Star Retro : ‘เวย์น ฟอลโคเนอร์’ 20 ปีบนถนนสายมายา เจ้าของฉายา ดาวร้ายหน้าหล่อ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/entertain/234688

วันอาทิตย์ ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2559, 06.00 น.

อยู่ในวงการมากว่า 20 ปี เวย์น ฟอลโคเนอร์นักแสดงมากฝีมือลูกครึ่งไทย-อเมริกันชาวจังหวัดนครราชสีมา ผ่านบทบาทและงานแสดงมาอย่างโชกโชน แต่ที่โดดเด่นและแจ้งเกิดให้เวย์นได้จนถึงทุกวันนี้คือบทผู้ร้าย จนได้ฉายาในสมัยหนึ่งว่าเป็น “ดาวร้ายหน้าหล่อ” สตาร์เรโทรสัปดาห์นี้จึงพาย้อนตามดูเส้นทางความสำเร็จของเขากัน

เส้นทางการเข้ามาในวงการบันเทิง

มีคนชวนเข้ามาประกวดนายแบบโดมอนแมนปี 1987 ตอนนั้นที่เข้ามาเพราะเราอยากได้เงินรางวัลอายุผมประมาณ 21 ปี ผลออกมาคือติด 1 ใน 5พอประกวดเสร็จได้ถ้วยรางวัล ได้เงิน ก็กลับบ้านไปอยู่ที่โคราช เอาเงินรางวัลที่ได้มาไปลงทุนค้าขาย ซึ่งสมัยนั้นโทรศัพท์ก็ไม่มี มีแต่ที่อยู่ เลขที่บ้าน ผ่านไปประมาณสองอาทิตย์มีโทรเลขมาที่บ้าน ผมก็ตกใจใครเป็นอะไรหรือเปล่า เพราะถ้ามีโทรเลขมาที ต้องมีเรื่องใหญ่แน่ๆ ผมก็ไปรับโทรเลข เขาก็บอกว่าให้ผมโทรศัพท์กลับไปที่บริษัทโดมอนตามเบอร์นี้นะ ผมก็โทรไป แล้วเขาก็บอกว่าสนใจเดินแฟชั่นไหม ผมก็งง อะไรคือแฟชั่น เดินยังไง ถ่ายยังไง ไม่รู้เรื่องเลย เขาก็เลยบอกว่าถ่ายแบบแล้วได้ตังค์ด้วยสนใจไหม ผมก็เลยตอบรับทันที เพราะได้ตังค์ด้วย (หัวเราะ) ก็นัดวันเวลาสถานที่ให้เราไปถ่าย คือตอนวันที่ประกวดเสร็จ 4 คนเขาไปถ่ายหนังสือกันมาแล้วเล่มหนึ่ง ส่วนผมเขาไม่รู้จะตามยังไง พอเล่มนี้ก็ให้ผมถ่ายคนเดียวไปเลย กลายเป็นเกิดเลย ฟลุกไปเป็นดวงมากๆ (หัวเราะ) หลังจากนั้นก็เดินแบบถ่ายแบบเกือบทุกอาทิตย์ ผมก็ขึ้นมากรุงเทพฯ ถ่ายแอดโฆษณาบ้าง ถ่ายแบบ เทสต์งานโฆษณาไปเรื่อย

ผลงานการแสดงเรื่องแรก

ตอนนั้นถ่ายโฆษณาเสื้อผ้ากับมอเตอร์ไซค์อยู่ พี่ปัญญา นิ่มเจริญพงษ์ โทรมาชวนเล่นหนังถามว่าขี่มอเตอร์ไซค์ได้ไหม ผมก็บอกว่าขี่ได้ผมอยู่ต่างจังหวัด เขาบอกว่าคันใหญ่นะ ผมก็บอกว่าได้ รถถังผมก็ขี่ได้ก็เลยชวนไปเล่นหนังเรื่อง “ห้าวเล็กๆ” เรื่องแรกเล่นกับ อ้อม-สุนิสา สุขบุญสังข์, เอ-อนันต์ บุนนาคผมเล่นเป็นผู้ร้ายขี่ช็อปเปอร์ มีพี่หนึ่ง วรเชษฐ์ นิ่มสุวรรณเล่นเป็นน้องชายผม เราเล่นเป็นพี่โหด ซ้อมน้อง แกล้งนางเอก จับโน่นจับนี่แล้วตอนนั้นก็ได้พี่หนึ่งนี่แหละเป็นครูคนแรกที่สอนเรื่องการแสดงให้ ไม่รู้ไม่เข้าใจอะไรก็ถามแกได้เลย ผมจำได้เลยว่าถ่ายซีนแรกวันแรกตรงสะพานดำบางซื่อ เดี๋ยวเทสต์รถไฟ เดี๋ยวเทสต์ทรงผมหลายอย่างมาก จนเกือบเทคสุดท้ายฟิล์มหลุดเลยพอสั่งคัท พี่ปัญญาบอกว่า วันแรก ซีนแรกมึงเล่นกูม้วนหนึ่งเลยนะ (หัวเราะร่วน) ม้วนหนึ่งเต็มๆ เลยครับ พอสั่งคัทเทคสุดท้าย ก็เป็นเรื่องแรกสนุกสนานเฮฮามากก็รู้จักแก๊งพี่ซูโม่กิ๊ก พี่ติ๊ก พอหนังฉายปรากฏว่า ดังมากอ้อม-สุนิสา ดังเปรี้ยง เกิดเลย ออกเทปเลย ส่วนผมคนจำได้จากเรื่องนั้นเยอะเหมือนกัน ทุกวันนี้ก็มีนะที่แฟนๆ จำเราได้จากเรื่องนี้ที่เป็นเรื่องแรก หลังจากนั้นก็มาร่วมงานบริษัทพรพจน์ เล่นอยู่ 2-3 เรื่อง หนุ่มสาวนำแสดงโดย หมิว-ลลิตา ปัญโญภาส และ วิลลี่แมคอินทอช แล้วก็เรื่อง แม่มดยอดยุ่ง เล่นเป็นตัวร้ายตลอดเลย

เล่นร้ายจนได้รับฉายา

มีคนบอกว่าผมเล่นได้ดี แฟนละครชอบดูตอนนั้นจะได้ฉายาว่า ดาวร้ายหน้าหล่อ เพราะสมัยก่อนคนที่เล่นเป็นตัวร้ายส่วนใหญ่จะหน้าโหดๆ มีหนวดเครา แต่ผมหล่อใสปิ๊ง (ยิ้ม)

บทร้ายเต็มตัวที่สร้างชื่อเสียง

เล่นกับอารุจน์ รณภพ เรื่องหลงไฟ เล่นกับฮันนี่-ภัสสร บุณยเกียรติ คนเกลียดทั้งเมือง เพราะก่อนหน้านี้ผมจะเล่นเป็นตัวร้ายวัยรุ่น ร้ายเกเร กระเซ้าเย้าแหย่ แต่ในเรื่องหลงไฟ ร้ายแบบเป็นแมงดาเลย ซ้อมผู้หญิง ขายผู้หญิง ทำร้ายผู้หญิง พอหนังฉายออกมาเปรี้ยงมาก ก็เลยมุ่งทางร้ายมาโดยตลอดต้องขอบคุณอารุจน์ รณภพ ที่ทำให้ผมหาทางตัวเองเจอ

เข้าสู่เส้นทางสายละคร

เล่นละครเรื่องแรกดังเลย เรื่อง ทูตมรณะ ของกันตนา พี่สุ (สุชีรา กัลย์จาฤก) เป็นคนเรียกไปแคสต์ เล่นกับพี่เอก-สรพงศ์ ชาตรี ซึ่งเป็นเรื่องแรกของพี่เอก มีอาแอ๊ด-สมบัติ เมทะนี เล่นเป็นพ่อ ตอนนั้นขนดาราตัวใหญ่ๆ มาเยอะมาก ผมก็มีโอกาสได้ไปประกบเล่นเป็นลูกของอาแอ๊ด ซึ่งเล่นเป็นเจ้าพ่อมาเฟีย ร้าย แสบ ฉุดนางเอกน้องกวาง-กมลชนก จนเตียงหักเตียงพัง น้องกวางก็เป็นเรื่องแรกของเขาเหมือนกัน แล้วเรื่องนี้พอฉายก็เปรี้ยงมากเพราะพี่เอกเป็นพระเอกด้วย เราก็พอได้ติดกระแสไปด้วย หลังจากนั้นก็มาเล่น เรื่อง ในฝัน ของพี่ไก่-วรายุฑ ช่อง 3 ก็เล่นทุกช่องครับตอนนั้นเพราะเราไมได้เซ็นสัญญากับช่องไหนเรามา เล่นไปเล่นมาแป๊บๆ นี่ก็เข้า 20 ปี (หัวเราะ)

เสน่ห์ตัวร้ายที่เล่นแล้วหลงรัก

เวลาเล่นแล้วเราสนุก เวลาเล่นเป็นคนดีจะรู้สึกขัดๆ นิดหนึ่ง แต่พอเราเล่นร้ายเราสามารถได้ปล่อยพลังโพล่งๆ ออกไปเล่ย เล่นง่ายกว่า เพราะถ้าเล่นเป็นคนดีแล้วดูอึดอัด ทำไมไม่พูดแบบนี้น่ะ แต่พอเป็นบทร้ายมาเราก็พูดไปตามบทใส่อารมณ์ได้เต็มแมกซ์เลยใส่พลังเข้าไป เหมือนชกกระสอบทรายก็สนุกไปอีกแบบ สนุกเต็มที่ บ้าพลังไปตอนหนุ่มๆ

เล่นละครไปนานๆ กลายเป็นตกหลุมรักงานแสดง

เคารพมากกว่าครับสำหรับผม เป็นการให้เกียรติงาน และเราก็ต้องยิ่งตั้งใจว่าจะต้องทำให้ได้ดีที่สุดเท่าที่เรามีความสามารถ ฉะนั้นเราจะต้องมีความตั้งใจเป็นอันดับแรกก่อน ความผิดพลาดอะไรต่างๆ นานาที่เกิดขึ้นก็ค่อยๆ แก้กันไป ถ้าเราตั้งใจเป็นหลักแล้ว ให้ความเคารพเป็นหลัก

บทร้ายในความทรงจำ

เรื่องหลงไฟ ที่ได้เล่นร้ายแบบผู้ใหญ่เต็มตัว หรืออย่างเร็วๆ นี้ที่เล่นน้อยแต่คนพูดถึงก็มีเรื่อง นางทาสเล่นรับเชิญ เป็นตอนที่เราเอาลูกไปขายแล้วฟีดแบ๊กดีมากคนด่าทำไมทำอย่างงี้ เอาลูกไปขายได้ยังไงก่อนหน้านั้นก็มีเลวๆ เยอะนะเล่นน้อยๆ แต่เป็นพ้อยท์ของเรื่องคนก็จะจำได้

แฟนละครอินจัดทักทายจัดหนัก

สมัยก่อนนานมากแล้วล่ะ ไปงานแต่งเพื่อนที่จังหวัดนครพนม ป้าแก่ๆ เดินเข้ามานี่หมั่นไส้จริงๆ เลยร้ายมากนะขอหยิกสักทีได้ไหม ผมก็คิดว่าเขาจะแกล้งที่ไหนได้ บิดผมเอวเขียวเลย แต่หลังๆ คนเขาก็เข้าใจขึ้นแล้ว ไปตลาดป้าๆ ก็มีบ่นๆ ให้ได้ยินบ้างว่าร้ายยังงั้นร้ายอย่างงี้ ก็บ่นไปตามอารมณ์ไม่ได้จริงจังโกรธแค้นบางคนก็ทักวันนี้ไม่มีละครเหรอมาเดินตลาดอะไรประมาณนี้ แฟนคลับผมก็โน้นๆ แหละรุ่นสี่สิบอัพ (หัวเราะ) วัยรุ่นไม่ค่อยรู้จัก

ไม่น้อยใจแม้คนจะจำไม่ได้

แต่ละที่แต่ละคนก็จะมีแฟนคลับ แฟนละครของแต่ละคนอยู่แล้ว เหมือนอย่างไปเขตนี้ก็ดูช่องนี้ทั้งหมด ไปอีกเขตหนึ่งก็ดูอีกช่องหนึ่ง ก็เป็นทาเกตของแต่ละกลุ่ม อย่างวันก่อนลูกๆ ดูละครเราอยู่ที่บ้านวันนั้นเขาดูเรื่อง ปีกทอง เขาก็ถ่ายส่งไลน์มาให้ผมดูว่าเรื่องนี้ออนแอร์แล้วนะ บางทีผมถ่ายละครหลายเรื่องก็จะจำไม่ได้ว่าเรื่องไหนออนแอร์หรือยังก็ไม่ค่อยได้เช็คก็มีลูกสาวนี่แหละค่อยดูให้

ไม่คาดหวังไม่ผิดหวัง

ชีวิตในวงการบันเทิงของผมก็มีขึ้นๆ ลงๆหวือหวาบ้าง แต่เอาจริงๆ ผมว่าก็ไปเรื่อยๆ นะเราไม่มีความคาดหวังอะไร แค่มีงานเราก็ทำแล้วสนุกไปกับมัน มีงานได้เงินก็ทำ สนุก บางคนบอกบ้านอยู่ไกลมาก็ลำบาก ผมก็เลยบอกว่า การทำงานของผมก็คือการมาเที่ยว มาสนุก มาเจอคน เวลาอยู่บ้านผมก็เลี้ยงลูก ดูแลครอบครัว การออกจากบ้านไปทำงานผมคิดว่าออกมาเที่ยว วันนี้ไปเที่ยวกองนี้พรุ่งนี้ไปเที่ยวกองนั้น ซึ่งการได้เที่ยวจริงๆ ของผมในชีวิต บอกเลยนะว่าก็คือการมาถ่ายละครได้ไปสถานที่ดีๆ สถานที่ที่ไม่เคยไปในชีวิตตัวเองจริงๆถ้าไม่เล่นละคร

ทุกชีวิตมีปัญหา

ก็ไม่เคยท้อนะ แค่รู้ว่าเจอปัญหาเราก็ต้องแก้ไขและฝ่าฟันไปให้รอดให้ได้ เพราะถ้าเราท้อแท้แล้วล้มลงไปคนหนึ่งแล้วคนที่อยู่ข้างหลังล่ะเขาก็อาจจะล้มตาม ฉะนั้นเราก็ท้อแท้ไม่ได้ต้องแข็งแรง คือก็รู้ว่ามีปัญหาแต่ก็ไม่พยายามแสดงออกให้คนอื่นรู้ว่าเรามีปัญหา เราก็แก้ของเราไปทีละเปาะ เดี๋ยวก็แก้ไขได้เองแหละ เราก็จะพยายามคิดถึงคนที่ต้องพึ่งพาเรา ตัวเราไม่เท่าไหร่หรอก เราต้องทำหน้าที่ยืนหยัดไว้ให้แข็งแรงที่สุด อย่างน้องชายผมก็เพิ่งเสียไปเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ก็ต้องเข้มแข็งและต่อสู่กันต่อไป

ชีวิตครอบครัว

แต่งงานกับภรรยานอกวงการครับ แล้วก็มีลูกสองคนเป็นลูกสาว คนโตทำงานแล้ว ส่วนคนเล็กกำลังเรียนต่อปริญญาโทที่จุฬาฯ ลูกทั้งสองคน แรกๆ เคยพามาลองงานในวงการบันเทิง แต่ไม่ได้เรื่องเลย ขี้อายด้วย (หัวเราะ) คนเล็กเขาจะชอบงานศิลปะ ออกแบบ งานแสดงไม่น่าจะเหมาะ อยู่บ้านทำงานในสิ่งที่ตัวเองรักดีกว่า

บทบาทพ่อในแบบของ เวย์น

ผมเป็นพ่อที่สบายๆ นะ เล่นเหมือนเพื่อนกันกับเขา แล้วเขาก็จะสนิทกับเรามาก คุยกับเราได้ทุกเรื่องแล้วก็ไม่ค่อยดุ เป็นเหตุเป็นผล คือการเลี้ยงลูกเราต้องฟังเขาก่อนอันดับแรกเพราะถ้าดุปุ๊บเขาก็จะไม่เล่าอะไรให้เราฟังเลย

ลูกสาวทั้งคู่ห่วงหวงแค่ไหน

ไม่เลยครับเราเลี้ยงให้เขาฉลาดและรู้ทันทุกอย่าง เพราะเวลาอยู่กับเพื่อนพ่อก็จะคอยบอกคอยแนะนำเขาตลอด ไม่น่าเป็นห่วง รู้ทันโลก รู้ทันสังคม ซึ่งไม่ใช่ว่าจัดเจนนะ คือเขารู้ว่าอันไหนดีหรือไม่ดีจะส่งผลอะไรยัง ไม่ต้องห่วงหรือกังวลแล้ว เขาก็สามารถโตและรับผิดชอบตัวเองได้ในระดับหนึ่งแล้วไม่นอกลู่นอกทาง แต่ก็มีช่วงเหนื่อยหน่อยก็จะเป็นช่วงวัยรุ่นก็ค่อยๆ ตะล่อมเอา ให้เขาเลือกว่าอันไหนชอบจริงๆ ไม่ได้ไปบังคับหรือกำหนดกฎเกณฑ์ให้เขา ผมเลี้ยงลูกเหมือนนกคือให้หัดบินเองแต่เราก็คอยดูอยู่ห่างๆ อยากให้เขาเรียนรู้ด้วยตัวเอง

ธุรกิจเสริมนอกเหนือจากงานแสดง

ก็เคยมีครับ แต่พอเราไม่ได้อยู่ดูจริงๆ จังๆ งานในวงการก็ต้องวิ่งขึ้นวิ่งลง กรุงเทพฯ-โคราช เลี้ยงลูกอีก ก็เหมือนว่ารายได้ที่ได้ไม่คุ้มเสียก็เลย
ไม่ทำ เล่นละครอย่างเดียวแล้วกันผมรู้สึกนะว่ายิ่งเสริมยิ่งเป็นภาระ (หัวเราะ) เมื่อก่อนคนอาจจะมองว่าการแสดงเล่นละครไม่น่าจะเป็นอาชีพที่ยั่งยืนได้ แต่พอมาวันนี้ผมว่าเป็นอาชีพที่ยั่งยืนได้เลยนะ ทีวีก็มีการขยับขยายช่องเพิ่มมากขึ้น เมื่อก่อนละครมีแค่ไม่กี่ช่อง เวลาก็มีไม่กี่ช่วง ตอนนี้ดูสิมีไม่รู้กี่ช่องกี่เวลา มีแต่เพิ่มขยาย คือทำตัวตั้งหลักไว้รอรับงานอย่างเดียวเลยตอนนี้

ไม่มีบ้านในกรุงเทพฯ เลยสักหลัง

ตอนนี้ผมอยู่โคราชถ้ามีงานก็จะขึ้นมากรุงเทพฯ ไม่มีงานก็กลับไปอยู่โคราช บางวันมีถ่ายละครก็นั่งแท็กซี่ไปกอง คือนั่งรถทัวร์มาแล้วก็ต่อแท็กซี่ไปตามกองต่างๆที่เขานัด การนั่งรถทัวร์มาผมว่าสบายมากนะ เราได้นั่งหลับยาว ไปๆ กลับๆ แบบนี้มาโดยตลอด ไม่มีบ้านในกรุงเทพฯ แต่มีอพาร์ทเม้นต์ทิ้งไว้บ้างเผื่อนอนวันไหนต้องถ่ายละครติดต่อกันหลายวัน แต่ถ้าไม่ติดกันถ่ายวันเดียวก็นั่งรถกลับโคราชเลย แล้วก็ไม่เคยคิดจะย้ายบ้านหรือเข้ามาอยู่ในกรุงเทพฯ เลยตั้งแต่เข้าวงการ อย่างที่บอกตอนนั้นที่ประกวดได้รางวัลเสร็จก็ดิ่งกลับโคราชเลย สมัยก่อนอาทิตย์หนึ่งขึ้นมาเดินแฟชั่นเสร็จก็กลับ ไม่เหนื่อยนะสนุก ชินแล้ว

วางแผนชีวิตในอนาคต

เล่นละครไปจนกว่าจะไม่มีแรงเล่น ก็ไม่รู้จะไปทำอะไรแล้วน่ะ (หัวเราะ) เล่นละครนี่แหละจนกว่าจะเดินไม่ไหวคนไม่จ้าง ก็รับงานตามเวลาที่มีไม่ชนกับเรื่องอื่นๆ ไม่รับแน่นจนเอี้ยด ให้ตัวเองมีเวลาว่างอยู่กับครอบครัวด้วย แต่ปีหน้าอายุ 50 ปีแล้ว ว่าจะประกาศเลิกบู๊ครับ เพราะเพิ่งได้รับบาดเจ็บมาหัวไหล่เจ็บยังไม่หายเลย แต่ถามว่าบู๊ยังได้ไหมก็ได้นะ แต่อายุเยอะแล้วความเสี่ยงสูงก็อยากจะเซฟตัวเอง เอาเบาๆอย่างเรื่องแรงตะวัน ก็เพิ่งตกม้ามาก็ไม่ได้ตกแรงนะมีเบาะรองอยู่แต่ตกหลายรอบ ก็จุกเหมือนกัน ถามว่ากลัวเจ็บไหมไม่กลัวหรอกแต่กลัวความผิดพลาด เราอายุเยอะแล้ว เพราะเขาบอกว่าถ้าคนอายุเยอะแล้วถ้าเจ็บมากว่าจะฟื้นตัวก็ต้องใช้เวลานาน ก็ต้องระวังเป็นพิเศษ

หลักการทำงานที่ยึดถือมาโดยตลอด

ตอนนั้นสมัยเป็นเด็กขอพ่อแอ๊ด-สมบัติมาครั้งแรกที่เล่นละครกับแกเรื่อง ทูตมรณะ คือผมเริ่มสนุก อยากอยู่วงการนานๆ แล้วเราก็เห็นผลงานแกมาตลอดตั้งแต่สมบัติ-อรัญญา สมบัติ-เนาวรัตน์ พอเจอแกมาเล่นเป็นพ่อก็เลยถามตามประสาเด็กว่า ผมอยากอยู่วงการนานๆ แบบพ่อมีอะไรแนะนำไหมครับ แกก็ตอบมาคำหนึ่งว่า ตีนติดดินไว้ลูก เราก็งงยังไงว่ะ คือ พออยู่ในวงการบันเทิงพอมีชื่อเสียงก็จะลอย ถ้ายิ่งลอยสูงมากเวลาตกลงมาก็เจ็บมากลูก ถ้าลอยเตี้ยแค่นี้ก็เจ็บแค่นี้ แต่ถ้าตีนติดดินไว้สะดุดหกล้มก็เจ็บแค่นั้น อาจจะไม่เจ็บเลยก็ได้ เจ็บนิดหน่อย เราก็เลยใช้แบบนั้นมาตลอดที่อยู่วงการ คืออย่าลอย

ชวนติดตามผลงานล่าสุด

ตอนนี้ที่ถ่ายอยู่หลายเรื่องครับรวมทั้งซีรี่ส์ Club Friday The Series 8 รักแท้… มีหรือไม่มีจริงตอน รักแท้หรือแค่…แค่รักเก่า แล้วก็มีเรื่อง ปีกทองเล่นเป็นพ่อของ ฌอห์ณ จินดาโชติ ของช่อง GMM25 ก็อยากให้แฟนละครทุกคนสนุกไปกับทุกผลงาน เพราะทุกคนในกองถ่ายไม่ได้ทำกันง่ายๆ ต้องใช้เวลา ปัจจัยกำลังต่างๆ เยอะมาก ก็อยากให้ดูกันด้วยความสนุกสนานมีความสุขกันทุกคนครับ

และนี่คือนักแสดงรุ่นเก่า ที่ยังคงความเก๋าทั้งประสบการณ์และการใช้ชีวิต

Star Retro : ต๊อป-ตรีพล พรมสุวรรณ กับ 3 บทบาทท้าทายชีวิต และเส้นทางรัก 9 ปี

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/entertain/233543

วันอาทิตย์ ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2559, 06.00 น.

ทุกคนต่างมีฝัน และต่างไขว่คว้ามันให้เป็นจริง แต่สำหรับ “ต๊อป-ตรีพล พรมสุวรรณ” หนุ่มคนนี้ไม่เคยมีความฝันเหมือนเด็กทั่วๆ ไป จนเมื่อเติบโตได้เข้ามาเรียนรู้และสัมผัสงานต่างๆ ทำให้เขาค้นพบแล้วว่าเขารักและชอบอะไร ซึ่งมากกว่าฝัน สตาร์เรโทร สัปดาห์นี้ขอนำทุกท่านไปร่วมย้อนวันวานกับหนุ่มมากความสามารถคนนี้กันค่ะ

“งานที่ทำอยู่ตอนนี้คือเป็นดีเจอยู่ที่ FM.One 103.5 ครับ จัดช่วงเวลาทุ่มครึ่งถึงสี่ทุ่ม วันจันทร์ถึงวันศุกร์ มีงานพิธีกร แล้วก็อ่านข่าวครับ เป็นข่าวเช้าที่นิวทีวี ช่อง 18 เวลาหกโมงครึ่ง ถึงแปดโมงครึ่งเช้าอ่านข่าว เย็นก็เป็นดีเจ เป็น 2 งานหลักๆ ที่ทำครับ (เลยทำให้งานแสดงน้อยลง?) มันเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้จัดตารางชีวิตค่อนข้างยาก แต่ไม่ใช่ทั้งหมด เพราะว่าจริงๆ แล้วโอกาสใหม่ๆ ก็ไม่ค่อยมีเท่าไหร่ ต๊อปเองก็ไม่ได้เซ็นสัญญากับช่องไหน เป็นนักแสดงอิสระมาโดยตลอด ทำให้เราไม่ใช่ตัวเลือก 1 หรือ 2 กว่าจะมาถึงเรามันก็ยาก แต่ด้วยความที่เราก็มีงานหลักอยู่ ทำให้เราไปทุ่มกับงานประจำ จริงๆ ยังอยากแสดงอยู่ครับ ละครที่จะได้เล่นมักเป็นค่ายของพี่ๆ ที่รู้จักคุ้นเคยกัน อย่างค่ายของ “พี่อ๊อฟ-พงษ์พัฒน์” “พี่แดง-ธัญญา” คือจะเป็นบทที่เขาเจาะจงว่าคือต๊อป เราเจอกันไปหากันตลอด ถึงไม่ได้เล่นละครของพี่อ๊อฟ-พี่แดงมาประมาณ 2-3 ปีแล้ว ก็มั่นใจว่าไม่ใช่ว่าพี่เขาลืมเรา แต่พี่เขาจะพูดเสมอว่าเมื่อไหร่ที่มีบทที่ใช่ เขาจะนึกถึงเรา”

ก้าวแรกในวงการบันเทิง

เริ่มจากตอนที่เอ็กแซ็กท์มีคัดเลือกนักแสดงหน้าใหม่ เพื่อนร่วมรุ่นก็มี “จั๊กจั่น-อคัมย์ศิริ” “อาร์ต- สัจจากาจ” “แนท-เอวิตรา” คนที่ชนะคือ แนทกับอาร์ตซึ่งต๊อปไม่ได้ติดหนึ่งใน 10 แต่ว่าโชคดีถือว่าเป็นโอกาสในตอนนั้นที่ “พี่ป้อน-นิพนธ์” กับ “พี่บอย-ถกลเกียรติ” สนใจก็เลยบอกว่าไม่เป็นไรมั้งไม่ต้องประกวดก็ได้ (หัวเราะ) ก็เลยให้เราลองมาเล่นละครดู ละครเรื่องแรกที่เล่นเต็มตัวคือ “ร้อยเล่ห์เสน่ห์ร้าย”เวอร์ชั่นของ “พี่อ้อม-พิยดา” “พี่ติ๊ก-เจษฎาภรณ์”ต๊อปรับบทเป็นทนายความ ซึ่งมักจะได้รับบทประมาณนี้คือเป็นหมอ เป็นทนาย การแสดงยอมรับว่ายากมากครับแต่ว่าโชคดีที่เราเรียนรู้การแสดงมาหมดแล้วก็ค่อยๆ ปรับมาเรื่อยๆ เรื่องแรกก็ถือว่าคนดูรู้จักและชื่นชอบได้ร่วมงานกับเอ็กแซ็กท์มาเรื่อยๆ แต่ว่าไม่ได้เซ็นสัญญาครับ แต่ต๊อปก็คิดว่าที่นั่นเป็นที่แรก บ้านแรกในการเข้ามาเป็นนักแสดงเราเกิดจากที่นั่น เล่นละครหลายเรื่องแต่ว่าไม่ได้ต่อเนื่องกัน เพราะระหว่างนั้นก็เป็นดีเจด้วย ที่ 103.5 ตอนแรกยังไม่ใช่ชื่อคลื่นนี้ เขาจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ งานดีเจกับงานละครมาพร้อมๆ กัน ผลงานละครที่ประทับใจคือเรื่อง “เมื่อดอกรักบาน” ซึ่งตอนแรกไม่ได้ถูกวางตัว แต่ด้วยความที่ก่อนหน้านี้เคยเล่นหนัง “Me Myself ขอให้รักจงเจริญ” พี่แดงก็เลยนึกถึงเรา มอบบทนี้ให้เป็นบทร้ายที่สนุกมากแล้วก็เป็นบทที่คนยังจำได้และพูดถึงอยู่

