ายค่ะ ก็ใช้เสียงปกติของเรานี่แหละ งานพากย์นี้ทำมานานแล้วตั้งแต่เป็นเด็กเลยค่ะ ทำงานตรงนี้ก่อนจะมาแสดงภาพยนตร์และละครทีวี.อีก

จุดแรกเริ่มสู่วงการละครวิทยุ

คือสมัยก่อน คุณเอิบ กันตถาวร เป็นเจ้าของคณะกันตถาวร ได้ชักชวนให้มาพากย์ละครวิทยุ ซึ่งเราก็สนใจทันทีเลยเพราะว่าชอบมาก แล้วก็ไม่ต้องไป
เรียนสามารถทำตรงนั้นได้เลย เริ่มต้นพากย์ก็เป็นตัวร้ายเลยค่ะ แล้วก็ได้ร่วมงานกับคณะพากย์ต่างๆอีกมากมาย เคยจะได้พากย์เสียงนางเอกตอนที่อยู่คณะกันตนา แต่ป้าแมวไม่เอาไม่ชอบร้องไห้ ชอบเล่นเป็นตัวร้ายมากกว่ารู้สึกว่ามันได้อารมณ์กว่า และละครเรื่องนึงเราจะสามารถพากย์ได้หลายตัว เป็นเด็กเล็ก เด็กโตหน่อย แล้วก็ตัวร้าย ซึ่งเราก็จะต้องหาวิธีในการจับน้ำเสียงและจำเสียงของเราให้ได้ ลักษณะก็เหมือนกับการพากย์หนังนี่แหละค่ะ แต่ว่าของเราจะพากย์แต่ละครวิทยุ เคยไปพากย์หนังบ้างแต่ว่าน้อยค่ะ ละครวิทยุก็ยังมีอยู่บ้างประปราย แต่ว่าสมัยก่อนจะมีตลอด ป้าแมวก็พากย์มาตลอด บางครั้งถ้ามีงานทีวี.ก็จะหยุดแต่ก็ไม่เลิกทำค่ะเพราะว่าเราอยากที่จะอนุรักษ์ไว้กลัวมันจะหายไปจากโลกนี้เหมือนกัน

จุดเริ่มต้นของการเป็นนักแสดง

เริ่มจากการที่เข้ามาทำงานที่ บริษัท ดาราวิดีโอ ก่อนค่ะ มาพิมพ์บทละคร คือคนเขียนบทละครเขาจะเขียนเป็นลายมือมา เราก็นำมาพิมพ์ พิมพ์ตั้งแต่ยังเป็นเครื่องพิมพ์ดีดจนเป็นคอมพิวเตอร์ ไม่ได้เป็นพนักงานประจำแต่ว่ารับจ้างค่ะ ซึ่งก็ทำนานเหมือนกันนะสิบกว่าปีเกือบยี่สิบปี แล้วสักพักก็ได้เล่นละครเรื่องบ้านทรายทอง คือระหว่างที่เป็นนักแสดงก็ยังรับจ้างพิมพ์บทอยู่ไม่ได้เลิกอาชีพนี้ อย่างเช่นเล่นเรื่องบ้านทรายทอง ก็เอาเรื่องทองเนื้อเก้าไปพิมพ์ จะพิมพ์ทุกเรื่องที่เป็นของดาราวิดีโอ ป้าแมวเล่นบ้านทรายทองเวอร์ชั่น “ตุ๋ย-มนฤดี” กับ “ตั้ว-ศรัณยู” เป็นละครเรื่องแรกที่เล่นกับช่อง 7 ก่อนหน้านี้เคยเล่นที่อื่นบ้างนิดๆ หน่อยๆ แต่ว่าเรื่องที่ถือเป็นการแจ้งเกิดเลยก็คือบ้านทรายทอง ซึ่งรับบทเป็นสายใจ เป็นแม่บ้านที่ใจร้าย เป็นตัวที่คอยตามสอดแนมเรื่องราวในบ้านแล้วไปรายงานให้หม่อมทราบ แล้วต่อมาช่อง 3 ทำเรื่องบ้านทรายทอง ป้าแมวก็ได้ไปเล่นเป็นตัวละครตัวเดิมอีกค่ะ คือทางนั้นเจาะจงมาเลยว่าต้องเป็นตัวป้าแมวที่เล่น ซึ่งพอละครออกมาก็เปรี้ยงทั้ง 2 เวอร์ชั่นเลยกับบทนี้ ไปไหนมาไหนคนก็ด่า แต่สำหรับตัวเองนั้นถือเป็นความสำเร็จค่ะ เราชอบที่คนดูเขาด่าที่เขาว่าเราจะรู้สึกมีความสุข เป็นโรคจิตค่ะ (หัวเราะ)

ตอกย้ำความร้ายอีกครั้งใน “ดาวพระศุกร์”

ละครเรื่องที่ 2 ที่เล่นคือสกาวเดือน ซึ่งได้เล่นเป็นอาของนางเอก เป็นลูกทูตซึ่งดุมากก็คอยชำระความให้กับมนฤดี จำได้ว่า 6 หน้ากระดาษพูดคนเดียว พอเรื่องที่ 3 ก็มาเล่นเรื่องดาวพระศุกร์ ซึ่งจริงๆ ตัวที่ป้าแมวเล่นไม่มีในบท แต่เขาใส่เข้าไปก็เลยใช้ชื่อว่าแมว คนก็เลยเรียกเราว่า “แมว ดาวพระศุกร์” ไปเลยจากการที่เขาเขียนบทนี้เข้ามาเพื่อให้เป็นสีสัน ตอนที่เล่นคือบทร้ายมากแล้วกระแสคนชมเรตติ้งและเสียงคนด่าเยอะมากๆ มากมายที่สุดของมากเลย ถึงปัจจุบันนี้ทุกคนก็ยังรู้จักแมว ดาวพระศุกร์อยู่ ไปไหนก็แล้วแต่ แม้แต่ไปทานอาหารนะคะทุกคนก็จะเรียกว่าป้าแมวจะทานอะไร ดาวพระศุกร์เหมือนเป็นการทำให้เราได้เปลี่ยนนามสกุลไปเลย (หัวเราะ) ก็ปลื้มใจมากค่ะกับงานชิ้นนี้ กับผลงานที่ผ่านมาป้าแมวประทับใจทุกเรื่องนะคะ เพราะว่าเราเล่นด้วยความสามารถของเราเต็มที่ทุกเรื่อง จ้างร้อยเล่นพัน แต่ถามว่าคนที่พูดถึงละเกลียดเรามากๆ ก็คือจากเรื่องดาวพระศุกร์คนจะอินมาก เพราะว่าเราก็จิกดาวพระศุกร์เหลือเกิน

ชีวิตคือละคร

การแสดงตอนที่ไปเล่นเราก็เล่นได้เลยไม่มีความเคอะเขิน ก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไรหรือจะเพราะว่าเป็นพรสวรรค์ คือเล่นได้ 5-4-3-2 เล่นเลย ไม่ได้มีใครในครอบครัวที่เป็นนักแสดงนะคะ คือมันเป็นความชอบส่วนตัวตั้งแต่เด็ก ไม่เคยเรียนการแสดงด้วย แล้วเราก็เคยได้รับคำชมจาก “พี่ศิรินทิพย์ ศิริวรรณ” ว่าเราได้ตัวร้ายขึ้นมาอีกหนึ่งตัวแล้ว นี่คือคำชม เขาไม่เชื่อว่าเราไม่เคยเล่นละครมาก่อน แต่ทำไมเล่นเยอะเล่นใหญ่ขนาดนี้ คือเป็นคนที่ไม่ได้เรียกว่าหลงตัวเองนะเป็นคนที่ว่าเขาจ้างร้อยก็อาจจะเล่นสักหมื่นค่ะ เราทุ่มชีวิตจิตใจเข้าไปตรงนั้นด้วย ชีวิตคนเรามันเหมือนละคร เพราะว่าเขาก็เอาชีวิตคนเรานี่แหละไปทำละครอย่างชีวิตป้าแมวเนี่ยมันเป็นละครอะไรนักหนาก็ไม่รู้ที่เห็นเรายิ้มแย้มแจ่มใสแต่ว่าบางครั้งเราก็ต้องแอบไปร้องไห้คนเดียว ชีวิตป้าแมวยิ่งกว่าละครก็ว่าได้ เพราะว่าละครเขายังมีแฮปปี้เอนดิ้งบ้าง แต่เรายังไม่เห็นเอนดิ้งอะไรเลย (หัวเราะ)

เกิดมาเพื่อฆ่านางเอก

จะเป็นตัวร้ายที่กลั่นแกล้งนางเอก จริงๆ ก็เคยเล่นเป็นคนดีนะคะ คือสมัยก่อน “คุณหลุยส์-สยาม” เคยถามว่าพี่แมวเคยเล่นเป็นคนดีไหม ก็บอกว่าเคยค่ะ อย่างเช่นฟ้ามีตาเราก็เล่นนะ แล้วเขาก็ถามว่าคนชอบไหม เราก็ตอบว่างั้นๆ แหละค่ะ คุณหลุยส์ก็เลยบอกว่างั้นก็โอเคเหมือนกันแต่ยังไงเขาก็ชอบให้เราเล่นเป็นตัวร้ายมากกว่า ป้าแมวเคยได้รับคำชมว่า “เธอร้ายได้อร่อยมาก” ประชาชนตั้งให้ค่ะ คือเวลาดูป้าแมวเล่นละครแล้วมันอร่อยจริงๆ มันมีเปรี้ยวหวานมันเค็มอยู่ในตัว ของนักข่าวก็มีค่ะเขาบอกว่า “เธอร้ายมาแต่กำเนิด” ถ้าเล่นเป็นคนดีจะไม่กลมกล่อมมันจะจืดชืดแล้วเวลาเล่นเป็นคนดีเราก็แอบแถมเหมือนกัน คือทนไม่ได้ก็แอบใส่นิดๆ บทร้ายเรียกว่ามันเหมือนอยู่ในสายเลือดทางการแสดงเราไปแล้ว อยากจะเล่นอยากจะใส่ไปนิดนึง บทดีจริงๆ ก็มีเข้ามาเหมือนกัน แต่ว่าถ้าจะให้เลือกชอบบทร้ายมากกว่าเพราะว่ามันเล่นได้ถึงพริกถึงขิงมากกว่า อย่างบทดีล่าสุดก็เล่นเรื่องโนห์ราซึ่งได้รับคำชมว่าเล่นดีมากเล่นให้คนร้องไห้ตามได้ ละครพีเรียดละครปัจจุบันก็เล่นมาหมดแล้ว อย่างเรื่องนางทาส เวอร์ชั่น “กบ-สุวนันท์” ออกมาไม่กี่ตอนเองนะคะแต่ว่าคนชอบมาก คือเราใช้เท้าไกวเปลลูกของคุณหญิง แล้วก็ไปขโมยของเขา เรียกว่าถ้าป้าแมวได้รับบทบาทไหนก็จะต้องมีอะไรที่คนดูจดจำและประทับใจอย่างแน่นอน

ยังคงรักษามาตรฐานตัวเอง

เราต้องซื่อสัตย์ต่ออาชีพ ตรงต่อเวลา และอดออมเก็บหอมรอมริบ อย่าใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย อย่าทำตัวเหมือนป้าแมวในสมัยก่อน เมื่อก่อนสุรุ่ยสุร่ายมากและจะต้องทำการบ้านมาเยอะๆ อย่าทำให้เพื่อนร่วมงานเบื่อหน่าย เพราะว่าการทำงานบางครั้งก่อนที่จะวางตัวนักแสดงเขาก็ต้องถามผู้กำกับ ถามเพื่อนร่วมงานว่าคนนั้นคนนี้เป็นยังไงบ้าง ได้บทไหมติดบทไหมมาสายไหม งอแงหรือเปล่า ถ้าทุกคนบอกว่าสบายมากผ่านฉลุย แต่ถ้าบอกไม่ไหวเลยไม่น่ารักก็จบ คือเราจะต้องน่ารักกับทุกคน แม้ว่าเราจะไม่ไหวแม้ว่าเราจะไม่สบายยังต้องขออนุญาตหมอขอถอดสายน้ำเกลือมาเล่นละครนะคะ หลังจากเข้าฉากเสร็จจะไม่ไหวยังไงก็ค่อยว่ากัน

