ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า
http://www.naewna.com/entertain/256161
วันอาทิตย์ ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560, 06.00 น.
แม้จะผันตัวไปทำธุรกิจ และมีครอบครัวอยู่ที่เพชรบุรี แต่ผลงานทางหน้าจอทีวี ของ นักแสดงสาวยิ้มสวย “โซบี-โชติรส ชโยวรรณ” ยังคงมีออกมาให้แฟนๆ ได้หายคิดถึงอยู่เรื่อยๆ สตาร์เรโทรมีโอกาสเจอะเจอเธอ จึงชวนมานั่งจับเข่าเม้าท์ถึงเรื่องราวชีวิต ที่เชื่อว่าหลายคนจะต้องอมยิ้มไปกับเธอ
“ตอนนี้ทำธุรกิจส่วนตัวค่ะ คือตั้งแต่แต่งงานไปเมื่อปี’53 ก็ต้องย้ายไปอยู่ที่เพชรบุรี เริ่มรับงานน้อยลง บางทีก็ไม่ค่อยสะดวกในการเดินทางเราไม่เหมือนแต่ก่อนแล้ว ที่ว่าเฮไหนเฮกัน แต่ไม่ได้เลือกงานนะคะ จะดูเวลาที่เราสะดวกมากกว่า งานในวงการยังมีอยู่บ้าง อย่างละครก็มีรอออนแอร์อยู่ค่ะเรื่อง “รักพลิกล็อก” และละครเทิดพระเกียรติเรื่อง “เสียงเต้นของหัวใจในป่าใหญ่” ที่เพชรบุรีคือบ้านแฟนค่ะ ซึ่งเขาทำธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้า ส่วนของแฟนเองเขาทำเฟอร์นิเจอร์ โซบีจะดูแลร้านอาหารเล็กๆ สไตล์คาเฟ่ชื่อร้าน Take a Rest อยู่แถวราชภัฏทางไปหาดเจ้าสำราญค่ะ”

เริ่มต้นธุรกิจจากสิ่งที่ชอบ
จุดเริ่มต้นของการมาเปิดร้านอาหารเอง คือตอนนั้นโซบีทำพิธีกรเกี่ยวกับอาหาร แล้วได้คลุกคลีอยู่กับเซฟ และส่วนตัวก็เป็นคนชอบทำอาหาร พอได้ไปเจอที่ตรงนั้น มีเพื่อนมาชักชวน เราก็สนใจ เพราะว่าเป็นสิ่งที่เราชอบ เลยไปเรียนทำขนมเพิ่มเติมในร้านจะมีทั้งอาหาร กาแฟสด เละขนม ทำมาประมาณ3 ปีแล้วค่ะ อยู่ตัวแล้ว เรียกว่าดีกว่าที่เราคิดไว้ตอนแรกหวังแค่กลุ่มนักศึกษา แต่ไปๆ มาๆ กลายเป็นทุกกลุ่ม ทั้งครอบครัว กลุ่มคนทำงานด้วย รวมทั้งกลุ่มนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางไปหาดเจ้าสำราญมีเมนูขนมที่ขึ้นชื่อ เป็นซิกเนเจอร์ของร้าน คือเครปแป้งนิ่มค่ะ เสิร์ฟเป็นจานพร้อมไอศกรีม ซึ่งเป็นอะไรที่แปลกใหม่สำหรับเพชรบุรี จากที่ตอนแรกเราจะไม่มีเมนูที่เป็นอาหาร ก็เริ่มมีอาหารด้วย เพื่อให้ครบปกติโซบีจะเข้าร้านทุกวัน ถ้าอยู่ที่เพชรบุรีนะคะทำเองด้วย เพราะว่าเราชอบทำครัวทำอาหาร ลูกค้าส่วนใหญ่จะไม่ทราบเลยค่ะว่าเราเป็นดารา เพราะโซบีแทบจะไม่ได้ใช้ตรงนี้ในการโปรโมทเลย อารมณ์เราคือทำธุรกิจ แต่ว่าเพื่อนฝูงกันก็รู้ แล้วก็น้องๆนักศึกษาบางคนก็จะรู้ ส่วนใหญ่เขาจะรู้ด้วยการที่เขามาเจอเองที่ร้านแล้วจำเราได้ อย่างตอนที่ละครเรื่อง “ทองเนื้อเก้า” ออนแอร์ เขาก็จำได้ว่าเราเล่นเป็นลำยง น้องสาวของลำยอง