จุดเริ่มต้นการเป็นดีเจ

ก็เป็นโอกาสเหมือนกันครับ คือเขาเห็นจากในละคร แล้วอยากหาดีเจก็เลยให้เราลองมาฝึกมาอัดเสียงดู ผลปรากฏว่าเสียงต๊อปไปในทางดีเจได้ เสียงเป็นเอกลักษณ์ ก็เลยได้เริ่มงานดีเจช่วงเวลาแรกที่จัดคือตีสองถึงตีสี่ ตอนนั้นเรายังเด็กยังแอ๊กทีฟอยู่ก็เลยทำได้ก็คือพอจัดรายการเสร็จถ้ามีถ่ายละครก็ไปต่อได้เลย(2 อย่างทำควบคู่กันไป ?) ชอบทั้งคู่ แต่ว่าเสน่ห์ของแต่ละงานแตกต่างกันมาก ที่ต๊อปยังคิดว่าอยากแสดงอยู่เสมอเพราะว่าบางทีเราอยากเป็นคนอื่น เราได้ปลดปล่อยเราได้ใช้พลังเราได้รู้จักกับคนอื่น เสน่ห์ของการเป็นนักแสดงคือการที่เราได้สวมบทบาทเป็นตัวละครอื่นๆ แล้วทำให้เราโหยหาและอยากแสดงอยู่ พี่อ๊อฟเคยพูดไว้นานแล้วครับว่าคนที่เข้ามาเป็นนักแสดงมันเหมือนกับติดยาเสพติด คือเข้ามาแล้วเลิกไม่ได้ เราก็รู้สึกอย่างนั้น ส่วนงานดีเจเรารู้สึกว่าเราสามารถเป็นตัวเองได้ค่อนข้างมาก ต้องแสดงตัวตนของเราผ่านน้ำเสียง ได้เลือกเพลงเปิดเพลงให้คนฟัง

บุคคลต้นแบบในการเป็นดีเจ

จริงๆ ชอบดีเจหลายคนนะอย่าง “พี่เปิ้ล-หัทยา”ก็ฟังมานานแล้ว และสมัยก่อนก็มีฮอตเวฟ กรีนเวฟ เขาก็เป็นคลื่นที่อยู่ในใจของวัยรุ่นมาโดยตลอดเราก็ฟังและมีพี่ๆ ดีเจรุ่นเก่าๆ เป็นตัวอย่างที่ดีมาโดยตลอด เพียงแต่ในช่วงท้ายๆ ของวงการวิทยุมันอาจจะมีการปรับเปลี่ยนว่าดีเจไม่ได้พูดอะไรมากเปิดเพลงยาวเลยอาจจะลดทอนเสน่ห์เก่าๆ ของดีเจไป เราก็เลยพยายามจะจัดเพลงที่โดนใจคนฟังมากกว่า ต๊อปเริ่มตั้งแต่การพูดสลับเปิดเพลง จนมาถึงพูดนิดนึงเปิดเพลงยาวเริ่มจัดตั้งแต่ใช้ซีดีมาเปิดเพลง แป๊บเดียวเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านเป็นคอมพิวเตอร์ มีคนจัดเพลงคอยเปิดให้ (ง่ายหรือยากกว่าเดิม?) ยากตรงที่บางครั้งเพลงมันถูกบังคับมาแล้ว เราอาจจะตามใจคนได้ไม่ทั่วถึง มันเป็นรายการสดเพราะฉะนั้นเราจะแก้ไขสถานการณ์ยังไงอย่างเช่นตอนนี้ฝนกำลังตกแต่ว่าเราเปิดเพลงแดดออกเราจะพูดยังไงว่าทำไมถึงเป็นเพลงนี้ แต่ด้วยความที่เราทำมานานเราก็จะมีลูกเล่นมีวิธีการพูด คือดีเจมันเป็นชีวิตไปแล้วครับ

กลุ่มเพื่อนดีเจที่สนิท

เราสนิทกันหมดเลยครับ น้องๆ เพื่อนๆที่อยู่ด้วยกันทำงานกันมานานแล้ว ก็มี “ต้อง-สุภัชญา”“ออย-อากรศรี” “ตุ๊กตา-อินทิรา” ก็สนิทกันหมดเลยถึงเราจะจัดกันคนละช่วงเวลา แต่ว่า FM.One มีงานบ่อยมาก พวกเราก็รวมตัวกัน เจอกันตลอด (เมาท์มอยสาวๆ หน่อย?) ก็ดีนะแต่ละคนก็มีแฟนเป็นตัวเป็นตน เราจะเห็นตั้งแต่สมัยยังไม่มีแฟนเป็นสาวโสดกันจนมีแฟน จนเลิก จนมีแฟนใหม่(หัวเราะ) ก็ดีใจกับน้อง ส่วนมากที่คลื่นจะเป็นดีเจผู้หญิงดีเจผู้ชายมีน้อยมากก็มี “แอนดี้”“คิว” “แจ็ค ไรเดอร์” ต๊อปกับตุ๊กตาเป็นดีเจในยุคแรกของFM.One เข้ามาพร้อมๆ กันและอยู่กันมานาน

ไอดอลทางด้านการแสดง

คงเป็นใครไม่ได้นอกจากคุณอ๊อฟ-พงษ์พัฒน์และคุณแดง-ธัญญา เพราะว่านอกจากจะเป็นคนที่ให้โอกาสทางการแสดงในการปลุกความรู้สึกให้เราอยากจะแสดงแล้ว ในทางการแสดงพี่ทั้ง2 ท่านก็เป็นนักแสดงที่ฝีมือเยี่ยมอยู่แล้ว มีโอกาสร่วมงานกับค่ายแอ็คอาร์ตบ่อย รวมทั้งค่ายอื่นๆ ที่หยิบจับเราไปใช้งานบ้างเหมือนกัน

ความฝันในวัยเด็ก

ตอนเด็กไม่เคยรู้ว่าตัวเองอยากเป็นอะไรมันเหมือนกับว่าเป็นเส้นทางที่พอโตแล้วเรียน และในวัยเราเป็นช่วงที่นิเทศศาสตร์กำลังบูม เอนทรานซ์ไม่ติดก็เรียน ม.กรุงเทพ เริ่มรู้จักการแสดงตอนที่เขามีการออดิชั่นเพื่อจะเข้าภาควิชา ว่าเป็นภาควิชาศิลปะการแสดงมันก็แปลกมากน่าสนใจ พอเรียนไปมันกลายเป็นสิ่งที่เรารักซะด้วย แต่มองย้อนกลับไปหลายๆ คนอย่างคุณพ่อคุณแม่หรือว่าญาติพี่น้องที่เห็นเรามาตั้งแต่เด็ก เขาก็มองว่าเราเป็นเด็กที่ชอบแสดงนะ เป็นเด็กขี้อายแต่ชอบแสดงชอบพูดอะไรที่มันเหมือนเป็นการแสดง

อีกหนึ่งงานที่เพิ่งเข้ามาสัมผัสและเริ่มติดใจ

เป็นงานใหม่ที่ได้ลองเมื่อตอนปลายปีที่แล้วครับ เป็นช่วงที่เขาเริ่มมีการเปลี่ยนผ่านของทีวีดิจิตอลที่ทุกช่องจะมีข่าวเช้า ต๊อปก็เข้ามาเพื่อมาอ่านข่าวเช้า เราก็ถือว่าใหม่มากจะได้เรียนรู้จากผู้ใหญ่หลายๆ คน“พี่น้อย-สัตตกมล” เป็น บก.บห.ที่นิวทีวีและพี่น้อยก็เป็นดีเจที่ FM.One ด้วย เราก็เหมือนถูกชักชวนโดยพี่น้อย ถ้าจะถามว่าไปอ่านข่าวได้ยังไงก็ต้องบอกว่าเพราะพี่น้อยเห็นแววว่าน่าสนใจเลยไปเสนอผู้ใหญ่ ถือเป็นโอกาสที่ดีมากแต่ว่าก็เป็นงานที่ยากมาก เราจะเข้าใจมาตลอดว่าการอ่านข่าวมันจะต้องดูเป็นงานเป็นการ แต่สุดท้ายเราก็ค้นพบว่าเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์มันคือข้อมูลข่าวความจริงมันต้องเป็นการเป็นงานละถูกแล้ว แต่ว่าเราก็สามารถใส่ความเป็นตัวตนของเราเข้าไปได้ มันก็จะเพิ่มเสน่ห์ของข่าว เราต้องหาอะไรมาปรับจูนกันระหว่างความเป็นข่าวกับตัวเรา ไม่งั้นมันจะยากทำให้เราเกร็ง ไม่เป็นธรรมชาติ การทำงานจะไม่สนุก รายการสดการอ่านผิดได้มันเป็นปกติ แต่อะไรที่ไม่ควรผิดก็ไม่ควร ถ้าส่วนที่มันผิดได้แล้วเราพูดผิดอย่าตกใจอย่าลน เพราะว่าทุกคนมีสิ่งที่ผิดพลาดได้ก็ขออภัยยิ้ม หรือถ้ามันเป็นช่วงที่ไม่ซีเรียสมากก็หัวเราะได้ด้วยซ้ำ เพราะว่ามันเป็นการเล่าข่าว เราต้องเข้าใจข่าวก่อนแล้วค่อยอ่านส่งผ่านไปให้คนทางบ้านเข้าใจ โชคดีที่ต๊อปได้คู่อ่านที่ดีมากทั้งก่อนหน้านี้ “คุณวันศิริ ศิริวรรณ” ก็สอนอะไรเยอะมาก ตอนนี้เป็น “คุณปวัน สิริอิสสระนันท์” ก็เก่งมากรับส่งกันดี ตอนนี้เรตติ้งถือว่าดีเลยครับคนดูเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เราอาจจะไม่ได้เป็นเบอร์ 1 นะครับ นิวทีวี 18 แต่เราก็มั่นใจในทีมงานที่มีคุณภาพ มั่นใจในเนื้อหาสาระและตัวเราเองก็ในฐานะที่เป็นน้องใหม่ในคนข่าวก็ต้องพัฒนาตัวเองด้วย (คิดว่าเป็นงานที่ยากมาตลอด?) ใช่ครับ และก่อนหน้านี้ก็เคยมีคนชวนให้ไปอ่านข่าวเหมือนกัน แต่คิดว่าด้วยคุณวุฒิและวัยวุฒิเรามันยังไม่ถึง แต่ทุกเรื่องต๊อปว่ามันมีเวลาของมันครับ วันหนึ่งถึงเราจะปฏิเสธมันโดยตลอดว่าไม่อยากทำแต่ถึงวันหนึ่งเราจะรู้ว่าวันนี้เราเหมาะแล้วที่จะเข้าไปทำ เช่นเดียวกันย้อนกลับไปเรื่องละครต๊อปถึงบอกว่า ทำไมตัวเองถึงยังรอคอยโอกาสนี้อยู่เสมอและต๊อปก็เชื่อว่ามันจะต้องถึงเวลาของมันที่เขาจะเห็นว่าเราเหมาะสมกับการเป็นนักแสดงที่เขาต้องการและต้องเลือกเรา (เริ่มติดใจงานข่าว?) ชอบเลยครับ ตอนที่เข้ามาทำ 3 เดือนแรกบอกเลยว่ายากจังเลยมันคงไม่ใช่มั้ง เหนื่อย แต่ถึงทุกวันนี้มันผ่านมาเกินครึ่งปีแล้ว เรามีความคุ้นชินเราก็เริ่มรู้แล้วว่าจริงๆมันจะไปแนวทางไหนและเราก็รักในงานนี้

จากดารานักแสดงดีเจ สู่งานข่าว

โชคดีที่ภาพการเป็นดาราของต๊อปไม่ได้ชัดเจนอะไรมากมาย แต่ว่ามีคนที่เขาคุ้นหน้าและจำเราได้ว่าเคยเล่นละครมาก่อนแล้วมาอ่านข่าว เพราะฉะนั้นการใส่ความเป็นผู้ประกาศเข้าไปมันก็จะค่อนข้างง่ายกว่าคนอื่นๆ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นมันก็ยังติดคำพูดที่เขาอาจจะพูดได้ว่าเป็นดารามาอ่านข่าว หรือว่าเอาหน้าตาหล่อสวยมาอ่านข่าว มันจะต้องมีสิ่งที่เป็นอคติในใจอยู่แล้วเราต้องข้ามตรงนี้ไปให้ได้ ทำยังไงให้เขามองว่า โอเคเราเคยเป็นนักแสดง แต่ว่าเราก็ยังสามารถทำหน้าที่เป็นผู้อ่านข่าวได้ แต่อีกมุมเราก็เกรงว่าพอภาพผู้ประกาศข่าวเราชัด ผู้จัดก็เลยจะไม่หยิบไปเล่นละคร คนเราอาจจะจับปลาหลายมือไม่ได้แต่ว่าถ้ามันเป็นสิ่งที่เรารักและเราชอบต๊อปว่ามันก็ไม่เสียหลายหรอกที่เราจะพยายามทำให้ได้ในทุกบทบาท

ภาพลักษณ์และการวางตัว

ในส่วนตัวต๊อปเองไม่ต้องเปลี่ยนอะไรมากเลยเพราะว่าโดยปกติไม่ได้เป็นคนที่ไปเที่ยวเตร่กินเหล้าสูบบุหรี่ ชีวิตไปทำงานแล้วก็กลับบ้านแต่ว่าภาพลักษณ์เป็นสิ่งสำคัญมากไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นผู้ประกาศข่าว การเข้ามาอยู่ในวงการนี้เป็นแค่ดีเจหรือว่านักแสดงก็มีคนมองเห็นเราแล้ว เรารู้ว่าสิ่งที่เราทำเขาเห็นฉะนั้นจะทำดีเขาก็เห็น ถ้าเราทำไม่ดีก็แสดงว่าเราอยากให้เขามองเห็นสิ่งไม่ดีเหรอ จะไม่เลือกวิธีการทำอะไรก็ได้หรือว่าทำสิ่งที่ไม่ดีเพื่อให้คนมองให้เราดังขึ้นมา (ทำหลายอย่างเหนื่อยไหม?) เหนื่อยครับแต่ว่ายังไหวอยู่ โดยพื้นฐานถ้าเกิดว่าเราทำอะไรด้วยความสุข ซึ่งหลายๆ คน ต้องเคยได้ยินอยู่แล้ว สิ่งที่เรารักและเป็นสิ่งที่เราสุขกับมันไม่ว่าจะเหนื่อยแค่ไหนเราก็ยังไหวอยู่ แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่เราทำในสิ่งที่เราโดนบังคับไม่ได้รักเราจะอยู่กับมันได้ไม่นาน

แบ่งเวลาให้กับคนรักอย่างไร

ก็มีเหมือนเดิมครับ ถ้าเกิดเป็นคนใกล้ชิดคนที่รู้จักก็จะรู้ว่าต๊อปมีคนที่คบอยู่มานานแล้วก็เหมือนเดิมยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ไม่ได้ปิดแต่ก็ไม่ได้เปิด ไปไหนมาไหนด้วยกันตามปกติคบกันมา 9 ปีแล้วครับ อายุเราเท่ากันเป็นเพื่อนกันมาก่อน ถ้าเกิดแต่งได้ก็แต่งครับเมื่อถึงเวลา ผู้ใหญ่ยังไม่ได้เร่งรัดอะไรแต่เขาก็รับรู้ดีครับแฟนต๊อปก็ไม่ได้เร่งรัดด้วยเช่นกัน เพราะว่าเราก็อยู่ด้วยกันทุกวันอยู่แล้ว คือบางเรื่องก็เป็นเรื่องส่วนตัวที่ถ้าเกิดเราทำให้มันเป็นปกติซะไม่ต้องมาปิดเป็นความลับหรือว่าไม่ต้องเปิดซะจนอยากให้คนอื่นเขารู้เนี่ย มันก็จะเป็นเรื่องธรรมดา ทำทุกอย่างให้เป็นเรื่องธรรมดาไม่ได้หลบๆ ซ่อนๆ และไม่ได้ทำตัวอลังการ แล้วทุกอย่างมันก็จะธรรมดาเอง ผู้หญิง-ผู้ชายก็เป็นเรื่องธรรมดาต๊อปมองอย่างนี้ครับ เดี๋ยวสักวันนึงจะชวนเขามาถ้ามีงานอะไรนะครับ (หัวเราะ) แต่ก็ไม่รู้ว่าจะน่าสนใจหรือเปล่าเพราะว่าตัวต๊อปก็ไม่ค่อยมีประเด็นอะไร จริงๆ ต้องขอบคุณที่มาสัมภาษณ์ด้วยครับ

งานแต่งงานในฝัน

คงจะเรียบง่ายมากๆ นะครับและคงจะมีแต่คนในครอบครัว แล้วก็เพื่อนญาติสนิท เพราะรู้สึกว่าชีวิตตัวเองไม่ได้น่าสนใจขนาดนั้นที่ทุกคนต้องมาเยอะแยะมากมาย แต่ใครอยากมาก็มาได้

ยังมีอีกหนึ่งสิ่งที่อยากจะทำในวงการ

ใจจริงตั้งแต่ทำงานมาอยากเป็นผู้กำกับผู้จัดละคร แต่ว่าในขั้นตอนแรกฝันของเรามันยังไม่ถึงเลย ก็คือเป็นนักแสดงที่ทุกคนยอมรับในฝีมือหรือเป็นที่รู้จัก เพราะฉะนั้นเมื่อมีโอกาสสักวันหนึ่งที่คนรู้จักเราชัดเจนมากกว่านี้ รู้ว่าเราเป็นนักแสดงที่จับต้องได้อยากหยิบมาใช้งานหรือว่าเป็นนักแสดงที่มีความสามารถ สักวันเราก็อยากจะเป็นผู้กำกับบ้าง อยากจะมีหนังละครของตัวเองที่ผ่านมุมมองเราเป็นผู้กำกับ เพราะว่าเราก็เรียนมาด้วย ตอบจริงๆ คืออยากเป็นผู้กำกับมากแต่วงการบ้านเรามันก็เปลี่ยนไปเยอะการที่เราจะผันตัวเองจากเบื้องหน้าไปสู่เบื้องหลังเราต้องเป็นเบื้องหน้าที่จับต้องได้ซะก่อน มีคนรู้จักก่อนแล้วมันก็จะช่วยทำให้เราสามารถผันตัวเองไปได้และเป็นที่รู้จักของคนครับ

น้อยคนที่จะได้รับโอกาสดีๆ แบบนี้ และในแต่ละโอกาสที่ได้รับเขาก็ทำมันออกมาได้ดีทีเดียว ไม่แน่ว่าในอนาคตวงการบันเทิงบ้านเราอาจจะมี
ผู้กำกับหนังละครที่ชื่อ “ต๊อป-ตรีพล พรมสุวรรณ” และนี่ก็คือหลากหลายเรื่องราวของหนุ่มคนนี้ที่เราได้รู้จักตัวตนเขามากขึ้น

กุหลาบสีเงิน

Star Retro : กว่าจะเป็น’ออด-จิราวุฒิ กาญจนะผลิน’ทายาท’ครูสมาน’ ผู้สืบสานงานดนตรีทรงคุณค่า ระดับแถวหน้าของเมืองไทย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/entertain/232492

วันอาทิตย์ ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2559, 06.00 น.

ถ้าพูดถึงวงดนตรีสากลวงใหญ่ในเมืองไทย แน่นอนว่า “วงกาญจนะผลิน” เป็นหนึ่งในวงดนตรีที่หลายคนรู้จักกันดี โดยมี ออด-จิราวุฒิ กาญจนะผลินทายาทผู้สืบทอดผลงานดนตรีของ ครูสมาน กาญจนะผลินทำหน้าที่ควบคุมวงในปัจจุบัน ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาดนตรีคือสิ่งที่หล่อหลอมให้เขาเป็นศิลปินได้อย่างน่าชื่นชม สัปดาห์นี้ สตาร์เรโทร จึงขอนำแง่คิดการทำงาน และมุมมองดีๆ ของศิลปินท่านนี้ มาฝากเยาวชนรุ่นหลังให้ได้ทราบและติดตามผลงาน

วันวานเมื่อครั้งยังเยาว์วัย

ผมอยู่ในวงการเพลงมาตั้งแต่เกิด ได้ยินเสียงเพลงมาตั้งแต่เล็กๆ รู้จักเพลงเหล่านี้มาตลอด ทำให้ผมได้ซึมซับ ที่สำคัญผมมีความรักในเพลงเหล่านี้ และมีความพยายามในการที่จะศึกษา คุณพ่อ (สมาน กาญจนะผลิน) ไม่ได้ยัดเยียดให้นะครับ แต่เราชอบเอง(เครื่องดนตรีชิ้นแรกที่จับ?) เปียโนครับ ตอนนั้นคุณพ่อให้ไปเรียนเปียโนที่โรงเรียนสายสมร และมาเข้าวาทศิลป์ ก็มาเล่นทรัมเป็ต จับเปียโนตั้งแต่อายุ 5-6 ขวบแต่ที่มาเริ่มเล่นดนตรีจริงๆ ก็คือ ทรัมเป็ต ซึ่งนอกจากเครื่องดนตรีเหล่านี้ ก็มีเล่นแอคคอร์เดียนด้วยครับแต่ผมจะไม่ได้อยู่ในส่วนของการร้องเลย

เรียนไปด้วยเล่นดนตรีไปด้วย

ผมเรียนจบเอกสากล ที่วิทยาลัยครูจันทรเกษม และเรียนทางด้านเรียบเรียงเสียงประสานเฉพาะทางต่อ คือส่วนมากสมัยก่อนจะเป็นเรื่องของการครูพักลักจำบ้าง เกิดจากการฟังศิลปินของต่างประเทศด้วยฟังศิลปินที่มีชื่อเสียงไม่ว่าจะเป็นทั้งของไทยหรือว่าต่างชาติ เราก็ได้ศึกษาทั้งการทำงานและการปฏิบัติ การทำเพลง การเป็นนักแต่งเพลง ได้เรียนรู้ในหลายๆ ด้านครับ

งานประจำที่เคยทำ

ครั้งแรกผมทำงานที่โรงงานยาสูบก่อน ซึ่งที่นี่ก็จะมีวงดนตรีของโรงงานยาสูบ ครูสมานเป็นหัวหน้าวงดนตรี หลังจากนั้นก็มาทำที่ธนาคารออมสิน อยู่ฝ่ายประชาสัมพันธ์เกือบ 20 ปี คืองานที่เราทำส่วนมากก็จะไม่ทิ้งงานด้านดนตรี จะเกี่ยวข้องกันไป-มาอยู่ในสายนี้มาโดยตลอด และหลังจากครูสมานเสีย ผมก็เออร์รี่จากธนาคารออมสิน เพื่อมาดูแลวงดนตรี

จุดเริ่มต้นของการคุมวงดนตรี

เริ่มตั้งแต่ที่ครูสมานเสียชีวิตครับ ท่านเสียเมื่อปี 2538 ผมก็เริ่มทำวงช่วงปลายๆ ปี 2539วงกาญจนะผลิน ก่อนหน้านั้นผมก็เห็นการทำงานกับท่านมาตลอด คือคุณพ่อมีวงดนตรีตั้งแต่ปี 2489เราก็มีโอกาสได้ร่วมงานได้เล่นดนตรีกับท่าน

สิ่งเตือนใจจากคุณพ่อที่ไม่มีวันลืม

ท่านเป็นคนที่มีความซื่อสัตย์ ขยัน ตั้งใจ ในการทำงาน ท่านบอกว่าเพลงทุกเพลงที่ท่านแต่งมีวิญญาณทุกเพลง เพราะว่าท่านสร้างงานมาจากจิตวิญญาณทำให้ทุกเพลงมีความเป็นอมตะอยู่ถึงทุกวันนี้

วงดนตรีที่รวบรวมสุดยอดนักดนตรีฝีมือดีไว้มากมาย

การเลือกนักดนตรีเป็นเรื่องสำคัญมากคนที่มาร่วมงานด้วยก็เป็นนักดนตรีที่มีฝีมือสุดยอดในวงการเพลง แต่ละคนทำงานมาร่วม 20 ปี ประสบการณ์นานมาก ตอนนี้วงเรามีประมาณ 20 กว่าคน ทุกคนมีความสามารถสูง งานก็มีให้อย่างต่อเนื่อง ทั้งเป็นงานที่เขาจ้างเราไปแสดง งานทั่วๆ ไป งานคอนเสิร์ตงานอีเว้นท์ คือเราไม่ได้เล่นเฉพาะเพลงลูกกรุงนะครับเราเล่นหลากหลายแนว ทั้งสตริง สากล แต่คนส่วนใหญ่จะคิดว่าวงเราจะเล่นแต่เพลงลูกกรุง ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ใช่นะเราเล่นได้หลากหลาย ทั้งเพลงไทย เพลงสากลสตริง บางคนอาจจะไม่รู้ว่ามีวงดนตรีแบบนี้ด้วย ซึ่งปัจจุบันก็มีอยู่หลายวง เช่น วงเฉลิมราชย์ วงสุนทราภรณ์เป็นวงที่คนรู้จักกันดีครับ

อีกหนึ่งผลงานที่ภาคภูมิใจ

มีโอกาสได้แต่งทำนองร่วมกับศิลปินแห่งชาติ 8 ท่าน ใน เพลงพ่อแห่งแผ่นดิน เพลงแม่แห่งแผ่นดินและเพลงอัคราภิรักษ์ ที่แต่งถวายสมเด็จพระราชินีถือเป็นเพลงที่แต่งแล้วผมภาคภูมิใจที่สุด เพราะคุณพ่อท่านก็ถือว่าเป็นผู้ที่แต่งเพลงเกียรติยศ อย่างเช่นเพลงสดุดีมหาราชา โดยครูสมานร่วมแต่งกับครูชาลีส่วนเพลงที่เกี่ยวกับศาสนาท่านก็แต่ง เพลงพระรัตนตรัยซึ่งเป็นเพลงสัญลักษณ์ของพุทธศาสนา

รวมถึงเพลงรักร่วมสมัย

มีแต่งบ้างครับ แต่ยุคสมัยเปลี่ยนไป เพลงในยุคนี้ค่อนข้างจะแตกต่างจากแต่ก่อน ส่วนใหญ่ผมจะแต่งให้ลูกสาวร้อง แต่ไม่มากมายอะไร อย่างเพลงที่รัก ผมก็นำมาทำเป็นเพลงคู่ แต่งเป็นเนื้อโต้ตอบกัน ให้คุณสุเทพและคุณขวัญรวีขับร้อง ซึ่งก็ได้รับความนิยมในหมู่คนฟังเพลงนะ หรืออย่างเพลงที่รักน้องคอย ก็ถือเป็นอีกหนึ่งผลงานที่เราได้สืบสานในสิ่งที่เรารักเราชอบเช่นเดียวกัน

แรงบันดาลใจในการแต่งเพลง

ถือว่าเป็นการทำงานร่วมกันทั้งผู้แต่งคำร้องผู้แต่งทำนอง มานั่งคุยกันว่าอยากให้เป็นไปในทิศทางไหนอันนี้หมายถึงเพลงที่เกี่ยวกับสถาบันนะครับ แต่ถ้าเป็นเพลงรักหรือว่าเพลงอื่นๆ ผมจะไม่ค่อยได้แต่ง เพราะว่าหนึ่งคือยุคสมัยนี้ไม่เหมือนสมัยก่อน สมัยนี้ศิลปินเยอะมาก ค่ายเพลงสังกัดและวิวัฒนาการรูปแบบของเพลงก็เปลี่ยนไปด้วย

ครอบครัวนักดนตรี

ผมมีครอบครัวตอนอายุยี่สิบกว่าๆ มีลูกสาว2 คน คนโตเป็นนักร้องชื่อ ขวัญรวี กาญจนะผลิน ออกอัลบั้มเพลง ร้องคู่กับคุณสุเทพ วงศ์กำแหงส่วนลูกสาวคนเล็ก ดวงนภา กาญจนะผลิน ก็มาช่วยดูแลเรื่องเพลงให้ผม เป็นผู้จัดการส่วนตัวผม (หัวเราะ) ด้านภรรยา (คุณสุภาพ กาญจนะผลิน) ก็มาช่วยดูแลวงเป็นแม่บ้าน เรียกว่าเป็นครอบครัวดนตรี ลูกๆก็เหมือนเป็นลูกไม้หล่นใต้ต้น เพราะผมไม่ได้บังคับเขาว่าจะต้องมาด้านนี้หรืออะไร แต่เขาชอบและสานต่อกันเอง เขาเลือกที่จะเรียน เลือกที่จะทำของเขาเองก็ดีใจครับ

สุขภาพร่างกายที่ต้องดูแล

เป็นไปตามวัยนะครับ ก็มีแพทย์ที่โรงพยาบาลพระมงกุฎฯดูแลอยู่ตลอด แต่ผมจะมีปัญหาที่ขาคือผ่าตัดมา เนื่องจากติดเชื้อที่เท้า ก็เลยจะทำให้มีปัญหาบ้างนิดหน่อยเวลาที่ยืนนานๆ แต่ก็ยังสู้ไหวครับ คือบางทียืนตั้งแต่สิบโมงเช้าจนถึงทุ่ม ตอนทำงานเรายืนเราไม่รู้สึกหรอกว่าเราเมื่อยล้า แต่พอเสร็จงานเท่านั้นแหละรู้เรื่องเลย (หัวเราะ)