เคยถูกมองว่าหยิ่ง

เคยมีค่ะ ซึ่งถ้าป้าแมวหยิ่งนี่ก็ใช้ไม่ได้แล้วนะ ป้าแมวคุยได้แม้กระทั่งขอทานไปถามสารทุกข์สุขดิบเขาถามไปหมดเลยค่ะอยากรู้อยากเห็น ถ้าคนมองว่าเราหยิ่งก็จะรู้สึกเสียใจเหมือนกันนะว่าเราไปทำอะไรให้เขาไม่พอใจตอนไหนหรือเปล่า นึกถึงสมัยตอนที่เราเป็นนักแสดงใหม่ๆ ทานก๋วยเตี๋ยวข้างถนน มีคนเข้ามาถามว่าป้าแมวทานได้เหรอคะ เราก็ตกใจนึกว่าร้านนี้มันสกปรกหรือไงเราถึงกินไม่ได้ เขาบอกว่าก็เป็นดาราทำไมมากินร้านข้างถนนแบบนี้ เราก็บอกว่ากินได้หมดนั่งกับพื้นก็ได้ ข้างถนนก็ได้เราก็คนเหมือนกันไม่ได้พิเศษมาจากไหน เราอย่าไปคิดว่าเราเป็นใครเราก็เป็นแมวนี่แหละเวลาทำงานอาจจะเป็นคุณหญิงแมวคุณนายแมว แต่จริงๆ แล้วก็คือแมวนี่แหละ ทุกวันนี้ก็กลายเป็นป้าแมว และมีคำว่าคุณแม่แมวแล้วด้วยค่ะก็เป็นไปตามวัยและแล้วแต่เขาจะเรียก แล้วเด็กรุ่นใหม่นะคะ ดารารุ่นเก่าๆ บางคนเขาจะบอกว่าใครเหรอไม่รู้จัก แต่สำหรับป้าแมวดาราใหม่ๆ รู้จักเราทุกคนก็ขอบคุณเขามากๆ ที่รู้จักป้าแมว บางคนสวัสดีค่ะป้าแมว เราก็งงเธอเป็นใครบางทีนางเอกมาไหว้เราก็ไปกระซิบถามคนอื่นว่าใครเหรอ เราก็เลยรู้สึกภูมิใจที่เด็กใหม่ๆ ยังรู้จักเรา แล้วเขาก็จะบอกกันว่าป้าแมวมีกิตติศัพท์ ดุ ทุกคนที่เข้ามายกมือไหว้นี่แทบจะกราบเลยค่ะ แต่สักพักสิคะเราเหมือนลูกไล่เขาเลยค่ะ เพราะว่าเราจะเป็นกันเองเฮฮาโจ๊กเลยค่ะ ที่เขาคิดว่าเราดุอาจจะเป็นเพราะบทบาททางการแสดงที่เราได้รับมากกว่า

วงการนี้มีขึ้นมีลง

เราก็ยอมรับได้ค่ะ แต่บางครั้งก็นึกน้อยใจนิดว่าทำไมมันเป็นอย่างนี้ น้อยใจโชคชะตาเหมือนกันณ ปัจจุบันนี้ป้าแมวอยู่คนเดียวค่ะ อยู่บ้านเอื้ออาทรอยู่กับแมวตัวนึง (หลายคนสงสัยว่าทำไมมาอยู่คนเดียว?)เราไม่มีครอบครัวเราไม่ได้แต่งงาน ถามว่าอยากมีใครไหมก็อยากนะคะ แต่ว่าเราไม่มีเวลาใครเขาจะชอบล่ะสมัยก่อนมีคนมาจีบแต่เขาไม่เชื่อว่าเราจะมีใจให้เขาคิดว่าเราเล่นละครอยู่ เพราะว่าเราเป็นนักแสดงก็เลยไม่ได้กันในชีวิตจริงเคยมีแฟนค่ะ ถึงขนาดจะหมั้นหมายกันแต่ว่ามันเป็นไปไม่ได้ก็เลยอยู่คนเดียวแบบนี้ดีกว่า สบายๆ ไปไหนก็ได้ไม่ต้องมีใครมาคอยเป็นห่วงเป็นใยวัย 74 แล้วไม่มีคนดูแลเราก็ดูแลตัวเอง เราจะรู้ตัวว่าเราไหวไหมถ้าไม่ไหวก็ไปหาหมอ ก็จะยังคงเล่นละครต่อไปเรื่อยๆ ถ้ายังมีผู้จัดเมตตาอยู่นะคะก็ยังเล่นต่อไปจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต ตอนนี้ยังไหวอยู่ บทเปรี๊ยะไม่มีขาดตกบกพร่อง และไม่เป็นที่หนักใจของผู้กำกับและผู้ร่วมงานอย่างแน่นอน ล่าสุดเพิ่งได้รับรางวัลครูของแผ่นดิน และรางวัลเกียรติยศกิตติมศักดิ์ อีกรางวัลคือรางวัลนาคราชค่ะ บทจะได้ก็ได้ก็ได้เยอะเลยค่ะอายุ 74 แล้วเพิ่งจะได้รางวัล ซึ่งถือเป็นความภาคภูมิใจสำหรับป้าแมวมากๆ

นอกจากเป็นนักแสดงแล้วก็ยังมีอาชีพเสริมนิดหน่อยค่ะ เมื่อก่อนจะมีร้านขายขนม แต่แล้วมันก็ไม่ไหวก็หยุดไป แล้วทีนี้ก็มีน้องที่เขามาทำเพจไว้ให้เราก็เลยอาศัยว่าขายทางเพจ ก็จะขายพวกขนม กาแฟอาหารเสริมบ้าง เล็กน้อยเป็นรายได้เสริม เก็บไว้กินบ้างแล้วก็แบ่งทำบุญบ้าง ปันให้เพื่อนฝูงบ้าง แล้วก็รับดูหมอด้วยค่ะ ป้าแมวสนใจเรื่องการดูดวงมาตั้งแต่เด็กๆ และเป็นคนที่มีเซ้นส์ด้วยค่ะ ป้าแมวไม่เลือกงานหรอกค่ะอะไรก็ได้ที่เราพอทำได้เราก็ทำหมด แต่พูดจริงๆ เลยนะคะคือตอนนี้อยากมีร้านขายขนม ชอบเป็นแม่ค้าเพราะว่าสนุกคือถ้าขายดีๆ นะมันปลื้มใจมากเลย

กุหลาบสีเงิน

Star Retro : ‘เจเน็ต เขียว’ แฮปปี้..แม้จะติดหนี้ก้อนโต!!

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/entertain/250035

วันอาทิตย์ ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2559, 06.00 น.

เป็นนักร้อง นักแสดง อารมณ์ดี ที่มีเอกลักษณ์ สร้างสีสันและความประทับใจให้แฟนๆ ทุกครั้งที่ปรากฏตัว สำหรับ เจเน็ต เขียว หรือ นงนุช
สมบูรณ์ เพราะงานของเธอคือมอบความสุขให้คนดู ทั้งที่ชีวิตจริงเธอผ่านอุปสรรคมามากมาย กว่าที่จะยืนในจุดนี้ได้ แต่ปัญหาเหล่านั้นก็ไม่เคยบั่นทอนชีวิตเธอ เธอยิ้มสู้ และตั้งรับกับมัน แม้ตอนนี้จะถึงขั้นประกาศขายบ้าน เพื่อปลดหนี้!?

จุดเริ่มต้นจากนักร้องคาเฟ่

ครั้งแรกคือเข้ามาเป็นพนักกงานเสิร์ฟในกรุงเทพฯ เป็นนักร้องคาเฟ่ แล้วก็เปลี่ยนจากนักร้องคาเฟ่มาประกวดของสยามกลการ ได้ตำแหน่งนักร้องดีเด่น ประจำปี 2533 สยามกลการอวอร์ด พอได้ตำแหน่งชีวิตก็ไม่ได้เปลี่ยนมาก ด้วยหน้าตาบังคับน่ะ (หัวเราะ) นี่ขนาดประกวดได้รางวัล เวลาไปร้องเพลงตามร้านบางร้านก็ยังเลี่ยงที่จะไม่รับเราเลย ซึ่งเราคิดว่าเราแต่งตัวดีแล้วนะ แต่บางคนทางร้านเขาก็ต้องดูลูกค้าว่าจะชอบแบบไหน ขาวสวยหมวยเซ็กซี่ ซึ่งเราก็เป็นแบบนี้ ขนาดตอนนี้กินอาหารเสริม ขัดตัวบ้าง เสริมจมูก ทำหลายอย่างแล้ว ก็ได้ประมาณนี้แหละค่ะ (หัวเราะ)

หลังจากได้รางวัลสยามกลการอวอร์ดก็ยังไม่ได้เข้าวงการเลยนะคะ จนกระทั่งประมาณปี 2545 ได้ไปออกรายการหนึ่ง แล้วก็เริ่มมีรายการต่างๆ ออกบ้าง จนปี 2546 ได้ออกซิงเกิ้ล ออกเทป “สาวดำรำพัน” ต้นปี 2547 เล่นหนัง “แหยมยโสธร” ซึ่งคนจะจำเราได้จากเรื่องนี้เป็นส่วนใหญ่ แล้วก็มีผลงานออกมาติดต่อกันในปี 2547-2548-2549 จนกระทั่งตอนนี้ก็อยู่ในวงการเพลงมาประมาณ 25 ปีแล้วค่ะ

ผลงานสร้างชื่อเสียง

คนจะจำเราได้ตั้งแต่เล่น “แหยมยโสธร” ทุกวันนี้หลายคนยังเรียกอีเจ้ยอยู่เลย ก็จะไปเด่นทางการแสดง แต่เราร้องเพลงมาก่อนนะ ถึงค่อยมาเล่นละคร เพราะก่อนหน้านี้ก็ออกผลงานเพลงมาตลอดประมาณ 6 ชุด อยู่ค่ายพีจีเอ็ม 3 ชุด หมดสัญญาตั้งแต่ปี 2546-2550 ทำ 3 อัลบั้ม “สาวดำรำพัน”, “เงินตัวเดียว” แล้วก็ “โอ้เย้” จนหมดสัญญา หลังจากนั้นก็เป็นอิสระอยู่หลายปี เพิ่งจะมาเซ็นกับท็อปไลน์เมื่อปี 2556 เซ็นไป 5 ปี อีกสองปีก็หมด อยู่ในค่ายมานาป๊อบปูเรชั่น ในเครือท็อปไลน์ แล้วก็มีอัลบั้มที่ทำเอง 2 อัลบั้ม มีทำเทปที่เป็นรวมเพลงผีอยู่อันหนึ่งอย่างเพลง “กระสือ”,“ห้องหุ่น” อะไรพวกนี้ ก็อยู่กับเพลงนานมาก เล่นหนังเล่นละคร ตามมาทีหลัง ตอนแรกเล่นหนังเรื่อง“ปล้นนะยะ” แล้วก็มาเล่น “แหยมยโสธร” คนก็จำได้จากเรื่องนี้แหละค่ะ ชีวิตก็เปลี่ยนไป ทุกคนรู้จักกับอีเจ้ย งานต่างๆ ก็เข้ามา

สร้างคาแร็กเตอร์ให้เป็นที่น่าจดจำ

เพราะเราไม่สวย ก็ต้องหาเอกลักษณ์และจุดอื่นๆ มาให้คนดูสะดุด และล่าสุดตอนนี้กำลังฟิตตัวเพื่อทำเพลงใหม่ ที่จะมาแบบแปลกแหวกแนวอย่างเพลง “ใหญ่ ยาว ขาว แข็ง” คนก็จะฮือฮาเรื่องชุดเป็นกระติบข้าวเหนียว เป็นหวด เอาภาชนะมาทำเป็นเครื่องแต่งกาย แต่ชีวิตประจำวันเราก็แต่งปกตินะเสื้อยืดกางเกงยีนส์ขาสั้นธรรมดา โลโซมากค่ะมีคนมาทักทั้งดีและไม่ดีแหละ เราก็ไม่รู้สึกอะไรนะ เข้าใจและยอมรับในชะตากรรมของตัวเองมากกว่า (หัวเราะ) รู้ตัวว่าเราต้องขายอะไรมากกว่า

งานเพลงคือสิ่งที่หลงใหล

ตอนนี้กำลังทำเพลง “สาวดำรำพัน ภาค 2” แต่ที่ปล่อยให้ได้ฟังก็มีเพลง “ใหญ่ ยาว ขาว แข็ง”ที่เป็นเพลงใหม่ ส่วนเพลงที่ยอดวิวสูงก็ เพลง “แอ๊ะแอ๋”ยอดวิวถล่มทลาย แต่ยอดขายไม่มี (หัวเราะ) เพราะว่ายอดขายที่บอกเราขายซีดีไม่ได้หรอก เราขายคอนเสิร์ต ยุคนี้ก็ต้องโซเชียล ดาวน์โหลดอย่างเดียว แล้วตอนนี้ความชอบของคนฟังเปลี่ยนไปด้วย เราก็มีทำเพลงใหม่กันอยู่นะคะ รับรองว่าจะได้เห็นความเซ็กซี่ขึ้นแน่ๆ ต้องรอดูค่ะ เป็นอีกลุคหนึ่งเลย

วงการเพลงเปลี่ยนไปตามกาลเวลา

ธุรกิจวงการเพลงค่อนข้างซบเซานะ มีนักร้องน้องใหม่ขึ้นมาเยอะ รายการเรียลิตี้ เกมโชว์ต่างๆก็เป็นการประกวดร้องเพลงซะส่วนใหญ่ คนทางบ้านก็จะได้โชว์ฝีมือ โชว์พลัง บางคนก็จะได้ต่อยอดเป็นการทำงานได้เงินมาเป็นค่าจ้างค่าตอบแทนก็แบ่งๆ กันไป เราก็เลยเบี่ยงสายมาเล่นละครกันบ้าง เพราะว่าทุกคนเขาก็ร้องเพลงกันได้เองหมดแล้ว (หัวเราะ) ละครก็รับเรื่อยๆ งานเพลงก็รับทำปกติค่ะแต่งานเพลงจะน้อยหน่อย ใครชวนหรือเชิญไปก็ยินดีไปนะคะ งานวิทยุ งานวัด งานช่วย เราจะได้เทสต์เสียงเราไว้ตลอด เพราะถ้าไม่ได้ร้องนานๆ เสียงหาย เสียงแปลกไปก็มีนะ ต้องวอร์มเสียงไว้ตลอดเวลา

