star retro : ‘วาเนสซ่า บีเวอร์’ หวนคืนจอ อยากลองของ งานผู้จัดฯ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/entertain/210793

วันอาทิตย์ ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2559, 06.00 น.

ห่างหายจากหน้าจอทีวี.ไปนานสำหรับนักแสดงลูกครึ่ง “วาเนสซ่า บีเวอร์” หรือ “วาเนสซ่า สีมานะชัยสิทธิ์” ล่าสุดเธอกลับมาเล่นละครให้แฟนๆ ได้หายคิดถึงกันอีกครั้งกับละครเรื่อง “ขุนกระทิง” ทางช่อง 7..สตาร์เรโทรสัปดาห์นี้จึงขอหยิบชีวิตหลังแต่งงานของเธอกับตากล้องมือโปร “ตี้-กฤษณัฏฐ์ สีมานะชัยสิทธิ์” และลูกชายทั้งสองมาอัพเดท รวมทั้งโปรเจกท์ในฝันกับการเป็นผู้จัดละคร!?

ชีวิตในวันนี้ของ วาเนสซ่า บีเวอร์

ตอนนี้ทำบริษัทให้เช่าแบรนด์วิชทั่วไปคือเช่าช่องสัญญาณออกอากาศ คล้ายๆ ช่องแซดเทอร์ไลท์ ทำมาเกือบ 6 ปีแล้วค่ะ ประจวบเหมาะกับคลอดลูก ซึ่งตอนนั้นตรงกับเดือนธันวาคม เลยพักงานในวงการไปก่อน แล้วก็ออกมาช่วยงานพี่ชาย (โอลิเวอร์ บีเวอร์) ทำละคร ล่าสุดตอนนี้กลับมาเล่นละครแล้วเมื่อปี 2558 เรื่อง “ขุนกระทิง” เล่นช่วงท้องด้วย พอหลังจากคลอดเสร็จยังไปถ่ายอยู่เลย (หัวเราะ) ถือว่าเราฟื้นตัวเร็วด้วย ตอนที่ถ่ายก็คือถ่ายถึง 5 เดือนเลยนะ แต่ก็ไม่ได้อันตราย เราเซฟและเช็คความปลอดภัยตลอดอยู่แล้ว และมีสามีเป็นตากล้องด้วย ไม่ต้องห่วง เขาจะห่วงเรา คอยดูแลเช็คให้ตลอด ทุกคนดูแลเป็นอย่างดีไม่กังวลค่ะ

หวนกลับคืนวงการแบบเต็มตัวหรือยัง

อยากมากค่ะ แต่ว่าไม่มีใครเรียกเลย หวังว่าถ้าละครออกอากาศ คงจะมีใครเห็นและเรียกเราไปบ้างเนอะ (ยิ้ม) เราสามารถเล่นได้ทุกช่องไม่เลือกค่ะ ฟรีแลนด์ และการกลับมาครั้งนี้ก็ทำให้เราเห็นการเปลี่ยนแปลงเยอะเลยโดยเฉพาะกล้องถ่าย เทคโนโลยีต่างๆ อลังการงานสร้างมากค่ะ

การทำงานเมื่อวันวานของ วาเนสซ่า

ตอนนี้เราเห็นการทำงานของนางเอก พระเอก เด็กๆ วัยรุ่น ก็คิดในใจนะว่า อือหือเมื่อก่อนฉันก็หุ่นแบบนี้แหละนะ เมื่อก่อนจะเป็นยุคลูกครึ่งกำลังเฟื่องฟู กำลังฮอตเลย มาแรง ใครเป็นดาราลูกครึ่งสมัยก่อนนะเป็นจุดเด่นมาก แต่เดี๋ยวนี้ไม่ใช่แล้ว ลูกครึ่งเยอะเลย และการทำงานก็ต่างกันด้วย ยกตัวอย่างสมัยนี้นะ ช่างไฟ หรือ แม้กระทั่ง สวัสดิการ นักแสดงรุ่นใหม่ๆ ก็ไม่ยกมือไหว้กัน แต่นักแสดงสมัยก่อนเขายกมือไหว้หมดเลยนะแม้กระทั่งช่างไฟ สวัสดิการ คนทำงานให้เกียรติกันหมด เหมือนยุคนี้ก็จะไม่ค่อยทำกัน อันนี้จะเห็นได้ชัดเลย ความใกล้ชิดกันก็ไม่ค่อยมีแบบเมื่อก่อน หรืออาจจะด้วยเทคโนโลยีอะไรก็ตามแต่ เราอยากเห็นภาพความแน่นแฟ้นแบบเก่าๆ มากกว่า ทำงานเหมือนเป็นครอบครัวกันทุกคน นักแสดงไปนั่งกินข้าวกับช่างไฟไปนั่งกินข้าวกับตากล้อง

ย้อนวันวานกับการเป็นน้องดันให้พี่ชาย

เราเข้ามาเล่นหนัง เล่นละครก่อนแล้ว และเราเป็นคนแนะนำให้พี่เวอร์ได้เล่นหนังเรื่อง “วอนทั้งโลกโขกหัวเธอ” คือตอนนั้นเขาไม่ยอมไปแคส ยังไงก็ไม่ไป เลยขอร้องว่าไปเถอะปรากฏว่าเขาได้เล่น และหลังจากนั้นเป็นต้นมาชีวิตเขาเปลี่ยนไปเลย มีทั้งละครหนังต่างๆ นานาจนกระทั่งมาถึงทุกวันนี้จุดนี้ ในฐานะ ผู้จัดละคร ผู้กำกับ

ภูมิใจในตัวพี่ชายยังไงบ้าง

ภูมิใจค่ะ ภูมิใจที่เขาทำคนเดียวและเขาแก้ปัญหาคนเดียวทุกอย่าง เขาเก่งเขาเป็นผู้กำกับที่โอเคในระดับหนึ่ง จากแค่นักแสดงมาถึงเป็นผู้กำกับขนาดนี้ เขาทำในสิ่งที่เขาชอบ ดูหนังบู๊ก็อยากจะทำให้เป็นแบบนั้น เขาทำได้ในสิ่งที่เขาเคยพูดไว้ ถือว่าเขาโอเคมากเลยนะ

งานแสดงที่เริ่มตั้งแต่เป็นเด็กหญิง

เล่นหนังตั้งแต่อายุ 9 ขวบค่ะ เล่นเรื่อง “ชมพู่แก้มแหม่ม” เล่นเป็นนางเอกตอนเด็ก และก็เล่นหนังมาเรื่อยๆ ประมาณ 4-5 เรื่อง เรื่องสุดท้ายเล่นตอนอายุ 15 เรื่อง “หัวใจสี่สี” พี่หมิว-ลลิตา เป็นนางเอกตอนนั้นเล่นเป็นลูกของพระเอกคือ พี่ตั้ว-ศรัณยู แล้วก็ไปออกเทปด้วยช่วงนั้นประมาณอายุ 14-15 แล้วก็เล่นละครด้วยประปรายนิดๆ หน่อยๆ