ความภาคภูมิใจฐานะทายาทครูสมาน

ถือว่าเป็นความโชคดีของผมด้วยที่ได้เกิดมาในสกุล กาญจนะผลิน เราต้องตอบแทนในสิ่งที่ครูสมานคุณพ่อได้สร้างไว้ให้ สิ่งเหล่านี้ยังอยู่คู่กับแผ่นดิน อยู่คู่กับวงการเพลงไปอีกยาวนานเลย ทั้งในปัจจุบันแล้วก็อนาคต ผมว่าเพลงเหล่านี้ไม่เลือนหายไปจากคนฟังหรอกถึงจะเป็นเพลงเก่าแต่ก็จะมีคนหยิบยกขึ้นมาแล้วแต่งตัวใหม่ก็เหมือนเพลงใหม่ อย่างหลายๆ เพลงที่เป็นเพลงเก่าเอามาใส่ในละคร เอามาทำเป็นโฆษณา ดีไซน์ให้เพลงมีความร่วมสมัยขึ้น รูปแบบก็เปลี่ยนไปแต่ก็ไม่เสียอรรถรสของเพลงลูกกรุงเพลงเก่า ไพเราะไปอีกแบบ

จัดคอนเสิร์ต “เชิดชูครูเพลง”

ปกติเราก็จะมีคอนเสิร์ตเพื่อครูสมานบ่อยอยู่แล้วเนื่องจากว่าครูสมานมีเพลงมากมายกว่า 3,000 เพลงมีทุกแนวเพลง เราก็ทำในหลากหลายรูปแบบ เพลงคู่ก็มีเพลงจากภาพยนตร์ก็มี ครั้งนี้เราอยากให้เป็นลักษณะการเชิดชูครูเพลง สืบสานและอนุรักษ์เพลง ไม่ได้หวังในผลกำไรแต่อย่างใด ฉะนั้นหลายๆ เพลงที่เรานำมาก็เป็นเพลงที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องจากอดีตมาจนถึงปัจจุบัน เราไม่อยากให้เพลงเหล่านั้นสูญหายไปอยากให้มีการสืบทอดต่อโดยศิลปินที่เป็นต้นฉบับและศิลปินที่เราเชิญมา แต่ละคนที่มาร่วมร้องมีที่มาที่ไปทุกคนครับ ซึ่งผมเป็นคนเลือกศิลปินเองทั้งหมดยกตัวอย่างคอนเสิร์ตในปีนี้ก็จะมี คุณตู้ ดิเรก มาร่วมร้องด้วยคาแร็กเตอร์เขาจะเหมาะกับเพลงของ คุณมีศักดิ์ นาครัตน์ซึ่งเพลงเขาเป็นแนวสนุกสนาน คุณตู้ก็ทำได้ดีเพลงหัวใจขายขาด ซึ่ง คุณทนงศักดิ์ ภักดีเทวาขับร้อง คุณตู้ก็มาเป็นตัวแทนเพลงนี้ด้วย ส่วน คุณกบ-ทรงสิทธิ์ เขาเป็นคนที่เคยนำเพลงของครูสมานไปถ่ายทอดในตอนที่เขาเล่นเป็นพระเอกเรื่อง เงิน เงิน เงินก็เลยได้ให้เขามาช่วยร้องด้วยครับ

ความพิเศษบนเวทีในปีนี้

ทุกคนยินดีมาร่วมหมดเลยครับ เพราะว่าครูสมานท่านเป็นที่รักของคนในวงการเพลง ศิลปินแห่งชาติที่เป็นต้นฉบับมาครบทุกคนครับ คุณสุเทพคุณชรินทร์ คุณรวงทอง คุณสวลี คุณชินกร ครูชาลีฯลฯ คอนเสิร์ตเล่นใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมงเราอยากให้คนฟัง คนดู ได้อิ่มเอมไปทั้งเสียงเพลงและดนตรี ดังนั้นในวันคอนเสิร์ตผมก็จะทำหน้าที่ควบคุมวงให้ดีที่สุดครับอยากให้ทุกคนได้มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในคอนเสิร์ตครั้งนี้นะ เพราะเป็นการรวมตัวของศิลปินแห่งชาติ และนักร้องดาวค้างฟ้าระดับแถวหน้าของเมืองไทยไว้อย่างมากมาย ต่างคนพร้อมใจกันมาขับกล่อมบทเพลงสุดไพเราะเพื่อรำลึกถึงครูเพลงที่ทรงคุณค่าอย่าง “ครูสมานกาญจนะผลิน” กับคอนเสิร์ต “เชิดชูครูเพลง” ซึ่งจะจัดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 4 กันยายน ที่จะถึงนี้ ณ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย รับรองไม่ผิดหวังแน่นอนครับ

วิธีอนุรักษ์วงดนตรีของครูสามาน

มีความตั้งใจในการทำงาน แล้วก็มีความจริงใจทุ่มเทในการทำงาน ยิ่งเป็นงานเพื่อสังคมเพื่อสาธารณประโยชน์ที่เกี่ยวกับงานการกุศลอย่างเช่นงานนี้ เราก็จะทำเต็มที่ทุกงานครับ แล้วผลที่ได้มันเป็นสิ่งที่มองไม่เห็น คือสิ่งที่เราให้กลับยิ่งได้คืนมา สิ่งนี้เป็นความจริงที่เราต้องยอมรับ คนเราบางครั้งการให้มันสำคัญที่สุด ให้กับสังคม กับส่วนรวม ให้กับครอบครัว ให้กับเพื่อนร่วมวงการ

แง่คิดสำหรับศิลปินรุ่นใหม่ที่ต้องการจะเข้ามาสืบทอดงานนี้

ผมว่าต้องมีใจรักแล้วก็มีความซื่อสัตย์ทางวิชาชีพ ต้องมีความตั้งใจจริง การที่จะเป็นศิลปินต้องเกิดขึ้นจากประสบการณ์ เกิดจากความสามารถและพรสวรรค์ ที่ต้องมีครบถ้วน และอีกหนึ่งสิ่งก็คือโอกาสที่ค่อนข้างจะหายาก ฉะนั้นผมอยากให้ทุกคนมีความตั้งใจ อย่าไปทอดทิ้ง อย่าท้อแท้และอย่าท้อถอยถ้าตั้งใจจะเข้ามาในวงการเพลงต้องมีความมุ่งมั่นและศึกษาหาความรู้อย่างสม่ำเสมอ ต้องเปิดกว้าง และที่สำคัญคือการเรียนรู้ เปิดกว้างในการฟัง ศึกษาแนวเพลงแต่ละเพลง เพื่อที่เราจะได้เป็นที่ยอมรับ คนฟังชื่นชอบและชื่นชมในผลงานเพลงของเรา

คลื่นลูกใหม่ได้ยินอย่างนี้แล้ว อย่าลืมหมั่นฝึกฝน ค้นคว้าวิชาหาความรู้ด้านเพลงให้ชำนาญรอบด้านด้วยนะจ๊ะ เพราะขนาดครูออดเองถึงแม้จะคว่ำหวอดและคลุกคลีอยู่ในวงการเพลงมาอย่างยาวนานยังไม่หยุดที่จะเรียนรู้และเปิดใจรับวิวัฒนาการใหม่ๆ เพื่อมาปรับใช้ให้ทันยุคทันสมัย แถมยังคงกลิ่นอายเพลงลูกกรุงไว้ครบถ้วนชวนแฟนเพลงได้หลงใหลเช่นเดิม

ใบพร้าว

Star Retro : วันนี้ของ ‘วิระ บำรุงศรี’

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/entertain/231369

วันอาทิตย์ ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2559, 06.00 น.

ปลายฟ้า (ปลายฟ้า…) แค่หลับตาลงคงพบกัน โอบกอดดวงใจสายสัมพันธ์ ท่ามกลางความฝันของเรา ดาวน้อย (ดาวน้อย…) โปรดลอยมาลงตรงหัวใจ เก็บเกี่ยวความคิดถึงฉันไป ให้เธอที่ปลายฟ้าไกล…เพลงดังในอดีตที่ยังอยู่ในใจหลายๆ คน ขับกล่อมผ่านเสียงอันไพเราะโดย “วิระ บำรุงศรี” อดีตนักร้องชื่อดังจากวงมะลิลา บราซิลเลี่ยน และวงเยื่อไม้ “สตาร์เรโทร” สัปดาห์นี้ขอพาทุกท่านไปร่วมพูดคุยกับ พ.ต.ท.ดร.วิระ บำรุงศรี และร่วมย้อนวันวานสุดแสนประทับใจไปด้วยกันค่ะ

ปัจจุบันรับราชการตำรวจ ยศพันตำรวจโท ตำแหน่ง สารวัตร (ปฏิบัติงานกอ.รมน.) สำนักงานกำลังพล สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ช่วยราชการมูลนิธิมิราเคิล ออฟไลฟ์ในทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ถวายงานในภารกิจต่างๆ ของมูลนิธิฯ เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากทุกข์ภัยต่างๆ รวมไปถึงสัตว์ต่างๆ และในวันที่ 30 สิงหาคมนี้ ก็จะเดินทางไปที่อำเภอแม่วงก์ จังหวัดนครสวรรค์ ไปแจกถุงยังชีพ ในส่วนของการร้องเพลงก็ยังคงร้องอยู่เรื่อยๆ ร้องทั้งในหน่วยงานที่เราปฏิบัติหน้าที่อยู่ และรับงานจ้างส่วนตัวก็ยังมี รวมทั้งตามงานคอนเสิร์ตในวาระต่างๆ ซึ่งล่าสุดก็ได้มาเป็นแขกรับเชิญในงานคอนเสิร์ต “มิตรสมาน” โดยครูสมาน กาญจนะผลินผมร้อง 2 เพลง เพลงบุเรงนองลั่นกลองรบ และคุณจะงอนมากไปแล้ว ก็เป็นการกลับมาเจอพี่ๆ น้องๆ ศิลปินมากมาย รับรองว่างานคอนเสิร์ตในวันนั้นทุกท่านจะอิ่มเอมไปกับบทเพลงอันไพเราะ ที่เป็นอมตะและอยู่ในใจของใครหลายๆ คน

อยู่กับธรรมชาติด้วยความสุข

ทางด้านสุขภาพร่างกายก็ยังแข็งแรงดีครับออกกำลังกายบ้างแต่ก็ไม่ได้หักโหมมาก ว่างๆหรือว่าช่วงวันหยุดผมมักจะกลับบ้านที่นครสวรรค์ไปสูดอากาศบริสุทธิ์ บ้านเราก็อยู่กันครอบครัวใหญ่มีพี่น้องอยู่ด้วยและทำสวนเกษตรสวนผลไม้ ตอนนี้ก็ปลูกมะม่วง มะนาว สับปะรด มันเป็นอาชีพดั้งเดิมที่พ่อแม่เราทำมา เราก็เห็นมาตั้งแต่เด็กก็เลยสืบต่อกันมาเรื่อยๆ ผมก็มองว่าท้ายสุดแล้วคนเราก็ต้องไปอยู่แบบนั้นแหละ ถ้าเราปลดเกษียณจากหน้าที่การงานก็คงจะต้องไปอยู่ตรงนั้น ไม่ใช่เฉพาะผมหรอก ผมว่าหลายๆ คนที่มีบ้านเกิดอยู่ต่างจังหวัด พอได้เข้ามาทำงานในกรุงเทพฯพอเกษียณแล้วหรือว่าเบื่อแล้วก็ต้องกลับไปอยู่บ้านทั้งนั้น ไม่งั้นวันหยุดคนเขาจะไปเที่ยวป่าเที่ยวเขากันทำไม อย่างเขาค้อ หรือว่าตามอุทยาน รีสอร์ทต่างๆ คนเขาก็ไปกันแน่น ซึ่งมันก็หมายความว่าคนอยากจะเข้าถึงธรรมชาติมากขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ผมก็ว่าจะปลูกอินทผาลัม อีกหลายร้อยต้น เพราะว่าตอนนี้ที่ดินเราก็ยังพอมีว่างอีก

ย้อนวันวานจุดเริ่มต้นของการขับขานบทเพลง

ตั้งแต่เด็กเลยครับ ตอนเด็กก็เริ่มฟังวิทยุทรานซิสเตอร์ ซึ่งเป็นคลื่นเอเอ็ม เพลงส่วนใหญ่ที่เขาเปิดก็จะเป็นเพลงลูกทุ่ง แต่ถ้าเพลงลูกกรุงจะได้ฟังที่โรงเรียน ตอนก่อนเข้าแถวที่ครูจะเปิดตอนเช้าเป็นเสียงตามสาย ก็จะมีเพลงของสุนทราภรณ์ เพลงของอาจารย์สุเทพ อาจารย์ชรินทร์ คุณธานินทร์ ที่เขาเปิดสลับกันไป ซึ่งตอนแรกเราก็รู้สึกเฉยๆ ด้วยความที่เป็นเด็กครับ เขาเปิดให้ฟังก็ฟังไปเราจะหลบไปไหนได้แล้วนานๆ เข้าเราก็ร้องตามได้เอง ทำนองมันคุ้นเนื้อร้องก็ตามมาเลยกลายเป็นว่าเราร้องเพลงได้โดยปริยาย พอรู้ว่าตัวเองร้องเพลงได้เยอะคือที่เขาเปิดมาเราร้องตามได้หมดเลย ตอนนั้นอยู่ประมาณชั้น ป.5 และเคยหนีพ่อแม่ไปประกวดร้องเพลงตามงานวัดเหมือนกัน (หัวเราะ) แต่ว่าก็ไม่ได้รางวัลอะไร ที่ต้องแอบไปเพราะว่ากลัวพ่อแม่จะว่าเอา พอไปประกวดหลายครั้งเข้าแล้วเราก็ยังไม่ชนะอีก เราก็กลับมาดูตัวเองมาพิจารณาดูว่าเราก็ร้องตามนั้นนะทำไมเราถึงยังไม่ได้อีก ก็เลยมาลองฟังใหม่ ทำให้เราเริ่มเรียนรู้ด้วยตัวเองปรับจูนคีย์อะไรตามเขาหมดไม่ได้ไปร่ำเรียนการร้องเพลงมาจากไหนเลย แต่ว่าคุณพ่อเป็นครูสอนดนตรีไทย เราก็เลยจะได้ตรงนี้มาด้วย ซอ ขลุ่ย ขิม ผมก็จะถนัดเล่นตามแบบคุณพ่อเหมือนเป็นความเคยชินในชีวิตประจำวันเลยทำให้เราซึมซับมา และได้ร้องเพลงให้กับที่โรงเรียน ซึ่งพ่อผมเป็นครูสอนดนตรีไทยที่โรงเรียนพยุหะศึกษาคาร จังหวัดนครสวรรค์ แล้วเขาก็มีวงอังกะลุง เราก็ได้ไปร่วมเล่นและเป็นนักร้องประจำวง คือคุณพ่อก็สนับสนุนให้เล่นดนตรีและให้ร้องเพลงตามที่เราชอบ และพ่อก็สอนผมด้วย ก็เรียกว่าสามารถร้องเพลงและเล่นดนตรีไทยได้ตั้งแต่เด็กๆ แล้วครับ พอจบมัธยมก็ไปสอบชิงทุนของสาธารณสุขจังหวัดนครสวรรค์ ก็สอบได้เลยไปเรียนวิทยาลัยสาธารณสุขศิรินธร ที่จังหวัดพิษณุโลกอยู่ 2 ปี อยู่ที่นั่นก็มีวงดนตรีอยู่แล้ว เราก็ได้เข้าไปเป็นนักร้องนำในวงเขาอีก

รางวัลแรกในการประกวด

จากรายการ คอนเสิร์ต คอนเทสต์ ของบริษัทเจเอสแอล ออกอากาศทางช่อง 5 ในตอนนั้นถือเป็นรายการประกวดร้องเพลงระดับต้นๆ ของบ้านเราเลยคนดูทั้งประเทศ ถ้าเทียบกับสมัยนี้ก็เหมือน AF (มุ่งมั่นที่จะคว้าตำแหน่งจากเวทีนี้) จะมาเอาตังค์ เพราะว่ารายการนี้มีรางวัลเยอะมากเราดูเราก็อยากมา โดยในครั้งแรกเราได้รางวัลที่ 2 ตอนนั้นร้องเพลงบัวลอย ของวงคาราบาว ซึ่งก็ได้เงินรางวัลประมาณสามหรือสี่หมื่นบาทนี่แหละ นอกจากนี้ก็ยังมีของรางวัลที่เป็นนาฬิกา ตั๋วเครื่องบิน ตั๋วเรือสำราญ เครื่องเสียงหลังจากนั้นอีก 3 เดือนเราก็มาประกวดใหม่ ก็ชนะเลิศเป็นแชมป์ประจำสัปดาห์ จากการร้องเพลง มิดะ ของจรัญ มโนเพ็ชร ตอนนั้นอายุประมาณ 23-24 นับว่าเวทีนี้ถือเป็นการแจ้งเกิดให้กับผม

แนวเพลงที่ถนัด

ลูกทุ่ง ลูกกรุง สตริงก็ร้องได้นะยุคนั้นก็จะเป็นอ๊อด คีรีบูน อ๊อด บรั่นดี ร้องได้หลายแนวเพราะว่าเราฟังมาเยอะ แต่ถามว่าร้องดีทุกแนวไหมผมว่ามันไม่ใช่คำตอบ บางแนวมันก็ไม่เข้ากับเราแต่ก็ดันไปร้องได้แต่ถ้าจะเอาเป็นเรื่องเป็นราวก็คือลูกกรุงที่เหมาะสำหรับผมที่สุด แนวอื่นจะเป็นการร้องแบบสนุกๆ มากกว่า

จุดกำเนิดของวงเยื่อไม้

หลังจากที่ประกวดคอนเสิร์ต คอนเทสต์ ทางบริษัทคีตาก็ให้ผมมาเทสเสียง เขาเห็นเราจากเวทีนี้ก็จะออกอัลบั้มในนามวงเยื่อไม้ กับคุณอรวี สัจจานนท์ ก็จะมีทั้งร้องเดี่ยวร้องคู่บ้าง แล้วแต่เพราะว่าเขาจะคัดเพลงให้ เป็นเพลงของสุนทราภรณ์ ชุดแรกก็ประสบความสำเร็จเลย แจ้งเกิดคู่กัน ออกอัลบั้มอยู่10 ชุด ปีนึงออกเทปประมาณ 3-4 ชุด เอาเพลงเก่าของสุนทราภรณ์และครูสมานมาร้องเยอะเหมือนกันอย่างเพลงเรือนแพก็เป็นเพลงของครูสมานกับครูชาลีที่เป็นผู้ประพันธ์ แต่ตอนแรกที่เทปออกไป คนฟังจะยังไม่รู้จักเรานะครับ รู้จักแต่ชื่อวง เนื่องจากว่าหน้าปกเทปมันเป็นภาพวาด ก็คงจะเป็นเพราะความตั้งใจของเขาที่จะให้เป็นอย่างนั้น หรือว่าเขาอาจจะคิดว่าไม่น่าจะดังอย่าเพิ่งเอารูปตัวจริงออกเลยให้เอารูปวาดลงไปก่อน (หัวเราะ) หรือมันจะเป็นเทคนิคของเขาอะไรบางอย่างให้คนค้นหากันว่าหน้าตานักร้องเป็นยังไง มันก็สามารถมองแบบนั้นได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องยอมรับว่าบริษัทคีตามีบุญคุณกับผมมาก คนที่ตั้งชื่อวงเยื่อไม้ก็คือ พี่จิก-ประภาส ชลศรานนท์ และขอบคุณอีกหลายท่านไม่ว่าจะเป็น คุณสมพงษ์ วรรณภิญโญ ปัจจุบันเป็นเจ้าของทีวีธันเดอร์ ส่วนเจเอสแอลก็มี คุณต้น-ลาวัลย์ กันชาติ คุณจำนรรค์ ศิริตัน ที่ให้โอกาสผมตอนประกวดร้องเพลงซึ่งเจเอสแอลกับคีตาเหมือนว่าร่วมกัน พอเราประกวดร้องเพลงชนะเลิศจากเวทีทองเจเอสแอลเราก็เลยได้มาออกเทปกับทางคีตา เจเอสแอลเป็นคนคัดนักร้อง คีตาเป็นคนปั้น บุคคลเหล่านี้แหละครับที่เป็นผู้ผลักดันและให้การสนับสนุนผมมา จนได้เป็นนักร้องที่ทุกคนรู้จัก พออัลบั้มชุดที่ 2 เขาก็ให้เห็นหน้าแล้วครับปกเทปก็จะมีรูปเราแล้วล่ะ แต่จริงๆ ก่อนหน้านั้นคนก็เริ่มเห็นแล้วเพราะว่ามีการถ่ายมิวสิกวีดีโอ สื่อมวนชลมาขอสัมภาษณ์

ผู้จุดกระแสเพลงเก่า

ตื่นเต้นมากเลยครับ เวลาขึ้นคอนเสิร์ตแฟนๆ ก็ตามไปดูไปให้กำลังใจเยอะมาก เทปเราขายได้ถึงล้านตลับด้วยครับ แต่ว่ามันก็ไม่มีความคงทนนะ คือตอนหลังก็มีคู่แข่งมากขึ้นมีนักร้องที่ออกเทปมาแนวเพลงเดียวกับเรา เขาก็ออกกันมาเต็มบ้านเต็มเมืองเลย มันก็เลยไม่แปลกแล้ว ก็กลายเป็นว่าไปแชร์ตลาดกันกับนักร้องคนอื่นๆ สำหรับวงเยื่อไม้เนี่ยมีคนเคยพูดว่า “เยื่อไม้เป็นคนจุดกระแสเพลงเก่าให้กลับคืนมา” เพราะว่าเพลงเก่ามันใกล้ตายแล้วคนเริ่มฟังเฉพาะคนอายุเยอะ เป็นเพลงที่คนจะมองว่าใครฟังแล้วเชย แต่พอเยื่อไม้เอามาร้องตอนนั้นวัยเราคืออายุ 25 มันก็เลยทำให้เด็กๆ วัยรุ่นหันมาสนใจ เขามองว่าเป็นเรื่องที่ดีและแปลกที่วัยรุ่นจะมาร้องเพลงแนวนี้ พอมันมีกระแสและมันดังทุกคนก็อยากฟัง และทำให้เพลงลูกกรุงที่กำลังจะตายฟื้นมาอีก หลายบริษัทก็เลยแห่กันมาทำ เยื่อไม้ก็เลยมีอันต้องเลิกไปคุณอรวีก็ไปอยู่อีกค่ายนึง แต่ว่าผมยังอยู่ที่คีตา เหมือนเดิม แต่ว่ามาอยู่วงใหม่ในนามมะลิลา บลาซิลเลี่ยน

จากลูกกรุงสู่แนวป๊อปลาตินบราซิลเลี่ยน

ก็จะมีการปรับเปลี่ยนบ้างนิดหน่อย ซึ่งจะมีโปรดิวเซอร์เป็นคนบอก นักแต่งเพลงเขาก็จะบอกว่าให้ร้องแบบนี้ๆ การรวมตัวกันครั้งนั้นเราไม่ได้รู้จักกันมาก่อนเลย บางคีตาเขาก็จับให้มาร่วมวงกัน และมีหลายเพลงที่เป็นที่โด่งดัง อย่างเช่นเพลงปลายฟ้า ที่ผมร้องเอง ไม่อ้วนเอาเท่าไหร่ คุณเปิ้ลเป็นคนร้อง ฟองสบู่แอน อังคณาร้อง วงมะลิลา บราซิลเลี่ยน เป็นวงที่มีสีสันและแปลกหูแปลกตามากในตอนนั้น เรามีเล่นดนตรีกันด้วยแต่ว่าก็เล่นหลอกๆ จะมีวงแบ็คอัพอยู่ข้างหลังเราเล่นดนตรีเหมือนเป็นการเล่นให้เข้ากับจังหวะเพลงมากกว่า ก็เหมือนเป็นสีสันของวงเพราะมีสาวๆ สวยๆนางแบบมา คือลำพังถ้าเป็นเราคนเดียวอาจจะไม่รอดออกอัลบั้มกับ มะลิลา บราซิลเลี่ยน อยู่ 3 อัลบั้ม ส่วนใหญ่ผมก็เป็นคนร้องเกือบหมด น้องๆ จะมีมาร้องบ้าง นอกจากนี้ผมก็ยังได้มีโอกาสแสดงภาพยนตร์เรื่องเรือนแพ มีคุณหนุ่ม สันติสุข คุณรอน บรรจงสร้าง แสดงนำด้วย และผมก็ได้ร้องเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่องนี้คือเพลงเรือนแพ เล่นหนังเรื่องเดียวครับ คือมันคงจะไม่ใช่ทางของเราด้วยมั้ง เล่นเรื่องเดียวแล้วก็หายไปเลยไปเป็นนักร้องอย่างเดียว

 

การเปลี่ยนแนวเพลงและกระแสจากแฟนๆ

ออกมามันก็ดังเลยนะขายดีมีคนชอบเพราะว่าเป็นแนวที่แปลกใหม่ สามารถเต้นโยกตามไปได้เรื่อยๆ แต่ถ้าถามถึงแฟนคลับเก่าๆ ของเราที่ยังชอบเราในแบบเยื่อไม้ที่เป็นเพลงลูกกรุง เขาก็อาจจะรับไม่ได้ คือเราก็จำได้กลุ่มแฟนเพลงที่เป็นวัยรุ่นและเป็นคนรุ่นกลางๆ แต่ถ้าคนที่อายุเยอะเขาก็ไม่ฟังเพราะเขารับไม่ได้ บางคนคือจะรับไม่ได้ว่าทำไมมาเปลี่ยนแนวจะมีกระแสแบบนี้ออกมาเหมือนกัน (รู้สึกท้อบ้างไหม) ไม่ท้อครับ มันก็เป็นธุรกิจของบริษัทเขา และมันก็เป็นอีกหนึ่งบทบาทของนักร้องเราก็ลองของใหม่ดูบ้าง แต่ของเก่าเราก็ยังร้องอยู่ คือไม่แปลกหรอกเพราะว่าผมไม่ได้ทิ้งหรือว่าเลิกร้องแบบลูกกรุง คือเรายังร้องอยู่

โอกาสพบปะเจอะเจอกับเพื่อนร่วมวง

ก็ยังมีอยู่ครับ นานๆได้เจอกันบ้าง ก็มีพูดคุยกัน หรือว่าตามคอนเสิร์ตตามงานก็มีเจอกันบ้าง ส่วนโอกาสที่ผมจะกลับมาทำเพลงอีกครั้งนั้นก็คิดว่าน่าจะมีครับ คือเรายังรักตรงนี้อยู่ แต่ตอนนี้เพลงมันทำยากเหมือนกันและบางทีมันก็อยู่ที่จังหวะด้วย เราเป็นนักร้องเราก็ยังอยากจะร้องเพลงอยู่ ยังมีความสามารถตรงนี้อยู่ เพียงแต่ว่าเพลงที่คนแต่งแต่งแล้วโดนหรือว่าคนที่เขามองว่ายุคนี้คุณต้องร้องแบบนี้นะ บางทีเรามองไม่รู้ว่าจะร้องยังไง บางทีไปร้องลูกกรุงแบบเดิมคนก็อาจจะเบื่อไหม หรือถ้าเราจะฉีกออกมาร้องกึ่งๆ ลูกกรุงกึ่งสมัยใหม่ และสมัยนี้ก็จะเป็นการเอาเพลงเก่ามาร้องใหม่ แต่ทีนี้มันต้องมีเพลงใหม่ที่เทียบเท่าเพลงเก่า ตรงนี้มันไม่มีเลยเป็นโจทย์ที่ยาก และอีกหนึ่งสิ่งคือทุนถ้าทำโปรเจกท์ใหญ่ๆ ต้องมีนายทุนที่ยอมทุ่มให้เรา ลำพังเราไปทำเองก็คงจะไม่ไหว งานจ้างก็ยังมีเรื่อยๆ ทั้งในไทยและต่างประเทศ คือยังมีคนไทยในต่างแดนที่เขายังต้องการอยากจะฟังเพลงเก่าอยู่ เป็นแฟนเพลงที่ทันรุ่นเรา ก็จะมีเชิญไปเรื่อยๆ อย่างที่วัดไทยในต่างประเทศเราก็ไปการกุศลอะไรแบบนี้นะ แต่รอบนี้ที่จะไปก็ไปทำภารกิจให้มูลนิธิมิราเคิล ออฟไลฟ์ ในทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดีไปเผยแพร่กิจกรรมของมูลนิธิแล้วก็ไปช่วยวัด จะไปที่แอลเอ อริโซน่า ยูทาห์ ที่สหรัฐอเมริกา ซึ่งท่านจะมีโปรเจกท์หนึ่งใจให้ธรรม คือเป็นการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา เป็นการให้ญาติโยมมาร่วมกันบริจาคเงิน

สารวัตรหนุ่มดีกรีดอกเตอร์

ผมเพิ่งจบปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยมหาสารคามสาขาการบริหารจัดการด้านดนตรี ซึ่งสาขานี้ทั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติมีผมจบคนเดียว ตำรวจจบปริญญาเอกกันเยอะ แต่ว่าก็ยังไม่มีใครที่จบสาขานี้ ที่เราเลือกเรียนทางด้านนี้มันเหมือนเป็นการสานต่อครับ เพราะว่าเราเป็นนักร้อง เมื่อก่อนผมอยู่ที่ดุริยางค์ตำรวจถนัดด้านนี้ก็เลยเรียน เผื่อว่าเราจะนำไปใช้ประโยชน์อะไรได้

ความในใจฝากถึงแฟนๆ

ก็ยังรู้สึกขอบคุณอยู่นะครับสำหรับแฟนเพลง เพราะถ้าไม่มีพวกท่านก็ไม่มีวันนี้ มันเป็นองค์ประกอบที่นักร้องคนนึงมาเป็นที่รู้จักของคน ถ้าไม่มีประชาชนแฟนเพลงเราก็ไม่เกิดไม่มีใครรู้จัก ผมเองก็กำลังจะสร้างผลงานกำลังหาช่องทางอยู่ว่าจะสร้างยังไง ถ้าเกิดว่าวันนั้นมาถึงก็อยากจะให้การต้อนรับผมด้วยนะครับ

และนี่ก็คือ “วิระ บำรุงศรี” นักร้องผู้มากความสามารถ ที่ขับขานบทเพลงได้หลากหลายแนวทั้งสุนทราภรณ์ ลูกกรุง ลูกทุ่ง และสตริง

กุหลาบสีเงิน

Star Retro : จุดกำเนิด..ไข่มุกดำแห่งเอเชีย ‘เมตตา รุ่งรัตน์’ แค่ตีปิงปอง ก็ได้เป็นดารา!?