งานแสดงที่ท้าทาย

ตอนนี้มีละครกับทางช่อง 7 เรื่อง “ลูกหลง”, “เสน่ห์รักนางซิน” ทางช่อง 3 แล้วก็ละครเรื่อง“ป่ากามเทพ” ทางช่อง GMM25 เรื่องนี้สนุกมากค่ะเล่นเป็น มารศรี เพื่อนบ้านของรำพร(ป๊อก-ปิยธิดา) ที่คอยจะเอาเรื่องเขาไปเม้าท์ เป็นประเภทเผือกเรื่องชาวบ้านเป็นงานประจำของนางค่ะกึ่งร้ายกึ่งดี ตลกๆ จอมวุ่นวาย จริงๆ ชอบทุกบทที่ได้เล่นนะ แต่จะเน้นเล่นไปทางตลกมากกว่าด้วยบุคลิกของเราด้วยแหละมั้งคะ เราเป็นคนอารมณ์ดีไม่ค่อยมีเรื่องเครียด

ธุรกิจเจ๊งก็ยังยิ้มได้

เมื่อก่อนทำรีสอร์ท กรีนคอทเทจบีช รีสอร์ททำแล้วเจ๊งค่ะ คือตรงนั้นที่ทำ เป็นที่เช่า 15 ปี เราทำไปแล้ว 5 ปี ไม่ได้อะไรไงก็เลยขายให้เพื่อนทำต่อ 3 ปีแล้ว พอเพื่อนไปทำเขาเก็บได้ก็เลยให้เพื่อนต่อ ตอนที่เราทำเองตอนแรกเรากู้เงินมาทำเพราะเราไม่มีทุน แล้วพอมาทำจริงๆ ก็เริ่มบานปลาย เพราะว่าระบบของธุรกิจมันเยอะ จริงๆ ตอนนั้นมีความฝันว่าอยากจะมีบ้านริมทะเล เพื่อนก็บอกว่าไหนๆ จะมีบ้านริมทะเลก็ทำเป็นที่พักรีสอร์ทให้คนเข้ามาพักด้วยเลยไหม แล้วก็เลยทำ และตอนนั้นไม่รู้ด้วยว่าที่ริมทะเลไม่มีโฉนด ต้องเช่า และเป็นเช่าระยะยาว 15 ปี เราไม่ได้คำนวณว่ากี่ปีจะได้เงินคืน ลืมคิด จริงๆ มันก็ถึงสิบล้านหรอก แต่เรามาทำใหม่รื้อใหม่ ทำแล้วไม่ถูกหลักของธุรกิจก็เลยรื้อใหม่ เงินที่ลงทุนไปก็เอามารื้อ แล้วทำใหม่ออกแบบให้ถูกหลักของธุรกิจ ก็เลยกลายเป็นงบประมาณที่เพิ่มขึ้นมา ทำอะไรไปแบบไม่รู้เรื่อง นี่ด่าตัวเองอยู่นะ (หัวเราะ) ตอนนั้นมีเงินสองล้าน แล้วก็ขายบ้านไปหลังหนึ่ง เพื่อไปทำอัลบั้ม “แต้งกิ้วที่รัก” และแบ่งไปทำ รีสอร์ท พอไปทำจริงๆ ไม่พอก็เอาบ้านเข้าแบงก์ทั้งสองหลัง ลืมนึกไปว่าต่อไปวันข้างหน้าดอกเบี้ยมันจะมากขนาดนี้ ตอนนี้ก็ทยอยใช้หนี้ให้หมดอยู่ค่ะ แต่ยังไม่หมด (ยิ้ม)

ประกาศขายบ้านเพื่อปลดหนี้

มีที่อยู่ที่โคราช แล้วก็บ้านที่นนทบุรี ถ้าขายไปก็หมดหนี้ ตอนนี้ก็อยากขายบ้านก่อน ใครสนใจติดต่อได้นะคะอยู่ที่นนทบุรี เพอร์เฟคพาร์ค บ้านเลขที่สวยนะ 99/100 เนื้อที่ 61 ตารางวา ห้องน้ำ 4 ห้องแอร์ 6 ตัว ที่จอดรถ 2 คัน ทำใหม่ทั้งหลัง ซื้อมาทำเพิ่มก็เป็นสิบล้าน ตอนนี้ขาย 7,240,000 บาท ค่ะมาคุยกันได้ค่ะ ถ้าชอบก็อาจจะลดได้อีกนะคะเบอร์ติดต่อตามไอจีเลยค่ะ ถ้าขายแล้วมาใช้หนี้ก็หมดพอดีค่ะ แล้วอาจจะเหลือเงินนิดหน่อย คงซื้อคอนโดฯอยู่กันกุ๊กกิ๊ก สองผัวเมียตายาย

ครอบครัวที่น่ารัก

อยู่กินกันมา 10 ปีแล้วกับคุณแจ๊ค (สามี)โปรดิวฯ เพลง “ใหญ่ ยาว ขาว แข็ง” ตอนแรกคุณแจ๊คเขาก็มีแฟนอยู่แล้ว เราก็มีแฟนอยู่แล้ว พอต่างคนต่างเลิกก็เลยเจอกัน คือเรารู้สึกอยากจะมีแฟนเป็นนักดนตรีไง จะได้มาช่วยกันทำมาหากิน แล้วเขาก็ตรงเลย การที่เราจะจ้างนักดนตรีมาทำงานก็เงินทั้งนั้นเลย แล้วสมัยก่อนเราไม่ได้มีเงินทุนมาก ถ้ามีแฟนเป็นนักดนตรีนะ เราจะได้ไม่ต้องจ้าง (หัวเราะ) ตอนแรกก็ไปจีบเขาเลยนะ พาตัวไปผูกพันกับเขา ซื้อบ้านตรงข้ามเขาไว้เลย ก็วางแผนไว้ แล้วก็ได้ทำเพลงชุดแรกให้เลย เพลง “แต้งกิ้วที่รัก” เขาก็มาทำเพลงให้ เป็นไปตามที่วางแผนไว้เป๊ะ (หัวเราะ) ก็เลยได้อยู่ด้วยกันมาสิบปีนี่แหละค่ะ เขาเป็นคนใจเย็น เราก็เป็นคนโกรธง่ายหายเร็วอยู่ด้วยกันแฮปปี้ค่ะ

ทายาทสืบสกุลเติมเต็มชีวิตครอบครัว

ไม่มีค่ะ คือก็ปล่อยให้มีตลอด แต่ไม่มีเอง ถามว่าอยากไหม ก็อยากนะ แต่อยากให้มาเอง แล้วเราคิดเยอะด้วย เพราะว่าถ้ามีตอนนี้เราจะต้องดูแลตัวเองมากๆ เราอาจจะไม่ได้ร้องเพลง อันนี้น่ะแย่เลยอีกอย่างเราเป็นคนชอบกระโดดโลดเต้น ไม่ระวังตัว ชอบทำอะไรเองคนเดียว ก็เสี่ยงมาก เลยไม่ฝืนหรือพยายามปล่อยตามธรรมชาติแล้วกัน ตอนแรกคิดที่จะไปขอลูกเขามาเลี้ยง แต่แม่แฟนบอกว่าอย่าเลย ตอนนี้ก็อยู่สองคนตายายไปก่อนค่ะ (หัวเราะร่วน)

เติมความหวานให้กันและกัน

ก็ถ้ามีเวลาว่างก็ไปเที่ยวกันค่ะ ถึงจะติดหนี้อยู่ก็ตามนะคะ (หัวเราะ) เราแยกกัน เรายอมเสียเงินเพื่อปรับจิตใจ ปรับความสมดุลในตัวเราในการหาเงินมาเพื่อโป๊ะดอกในแต่ละเดือน

ติดหนี้ก้อนโตแต่ชีวิตมีสุข

ตอนนี้เหลือหนี้ที่ต้องใช้ประมาณ สามล้านห้าหมื่นบาท ปลดไปแล้วสองล้าน ก็ไม่ได้เครียดอะไรเพราะตอนแรก ห้าล้านบาท เราก็ปลดมาได้บ้างแล้ว เสียดอกไม่รู้เท่าไหร่ ติดหนี้มาตั้งแต่ปี 2552 จนตอนนี้ 7 ปีแล้วยังไม่หมด ก็ค่อยๆ ปลดไป เรียกว่าเป็นประสบการณ์ชีวิตค่ะ ถ้าเราทำอะไรแล้วไม่รู้จริงหรือถ้าเกิดปัญหาอะไรแล้วเงินไม่มี แต่เครดิตเรามี คนจำหน้าเราได้ เราก็ไม่อยากให้ใครมานั่งตำหนิติเตียนเราว่าเป็นดาราแล้วไม่มีเงินโน่นนี่นั่นก็เป็นภาพที่เขาไปพูดต่อไม่ดี ก็เลยติดหนี้สถาบันใหญ่ๆ ไปเลยดีกว่า อะไรที่เสียแล้วก็ไม่เป็นไร ทำใหม่ เริ่มใหม่ขอให้ใจไม่เสียอย่างเดียว คือถ้าจะเครียดไปก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี เพราะว่าเราก็มีคุณแม่ที่ต้องดูแล

มรสุมชีวิต แม่ล้มป่วย

ป่วยมา 5 ปีแล้วค่ะ มีพยาบาลดูแลอยู่ตลอด แม่เป็นทุกโรคค่ะ ข้อเข่าเสื่อม กระดูกเชิงกราน ความดันสูง กระดูกทับเส้นระยะสาม เป็นโรคหัวใจนิดๆ หูรูดไม่ดี อยู่ที่โคราชก็ไปหาหมอทุกเดือนเราเองก็ไปบ้านเยี่ยมทุกเดือน ถ้าวันไหนไม่ได้ไปก็โทร.คุยตลอด บอกรักแม่ตลอดทุกครั้งที่คุย เจอแม่ก็จะเข้าไปกราบ เอาเท้าแม่ลูบหัวตลอดเพราะว่านี่คือพระในบ้านของเราเอง เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของเราที่สุด แล้วก็จะพยายามบอกพี่ชายให้ทำตามตลอด ชีวิตจะได้ไม่ติดขัด ก็มีแม่นี่แหละเป็นกำลังใจที่ดีให้เรา แล้วก็มีหลานสาวที่คอยดูแลร่วมกับพยาบาล

ยังคงยึดงานในวงการบันเทิงเป็นหลัก

ก็ยังคงอยู่ในวงการบันเทิงต่อไปเรื่อยๆตราบใดที่ยังมีคนจ้าง ไม่เคยคิดจะไปไหน ทั้งวงการเพลงและวงการแสดงก็อยู่มาจนคนรู้จักและทำเต็มตัว แล้วก็ยึดไว้ ใครต้องการเจเน็ต เขียว ไปเป็นสีสันในละคร ในงานวัด งานบุญ ได้หมดค่ะ จริงๆ แล้วนะถ้าเราทำอะไรก็ตามที่เราเครียดมันไม่ได้นะ เราต้องมีความสุขก่อน อย่างเรารับงานนี้เราต้องมีความสุขนะเฮ้ยเราจะออกไปทำงานแล้วนะ ไปถึงก็ต้องสนุกทำใจให้สนุก อย่ากลัว เพราะเรารับปากเขาไปแล้ว หรืออย่างขึ้นเวทีเจอลูกค้าแขกที่หลากหลายเราก็ต้องสนุกให้เต็มที่

ฝากถึงนักร้องน้องใหม่

เหนื่อยหน่อยค่ะ ประกวดเยอะ ใครอยากจะเป็นนักร้องก็ฟังเยอะๆ ใครอยากจะเป็นก๊อปปี้โชว์ก็ต้องฝึกฝนเรื่อยๆ การร้องเพลงเดี่ยวจะยากหน่อย ลองพลิกแพลงหาจุดเด่นให้ตัวเองมีเอกลักษณ์ ลงทุนนิดหนึ่ง ส่วนงานแสดงตอนนี้เด็กเก่งๆ เยอะ ไม่มีใครรู้หรอกว่าเด็กคนนั้นรวยหรือเปล่า จนหรือเปล่า ถ้าเข้ามาอยู่ในวงการบันเทิงทำตัวให้น่ารักดีกว่า อ่อนน้อมถ่อมตน ไม่ว่าจะเป็นวงการเพลงหรือวงการงานแสดงก็คือวงการบันเทิง ฉะนั้นมารยาทในการอยู่กับผู้ใหญ่ สังคม สำคัญ

บั้นปลายชีวิต

รอปลดหนี้ให้หมดค่ะ อยากมีที่เล็กๆขายของได้ แล้วก็ทำเป็นที่อยู่ของตัวเองได้ มีน้อยลงทุนน้อย ไม่มีก็ไม่อยากทำ เหมือนที่เราเคยประสบมาอันนั้นเป็นบทเรียนราคาแพงมาก แพงจนติดหนี้เลยค่ะ (หัวเราะร่วน) คือจริงๆ เรามีที่อยู่ที่โคราช 12 ไร่อาจจะทำไร่สวนผสม ปลูกผัก ขุดคลองเลี้ยงปลาถ้าทำได้นะ ก็ต้องศึกษาดีๆ กันก่อน เพื่อพัฒนาในส่วนของเราต่อไปค่ะ

ขอเอาใจช่วยให้ เจเน็ต เขียว ปลดหนี้ได้เร็วๆ และสามารถทำตามความฝันในบั้นปลายชีวิตกับหลักเศรษฐกิจพอเพียงที่บ้านเกิดได้อย่างมีความสุขนะคะ

ใบพร้าว

Star Retro : ‘เอ๋-พรรณษร’ อดีตดาราหน้าหวาน ผันสู่การเป็น ‘นางฟ้านักปั่น’

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/entertain/249134

วันอาทิตย์ ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2559, 06.00 น.