กับงานเพลงในฐานะศิลปินเดี่ยว

ณ ตอนนั้นถือว่าประสบความสำเร็จนะ แต่ถ้ามาเปรียบเทียบตอนนี้จะเป็นอะไรที่เชยมาก เพราะเมื่อประมาณ 30 ปีก่อน เสื้อผ้าหน้าผมจะไม่ได้เป็นเหมือนยุคปัจจุบัน ยุคนั้นที่ออกเทปจะเป็นแนวเพลงใสๆ ถ้าจะให้เอาเพลงยุคนั้นมาเทียบกับยุคนี้ ต้องบอกเลยว่าเชยสุดๆ (หัวเราะ) แต่สมัยนั้นบอกเลยว่าบูมในกลุ่มนักเรียนด้วยกันมาก ตอนนี้ถ้ามีใครมาทักก็จะแอบเขินนิดหนึ่งนะ ถ้าคนที่เขาจำเราได้ตอนออกเทปคือรุ่นเดียวกับเรา เฮ้ย!เราแก่ขนาดนั้นเลยเหรอ เราจะครบ 40 แล้วนะอีกไม่กี่ปีกี่เดือน ด้วยความที่เป็นคนชอบร้องเพลง ชอบแสดง มีเลือดศิลปินอยู่บ้าง ทำได้ทุกอย่าง หรือถ้าจะให้ทำตอนนี้ก็ทำได้นะแต่ไม่ใช่แนวของตอนนี้แล้วล่ะ ด้วยอายุ ความนานที่เราเข้ามาอยู่ในวงการ ขอเล่นละครอย่างเดียวดีกว่าค่ะ

บทบาททางการแสดงที่มักจะได้รับ

ตัวร้ายค่ะ แต่ช่วงหลังๆ เริ่มเป็นแม่ละก่อนจะมาเล่นเรื่อง “ขุนกระทิง” ได้เล่นเรื่อง “ดอกฟ้ากับหมาวัด” ช่องมีเดีย เล่นเป็นแม่ “ตาล-กัญญา” (ซีเรียสไหมที่ต้องรับบทแม่?) ไม่ซีเรียสนะคะ แต่ด้วยวัยแล้ว ลูกเราอาจจะไม่ถึงขนาดนี้ เพราะเรามีลูกช้าไปหน่อย ตอนนี้ลูกคนโตเพิ่งจะ 7 ขวบเองค่ะ

สิ่งที่อยากจะทำในวงการบันเทิง

อยากจะทำ แต่ก็คงจะไม่มีโอกาสได้ทำ ถ้าพี่เวอร์ไม่ช่วย นั่นคือ ผู้จัดฯ แต่ก็คงจะหนักเอาการอยู่เหมือนกันค่ะ เราอาจจะยังคงไม่ถึงขนาดนั้น อาจจะเป็นแค่ละครเย็น อาจจะต้องให้พี่เวอร์เป็นแบ๊กให้ เพราะเขามีประสบการณ์และรู้จักคนเยอะ อยากเป็นผู้จัดเพราะว่าเราเป็นคนชอบดูละคร และชอบแนวตบจูบ ก็อยากจะทำอะไรแซบๆ เชือดเฉือน เพราะของพี่เวอร์เขาจะทำสไตล์บู๊ไง เราอยากเลือกนักแสดงว่าคนนี้ต้องเหมาะกับบทนี้นะ อยากได้คนนี้มาเล่น คนนี้เล่นถึงในอนาคตถ้ามีช่องทางและพี่เวอร์ช่วยก็หวังว่าจะได้ทำค่ะ แต่ว่าไม่ใช่ง่ายนะสมัยนี้ต้องมีทั้ง อำนาจ เงิน และ ดวง ตอนนี้เลยขอช่วยพี่เวอร์ไปก่อน ศึกษางานเก็บเกี่ยวประสบการณ์ไปเรื่อยๆ ค่ะ

โซ่ทองคล้องใจ กับชีวิตครอบครัวในวันนี้

มีลูกชาย 2 คนค่ะ คนโตชื่อ “น้องวินเธอร์” 7 ขวบ คนเล็กชื่อ “น้องสกาย” 3 เดือน ผู้ชายทั้งคู่ คนโตจะเป็นเด็กขี้อายมาก แต่ก็มีความมั่นใจส่วนหนึ่ง เราเคยสอนเขาไว้ คือเรากลัวไงคนสมัยนี้น่ากลัว ก็จะไม่ให้คุยกับคนแปลกหน้า เขาก็จะจำ ถ้าใครแปลกหน้ามา เขาก็จะไม่คุยด้วย แต่ถ้ารู้จักแล้วก็คุยปกติ แค่เป็นคนที่ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร ส่วนเรื่องการเลี้ยงยากเลี้ยงง่าย คนโตจะเลี้ยงง่ายกว่าคนเล็กนิดหน่อย (หัวเราะ) ตอนนี้ก็ปิดอู่แล้ว ไม่ไหวแล้ว ท้องคนที่สองนี่หนักมาก เพราะอายุเราเยอะ ค่อนข้างจะลำบาก ร่างกายไม่ได้กระปรี้กระเปร่า เดินเหินง่ายเหมือนสมัยท้องแรก

บทบาทการเป็นคุณแม่ของ วาเนสซ่า

ลูกชายบอกว่าดุนะ ก็กลัวที่สุด ใครพูดไม่ฟัง ถ้าคุณแม่พูด หยุดฟังทันที เราจะเลี้ยงลูกแบบค่อนข้างจะปล่อยนิดหนึ่ง ให้เขาเรียนรู้ความเจ็บด้วยตัวเอง เช่น ถ้าจะเล่นอะไรที่เจ็บตัวบอกแล้วไม่ฟัง เราก็จะบอกว่า แล้วแต่นะ ถ้าเจ็บนี่ตีซ้ำนะ ซึ่งเราก็ทำจริงๆ เพราะเราถือว่าเราบอก เราเตือนแล้วไม่ฟังไม่เชื่อ อยากเจ็บก็ลองดู ส่วนคุณพ่อนั้นไม่ดุเลย ใจดี ตามใจตลอด มีครั้งหนึ่งลูกเถียงกับคุณยาย เราจะเดินไปตีเขา แล้วเขาหลบ ช่วงที่หลบเขาหกล้ม มุมโต๊ะขูด ในใจเรานี่นะแบบว่า เจ็บแทนลูก ตรงหน้าอกเขาเป็นรอยทาง เขาร้องไห้ใหญ่เลย แล้วเราก็เข้าไปโอ๋เขาไม่ได้ด้วย เพราะเขาผิด ก็ต้องรอสักพัก เพราะถ้าทำเดี๋ยวนั้นเลย เขาจะได้ใจ ทั้งที่ในใจสงสารลูกใจจะขาด แต่ก็ต้องใจแข็ง ไม่งั้นต่อไปจะเป็นยังไง ถ้าเขาแกล้งล้มขึ้นมา เด็กเขาเรียนรู้เร็วด้วย ว่าจะมีวิธีไหนที่พ่อแม่ตามใจและเอาชนะพ่อแม่ ฉะนั้นเราจะต้องใจแข็งและเด็ดขาด เราก็อาศัยประสบการณ์จากการอ่านหนังสือ จากคุณแม่ของเรา มาผสมผสานกัน แล้วเลี้ยงเขาออกมาในแบบของเรานี่แหละค่ะ ซึ่งวิธีของเราก็อาจจะไม่ได้บอกว่าลูกเราดีเต็มร้อย เพราะยังไงเด็กทุกคนก็มีส่วนเด่นส่วนด้อยในตัวของเขาเอง เขาก็ไม่ได้เป็นเด็กที่ดื้อถึงขั้นเอาไม่อยู่ หรือนิสัยไม่ดี เขาเป็นเด็กที่กลางๆ