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/entertain/229211

วันอาทิตย์ ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2559, 06.00 น.

เคยประกาศพักงานแสดงไปหลายปีก่อน เนื่องจากสภาพร่างกายที่ไม่ค่อยจะสู้ดีนัก สำหรับนักแสดงอาวุโสมากฝีมือ “เมตตา รุ่งรัตน์” แต่วันนี้ “แม่เหน่ง” กลับมารับงานแสดงอีกครั้ง พร้อมด้วยร่างกายที่แข็งแรงขึ้นบวกกับจิตใจที่รักและคิดถึงการแสดงอย่างเต็มเปี่ยม แม้จะไม่มีคู่ชีวิตที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขมายืนเคียงข้างเหมือนดั่งวันวานก็ตาม

กลับมารับงานละครแล้วนะคะ ที่หายไปก็คือไปดูแลสามีซึ่งป่วย จนสามีตายจากไปเมื่อปี 2556 แล้วเราก็ป่วยต่อ คือ สุขภาพแม่เหน่งก็ไม่ดีอยู่แล้วเลยไม่เล่นละคร แต่ตอนนี้สุขภาพดีขึ้น น้องลอร์ด(สยม สังวริบุตร) ชวนก็เลยรีบวิ่งปรู๊ดมาเลยค่ะ (หัวเราะ) แต่ว่าก็มาเล่นรับเชิญก่อนนะในเรื่อง “อกธรณี” เล่นตอนเดียวแล้วก็ตาย เป็นย่าของพระเอก มาลองดูเพราะว่าคิดถึงคนในวงการ คิดถึงทุกคน เราก็เลยคิดว่าอยากจะเจอทุกคน ด้วยความคิดถึงก็เลยมาเล่น ก็มารื้อฟื้นดูค่ะ ว่าเรายังเล่นได้อยู่หรือเปล่า คำตอบก็คือยังเล่นได้อยู่

แม้จะมีปัญหาด้านสุขภาพแต่ก็สู้ไม่ถอย

ถ้าบอกว่าป่วยเป็นอะไรจะตกใจนะคะ แล้วทุกคนจะช็อกตายจะไม่ยอมจ้างแม่เหน่งให้เล่น (หัวเราะ) เพราะว่าแม่ได้ถามหมอแล้วว่าโรคนี้มันจะทำให้ตายในวันนี้พรุ่งนี้หรือเมื่อไหร่บอกมา หมอบอกว่ามันไม่ตายง่ายๆ หรอก เพราะว่ายาเอาอยู่ แล้วแม่เหน่งก็ดูแลตัวเองดีรักษาสุขภาพดี เป็นโรคคนแก่ เพราะฉะนั้นอย่าตกใจ คนแก่เป็นอะไรแม่ก็เป็นกับเขาหมดทุกอย่าง เป็นเรื่องธรรมดามากเลยไม่ผิดปกติ นอกเสียจากว่าเมื่อเวลาป่วยเราก็หมดแรง พอเราหยุดทำงานแล้วหันไปดูแลตัวเองสุขภาพก็ดีขึ้นตามลำดับ เพราะตอนที่เราทำงานอยู่ก็อาจจะพักผ่อนน้อย ไม่ค่อยได้ใส่ใจดูแลตัวเองมากนัก

ช่วงเวลาที่หยุดพัก ดูแลตัวเองอย่างไร

ก็ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ เราก็ดูแลเรื่องอาหาร กินยาให้ครบตามที่หมอสั่ง ไปหาหมอตรงเวลาที่หมอนัดแล้วมันดีตรงที่แม่นั่งสมาธิด้วยค่ะ พอทำสมาธิแล้วอยู่คนเดียวเพื่อไม่ให้จิตฟุ้งซ่านด้วยวิธีศึกษาธรรม แม่เป็นลูกศิษย์ท่านพุทธทาส, หลวงปู่สด วัดปากน้ำภาษีเจริญ อีกท่านหนึ่งก็คือหลวงพ่อเทียน วัดสนามใน ปฏิบัติธรรมแบบเคลื่อนไหวให้รู้สึกตัวแล้วก็นั่งสมาธิให้จิตนิ่งก็โอเคเลย คือแม่มีอาจารย์เยอะมาก ก็เลยจะไม่สุข ไม่ทุกข์ อยู่กับโรคภัยไข้เจ็บได้อย่างโอเค เป็นเพื่อนกัน แม่ตายมันก็ตายด้วย (หัวเราะ) แม่ขู่มันไว้แล้ว (ตอนนี้อยู่คนเดียว?)อยู่บ้านคนเดียวค่ะ ไม่มีใครอยู่เป็นเพื่อน อยู่คนเดียวดีมากตรงที่เราได้ดูจิตตัวเอง ธรรมมีประโยชน์มากค่ะ อ่านหนังสือธรรมเยอะๆ แล้วก็มองโลกให้เห็นชัดเจนในความเป็นจริง เพราะว่าพอเราเห็นชัดเจนแล้วเราจะเกิดความรู้สึกว่า อ๋อโลกมันเป็นอย่างนี้นี่เอง ถ้าเราไม่เข้มแข็งเราจะอยู่ไม่ได้ เพราะว่าโลกเดี๋ยวนี้ไม่น่าอยู่ไม่เหมือนแต่ก่อน โลกเปลี่ยนไปน่ากลัวมากขึ้น แต่แม่ก็ยังขับรถไปไหนมาไหนเองได้ เรื่องปัญหาที่เกี่ยวกับสายตากับโรคที่เป็นอยู่แม่ก็ยังรักษาอยู่ แต่เวลาขับรถก็จะต้องใส่แว่นตา ถ้าไม่ใส่แว่นตาก็จะแย่หน่อย

แอบคิดถึงวงการอยู่ตลอด

แอบคิดถึงอยู่ตลอด แต่ว่าเราก็ต้องคุมจิตตัวเองให้ได้ คิดถึงก็คิดถึงแว่บๆ พอดูในทีวี.เจอคนนั้นคนนี้ก็ชื่นใจ แต่ไม่ได้ทุรนทุรายว่าอยากจะไปเจออยากจะไปกอด ไปหอมคนนั้นคนนี้ก็ได้แค่ชื่นใจ ก็อยากที่จะมาแสดงแต่ว่าถามตัวเองว่าถ้าเรามาแล้วเราทำให้กองถ่ายมีปัญหาในการที่เราเจ็บป่วยขึ้นมา ทำให้กองถ่ายเสียงานแม่ก็จะบอกว่าไม่พร้อม ตอนนี้แม่พร้อมเพราะแม่รู้ว่าแม่แข็งแรงพอ ไม่งั้นแม่สงสารกองถ่าย ถ้าสมมุติว่าแม่มาแล้วมาป่วยหรือแม่ทำงานไม่เต็มร้อยแม่ก็จะหงุดหงิด เพราะปกติแม่เป็นคนที่ทำงานเต็มร้อย แต่ด้วยวัยแม่ก็ 74 แล้วอาจจะมีพร่องแพร่งบ้างนิดหน่อยก็ให้อภัยเพราะแก่แล้ว แต่เรื่องความจำตอนแรกก็นึกว่าจะจำบทไม่ได้นะ แต่พอเอาเข้าจริงๆ ก็จำได้ กลับมาเหมือนเดิม การลืมมันก็มีบ้างเป็นธรรมดา

ใช้ธรรมนำทาง

ถ้าจะถามว่าเหงาหรือไม่เหงา แม่เฉย เพราะว่าเราปฏิบัติธรรมจนจิตนิ่งแล้ว แม่ก็จะเฉยไม่สุขไม่ทุกข์ไม่ทุรนทุราย สุขรู้ว่าสุข ทุกข์รู้ว่าทุกข์ ธรรมเป็นสิ่งที่ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะให้ยึด ไม่ใช่แนะนำนะคะ แต่ว่ามันได้กับตัวแม่เอง ถ้าใครสามารถที่จะเข้าถึงธรรมของพระพุทธเจ้าได้อันนี้จะเป็นเกราะคุ้มครองป้องกันภัยให้ตัวเองอย่างดี และจะเป็นสิ่งที่เป็นยารักษาใจอย่างดี จะทุกข์จะสุขให้มองโลกด้วยหลักความเป็นจริงว่า อ๋อนี่มันเป็นอย่างนี้แล้วก็แก้ปัญหาไป ให้นึกว่าเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปอย่าไปยึดติดกับอะไร

ผลงานที่ฝากไว้ก่อนจะหยุดพัก

เรื่องสุดท้ายเล่นตั้ง 3 เรื่อง (ความจำยังเป๊ะจริงๆ) ก็มี เคหาสน์สีแดง ของ ตู่-นพพล แล้วก็มี วนาลี ของ ตู่-ปิยวดี และอีกเรื่องหนึ่งคือ มาลัยสามชายของเอ็กแซ็กท์ ซึ่งทั้ง 3 เรื่องนี้ถ่ายทำพร้อมๆ กันพอจบก็ไม่รับงานอะไรอีกเลย ประกาศเลยว่างดรับงาน เพราะว่าเราต้องไปรับภาระสามี คือเราอยู่กันสองคนตายาย เลยต้องประกาศหยุด แล้วทีแรกเลยก่อนที่จะมาเล่นเรื่องอกธรณี ทางโพลีพลัส คุณนิด-อรพรรณ ก็ตามให้มาเล่นเรื่องมายา ของช่อง 7 บทดีมาก เล่นตั้งแต่ต้นจนจบก็รับเล่นให้ แต่ว่าวันจะถ่ายเกิดต่อมไทรอยเป็นพิษ หมดแรงไม่มีแรงไปไม่ได้ ก็ต้องขอโทษทางบริษัทโพลีพลัส เพราะว่าหมอห้ามเนื่องจากว่ามันเชื่อมโยงไปถึงโรคที่เราเป็นอยู่ ความดัน หัวใจอะไรต่างๆ ก็เลยจำเป็นที่จะต้องหยุดไว้ก่อน ไม่ได้ปฏิเสธนะคะ บอกว่าเล่นแต่ว่าให้ทางบริษัทตัดสินใจว่าจะเอาคนป่วยไปเล่นไหม ถ้าไปป่วยระหว่างทางทำให้ละครชะงักหรือเกิดไปตายละครต้องเปลี่ยนตัว พูดตรงไปตรงมาเลย เขาก็น่ารักมากบอกว่าขอให้แม่เหน่งดูแลสุขภาพของตัวเองก่อนดีกว่า ไว้เรื่องหน้าค่อยว่ากัน คือแม่จะเป็นคนไม่พูดโกหก เป็นคนตรงไปตรงมา แม่เป็นคนทำงานเต็มร้อยพอรู้ว่าตัวเองไม่ไหวก็ต้องบอก

ย้อนวันวานชีวิตทางการแสดง

แม่เกิดในวงการนี้จากการเล่นหนังค่ะ เล่นหนังประมาณเกือบพันเรื่อง เล่นละครพันกว่าเรื่อง ตอบได้เลยเพราะว่าจดไว้ ด้วยความที่เราเล่นเราไม่เลือกบทไงคะ เล่นเพราะว่าสนุกในการเล่นอยากเล่น คือมันมีพลังและมีแรงกระตุ้นที่พอเราเป็นศิลปินเราเป็นนักแสดงเล่นตัวอะไรก็ได้ เป็นคุณนายก็ได้ เป็นคุณหญิงคนใช้ เป็นขี้ข้าก็ได้ เป็นคนแก่หรือว่าจะอาชีพไหนก็ได้หมดไม่เคยยึดติดว่าจะต้องเล่นบทนี้เท่านั้น คือเขาจ้างให้เงินเล่นหมดทั้งนั้น ไม่รู้ว่าพูดแบบนี้เห็นแก่เงินเกินไปหรือเปล่า (หัวเราะ) งกไปหรือเปล่าเนี่ย แต่ว่ามันมันในอารมณ์จริงๆนะลูก มันสนุกในการแสดง (ปีหนึ่งๆ แทบไม่มีวันพัก) ปีหนึ่งมี 365 วัน แม่น่าจะเล่นสักเกือบสี่ร้อยวันมั่งต่อปี เพราะว่าวันหนึ่งมัน 3-4 เรื่อง (วิ่งยังไงคะ) ตอบไม่ถูกเหมือนกัน แต่ว่าตอนนั้นรถไม่ติดเท่าสมัยนี้มันวิ่งได้ แต่ว่าเดี๋ยวนี้เรื่องเดียวก็หมดเวลาแล้ว

บทบาทที่ชอบและเป็นตัวตนของ เมตตา รุ่งรัตน์

ชอบบทที่สนุกสนานนะคะ แล้วก็ชอบบทผู้ร้ายเพราะว่ามันมันในอารมณ์ เกลียดที่สุดคือบทร้องไห้ ร้องไม่ค่อยออก ไม่งั้นต้องใช้ยาหยอดตา เวลาที่เล่นหนังแม่เล่นบทบู๊ขี่ม้ายิงปืนต่อสู้ แต่พอเป็นละครก็จะเป็นบทด่าว่ากันแม่ก็เล่นได้ เล่นเป็นคนดีเป็นคนใจร้ายแม่ก็เล่นได้หมด ก็เลยไม่ตกงานค่ะ

ผลงานที่ภาคภูมิใจ

ได้รางวัลตอนเป็นนางเอกเรื่องวัยรุ่นวัยคะนอง เป็นหนังเรื่องที่ 3 ที่เล่นค่ะ เรื่องแรกเด็ดดอกฟ้า เล่นเป็นบทเจ้าน้ำตา เรื่องที่ 2 เล่นบทร้ายเรื่องจอมใจเวียงฟ้าร้ายขนาดเข้าไปดูในโรงแล้วคนเขาด่า เราต้องรีบออกมาจากโรงหนังเลย เพราะว่ากลัวคนจะตามมาตื้บเอา เรื่องที่ 3 วัยรุ่นวัยคะนอง เป็นนางเอกแล้วก็ได้ตุ๊กตาทองส่วนละครก็ชอบทุกบทเลยค่ะ เพราะว่าแม่เล่นเต็มที่ทุกบท แล้วบทจะเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาหลากหลาย แม่เป็นคนชอบสนุกก็เลยเอ็นจอยทุกเรื่อง แล้วแม่ก็จะได้เล่นกับพระเอกทุกคนในยุคนั้นสับเปลี่ยนกันไป ในวงการนี้ไม่มีใครไม่เคยผ่านมือแม่

แรงผลักดันในการแสดง

แม่คงมีเลือดศิลปินเพราะพ่ออยู่ในวงการ เป็นผู้กำกับบทตั้งแต่ละครเวที สมัยคุณสุพรรณ บูรณะพิมพ์ คุณ ส.อาสนจินดา คุณพันคำ ละครที่เขาเล่นสดละครเวทีแล้วแม่ก็จบเฉลิมศาสตร์นาฏศิลป์ คือจบการแสดง คุณพ่อก็สนับสนุน แต่ว่าคุณพ่อไม่ได้นำเข้า พ่อแค่ตามใจลูก แม่ก็เป็นครู พอเรียนจบก็ตามแม่ออกมาเป็นครูแล้ว อาชาลี อินทรวิจิตร กับป้าศรินทิพย์ ศิริวรรณ เป็นคนไปดึงแม่มาเล่นหนัง เขาเห็นแม่ไปตีปิงปองอยู่ที่ช่อง 4 บางขุนพรม แล้วก็ไปชวนมาเล่น โดยที่ไม่รู้ว่าเราเป็นลูกใคร แม่บอกว่าต้องไปขออนุญาตก่อนพ่อชื่อ บุญส่ง ดวงดารา พ่อก็อนุญาตคือตามใจเรา เพราะว่าชีวิตเราเป็นของเรา เขาชวนมาเล่นก็มา เลยต้องลาออกจากการเป็นครูแล้วก็มาเล่นหนัง (เสียดายอาชีพครูไหม) ไม่เสียดายเพราะว่าแม่เป็นคนไม่ยึดติดกับอะไรมาตั้งแต่เด็ก

ถือเป็นสิ่งที่ฝันหรือคิดว่าจะยึดเป็นอาชีพหรือเปล่า

ไม่เลยค่ะ เพราะว่าแม่ถือว่าจ้างแม่ แม่ก็เล่น เราเป็นลูกจ้าง ไม่ใช่ว่าอู๊ย…เป็นอาชีพที่ฉันใฝ่ฝันแล้วฉันต้องเล่น แม่เล่นเพราะว่าได้เงิน ใครจ้างก็ทำ หรือว่าเรามีความสามารถไหนเราก็จะทำสิ่งนั้น มันเป็นจริตของแม่เอง ไม่ได้ยึดติดอะไรเลยตั้งแต่เด็ก เพราะความไม่ยึดติดที่ว่าฉันจะต้องเล่นกับคนนั้นคนนี้เท่านั้น ก็เลยทำให้แม่ได้ร่วมงานกับผู้จัดหลายๆ ค่าย และทุกช่องแม่เป็นคนสบายมากๆ เอาไงก็เอากัน ไม่รู้ว่าคนอื่นจะมองเราแบบไหน แต่แม่เชื่อว่าในวงการทุกคนรักแม่ ทุกคนเอ็นดูแม่ และแม่ก็รักทุกคน แม่ไม่เคยทะเลาะตบตีกับใครไม่เคยด่าใครแล้วก็ไม่เคยโดนใครด่า

มุมมองวงการบันเทิงสมัยก่อนกับปัจจุบัน

แตกต่างกันเยอะเลยค่ะ เพราะว่าคนเยอะ เยอะเหลือเกินจนแม่ไม่รู้จัก เดินชนกันยังไม่รู้ว่าใครเป็นใคร แล้วมันแตกต่างตรงที่ว่าเมื่อก่อนนักแสดงมีกระจุกเดียว ผู้สร้างก็มีกระจุกเดียว ตอนนี้ผู้สร้างเยอะมากนักแสดงเยอะมาก แล้วความสัมพันธ์น้อย แต่ก่อนเจอกันก็กอดหอมกันเหมือนว่ากินนอนอยู่ด้วยกันกินข้าวหม้อเดียวกัน แล้วก็มันเหมือนมีกลุ่มเดียวก็เป็นความสัมพันธ์ที่แน่หนามาก แต่ว่าสมัยนี้มันเป็นฉาบฉวยไปแล้ว พอจากกันก็ตัวใครตัวมัน เราจะมาเจอกันก็ต่อเมื่อมาเล่นมาแสดงละครแล้วก็จากกันไป บางทีเจอหน้ากันวันหลังก็จำกันไม่ได้ แม่ไม่มีแง่คิดดีๆ อะไรจะฝากนะคะ เพียงแต่แม่ก็ทำตัวของแม่ให้ดีให้ตรงต่อเวลา มีวินัยในการแสดง และรับผิดชอบกับงานที่เราทำ แม่ถึงไม่ตกงาน แค่นี้ก็อยู่รอดแล้วค่ะแล้วอย่าไปคิดว่าตัวเองเป็นดารา แม่ไม่เคยคิดค่ะแม่จะคิดว่าแม่เป็นลูกจ้าง รับจ้างแสดง พอเขาจ้างมาแสดงแม่ก็มาเล่น มีแค่นี้ค่ะ แต่อยากจะฝากขอบคุณแฟนๆ แฟนคลับทั้งหลายนะคะว่าที่แม่มีทุกวันนี้ได้ก็เพราะว่ามีแฟนๆ ที่รักและเมตตากับแม่ แม่ถือว่าเป็นบุญคุณเลย แม่ตอบแทนด้วยที่ว่าแม่แสดงเต็มที่ให้คนดูดูแล้วมีความสุขดูแล้วชื่นใจ แล้วผลสะท้อนกลับมาก็คือแม่ก็มีความสุขแม่ก็ชื่นใจ ไปไหนมีคนทักจำได้ว่าเป็นเมตตา อันนี้แม่เรียกว่าเป็นสิ่งที่จรรโลงโลกและจรรโลงใจ เป็นความรู้สึกที่ดีๆ เป็นความรู้สึกที่งดงามที่คนพึงมีต่อกัน

และนี่ก็คือ “เมตตา รุ่งรัตน์” นักแสดงอาวุโสขวัญใจชาวไทยเจ้าของ ฉายา “ไข่มุกดำแห่งเอเชีย”

กุหลาบสีเงิน

star retro : ย้อนวันแห่งความสำเร็จ‘นกแล’ วงดนตรีในตำนาน ที่ยังเดินหน้าสร้างสรรค์งานเพลง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/entertain/228110

วันอาทิตย์ ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2559, 06.00 น.

เชื่อว่าหลายคนยังคงประทับใจกับบทเพลงอันมีเอกลักษณ์ บวกกับเสน่ห์การร้อง ลีลาการแสดง และเสื้อผ้ายูนิฟอร์มของสมาชิกวง “นกแล” ที่มาพร้อมกับชุดพื้นเมืองภาคเหนือ วงดนตรีที่อยู่คู่คนไทยมายาวนานกว่า 30 ปี และมีทายาทสืบทอดมาแล้วกว่า 18 รุ่น พวกเขาสานต่อและสืบสาน ผ่านร้อนผ่านหนาวกันมาอย่างไร วันนี้ “สตาร์เรโทร” ได้โอกาสถามความในใจ จากสมาชิกรุ่นบุกเบิก ผู้เปรียบเสมือนเป็นโลโก้วงนกแล ทินกร ศรีวิชัย, ตุ๊ดตู่-ศรัญญา อุปพันธ์ พ่วงด้วยผู้อยู่เบื้องหลัง ต้อม-โสฬส สุขเจริญ ที่มาร่วมอัพเดทเรื่องราวให้หายคิดถึงกัน

หน้าที่การงานในปัจจุบัน

ตุ๊ดตู่ : ตอนนี้ทำงานเป็นพนักงานประจำอยู่ที่ห้องอาหารแสนคําเทอเรส ในจังหวัดเชียงใหม่ค่ะ ทำที่นี่มาตั้งแต่เรียนจบ คือดูทั้งเรื่องบัญชี ธุรการ ดูแลทั้งหมดเลยค่ะ แล้วก็มีงานร้องเพลงอยู่บ้าง ซึ่งจะร้องเฉพาะกับวงนกแลเท่านั้น อย่างงานคอนเสิร์ตของนกแล ก็ไปร่วมแจมกับวงของรุ่นน้อง เพราะในความทรงจำส่วนหนึ่ง แฟนเพลงยังไม่ลืมพวกเรา เพราะฉะนั้นเราก็ต้องไปช่วยน้องๆ ช่วยเทรน ช่วยร้อง ช่วยออกสื่อ ในเชียงใหม่ เราเป็นครอบครัวเดียวกันค่ะ ครอบครัวนกแล

ทินกร : ผมทำธุรกิจส่วนตัว เกี่ยวกับเครื่องปั้นดินเผาครับ ปั้นเอง ทำเอง คิดงานเอง เป็นเจ้าของกิจการเองครับ เป็นสไตล์ผมไม่มีแบรนด์อะไร เพราะเป็นกิจการของทางบ้านที่ทำมานานแล้ว ผมก็ทำสืบต่อมา โดยมีหน้าที่ปั้นอย่างเดียว ลงมือเอง ปั้นเอง
ตามออเดอร์ที่ได้รับมา ทำทุกวันครับ แต่ถ้าสมมุติจะมีคอนเสิร์ตใหญ่เราก็ไปซ้อม ถ้ามีออเดอร์งานปั้นเข้ามา เราก็ทำที่บ้าน ซึ่งออเดอร์จะมีมาตลอด ช่วยให้เลี้ยงตัวเอง เลี้ยงครอบครัวได้ ส่วนงานดนตรีก็มีไปช่วยน้องๆ ของอาจารย์สมเกียรติ สุยะราช (ผู้ก่อตั้งวงนกแล) เต็มที่ทุกงานครับ

ย้อนวันวาน “นกแล” ในความทรงจำ

ตุ๊ดตู่ : พี่ทินกรเริ่มมาก่อนค่ะ ตั้งแต่ปีพ.ศ.2528 เริ่มด้วย “หนุ่มดอยเต่า” ชุดแรก แล้วตู่ถึงมาร่วมช่วง พ.ศ.2529 ตู่เข้ามาทีหลังพี่ทินกร 1 ปี

ทินกร : เราเป็นรุ่นที่ฝึกหัดมาด้วยกัน ช่วงยังไม่ได้ออกอัลบั้ม ก็ฝึกฝนกันก่อน ตอนนั้นเริ่มต้นวงนกแล ก็จะมี พี่น้อย (ศิริลักษณ์ จุมปามณีวร), พี่หนุ่ม (ปรัชญา ปัญจปัญญา), พี่หนึ่ง (สุวิทย์ ไชยช่วย), พี่นก (ทิพย์พร นามปวน), ผู้พันต้อม (โสฬส สุขเจริญ) แล้วก็ผม คือเริ่มปีแรกๆ กันยังไม่ได้มีอัลบั้ม เป็นแค่วงดนตรีของโรงเรียนพุทธิโสภณ จังหวัดเชียงใหม่ โดยมีอาจารย์สมเกียรติ สุยะราช เป็นผู้ก่อตั้งวง

ตุ๊ดตู่ : เมื่อก่อนจะไม่เหมือนสมัยนี้ ที่มีความสนใจด้านดนตรี ก็ไปฝึกฝน แล้วมาร้อง แต่รุ่นพวกเรา เกิดจากการจับเด็กซนๆ มาทดลองความสามารถดู แล้วปรากฏว่าทำได้ อาจารย์สมเกียรติ ก็จะบอกว่าทำอย่างนี้สิ ทำแบบนี้ได้ไหม เราก็จะทำตามที่ครูบอก พอได้อย่างที่ครูบอก ก็ได้บุคลิกลักษณะของตนเอง จากนั้นก็สร้างเพลงขึ้นมาตามบุคลิกของแต่ละคนที่อาจารย์เห็นแวว

ทินกร : ของผมก็จะซนๆ ออกมาเป็นเพลง “ไอ้หนุ่มดอยเต่า” ส่วนตู๊ดตู่ ก็จะเป็นสาวหวาน อย่างเพลง “อย่าลืมน้องสาว”

ต้อม : จากจุดเริ่มแรกที่วงนกแลเกิดขึ้น เราเป็นแค่วงดุริยางค์ระดับประถมที่ได้แชมป์ของภาคเหนือ 3 ปีซ้อน ยังไม่ได้สร้างเป็นวงนกแลเลยครับ คือครูสมเกียรติเห็นแววเด็กๆ จึงดึงมาทำเป็นวงโฟล์คซอง และครูเป็นเพื่อนกับพี่จรัล มโนเพ็ชร ก็ช่วยกันผลักดัน สร้างเด็กขึ้นมา นั่นเป็นจุดแรก ภายใต้ชื่อโครงการ “โครงการดนตรีเพื่อเยาวชน” ของโรงเรียนพุทธิโสภณ จังหวัดเชียงใหม่ สุดท้ายเด็กชุดนั้นก็ได้มาเป็น “นกแล” ชุดแรก มีอัลบั้มแรกขึ้นมาก่อนที่จะมาเป็น “หนุ่มดอยเต่า” คือ “นกแลกับดอกทานตะวัน” แล้วก็เล่นที่เชียงใหม่กันเรื่อยมา วันหนึ่งอาจารย์สมเกียรติได้รับโทรศัพท์ติดต่อให้นำวงดนตรีนกแลไปเล่นแบบเต็มวงที่ลานโลกดนตรี ช่อง 5 สนามเป้า จากงานนั้นเรียกว่า แจ้งเกิดเลย ซึ่งจริงๆ เราขอมาเล่นแค่เพลงเดียว แต่ครูเล่าให้ฟังว่าวันนั้นบังเอิญเป็นวันที่ เขาทราย ขึ้นชกมวย ช่อง 5 ต่อจากรายการ โลกดนตรี ที่นกแลเล่นพอดี คนก็ได้ชมเราทั่วทั้งประเทศ พี่เต๋อ (เรวัต พุทธินันทน์) ที่มีโอกาสได้ชมการแสดงด้วย ก็เห็นแววว่ามีความเป็นไปได้ พี่เต๋อเลยขึ้นไปที่เชียงใหม่ เพื่อพูดคุยและได้เป็นอัลบั้มเพลงแรกอย่างเป็นทางการของวงนกแล ในปีพ.ศ.2528 ชื่อชุด “หนุ่มดอยเต่า”