แจ้งเกิดในวงการบันเทิงจากภาพยนตร์เรื่อง “วัยระเริง” เมื่อเกือบยี่สิบปีก่อน ปัจจุบันสาวหน้าหวาน “เอ๋-พรรณษร ปฐมาภินันท์” หรือชื่อเดิม “เอ๋-พรวิภา” ได้หันหลังให้กับวงการมายาไปจับธุรกิจอย่างเต็มตัว และกลายเป็นเซเลบฯด้านแวดวงนักปั่นลำดับต้นๆ “สตาร์เรโทร” มีโอกาสเจอะเจอเธอในงาน Tour of Bangsaen 2016 จึงไม่พลาดที่จะอัพเดทชีวิตของเธอมาฝากแฟนๆ

เอ๋ได้มีโอกาสไปวิ่งเล่นอยู่ในวงการบันเทิงอยู่พักนึง แต่ว่าเมื่อก่อนจะใช้ชื่อพรวิภา หลังจากนั้นก็หันไปศึกษาต่อจนจบแล้วก็ทำธุรกิจส่วนตัวอยู่ที่สวนผึ้ง ราชบุรี เป็นรีสอร์ทแอนด์เบเกอรี่ค่ะ ชื่อ Morning Glory Resort & Bakery แล้วก็มีครอบครัวแล้ว แต่เหมือนว่าเราใช้ชีวิตแบบเป็นเพื่อนกันอยู่ ทำธุรกิจร่วมกันซึ่งก็โอเคแฮปปี้ดีค่ะมีเวลาว่างเยอะ แล้วกิจกรรมก็เยอะ เลยคิดว่าอยากให้คนหันมาปั่นจักรยานกันมากขึ้น เมื่อ 3 ปีที่แล้วเอ๋ออกไปปั่นกันเองในกลุ่มผู้ประกอบการ ชื่อกลุ่มว่าI LOVE สวนผึ้ง และเราก็เห็นว่าเส้นทางสวนผึ้งมันสวยน่าจะจัดแข่งปั่นจักรยาน หรือว่ากิจกรรมท่องเที่ยวได้ ก็เลยเริ่มเขียนรีวิวเส้นทางในเฟซบุ๊คของตัวเองเขียนเล่นๆ ในสื่อโซเชียลที่เรามี และมีคนแชร์เยอะมาก คนปั่นจักรยานก็เลยอยากมาเที่ยวมาปั่นที่สวนผึ้งกันมากขึ้น แต่เราไม่ได้รีวิวร้านนะคะว่าให้ไปกินขนม (ยิ้ม) จะรีวิวภาพมุมต่างๆ และเราได้รับการสนับสนุนจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยจัดทำแผนที่เส้นทาง จัดกิจกรรมที่เกี่ยวกับอีเวนท์จักรยาน เราอยากให้สวนผึ้งเป็นเมืองจักรยานค่ะ

อยู่กับธรรมชาติกับสิ่งที่รัก

เป็นคนชอบใช้ชีวิตอยู่ที่ต่างจังหวัดค่ะ เพราะว่าใกล้บ้านตัวเอง คือบ้านเอ๋อยู่นครปฐม อีกอย่างเอ๋ชอบอยู่ป่าอยู่เขา ชอบสีเขียว ก็เลยรู้สึกว่าสวนผึ้งนี่แหละใช่เลย เดินทางจากกรุงเทพฯแค่ 2 ชั่วโมงก็ถึง แล้วที่บ้านของแฟนก็ชอบเหมือนกัน เลยค่อยๆ ปลูกบ้านอยู่อาศัย แล้วเพื่อนก็มากันเยอะ มีคนอยากไปหาที่สวนผึ้ง ก็เลยขยายจากบ้านพักธรรมดา เป็นห้องพักให้มีลูกค้ามาเช่าพักได้เป็นรีสอร์ท แต่ว่าเอ๋เองไม่ค่อยถนัดในการดูแลรีสอร์ท เพราะว่าเป็นคนชอบอยู่สงบๆ ก็เลยขอมาทำในส่วนของเบเกอรี่กลายเป็นร้านเบเกอรี่ที่ทุกคนแนะนำ มีรีวิวว่าที่นั่นเป็นเบเกอรี่ที่ดีที่สุด ถ้าเกิดคุณไปสวนผึ้งหรือราชบุรีต้องแวะเช็คอิน ก็ปลื้มค่ะ คือทุกอย่างในร้านเอ๋จัดการเองหมด เบเกอรี่เปิดมา 3-4 ปีแล้วค่ะ เป็นบรรยากาศแบบบ้านๆ ไม่ได้ติดแอร์ สถานที่เราค่อนข้างโดดเด่นเป็นธรรมชาติได้วิวเขาเต็มๆ ตอบโจทย์ตัวเองได้เลย เหมือนได้ไปเที่ยวและได้พักผ่อนสงบๆ ไปด้วย พอไปอยู่สวนผึ้งกลายเป็นว่าเพื่อนเก่าที่หายไปที่เราไม่เคยเจอก็ไปเจอกันที่นั่น เพื่อนไปหาเรื่อยๆ หลากหลายวงการ ทั้งวงการบันเทิง ธุรกิจ ท่องเที่ยว และตอนนี้ก็มีกีฬาเพิ่มเข้ามาอีก

เข้าสู่วงการนักปั่น

เอ๋หันมาจับจักรยานเป็นเรื่องเป็นราวจริงจัง และได้ลงแข่งงานต่างๆ กลายเป็นว่าคนจดจำเราจากวงการกีฬา วงการจักรยานไปเลย คนเห็นหน้าเอ๋เขาเรียกเราว่า “นางฟ้านักปั่น” แต่เราก็เขินนะคะ บางคนก็ยกให้เป็นเซเลบฯด้านจักรยาน แต่เราก็ปั่นของเราอยู่เฉยๆ นี่แหละค่ะ ถ้าคนติดต่อมาในแนวของคนที่มีอิทธิพลในวงการนักปั่น หรือไม่ก็เป็นแนวบล็อกเกอร์ที่สามารถเขียนรีวิวเส้นทางได้ มีเขียนหนังสือด้วยค่ะเป็นคอลัมนิสต์ในหนังสือจักรยานเอ๋วางตารางงานเองค่ะ ยังไม่ถึงขั้นว่าจะต้องมีผู้จัดการส่วนตัวมาดูคิว แต่งานก็เข้ามาแบบไม่ว่างเว้นเหมือนกัน พอมีงานโหมเข้ามา 4-5 วัน เราก็นึกถึงตอนที่เป็นนักแสดง ไม่ต่างกันเลย ตอนนี้เราก็โตหรือเรียกว่าอายุมากแล้วมันก็หมดพลังนะ ปีแรกเคยลงแข่งรายการเยอะมาก แข่งงานไหนเราก็ได้ขึ้นโพเดียมด้วย ติดหนึ่งในสิบตลอด ได้ถ้วย แค่ปีแรกเราก็เริ่มสนุก ได้ไปแข่งไตรกีฬาอีก แต่ไตรกีฬาจะโหดหน่อย แต่เอ๋ก็ไปถึงที่หมาย เล่นจริงค่ะ ไม่ใช่แค่ภาพลักษณ์ การที่เอ๋จะมาเป็นอย่างที่คนเขาเรียกกัน เอ๋ผ่านประสบการณ์มาจริง เกิดอุบัติเหตุก็เคยมาแล้ว คือล้มหน้าฟาดหัวแตกกระดูกแก้มซ้ายหักก็รักษาตัวเองเรียบร้อย กลับมาปั่นได้เหมือนเดิม ถ้ามองดีๆ จะเห็นว่าหน้าเอ๋เล็กไปด้านนึง และมันจะดูแปลกๆ แต่บางคนจะดูไม่ออก เห็นว่าเป็นปกติ แต่เอ๋ไม่ได้ศัลยกรรมนะคะ หมอแค่ผ่าตัดแล้วก็ดันกระดูกลงมาชนกัน ใช้เวลาดูแลรักษาตัวเองอยู่ประมาณ 2 อาทิตย์ หมอที่ดูแลดีมากใช้นวัตกรรมใหม่เดี๋ยวนี้ดีตรงที่แปะตัวอะไรสักอย่างลงไป แล้วมันดูดน้ำเหลือง แผลเป็นก็เลยเป็นแค่สะเก็ด แล้วเอ๋ก็ทายา ดื่มน้ำผลไม้ ดื่มน้ำมะเขือเทศ หายไวมาก ตอนนี้เลยกลายเป็นว่าเราก็เขียนได้เลยว่าเราดูแลตัวเองยังไง แต่ไม่ได้ทำให้เราท้อเลยนะพอเรารู้ว่าดีขึ้นแล้ว 2 อาทิตย์เอ๋ก็ปั่นจักรยานได้เหมือนเดิม ปั่นขึ้นดอยแม่สลองไปไหว้พระธาตุ ข้อคิดที่ได้จากการเกิดอุบัติเหตุคือทำให้เรารู้ว่า เราต้องปั่นอย่างระมัดระวังตัวเองมากขึ้น เราไม่ประมาทเพื่อไม่ให้เกิดอุบัติเหตุและมีสติตลอดเวลา

ภาพของการเป็นนักแสดง

ก็ยังมีคนจำได้บ้าง บางทีเจอลูกค้าเขาก็ทักว่าคุ้นๆ นะเหมือนเป็นนักแสดงเป็นดารามาก่อนไหม จำได้ว่าเคยเล่นเรื่องนั้น เราก็เขินอายๆ เพราะว่านานมากแล้วค่ะ (โอกาสที่จะกลับเข้ามาในวงการบันเทิง ?) โห! ตอนนี้เอาจริงๆ ในเฟซบุ๊คเอ๋ก็มีหลากหลายวงการนะ อย่างพี่ๆ ที่เป็นผู้กำกับเก่าๆ แต่เรารู้สึกว่าเราแฮปปี้กับการที่เราใช้ชีวิตแบบนี้ที่สวนผึ้ง คือพอเราหันมาเล่นจักรยานก็กลายเป็นที่รู้จักในวงการนี้ไปแล้ว เราก็ค่อนข้างมีความสุขกับชีวิตแบบนี้ หนังกับละครเล่นแล้วถามว่าให้กลับไปเล่นเป็นอะไรคะ คุณแม่แล้วไหม (หัวเราะ) เดี๋ยวนี้เด็กใหม่เยอะมากจนเราจำไม่หมด ทุกอย่างเร็วมากเกิดกันปุ๊บปั๊บรายวันเลย แล้วหน้าเอ๋ ไปทางเรียบร้อย บทก็จะมาแบบเรียบๆ ที่ผ่านมาเราก็ไม่ได้เล่นเก่งอะไรมาก เอ๋อาจจะไม่ใช่นักแสดงโดยอินเนอร์ หรือว่าโดยสายเลือด รู้สึกว่าเวลาที่เราเล่นละครมันแข็งมาก เคยเจอพี่กอบสุข จารุจินดา ที่ไปถ่ายละครที่สวนผึ้งได้นั่งกินข้าวคุยกัน เขาก็บอกว่าหน้าแบบเราจะเล่นเป็นบทแม่ก็ไม่ได้ เพราะยังไม่ได้แก่ขนาดนั้น แล้วไปเล่นคู่กับนางเอกบางทีก็ยังไม่ได้ คาแร็กเตอร์ก็หายากด้วย ดังนั้นเอ๋ก็เลยขออยู่แบบเงียบๆ ดีกว่า คอยต้อนรับเพื่อนฝูงดีกว่า ตอนนี้เพื่อนๆ ในวงการบันเทิงระดับนางเอก จนถึงทั่วไปก็ยังแวะเวียนมาหาเรา ซึ่งทุกคนน่ารักมาก เราก็เลยเป็นเหมือนเจ้ที่รอต้อนรับเป็นที่ปรึกษารวมตัวของน้องๆ ในวงการจักรยานก็เหมือนกันค่ะ เราจะมีคอนเนคชั่นเยอะมีงานโปรโมทท่องเที่ยวเข้ามาเรื่อยๆ