เทคนิคการเลี้ยงลูกชาย

ด้วยความที่เราเป็นผู้หญิง ความรู้สึกความอ่อนไหวต่างกันนะ เราเป็นแม่บอกรักเขาทุกวัน แต่เขาไม่บอกรักเราเลย ช่วงหลังๆ ก็จะงอน วินเธอร์ทำไมต้องให้ม่ามี้ถามว่า เลิฟยูหรือเปล่าวินเธอร์บอกม่ามี้ไม่ได้เหรอ พูดบ่อยมาก แต่ล่าสุดมาบอกละ ม่ามี้ เลิฟยูเราก็อยากจะได้ยินคำหวานๆ จากลูกเนอะ แล้วบางทีพ่อเขาได้ยินก็จะแซวไม่เห็นบอกรัก ป๊ะป๋า บ้างเลย คือด้วยความเป็นเด็กผู้ชายไง ก็จะไม่มีมุมแบบเด็กผู้หญิง เราก็พยายามปลูกฝังให้เป็นผู้ชายที่อ่อนโยน กอดหอม บ่อยๆ ทำกับเขาเรื่อยๆ ประจำโตขึ้นไปจะได้เทคแคร์ดูแลผู้หญิงที่จะมาเป็นคู่ชีวิตเขาเพราะผู้หญิงโดยส่วนใหญ่ชอบผู้ชายแบบนี้อยู่แล้ว ถูกไหมคะ ไม่ใช่ผู้ชายแข็งกระด้าง

มีเลือดศิลปินแบบคุณแม่หรือคุณลุง (โอลิเวอร์ บีเวอร์) บ้างไหม

คงจะยากค่ะ เพราะเป็นคนขี้อาย และต้องฝึกเยอะๆ แต่เขาจะเดินแบบบ่อย เรื่องการแสดงคงจะยัง เขาเป็นลูกเสี้ยวเพราะพ่อเขาเป็นคนจีน ก็ขาว สูง ดีแล้วไม่ได้เหมือนแม่ (หัวเราะร่วน) อนาคตเขาจะเลือกทางไหนเดินแบบถ่ายแบบหรือเล่นละครเราแล้วแต่เขาเลยค่ะ ไม่บังคับ อยากจะเป็นอะไรเราก็พร้อมสนับสนุนเต็มที่ค่ะ

ผลงานของคุณแม่ในสายตาลูก

เขาจะถามเกี่ยวกับตัวละครนั้นมากกว่า ทำไมต้องเป็นแบบนั้น ทำไมต้องทำอย่างนี้ แล้วเราก็จะคอยบอกเขาตลอดว่านี่เลือดปลอมนะ ในชีวิตจริงเขาไม่ฆ่าคนจริงๆ เราจะบอกเขาตลอดเวลาว่าตัวละครทำอย่างนี้เพราะอะไรในชีวิตจริงไม่มีนะ เป็นแบบนี้ พี่เวอร์จะเล่นเป็นตัวร้ายหรือตัวไม่ดียังไงเขาก็แยกแยะออกได้ว่านี่คือการแสดง คือเขาจะเรียกพี่เวอร์ว่า หว้าวี่ เพราะตอนเด็กพูด ลุงเวอร์ ไม่ได้ แล้วคำพูดที่ออกเสียง หว้าวี่ เหมือนหนังการ์ตูนเรื่อง วอร์ จะมีตัวการ์ตูนในนั้นชื่อ หว้าวี่ แล้วเขาก็จำ และมาเรียกพี่เวอร์ว่า หว้าวี่ ทุกวันนี้ก็เรียกแบบนี้ ซึ่งพี่เวอร์เองก็ไม่ให้หลานเรียกลุง จริงๆ ให้เรียก พี่เวอร์ คือเขาก็ไม่อยากดูแก่ (หัวเราะ) พอเวลาพามากองถ่ายก็จะชอบไม่อยากกลับอยู่จนดึกดื่น

สามีที่น่าภาคภูมิใจ

“พี่ตี้-กฤษณัฏฐ์ สีมานะชัยสิทธิ์” ก่อนหน้านี้ทางบ้านเขาทำโรงงานส่วนตัว พ่อแม่เขาทำในลักษณะธุรกิจครอบครัว แต่ด้วยความที่เขาทำงานกับครอบครัวมาตลอดก็จะไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร เพราะเขาเจอแต่เหล็ก อยู่แต่ในโรงงานเหล็กของเขา พอเขาได้มารู้จักกล้องตอนแรกเลยก็ประจวบเหมาะทำบริษัทให้เช่ากล้องไปเลย โอเคถ้าพี่เวอร์เปิดละครก็ใช้กล้องของเขาไปเลย แล้วเขาก็เป็นตากล้อง เขาก็ถ่ายไปด้วย คือเป็นบริษัทกล้องของเขา บริษัทวีแคม ให้เช่าอุปกรณ์ถ่ายทำทั่วไป นอกจากของพี่เวอร์ก็จะมีของทางช่อง 8 แล้วก็ช่อง One ด้วย เราก็เข้าไปดูในเรื่องของบัญชีให้ค่ะ

เส้นทางธุรกิจ

ยากนิดหนึ่งค่ะ เพราะว่าอะไรก็แพง และเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ไม่ได้กำไรเยอะ แต่ว่าถ้าเขาชอบ ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบก็แฮปปี้ที่สุด เรียกว่าเอื้ออำนวยกับงานของพี่เวอร์ด้วย ลงล็อกกันพอดี

ภูมิใจในผลงานของกันและกัน

ไม่ได้ชื่นชมอะไร แต่ว่าพี่เวอร์จะพูดว่า ดีขึ้น เก่งขึ้นนะ หมายถึงว่าตัวพี่ตี้นะคะ ซึ่งเราก็รู้สึกภูมิใจในตัวสามีเราเหมือนกัน เพราะแต่ก่อนเขาไม่ได้เป็นตากล้องโดยตรง แต่เขามาถึงขนาดนี้แล้วก็ถือว่าดีมากๆ ก็คงจะเป็นเรื่องของพรแสวงและด้วยใจรักที่เขาพยายามเรียนรู้และอยากจะทำ ตอนนี้ก็ยึดเป็นอาชีพหลักมาสักประมาณ 2 ปีแล้วค่ะ และด้วยความที่กองของพี่เวอร์เขาจะถ่ายแบบหนังมีเทคนิคพิเศษอยู่เหมือนกันตอนนี้เขาก็ถือว่าเป็นอีกคนที่เรียกราคาค่าตัวได้ (ยิ้มภูมิใจ)

วงการบันเทิงให้อะไรในชีวิต

ประสบการณ์ค่ะ เราได้รู้จักคนเยอะ ได้รู้จักว่านิสัยคนเป็นแบบนี้พราะอะไร เราจะต้องเข้ากับคนแบบนี้ได้อย่างไร จริงๆ มันก็อยู่ยากสำหรับคนที่อยู่ไม่เป็น แต่อยู่ง่ายสำหรับคนที่รู้จักว่าควรจะอยู่อย่างไร แต่ก็ไม่ง่ายที่จะรู้จักวงการนี้แล้วอยู่ให้เป็น ถึงแม้เราจะเป็นครอบครัวคนวงการบันเทิงโดยตรง ก็ยังไม่ง่ายที่จะรู้ว่าอยู่อย่างไรให้เป็น แต่ก็ต้องเรียนรู้ค่ะ คนที่อยู่ในวงการต้องไม่หยุดที่จะเรียนรู้จากคนในวงการเดียวกัน

คติในการดำเนินชีวิต

ทำวันนี้ให้ดีกว่าเมื่อวาน ก็จะคิดอย่างนี้ไปเรื่อยๆ เก็บความผิดพลาดของเมื่อวานมาแก้ไขในวันนี้ จะใช้หลักนี้ไม่ว่าจะเลี้ยงลูกหรือดำเนินชีวิตประจำวัน ทั้งครอบครัว และคนรอบข้าง