เมื่อวงนกแล ดังเป็นพลุแตก

ทินกร : ดีใจครับ จากเด็กธรรมดาคนหนึ่งที่อยู่เชียงใหม่ แต่อยู่ๆ ก็ดังทั่วประเทศ ไปไหนมีคนรู้จัก

ต้อม : ดังขนาดที่ว่าต้องกินข้าวบนรถตู้ เพราะเคยจองร้านอาหาร ไปนั่งทานข้าวกัน แต่พอแฟนๆ รู้ว่านกแลมากิน แป๊บเดียวมากันเต็มหน้าร้านเลยครับ

ตุ๊ดตู่ : โชคดีมากๆ ค่ะ แต่โดยส่วนตัวตู่เอง ตอนนั้นไม่รู้นะคะคำว่า “ดัง” คืออะไร เพราะว่าเราเป็นเด็ก เรารู้แค่ว่ามีแต่คนอยากจะ กอด ถ่ายรูป จับมือ อะไรต่างๆ นานา เราไม่เข้าใจ ตอนนั้นเป็นเด็ก 9 ขวบ มีคนมาบอกว่า รู้ไหมว่า นกแล ดังมากเลยนะ ก็จะได้แค่บอกว่า จริงเหรอคะ เพราะเราจะรู้แค่ว่า มีหน้าที่ต้องไปร้องเพลง เราไปร้องที่ไหน เหนือ ใต้ ออก ตก กลาง อีสาน แฟนเพลง รู้หมด แล้วเขาก็จะวิ่งตามรถตู้เรา ตอนนั้นก็จะรู้สึกดีใจว่าเขาเข้ามาเล่นสนุกกับเรา ไม่ได้รู้สึกว่ามีชื่อเสียง เห็นเขาวิ่งตามเรา แล้วสนุกมีความสุข เห็นเขาหัวเราะยิ้มสดใส เราก็มีอารมณ์แบบนั้นร่วมไปกับเขาด้วย

ค่าตอบแทนที่ได้รับ

ต้อม : ครูจะกำหนดให้ครับ ดูแลในส่วนของค่าเทอม ค่าเรียน และส่วนหนึ่งก็เป็นค่าใช้จ่ายส่วนตัว มีกองกลาง ครูเปรียบเหมือนเป็นผู้ปกครองเลยครับ แต่ลูกอาจจะเยอะหน่อย ต้องดูแลหลายคน ผมโตสุดก็จะช่วยครู อย่างวันนี้ก็มาช่วยดูแลน้องๆ แทนครู เขาก็จะซนตามประสาเด็กเขา แต่สิ่งที่ผมเห็นว่าแปลกคือ เมื่อทุกคนขึ้นเวที จะเปลี่ยนโหมดอัตโนมัติ ทุกคนจะรับผิดชอบหน้าที่ของตัวเองหมด ใครเล่นเครื่องดนตรีอะไรก็จะไปอยู่ตรงจุดนั้น จัดเซตตั้งเตรียมของ ดูไมค์ ดูความพร้อมทุกอย่างเอง และพวกเราจะช่วยยกเครื่องดนตรีกันเองตั้งแต่เด็ก ใครจะเล่นอะไรก็ยกก็หิ้วกันเอง

เมื่อความดังแผ่วลง

ตุ๊ดตู่ : เราก็แยกย้ายกันไปทำงานตามที่เราเรียนกันมาค่ะ อย่างตู่จบบัญชีที่วิทยาลัยเทคโนโลยีศรีธนาพณิชยการ เชียงใหม่ ก็ตั้งใจว่าจะไปทำงานตามที่เรียนมา ในเรื่องงานด้านดนตรีเราก็เหมือนอิ่ม อิ่มมาก (หัวเราะ) เพราะว่าเวลาไปเล่นดนตรีตามสถานที่ต่างๆ เรารู้สึกโหยหาบ้าน เรารู้สึกอยากกลับบ้าน อยากอยู่บ้าน เราเดินสายเล่นดนตรีเยอะมากไม่มีเวลาได้อยู่กับพ่อแม่เลย ไม่มีเวลาอยู่กับครอบครัว พอถึง ณ จุดหนึ่งเราไม่รู้ว่าเราหยุดดังหรือไม่หยุดดัง เพียงแค่ว่าเราไม่ได้ร้องแล้ว เราก็มีหน้าที่ไปทำอีกหน้าที่หนึ่ง จากหน้าที่ร้องเพลง เราก็ไปทำหน้าที่เรียนหนังสือให้จบ หางานทำ ใช้ชีวิตปกติเหมือนเดิม อย่างช่วงแรกๆ คนก็จำได้นะว่า เออคนนี้อยู่ วงนกแล แต่พอช่วงหนึ่งนานไป เราโตขึ้น คนก็จะจำไม่ได้ละ หน้าตาเปลี่ยนทรงผมเปลี่ยน ก็จะหายไป ซึ่งตู่ไม่รู้สึกเสียดายอะไรนะเพราะจริงๆ แล้วเราก็ไม่ได้หายไปไหน เรายังคงคลุกคลีอยู่ในเส้นสายงานดนตรีตลอด คุณครูยังอยู่ เราเป็นรุ่นพี่ก็ไปสอนให้รุ่นน้องได้ เราอยู่ในวงการร้องเพลงเพียงแค่ว่าไม่ได้มากเหมือนเมื่อก่อน

ทินกร : ผมก็หันมาเรียนหนังสือต่อ คล้ายๆ กับตู่ คือ อิ่มตัว เราร้องเพลงทุกวัน เสาร์ อาทิตย์ ไม่ได้หยุดเลย ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ เดินทาง ปิดเทอมเป็นเดือนๆ ก็เดินสายงานร้องเพลงไปทั่วประเทศ ไปต่างประเทศด้วย อเมริกาสองครั้ง ญี่ปุ่น ครั้งหนึ่ง

ตุ๊ดตู่ : รู้ว่าตัวเองดังมากๆ อีกทีก็ตอนที่ไปร้องเพลงให้คนต่างประเทศได้ฟังและได้ดูค่ะ

เอกลักษณ์ของนกแล

ทินกร : สำเนียงทางเหนือครับ ภาษาคำเมือง เป็นสิ่งที่เราอนุรักษ์เอาไว้ รวมถึงเสื้อผ้าพื้นเมืองที่เราใส่กัน

ต้อม : เราอยากจะสื่อในด้านของเอกลักษณ์ทางภาคเหนือ เพราะดนตรีก็จะมีของทุกภาค แต่นกแล ก็จะพยายามคงเอกลักษณ์ของศิลปะพื้นบ้านล้านนา ไม่ว่าจะเป็นบทเพลงหรือว่าการแต่งกาย บางทีเราก็อาจจะมีประยุกต์กับพื้นเมือง เป็นการเผยแพร่วัฒนธรรมสืบสานตำนานของนักดนตรีรุ่นพี่ๆ ความเป็นนกแลให้คงอยู่ ขึ้นเวทีปุ๊บไม่ว่าจะเป็นเด็กรุ่นไหนก็จะต้องชัดเจนมีเอกลักษณ์ว่านี่คือ นกแล นี่คือศิลปินพื้นบ้านล้านนา

ตุ๊ดตู่ : ถ้าย้อนกลับไปฟังเพลงนกแลตั้งแต่อัลบั้มแรก “หนุ่มดอยเต่า” จะเห็นว่าเราไม่ทิ้งความเป็นเอกลักษณ์ กลิ่นอายความบริสุทธิ์ในเพลงของเราค่ะ นกแลไม่ได้ทิ้งคอนเซ็ปต์เดิม อย่างชุดพื้นเมืองที่เราใส่ เราแต่งเพื่อนำเสนอให้คนได้รู้จักนกแล ว่าเรามาจากทางเหนือ เราใส่ชุดพื้นเมือง เพลงก็จะเป็นเพลงของเด็กๆ ถ้าเต้นก็จะเป็นท่าเต้นที่ยังเอกลักษณ์ของนกแลอยู่ แต่ว่าเด็กสมัยนี้เขาพัฒนาได้เยอะกว่าเรา เพราะว่ามีเทคโนโลยี มีอะไรที่เข้ามาใหม่ได้อย่างรวดเร็ว เด็กรุ่นใหม่เขาก็จะไปได้เร็วกว่ารุ่นเรา ก็อาจจะมีความทันสมัยใหม่เข้ามาแทรกบ้าง

“นกแล” ยังคงเดินหน้า

ต้อม : ตอนนี้วงนกแลมีถึงรุ่นที่ 18 แล้วครับ ครูก็จะทำมาเรื่อยๆ เห็นแววเด็กที่มีความสามารถก็จะจับมาฝึกดนตรีแล้วก็รวมวง เรื่องที่แปลกมากอย่างหนึ่งที่ผมเห็น คือเด็กที่ครูดึงขึ้นมาแต่ละคน เขามีพรสวรรค์ในตัวของเขา เหมือนที่ตู๊ดตู่และทินกรมี ส่วนน้องๆ แต่ละคนก็จะมีการต่อยอด บางคนเป็นนักดนตรีอาชีพที่เชียงใหม่ บางคนก็เล่นตามร้านอาหารหลายที่ อาจจะไม่ได้โด่งดังเท่ารุ่นแรกๆ แต่เขาก็ไปประกอบอาชีพ ใช้กิจกรรมตรงนี้ไปต่อยอดเป็นนักดนตรีอาชีพ ทำออแกไนซ์ต่างๆ แต่ที่ไปได้ไกลที่สุด คือ หนุ่ม ปรัชญา มือคีย์บอร์ดรุ่นหนุ่มดอยเต่า เจ้าของเพลงสุดสาคร ที่ตอนนี้ไปเล่นดนตรีถึงสหรัฐอเมริกา เป็นนักดนตรีอาชีพ แล้วก็มีอีก 2-3 คน ไปอยู่ที่อเมริกาครับ พวกเราเป็นครอบครัว มากกว่าสมาชิกร่วมวง โดยมีพ่อของเราก็คือครูสมเกียรติ ถ้ามีงานอะไรปุ๊บ ครูเรียกเมื่อไหร่ พวกเราพร้อมทันที แบบไม่ต้องคิด

มีเพลงใหม่ออกมาเรื่อยๆ

ต้อม : มีครับ ล่าสุดก็มี “ดอยเต่าดอทคอม”, “หนุ่มผมแดง” เรายังคงแนวนกแลเหมือนเดิม แต่ปรับเปลี่ยนทำดนตรีให้มีสีสันขึ้นเข้ากับยุคปัจจุบัน

ตุ๊ดตู่ : ตอนนี้ถ้าใครไปเที่ยวเชียงใหม่ก็จะได้ยินเพลง “โอ้ละหนอเชียงใหม่” เป็นเพลงประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวของจังหวัดเชียงใหม่ค่ะ

หวนคืนเวทีใหญ่ กับความพิเศษที่เตรียมไว้

ต้อม : ต้องกราบขอบคุณเอไทม์มีเดียแล้วก็ทางพี่ฉอด (สายทิพย์ มนตรีกุล ณ อยุธยา) ที่ยังรักและให้ความเอ็นดูกับนกแลอยู่ ให้โอกาส ทินกรกับตุ๊ดตู่ เป็นตัวแทนขึ้นเวที The Lost Love Songs To Be Continued ที่จะจัดขึ้น 6-7 สิงหาคมนี้ ในฐานะที่ผมร่วมดูแลวง พอได้ทราบข่าวเราน้ำตาคลอ ดีใจที่ผู้ใหญ่หลายท่านยังให้ความรักกับพวกเรา ครั้งนี้ถือเป็นเวทีใหญ่มากๆ ในรอบหลายๆ ปีของนกแล อยากให้แฟนเพลงของกรีนเวฟได้มาสนุกร่วมกัน และที่สำคัญนกแลมีเซอร์ไพรส์แน่นอนครับ

ทินกร : เรา 2 คนจะทำให้ดีที่สุด ให้สมกับที่ทุกคนรอคอยครับ ดีใจและภูมิใจมากๆ ที่จะได้เจอกับทุกคนอีกครั้ง และยังได้ร่วมเวทีเดียวกับศิลปินในตำนานอีกกว่า 50 ศิลปิน

ตุ๊ดตู่ : จริงๆ เรามีคอนเสิร์ตนกแลเล็กๆ เมื่อปีที่แล้ว เพื่อนำเงินไปสร้างโรงเรียนให้กับอำเภอฝางที่เชียงใหม่ รวมกันเพราะรู้สึกว่าเราอยากเล่นดนตรีกันเอง อยากกลับมาเจอกัน ก็เลยสร้างกิจกรรมขึ้นมาหารายได้ เพราะครูอยากจะสร้างอาคารเรียนชื่อนกแล ที่เชียงใหม่ แต่ครั้งนี้กับคอนเสิร์ต The Lost Love Songs To Be Continued ถือเป็นเวทีใหญ่ที่เราตื่นเต้นกันมาก เราจะมีบทเพลงเก่าๆ ในอดีตที่สร้างชื่อเสียงให้กับเรา มาพาแฟนๆ ย้อนไปสู่อดีตด้วยกันค่ะ

วางแพลนจัดคอนเสิร์ตรวมรุ่นนกแล

ต้อม : เราแพลนไว้ตั้งแต่เมื่อสองปีที่แล้วครับ เพียงแต่ว่าตอนนี้รอผู้อุปการะจัดคอนเสิร์ตให้เราเต็มวง พวกเรายินดีที่จะกลับมารวมตัวกันแบบครบทีม เพื่อพบกับแฟนเพลงที่รักทุกท่าน คงต้องขอโอกาสจากท่านที่จะมาจัดให้เรา พวกเราพร้อมทุกคน รวมถึงน้องๆ ที่อยู่ต่างประเทศก็ยินดีกลับมาให้แฟนเพลงได้หายคิดถึงกันครับ แต่ถ้าอยากติดตามข่าวสารหรือผลงานของนกแล เรามี “นกแล แฟนเพจ” ให้ติดตามกันได้แบบเรียลไทม์ครับ

ขอเสียงสนับสนุนมาแบบนี้ อีกไม่นานคงได้เห็น “นกแล” พกพาของดีในกระเป๋าทั้งเพลงเก่าเพลงใหม่ มาปล่อยของบนเวที ให้แฟนเพลงได้เรียกความทรงจำกันค่ะ

ใบพร้าว

Star Retro : ชีวิตโชกโชน ของหญิงแกร่ง ‘สุกัญญา มิเกล’

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/entertain/227007

วันอาทิตย์ ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2559, 06.00 น.

ทุกชีวิตล้วนมีเรื่องราว ผ่านร้อนผ่านหนาว กว่าที่จะสุข บางครั้งเหมือนจะหมดทุกข์ แต่ความสนุกกลับไม่ได้ยั่งยืนอย่างที่คาดหวังกัน!! เช่นเดียวกับชีวิตของร็อกเกอร์สาวเสียงห้าว “สุกัญญา มิเกล” ที่ขอยกให้เป็นอีกหนึ่งหญิงแกร่งของสตาร์เรโทร เธอสู้อดทนจนบั้นปลายเกือบเคว้ง แต่ไม่คิดเกรงกลัวต่อโชคชะตา!?

เริ่มต้นเส้นทางเพลงในรูปแบบร็อก

จริงๆ เกลเริ่มหลงใหลดนตรีตั้งแต่ 6 ขวบ เพราะว่าเด็กลูกครึ่งที่ไม่มีพ่อ แม่ไม่ได้อยู่ด้วย อยู่กับตายายก็ค่อนข้างเครียด สับสน เราโดนล้อว่าแตกต่าง แปลกประหลาดเราเป็นเหมือนสัตว์ประหลาดสำหรับชุมชนนี้ แล้วพอได้ยินเพลงจากวิทยุของคุณตา ก็มีความรู้สึกว่า อือ..ทำให้เราลืมทุกอย่าง ตอนนั้นอยู่นครสวรรค์ จะมีเพลงเป็นเพื่อนตลอด แต่ไม่เคยคิดหรอกว่าจะได้มาเป็นนักร้อง แต่ชอบร้องนะ เพราะว่าร้องแล้วมีความสุข ส่วนที่มาชอบเพลงร็อก เพราะสมัย 8-9 ขวบ แม่มีเทปคาสเซ็ทเยอะมาก มีทั้ง ดิสโก้ เซาท์เทิร์น คันทรีร็อก ฮิปฮอป อะไรพวกนี้ เขาก็เปิดฟัง แล้วพี่ชายกำลังเป็นวัยรุ่น สมัยนั้น สกอร์เปี้ยนส์ดังมาก แต่ก็ไม่รู้ว่าเขาเรียกว่าร็อกจนกระทั่งเป็นนางแบบแล้ว เริ่มเข้าหาดนตรีตอนอายุ 19 ก็สอบถามจากนักดนตรีว่าเพลงที่เป็นแบบนี้ดนตรีหนักๆ คือเพลงแนวอะไร เพื่อนที่เล่นในวงก็บอกว่า เขาเรียก “ร็อก” เราก็แบบอ้าว..ที่เราชอบนี่คือร็อกเหรอก็เริ่มซึมซับ เรียนโรงเรียนนี่ไม่มีเลย เพราะเราจนไม่มีตังค์ หนังสือให้อ่านก็ไม่มี มีวิธีเดียวที่จะได้เรียนรู้ด้านเพลงคือไปเที่ยวผับ ไปนั่งคุยกับนักดนตรีเป็นพรแสวงของเราที่จะต้องไขว่คว้าหาเอง

เส้นทางออกอัลบั้ม

ตอนนั้นเป็นนางแบบมีงานถ่ายแบบที่ไหนก็ไป สนุก มีความสุขอย่างเดียวเลยค่ะ บ้าบอมาก เล่นกับวงอยู่ที่ผับได้ประมาณเกือบปี ก็มีพี่เชนมาติดต่อ เขาจะทำค่ายใหม่ชื่อ วี.ไอ.พี. เขามาติดต่อว่าลองดูไหม เสียงเกลน่าจะขายได้ คือเสียงแบบนี้ไม่ค่อยมีในท้องตลาดตอนนั้น เราก็ถามว่าต้องเสียค่าอะไรไหม เขาบอกไม่ต้องเสียอะไร ก็ไปทดลองดู แต่จริงๆ สิ่งที่เสียคือการเข้าไปอยู่ในรูปแบบบริษัท ต้นสังกัดจะห้ามเรารับงานเดินแบบถ่ายแบบทุกอย่าง สองปีเหมือนโดนขังคุก แล้วเงินเราก็ไม่มี กลับไปจนอีกเหมือนเดิม พอสองปีอัลบั้มออกมา Release ขายได้ประมาณสี่หมื่นกว่าม้วน ชุดแรก“หน้ากาก” ซึ่งถือว่าเยอะมากในยุคนั้น เพราะว่าโปรโมทน้อยมาก แล้วเราก็เป็นหน้าใหม่ด้วย แต่ว่าสิ่งหนึ่งที่ได้คือว่าเป็นศิลปิน ได้ส่งชื่อเข้าชิงรางวัลศิลปินหน้าใหม่ติดหนึ่งในห้า และหลังจากนั้นมาก็ติดอยู่ตลอด เกลได้ไปทัวร์คอนเสิร์ตกับคาราบาวทั่วประเทศ เก็บเกี่ยวประสบการณ์ เวทีใหญ่เขาทำกันยังไง วางระบบกันแบบไหน คาราบาวเล่นกันยังไง ทำไมเข้าไปในใจคนได้ เราไปไหนก็แล้วแต่เราจะไม่เคยหยุดคิด นี่คือลักษณะที่คนมองว่า “เยอะ” ของเรา แต่จริงๆ เกลถือว่าเราไม่ได้เรียนในโรงเรียนนะ เพราะฉะนั้นทุกที่คือโรงเรียนของเรา (เรียนจบชั้นไหน?) ไม่จบ ม.2 ค่ะ แต่ตอนหลังไปเรียน กศน.ต่อจนจบม.6 แล้วค่ะ เพราะว่าพอมีลูกปุ๊บ เราต้องมีภูมิความรู้ เพื่อวางให้เขาดูได้ว่า ม๊ามี่ยังจบม.6 เลย อย่างน้อยๆ ยูก็ต้องจบเหมือนกัน เป็นตัวอย่างให้ลูก เพราะเวลาที่เขาเกเร อย่างที่เราเคยเกเร เราก็จะได้บอกเขาได้ ยังไงยูก็ต้องจบ ต่อจากนั้นจะบ้าบออะไรก็เรื่องของคุณ

ไม่เคยทิ้งงานเพลง

ไม่มีเลยค่ะ ส่วนธุรกิจ เกลเคยคิดอยากทำเหมือนกัน เพราะมีอยู่ช่วงหนึ่งที่เป็นช่วงรอยต่อระหว่างอนาล็อกกับ ดิจิทัล ช่วงเวลานั้นเป็นช่วงที่เราสับสนมาก จะเดินต่อดีไหม เราเป็นศิลปินยุคอนาล็อกตั้งแต่กดอัดกันทีละท่อน ไม่สามารถตัดต่อได้ ร้องเสียงเดิมตลอด แล้วกว่าจะได้มาแต่ละอย่าง การจัดคอนเสิร์ต มีแบนด์ การซ้อมคอนเสิร์ตทุกอย่างใช้เวลาหมดเลย แต่ตอนนี้ทุกอย่างเร็วหมด ร้องดังก็ไม่ได้ ต้องร้องเบาๆเราก็อึดอัด เลยเริ่มรู้สึกว่า ยุคสมัยเปลี่ยนไป สงสัยจะไม่ใช่ยุคเราแล้วมั้ง ทุกคนต้องร้องเบากันหมดเหมือนกระซิบ เกลมีปัญหาในเรื่องของเส้นทางสายดนตรีที่เขาเรียกว่าเป็น อาร์ติสท์ ก็เลยรู้สึกว่าถ้าอย่างงั้นเราคงจะต้องหาอาชีพอื่นไหม ทำอย่างอื่นไปเลยดีกว่า ปล่อยไปเลย เคยคิดแบบนี้ แต่มีเพื่อนหลายคนเข้ามาดูในผับแล้วบอกว่า เกลหยุดไม่ได้ เกลยังมีกำลังอยู่ ยุคสมัยอาจจะยังไม่ใช่ของเรา แต่ว่าวัดกันที่เล่นสดไหม ซึ่งเล่นสดเกลไม่เคยแพ้ใครนะ สำคัญคือเราไม่ได้มีดนตรีเพื่อเอาไว้ใช้สร้างชื่อเสียง เราต้องคิดใหม่ เรามีดนตรีไว้ในชีวิตเราเพื่อความสุข ดังนั้นเราก็เลยตัดสินใจว่า ไม่ว่าต่อจากนี้ไปเราจะมีอาชีพอะไรเสริมก็แล้วแต่ เราจะไม่หยุดร้องเพลง แล้วเราก็ทำมาเรื่อยๆ

ยังคงทำเพลงใหม่ออกมาเรื่อยๆ

ใช่ค่ะ ลงยูทูบแชนแนลของตนเอง ชื่อว่า Migael World (มิเกลเวิลด์) เมื่อปีที่แล้วปล่อยเพลงชื่อ “สาวใหญ่ใจสวย” ล่าสุดกำลังนำงานเก่าๆ ซึ่งไม่ติดลิขสิทธิ์กับใคร และเป็นเพลงที่เราเขียนเองมาลงยูทูบ โดยใช้เวอร์ชั่นเดิม แต่อาจจะต้องทำเอ็มวีเพิ่ม เพราะว่าที่ผ่านมามีเอ็มวีอยู่ไม่กี่ตัว อีกอย่างสมัยนี้เพลงฟังอย่างเดียวไม่ได้ ต้องดูด้วย ซึ่งเพลงใหม่ที่จะทำ ได้แรงบันดาลใจจากการไปภาคใต้มาค่ะ รู้สึกว่าเพลงแถวเซาท์เทิร์นน่าสนใจ มีกลิ่นอายทางใต้ แต่ยังจะเน้นดนตรีร็อก ซึ่งมิเกลไม่มีสูตรหรือสไตล์แน่นอน ถ้าเข้าไปฟัง “สาวใหญ่ใจสวย” จะรู้ว่าเสียงดนตรีพาไป ดังนั้นใครอยากเสพงานที่แตกต่าง ลองเข้าไปดูกันค่ะ เป็นงานดนตรีจากหัวใจเกลจริงๆ เรื่องจะดังไม่ดัง เราผ่านมาแล้ว ความดังไม่จีรัง ขอแค่เห็นคนเข้าไปคลิกฟังงานเรา หรือตัวเราเองได้นั่งฟังผลงานของตัวเอง ก็มีความสุขแล้วค่ะ เพราะฉะนั้นเราถือว่าความดังมาแป๊บเดียว แต่ตัวดนตรีจะอยู่ตลอด ตรงนี้แหละที่สร้างความสุขให้เราได้มากกว่า

ฝึกฝนและเรียนรู้งานทีวี.เพิ่มเติม

มีช่วงหนึ่งได้ทำรายการทีวี. โชคดีมาก ได้ฝึกฝนในเรื่องของการตัดต่ออยู่ 7 ปี ก็เลยตัดเอ็มวีเองซะเลยตอนนี้ไม่ต้องจ้างใครแล้ว เพราะบางทีคนที่เรียนมาระบบการคิดจะเป็นขั้นเป็นตอน แต่อย่างเราน่ะเรียนน้อยระบบความคิดเราไม่ดีพอ เราคิดในหัวได้ แต่เราไม่สามารถถ่ายทอดมาเป็นสตอรี่บอร์ด เลยโชคดีมากที่ได้ฝึกฝนเรื่องของการตัดต่อเอง งบน้อยเลยไม่ต้องจ้างใคร (หัวเราะ) ข้อดีของเราคือเราไม่ได้เรียนสูข้อเสียของเราก็เราไม่ได้เรียนสูงเหมือนกัน เกลนอกกรอบจนไม่มีฐาน พอไม่มีฐานปุ๊บบางทีคนที่ทำงานร่วมกับเราเขาไม่เชื่อ จนกว่าเราจะทำให้เขาเห็น

สถานที่พบปะของแฟนเพลง สุกัญญา มิเกล

ตอนนี้เกลเล่นดนตรีร้องเพลงอยู่ตามผับค่ะแล้วก็รับงานโชว์ตัวทั่วไป ขึ้นคอนเสิร์ตร่วมแจมกับคนอื่นๆ บ้าง ล่าสุดกลางเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ไปเล่นกับพี่เป้ ไฮร็อก ที่จังหวัดแพร่ ส่วนงานที่เราขายเองก็มีคือเล่นประจำที่ร้าน “บราวน์ชูการ์” เฉพาะวันอาทิตย์ เป็นอะคูสติก ร็อก เวลาสองทุ่มครึ่ง แล้วก็มีที่ “ปาร์คกิ้งทอยส์” ผับแอนด์เรสเตอรองท์ อันนี้เล่นมาสิบปีแล้วค่ะ จะเล่นทุกวันอังคาร เวลาเที่ยงคืน เป็นฮาร์ดร็อกแบนด์และที่ร้าน “ไรโน่บาร์” พระราม 2 คือใช้ชีวิตตอนกลางคืนเป็นหลักค่ะ (หัวเราะ)

กลับมาขึ้นคอนเสิร์ตใหญ่

ก่อนอื่นต้องบอกว่ามีความสุขมาก ขอบคุณกรีนเวฟสุดๆ ที่ชวนขึ้นคอนเสิร์ต กรีนเวฟ ครั้งที่ 19The Lost Love Songs To Be Continued ร้อยเพลงรักที่กลับมา เพราะว่าอย่างน้อยๆ เป็นการให้เกียรติศิลปินอย่างเรา เพราะเราเองก็ไม่ได้อยู่ค่ายใหญ่อะไร อยู่วอร์เนอร์มิวสิก แล้วก็หลุดจากวอร์เนอร์มิวสิก มาเป็นสิบๆ ปีแล้ว แต่โชคดีที่แฟนๆ ยังชอบเพลงอยู่ ไม่ว่าจะเป็น “รักเธอจริงๆ”, “ดีดีกันไว้” ทุกครั้งที่ร้อง จะบอกตัวเองตลอดว่าพระเจ้าส่งเพลงนี้มาให้จาก พี่ตู๋ (ปิติ ลิ้มเจริญ) กับ พี่ปุ้ม (พงศ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา) แล้วพระเจ้าประทานให้มันเข้าไปในใจทุกคนที่ได้ยิน ทำให้เรามีอาชีพร้องเพลงอยู่ได้ และยังได้ขึ้นคอนเสิร์ตดีๆ อีกด้วย