หลากหลายผลงานที่ฝากไว้

เมื่อ 20 ปีที่แล้ว เอ๋เล่นหนังเรื่อง “วัยระเริง”และมีอีกเรื่องคือ “CCJ แสบฟ้าแลบ” เล่นกับ พี่เจมส์-เรืองศักดิ์ งานอื่นส่วนมากจะเป็นของอาร์เอสก็มีละครซีรี่ส์ละครสั้น แต่ถ้าเป็นละครยาวที่คนรู้จักเราเยอะก็เป็นละครเรื่อง “ตำรับรัก” เวอร์ชั่นช่อง 3เล่นเป็น “คุณแต้ว” หลังจากนั้นก็มีละครหลายๆ แนวติดต่อมา และเคยเล่นกับทางไอทีวีสมัยนู้นเลยค่ะมีเล่นรับเชิญนิดๆ หน่อยๆ ในละครคนส่งกรรม บันทึกกรรม คือมีพี่ผู้กำกับเก่าๆ เขาติดต่อเข้ามาเขาคิดถึง แต่เอ๋จะบอกว่ากลับไปเล่นแล้วเป็นท่อนไม้ หรือว่าเป็นหุ่นยนต์มากเลยนะ ผลงานที่แจ้งเกิดให้เอ๋ถือว่าเป็นหนังเรื่อง “วัยระเริง” ค่ะเป็นเรื่องเดียวที่เล่นแล้วรู้สึกว่ามันที่สุด อินเนอร์ไปเต็มเลยนักแสดงตอนนั้นมีน้องคาเรน, หลุยส์ สก็อต,เต๊ะ-ศตวรรษ

จากสาวบู๊ขาลุยสู่บทเรียบร้อยเจ้าน้ำตา

ตอนนั้นเป็นนักศึกษาเฟรชชี่อยู่เลย แล้วทางไฟว์สตาร์เขากำลังแคสหานักแสดงที่จะไปเล่นหนังเรื่องวัยระเริง เพื่อนๆ ก็บอกให้เราลองไปแคสดู คือเพื่อนสนับสนุนเอ๋มาก ลองไปอยู่โมเดลลิ่งนั่นนี่สิ แต่เอ๋ก็ไม่ชอบไป เพราะว่าขี้เกียจไปแคสงาน รู้สึกว่ามันวุ่นวาย ต้องไปแย่งชิงกับคนอื่นเขา เราก็ไม่ค่อยได้ไปหรอกค่ะงานไหนจะได้มันก็มาเอง (หัวเราะ) แต่ไม่ได้เป็นคนที่หยิ่งเริดเชิดอะไรนะคะ เพียงแต่ใจเอ๋ไม่ได้มุ่งมาที่การเป็นดารานักแสดง ความฝันตอนเด็กคืออยากเป็นตำรวจหญิง อยากยิงปืนเล่นกีฬาแอดเวนเจอร์ ชอบกีฬาเอาท์ดอร์อะไรที่สนุกๆ ตอนเรียนได้ไปซ้อมยิงปืนฝึกงานกับสารวัตรหญิงซึ่งชอบมาก แล้วยิงแม่นด้วยนะ เรารู้สึกว่าชอบสนุก อยากขี่ม้าอยากยิงปืน แต่ว่าพอไปแคสหนังวัยระเริงก็ได้เล่นเลยเขาส่งบทมาให้เล่น เป็นบทดราม่าร้องห่มร้องไห้เอ๋ก็ร้องไปบ้าบอพูดไปตามบท แล้วตอนนั้นเรารู้สึกว่าเราชอบ ปลื้มพี่คนนึงในวงการก็คือ พี่นิ้ง-กุลสตรี รู้สึกว่าพี่นิ้งสวย เราชอบพี่เขามาก ซึ่งบทที่เขาส่งมาให้เราแคสก็ดันเป็นหนังที่พี่นิ้งเคยเล่นเอาไว้ เรื่องวัยระเริง เป็นหนังที่ใช้นักแสดงหน้าใหม่เล่นหมดเลยเราก็เลย เออๆ ลองดู และพอได้เล่นเรื่องนั้น งานมันก็เริ่มมีเข้ามาเอง เห็นภาพเราโดยที่ไม่ต้องไปแคสติ้งก็ได้ สมัยก่อนจะดูใสๆ ถ้าเทียบวงการบันเทิงสมัยนี้กับเมื่อก่อนเปลี่ยนไปเยอะนะคะ คือหน้าตาสมัยก่อนก็จะสดๆ แต่งหน้ากันบางๆ ไม่มีอายไลน์เนอร์ไม่ติดขนตาปลอม แต่สมัยนี้ต้องจัดหน้าเต็มทุกสิ่งอย่าง เราก็เลยคิดว่าเราอยู่ในยุคนั้นก็น่าจะถูกต้องแล้วล่ะ (หัวเราะ) แต่กลายเป็นว่าเราก็ยังต้องมาวนเวียนกับการปั่นจักรยานที่ปั่นไปปั่นมาจะสงบก็ไม่ใช่แล้ว เพราะว่าเราต้องเข้ามาเจอคนที่ปั่นเหมือนกัน แต่เป็นเซเลบฯที่ต้องออกสื่อด้วย เหมือนยังวนเวียนอยู่ในวงการอยู่เลยค่ะ ซึ่งดีที่เราได้ทำกิจกรรมที่เราชอบ ก็เลยไม่รู้สึกว่าเหนื่อยค่ะ

ชีวิตคู่ที่ลงตัว

แฟนเอ๋เขาจะเป็นคนคอยสนับสนุนซัพพอร์ทเราทุกเรื่องเลย ปัจจุบันเขาเป็นอาจารย์สอนอยู่ที่ราชบุรีนี่แหละค่ะ มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง ตอนแรกเขาก็ใช้ชีวิตอยู่ที่กรุงเทพฯ ทำงานบริษัทแล้วเกิดเบื่อชีวิตการทำงานแบบคนในเมืองที่เหมือนว่างานมันโหลดหนักมาก แล้วเขาก็ไม่มีเวลาส่วนตัว ก็เลยตัดสินใจยื่นใบสมัครไปเป็นอาจารย์สอนที่ราชภัฏ เขาได้สอนในสิ่งที่เขาชอบ เขาก็มีความสุข ตอนนี้ก็เพิ่งจบดอกเตอร์ด้วยค่ะ ที่บ้านเขาก็ทำธุรกิจรีสอร์ท แต่เขาจะเป็นแนวชอบมาช่วยเอ๋ในด้านเบเกอรี่มากกว่า ตอนนี้ร้านเบเกอรี่เอ๋กำลังไปเปิดอีกร้าน ที่ซีนเนอรี่ค่ะ ชื่อร้าน Grandma’s Oven กะว่าจะทำให้เป็นร้านชิลๆถ้าใครไปสวนผึ้ง ซีนเนอรี่คือที่เที่ยวที่ทุกคนต้องไปเช็คอิน เอ๋กับแต๊งค์ (ดร.ปิรันธ์ ชิณโชติ) เราเป็นเพื่อนกัน รุ่นเดียวกันนี่แหละค่ะ แต่เราเรียกเขาว่าพี่เพราะว่าเขาเป็นพี่ในครอบครัวเขาด้วย คบกันถึงปัจจุบันก็ 17 ปีแล้วค่ะ ตั้งแต่ตอนที่เป็นนักแสดงช่วงปลายๆ แต่แต๊งค์เขาเจอเอ๋ก่อนนะคะ เขาเคยเห็นเราไปถ่ายหนังที่มหา’ลัยที่เขาเรียนคือเอแบค แล้วเหมือนเป็นเรื่องบังเอิญที่มีพี่ในวงการที่เขาชอบความสงบเหมือนกัน แต่ตอนนี้พี่คนนั้นก็ไม่ได้อยู่ในวงการแล้วนะ พี่เขาชวนไปกินข้าวกัน แล้วก็มีแต๊งค์ไปด้วย เขาแนะนำให้เรารู้จักกัน ก็อยู่กันมา แต่งงานกัน แล้วก็ใช้ชีวิตเหมือนดูแลกันเป็นเพื่อนกัน เพราะว่าเราก็ไม่ได้มีน้อง เอ๋ก็เลี้ยงหลานอุ้มลูกคนนั้นคนนี้ คือถ้ามีลูกก็ไม่รู้ว่าเราจะมีอิสระและสามารถไปเที่ยวนู่นเที่ยวนี่อยู่ไหม ใช้ชีวิตแบบนี้สนุกดีค่ะอยากไปไหนก็ไป เราสองคนจะคล้ายกันคือชอบความสงบชอบใช้ชีวิตแบบไปเที่ยวได้

อยู่กับคนที่รัก ทำในสิ่งที่รัก คือความสุข

ชีวิตตอนนี้แฮปปี้มากได้ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ รักด้วย ถึงขั้นเรียกว่ารัก แล้วก็มีแฟนคลับที่ชอบเกี่ยวกับจักรยานมาคอยให้กำลังใจ มีเพื่อนวงการจักรยานมากขึ้น มาติดตามกันเต็มเลย ถึงแม้ว่าเอ๋จะไม่ได้อยู่ในวงการบันเทิงแล้ว แต่ว่าก็มีFC นะคะ(หัวเราะ) แล้วเหนียวแน่นมากด้วย ชวนไปปั่นที่ไหนไปหมด ไปงานก็ถ่ายรูปกันแบบน่ารักมีมิตรภาพ เป็นสังคมที่น่ารักและได้สุขภาพที่ดีได้ทำธุรกิจที่เราดูแลอย่างเช่นเบเกอรี่ ได้ทำสิ่งที่ตัวเองรักและเราก็เลือกที่จะทำเอง ก็เลยรู้สึกว่าตอนนี้ชีวิตดูลงตัวและแฮปปี้ คู่ชีวิตก็เป็นคนที่น่ารักนิสัยดีเข้ากับทุกคนได้ดี ส่งเสริมกันในทุกเรื่องเลยรู้สึกว่าชีวิตแฮปปี้แล้วค่ะ

น่าอิจฉาจริงๆ ค่ะ กับชีวิต “นางฟ้านักปั่น” ของสาว เอ๋-พรรณษร ปฐมาภินันท์

กุหลาบสีเงิน

Star RETRO : ส่องชีวิต อดีตเซ็กซี่สตาร์ ‘คัทรียา กาญจนโรจน์’

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/entertain/248302

วันอาทิตย์ ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2559, 06.00 น.

นักแสดงสาวในยุค 90 “คิท-คัทรียา กาญจนโรจน์” ที่มาพร้อมลุคเซ็กซี่ รอยยิ้มและเขี้ยวเสน่ห์ หลายคนเคยประทับใจในบทบาทการแสดงของเธอ แต่อยู่ๆ เธอก็หายหน้าหายตาจากหน้าจอทีวีไป ซึ่งจะด้วยเหตุผลใดนั้น วันนี้ “สตาร์เรโทร” มีโอกาสได้ค้นหาคำตอบ พร้อมสาเหตุของการกลับมารับงานแสดงอีกครั้งในรอบ 10 ปี!!

หายหน้าหายตาจากวงการไปประมาณ 11-12 ปีค่ะ ละครเรื่องสุดท้ายที่เล่นไว้คือ “พระจันทร์แสนกล” ทางช่อง 3 นานมาก นอกจากเล่นละคร ตอนนั้นคิทก็ทำธุรกิจด้วย ทำหลายอย่างค่ะ เป็นธุรกิจที่ไม่ได้เกี่ยวกับในวงการบันเทิง หลายคนเลยคิดว่าเราคงไม่รับละครแล้วมั้ง เวลาผ่านไปสิบปีเลยไม่ได้เล่นละครเลย (ยังคงคิดถึง?) จริงๆ แล้ว พอเรียนหนังสือจบมา ก็มาเป็นนักแสดงเลยค่อยๆ ทำมาเรื่อยๆ อาจจะไม่ได้มีผลงานเยอะแยะ แต่ก็มีผลงานอยู่เรื่อยๆต่อเนื่องมาเป็นสิบปี อยู่กับคนในวงการ อยู่กับเพื่อนๆ นักแสดงด้วยกันมาเป็นสิบปี มันก็เหมือนเป็นชีวิตประจำวัน อาจจะเป็นงานแสดงบ้าง เดินแบบบ้างแต่ว่ามันก็อยู่ในแวดวงนี้ เลยเหมือนเรากลับบ้านเก่า ซึ่งส่วนใหญ่คิทจะเล่นละครกับทางช่อง 3

อัพเดทสเตตัสหัวใจ

ยังไม่ได้แต่งงานค่ะ ยังไม่มีครอบครัว (ยิ้ม) สถานภาพปัจจุบันโสด ไม่เหงานะคะ ก็เป็นปกติค่ะเป็นคนที่ไม่ได้คาดหวังอะไรไม่ได้กำหนดว่าจะต้องมีคู่ครอง อยู่กับคุณแม่อยู่กับครอบครัวและสัตว์เลี้ยงที่เรารัก จากตอนแรกที่เราทำธุรกิจความงาม แต่หลังๆ เริ่มมาทำอสังหาริมทรัพย์เล็กน้อยและอย่างในครอบครัวก็ทำไร่ บางทีเราก็ไปเที่ยว ไปพักต่างจังหวัด อยู่บ้านก็จะมีกิจกรรมทำค่ะเลี้ยงสุนัข ทำงานศิลปะบ้าง ทำเล่นๆ ทำเรคูพาจที่เป็นแปะลอกลาย ลายการ์ตูนบนกระเป๋า บนสิ่งของ บางทีก็วาดรูปบ้างนิดหน่อย อันนี้ทำส่วนตัว ไม่ได้เป็นธุรกิจนะคะ แล้วก็ทำขนมด้วย มีบราวนี่ คุกกี้ อะไรแบบนี้ และเพื่อนๆ ก็จะสั่งทานกันบ้าง แต่ว่าไม่ได้ทำเป็นงานหลัก

การเป็นนักแสดงมีส่วนช่วยในธุรกิจ?