ฝากผลงานล่าสุด

ฝากละครเรื่อง ขุนกระทิง ค่ะ กำลังออนแอร์ทุกวันศุกร์-อาทิตย์ หลังข่าวช่อง 7 สีหลังจากหายไปนาน กลับมาเล่นอีกครั้ง และก็ขอฝากถึงผู้ชมและผู้จัดด้วยนะคะว่าวาเนสซ่า กลับมาแล้วค่ะ ว่างอยู่ ติดต่อได้ บทอะไรก็รับหมดค่ะ(หัวเราะ)

“วงการบันเทิงอยู่ยากสำหรับคนที่อยู่ไม่เป็น แต่อยู่ง่ายสำหรับคนที่รู้จักว่าควรจะอยู่อย่างไร…คนที่อยู่ในวงการต้องไม่หยุดที่จะเรียนรู้จากคนในวงการเดียวกัน” และนี่คือ “วาเนสซ่า บีเวอร์” อดีตนักร้องนักแสดงสาวลูกครึ่ง และปัจจุบันกับบทบาทการเป็นคุณแม่ของลูกชายวัยกำลังน่ารัก

กุหลาบสีเงิน

star retro : ‘ดิษ-หนึ่ง’ คู่หู สไมล์ บัฟฟาโล่ ที่ยังโซโล่ดนตรีทุกค่ำคืน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/entertain/209755

วันอาทิตย์ ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2559, 06.00 น.
tags : star retro
ย้อนอดีตวันวาน สตาร์เรโทรสัปดาห์นี้เอาใจขาอัลเทอร์เนทีฟร็อกที่ผูกพันกับเสียงดนตรีในยุค 20 ปีก่อน วงดนตรีที่เรียกได้ว่าเป็นไอดอลของน้องๆ กับ 2 ใน 4 สมาชิกของ วงสไมล์ บัฟฟาโล่ “ดิษ” ประดิษฐ์ วรสุทธิพิศิษฎ์ (ร้องนำ, เบส) และ “หนึ่ง” พนัส อภิชาตพงศ์บุตร (คีย์บอร์ด) คู่หูที่ปัจจุบันยังจับคู่ดูโอสร้างสุขให้กับผู้คนด้วยเสียงดนตรี

พบปะกันบนเส้นทางดนตรี

ดิษ : เรารู้จักกันตามงานประกวดดนตรีก่อนครับ ช่วง ม.ปลาย อยู่กันคนละวงคนละโรงเรียน พี่หนึ่งกับพี่เชษฐ์ (วรเชษฐ์ เอมเปีย-มือกลอง) เป็นรุ่นพี่ ตอนนั้นเต็น (ธีรภัค มณีโชติ-กีตาร์) ไม่ได้อยู่สายประกวด จนกระทั่งเข้ามหาวิทยาลัยหอการค้า คราวนี้เรียนที่เดียวกันละ แต่คนละคณะ ก็มารวมวงกันชื่อว่า Five Rozz ไปประกวดเวที โค้ก มิวสิก อวอร์ด ปี 2535 ได้ที่ 2 ของประเทศ ที่ 1 เป็นของวงโมเดิร์นด็อก

ชีวิตหลังได้รางวัล

ดิษ : เหมือนเดิมครับ (หัวเราะ) ต่างคนต่างแยกย้ายกันไปเรียน ไปเล่นดนตรี ในวงมีเพื่อนอีกคนชื่อ เอก คนนั้นเขาสายร็อกเขาก็พยายามจะขวนขวายจะไปทางร็อก เขาไปอยู่วงสโนไวท์ ชวนผมไปเล่นด้วย แต่ผมไม่ถนัด ผมชอบร็อกนะ แต่ถ้าต้องไปใส่กางเกงหนัง ไว้ผมยาว ก็ไม่ไหว (หัวเราะ)

หนึ่ง : ผมก็ยังไปเล่นตามผับกับพี่เชษฐ์เหมือนเดิม ซึ่งทำให้ไม่ได้ค่อยได้เรียนหรอกครับ เล่นซะส่วนใหญ่ เพราะเราต้องหารายได้เลี้ยงตัวเอง ส่งตัวเองเรียน

ดิษ : ผมมีแต่เรียนกับเล่นสนุ้กเกอร์ (หัวเราะ) (หนึ่งแซวว่า : เขาเป็นมือฉกาจประจำมหาลัยเลย) จนประมาณปี 2536 พี่หนึ่ง
พี่เชษฐ์เขาไปเป็นแบ๊กอัพให้พี่จุ้ย (ศุ บุญเลี้ยง) แล้วเขาขาดมือเบส เขาก็โทร.มาชวนผม ไปเป็นแบ๊กอัพ แล้วก็คิดจะทำเทป ทำวง ตอนนั้นพี่หนึ่งกับพี่เชษฐ์ชวนเต็นเข้ามา

หนึ่ง : เต็นเขาโทร.หาพี่เชษฐ์พอดี ถามว่ามีอะไรให้ผมทำไหม ก็เลยชวนมาแจมกันตอนนั้นเริ่มจะเป็นแบรนด์ละ เพราะเราเล่นแบ๊กอัพให้พี่จุ้ยด้วย เลยทำให้เราได้ซ้อมด้วยกันเยอะ และก็ไปทัวร์ต่างจังหวัดกับพี่จุ้ย

ดิษ : เล่นกันสักระยะหนึ่งแล้วเริ่มรู้สึกโอเค แต่ก็ยังไม่ได้จะรีบออกเทปหรืออะไร แต่มีจุดเปลี่ยนคือ ตอนนั้นเราไปแบ๊กอัพให้พี่แทน เอาท์ไซเดอร์ แล้วพี่แทนเขาไฟแรงมากเขาบอก “เฮ้ย..พวกมึงต้องทำเทปกันนะ” คือพี่แทนเขาเป็นคนแบบว่ามีทุกอย่างแล้ว เงินทองเขาไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น เขาอยากเล่นดนตรี เขาก็เลยเต็มร้อยกับเรา คือที่มาเล่นกับพวกเราแต่งเพลงให้ไม่พอ เขายังให้ตังค์ด้วย คือให้ทุกอย่างครับ ทั้งผลัก ทั้งดัน ทั้งถีบเลยก็ว่าได้ จนเล่นกับพี่แทนประมาณ 1 ปี เราก็ได้ออกเทปปลายๆ ปี 2538 คือพี่แทนให้เข้าห้องซ้อมทุกวัน ทั้งที่เราก็ไม่ได้ส่วนร่วม แต่เขาแต่งเพลง “ดีเกินไป” กับ “ฟ้ายังฟ้าอยู่” ให้ครับ

ทำไมถึงเลือกที่จะมีสมาชิก 4 คน

หนึ่ง : เล่นกันแล้วลงตัวครับ ด้วยซาวนด์ของวงที่มาผสมกัน เราคิดว่าพอดีแล้ว และดิษเขาก็สามารถร้องได้

ดิษ : แต่ก่อนที่จะเข้าห้องอัดยังไม่มีใครเป็นนักร้องสักคนเลยนะครับ ก็คิดอยู่เหมือนกันว่าจะหานักร้องไหม แต่พอตกลงกันก็สรุปว่าอย่าเลย เดี๋ยวเรื่องมากเปล่าๆ เราอยู่กันมา 3 ปีแล้ว อยู่ดีๆ เอาใครไม่รู้เข้ามาอีกคน สุดท้ายก็มาสรุปกันในห้องอัดครับให้ร้องกันทุกคน ใครอยากร้อง ร้องเลย