ถึงเวลาวางแผนสร้างครอบครัว
คือก็อยากจะแต่งงานมีสามีเป็นตัวเป็นตนกับเขาบ้าง (หัวเราะ) เรียกว่าช่วงนั้นความรักสุกงอมกำลังดีแล้ว เราเริ่มมั่นใจ และอยากให้ครอบครัวเขารู้สึกมั่นใจในตัวเราด้วย พ่อแม่ทั้งสองฝ่ายก็คงห่วงนะ ท่านก็อายุมากแล้ว อยากให้ท่านเห็นและรับรู้ว่าเราอยู่กับใคร ใครดูแลเรา ไม่อยากให้พ่อแม่มารับรู้ตอนที่ท่านไม่ได้อยู่กับเราแล้ว คือคิดไปถึงขนาดนี้เลยค่ะ และยอมรับว่าตอนนั้นก็ลังเลสับสนเหมือนกัน คือเรียกว่างานก็มีต่อเนื่องตลอด ถ้าเราแต่งงานไปแล้ว เราจะยังทำงานได้อีกไหม ก็คุยกัน แฟนเขาก็โอเคค่ะไม่ปิดกั้นสนับสนุนเต็มที่ โซบีก็หาวิธีการของเรา ลองเลือกๆ ดู อันไหนที่สะดวกที่เหมาะสมในช่วงเวลา เราก็รับ จะไม่ปฏิเสธ จะรับเท่าที่ผู้ใหญ่ยังเมตตาและยังให้โอกาสอยู่ค่ะ ไม่คิดว่าจะหยุดรับละคร คืออยู่ไปเรื่อยๆ มีอะไรก็ทำ ก็เล่นไป (วางแพลนที่จะมีทายาทหรือยัง?) ยังไม่มีค่ะ พร้อมแล้วแต่เขายังไม่มาเอง ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ เรายังไม่ถึงขั้นว่าจริงจังไปหาหมอ มีท้อบ้าง ที่เขายังไม่มาสักที แต่ก็ไม่ได้โฟกัสจริงจังค่ะ ถ้าเขามา เราก็ยินดี แต่ชีวิตทุกวันนี้ เราก็มีความสุขดีนะ ไม่ได้สูญเสีย หรือว่าขาดอะไรค่ะ

เส้นทางความรักกับหนุ่มนอกวงการ
กับคุณเชลล์ เราเรียนด้วยกันที่ ม.รังสิตค่ะแต่ว่าไม่ได้เป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกัน คือเป็นเพื่อนที่รู้จักกัน เจอในห้องเรียนบางวิชา จนเรียนจบได้นั่งรับปริญญาข้างกัน เพราะว่าชื่อเรา ช.ช้าง เหมือนกันเขาก็ไม่ได้คิดอะไรหรอก แต่โซบีนี่แหละที่คิดไปก่อน(หัวเราะ) รู้สึกว่าตาคนนี้แหละเหยื่อเรา (ยิ้ม)คือหมายถึงว่าวันรับปริญญา เขาจะห้ามพกอะไรเข้าไปใช่ไหมคะ เราก็คิดว่าจะต้องเบื่อ ต้องหิวแน่เลย แล้วผู้ชายเขาจะใส่สูท หางชุดครุยก็จะมีเหมือนถุงที่ใส่อะไรได้ เราก็แบบ เธอ..เดี๋ยววันนั้นฉันจะฝากขนมมานะ แล้วก็ขอเบอร์เขาไว้ เพราะกลัวมาแล้วไม่เจอ ก่อนเข้าหอประชุมจะได้ฝากของ เลยแลกเบอร์กันไว้ หลังจากนั้นเราก็ใช้ชีวิตของเรา ทำงานทำการไป
เขาคือหนุ่มในฝัน