ด้วยความที่เราเป็นนักแสดง พอเรามาจับธุรกิจด้านความงาม มันก็ช่วยเราได้ค่ะ แต่ตอนนี้พอเปลี่ยนธุรกิจไป ก็เหมือนว่าเราต้องใช้ความสามารถด้านอื่นมากกว่า การที่เรามีประสบการณ์ชีวิตที่หลากหลาย ทำให้เรามองเห็นคนหลายๆ รูปแบบ หรือว่าเข้าใจคาแร็กเตอร์ของหลายๆ ชีวิต หลากหลายคาแร็กเตอร์ของคนที่อยู่ในสังคม การเป็นนักแสดง คนที่เข้ามาส่วนใหญ่ก็จะจำได้ว่าเราเป็นใคร แต่ว่าคิทเองจะไม่ค่อยอ้างตรงนี้ คือพอเราทำงานเราก็เหมือนเป็นไดแร็กเตอร์ตัวเอง แต่รู้สึกดีนะคะ ที่ได้กลับมาเล่นละคร กับคาแร็กเตอร์ที่เราต้องเป็นผู้ใหญ่หรือว่าเป็นเจ้าของกิจการ เราก็จะสวมบทบาทได้อินง่าย เข้าถึงบทได้ง่ายขึ้น เพราะว่ามันเป็นชีวิตของเรา

เหตุที่หวนกลับมารับงานแสดง?

คือ “ก้อง ปิยะ” กับ “ชุดาภา จันทเขตต์” ก็เป็นเพื่อนกันค่ะ เขาเห็นว่าเรายังไม่ได้ทำอะไรก็เลยลองชวนให้มาเล่นละคร กลับมาทำงานในวงการบันเทิงบ้าง ก็เลยกลับมาอีก (ขยับบทบาทเป็นคุณแม่แล้ว?) ก่อนที่จะพักก็เคยเล่นเป็นแม่แล้วนะคะ ในเรื่อง “บัลลังก์รักคู่จิ้น” เรื่องนี้ก็เล่นเป็นแม่ของนางเอก เป็นการกลับมาเจอบรรยากาศเก่าๆ มาเจอเพื่อน ก็รู้สึกดีค่ะ กับน้องนักแสดงรุ่นใหม่ก็น่ารักทุกคนเลย ดูสวยหล่อจริงๆ คือปกติอยู่บ้านเราดูน้องๆ จากหน้าจอทีวีเราก็ว่าเขาสวยหล่อกันอยู่แล้วนะและฝีมือเขาก็เล่นดีเล่นเก่งกันทุกคน เด็กรุ่นใหม่เขาเล่นเก่งค่ะ (ต้องรื้อวิชาไหม?) ก็ได้อยู่แล้วค่ะ มันเหมือนอยู่ในตัวเราอยู่แล้ว เลยไม่ต้องถึงกับว่าเคาะสนิมอะไร

บอกเล่าเรื่องราววันวานให้แฟนๆได้หายคิดถึง ?

ส่วนมากจะมาสายนักแสดงซะส่วนใหญ่ค่ะ เริ่มแรกจะถ่ายแบบถ่ายโฆษณาตรงนั้นนิดตรงนี้หน่อย แล้วก็รู้จักคนกลุ่มนั้นกลุ่มนี้ เขาก็ชวน เราเลยเหมือนค่อยๆ กระเถิบตัวเองเข้ามา ได้เล่นมิวสิกวีดีโอของ “เอ-อนันต์” เพลงล้างใจ ซึ่งเพลงเขาตอนนั้นติดชาร์จอันดับ 1 เลยนะคะ และมิวสิกวีดีโอก็ออกทีวีอยู่เป็นเวลานาน เรียกว่าทุกบ้านจะต้องได้ดูในยุคนั้น หลังจากนั้นก็เริ่มมีงานเข้ามาเยอะมาก คือก่อนหน้านี้ก็เริ่มทำงานมาแล้วนะ แต่ว่าเพลงล้างใจ ทำให้งานเข้ามาเยอะมากขึ้น คนรู้จักเรามากขึ้น มิวสิกของคนอื่นก็มี เหมือนว่ามีของ คาไลโดสโคป คือถ่ายไปแล้วก็ลืม (หัวเราะ) มาเห็นอีกทีในคาราโอเกะ ก็จะนึกได้ว่าเราเล่น ในเฟซบุ๊คก็จะมีเพื่อนเอามาโพสต์มาแชร์ผลงานเรื่อยๆ ก็เลยทำให้เรานึกถึง

คิทเริ่มงานแสดงโดยการแสดงภาพยนตร์ค่ะ เรื่องเกาะรัก ของ “หม่อมเจ้าทิพยฉัตร ฉัตรชัย” ยุคนู้นเลยค่ะ นานมาก 24-25 ปีเลย เป็นนางเอกคู่กับ “พี่เจี๊ยบ-ภุชงค์” ถือว่าเป็นที่รู้จักในวงการพอสมควร แต่ว่าการที่จะเป็นที่รู้จักของประชาชนมากๆ จะต้องเห็นผลงานบ่อยๆ ซึ่งที่ผ่านมาในยุคนั้นที่เราเล่น ละครจะมีบทบาทกว่า คือละครเข้าถึงประชาชนมากกว่าหนัง และเราก็ได้เข้าสู่จอแก้ว เล่นละครก็เล่นมาเรื่อยๆ เล่นหมดทุกช่องเลย เพราะไม่ได้มีค่ายมีสังกัด แต่ว่าเล่นช่อง 3 เยอะ ละครที่ชอบและประทับใจก็อย่างเรื่อง “พิษน้ำผึ้ง” ตอนนั้นมี “เบนซ์-พรชิตา” “โดโด่-ยุทธพิชัย”แต่ว่าคิทเล่นเป็นแม่ของเบนซ์ ซึ่งเป็นบทบาทที่ดีเรื่องราวสนุกค่ะ เป็นละครกึ่งฆาตกรรมลึกลับซ่อนเงื่อนเราก็เล่นเป็นผู้หญิงที่มีเสน่ห์มีคนมาชอบเยอะ เป็นละครสะท้อนสังคมเรื่องของครอบครัว บทบาทของคิทที่ได้รับส่วนใหญ่จะเป็นบทรอง เราไม่ได้เป็นตัวเอก ก็เลยไม่ได้มีคู่ขวัญคู่จิ้น แล้วคิทจะเป็นคนที่ได้เปลี่ยนพระเอกนางเอกไปตลอด ทำให้เราได้รู้จักผู้จัดและนักแสดงมากมาย อย่างกับช่อง 7 ก็ได้มีโอกาสไปเล่นกับทางกันตนาอยู่ประมาณ 2-3 เรื่องค่ะ

เอกลักษณ์ที่บ่งบอกความเป็นเรา

น้ำเสียงค่ะ คือเสียงคิทถ้าออกมาจากทีวีคนเขาจะรู้เลยว่านี่คือใคร เสียงเราเป็นเอกลักษณ์มากเขาจะรู้สึกว่าคนนี้มาแล้ว อยู่ในห้องน้ำก็รู้ว่านี่เสียงใครคนจะจำได้ที่เสียง รวมไปถึงสายตาเพราะว่าเป็นคนตาโต และอีกอย่างก็คือรอยยิ้ม คือเมื่อก่อนจะมีเขี้ยว พอเรายิ้มออกมาปุ๊บ คนก็จะจำได้เลยว่าเป็นเรา แต่ว่าตอนนี้ไม่มีเขี้ยวแล้วนะคะ (ยิ้มหวาน) เพราะว่าดัดฟันแล้ว แต่ถ้าหากเห็นแววตาก็คงจะพอจำกันได้ กับบทร้ายที่เคยเล่น คิทมองว่าเป็นสีสันของเรื่อง ทำให้ละครเรื่องนั้นๆ มีรสชาติ ทำให้คนดูอยากดูว่าจะเป็นยังไง พระเอกนางเอกจะสมหวังกันไหมคือยุคแรกๆ จะเล่นเป็นตัวที่มาแย่งพระเอก แล้วก็เริ่มเล่นร้ายแบบมีเหตุมีผล ร้ายแบบคอเมดี้ แล้วก็มีเล่นเป็นคนเรียบร้อย แต่ว่ามีน้อยมาก ด้วยความที่พอเราแต่งตัวใส่เสื้อผ้าแล้วดูไม่เข้ากับลุคเรียบร้อย คือทางผู้จัดอยากจะให้เราเล่นในแบบเปรี้ยวมากกว่าเรียบร้อย ณ ยุคนั้นนะคะ

ชีวิตจริงเรียบง่ายต่างจากบทบาทในละคร

ตัวตนจริงๆ คิทเป็นคนที่เหมือนวันก่อนแหละค่ะ ไม่ได้เปลี่ยนเลย คือไม่ได้เป็นสาวเปรี้ยว แต่ด้วยการแสดงเราทำได้หมด เป็นคนสนุกสนานไหลลื่นได้ทุกบทบาท แต่จริงๆโดยทั่วๆ ไป ค่อนข้างเรียบๆ หน่อยค่ะ อาจจะมีมุขตลกบ้าง เพื่อความสนุกสนาน ตัวตนกับบทบาทในละครแม้จะต่างกันแต่ว่าเราก็ชอบในการที่ได้แสดงบทบาทที่หลากหลาย สนุกดีค่ะ เหมือนเราได้ใช้อารมณ์ ได้ต่อล้อต่อเถียง ซึ่งเราไม่ค่อยทำในชีวิตจริง เพราะว่าเป็นคนที่เก็บความรู้สึก แต่ในละครเราได้ปล่อยและแสดงความรู้สึกออกมา (หัวเราะ) จะเห็นว่าพัฒนาการของละครไทยดีมากๆ หรือเนื้อหามีมิติลึกมากกว่าให้เหตุผลมากขึ้นมีที่มาที่ไป สมัยที่เราเล่นเราก็ว่าแซ่บแล้วล่ะ แต่ว่าทุกวันนี้เขาก็จะมีการใส่รายละเอียดเข้าไปอีกก็สนุกค่ะชวนติดตาม ให้คนดูอยากดูต่อเนื่องทุกวันนี้ เราก็ได้กลับไปเป็นนักแสดงแล้วก็ไปเป็นผู้ดูละครด้วย

ความเปลี่ยนแปลงในวงการบันเทิงที่สัมผัสได้

วงการดูเปลี่ยนไปเยอะเลยค่ะ แต่ก็มองว่าเป็นเรื่องที่ดีเป็นการพัฒนา ไม่ว่าประเทศไหนนะคะ ทั้งคนดู ผู้ผลิต ผู้สร้าง ก็ต้องตอบสนองรับกัน ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องเดินก้าวไปข้างหน้าไปเรื่อยๆ แต่สำหรับตัวเองกลับมาครั้งนี้ยังไม่ได้คิดว่าจะต้องเข้ามาทำอะไรอย่างอื่น นอกเหนือจากการเป็นนักแสดง ไม่ได้มองว่าในอนาคตงานเราตรงนี้จะเป็นยังไงคิทมองแต่ว่าทำตรงหน้าเราไปก่อน เรามาถ่ายละคร เราก็ทำให้ดี เพราะว่าในจังหวะชีวิตแต่ละช่วงเราก็มีความสุขกับการทำงานอยู่แล้ว เจอเพื่อนเจอคนนั้นคนนี้ เราก็รู้สึกว่าชีวิตเรามันมีความหลากหลายอยู่แล้ว ซึ่งมันเป็นเรื่องของความโชคดี ตอนนี้ก็คือรับละครเรื่องเดียวก่อน ยังไม่ค่อยได้เจอผู้จัดท่านไหนอีก เลยยังไม่มีใครติดต่อเข้ามาค่ะ

พร้อมเปิดรับงานแสดง

ยินดีเปิดรับมาตลอดนะคะ ถ้าใครอยากได้ไปถ่ายละคร ติดต่อได้เลยค่ะ (บทบาทที่อยากเล่น?) ไม่กำหนดดีกว่าค่ะ แล้วแต่ผู้จัดหรือผู้กำกับซึ่งมองเห็นคาแร็กเตอร์คิทว่าสอดคล้องหรือเหมาะสมกับบทไหน จริงๆ คิทก็เป็นคนที่มีหลายคาแร็กเตอร์ในชีวิตจริง เพราะว่าเราอยู่หลายแบบหลายสังคมมีเพื่อนหลายกลุ่ม เราก็จะเข้าใจในคาแร็กเตอร์ต่างๆ ว่าเป็นยังไง (เปิดกว้างสำหรับบทสูงวัย?) คือคนรุ่นคิทเขาก็มีลูกโตเป็นหนุ่มเป็นสาวกันหมดแล้วนะ(หัวเราะ) มันก็เป็นปกติ เหมาะสมกับช่วงวัยของเราแล้วค่ะ

แง่คิดในการดำเนินชีวิต

มองโลกในแง่ดีค่ะแล้วก็มีทัศนคติที่ดีกับทุกอย่าง มีความสุขได้ด้วยตัวของเราเอง เหมือนว่าอย่ายึดถือหรือกำหนดอะไรกับตัวเองมากนัก ไม่ว่าจะผ่านอะไร เจออะไร เราก็มีความสุขกับสิ่งที่มันเป็นอยู่ได้ เรื่องสุขภาพก็สำคัญนะคะ คิทพยายามหลีกเลี่ยงการทานอาหารที่มันๆ แล้วก็ทานผักผลไม้เยอะๆทานข้าวน้อยหน่อย รูปร่างอาจจะดูอวบหน่อย แต่ก็ไม่เป็นไร มันเป็นไปตามวัยค่ะ และก็อยากฝากถึงแฟนๆ ละครที่เคยติดตามผลงานของคิทนะคะ ตอนนี้ก็กลับมาแล้ว อยากให้เป็นกำลังใจให้กันด้วย (ยิ้ม) คือคิทอาจจะพูดไม่ค่อยเก่งนะคะ แต่ว่าเวลาทำงานก็คือตั้งใจเต็มที่เต็มร้อยค่ะ

กุหลาบสีเงิน

Star Retro : ชีวิตดุจนิยาย หลากเรื่องเล่าจาก ‘อาร์ต-ศุภวัฒน์ อ่ำประสิทธิ์ เพอร์ดี้’

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/entertain/247419

วันอาทิตย์ ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2559, 06.00 น.