หนึ่ง : ผมไม่ผ่าน แรงไม่มี แต่ดิษเขาเสียงสูง ตอนอยู่วงประกวดเขาก็ร้องก็เลยสรุปยังไงก็ต้องประดิษฐ์แล้วล่ะ

ที่มาของชื่อ สไมล์ บัฟฟาโล่

หนึ่ง : มีรุ่นน้องของเต็น เรียน มศว เป็นวงแจ๊ส แล้วเขาเคยใช้ชื่อนี้ ตอนหลังวงเขาแตกไป เราก็มองว่าชื่อนี้ติดหูดี ตอนที่ได้ชื่อนี้มา คือพี่เชษฐ์บวชอยู่ แล้วน้องเขาไปที่วัด พี่เชษฐ์ก็เลยบอกขอบิณฑบาตชื่อวงให้อาตมาเถอะ (หัวเราะ) อาตมาจะไปออกอัลบั้ม เรียกว่าขอกันทางผ้าเหลืองเลย

ขายงานเพื่อหาสังกัด

ดิษ : ไปที่ไหนก็ไม่มีใครเอาครับ (หัวเราะ) จนเหลือที่สุดท้าย ที่ อีเอ็มไอ ก็โชคดีครับที่เขาเอา เราไม่มีหัวทางด้านการตลาด เราเล่นอย่างเดียว เพราะเพลง “ดีเกินไป” เขาก็เป็นคนบอกว่าต้องเอาเพลงนี้มาขาย

หนึ่ง : ทั้งๆ ที่ในวงไม่มีใครชอบเพลงนี้เลย แต่กลายเป็นว่าเพลงนี้ดังมาก และก็สร้างชื่อให้กับพวกเรา

แจ้งเกิดเป็นศิลปิน

ดิษ : คราวนี้ชีวิตเปลี่ยนเลยครับ เพราะตอนแรกผมไม่ได้บอกใครเลย ว่ามาออกเทปทำอัลบั้ม คนที่บ้านยังไม่รู้เลย ทั้งๆ ที่เทปออกวางขายแล้ว วิทยุเริ่มเปิด จนกระทั่งเพลงเริ่มดัง ถึงบอกน้อง พี่ร้องเพลงนี้เอง น้องก็ไม่เชื่อกันอีก คือตอนนั้นดังแต่ในวิทยุก่อน ขึ้นอันดับฮอตเวฟ สมัยนั้นถ้าใครขึ้นอันดับของฮอตเวฟได้ นี่คือต้องดังมากๆตอนนั้นก็เลยคิดว่าเอ๊ะ..เราดังเปล่านะจนฮอตเวฟเขาเชิญเราไปเล่นคอนเสิร์ตของเขา ถึงรู้ว่าตัวเองดัง

หนึ่ง : งานแรกสั่นเลย คนมาดูกันเต็มไปหมด มาดูเราแน่เหรอ (หัวเราะ)

ดิษ : ตอนนั้นยังไม่มีงานจ้างนะครับไปเล่นแบบฟรีคอนเสิร์ตของวิทยุก่อนหลังจากนั้นก็หาผู้จัดการให้เขาช่วยรับงานให้ ค่ายเขาก็ดีนะครับ เขาให้เรารับงานได้อิสระ โดยที่เขาไม่ยุ่งด้วย ไม่มีหักเข้าบริษัท

5 อัลบั้มในนาม วงสไมล์ บัฟฟาโล่

ดิษ : 3 อัลบั้มแรก คือพอชุดแรก ผลตอบรับดีมาก ดังมาก ชุดสองออกมาเริ่มดร๊อปลง แต่ก็ยังแรงอยู่ ยังเล่นดนตรีทุกวันครับ เพราะเราไม่รู้เรื่องหรอก กระแสเบาไม่เป็นไร เดี๋ยวชุดหน้าเอาใหม่ คิดอยู่ในใจไม่ต้องซีเรียส หลังจากนั้นพอออกชุดที่ 3 ก็ดร็อปลงไปอีก เราก็เริ่มคิดว่า สงสัยไม่โปรโมทไปแกรมมี่ดีกว่า เพราะรู้จักทางพี่เสือ-ธนพล อยู่แล้วครับ พี่แทน เอาท์ไซเดอร์ เขาแต่งเพลงให้พี่เสืออยู่ ก็คุยกับพี่เสือ เขาก็บอก..มาเลย พอเข้าไปพวกเราก็ไปเป็นแบ๊กอัพให้พี่เสือเลย ก่อนที่จะออกของ สไมล์บัฟฯ กระแสวงก็ดีขึ้นมา พอมาอยู่แกรมมี่ เขามีเอ็มวี มีอะไร เพราะก่อนหน้านั้นของเรามีเอ็มวี ก็ไม่ค่อยได้ออกช่องฟรีทีวี ชีวิตก็ดีขึ้นมา พอออกได้ 2 ชุดก็ถึงจุดอิ่มตัวมั้งครับ วงก็เลยตกลงกันว่าขอบริษัทยกเลิกสัญญา อยากจะแยกย้ายกันไป (เหตุผลคือ?) ผมก็ไม่รู้ครับทำไมผมเฉยๆ ผมไม่ได้เป็นคนอยาก (หัวเราะ)

หนึ่ง : ผมก็ยังอยากออกเทปอยู่นะ แต่ตอนนั้นเหมือนแบบอยากลองพักก่อน สุดท้ายก็แยกย้ายกันไป ต่างคนต่างไปเล่นดนตรี

ดิษ : ผมก็ยังเล่นแบ๊กอัพให้พี่เสือต่อครับ

ผ่านมา 20 ปี เสียงดนตรียังไม่เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต

ดิษ : ทุกวันนี้ ทุกคนยังโอเคที่จะกลับมาเล่นด้วยกัน ไม่ได้ห่างหายกันไปไหน

หนึ่ง : เจอกันก็ยังเฮฮาเหมือนเดิมครับ มีงานจ้างเราก็ไป ล่าสุดก็เพิ่งเจอกันเมื่อไม่นานมานี้เอง และก็ได้ไปถ่ายละครกับ ปอ-ทฤษฎี เรื่อง สาวน้อยร้อยล้าน ด้วย

รียูเนียร์น สไมล์ บัฟฟาโล่

หนึ่ง : พวกเราไม่ถือว่ารียูเนียร์นนะครับ เพราะเรายังเล่นกันอยู่ เพียงแต่ไม่ได้ออกสื่อ ไม่ได้ขึ้นคอนเสิร์ตใหญ่ แต่เราไม่ได้วงแตก เพราะฉะนั้นถ้ามีใครสนใจชวนมาเราก็พร้อมเล่นครับ

เรียนจบคนละด้าน แต่เลือกที่จะยึดอาชีพนักดนตรี

ดิษ : ผมตามที่บ้านครับ ที่บ้านเขาอยากให้เรียนบัญชี เราก็เรียนจบตามที่เขาอยากให้เรียน แต่พอจบแล้วเราก็เล่นดนตรี
ต่อครับ ทุกคนแหละครับที่เป็นนักดนตรี ไม่ได้เอาสายที่เรียนไปใช้หรอก และโชคดีที่ทางบ้านไม่ได้ว่าอะไร เราอยากทำอะไรก็ตามสบาย เพราะว่าที่บ้านเขามีกิจการของตัวเอง ทุกคนอยู่สบายอยู่แล้ว เราสามารถเลี้ยงตัวเองได้พอครับ