รายได้ไม่ค่อยดี แต่มีความสุข

ทุกวันนี้ยังจนเหมือนเดิมค่ะ ไม่มีตังค์เหมือนกับศิลปินท่านอื่นเขา ศิลปินบางคนขึ้นคอนเสิร์ตได้ทีเป็นหมื่นแต่ของเกลบางทีห้าพันบาท แถมยังต้องแบ่งวง เพื่อให้นักดนตรีมีงาน เราก็ต้องยอมลดหลั่นของเรา ไม่ได้คิดว่านี่คือการเสียสละนะคะ แต่เป็นการเดินไปด้วยกัน อย่างน้อยๆเราก็ไม่ใช่กรรมกรไม่ต้องลำบากเหมือนคนอื่นเขา แต่ถามว่าชีวิตเราร่ำรวยไหม ไม่เลย แล้วยิ่งหลังๆ มายิ่งกระท่อนกระแท่นค่ะ

ความเสี่ยงครั้งใหม่

ฐานะกระท่อนกระแท่นอยู่ยาวนานตั้งแต่ปี 2541แล้วค่ะ เพราะว่าค่าครองชีพประเทศไทยไม่ได้ลดลงมีแต่เพิ่มขึ้น แล้วทุกอย่างที่เพิ่มขึ้นไม่เคยสูญสลายไป แต่รายได้ของเราสูญสลายไป เพราะฉะนั้นทำงานอย่างเดียวไม่พอ ต้องพยายามที่จะคิดต่อไปว่าเราจะทำอะไร มีคนเตือนนะว่าอย่าเพิ่งลงทุนทำอะไร แต่เราคิดว่า การลงทุนคือความเสี่ยง การใช้ชีวิตก็คือความเสี่ยง การเลือกเส้นทางในชีวิตของเราที่เราเลือกเพลงร็อกตั้งแต่ต้น นี่ก็คือความเสี่ยงอย่างหนึ่ง ถ้าไม่เสี่ยง ไม่ล้มก็ไม่รู้ว่าจะสำเร็จไหมฉะนั้นปลายปีนี้ก็ว่าจะลองทำอะไรบางอย่างเป็นฐานไว้สำหรับตัวเอง แต่เราก็ต้องคัดสรรสิ่งที่เราอยู่ด้วยแล้วเราไม่เกิดความทุกข์ คือถ้าจะให้ไปเป็นพนักงานหรือเป็นครู เข้า- ออกงาน ตามเวลา ผจญกับรถติดเช้าเย็นอย่างชาวบ้านเขาก็ไม่เอานะ ไม่ใช่ตัวเรา หรือบางทีการทำงานอยู่ในช่วงเวลาจำกัด ในบริษัทจำกัด การคิดแบบแตกยอดในการสร้างสรรค์น้อยลงไปเยอะนะ ถึงอายุจะมากขึ้น แต่เกลยังไม่รู้สึกว่าตัวเองแก่ เราแก่เฉพาะหน้า แต่ใจเรายังซู่ซ่าอยู่เลย(หัวเราะ) เลยอยากใช้ชีวิตให้คุ้มค่ะ

ประเด็นหย่าร้างที่ผ่านมา

เป็นเรื่องปกติที่มนุษย์เราคาดหวังจะให้ชีวิตสมบูรณ์แบบ ยายสอนเกลไว้ว่าเกิดเป็นผู้หญิงเดี๋ยวก็ต้องมีครอบครัว ต้องมีลูก เพราะฉะนั้นเรียนรู้การทำหน้าที่ของแม่และภรรยาซะ นับแต่เราเริ่มเป็นประจำเดือนมาเลย ทีนี้สิ่งที่ยายสอนเราก็มองว่าเป็นเรื่องที่ Success ในชีวิต คือสูตรสำเร็จของคน แต่ในความเป็นจริงแล้ว พอเราพยายามที่จะเป็นภรรยา พยายามที่จะเป็นแม่ สิ่งที่ได้กลับคืนมาคือความว่างเปล่า เลยหันกลับมามองย้อนดูตัวเอง เราเกิดมาเป็นผู้หญิง พระเจ้าให้เราเกิดมาทำหน้าที่แค่นี้เหรอ แล้วชีวิตเราอยู่ไหน ความสุขเราอยู่ไหน ถ้าเราทำหน้าที่อย่างเดียว แต่เป็นหน้าที่ที่เราไม่มีความสุขล่ะ แล้วแบบนี้เราจะตายเร็วไหม เครียดดังนั้นเมื่อลงทุนลงแรงลงใจแล้วได้กลับคืนมาในสิ่งที่ไม่คุ้มค่า คือไม่ได้รับคุณค่าในฐานะภรรยา ไม่ได้รับคุณค่าในฐานะแม่ เท่านี้ก็จบแล้วชีวิตคู่ เพราะฉะนั้นเราก็ถอนหมดทุกอย่าง

ชีวิตคู่ที่ไม่สมหวัง

เกลไม่รู้สึกเสียใจกับการใช้ชีวิตคู่ เพราะว่าเราได้เรียนรู้ว่าศักยภาพในการอดทนของเรามีมากขนาดไหน ซึ่งไม่เคยรู้มาก่อน ถ้าเป็นคนอื่นอาจฆ่าตัวตายไปแล้ว แต่เกลยังอยู่ เรารู้สึกว่าเฮ้ย…เกลคนนั้นแกร่งมากเลยนะ แกร่งกว่าตอนนี้อีก แต่ว่าเราผ่านมาแล้วเราเริ่มมองและรักตัวเองมากยิ่งขึ้น แทนที่จะฝากความรักไว้กับคนอื่น แบบที่เรามีความสุขได้ถ้าเขามีความสุข ทำไมเราจะต้องคอยเก็บเกี่ยวความสุขจากการที่เขาสุขอย่างเดียว ดังนั้นเกลไม่รู้สึกเสียดายที่เราไม่ประสบความสำเร็จเรื่องชีวิตคู่ แต่ถือว่าเราได้รู้ศักยภาพของตัวเอง ได้หันมามองตัวเองว่าจริงๆ แล้วตัวเองอยู่เพื่ออะไรอันนี้สำคัญมากสำหรับชีวิตมนุษย์ หลายครั้งที่นั่งอยู่คนเดียวหลังบ้าน แล้วถามตัวเองกับพระเจ้าว่า เรามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร แล้วสิ่งที่เสียดายก็คืออายุ ขวบปีที่เดินผ่านไปในฐานะภรรยา แทนที่เราจะได้ทำงานในสิ่งที่เรารักต่อเนื่อง คือการครีเอทงานเรามีมาตลอดนะ แต่ดรอปไปด้วยหลายๆ สิ่ง ดรอปด้วยการที่เขาไม่โอเค ดรอปด้วยการที่เราท้อง ดรอปด้วยการที่เราจะต้องหาเงินตลอดเวลาเหล่านี้ร่วม 18 ปี ที่ทำให้การทำงานเราดรอป ช่วงเวลาขนาดนี้ถ้าเราทำอัลบั้มจะได้ตั้งกี่อัลบั้ม นั่นเป็นช่วงชีวิตของการเป็นอาร์ติสท์ของเกลที่หายไป เหลือแค่การเป็นนักร้องหาเงิน แต่เรารู้สึกขอบคุณชีวิตคู่ที่ทำให้รู้ว่าตัวเราจริงๆ คืออะไร และทำให้เรารักตัวเองเป็น มีความสุขได้โดยที่ไม่ต้องมีใคร เมื่อก่อนไม่ได้นะ เป็นคนที่จิตใจอ่อนปวกเปียก ต้องคอยพึ่งพาอาศัยคนอื่นในการที่จะอยู่อย่างมีความสุข แต่ตอนนี้เราแข็งแรงแล้ว

ความสัมพันธ์กับลูกๆ

คนเล็กตอนนี้เกลดูแลอยู่ค่ะ ชื่อ “น้องทาร์เนียร์” 7 ขวบ ส่วนคนโต “น้องเลอร์เบียร์” เป็นผู้หญิง อยู่กับพ่อเขา ต่างคนต่างดูแลลูก ไม่ต้องมีใครส่งเสียกันและกัน เพราะเกลไม่สามารถเป็นเพื่อนกับเขาได้เลย ตอนนี้ก็พยายามมีความสุขกับลูก แต่ถ้าวันใดที่พี่น้องเขาพร้อมที่จะมาหากัน เราก็โอเค ตอนนี้เขายังไม่พร้อม ความสัมพันธ์ของแม่กับลูกมันไม่มีทางขาด พอเขาโตขึ้นน่าจะเข้าใจ เกลเคยกังวลมากช่วงที่หย่ามาใหม่ๆ ว่าลูกอาจจะได้รับอะไรมาผิดๆ คิดอะไรแผลงๆ แต่ก็มีเพื่อนมาเตือนสติว่า อย่าดูถูกศักยภาพสมองของลูก เพราะเราก็เชื่อว่าไอคิวเราก็สูงพอสมควร เขาน่าจะคิดคำนวณได้ในอนาคตค่ะ

กลับมาสนุกกับชีวิตอีกครั้ง

ใช่ค่ะ ตอนนี้กำลังสนุกกับการคิดงาน สร้างงาน ตังค์ก็ไม่ค่อยมีหรอก(หัวเราะ) แต่ว่าได้ใช้สมองเยอะเกลชอบทำเอ็มวี และชอบที่จะเห็นเอ็มวีตัวเอง เมื่อก่อนนะกว่าจะได้เอาเอ็มวีตัวเองออกทีวี.โคตรยากนาทีละเก้าหมื่นบาท!! แต่ตอนนี้พอมียูทูบ ลงสนุกเลยทีนี้ (หัวเราะร่วน)

แหม!!! สนุกกับของเล่นชิ้นใหม่แบบนี้แฟนเพลงคงได้ฟินกับเสียงเท่ของมิเกลได้ไม่ยาก แถมยังได้ฟังกันแบบเต็มอิ่มดูกันอย่างมีความสุข เพราะฟังฟรีดูง่ายขนาดนี้ มิเกล เขาจัดให้ค่ะ

ใบพร้าว

Star Retro : ‘หมวย-อัญษนา บุรานันท์’ ใช้ชีวิตคู่มากว่า 10 ปี ถึงไม่มีลูก แต่ขอสนุกกับงาน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/entertain/224828

วันอาทิตย์ ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2559, 06.00 น.

ย้อนวันวานนึกถึง ซุป’ตาร์นางแบบ แถวหน้าของเมืองไทย คงขาดไม่ได้กับชื่อของ “หมวย-อัญษนา บุรานันท์” เด็กสาวต่างจังหวัดที่ก้าวเข้ามามีชื่อเสียงในวงการนางแบบ จากนั้นผันตัวสู่งานแสดง โลดแล่นด้วยดี ก่อนที่เธอจะเงียบหายไปกว่า 10 ปี!? และกลับมามีผลงานอีกครั้งในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา

“ตอนนี้กลับมารับงานละครเต็มตัวเลยค่ะสนุกที่ได้มากอง ได้เจอพี่ๆ น้องๆ ความรู้สึกเหมือนเราได้กลับเข้าโรงเรียน เพื่อนเยอะแยะ สำหรับวงการละครหมวยหายไปนานเลยค่ะ น่าจะสิบกว่าปี เรื่องท้ายๆ ที่เล่นตอนนั้นคือ “อย่าลืมฉัน” ที่เล่นเป็นเกนหลง เป็นแฟน “พี่พีท ทองเจือ” และก็เป็นนางเอกเรื่อง “เดชแม่ยาย” คู่กับ “อัษฎาวุธ เหลืองสุนทร” ก่อนหยุดไปค่ะ”

ช่วงที่หายไปจากวงการ

หมวยไปมีครอบครัวค่ะ แต่ว่าไม่มีลูก เลยเหงาๆ เหมือนกัน เพราะว่าเราอยู่บ้านไม่ได้ทำอะไรมีผู้จัดฯ หลายที่โทร.มาชวนเหมือนกัน ว่ากลับมาเล่นละครไหม ซึ่งก็ต้องขอบคุณ “พี่ตุ๊กตา-จิตรลดา กัลย์จาฤก”ที่ชวนมาเล่น พี่เขาเคยบอกไว้ว่าถ้าจะกลับมาเล่นละคร เล่นกับพี่เขาก่อนนะ เราก็รอค่ะ จน 2 ปีผ่านไป พี่ตุ๊กตาไลน์มาบอกว่า…ตามสัญญา เราก็โอ้โห! กินใจเรามาก คือเขาไม่ลืมเรา พี่ตุ๊กตาน่ารักมาก ด้วยความที่ตัวละครเขาเยอะนะ ตัวเลือกก็เยอะมาก แต่ว่าพี่เขาก็ยังนึกถึงเราต้องขอบพระคุณพี่ตุ๊กตามากๆ ค่ะ เลยได้กลับมาเล่นเป็นคุณแม่ “น้องมิน-พีชญา” เรื่องล่ารักสุดขอบฟ้า ซึ่งฟีดแบ๊กดีมาก ทุกคนก็พูดถึง คือจะมีคอมเม้นท์ในพันทิปว่าพูดจาฉะฉานชัดเจน, ร เรือ ควบกล้ำชัด, กลับมาแล้วพี่เขาสวยนะ อย่างนั้นอย่างนี้ ในไอจี @muay_ansana ก็มีเข้ามาแสดงความคิดเห็นมากมาย ก็ฝากติดตามกันด้วยนะคะ เมื่อก่อนจะปิดเป็นไพรเวท “พี่ต้น-จักรกฤษณ์” ก็บอกว่าเราเป็นคนสาธารณะจะมาปิดทำไม ก็เลยเปิดและจะลงรูปเวลาไปถ่ายละครซะส่วนใหญ่ เล่นล่ารักสุดขอบฟ้าตอนปี’57 หลังจากนั้นก็ยาวมาเลยค่ะ ออกอากาศไล่ๆ กันมาเลยคือ เรื่อง ทะเลไฟ, ทายาทอสูร, ชื่นชีวา (ได้รับบทแสนดีตลอด?)ด้วยหน้ามั้งคะ (หัวเราะ) แต่จริงๆ ก็เล่นร้ายได้นะคะ แต่ต้องขอดูความยากง่ายของบทนั้นๆ ไม่ใช่แบบแว้ดๆจิกด่า ถ้าจะให้เราไปแว้ดๆ จิกด่าเราคงทำไม่ได้ เพราะเรารู้สึกว่าเรายังฝึกมาน้อยสำหรับคาแร็กเตอร์แบบนั้นจะให้ไปพูดด่าพูดจามึงมาพาโวย รู้สึกว่ามันไม่ใช่คงต้องเข้าคอร์สเรียนการแสดงเพิ่มค่ะ

ภาพจำที่คนทั่วไปมักคุ้น คือการเป็นนางแบบ

ใช่ค่ะ ตอนนั้นงานแฟชั่นโชว์เยอะมาก รวมทั้งถ่ายโฆษณา งานละครก็มีมา ช่วงนั้นเหมือนเป็นยุคทองของเรา (หัวเราะ) คือวันนึงเดินแบบประมาณ 3-4 งานและถ่ายหนังสือด้วย ถ้ารับงานละครมันก็จะกินเวลาพอสมควร บางทีทั้งวันเลยหลายเดือนกว่าจะจบจะหนักเกินไป ดังนั้นทำอะไรเราต้องทำให้ดีต้องแบ่งกันแต่เรารับงานเดินแบบและถ่ายโฆษณาพรีเซ็นเตอร์มากกว่า ไหนจะมิวสิกวีดีโออีก

สนุกสนานหลังแคตวอล์ก

สนุกมากค่ะ เพราะตอนนั้นนางแบบจะมีน้อยเราสนิทกันหมด เพื่อนร่วมรุ่นสมัยนั้นก็จะมี จอย-วราลักษณ์,คาร่า พลสิทธิ์, แมว-ชลิดา, อุ๋ม-อาภาศิริ, นาตาชา เปลี่ยนวิถี, เยลหลี เยอราดีน รุ่นนี้กันเลยค่ะ จะเดินวนกันอยู่ประมาณนี้ ตอนแรกเราก็ยังคิดมากอยู่นะ คือเขาติดต่อมาตอนสามสิบกว่าๆให้เล่นเป็นบทแม่ ก็เคยคิดในใจว่าถ้าเลขสี่ปุ๊บแล้วมีใครให้เล่นก็จะเล่น ความรู้สึกเราคือด้วยวัยมันรับได้แล้ว ถ้าเรามีลูกก็คงจะอายุประมาณยี่สิบกว่าแล้ว ก็เลยตัดสินใจมารับบทแม่

สิ่งที่รักในงานนางแบบ

ชอบเดินแบบเพราะคิดว่าชีวิตจริง เราคงไม่ได้ใส่เสื้อผ้าเยอะขนาดนั้น และเราก็ได้พรีเซ็นต์ให้ดีไซเนอร์ สนุกได้เป็นหลากหลายคาแร็กเตอร์ คล้ายๆ กับละคร และการทำงานที่คล้ายกันก็คือต้องมีสมาธิกับการทำงาน แต่ว่าละครจะยากกว่าเยอะ เพราะว่ามีการพูดเข้ามา คำถามที่เจอบ่อยที่สุดก็คือ เป็นนางแบบทำไมไม่ยิ้ม (แล้วเหตุผลที่ไม่ยิ้ม?)คือเราต้องอินกับอารมณ์มากกว่า จริงๆ ก็ยิ้มนะคะสมมุติว่าเราเดินแบบเสื้อผ้าวัยรุ่นสนุกมันส์ๆเราก็จะยิ้มเฮฮาร่าเริง ส่วนชุดไหนที่เป็นดราม่าหน่อยมีเรื่องราว เราก็จะอินตามเรื่องตามราวที่เขามอบหมายให้ แต่แรกๆ ที่เข้ามาถ่ายแบบก็มีเคอะเขินบ้างเหมือนกัน เพราะว่าเราก็เป็นเด็กต่างจังหวัดสาวหนองคาย ตอนที่ถ่ายหนังสือครั้งแรกยังจำบรรยากาศได้อยู่ค่ะ คือเรายังเด็กมากรู้สึกว่าจะโพสต์ยังไงนะ แต่สไตลิสท์เขาจะเป็นคนบอกท่า ว่าเราต้องยืนยังไง ต้องบิดอย่างนี้นะเราก็ค่อยๆ เรียนรู้ดูหนังสือแมกกาซีน บางทีก็ดูพวกแฟชั่นในทีวี.ด้วย และรุ่นพี่เขาก็ช่วยสอน

หมวยในวัยเด็ก

เป็นเด็กขี้อายค่ะ ไปหน้าห้องเรียนแสดงกิจกรรมก็เขินเหมือนกัน แต่ว่าก็มักจะได้รับให้ทำเรื่อยๆ ไปเป็นดรัมเมเยอร์ เชียร์ลีดเดอร์บ้าง ไปรำ ถือป้ายของโรงเรียนบ้าง เหมือนได้ทำกิจกรรมบ่อยๆ ได้รับการสนับสนุนจากคุณครูที่โรงเรียน ตั้งแต่เด็กๆ และการที่ได้เข้ามาในวงการแฟชั่นก็เหมือนโชคชะตานะคะ คือตอนนั้นที่โรงเรียนเขามีแสดงโชว์ผ้าไหมของจังหวัด ก็มีร้านชลธิชาที่เขานำผ้าไหมมาแสดง เราก็ไปเดินแบบให้เขา แรกๆ ก็เดินไม่เป็นต้องเอารองเท้าส้นสูงไปซ้อมเดินที่บ้าน เขาก็มีช่างแต่งหน้าทำผมมาจากกรุงเทพและนางแบบไปด้วย เราก็เลยได้เดินกับเขาช่างทำผม “อาจารย์ทัศนีย์” ที่อยู่เกศสยาม ก็มาทำให้และเห็นแววบอกว่าถ้าได้เข้าไปกรุงเทพฯให้โทร.หานะ อะไรแบบนี้ ก็เลยเหมือนฟ้าลิขิตค่ะ หลังจากนั้นเราก็มีงานมาเรื่อยๆ ท่านก็ฝากให้ถ่ายหนังสือ จนได้มาเจอกับ “พี่พจน์-อานนท์” คือมีคนส่งรูปเราเข้าไปที่อิมเมจก็เลยมาเจอ “พี่ใหญ่-อำมาตย์” ได้มาถ่ายอิมเมจเลย

ความเห็นจากครอบครัว

จริงๆ ที่บ้านไม่ค่อยชอบค่ะ เพราะว่าเป็นครอบครัวคนจีน เขาไม่ค่อยชอบเรื่องบันเทิงเต้นกินรำกินอะไรพวกนี้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราทำได้คือเราต้องรักษาภาพลักษณ์ตัวเองไม่ให้เสีย ต้องเลือกรับงาน โป๊ก็ไม่ถ่าย คือเราเป็นเด็กมาจากต่างจังหวัดแล้ว พอเวลาเรากลับบ้านก็ต้องไม่ให้ที่บ้านเสียชื่อเสียงชุดว่ายน้ำมีถ่ายค่ะ แต่คือหลังจากเข้าวงการมานานอายุมากขึ้นแล้วถึงจะถ่าย แต่ถ้าช่วงแรกๆ นี่จะไม่รับเลยมีติดต่อมาเยอะ หนังสือดิฉันจีบอยู่ตั้ง 3-4 ปี เราถึงยอมถ่ายแบบชุดว่ายน้ำ นางแบบกลายเป็นอาชีพหลักไปเลยค่ะ คือทำมาประมาณ 20 กว่าปี

กับฉายา “หมวย ชีวาส”

คือสมัยก่อนหมวยจะดังมาจากงานโฆษณาด้วย ชิ้นแรกก็คือชีวาส ของหมวยโปรโมทเป็นเรื่องที่ 2ทูเลิฟซัมบอดี้ เรื่องแรกเป็นไมเคิล หว่อง กับภรรยาของเขา เรื่องที่ 2 เป็นเรื่องของเราซึ่งเป็นโฆษณาที่ฉายยาว 2-3 นาที ฟีดแบ๊กดีมาก เพราะว่าตัวนั้นจะเป็นเพลง จำได้ว่าเป็นโฆษณาตัวแรกในประเทศไทยที่ออนแอร์ทุกช่องในเวลาเดียวกัน และทุกคนก็คิดว่าเป็นสาวฮ่องกง (หัวเราะ) แต่จริงๆ คือเราเป็นสาวไทย เพราะว่าเขามีออนแอร์ในเอเชีย ก็มีฮ่องกง จีน เราถ่ายกับ คุณสตีฟ เป็นลูกครึ่งอเมริกันญี่ปุ่น ถือเป็นโฆษณาทีวี.ชิ้นแรกที่ทำให้เรามีชื่อเสียง และเริ่มมีหนังสือพิมพ์ติดต่อมาขอสัมภาษณ์ คนก็เลยเริ่มรู้จักว่าเราเป็นคนไทย เริ่มมีงานเข้ามา และมีอีกหลายชิ้น ทั้งแชมพู สบู่ ออนแอร์ทั้งในไทยและต่างประเทศ และโฆษณาที่ดังอีกตัวก็คือเนสกาแฟที่เล่นคู่กับ คุณโจเซฟ เฮนรี่ เป็นคนฟินแลนด์แล้วมาทำงานในเมืองไทย ก็ได้ทำงานร่วมกันหลายชิ้นเหมือนกันค่ะ

เข้าสู่วงการแสดง

เล่นละครเรื่องแรก “ฝากใจไว้ให้ใครสักคน” โดยมี “พี่ต้อ มารุต” กำกับการแสดง และเป็นละครเรื่องแรกทางช่อง 5 ที่ออนแอร์ก่อนข่าว จำได้ว่าไปถ่ายที่นิวซีแลนด์ ไปอยู่ที่นั่นเดือนนึง ทำงานกันทุกวันอย่างสนุกสนาน พอละครออนแอร์เราไปไหนมาไหนคนก็จะเรียกว่าเมย์ เพราะว่านางเอกชื่อเมย์ แต่หมวยจะรับละครน้อยมากค่ะอีกเรื่องที่เด่นๆ ก็คือ “อย่าลืมฉัน” ที่เล่นกับ “พี่แอน สิเรียม”, “พี่พีท ทองเจือ” และก็มีเล่นรับเชิญบ้าง ส่วนมากจะเป็นเล็กๆ ไม่ค่อยเล่นบทอะไรที่ใช้เวลาเยอะ เพราะว่าสมัยก่อนเราจะอินกับแฟชั่นโชว์กับถ่ายแมกกาซีนมากกว่าและเรื่องสุดท้ายที่เล่นคือ “เดชแม่ยาย” แล้วก็หยุดไปมีครอบครัว

งานเดินแบบวันวานกับวันนี้

ยังคิดถึงอยู่นะคะ แต่ว่าสมัยนี้จะไม่มีเข้ามาแล้ว เพราะว่าเด็กสมัยนี้ก็สูงๆ ทั้งนั้น และเขาจะฮิตกับการใช้นางแบบที่เป็นลูกครึ่งฝรั่ง รวมทั้งเดินกันหลายคน 1 งานจะมีนางแบบ 20-30 คน และใส่แค่ชุดเดียว แต่สมัยก่อนเราใส่เดินกันที 8 ชุด 12 ชุด ด้วยความรวดเร็วแป๊บๆ เปลี่ยนชุดแล้ว ก็เลยจะเป็นความแตกต่างของแฟชั่นโชว์ยุคนั้นกับยุคนี้ และกรุ๊ปเราจะมีกันอยู่แค่ที่เอ่ยมา 15 คนนี่ถือว่าใหญ่มากแล้วนะคะ แล้วเราก็จะวนๆ กันไป วงการนางแบบให้ประสบการณ์ที่ดีมากเลยนะคะ ทำให้เราได้เรียนรู้คนเยอะเลย วงการนี้ให้หลายสิ่งมาก ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนฝูง การวางตัวในสังคม คือหมวยเป็นคนที่ออกจะหัวโบราณหน่อย เราคนไทยยังไงก็ต้องประเพณีไทย ไปลามาไหว้ ขอบคุณ เวลาที่ใครทำอะไรให้เราก็จะยกมือไหว้ตลอด แต่สมัยนี้อาจจะเปลี่ยนไป

ครอบครัวเล็กๆ แต่อบอุ่น

สามีเป็นคนนอกวงการค่ะ ยังไม่มีน้อง เมื่อก่อนเคยคิดจะมีแล้วมันไม่มี ก็ไปปรึกษาคุณหมอ แล้วพอนานไปก็ยังไม่มีอีก เราก็รู้สึกว่าพอไม่มีลูกมันก็สะดวกดีเหมือนกัน เวลาเพื่อนฝูงชวนไปไหนเราก็แพ็กเสื้อผ้าไปได้เลย ถ้ามีลูกชีวิตอาจจะเปลี่ยน คือทุกสิ่งทุกอย่างต้องทุ่มเทให้ลูกมากขึ้น ไปไหนก็ต้องคิดหน้าคิดหลังให้ดี

สิ่งที่อยากจะทำในวงการบันเทิง

อยากลองทำงานพิธีกรค่ะ อาจจะเป็นพวกเกมโชว์หรือว่าวาไรตี้ อันนี้คือเป็นสิ่งที่ท้าทายที่ยังไม่เคยทำ แต่พิธีกรงานอีเวนท์อะไรแบบนี้สมัยก่อนเคยทำมาแล้ว รับหมดค่ะอะไรที่เป็นตังค์รับหมด (หัวเราะ) แต่ถ้าให้ไปผลิตรายการเองอาจจะไม่ไหว เพราะว่าเราก็อายุเยอะแล้ว อย่างละครเรารู้สึกแฮปปี้นะเพราะว่าได้กลับมาเล่นอะไรที่เรารัก คือสมัยก่อนนี้ชอบนะละคร ยังมีโอกาสไปเล่นละครเวทีเลย รู้สึกสนุกเพราะว่าได้แอ๊กติ้งเยอะๆ คนดูเยอะมันได้อารมณ์ความสดที่พอมีอะไรผิดพลาดเราก็ต้องรีบแก้ไขเป็นอารมณ์อีกอย่าง คือเราเป็นคนที่รักและชอบในการแสดง แต่ว่าด้วยหลายๆ อย่างเลยทำให้เราไม่สามารถรับได้มาก แต่พอกลับมาครั้งนี้ก็เลยสามารถรับได้เต็มที่ จัดเต็มเลยค่ะ แต่ก็ต้องทำการบ้านให้หนักกว่าคนอื่นเขา เพราะว่าเราก็หายไปนาน

เคล็ดลับการดูแลสุขภาพ

คือพอเราอายุมากขึ้น ถ้าทานอาหารแล้วไม่ออกกำลังกายมันจะสะสมทำให้อ้วน เราก็จะหลีกเลี่ยงโดยการไม่กินของมันๆ อย่างกะทิ ของทอด ถ้าเป็นไปได้ก็พยายามหลีกเลี่ยงไม่กินค่ะ และก็ออกกำลังกาย ดื่มน้ำเยอะๆ พยายามไม่เครียดมันก็ช่วยได้เยอะ ควบคุมน้ำหนัก แต่มีช่วงนึงแอบทานทุเรียน คือจริงๆ เป็นคนชอบทานทุเรียนมาก เราไม่ได้ทรมานตัวเองนะคะแต่รู้สึกว่าชอบ เราก็กิน แต่กินไม่เยอะเหมือนสมัยก่อนที่เราเด็กๆ จะกินนิดนึงพอให้หายอยาก ชอบโดนแซวจากพี่ๆ ช่างทำหน้าทำผมว่าดูเด็กจังเลย เราก็เขินนะ แต่มันก็เป็นกำลังใจให้เรายิ่งต้องดูแลสุขภาพมากขึ้น

แง่คิดดีๆ ในการดำเนินชีวิต

จริงๆ หมวยผ่านอะไรในวงการ มาเยอะ เพราะว่าเราก็อยู่มานาน มีกิเลสเยอะ กว่าจะผ่านมาถึงขนาดนี้ได้ โดยที่เราไม่ทำให้เสียชื่อเสียง ให้ภาพที่ออกมายังเป็นสิ่งดีๆ ทุกคนยังนึกถึง คือไม่ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด ดูแลตัวเองและเป็นตัวอย่างดีๆ เราจะเริ่มจากคนใกล้ๆก่อน ทำให้เขาเห็น แล้วคนอื่นก็จะค่อยๆ เห็นเอง ทำให้คนใกล้ตัวมีความสุข แล้วสิ่งที่ได้กลับมามันก็จะเป็นความสุขกับเรา คือพูดง่ายๆ เราคิดดีทำดีมีสติในการใช้ชีวิตเท่านั้นเอง แต่บางทีมันก็มีหลุดเหมือนกัน เพราะชีวิตคนเราไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ทุกคนมีปัญหาหมดเพียงแต่ว่าเราจะคลองสติและทำให้มันออกมาดีแค่ไหนเท่านั้นเองค่ะ

สุดท้ายหมวยอยากจะขอบคุณผู้ใหญ่ทุกๆ ท่านสำหรับโอกาสดีๆ ในวงการบันเทิงไทย และขอบคุณแฟนๆ ที่ต้อนรับหมวยเป็นอย่างดี ผู้จัดท่านใดสนใจก็ติดต่อมาได้นะคะ(ยิ้มหวาน) หมวยรู้สึกสนุกมาก เราได้เปิดประสบการณ์ใหม่อีกครั้ง เพราะว่ายังมีนักแสดงอีกเยอะเลยนะที่เรายังไม่เคยทำงานด้วย อย่างพี่หมู-ดิลก, พี่อุ้ย-เกรียงไกร, พี่เหมียว-ชไมพร, พี่ต้น-จักกฤษณ์, อาดวงดาว ซึ่งเราก็ปลื้มเขาอยู่แล้ว พอได้ร่วมงานด้วยก็รู้สึกตื่นเต้น ขนลุกมือไม้เย็นไปหมดเลยยิ่งต้องทำการบ้านหนัก กลัวว่าถ้าไปเข้าฉากกับเขาแล้วเกิดจำบทไม่ได้ จะทำให้คนอื่นเขาเสียเวลาค่ะ

แม้จะผ่านประสบการณ์ทางการแสดงมาแล้วมากมาย แต่ “หมวย-อัญษนา บุรานันท์” ยังไม่หยุดที่จะเรียนรู้ โดยหยิบยกรุ่นพี่นักแสดงเป็นครู ผู้ชมคงได้ดูผลงานละครของเธออย่างต่อเนื่องแน่นอนค่ะ

กุหลาบสีเงิน

Star Retro : ‘ออดี้’ ธนะยศ จิวานนท์ ยอมปฏิเสธเงินร่วม 20 ล้าน เพื่อขออยู่กับงานดนตรี

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/entertain/223652

วันอาทิตย์ ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2559, 06.00 น.