หายหน้าจากจอทีวี.บ้านเราไปพักใหญ่ สำหรับอดีตพระเอกลูกครึ่งไทย-อเมริกัน “อาร์ต-ศุภวัฒน์ อ่ำประสิทธิ์ เพอร์ดี้” มีโอกาสได้เจอะเจอกันที่งานบวงสรวงละครเรื่อง “ทิวลิปทอง” ของค่าย อินทรีย์ ออดิโอ วิชั่น โดย “อาหลอง-ฉลอง ภักดีวิจิตร” และผู้บริหาร 2 พี่น้อง “คุณระวิสรา อินทรีย์” และ “คุณพิมพ์สุภัคอินทรีย์” ภรรยาของอาหลอง ที่หนุ่มอาร์ตร่วมแสดงนำ และนอกจากนี้เขายังมีส่วนช่วยในงานเบื้องหลังอีกด้วย สตาร์เรโทรจึงไม่พลาดที่จะพูดคุยอัพเดทเรื่องราวชีวิตของเขามาฝากแฟนๆ

เริ่มกลับมารับงานแสดงแล้วครับหลังจากที่หายไป 14 ปีที่หยุดไปไม่ใช่ว่าเราอิ่มตัวนะ แต่คือเรามีโอกาสได้ออกอัลบั้มทำเพลงกับทาง Warner Music และได้ไปทัวร์ร้องเพลงที่ญี่ปุ่น ยุโรป อเมริกา ซะส่วนใหญ่เลยเหมือนเราเปลี่ยนอาชีพ และบทบาททางการแสดงที่เขายื่นมาให้ตอนนั้นเริ่มจะเป็นบทตัวโกงตัวร้าย ซึ่งอาจจะไม่เหมาะกับเราเพราะว่าเพลงในอัลบั้มเป็นเพลงรัก เราติดใจการร้องเพลงก็เลยเดินสายคอนเสิร์ตอย่างเดียว ถ้าไม่ใช่ “อาหลอง” (ฉลอง ภักดีวิจิตร) ผมก็ไม่คิดว่าจะกลับมาเล่นละคร ด้วยความที่เราอยากร่วมงานกับอาหลองนานแล้ว อย่างนางเอกผมจากเรื่องเพชรตาแมว “เอ็มม่า” (วรรัตน์ สุวรรณรัตน์) เรามีผู้จัดการคนเดียวกันคือ “พี่แอ๊ะ” (ณัฐฐาวดี วินศิริ) ที่เป็นภรรยาของ “พี่ตู่” (พงศนาถ วินศิริ) พี่ตู่เป็นคนสนิทของอาหลองแล้วได้พาเอ็มม่ามาเล่นอังกอร์กับอา เราเห็นงานแล้วเราก็สนใจอยากจะเล่นมาก แต่ว่ามันไม่มีโอกาสเนื่องจากตอนนั้นติดสัญญากับกันตนา พอมาอีกทีเมื่อปี 2008 อาก็เรียกไปเล่นเรื่องทอง 9ผมตอบตกลงเล่นเรียบร้อย แต่ว่าติดขัดบางอย่างเลยไม่ได้เล่น จนที่สุดก็ได้มาเล่นทอง 10 ซึ่งประทับใจมากคืออยู่ที่นี่เหมือนอยู่บ้าน มันมีความสบายใจ แบบอธิบายไม่ถูก

กลับมาบทบาทเปลี่ยน

ชื่อเราก็มาหลังพระเอกนางเอกนะ อาจจะไม่ได้เป็นคู่ 2 คู่ 3เป็นพระเอกเหมือนเมื่อก่อน ด้วยวัยเรามันก็ไม่ได้จะห้าสิบแล้วครับ (หัวเราะ) ไม่ว่าจะเป็นบทอะไรก็แล้วแต่ถ้าอายื่นมาผมไม่ปฏิเสธ ผมไม่เคยคิดอยากจะกลับมาเล่นละคร ผมเป็นพิธีกรเดินสายออกคอนเสิร์ตต่างประเทศของผมไปก็มีความสุขดี เป็นบอสของตัวเอง แต่ว่าพอมาเล่นละครกับอาแล้วมันมีความรู้สึกว่าว้าว! บอกตัวเองว่ามันควรเป็นแบบนี้สิ เวลาที่เราให้ใจใครแล้วสิ่งที่เราได้กลับมามันเป็นความรู้สึกที่สุดยอด อาเมตตาผมมากถึงไหนถึงกัน ผมเลยมาช่วยทำเว็บไซต์ให้อา ไปเนเธอร์แลนด์ผมก็ช่วยแพลนช่วยติดต่อสายการบินติดต่ออะไรๆ บางทีก็เหนื่อยนะแต่ว่าเราทำด้วยใจแล้วเรามีความสุขที่ได้ทำให้กับคนที่เขาดีกับเรา เมื่อก่อนอยู่กันตนาผมก็เป็นคนไปติดต่อ “คุณพลอยไพลิน เจนเซ่น” เราสามารถดิวงานให้ได้ทั้งในเมืองไทยและต่างแดน อาจจะเป็นเพราะว่าเราเป็นพิธีกรหลายที่เรารู้จักคนเยอะ และจากชื่อเสียงของรา เราก็คิดว่าคนจะลืมหมดแล้วนะ แต่ว่าพอเจอกันจริงๆ คือยังมีคนจำเราได้เยอะ รู้สึกว่าสาธุ ก็ต้องขอบคุณ “พี่ต๊ะ-นิรัตติศัย” ที่มอบโอกาสที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตให้เป็นพระเอกเรื่องเพชรตาแมว และกันตนานี่แหละครับที่ทำให้ผมมีทุกวันนี้ด้วยละครเรื่อง สะพานดาว ขนาดว่าผมไปเที่ยวกลางคืนยังมีน้องเข้ามาทักเลยว่าแม่เขาเคยดูเราเล่นละครเรื่องนี้ และมีอยู่วันนึงรถไปเสียอยู่ข้างถนนก็มีน้องคนนึงขับมอเตอร์ไซค์มาและทักว่า ใช่พี่ที่เล่นละครกับไอ้ดำไหม คือ “สำลี” เล่นด้วย ก็จะยี่สิบปีแล้วเขาจำได้หมดเลยว่าบทบาทของเราเป็นยังไง ก็แอบปลื้มมาก

จุดเริ่มต้นบนเส้นทางสายบันเทิง

เริ่มต้นจากการเป็นนายแบบที่นิวยอร์กครับ ตอนนั้นผมเรียนปริญญาโท University of Central Florida in Orlando และมีคนมาเจอก็เลยทาบทามให้มาเป็นนายแบบ แต่เราไม่ได้สนใจ และในที่สุดก็ถามแม่ แม่บอกว่าจะมีใครบ้างที่มีโอกาสแบบนี้ เพราะว่าที่นิวยอร์ก
ไม่ใช่ว่าใครก็ได้ที่จะเป็นนายแบบถ้าเขาไม่เลือกคุณ เขามีจำนวนจำกัดอย่าง Storm Models Management ที่ผมเซ็นสัญญาด้วยมีนายแบบ 50 คน ก็เลยตัดสินใจใหม่ลองงานนายแบบ เมื่อปี 1995 ได้ลง VOGUE ตอนที่ถ่ายAd (advertisement) ให้ GIVENCHY ก็ปลื้มสุดปลื้มที่ครั้งหนึ่งในชีวิต และน่าจะเป็นนายแบบคนไทยคนเดียวมั้งที่ลง VOGUE (จากที่นึกปฏิเสธการเป็นนายแบบ?) มันก็น่าลองเพราะว่าตอนนั้นเราก็อายุ 24-25 ยังเด็ก เอ๊ะ! แต่ก็ไม่เด็กแล้วนะสำหรับอเมริกาถือว่าโตแล้ว แต่คือเราไม่ได้คิดว่าจะกลับมาเมืองไทยแล้วก็มาทำอะไรเยอะแยะขนาดนี้ ผมเกิดและโตที่เมืองไทยจนถึงอายุ 15 ก็ไปอยู่อเมริกาเลย งานก็มีเข้ามาเรื่อยๆเลี้ยงตัวได้แต่ไม่ฮอต กล้าพูดเลยว่าเราไม่ได้ดังเปรี้ยงปร้าง แต่ว่าก็เลี้ยงตัวเองได้ เป็นประสบการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิต แล้วหลังจากนั้นเพื่อนที่เป็นนายแบบชื่อ “พี่แซ็ค” เขาก็กลับมาที่เมืองไทยและมีงานเพียบเลยนะกับ Traffic jam บริษัทที่จัดเขามีงานเยอะมากก็เลยชวนเรามา เราก็รู้สึกว่าไม่ได้เจอคุณยายนานแล้วก็เลยกลับมากะว่ามาเยี่ยมคุณยายและมีงานด้วย ก็เลยได้มาถ่ายแฟชั่นลงหนังสือต่างๆ เดินแบบ มาเห็นความเป็นอยู่ของคุณยายก็เลยอยากจะอยู่ดูแลท่านให้อยู่อย่างสะดวกสบาย เพราะว่าตอนนั้นท่านก็แก่แล้วครับจะแปดสิบแล้ว ก็ถือว่าเป็นการเลือกที่ถูก เพราะว่าได้อยู่ดูแลท่านในช่วงบั้นปลายชีวิต

ก้าวสู่การแสดง

เพราะพี่แอ๊ะผู้จัดการผมนี่แหละครับ เจอพี่แอ๊ะที่งานแฟชั่นโชว์พี่แอ๊ะเรียกผมมาเดินแฟชั่น หลังจากนั้นก็ได้มาดูแลผมเป็นผู้จัดการส่วนตัว แล้วเชื่อไหมครับ 20 กว่าปีเราก็ยังแน่นแฟ้นเหมือนเดิมหาผู้จัดการกับดาราคนไหนที่เป็นได้ขนาดนี้ เรายังติดต่อกันตลอดเราอยู่กันด้วยใจ เงินไม่สำคัญ คือตอนนั้นผมกำลังจะไปฝรั่งเศสพี่แอ๊ะก็บอกว่ากันตนากำลังต้องการพระเอกละคร ซึ่งผมก็อายุ 27-28(เข้ามาตอนที่อายุเยอะ?) คือจะแก่แล้วครับ (หัวเราะ) แต่โชคดีที่ตอนนั้นผู้ชายไทยยังไม่ค่อยรู้จักการออกกำลังกายไม่ค่อยมีใครมีกล้ามหรือว่าเล่นฟิตเนสกัน แต่ว่าผมพกกล้ามมาจากนิวยอร์กด้วย ดูเฟิร์มดูฟิต เวลาเล่นแอ๊กชั่นฮีโร่เราก็ดูสมจริงสมจัง ไม่ก๊องแก๊งซึ่งพี่ต๊ะต้องการแบบนั้น ก็เลยได้เล่นละครเรื่องแรกเพชรตาแมว คู่กับเอ็มม่า ถือเป็นการแจ้งเกิดในวงการระดับหนึ่ง แต่ว่าที่แจ้งเกิดเลยจริงๆน่าจะเป็นสะพานดาว ซึ่งเป็นละครดราม่าที่นำเสนอเรื่องราวของเกย์ผู้ชายกับผู้ชาย เราเล่นเป็นผู้ชายนี่แหละแล้วมีเกย์มาชอบ แต่เราไม่ชอบและเรารู้สึกว่ามันอินมากในละครก็เหมือนกับชีวิตจริงที่เราปฏิเสธ พอเราปฏิเสธเขาก็เลยเห็นในความดีของเรา เอาเราไปเลี้ยงเป็นลูกบุญธรรม ละครเรื่องนี้เป็นอะไรที่ดังมากไปไหนมาไหนคนก็จะทัก