หนึ่ง : สมัยเด็กๆ ผมก็เรียนอย่างเดียว เน้นวิชาการ จน 8 ขวบที่บ้านเขาเห็นเราชอบทางดนตรี เขาก็ส่งเสริม แต่ว่ายังไม่มีใครสำเร็จเป็นตัวเป็นตน เพราะแรกๆที่บ้านก็ชายเทป ขายแผ่นเสียง ก็เลยซึมซับทุกวัน เล่นมาเรื่อยๆ

จวบจนวันนี้ไม่เคยไม่มีงาน

ดิษ : น้อยมากครับที่จะไม่มีงาน เพราะเราสามารถเข้ากับวัยรุ่นได้ น้องๆ ชวนไปเล่นไหน ผมก็ไปหมด ผมไม่ได้คิดว่าเราเป็นศิลปินออกเทปมาดัง ผมเล่นได้ทุกที่

หนึ่ง : ถ้าผมไม่ได้เล่นดนตรี ผมก็จะมีงานทำเพลงโฆษณา ทำเพลงละคร อะไรที่เกี่ยวกับดนตรีเราทำหมด เพราะเราชอบ
ก็เลยได้เป็นคนแต่งเพลงไปด้วย

เพลงใหม่ของสไมล์ บัฟฟาโล่

หนึ่ง : อยากทำอยู่แล้วครับ ผมคิดว่าต้องมี

ดิษ: เราคิดกันไว้ครับ แต่ต้องอยู่ที่จังหวะ เพราะถ้าจะทำขายไม่ได้แน่นอน คิดว่าทำมาสนุกๆไว้ก่อน อย่าไปคิดขายเลย แค่ทำออกมาแล้วเราแฮปปี้ก็พอแล้วครับ

งานเดี่ยว

ดิษ: ถ้าผมจะทำ ผมก็คงทำไปนานแล้วครับ ผมมีความสุขกับแบบนี้ ไม่ออกเทป ผมก็ไปเล่นดนตรีกลางคืน

หนึ่ง : ผมว่ามันไม่สนุก เหมือนได้ทำกับวง

หน้าที่การงานในปัจจุบัน

ดิษ: ผมก็เล่นดนตรีกลางคืน แล้วก็เล่นแบ๊กอัพให้พี่หนุ่ย (อำพล ลำพูน) ครับ ก่อนหน้านี้ก็เล่นให้ เสก โลโซ เล่นอยู่เกือบ 10 ปีเพิ่งเปลี่ยนมาเล่นกับพี่หนุ่ยได้เกือบ 2 ปีแล้วครับ วันไม่มีงานแบ๊กอัพก็มาเล่นตามร้านกับพี่หนึ่ง คือเล่นเอาสนุก ไม่ได้คิดถึงเรื่องเงิน (หัวเราะ)

หนึ่ง : ทุกวันนี้รับงานเพลงของแกรมมี่มาบ้าง เพลงละคร เพลงโฆษณาต่างๆรับหมดครับ ทำเสร็จเราก็ขายลิขสิทธิ์ให้เขาไปส่วนพี่เชษฐ์เขาก็มีวงร่วมกับน้องๆ เด็กๆ ของเขา แต่ส่วนใหญ่เขาจะเล่นแบบรับบริจาคไม่ได้หวังเอาเงิน เพราะเขาโอเคกับการมีบ้านมีสวน พอเพียงของเขาแล้ว นอกจากมีงานจ้างก็มาเฮฮาด้วยกัน

ดิษ: เต็นก็อยู่กับทางค่ายสหภาพดนตรีครับ เป็นโปรดิวเซอร์ เพราะเขาแต่งเพลงเก่ง

ชีวิตครอบครัว

หนึ่ง : แฮปปี้ครับ ผมแต่งงานมา8 ปีแล้ว ก่อนหน้านี้คลุมกำเนิดกันอยู่ ไม่อยากมีลูก แต่ตอนนี้เริ่มอยากมีแล้วครับ เห็นลูกประดิษฐ์น่ารักมากเลย ปีนี้แหละ(หัวเราะ)

ดิษ : ผมมีลูกชายคนหนึ่งครับ กำลังเรียน ป.1 อ้วนถ้วนสมบูรณ์ ซนตามประสาเด็ก(หัวเราะ) (มีแววเป็นนักดนตรีไหมคะ?)ไม่ค่อยครับ แต่ก็ซื้อกลองไว้ให้ชุดหนึ่งเขาอยากได้ พอซื้อมากลับไม่ตีซะแล้ว

หนึ่ง : พี่เชษฐ์ยังสนุกกับชีวิตโสด ส่วนเต็นลูก 2 แล้วครับแต่ยังอ่อนวัยกว่าลูกประดิษฐ์

ฝันในอนาคต

ดิษ : ผมไม่ค่อยอยากอะไรนะ มีแค่อยากให้ลูกเป็นเด็กดีเท่านั้นล่ะครับ

หนึ่ง : ของผมนี่อยาก แต่กำลังจะสำเร็จแล้วครับ อยากมีห้องซ้อมดีๆ ห้องอัดดีๆ อยู่ที่บ้าน ใกล้จะเปิดแล้วครับ ฝากโปรโมทด้วยครับ แถว ซ.เฉลิมพระเกียรติ 28หรือติดต่อที่เฟซบุ๊คผมก็ได้ครับ PANUS SMILE BUFFALO ชื่อห้องยังไม่สรุปแต่ว่าขออนุญาตเพื่อนๆ แล้วว่าจะใช้ สไมล์ บัฟฟาโล่

ก่อนจากกัน “หนึ่ง” ย้ำว่าถ้ามีโอกาสจะทำเพลงดีๆ สไตล์ สไมล์ บัฟฟาโล่ ออกมาให้ฟังกัน ส่วน “ดิษ” ฝากบอกแฟนๆ เห็นพวกเขาไปเล่นที่ไหน เข้ามาทักทายกันได้

เสน่ห์ของเสียงดนตรี ยังคงดึงดูดความเป็นศิลปิน ในขณะที่ชีวิตยังมีหนทางทำกิน “ดิษ” ประดิษฐ์ วรสุทธิพิศิษฎ์ และ “หนึ่ง” พนัส อภิชาติพงศ์บุตร 2 คู่หูจากวงดังในอดีต สไมล์ บัฟฟาโล่ จึงสมัครใจที่จะเป็นศิลปินจนกว่าจะสิ้นพลังกาย

ลูกหมี

star retro : สุกัญญา นาคสนธิ์ กับหน้าที่ ‘ครูแอ๊ว’ ของเหล่าซุป’ตาร์

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/entertain/208739

วันอาทิตย์ ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2559, 06.00 น.
tags : star retro
จากเด็กสาวที่รักในการร่ายรำและศิลปะการแสดง สู่บทบาทที่หลากหลายในละครโทรทัศน์ วันนี้ “สุกัญญา นาคสนธิ์” ได้กลายเป็น “ครูแอ๊ว” ของลูกศิษย์หลายๆ คน ในวงการบันเทิง กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ เธอต้องฟันฝ่าอะไรมาบ้าง สัปดาห์นี้ “สตาร์เรโทร” ขอนำทุกท่านร่วมย้อนวันวานไปกันเธอ