ยังคงเอกลักษณ์ทั้งหน้าตาและทรงผม สำหรับนักร้องหนุ่ม “ออดี้” ธนะยศ จิวานนท์ ที่หายหน้าหายตาจากเบื้องหน้า ไปเป็นเจ้าของรีสอร์ทริมทะเลอยู่พักใหญ่แต่ใช่ว่าจะทิ้งงานเพลงไปไกล เจอกันครั้งใหม่ เขายังคงมาพร้อมกับเอกลักษณ์ที่น่าจดจำ สีผมทรงนี้ “ออดี้” แน่ๆ

“ผมเคารพภาพลักษณ์ที่คนอยากเห็น หมายความว่าเราอาจจะอ้วนขึ้น หัวล้าน ผมยาว หรือบุคลิกเปลี่ยนไปจากตอนนั้นที่คนจำได้ แต่ถ้าเราพยายามกลับมาให้คล้ายเดิมที่สุด เวลาคนฟังเพลงเขาจะได้อรรถรสกว่า เพราะว่าดนตรีบางทีก็ฟังผ่านสายตาด้วย ถ้าเกิดเราฟังเพลงของศิลปินคนหนึ่งแล้วบุคลิกเขาไม่ใช่อย่างที่เราเคยเห็น เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง บางทีก็อาจจะไม่อินกับเพลงไปเลยก็ได้”

ปัจจุบันของ “ออดี้”

ชีวิตผมเป็นแบบแปลกๆ คือไม่มีอาชีพเป็นหลักเป็นแหล่ง (หัวเราะ) ช่วงที่เป็นศิลปินก็เป็นศิลปิน แล้วช่วงที่หายไปก็ไปซื้อบ้านอยู่ที่หัวหินอยู่เฉยๆ ประมาณ2 ปี ตอนนั้นช่วงคุณพ่อเสีย อกหักด้วย ก็ไปอยู่คนเดียว อยู่ไปสักพักก็ไปเปิดรีสอร์ทอยู่ที่ปราณบุรี และเมื่อสองปีที่แล้วเพิ่งขายหุ้นรีสอร์ทไป แล้วก็มาทำเป็นบ้านเช่าเล็กๆ อยู่ริมทะเลหัวหิน ถ้าใครสนใจอยากจะมาพักยินดีนะครับ เป็นบ้านเช่ารายวัน ผมมีอยู่2 หลัง แล้วก็งานหลัก อาชีพที่ได้เงินจริงๆ คือทำดนตรี งานเบื้องหลัง ทำเพลงให้องค์กรนั้นองค์กรนี้ รับจ้างทั่วไป แล้วก็เล่นคอนเสิร์ต โชคดีที่สองปีที่ผ่านมานี้ ได้เล่นคอนเสิร์ตเยอะ และล่าสุดตอนนี้ผมเปิดร้านชื่อว่า “ออดี้บาร์” อยู่ที่ตลาดยิปซีรามคำแหง ซอย 100 เป็นโครงการตลาดยิปซี ผมจัดร้านในสไตล์ยุค 90 เปิดเพลงและเล่นสดเฉพาะเพลงของศิลปินยุค90 ครับ

ผันตัวเป็นผู้จัดฯ เทศกาลดนตรี

ตอนนั้นผมไม่ได้ตั้งใจนะครับ แค่นึกสนุกอยากลอง แล้วทาง ซิลเวอร์เลค (Silverlake) พัทยา ก็ให้โอกาส เลยได้จับงาน “Silverlake เอาเธอมาโดด” เป็นงานแรกของผม ในฐานะผู้จัด หลังจากนั้นก็มี “เอาเธอมากอด” เป็นเทศกาล Winter LoveSong จัดที่โคราชเมื่อปลายปีที่แล้ว เรียกว่าเริ่มเป็นคนจัดงานบ้างเล็กๆ น้อยๆ แต่ผมทำตัวคนเดียวนะครับคือคิดเสร็จปุ๊บแล้วก็ไปหาทีมมาทำ ไม่ได้มุ่งว่าเป็นธุรกิจ เพราะไม่ใช่สิ่งที่ตัวเองถนัดเท่าไหร่ แต่ว่าหลังจากที่ได้รับโอกาสจาก Silverlake แล้วประสบความสำเร็จ ได้ศิลปินยุค 90 อย่าง โมเดิร์นด็อก,พองพอง, เนอสเซอรี่ ซาวด์, มิกเกล, อัยย์, เพลย์กราวด์,วาสนา, สติวเดนท์ส อั๊กลี่, บลูสกาย ฯลฯ มีผู้ชมกว่า 5 พันคนเลยเป็นจุดเริ่มต้นที่ผมคิดว่า สนุกกับการที่ได้สร้างงานมากกว่าแค่การเป็นนักร้อง ผมก็เป็นคนชอบทำอะไรไปเรื่อยแหละเมื่อก่อนไม่เคยคิดนะว่าศักยภาพตัวเองจะสามารถจัดหรือคิดคอนเสิร์ตขนาดนี้ได้ ตอนนี้รู้แล้ว เรียนรู้ไปเยอะๆ ได้ประสบการณ์จากผู้ใหญ่ที่สอนมา ผมก็เริ่มจัดคอนเสิร์ตมากขึ้น อาจจะไม่ได้เป็นคอนเสิร์ตออดี้ แต่เป็นคอนเสิร์ตวงอื่นๆ มาแจมกันครับ (ตั้งใจเปิดบริษัทเลยไหม?)คงยังครับ เพราะว่าผมเองเวลาทำงานบอกตรงๆ ว่า บางทีเรื่องเอกสารไม่ถนัดเลย ต้องมีฝ่ายธุรการหรือบัญชีผมสนุกและถนัดมาทางการครีเอทมากกว่า แต่ทุกวันนี้ถ้าถามจริงๆ แล้วทำอะไรบ้าง ก็หลายอย่างครับ ทั้งร้องเพลง จัดงานเอง มีรายได้เล็กๆ น้อยๆ จากบ้านเช่า คือทุกอย่างก็หล่อเลี้ยงได้ และโชคดีที่เราไม่ใช่คนฟุ่มเฟือย จะบอกว่าเป็นคนสมถะก็ได้นะ ชอบเก็บออม ฉะนั้นการทำงานก็ทำงานอยู่บนพื้นฐานของความสุขเป็นหลัก ความสำเร็จคือผลลัพธ์ที่ตามมาแล้วถ้ามีรายได้มากพอที่จะสามารถหล่อเลี้ยงต่อไปให้ครอบครัว ทั้งคุณแม่ ผู้ใหญ่ในบ้านได้ถือว่าเป็นกำไรครับ

ย้อนวัยเมื่อครั้งยังเด็ก

ผมเป็นเด็กที่ซนมาก แม่บอกว่าเป็นคนที่ชอบทำอะไรเอง แอบไปประดิษฐ์โน่นประดิษฐ์นี่ แล้วก็เป็นคนตลก หลายคนไม่รู้นะ ผมชอบหามุขฮาๆ มาแกล้งเพื่อน จริงๆ เป็นคนเครียดนะแต่พออยู่กับคนอื่นแล้วชอบสร้างความสนุกให้คนอื่น พออยู่คนเดียวก็จะคิดงานคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย(สมาชิกในบ้าน?) ผมมีน้องสาว 1 คน แต่งงานมีการงานที่ดีมาก หายห่วงครับ ส่วนคุณพ่ออยู่บนสวรรค์ คุณแม่อยู่กับผมที่บ้าน แล้วที่บ้านก็จะมีคุณลุง คุณป้าอยู่ด้วย เป็นบ้านของคนสูงวัยครับ (หัวเราะ) เป็นครอบครัวที่อบอุ่น เพราะเป็นแบบนี้มาตลอดจนเราเคยชินละ(ครอบครัวเร่งให้แต่งงานไหม?) ไม่เร่งเลยครับ คุณแม่เคยบอกผมว่าไม่อยากเลี้ยงหลาน ถ้าเลี้ยงให้เลี้ยงสุนัข น้องสาวผมก็เลยซื้อสุนัขมาเป็นลูก แล้วตัวผมเองก็เลี้ยงสุนัขเต็มบ้านเลย ผมเองไม่ถนัดที่จะเป็นพ่อคนด้วยแหละยังไม่พร้อมด้วย ตอนนี้ก็มีสมาชิก 4 ขาเต็มบ้าน ทั้งน้องหมา4 ตัว แมวอีกเป็น 10 ก็แบ่งโซนกันอยู่ครับ เป็นบ้านที่รักสัตว์ และเรียบง่ายครับ

ช่วงที่เสียงเพลงเข้ามาในชีวิต

ตั้งแต่เกิดเลยครับผมชอบร้องเพลงตั้งแต่จำความได้ เพราะพี่เลี้ยงเขาชอบร้องเพลงลูกทุ่งให้ฟังพอโตขึ้นก็เคยร้องเพลงโชว์หน้าชั้น จนครูให้ที่ 1 เลยมีความมั่นใจว่า เออ..เราชอบร้องเพลง หลังจากนั้นเห็นไมค์ไม่ได้นะ จับร้องทันที (หัวเราะ) คุณพ่อเล่าให้ฟังว่าจริงๆ แล้วครั้งแรกที่ร้องเพลงออกไมค์คือตอน 3 ขวบ ตอนนั้นผมจำไม่ได้หรอก แต่พ่อเล่าให้ฟังว่า ไปงานเลี้ยงบริษัทพ่อ แล้วจะมีลูกน้องคนสนิทคนหนึ่งที่ชอบอุ้มผม ผมคงจะไปบอกเขามั้งว่าอยากร้อง เขาก็อุ้มผมไปหน้าเวที ผมก็ร้องเพลง “เราสู้” ร้องไปจนจบเพลง คุณพ่อมาเล่าให้ฟังว่าตอนที่ร้องทุกคนตกใจ ทำไมเสียงเด็กออกไมค์ดังลั่นงานแล้วทุกคนก็หันมามองพร้อมกัน จนกระทั่งผมร้องจบคนปรบมือกันทั้งงาน

เริ่มจับเครื่องดนตรี

ปี 1987 ผมจำได้แม่นเลย คือตอนนั้นผมไปเดินเล่นที่ชายหาดหัวหินกับพี่สาว แล้วเจอพี่ป้อม (อัสนี โชติกุล)ตอนนั้นผมไม่รู้หรอกว่าเขาเป็นใคร แต่พี่สาวกรี๊ด อยากจะเข้าไปคุย ก็เลยชวนผมไปด้วย เข้าไปคุยกับพี่ป้อมประมาณ 10 นาที ถามสารทุกข์สุกดิบกันไป แล้ว 10 นาทีนั้นแหละที่ทำให้ผมอยากเล่นกีตาร์ หลังจากโมเม้นท์นั้นกลับไปที่บ้านตากอากาศมีกีตาร์ของพี่อยู่ ก็เริ่มหัดจับทันที แล้วก็กลับไปเรียนต่อที่ฟิลิปปินส์เอากีตาร์ไปหัดเล่นเองด้วย แต่ถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่เก่งหรอกครับ อาศัยขายหน้าตา (หัวเราะ)

เลือกไปเรียนต่อที่ฟิลิปปินส์

ผมไม่ได้เลือกหรอกครับ ผู้ใหญ่เลือกให้ โชคชะตาพาไป คุณพ่อทำงานบริษัทฝรั่ง ก็ไปอเมริกาก่อนแล้วคุณพ่อก็มาเปิดโรงงานทำเส้นบะหมี่ เส้นก๋วยเตี๋ยวที่ฟิลิปปินส์ ผมเลยเหมือนโตมากับแป้งกับเส้นบะหมี่ พอผมเรียนจบสักพักคุณพ่อก็ขายกิจการกลับมาอยู่ที่เมืองไทยที่บ้านโชคดีตรงที่ว่าคุณพ่อทำงานดี คุณพ่อสร้างเนื้อสร้างตัวมาดีในระดับหนึ่ง ลูกก็เลยไม่ลำบากมาก ผมกล้าพูดเลยว่าพ่อแม่ผมไม่เคยเลี้ยงผมลำบากเลย มีแต่ตัวเองที่หาเรื่องลำบากเอง

เจ้าของเกียรตินิยม วิศวะโยธาจากฟิลิปปินส์

เล่าก่อนว่าผมไปเรียนที่อเมริกาช่วง ป.6-ม.2 แล้วก็ย้ายมาเรียนต่อที่ฟิลิปปินส์ ที่เลือกเรียนวิศวะฯ เพราะว่าหัวเราไปทางนั้น ตอนเด็กๆ ผมเก่งเลข เป็นคนที่ชอบศิลปะนะแต่เรียนสายวิทย์ แล้วที่ฟิลิปปินส์เวลาเอนทรานซ์สอบเข้ามหาวิทยาลัย จะไม่เหมือนเมืองไทยในสมัยก่อน ผมสอบได้คะแนนดีเลยมีสิทธิ์เลือกได้ว่าอยากเข้าคณะอะไร พอเรียนจบกลับมาก็ยังไม่ได้คิดอะไรมาก ตอนอยู่ที่ฟิลิปปินส์ก็เล่นดนตรีนะครับ แต่ไม่ได้โชว์ใคร มีวงกับเพื่อนๆ ในโรงเรียนแต่ไม่ได้เล่นบ่อย กลับมาไทยปี 2537 สะเปะสะปะเดินเล่นห้างอยู่พักหนึ่ง จนกระทั่งมาจริงจังตอนที่เพื่อนเปิดผับแล้วก็ไปบอกเพื่อนว่า เราไปนั่งเล่นดนตรีให้ร้านนายได้ไหมขอแค่วันละ 200 ก็ไปนั่งเล่นกีตาร์ในร้านเพื่อนที่ทองหล่อ จนกระทั่งคนเต็มร้าน คนติดใจ ทำให้เริ่มเข้าสังคมดนตรีแล้วดนตรีก็นำพาผมไปเรื่อยๆ หลังจากนั้นก็ได้ไปทำเพลงให้พี่หรั่ง ร็อกเคสตร้า อยู่ที่อาร์เอส ผมรู้จักกับพี่หรั่งตั้งแต่เด็กๆ แล้วเขาคงเห็นว่าออดี้ก็เป็นเด็กใหม่ไฟแรง ชอบแต่งเพลงชอบร้องเพลง เอามาขลุกด้วยกัน ให้ผมแต่งเพลงให้เขาให้ผมร้องประสานในห้องอัด ผมก็ได้เรียนรู้สิ่งที่อยู่ในห้องอัดพอวันหนึ่งเรามีโอกาสออกเทปเป็นศิลปินเราก็เลยทำเป็น

จุดพีคสุดของศิลปินที่ชื่อ “ออดี้”

ผมเอาเพลงที่แต่งไว้ มาออกเทปชุดแรก แล้วปีนั้นขายได้เป็นล้านเลย ดังมาก แล้วก็เป็นโอกาสที่ดีในชีวิตคือออดี้ไม่ค่อยได้ออกทีวี.นะ แต่ทำไมไปไหนมาไหนคนจำได้แปลกดีครับ ก็ต้องขอบคุณผลงาน ขอบคุณความเป็นตัวเองขอบคุณทุกอย่างรอบตัวที่นำพาให้เราเป็นอย่างงี้ (ทำมาแล้วกี่อัลบั้ม?) ไม่ได้นับครับ แต่หลายอัลบั้ม ทำกับบีเอ็มจี โซนี่สุดท้ายก็อยู่ค่ายโซนี่ แล้วหลังจากหมดสัญญากับโซนี่ก็ไม่ได้ทำอัลบั้มต่อ ก็เป็นช่วงที่เริ่มไปอยู่ทะเล

จงรักภักดีกับดนตรี

ต้องบอกว่าผมพลาดโอกาสดีๆ ในชีวิตเยอะนะ ศิลปินที่มีคนรู้จักเยอะๆ เพลงติดหูมีชื่อเสียงช่วงประมาณปี 2538-2540 มีคนเอาเงินมากองไว้ตรงหน้าผมเยอะมากให้ไปทำร้านนั้นหน่อย ทำอันนี้ให้หน่อย ออกหน้าให้หน่อย ทำธุรกิจเต็มไปหมด ผมไม่เคยสนใจสักบาท ไม่รู้ผ่านมาได้ยังไง ทำไมเราไม่โลภ ไม่เอาเลย สิบล้าน ยี่สิบล้าน เรารู้สึกว่าเรากลัวธุรกิจ เราเป็นแค่นักร้องดีแล้ว เกิดโดนหักหลังไม่ต้องเป็นหนี้เหรอ เราไม่รู้เบื้องหลังว่ามีสีเทาอะไรอยู่บ้างแต่พอเวลาผ่านไปก็ได้เรียนรู้เอง สุดท้ายผมก็ยังอยู่กับดนตรีแล้วก็จงรักภักดี แล้วความจงรักภักดีกับดนตรี ก็เลยตอบแทนผมเป็นทุกวันนี้

ความเป็น..ศิลปิน

ผมไม่เคยคิดฝันเลยว่าจะมีคนเรียกผมว่าศิลปินหมายถึงว่าตั้งแต่เด็กๆ เล่นดนตรี ออกเทปปุ๊บ คนไทยก็มักจะเรียกคนที่ออกเทปว่า ศิลปิน แต่ผมเพิ่งมายอมรับตัวเองว่าผมเป็นศิลปินเมื่อตอนประมาณ 10 ปีที่แล้ว คือหลังจากผมออกงานมาแล้ว 10 ปีนะ ก่อนหน้านี้ผมไม่เคยยอมรับ ผมคิดว่าตัวเองเป็นแค่นักดนตรีสร้างงาน แต่พอตอนหลังเพื่อนบอก นี่แหละศิลปิน เพราะทำเอง อะไรเอง ผมก็เลยเข้าใจคำนี้มากขึ้น

ผมไม่เคยคิดเลยว่าชีวิตหนึ่งจะอยู่ได้และมีเงินเก็บจนถึงทุกวันนี้ โดยที่ไม่ได้รับเงินเดือนจากใคร คือเด็กคนหนึ่งที่เรียนจบมา ทำโน่นทำนี่ รับจ้างทุกอย่าง ร้องเพลง เล่นคอนเสิร์ตไปเรื่อยๆ จะอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้ แม้จะไม่ได้เยอะเหมือนกับซูเปอร์สตาร์คนอื่นๆ ผมก็รู้สึกว่า เออ..เป็นปาฏิหาริย์เหมือนกันนะที่คนคนหนึ่งจะอยู่ได้ด้วยลำแข้งของตัวเองขนาดนี้ คือเพิ่งมาคิดตอนนี้แหละ การที่เราไม่ได้ไปขอเงินใคร ทุกอย่างแลกมาด้วยน้ำพักน้ำแรงของเราเอง นี่คือชีวิตของ ออดี้ เป็นชีวิตที่พอนึกย้อนกลับไปแล้วภาคภูมิใจครับ

ยังคงป้อนเพลงใหม่สู่ผู้ฟัง

เวลาไปร้องเพลง ส่วนใหญ่เขาก็จะขอเพลงเก่าที่ฮิตๆ อย่าง เคย, ไม่สำคัญ, สุดที่รัก ฯลฯ แต่ทุกวันนี้ผมยังทำเพลงใหม่อยู่เรื่อยๆ นะครับ ติดตามเพลงของผมได้ทางยูทูบ “Audy Thailand” เฟซบุ๊คก็ “Audy Thailand Fanpage”ผมติดต่อกับแฟนๆ ทางเฟซบุ๊คตลอด คือผมมีเพลงใหม่ตลอด บางทีผมก็ทำเป็นซีดีไปขายในคอนเสิร์ต ทำอยู่เรื่อยๆครับ ทำเองผลิตเอง นี่แหละวิถีอินดี้ ของแท้ (หัวเราะ)ผมมีเพลงที่ยังไม่เคยปล่อย 30 กว่าเพลง บางเพลงแต่งเมื่อ 30 ปีที่แล้ว บางเพลงแต่งเมื่อวาน แต่ว่าใครจะไปรู้ สมมุติว่าผมปล่อยเพลงปีหน้า นี่ก็คือเพลงใหม่ของผมอยู่ดี ฉะนั้นอยู่ที่ช่วงเวลา เราจะรู้สึกเองว่าช่วงไหนควรจะปล่อยเพลง ช่วงไหนควรจะเน้นเรื่องการแสดงสด ผมไม่เคยหยุดแต่งเพลง เรารู้สึกอะไรเราก็เขียนได้ เพราะว่าเป็นคนพูดจาภาษาเพลง (ยิ้ม)(เพลงละครก็เคยแต่ง?) มีครับหลายเรื่อง ล่าสุดเป็นซิทคอม ร้อยพันยันจักรวาล ของช่องเคเบิล ตอนแรกเขาไม่ได้ตั้งชื่อละครเป็นแบบนี้นะ พอผมแต่งเพลงไปเสร็จตั้งชื่อเพลงไปให้ เขาก็เอาชื่อนี้เป็นชื่อละครเลย

เตรียมตัวขึ้นคอนเสิร์ตใหญ่อีกครั้ง

เป็นอีกโอกาสสำคัญเลยครับ ที่จะได้ร่วมงานกับพี่น้องศิลปินในยุคเดียวกัน คืองาน Green Concertครั้งที่ 19 The Lost Love Songs To Be Continued ที่ทางเอไทม์จัดขึ้น ใครที่มีบัตรแล้วไปเจอกันครับ เพราะตอนนี้คงหาซื้อไม่ได้แล้ว เห็นว่าบัตรหมดเกลี้ยงตั้งแต่ก่อนวันแถลงข่าวด้วยซ้ำ ผมว่าน่าจะเป็นอีก 1 วัน ที่คนวัย 30 อัพจะได้อิ่มสุขกับเสียงเพลงจากวันวานอย่างเต็มที่

ผมไม่ได้ร่วมงานกับทางเอไทม์มาร่วม 18 ปีแล้วครับ ตั้งแต่สมัยฮอตเวฟร็อกมาราธอน คราวนี้โชคดีมีจังหวะ แล้วอีกอย่างผมเล่นดนตรีมาเรื่อยๆ ได้วอร์มร่างกายตลอด เลยไม่ต้องมาเคาะสนิมใหม่ครับ

ชีวิตรักกับการวางอนาคต

โชคชะตาพาไปเรื่อยครับ มีแฟนไหม? คือมีคนที่คบหาอยู่ครับ มีคนที่ไว้ปรึกษาหารือ แต่ไม่ได้คิดเรื่องแต่งงานหรอก ผมเคยบอกเล่นๆ นะว่า รอ พี่โจ-พี่ก้อง(นูโว) แต่งก่อนแล้วผมค่อยแต่ง (หัวเราะ) ผมใช้ชีวิตแบบ…บางทีเรามองไกลมากไม่ได้ เรามองได้แค่ระยะหนึ่ง เหมือนขี่จักรยาน แต่ว่าที่ผ่านมาตอนเด็กๆ เราเคยมองตัวเองว่าเราอยากเป็นอย่างงั้นอย่างงี้ บางทีเราไม่ได้เป็นอย่างงั้นนะ โชคชะตาให้เป็นนักร้อง เป็นศิลปิน จากคนที่เดินไปหน้าปาก
ซอยหมายังเห่าเลย กลายเป็นคนที่คนรู้จักทั้งประเทศจริงๆ นะในยุคสมัยที่เราออกเทป คือโชคชะตาพามาหมดเลยผมว่าจนถึงทุกวันนี้ คือคนอะไรเรียนจบวิศวะฯมาไม่ได้ทำงานด้านนี้เลย แต่ดันหาเลี้ยงตัวเองได้จากอะไรก็ไม่รู้ บางทีผมคิดนะรายได้ผมมาจากไหน จากการที่เป็นออดี้ไงออดี้เล่นคอนเสิร์ต ออดี้ทำเพลง ออดี้แต่งเพลง ออดี้เปิดร้านแล้วก็สิ่งที่เป็นอยู่ก็ยังคงต้องการคนสนับสนุน เพราะศิลปินหรือใครก็ตามจะอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีคนสนับสนุน อย่างออดี้เปิดร้านเล็กๆ ออดี้บาร์ ถ้าไม่มีคนมาเลยก็เจ๊งสิครับเพราะฉะนั้นความเป็นออดี้ ใครชอบ ไม่ชอบ ใครอยากสนับสนุนหรือไม่อยากสนับสนุน ผมอยู่มาได้เพราะความเป็นตัวเอง ไม่ใช่เพราะว่าเป็นเจ้าของกิจการอะไร ไม่ใช่เพราะเป็นนักแต่งเพลงแล้วได้ตังค์ ร้องเพลงแล้วได้ตังค์อันนี้คือปลีกย่อย แต่ทั้งหมดเป็นเพราะอะไรก็เพราะเราเป็น ออดี้ ตัวตนจริงๆ ของเรา

สุดท้ายแล้วทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นตัวเราจริงๆ เป็นสิ่งสำคัญที่จะนำไปสู่ความสำเร็จและชีวิตของ“ออดี้” ก็เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างสำคัญ ฉะนั้นอย่าปิดบังหรือไหลไปตามกระแสนิยมจนเคยชิน อยู่กับความเป็นจริงแล้วค้นหาเอกลักษณ์ของตนเองให้เจอนะจ๊ะวัยรุ่น

ใบพร้าว

Star RETRO : ‘อัยย’ พรรณี วีรานุกูล เรียนรู้ที่จะท่องเที่ยว ทำงาน และ ‘รัก’ ด้วยหลัก Stop Think Act’

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/entertain/222477

วันอาทิตย์ ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2559, 06.00 น.