ตอนหลังมีถามเขา เขาบอกว่าแอบหมั่นไส้เราคือเหมือนมีครั้งนึงไปแคสงาน ก่อนไปเรียนแล้วโซบีแต่งหน้าเต็มมาก มาเรียนก็เข้าห้องช้า อาจารย์ถามเขาก็แซวๆ เราประมาณว่าหมั่นไส้ สวยอะไรแบบเนี้ย (หัวเราะ) เชลล์เขารู้ตั้งแต่ตอนเรียนแล้วค่ะว่าโซบีเป็นดารา เคยโทร.ไปขอคำปรึกษาจากเขา เรื่องงานเหมือนกัน จนเลยเถิดไปถึงเรื่องส่วนตัว เลยทำให้เรารู้สึกว่าการที่ได้คุยกันมากขึ้นทำให้เราได้รู้จักเขา ได้เห็นจิตใจเห็นความคิดเขา เมื่อก่อนเราจะคิดว่าเขาก็เป็นแค่ผู้ชายวัยรุ่นคนนึงที่ใช้ชีวิตทั่วไป แต่จริงๆแล้วเขามีความคิดที่เป็นผู้ใหญ่ ก็เลยคุยกันมาเรื่อยๆ เคยเก็บเอามาฝันด้วยค่ะสงสัยว่าจะคุยกันเยอะ คือฝันว่าเรานั่งอยู่ริมทะเลแล้วมีผู้ชายคนนึงนั่งอยู่กับเพื่อนเรา เขาไม่หันหน้ามาสักที แต่มีความรู้สึกว่า ชอบเขาจังเลย ตื่นมาก็นั่งยิ้มอยู่คนเดียว แล้วก็นึกถึงว่าใครนะ ทำไมเรารู้สึกดีกับเขาจัง ผู้ชายในฝัน ก็เลยรีบวิ่งออกมาบอกแม่ว่าเรามีผู้ชายในฝันแล้ว แม่ก็หมั่นไส้ แต่ตอนนั้นรู้สึกว่าอยากจะบอกใครสักคน แล้วเราก็ยังฝันถึงฉากเดิมกับผู้ชายในฝันนั้นอีก แต่คราวนี้เขาหันหน้ามาแล้ว และมันก็กลายเป็นเชลล์ พอเราตื่นก็บอกตัวเองว่า เชลล์เหรอ คือผู้ชายคนนั้น (หัวเราะ) ก็ขำตัวเอง จนวันนึงไปเดินที่สวนจตุจักร มีโทรศัพท์เรียกเข้ามา พอเห็นเป็นชื่อเขาก็ตกใจ เพราะกำลังอยากจะโทร.หาเขา เล่าเรื่องความฝันให้เขาฟัง แล้วโซบีก็บอกเขาเลยว่า ให้จีบเราสิพูดไปเล่นๆ ลอยๆ แต่ว่าจะต้องรีบหน่อยนะ เพราะว่าเดี๋ยวหมดเขต(หัวเราะ) จนคบกันมาประมาณ 7 ปีก็ตัดสินใจแต่งงานกันค่ะ

ย้อนวันวานก้าวแรกในวงการบันเทิง
ตอนนั้นไปเดินห้างค่ะ เซ็นทรัลลาดพร้าวยุคนั้นโมเดลลิ่งเยอะ แล้วพี่เขาก็มาแจกนามบัตรซึ่งเราไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะเป็นดารา โซบีอยากเป็นแอร์โฮสเตส และอยากทำงานโรงแรมนี่คือที่เราใฝ่ฝันไว้ ทุกวันนี้ก็ยังอยากจะเป็นแอร์อยู่แต่คงจะไม่ทันแล้วได้นามบัตรมา 2 ใบด้วยนะแล้วยังคิดว่าเขามาหลอกด้วยซ้ำ ตอนนั้นเรียนอยู่ ม.6 โรงเรียนสาธิตวัดพระศรี ไปเดินห้างกับเพื่อนก็งงๆ แล้วเอากลับมาเล่าให้แม่ฟัง แม่ก็นิ่ง นิ่งแบบผิดสังเกต เหมือนแม่ไม่สนใจเลย เวลาผ่านไปจนวันที่โมเดลลิ่งเขานัดไปถ่ายรูปเผื่อส่งแคสงานแม่ก็พาไป มารู้ทีหลังว่าตอนนั้นในหมู่บ้านเราก็มีโมเดลลิ่ง และเขาเคยมาขอแม่ว่าจะพาเราไป แต่แม่ไม่เล่าให้ฟัง และเขาก็ไม่ให้ไปด้วย แม่คงเห็นว่าเรายังเด็กอยู่ แต่ตอนนั้นที่แม่ไปด้วย เพราะว่าโซบีจะเรียนจบ จะเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว แม่ก็เลยคิดว่าคงจะห้ามเราไม่ได้แล้วมั้ง เลยพาไปเอง และได้ไปแคส งานโฆษณา ตามสเต็ปเลยค่ะ ต่อมาก็ได้เล่นเอ็มวีเล่นหนัง เล่นละคร (แม่กลายเป็นผู้ผลักดัน?)