ปัจจุบันอยู่เบื้องหลังเป็นแอ๊กติ้งโค้ชสอนการแสดง และเปิดสอนอยู่ด้วยค่ะ เริ่มสอนการแสดงมาตั้งแต่เรื่อง “ร่มฉัตร” ซึ่ง “พี่ไก่-วรายุฑ” เป็นคนดึงเข้ามาทำ เราก็บอกว่าเราอยากเล่นมากกว่า พี่ไก่อยากให้ลองดูก่อน ถ้าไม่ไหว ค่อยว่ากัน ก็ไปดู “นุ่น-
สินิทธา” ซึ่งยังใหม่มากในตอนนั้นดู “ปู-กนกวรรณ” ด้วยสัญชาตญาณของเรา คือเราเล่นละครรำมาก่อน ชินกับผ้าโจงก็เห็นนุ่นเขาเดินไม่สวย เดินสบายเกิน เราก็เข้าไปบอก และอธิบายให้เขาฟัง แรกๆ ก็มีงงๆ ว่าเราบอกทำไม เพราะว่าสมัยก่อน ไม่มีแบบ คือทั้งหมดนั้นเราใช้ประสบการณ์ทางการแสดงที่เราเล่นมาตั้งแต่ ปี 2512 ซึ่งประสบการณ์ของแอ๊วมาจากผู้ใหญ่ สมัย “ครูทัต-เอกทัต” ช่อง 4 บางขุนพรหม เจอ “พ่อสมพงษ์ พงษ์มิตร” “น้าสะอาดเปี่ยมพงศ์สานต์” เราเจอรุ่นใหญ่ๆ คู่กับเขามาโดยตลอด เหมือนอาศัยครูพักลักจำ เราก็ดูว่ามันใช่ตัวตนของการแสดงไหม ตอนนั้นเล่นละครของนาฏศิลป์สัมพันธ์ช่อง 4 ของ “ครูสัมพันธ์ พันธุ์มณี” เรียกว่าตอนที่มาเป็นแอ๊กติ้งโค้ชแรกๆ นักแสดงส่วนใหญ่จะงงว่าคืออะไร ทำไมต้องมีแบบนี้ แต่ว่าก็ทำมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งของ “คุณแหม่ม- ธิติมา”, “พี่ก้อย-ทาริกา” ตอนนั้นเรื่อง “นางบาป” ก็คอยดู “เอ๊ะ” กับ “เบนซ์” ของพี่แหม่มจะเจอนักแสดงรุ่นใหม่ แล้วก็มี “จอย-รินลณี” เรื่องกัลปังหา “ดอม เหตระกูล” ซึ่งดอมต้องเล่นเป็นแฝด 3 คน

กลุ่มพาวเวอร์ทรี ถูกเคี่ยวโดยครูแอ๊ว

ยุคนั้นเจอ ปอ-ทฤษฎี, แพท-ณปภา, มะปราง, โกสินทร์, วุฒิ ซึ่งแต่ละคนคือเล่นอยู่ในเรื่องเดียวกันด้วย จับมาติวกันเป็นคู่ๆ เราก็ดู ปอ-แพท และมี “คุณโอ๋-อานนท์” มาร่วมติวด้วย แล้วค่อยเอามายำรวมกัน หลังจากนั้นคือได้ดูปอมาเรื่อยๆ ในละครของพี่แหม่ม ถึงแม้ว่าเขาจะเก่งแล้ว แต่เราก็ยังทำหน้าที่ของเราอยู่ และเราก็ไม่ได้ดูแต่เฉพาะตัวพระ-นางจะดูทุกคนแม้กระทั่งตัวประกอบ เพราะว่าทุกคนจะต้องเล่นด้วยกันในฉาก ตัวประกอบบางครั้งมันเสียเวลาไม่ได้ พระ-นางเขาเล่นได้แล้ว ตัวประกอบก็ต้องเล่นได้ด้วย

อยากเล่นละครอย่างเดียว แต่ต้องมาเป็นแอ๊กติ้งโค้ช

การแสดงเลยลดน้อยลงค่ะ แต่ก็มีบ้างที่ไปรับเชิญ คือยังไงเราก็คิดถึงหน้าจอ ยังอยากเล่นละครอยู่ ก็เลยไปแจมบ้าง อย่างเรื่อง “สุภาพบุรุษจุฑาเทพ” พอเราออกไปเพื่อนๆ เขาก็เอามาเล่าให้ฟัง คือเขาเห็นในเฟซบุ๊ค คนเขาพูดกันว่าคนนี้คือใคร แต่เขารู้สึกว่าเราต้องเป็นคนสำคัญ ก็เลยมีคนเขียนตอบกลับไปว่าไม่รู้เหรอว่าคนนี้คือใคร เขาเล่นละครมานานแล้ว ก็รู้สึกดีใจค่ะที่อย่างน้อยมีคนพูดถึง และจำเราได้ เด็กใหม่อาจจะไม่รู้จัก แต่พ่อ-แม่เขาต้องรู้จักเราแน่นอน

การเดินทางของชีวิต ที่กว่าจะถึงวันนี้

เป็นลูกแม่ค้าขายขนมค่ะ แล้วมาเรียนรำละคร แต่เรียนไม่เท่าไหร่ “ครูสัมพันธ์ พันธุ์มณี” ก็ดึงออกมาให้มาเล่นเป็นตัวสแตนด์อินของ “กนกวรรณ ด่านอุดม” คือเล่นเป็นฝาแฝด เขาก็ให้เรามายืนแล้วเห็นข้างๆ เพราะว่าหน้าเราจะคล้ายเขา บางทีละครออนแอร์มายังงงเลยว่าเราหน้าไหน (หัวเราะ) เล่นเรื่องเลือดโจร สมัยนั้นครูทัศน์ กำกับ เป็นละครช่อง 4 หลังจากนั้นก็ได้เล่นละครต่ออีกเรื่อยๆ เรื่องที่เด่นๆ ก็มี “ผู้ชนะสิบทิศ” เล่นเป็น “เชงสอบู” หนึ่งในนางเอก แล้วก็เล่นมาเรื่อยๆ ทุกช่อง ทั้งช่อง 5 ช่อง 7 และมาถึงช่อง 3 บทบาทที่ได้รับก็จะหลากหลาย บทร้ายก็เล่นค่ะ อย่างเรื่อง “คุณหญิงนอกทำเนียบ” ก็เล่นเป็นน้องสาวของ “คุณลินดา” น้ำผึ้งขม, น้ำตาลไหม้ ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นการพลิกบทบาทพอสมควร เพราะว่าเล่นเป็นพาร์ทเนอร์ ตอนนั้นพี่ไก่จับแต่งตัวเปรี้ยวเซ็กซี่มาก เปลี่ยนลุคไปเลย

เส้นทางฝึกฝนการแสดง

ต้องบอกว่าไม่ได้ฝึกเลยค่ะ แล้วครูพักลักจำก็ไม่เชิงนะ เหมือนว่าเรารัก และเราเชื่อที่จะทำ เราก็เลยเล่นออกมาได้ ทุกวันนี้จะสอนทุกคนว่าคุณต้องรักและเชื่อที่จะทำมัน โอเคว่ามันคนละยุคกัน แต่ถ้านับ 5-4-3 เมื่อไหร่ “สุกัญญา นาคสนธิ์” ไม่ได้ยืนอยู่ตรงนั้นนะ ตัวแสดงยืนเราเป็นตัวนั้นไปแล้ว บางทีต้องพูดบทครึ่งหน้า เขาก็สงสัยว่าเราจำได้ยังไง คือก็ไม่รู้เหมือนกัน