อย่าเพิ่งเข้าใจผิดว่า สตาร์เรโทรเขียนชื่อ“อัยย” ผิดกันนะคะ เพราะชื่อตามบัตรประชาชนเธอสะกดตามนี้จริงๆ ค่ะ แต่คนส่วนใหญ่จะรู้จักเธอในชื่อของ “อัยย์” นักร้องสาวเสียงดี ผู้ฝากผลงานเพลงเพราะๆ ไว้มากมาย แต่พักหลังหันไปให้ความสนใจกับการทำรายการทีวี โดยเฉพาะเรื่องของท่องเที่ยวต่างประเทศพอมีโอกาสเจอตัวในงานแถลงข่าวกรีนคอนเสิร์ต ครั้งที่ 19 ที่ “อัยย” พรรณี วีรานุกูล ร่วมเป็นหนึ่งในทัพศิลปิน จึงคว้าตัวมาอัพเดทความเป็นไปให้ทราบกัน

“ตอนนี้อัยยทำรายการท่องเที่ยว “Paza Bazaar : พาซ่า บาซาร์” ทางช่อง Now26 อยู่ค่ะ ทำมาแล้ว 2 ปีกว่า เป็นรายการที่จะพาไปค้นหาตลาดทั่วทุกมุมโลก”

ผันจากนักร้อง

สู่การเป็นโปรดิวเซอร์รายการ

ต้องบอกว่าจริงๆ อัยยชอบเรื่องของสารคดีมาตั้งแต่เด็ก เพราะเป็นคนไม่ค่อยดูการ์ตูน ชอบดูที่สุดคือสารคดี ทุกอย่างที่เป็นสารคดีจะชอบมาก สมัยนั้นจะมีอยู่ 3-4 รายการ ที่ดูจนติด อย่างรายการ “ครอบจักรวาล” ของหม่อมราชวงศ์ถนัดศรี สวัสดิวัตน์ เป็นรายการที่สร้างแรงบันดาลใจให้อัยยอยากออกเดินทางรอบโลก พอช่วงหนึ่งของชีวิตที่หยุดทำงานอัลบั้ม ไปทำงานประจำ
แล้วก็ไปเรียนต่อปริญญาโท เพื่อนๆ ที่เรียนด้วยกัน พอรู้ว่าอัยยชอบทำสารคดี แต่ไม่มั่นใจตัวเองในการเริ่มต้นทำอะไร เขาก็จัดการไปสมัครงานให้เสร็จสรรพ ตอนนั้นพี่เช็ค (สุทธิพงษ์ ธรรมวุฒิ) ทีวีบูรพา เปิดรับพิธีกร “กบนอกะลา”

ก็ได้เข้าไปร่วมงานกัน ต้องบอกว่าที่นั่นเป็นโรงเรียนสอนอัยยทำงานด้านทีวีอย่างจริงจัง พี่เช็คชวนให้ทำรายการเด็ก “แผ่นดินเดียวกันบ้านฉันบ้านเธอ” นี่เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้อัยยได้ทำงานในด้านของโปรดักชั่นทีวี เพราะเราไม่ได้เข้าไปในฐานะของพิธีกร หรือศิลปิน เราเป็นพนักงานคนหนึ่ง ไปทำทุกสิ่งทุกอย่าง ทำได้ดีบ้างไม่ดีบ้างเพราะเราก็ไม่เคย เรียนรู้ผิดถูก แล้วพี่เช็คก็สอนเยอะมาก ทีมงาน น้องๆ ทุกคนที่นั่น ทำให้เรารู้สึกว่า เออ..สิ่งที่เราอยากทำมาตลอด หรือสิ่งที่เราคิด ไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิด แต่ก็ไม่ได้แย่ไปกว่าที่เราคิด ถือว่าที่นั่นคือโรงเรียนแห่งแรกของอัยย

จริงจังกับการทำรายการทีวี

ใช่ค่ะ พอหลังจากหยุดร้องเพลง ก็ได้ทำงานหลากหลายมากขึ้น รวมถึงได้ทำโปรดักชั่นด้านทีวีที่ ไทยพีบีเอส เป็นโปรดิวเซอร์อยู่ 3 รายการในตอนนั้นนะคะรวมถึงรายการดนตรีกวีศิลป์ และจัดรายการวิทยุ “ลูกทุ่ง อีซี่” จัดวิทยุครอบครัวข่าว “คนชอบเที่ยว” จัดมา 7 ปี เมื่อเดือนที่ผ่านมาเพิ่งมีการเปลี่ยนผังใหม่ ใจหายเหมือนกันนะคะ แต่อัยยได้ความรู้เรื่องการท่องเที่ยวจากตรงนั้นมามากมาย หลังจากนั้นก็ได้มาทำในสิ่งที่ชอบคือการเดินทาง เพราะเป็นคนชอบเดินตลาด ไปทุกที่ต้องเสาะหา ไม่ฟรีมาร์เกต ก็ตลาดเช้า-สาย-ดึก เป็นกิมมิกซ์ของรายการ เลยได้ชื่อว่า “พาซ่า บาซาร์” คือพาไปซ่าส์ที่บาซาร์(ตลาด)

ออนแอร์ทุกวันเสาร์ บ่ายโมงครึ่งจัดกันสองคนกับพี่กาญ (กาญจนา หงษ์ทอง) ที่เป็นนักเขียนพอคเกตบุคแนวท่องเที่ยว อัยยเป็นโปรดิวเซอร์เองและเป็นตากล้องเองในบางครั้ง ที่งบไม่พอค่ะ (หัวเราะ) และก็กำลังลุ้นกับรายการใหม่ ซึ่งจะมาในไตรมาสที่ 3 เพิ่งไปเสนอช่องมาค่ะ เดี๋ยวถ้าผ่านก็จะได้เห็นกัน กับรายการสำหรับคนวัยทำงาน เพื่อเตรียมว่าทำอย่างไรเราถึงจะเกษียณได้อย่างมีความสุข ตั้งใจทำเพื่อคนวัยเกษียณและก่อนเกษียณ โดยเฉพาะคนอายุ 35 อัพ ก็ควรจะเตรียมตัวได้แล้วค่ะ โดยทำในนาม “ไอวี่ โปรดักชั่น” บริษัทอัยยเองที่เปิดมา 7 ปีแล้ว

ผู้บริหารสไตล์ ‘อัยย’

เหมือนตัวเองเลยค่ะ สบายๆ คือจริงๆ บริษัทไม่ได้มีกำไรเลยนะคะ ที่เปิดมาทุกวันนี้ขอแค่ไม่ขาดทุนก็พอ ให้เลี้ยงตัวอยู่ได้ พอแล้ว (หัวเราะ) ไม่ติดลบก็โอ้โห..แทบจะจุดธูปบูชา (หัวเราะ) คือจริงๆ ผิดหลักการการทำธุรกิจนะ แต่อัยยทำธุรกิจแบบ ขอให้ได้ทำในสิ่งที่เราอยากทำ ทุกคนมีเงิน มีรายได้ที่เหมาะของแต่ละคน แล้วทุกคนมีความสุขกับการทำงาน เราถือว่ากำไรของเราคือสิ่งเหล่านี้ ถามว่าอยากได้เงิน อยากได้กำไรไหม อยากได้นะคะ แต่อัยยเป็นคนทำมาร์เกตติ้งไม่เก่ง ทำไม่เป็นเลย แต่จะทำในส่วนของการครีเอทรายการได้ดีกว่า เพราะฉะนั้นขอให้ไม่เข้าเนื้อ แล้วก็ไม่เครียดพอแล้วค่ะ เพราะงานเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เราต้องมีความสุขกับงานที่เราทำ เลยจะบอกกับพนักงานทุกคนว่าถ้าอยู่ได้ก็อยู่ เรามีกันอยู่ 6-7 คน ไม่ได้ใหญ่มาก แต่เราอยู่กันแบบครอบครัว

สาวนักเดินทาง

อย่างที่บอกค่ะ อัยยเป็นคนชอบเดินทางมาตั้งแต่เด็ก ตอนที่เป็นศิลปินก็มีโอกาสได้เดินทางบ่อย แล้วการเดินทางของอัยยคือเข้าไปเรียนรู้ อย่างเดินทางไปเล่นคอนเสิร์ต พอเสร็จงานหลัก ก็จะขออยู่ต่อเสมอประมาณ 5-10 วัน แล้วก็ไปซอกแซกดูที่ต่างๆ ไปเรื่อยๆ เราจะหาข้อมูล หรือไม่ก็คนพื้นที่พาเราไปลุยขึ้นป่า อยู่บนดอย เป็นแบบนี้มาตั้งแต่สมัยทำงานเพลง พอวันหนึ่งเราเริ่มอยากเดินทางไปต่างประเทศ ก็พยายามหาข้อมูลเอง แล้วก็เดินทางไปกับเพื่อน

ปักหมุดเส้นทางนอกประเทศ

พอตั้งใจจะเริ่มเดินทางออกนอกประเทศครั้งแรก ก็มาคิดว่าจะไปที่ไหนดี เลยเริ่มจากฮ่องกงก่อนใกล้ๆ ก็ไปหลงทางที่ฮ่องกง (หัวเราะ) ตอนนั้นยังไม่ได้ออกอัลบั้มเลยค่ะ 20 กว่าปีที่แล้ว ไปกับทัวร์ คือพี่นก กรกนก พาไปแกจะไปดูเสื้อผ้ามาทำแฟชั่น เราก็ไปหลงกับกรุ๊ปทัวร์ เพราะดูเวลาผิด พอหลงปุ๊บกลายเป็นเราชอบอารมณ์ที่หลงทาง (ไม่กลัวเลย?) กลัวค่ะ(หัวเราะ) แต่ว่าความรู้สึกตรงนั้นทำให้เรา Alert(ตื่นตัว) และต้องคอยหาข้อมูล เพราะอัยยเป็นคนไม่กล้าพูด ไม่กล้าถาม กลัวเขาหาว่าโง่ แต่ตอนนั้นกัดฟันใช้ภาษาแบบมั่วเลย จนสุดท้ายหาทางกลับโรงแรมไม่ได้ แต่เรามีกลักไม้ขีดที่เป็นตราโรงแรมอยู่ก็เลยเรียกแท็กซี่ให้ไปส่ง ปรากฏว่าเดินทะลุซอยก็ถึงแล้วค่ะ แต่แท็กซี่พาไปวนแล้วมาปล่อยลง(หัวเราะ) เป็นประสบการณ์เริ่มต้น ที่ทำให้มีอีกหลายๆ ทริปตามมาและเป็นคนที่เดินทางเมื่อไหร่เพื่อนๆ จะชอบเรียกว่า “พี่เฉิน” คือ เฉินหลง พาเขาหลงตลอด (หัวเราะ)

การเดินทางทำให้เรากล้าที่จะเจอคนใหม่ๆ กล้าที่จะคุยกับเขา กล้าที่จะลอง แต่จริงๆ ก็ไม่ควรที่จะกล้าเกินไปนะคะ(หัวเราะ) เพราะล่าสุดปีที่แล้ว ไปฝรั่งเศสเพื่อถ่ายรายการ ก็ได้รับคำเตือนว่าที่นั่นขึ้นชื่อเรื่องของมิชฉาชีพ เราก็ระวังของเรา แต่ช่วงที่กำลังจะขึ้นรถไฟมีเด็กผู้หญิง 3 คน พยายามจะล้วงกระเป๋าตากล้องในทีม แต่คว้าตัวไว้ได้ ก็ค้นดูของไม่มีอะไรหายเพราะเขาล้วงไม่สำเร็จ ก็ปล่อยไป แต่พอขึ้นรถไฟก็ไปเจอเด็กกลุ่มนี้อีก กำลังล้วงกระเป๋าคุณตาคนหนึ่ง

ซึ่งเขาทำกันเป็นกระบวนการมาก เด็กกลุ่มนั้นจำอัยยได้ อัยยก็กำลังจะเดินเข้าไปบอกคุณตา แต่เพื่อนบอกว่าอย่าไปยุ่ง เพราะเราไม่รู้ว่ามีคนอื่นในแก๊งเขาอีกหรือเปล่า หรือมีอาวุธรึเปล่า เราก็ได้แต่มองและสงสารคุณลุง พอเด็กกลุ่มนั้นขโมยเสร็จ ยังหันมาบ๊ายบายอัยยด้วยนะ นี่แหละทำให้เรารู้ว่าทุกที่ที่ไปเราต้องระวังตัวเองเวลาเดินทางเราต้องระมัดระวังกระเป๋า หรือแม้กระทั่งเจ้าหน้าที่เขาเอง ก็ไม่ได้ช่วยอะไรเราเลย เพราะตอนที่เพื่อนโดนล้วงก็โวยวาย แต่ไม่เห็นเขาตรวจตราหรือสนใจอะไร

งานจับไมค์ในปัจจุบัน

ยังคงมีโอกาสได้ร้องเพลงบ้างค่ะ เวลาเพื่อนๆ ชวน อย่างตอนทำดนตรีกวีศิลป์ถือว่าเป็นรายการที่จรรโลงชีวิตอัยยมาก เพราะปกติเป็นคนชอบร้องเพลงเป็นชีวิตจิตใจ รายการนี้ทำให้อัยยได้ร้องเพลงทุกครั้ง ร้องเพลงแจมกับศิลปินที่เราเชิญ เขาไม่ให้ร้องก็ขอร้อง (หัวเราะ) คือเรามีความรู้ที่ได้ทำ ได้ร้อง เพราะฉะนั้นใครมีงานอะไรให้ไปร้อง ไปหมด ร้องหมด ถ้าไม่ติดเรื่องการทำรายการนะคะ

ล่าสุดที่ตื่นเต้นมากคือกำลังจะได้ขึ้นคอนเสิร์ตใหญ่ Green Concert # 19 “The Lost Love Songs To Be Continued 6-7 สิงหาคมนี้ ที่รอยัล พารากอน ฮอลล์ ปีที่แล้วที่จัด อัยยซื้อตั๋วไปดูด้วยนะคะ แต่ไปถึงตอนคอนเสิร์ตจะจบแล้ว เพราะติดถ่ายรายการ เสียดายมาก กลายเป็นว่าปีนี้เราได้มาร่วมขึ้นแสดง ได้ขึ้นร้องในคอนเสิร์ตกับอีก 50 กว่าศิลปินในดวงใจ กรี๊ดเลย นี่ก็ยังตื่นเต้นนะคะ เพราะบัตรขายหมดเร็วมาก แต่อัยยยังไม่รู้จะร้องเพลงอะไรเลย และเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได้ขึ้นเวทีของทางเอไทม์ด้วย ปกติเคยแต่เป็นผู้ชม เป็นแฟนคลับแทบจะทุกคอนเสิร์ต ซึ่งเขาจัดได้อลังการทุกครั้ง ยังเคยคิดเล่นๆ ว่าถ้าครั้งหนึ่งในชีวิตที่ฉันยังเป็นนักร้องอยู่ถ้าได้ขึ้นเวทีของเอไทม์ก็คงจะตายตาหลับ ตอนทีมงานโทร.มา..อัยยคิดว่าเขาชวนมาดูคอนเสิร์ต ก็ตอบไปค่ะแต่พอบอกว่าชวนไปร้องเพลง กรี๊ด..รีบตอบรับทันทีเลยค่ะต้องขอบคุณพี่ฉอด (สายทิพย์ มนตรีกุล ณ อยุธยา) และพี่ๆ ทุกคนที่ให้โอกาสอัยยในครั้งนี้

ซิงเกิ้ลใหม่ในกรุ

เพลงมีทำไว้เรื่อยๆ ค่ะ แต่ไม่รู้จะปล่อยยังไง อย่างที่บอกเป็นคนที่หัวธุรกิจไม่มี คิดๆ นะ เต็มไปหมดเลย แต่ยังไม่รู้จะทำยังไง รอจังหวะอยู่ค่ะ อย่างตอนที่ทำอัลบั้ม อัยยก็เขียนเพลงเองบ้าง แต่รู้สึกว่าเขียนไปแล้วคนจะเข้าใจเราหรือเปล่า (หัวเราะ) อย่างตอนนั้นทำเพลงภาพยนตร์เรื่อง “นางเอก” เขียนๆ ไปเราเข้าใจนะแต่ไม่รู้คนอื่นจะเข้าใจในสิ่งที่เรากำลังพูดไหม ก็เลยกลายเป็นคนไม่มั่นใจในการเขียนเพลง จะให้คนอื่นเขียน เราเป็นโปรดิวเซอร์เอง หยิบในสิ่งที่เราชอบ สิ่งที่เราอยากทำถึงจะห่างจากการทำอัลบั้มแต่ก็ยังได้ทำเพลงอย่างมีความสุขอยู่ ทำเองฟังเองค่ะ (หัวเราะ)

กำลังใจจากแฟนคลับ

อัยยเป็นคนไม่มั่นใจในตัวเองว่าคนจะรู้จักหรือชอบเราไหม เพราะไม่คิดว่าคนจะรู้จัก แต่พอมีงานรวมศิลปินหรือมีงานที่เพื่อนๆ ชวนไปร่วมร้อง คนส่วนใหญ่ตลกดีมักจะได้เจอกับคนที่รู้จักเพลงแต่ไม่รู้จักคนร้องเยอะมาก บางคนเดินชนกันเลยนะ รู้ชื่ออัยย แต่ไม่รู้ว่าร้องเพลงนี้ เพราะยุคนั้นไม่ได้โปรโมทหน้าตาอะไรมาก ซึ่งอัยยชอบมาก รู้สึกว่าเขาชอบเพลงของเราจริงๆ เขาไม่ได้ชอบเราเพราะอย่างอื่นเลย ยิ่งทำให้เรารู้สึกดีมากๆ ที่เจอคนที่เขาชอบงานเรา เพลงที่ถูกขอให้ร้องบ่อยๆก็จะมี “บอกเขาว่าเจอฉัน” เพลงที่ทุกคนบอกว่าใจร้ายมากแล้วก็มีเพลง “ใส่ใจ”, “นานเหลือเกิน” เพลงแรกของการทำอัลบั้ม รวมถึง “เพราะอะไร” ซึ่งจริงๆ แล้วเพลงนี้เป็นเพลงของพี่ป้าง (นครินทร์ กิ่งศักดิ์) อัยยได้นำมาร้องประกอบละครเรื่อง “รองเท้าแก้ว”

ไม่เคยหยุดที่จะศึกษา

อัยยจบปริญญาตรีทางดนตรีเอกว้อยซ์ คณะครุศาสตร์ จุฬาฯ พอมีอัลบั้มสักพักใหญ่ๆ ก็ลงเรียนต่อปริญญาโทที่นิด้า ด้านวิเคราะห์และวางแผนนโยบาย คณะพัฒนาสังคม (อีกใบก็จะได้เป็นดอกเตอร์?) ตอนแรกตั้งใจว่าเรียนจบแล้วจะต่อดอกเตอร์เลยค่ะ เพราะไม่อยากเป็นนางสาวอัยยแล้ว อยากเป็น ดอกเตอร์อัยยแต่พอสักพักคิดว่าเราจะเรียนไปทำไม เราไม่ได้ต้องการใบปริญญา คือตั้งแต่อัยยเรียนจบปริญญาตรีมาแล้ว อัยยไม่ได้ใช้ใบปริญญาเพื่อทำงานเลย พอมาเรียนปริญญาโท ก็เรียนเพราะอยากรู้เรื่องนี้ เลยไปเรียน หลังๆ เลยเน้นไปทางวิชาชีพมากกว่าค่ะ เป็นพวกประกาศนียบัตร เรียนในสิ่งที่เราสนใจ ยังคิดว่าถ้ามีเวลาอยากจะเรียนทำกับข้าวกับแม่ค่ะ เพราะแม่อัยยเป็นคนทำกับข้าวเก่งมาก เติบโตมาด้วยอาชีพขายข้าวแกงของแม่ อัยยก็ทำอร่อยนะ (หัวเราะ) คือเป็นคนชอบทำกับข้าว ชอบทำอาหาร ชอบครีเอทไปเรื่อย แต่ไม่เคยมีโอกาสได้ทำ เพราะคุณแม่จะครองครัวตลอด

อนาคตของอัยย

ทุกวันนี้คืออนาคตของอัยยนะคะ เพราะเราไม่รู้ว่าอนาคตเราจะอยู่อย่างไร แต่ว่าทุกวันที่อัยยทำคือจะแบ่งเงินเป็นส่วนๆ ก้อนนี้เผื่อฉุกเฉิน ก้อนนี้เก็บไว้เพื่อดูแลตัวเองตอนเจ็บป่วย อันนี้เอาไว้ออกเดินทาง อันนี้เอาไว้ให้พ่อแม่ ก็จะพยายามเป็นหนี้ให้น้อยที่สุด อย่างซื้อบ้านก็ทำงานๆ เพื่อโปะบ้านให้หมดเร็วๆ อัยยรู้สึกว่าชีวิตทุกวันคืออนาคต คืออยู่กับปัจจุบันให้มีความสุข เพราะเราออกเดินทางตลอด เพราะฉะนั้น อยากทำอะไรทำเลย เช่นมีเวลาว่างอยากพาพ่อแม่ไปเที่ยว พาไปกินข้าว ทำเลยทำทุกอย่างที่ทำได้และมีเวลา จะไม่แปะเอาไว้ว่าเดี๋ยววันนั้นวันนี้ค่อยทำ วางแผนครอบครัวไว้ระดับหนึ่งที่เราจะไม่ประมาท แต่เราทำอะไรได้เราทำไว้ก่อน

ชีวิตคู่ที่ไม่หรูหราแต่มีความสุขมาก

สถานะปัจจุบันคือมีแฟน แต่ไม่ได้แต่งงานค่ะ แล้วก็ไม่ได้อยู่ด้วยกันตลอดเวลาด้วย (ผู้หญิง?) ค่ะ แฟนผู้หญิง คือเมื่อก่อนอัยยเคยคิดจะแต่งงานกับผู้ชายคนหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้แต่ง เราก็โอเคเขาอาจจะไม่ใช่คู่เรา ทำให้แคล้วคลาดกันไป แต่พอเจอใครสักคนที่ สมัยก่อนเด็กๆ เราคิดว่าเป็นแฟนต้องอยู่ด้วยกันตลอดเวลา แต่พอวันหนึ่งเรามารู้ว่า เรานิสัยแบบนี้คนคงอยู่กับเรายาก (หัวเราะ) ทั้งเอาแต่ใจตัวเองมาก ขี้โมโห เพราะฉะนั้นถ้าเราไม่เริ่มปรับตัวเองก่อน คนจะอยู่กับเรายาก พอวันหนึ่งเราเริ่มรู้แล้วว่า อ๋อ..เราเป็นคนแบบนี้ เราปรับตัวเองแบบนี้ แล้วเรามีช่องว่างให้ตัวเราด้วย มีช่องว่างให้กับแฟนเราด้วย เออ..เราก็อยู่กันได้ และอยู่ได้อย่างดีมากกับ 7 ปีที่ผ่านมา ไม่เคยทะเลาะกัน ทะเลาะกันแทบนับครั้งได้ หรือนับประโยคได้ด้วยซ้ำค่ะ

อัยยว่าการมีความรักอย่าไปคาดว่าจะเป็นอย่างไร ใช้ชีวิตทุกวันให้ดีที่สุด ให้เหมือนว่าไม่รู้เราจะได้เจอเขาอีกหรือเปล่า เพราะว่าเคยคบกันแว่บหนึ่งแล้วเลิกตอนเลิกกันไปทรมานใจมาก คิดไปต่างๆ นานาว่าวันนั้นเราน่าจะคิดแบบนี้ ทำแบบนี้ ดูแลเขาแบบนี้ โดยที่ไม่คิดว่าจะได้กลับมาเจอกันอีก พอวันที่กลับมาเจอกันอีกครั้ง เลยไม่ตั้งเป้าละ เราอยู่ให้ดีที่สุด อยากทำอะไรทำให้ดีที่สุด อะไรที่เรารู้ว่าเขาชอบทำให้ทุกอย่าง กลายเป็นต่างคนต่างทำในสิ่งที่อีกคนชอบ คือถ้าเราไม่ชอบให้เขาทำอะไร เราต้องไม่ทำ ไม่ชอบให้เขาเหวี่ยงวีน เราต้องไม่หวียงวีนใส่เขา เราอยากให้เขาเป็นแบบไหน เราจงทำแบบนั้นให้เขา เราเปลี่ยนตัวเราได้ เปลี่ยนความคิดเราได้ แต่ก็ไม่ใช่ว่าอัยยจะเป็นคนดีนะคะ ก็มีงอแงบ้าง แต่ไม่ถึงกับเกินพอดี

มีช่วงหนึ่งอัยย์เฮิร์ทมาก นั่งเขียนข้อดีของตัวเองว่ามีอะไรบ้าง ได้ 20 กว่าข้อ แล้วพอเขียนข้อเสีย โอ้โห..มาเป็นร้อยข้อ (หัวเราะ) คือถ้าเรากล้าที่จะยอมรับตัวเองได้ ว่าเรามีข้อเสีย แล้วปรับตัวเองซะ อัยยว่าเราเปลี่ยนได้นะ อย่าไปคิดเปลี่ยนคนอื่นหรือเปลี่ยนสังคม เราอยากให้สังคมเป็นอย่างไร เราต้องเป็นคนแบบนั้นให้สังคม เปลี่ยนที่ตัวเราเองดีที่สุดค่ะ

สุขภาพกายที่ต้องดูแล

เมื่อก่อนออกกำลังกาย เดี๋ยวนี้แย่มากไม่ค่อยได้ทำ จริงๆ เป็นภูมิแพ้ตั้งแต่เกิดแต่ไม่เคยรู้ตัวค่ะ มารู้ตอนอายุเยอะขึ้น ภูมิแพ้เริ่มส่งผลเด่นชัด อัยยแพ้ข้าวทุกอย่าง วานิลลา พริกไทยขาว พริกไทยดำ แพ้เยอะมาก ข้าวก็กินได้นะแต่กินน้อยลง อาการคือหายใจไม่สะดวกเพราะว่าบวมข้างในแล้วก็เป็นแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก แต่ไม่เคยไปตรวจจริงจัง กินยาก็หายไป จนล่าสุดเมื่อ 6 ปีก่อนอัยยแพ้จนไม่ไหวแพ้แบบเห่อ หาหมอเจาะเลือดตรวจโอ้โห..แพ้เยอะมาก แพ้ทุกสิ่งที่ชอบหมดเลย มีทางเดียวคือออกกำลังกายเท่านั้นค่ะ

เป้าหมายสุดท้าทาย

ตอนนี้ตั้งเป้าไว้จะไปปีนภูเขาไฟฟูจิค่ะ เพราะยังไม่เคยปีนเขาเลย เลยเริ่มจากเล็กๆ ไปฟูจิก่อน แล้วค่อยไปหิมาลัย แต่ยังไม่รู้จะสามารถไหมนะคะ แต่ก่อนอื่นต้องเริ่มออกกำลังกายโดยการเดินก่อน(หัวเราะ) อยากทำอะไรที่ยังไม่เคยได้ทำ เมื่อก่อนเคยคิดว่า ใช้ชีวิตให้เต็มที่ตายก็คุ้ม แต่ตอนนี้คิดได้ว่า ตายตอนนี้ไม่ได้ คนเราไม่ควรตายก่อนพ่อแม่ เป็นสิ่งที่อัยยท่องไว้เสมอ ถ้าเป็นเมื่อก่อนจะใช้ชีวิตบ้าระห่ำมาก จนวันหนึ่งอัยยเห็นลูกสาวของเพื่อนเสีย แล้วเขานั่งร้องไห้แบบแทบจะขาดใจตายตามลูกวันนั้นคิดเลยว่า เราต้องไม่ตายก่อนพ่อแม่ อัยยก็จะสอนน้องๆ ที่มาคุยด้วยเสมอ ยุติธรรมแล้วเหรอที่พ่อแม่ให้ชีวิตเรามาแล้ววันหนึ่งเขาต้องมาจัดงานศพให้เราเอาจริงๆ นะคนสมัยนี้ใช้ชีวิตลืมคิดไปว่ามนุษย์มีพ่อมีแม่บางคนไม่สนใจครอบครัว หาเรื่องเดือดร้อนให้ครอบครัวเสมอ อัยยก็จะแนะเขาให้ Stop Think Act หยุดก่อนคิดนิดหนึ่ง แล้วค่อยแอ๊กชั่นต่อไปว่าจะเดินยังไง อย่าคิดว่าเกิดมาแล้วฉันจะทำอะไรก็ได้กับชีวิต

และนี่คือชีวิตที่น่าอิจฉาของสาวนักเดินทาง “อัยย” พรรณี วีรานุกูล ผู้เปลี่ยนสิ่งที่รักมาเป็นงานที่ชอบ และมีความสุขที่ได้ลงมือทำ แม้จะพบเจอกับช่วงเวลาลำบากบ้าง เธอบอกว่า “ไม่รู้จะซึมเศร้ากับสิ่งที่ผิดหวังหรือเสียไปแล้วทำไม เลยมองเป็นบทเรียน
ที่สอนให้เราระวังและก้าวต่อไปแทน” นับเป็นข้อคิดดีๆ ที่ “อัยย” มักมีเผื่อแผ่ให้กับคนรอบข้างเสมอๆ

ใบพร้าว