ใช่ค่ะ เขาขับรถพาไปแคสงานตลอด คือแม่ก็เป็นห่วงเราด้วย ห่วงเรื่องการเรียน เรื่องสังคมเรื่องการวางตัว เลยจะเป็นคนที่คอยขับรถไปรับไปส่งให้ตลอด
ภูมิใจกับเงินก้อนแรก
พอเริ่มเข้าไปทำแล้ว ก็ชอบ รู้สึกว่ามันดีนะ แล้วอีกอย่างคือเราภูมิใจกับเงินก้อนแรกที่ได้จากงานโฆษณา โซบีก็ให้แม่ เคยได้ยินแต่คนอื่นหรือดาราเขาให้สัมภาษณ์ว่าเงินก้อนแรกให้คุณแม่ เอ้ย!เราก็มีวันนี้เหมือนกันนะ ภูมิใจค่ะ และเริ่มเห็นความงดงามของวงการบันเทิง ว่ามันก็สนุกดี และแปลกใหม่ดี ไม่ได้รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องยากอะไร

สู่งานแสดงอย่างเต็มตัว
มีโอกาสได้เข้ามาเล่นหนังเรื่อง “แม่เบี้ย” ละครเรื่องแรก เล่นกับทางช่อง 5 เรื่อง “มนต์รักส้มตำ” ก็เล่นกับ “มะหมี่” (นภคปภา นาคประสิทธิ์) ทั้งสองเรื่อง หลังจากนั้นก็มาอยู่ในสังกัด บรอดคาซท์เล่นเรื่องแรกคือ “พระจันทร์แสนกล” มีงานละครเข้ามาเรื่อยๆ ซึ่งโซบีชอบละครทุกเรื่องที่ตัวเองเล่นนะคะ เพราะเป็นสิ่งที่เราชอบ ที่สำคัญคือเราได้ประสบการณ์อะไรใหม่ๆ แต่ถ้าเอาที่โซบีประทับใจเลยคือเรื่อง“ทองเนื้อเก้า” เพราะว่าเป็นเรื่องแรกที่เราเปลี่ยนคาแร็กเตอร์เปลี่ยนบทบาททุกอย่าง คือก่อนหน้านั้น มักจะได้เล่นเป็นคนเรียบร้อย แต่งตัวสวยๆ เป็นผู้ดี ก่อนที่จะมาเล่น “ทองเนื้อเก้า” ก็ได้เล่นบทร้ายซึ่งก็ชอบมาก เพราะว่าการเล่นเป็นคนดีเหมือนเราต้องเก็บกด แต่การเล่นเป็นตัวร้าย เราได้ปลดปล่อย อย่างทองเนื้อเก้าที่ชอบ เพราะว่าเป็นอะไรที่บ้านๆ ตัวละครต้องอยู่ในสลัมเลย นุ่งผ้าถุง พูดจาก็ต้องตะโกนคุยกัน แต่ยากมากเลยนะคะ รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ต้องเก็บให้หมด เรียกว่าบทบาทในเรื่องทองเนื้อเก้าเป็นอะไรที่คนจำเราได้ ทุกวันนี้ไปไหนคนก็ยังจำได้อยู่ ยังเรียกลำยง
มากกว่าฝัน เกินกว่าที่คาดไว้