ไม่เคยลืมที่มา ตัวตน และผู้ที่ให้โอกาส

ทุกวันนี้ผมไม่ได้แคร์อะไรแล้ว แต่ถ้าได้พูดแล้วมันจะเป็นประโยชน์กับคนอื่นที่ได้ฟัง เด็กๆ หรืออะไรก็แล้วแต่ ว่าสิ่งที่ผมภูมิใจที่สุดแล้วก็ต้องขอบคุณกันตนา ที่มอบโอกาสให้ผมได้ดูแลยายให้ได้อยู่ดีในบั้นปลายชีวิต เงินทองชื่อเสียงที่เราได้มาประกอบกับการเป็นคนดีของเราด้วย ที่ทำให้เราสามารถต่อยอดไปได้เรื่อยๆ ผมยังบอกกับตัวเองเลยว่าผมมั่นใจว่าผมเป็นคนดี ยายผมสอนมา คนอื่นจะเป็นยังไงผมไม่สนใจ ทำดีไปเถอะครับใครไม่เห็นแต่ตัวเรารู้ ผมเคยให้สัมภาษณ์ในหนังสือดิฉันแล้วผมก็พูดว่าผมอยู่กับยายมาจากท้องไร่ท้องนา ก็มีคนว่าผมว่าจะไปบอกเขาทำไมว่าเรามาจากไหน แต่ผมคิดว่าก็มันเป็นความจริง คนเราวิ่งหนีความเป็นตัวตนของตัวเองไม่ได้หรอกครับ แล้วผมภูมิใจเพราะว่าตรงนั้นมันทำให้ผมมีตรงนี้ ซึ่งการมาอยู่ตรงนี้คือผมโคตรภูมิใจเลย ทุกวันนี้ผมยังพูดอยู่เสมอว่าผมขอขอบคุณพี่ต๊ะ พี่ตุ๊กตา กันตนาที่ให้โอกาสผม นอกจากละครแล้วพี่ตุ๊กตาก็ยังได้ให้ผมทำพิธีกรด้วยรายการเรื่องจริงผ่านจอ ผมเป็นพิธีกรคนแรกนะ กับพี่ต๊ะทุกวันนี้ก็ยังมีพูดคุยชวนผมไปเล่นละครซึ่งเร็วๆ นี้ ก็จะมีผลงานร่วมกัน พี่ต๊ะไม่เคยลืมผมเพียงแค่รอบทที่มันเหมาะกับเราที่สุด เรามองตารู้ใจกันและผมก็ไม่เคยลืมถ้าไม่ได้พี่ต๊ะผมคงไม่มีวันนี้ ไม่ได้พี่ตุ๊กตาดันเรื่องต่อๆ ไปผมก็คงจะไม่บรรลุถึงขนาดนี้ ผมไม่เคยลืมบุญคุณคนครับ

ตักตวงโอกาสตรงนี้มากพอหรือยัง

ผมว่ามันคุ้มค่ามากๆ โชคดีที่ผมเป็นคนรู้จักคำว่าพอ เป็นคนไม่มีความทะเยอทะยานที่จะทำให้ชีวิตมันดีไปกว่านี้ เพราะวันนี้มันก็ดีเลิศแล้ว ถ้าเปรียบกับเมื่อวาน ได้มาอีกก็ถือว่าเป็นบุญ แต่จะไม่ทำอะไรที่ค้านกับตัวเอง อย่างเช่นเพื่อนบอกว่ารถเราเก่าแล้วนะทำไมไม่เปลี่ยนคันใหม่ที่มันทันสมัยกว่านี้ แต่เราไม่คิดอย่างนั้น คือเราจะไปเป็นหนี้ทำไม การไม่มีหนี้สบายตัวจะตายนอกจากจะเล่นละครให้กับกันตนาแล้วผมก็ยังมีโอกาสได้ไปร่วมงานกับทางช่อง 3 ด้วยครับเรื่องไฟกามเทพ ตอนนั้น “พี่ตุ๊ก-เดือนเต็ม” บอกว่าทางอาร์เอสเขากำลังหาพระเอกไปเล่นคู่กับ “นิ้ง-กุลสตรี” ซึ่งไฟกามเทพเป็นละครอีกหนึ่งเรื่องที่ผมประทับใจ แล้วเขาเอามาออกในยูทูบก็ได้ดูเลยรู้สึกว่าว้าว! ชอบสนุกดี มีเล่นเจ้าสาวสายฟ้าแลบ และพริ้งคนเริงเมืองทางช่อง 5 ต้องบอกว่าบางทีมือมันเผลอไปเสิร์ชชื่อตัวเองในกูเกิ้ลก็จะเห็นรูปของตัวเองโผล่มาจากละครเรื่องนั้นเรื่องนี้ (หัวเราะ) มันก็รู้สึกว่าปลื้มนะ ถามว่าผมตักตวงตรงนี้มาพอหรือยัง คือผมอาจจะไม่ใช่พี่เบิร์ด หรือหลายๆ คนที่คนเห็นแล้วชื่นชมว่า โห!พี่เขาเท่มากเก่งมาก แต่เราก็ภูมิใจในระดับหนึ่งกับสิ่งที่เรามี ที่สำคัญคือทำให้ยายผม 2 คน ภูมิใจที่เรามาถึงตรงนี้ได้ ทั้งๆ ที่ตอนเริ่มต้นชีวิตมันมันค่อนข้างจะขรุขระ และทุกวันนี้อาหลองไว้วางใจเรา ให้เราติดต่อตรงนั้นตรงนี้ให้ ล่าสุดผมก็ได้เชิญท่านทูตเนเธอร์แลนด์มาในงานบวงสรวงละครเรื่องทิวลิปทองตอนแรกก็ไม่คิดว่าท่านจะมา สรุปแล้วท่านก็มาเราก็รู้สึกปลื้มใจแทนอาที่พูดผมไม่ได้ต้องการที่จะโฆษณาตัวเองนะอยากจะบอกว่าทำดีจากใจไม่ว่าใครจะมองเรายังไงหรือเข้าใจผิดก็ไม่เป็นไรเราไม่จำเป็นต้องไปแก้ตัว ไม่ใช่ว่าไม่แคร์แต่เราจะไปห้ามความคิดของเขาได้ยังไง เรารู้ว่าเราทำอะไรอยู่สักวันมันจะพิสูจน์เอง

หลากหลายบทบาทที่ได้ทำ ชอบสิ่งไหนมากที่สุด

ผมเป็นคนชอบเอ็นเตอร์เทนครับ ก็น่าจะเป็นชอบร้องเพลงที่สุดและภูมิใจมากที่ได้ไปเล่นละครเวทีที่สิงคโปร์เรื่อง Cold White Lies and Red Hot Scandals ที่ Esplanade Center, Singapore ก็โอเคมันไม่ได้ดังเปรี้ยงปร้าง เล่นซีซั่นเดียว 3 เดือน เป็นประสบการณ์ที่ดีเพราะว่าได้ร้องเพลงด้วยเป็นละครเพลง เป็นงานที่ดีอีกเรื่องแต่เรื่องที่ภาคภูมิใจที่สุดคือเรื่อง Soi Cowboy (2008) เป็นหนังลูกครึ่งอังกฤษไทย ผมได้ร้องเพลงซาวนด์แทรค และเขาเอาเพลงในอัลบั้มของผมมารีเมค หนังเรื่องนี้ได้รับเลือกเข้าพิจารณารางวัลใหญ่ Un Certain Regard ที่งานCannes Film Festival2008 น้ำตาก็ไหลเลยเพราะเราไม่เคยคิดว่าจะมีชื่ออยู่ในหนังเรื่องนั้นได้เครดิต Music by Art Supawatt และเราก็เล่นด้วย เล่นเป็นตัวเองนี่แหละ คือในเรื่องนางเอกเขาบ้าดาราไทยอยู่คนนึงพอเป็นผมเล่นเขาก็เอาเรื่องสะพานดาวไปเปิด

ชีวิตคือการเดินทาง

ปัจจุบันใช้ชีวิตอยู่ทั้งที่เมืองไทยและอเมริกา อยู่เมืองไทยตอนนี้ก็คือเล่นละคร ทำเพจ เหมือนเป็นพีอาร์รับเชิญให้กับค่าย Insee ของอาหลอง และยังมีงานร้องเพลง พิธีกร อยู่อเมริกาก็อยู่กับครอบครัว ไปหาเพื่อนเดือนครึ่งสองเดือน คือผมมีอะไรที่แม่บุญธรรมได้ทิ้งไว้ให้ แต่เราก็ไม่ได้ใช้จ่ายแบบสุรุ่ยสุร่ายนะ บางคนอาจมองว่าเห็นงานน้อยแต่ทำไมเดินทางบ่อยจัง ก็คือผมเดินทางไปด้วยทำงานไปด้วย เวลาเดินทางไปผมก็จะบอกหัวเมืองต่างๆ ว่า Hello I’m coming (หัวเราะ) เช่นซูริคไปบ่อยมาก ลาสเวกัส ชิคาโก้ แอลเอ งานแสดงที่เมืองไทยถ้ามีติดต่อมาก็รับแล้วแต่พี่แอ๊ะ (ยิ้มตาวาว) แต่ผมอยู่กับอาหลองกับพี่ต๊ะผมก็แฮปปี้แล้วนะ

ครอบครัว คู่ครอง คู่คิดที่ยังคงตามหากันต่อไป

ครอบครัวของผมมีพี่แอ๊ะ คุณอา ผมเปรียบตรงนี้เป็นครอบครัวผม (หมายถึงคู่ชีวิต?) อ๋อ…ผมก็มีตามหัวเมืองต่างๆ (หัวเราะร่วน) เปล่าหรอกครับอันนี้พูดเล่นขำๆ คือเคยมีคู่คิดแล้วก็เลิกกันไป ทุกวันนี้ผมเป็นเปาบุ้นจิ้น สำหรับเพื่อนๆ น้องๆ ที่เขาทะเลาะกันเราก็จะเรียกมาคุย เป็นผู้ที่คอยไกล่เกลี่ย ผมมีความรู้สึกว่าคู่ชีวิตส่วนใหญ่ทำไมเขาเจอกันต้องทะเลาะมีนั่นมีนี่กัน อาจจะเป็นเพราะว่าความรักมันหาง่ายมั้งแค่เข้า Internet ก็ได้แล้ว แต่สำหรับผม Romance เป็นสิ่งสำคัญมาก หมายถึงการที่เราอยู่กับใครสักคนนึงแต่ว่าคนอื่นเขาอาจจะมองอยากจะมี Romance เหมือนกัน แต่ว่าเรายังไม่มาเจอกัน ในขณะนี้ผมก็ขอทำตัวให้เป็นประโยชน์กับน้องๆ ต่อไปให้คำแนะนำที่เป็นกลางเพราะผมรู้สึกว่าชีวิตนี้เราเจออะไรมาเยอะพอสมควร เราอยู่เป็นผู้เป็นคนมาถึงทุกวันนี้ได้เราผ่านอะไรมาเยอะจนอยากจะเขียนหนังสือสักเล่มนึง เดี๋ยวอายุ 60 จะเขียนหนังสือTell all จริงๆ พร้อมแล้วละครับ แต่มีความรู้สึกว่าพออีก 20 ปีเพราะว่าเราอาจจะมีข้อมูลใหม่ๆ

สิ่งที่ได้รับจากวงการนี้

วงการบันเทิงให้ยายผมได้มีชีวิตที่ดีในบั้นปลายชีวิตของเขาทั้ง 2 คือผมมีคุณยาย 2 ท่านครับ “ยายธรรม” กับ “ยายไพ” ท่านไม่มีลูกและเลี้ยงผมมาตั้งแต่ 1 ขวบ“เจ้านกกาเหว่า ไข่ไว้ให้แม่กาฟักแม่กาก็หลงรัก คิดว่าลูกในอุทร คาบเอาข้าวมาเผื่อ ไปคาบเอาเหยื่อมาป้อน ถนอมไว้ในรังนอน ซ่อนเหยื่อมาให้กิน” เสียงกล่อมของแม่กาทั้ง 2 ยังคงดังกังวาลอยู่ในจิตวิญญาณของ ลูกนกกาเหว่าน้อยตัวนี้เสมอ ไม่มีวันเลือนครับ และผมก็มีคุณแม่บุญธรรมที่เลี้ยงดูมาเป็นคนอเมริกัน นามสกุล Purdy ที่ผมใช้อยู่ก็เป็นนามสกุลของแม่บุญธรรม แม่แท้ๆ ยังมีชีวิตอยู่แต่ว่าไม่ได้อยู่ด้วยกัน อย่างที่บอกว่าผมเจออะไรมาเยอะมาก (ครอบครัวไม่ได้สมบูรณ์แบบ?) ผมขอใช้คำว่าติดลบด้วยซ้ำ แต่ไม่ใช่ว่าติดลบทางด้านจิตใจนะ แต่คือเราไม่ได้มีพร้อมเหมือนคนอื่น ไม่มีพ่อไม่มีแม่ แต่เรามียายสองคนและแม่บุญธรรมที่เลี้ยงดูเรามาให้เติบโต และวงการบันเทิงก็ทำให้ผมได้มีโอกาสทำให้ยายผมภาคภูมิใจกับเด็กเบบี้ (น้ำตาซึม) ที่เขาเอามาเลี้ยงทั้งๆ ที่เขาก็ยังไม่รู้เลยว่าวันๆ เขาจะกินอะไร

ปิดท้ายกันแบบซาบซึ้งปนหยดน้ำตา จากผู้ชายที่ชีวิตไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเลย และนี่ก็คือ “อาร์ต-ศุภวัฒน์อ่ำประสิทธิ์ เพอร์ดี้” อดีตพระเอกหนุ่มลูกครึ่งที่ยังอยู่ในใจหลายๆ คน

กุหลาบสีเงิน