งานแสดงไม่เคยอยู่ในเป้าหมายชีวิต เป็นอะไรที่เกินความคาดหมาย และเป็นโอกาสที่ดีที่สุดในชีวิตที่ได้เข้ามาสัมผัส อะไรที่ดีๆ หลายอย่างก็ตามมา แม้ว่าจะดับฝันการเป็นแอร์ก็ตาม จริงๆ แล้วโซบีว่าสมัยนี้แอร์กับนักแสดงแทบจะไม่ต่างกันเลยนะ คือภาษีสังคมคล้ายกัน แต่ว่าแต่ละอาชีพก็มีความท้าทาย ความเหนื่อยที่แตกต่างกันออกไป บางคนมองว่าดาราเป็นอาชีพที่สวยหรู คือเขาเห็นแต่ภาพนี้ของเรา แต่เราก็จะพยายามบอกเขาว่าจริงๆ ไม่ใช่แค่ชอบนะ คุณต้องรัก แล้วไม่ได้สบายอย่างที่คิด เวลาที่สบายก็สบายจริง แต่เวลาที่ต้องเข้าป่าลุยไปถ่ายทำไม่มีห้องน้ำนะ อยากจะล้างมือยังไม่มีน้ำให้ล้างเลย ต้องทน ตอนที่แม่ไปกองถ่ายด้วย แม่ก็จะเที่ยวบอกทุกคนว่าเราไม่ได้สบายอย่างที่คิดนะ บางทีไปนอนรอกว่าจะได้เข้าฉาก ยุงก็กัด แต่ว่ามันอยู่ที่ใจ ถ้าเรารักเราชอบก็ถึงไหนถึงกัน

ช่วงจังหวะชีวิตที่รู้สึกท้อ
ปกติโซบีจะปรึกษาคุณแม่ค่ะ ให้แม่ช่วยคิดช่วยตัดสินใจ แต่วันที่ถึงจุดเปลี่ยน คือวันที่เราคิดว่าจะต้องดูแลตัวเอง ต้องไปออกกองเอง คงจะเป็นเรื่องนี้แหละค่ะที่ทำให้เราคิดมาก คือตอนนั้นแม่ก็ป่วย เราไม่ได้รู้สึกว่าน้อยใจนะ แต่เรารู้สึกว่าทำไมจะต้องขับรถมาเองด้วย เราเป็นคนไม่ค่อยรู้เส้นทาง มันเหมือนว่าขาดอะไร ทุกครั้งที่แม่มาด้วย เราจะทะเลาะกันตลอดทาง พอวันนึงเราต้องขับรถมาเองตัดสินใจเอง เลยรู้สึกว่าคิดถึงแม่ เริ่มมาดูแลตัวเองตอนที่เรียนจบมหาวิทยาลัยค่ะ เป็นจุดที่เราต้องหักดิบ เพราะว่าแม่ไม่สบาย และตอนนี้แม่ก็หายป่วยแล้ว แต่ว่าพ่อกลับไม่สบาย ตอนแรกรู้สึกว่าหนักนะตอนที่พ่อเข้าโรงพยาบาล เราก็เป๋ไปเลย คือเราห่วงเขา และก็ไปนึกถึงภาพที่เราทำกิจกรรม ภาพที่เรามีความสุขร่วมกัน เลยรู้สึกว่าเราเสียดาย ถ้าเกิดว่าจะไม่มีโอกาสทำแบบนั้นแล้ว กลายเป็นว่าเราเองก็แย่ ก็คุยกันกับพี่เชลล์ เขาก็บอกอย่าไปคิดอย่างนั้นสิ พ่อยังไม่เป็นอะไรเลย เขาคอยปลอบคอยคุยกับหมอ แม่ก็จะโทร.มาเล่าตลอดว่าพ่อเป็นยังไงบ้าง ช่วงนี้เลยเป็นช่วงที่ต้องคอยดูแลพ่อเป็นพิเศษค่ะจะเดินทางไป-กลับกรุงเทพฯ-เพชรบุรี ตลอด
ความในใจจากโซบี
ต้องขอบคุณนะคะ ที่คนยังจดจำเราได้ เวลาไปไหนยังเข้ามาทักทายกัน โซบีดีใจนะดีใจมากๆ ที่ยังนึกถึงกันเสมอ รวมถึงพี่ๆ นักข่าวรุ่นเรา เจเนอเรชั่นเราต้องขอบคุณมากเลยที่ยังสนับสนุน เวลาไปออกกองเจอกัน ก็ยังเรียกมาถ่ายรูปพูดคุยกันก็ดีใจค่ะ อยากให้อยู่เป็นแฟนคลับเป็นกำลังใจให้กับพี่ๆ น้องๆ คนอื่นต่อไป และขอฝากผลงานด้วยหรือว่าใครผ่านไปเพชรบุรี แวะมาที่ร้าน Take a Rest ได้นะคะ
กุหลาบสีเงิน

































