กับบทบาทการเป็นผู้จัดละคร

ทำละครตอนเย็น ในช่วงปี 2529 ค่ะ ทำละครจักรๆ วงศ์ๆ แล้วพี่ไก่ก็มาทำเสื้อผ้าให้ เรื่องแรกได้ “พี่นก-ฉัตรชัย” มาเล่นด้วย แต่สมัยนั้นไม่มีบอกบทแล้วนะ เป็นแนวอภินิหาร ก็ได้ทำอยู่ประมาณ 3-4 เรื่อง ตอนนั้นเจ้านายคือ “คุณประวิทย์” ชวนให้มาทำ แต่ตอนแรก เราก็ไม่กล้าทำ คือเห็นตั้งแต่สมัยพี่ๆ ทำมาแล้ว ซึ่งเป็นละครสด เราเห็นทุกคนซีเรียส แต่นายก็บอกว่าไม่ลองจะรู้เหรอ เราก็เลยลองดู แต่ด้วยพลังเราไม่พอ ก็เลยได้ทำเท่านี้ สำหรับการเป็นผู้จัดฯ

“ครูแอ๊ว” ของนักแสดง

ก่อนหน้านี้คือไม่คิดว่าจะต้องมาเป็นครูนะคะ คือเราทำเพราะว่าเรามีความสุข เราแนะนำตั้งแต่รุ่นใหญ่ๆ “นก-ฉัตรชัย” “นก-สินจัย” เออ…เขาฟังเรา แล้วก็มาเจอรุ่นกลางเด็กรุ่นนี้ก็ยังฟังเรา ใช้ความสำคัญของการที่จะแสดงออกไป แล้วพอมาตอนนี้เป็นเด็ก
รุ่นใหม่บางทีเราก็มีความรู้สึกว่าเขาเข้ามาเพื่องาน เพื่อรายได้ ยุคเปลี่ยนไป แต่เราก็ถือว่าเรามีหน้าที่ และเรารักที่จะให้ในสิ่งที่คุณไม่รู้ บางทีเราดูมอนิเตอร์ยังมีบางสิ่งบางอย่างที่ตัวแสดงสามารถมีอะไรได้อีก เราจะบอก เรารักที่จะให้ (วิธีการบอกการสอนของครูแอ๊วมีในตำราไหม ?) ไม่มีค่ะ สิ่งแรกเลยเราจะให้เขาเริ่มอ่านหนังสือ อ่าน ร เรือ ล ลิง เริ่มสตาร์ท แล้วเราก็จะจับเสียง สอนเว้นวรรคสอนการออกเสียง อย่าง “จอย-รินลณี” ยังขำเลย ตอนที่เจอเขาครั้งแรกอ่านหนังสือแล้วเสียงแหลมมาก เราก็บอกเขาว่าเหมาะที่จะเป็นนางร้าย เขาบอกว่าไม่ใช่นะ เขาเป็นนางเอก ระยะเวลาผ่านไป วันหนึ่งเขาก็โทร.มาบอกว่าเขาได้เล่นเรื่อง “มงกุฎดอกส้ม” ที่เล่นเป็นคนจีน ทีแรกเราก็ถามไปว่าเล่นเป็นนางเอกเหรอ เขาก็บอกว่าเปล่า เล่นเป็นตัวร้าย (หัวเราะ) แต่จอยกับเรานี่คือสนิทกันอยู่แล้ว ล่าสุดก็เพิ่งเจอกันในเรื่อง “เจ้าบ้านเจ้าเรือน” ส่วนรุ่นใหม่ๆ ก็มี ณเดชน์, หมาก, มิ้นท์-ณัฐวรา ตอนที่เขาจะมาเล่นเรื่องแรก

ลูกศิษย์ที่ครูแอ๊วภูมิใจ

อย่าง “ปอ-ทฤษฎี” ก็ภูมิใจนะคะ เขาเป็นคนตั้งใจ แต่ตอนแรกที่เจอกันสิ่งแรกที่ทำคือคุยแล้วก็แก้บุคลิกให้เขา ดูว่าบุคลิกในตัวเรื่องเขาเล่นเป็นใคร วอร์มเขาใหม่ให้เขาอ่านบทและเป็นคนนั้นให้ได้ ส่วน “แพท” เรื่องแรกเขาก็เป็นลิงเลย เขาเป็นคนกล้าลูกบ้าเยอะ แล้วเขาก็เคยผ่านโฆษณามาแล้ว เราก็จะเช็คลิมิตของนักแสดงว่าเขาทำอะไรให้เราได้บ้าง ถ้าเขาทำได้แค่นี้เราก็จะมีเทคนิคของเราเพิ่มเติม เราต้องเปลี่ยนเขาไปเรื่อยๆตามคาแร็กเตอร์ในเรื่องนั้นๆ อย่างที่ปอเล่นเป็นฝาแฝดในเรื่อง “รักเล่ห์เสน่ห์ลวง” ก็จะบอกเขาว่าให้ระวังเวลาที่ฝาแฝดเจอกัน ถ้าเขาโทรศัพท์คุยกัน เสียงเราต้องแก้ไขนะบุคลิกคนละคน บางทีเด็กอาจจะมองว่าเราละเอียดทำไม แต่ถ้างานออกไปเขาเข้ามาดูมอนิเตอร์เขาก็ขอบคุณเรา กับณเดชน์ตอนนั้นเขาเหมือนเริ่มใหม่เลยมาแบบว่างเปล่าแล้วมาสุ่มสอน สอนในสิ่งที่ชีวิตเขายังไม่เคย เขาไม่เคยเป็นผู้ใหญ่ เพราะในอายุของเขาต้องเล่นบทโตกว่าตัวเอง แล้วพอตอนที่เขามาเจอกับญาญ่า ใน “ดวงใจอัคนี” เราก็จะบอกเขาในเรื่องวิธีการคิด มองแล้วคิดอะไรยังไง อย่างล่าสุดมาเจอวุฒิ ในเจ้าบ้านเจ้าเรือนเขาก็เข้ามาคุยเรื่องณเดชน์ ชื่นชมฝีมือการแสดงของณเดชน์ให้เราฟัง พอเราบอกว่าเราสอนณเดชน์ด้วย เขาก็ร้องอ๋อทันที เพราะเขารู้สึกได้ในเทคนิคบางอย่างที่เหมือนๆ กับที่เขาเคยได้รับมา คือคนเรามาจากครูเดียวกัน ส่วนจอย-รินลณี เขาเป็นเด็กที่ฟัง พูดเลยว่าจอยวันนั้นกับวันนี้จอยเหมือนเดิมกับครู ความน่ารักนอบน้อมของเขา “ขวัญฤดี กลมกล่อม” ก็ไม่เชิงว่าสอน พอดีว่าเราไปทำของพี่แหม่มแล้วขวัญเขาเล่นเป็นเพื่อน “ตุ๊ก-จันทร์จิรา” แล้วเราเป็นคนไม่ปล่อย เราก็ทำหน้าที่ของเราในละคร พอมาเจอที่กองเจ้าบ้านเจ้าเรือนเขาก็เข้ามากราบบอกว่าดีใจที่ได้เจอครู ในเรื่อง “เชลยศักดิ์” ที่เราเล่นเป็นสีโบซึ่งเขาก็เอามาทำใหม่หลายครั้ง แต่มีคนมาทักเราว่าดูมาหลายครั้งแล้วรู้สึกว่าคุณคือสีโบจริงๆ เราก็ขอบคุณเขาไปโดยที่เราก็ไม่รู้จักเขาหรอก และมีครั้งหนึ่งแอ๊วไปงานศพแล้วมีผู้หญิงเดินเข้ามาจับมือเราแล้วเรียกแฟนมาด้วย เขาก็บอกว่าถ้าเมื่อไหร่ที่ละครมีชื่อ สุกัญญา นาคสนธิ์ เขาจะดูเพราะอย่างน้อยในหนึ่งตอนจะต้องมีเราเล่น เขาจะตามดูทุกเรื่อง

ฉากหนึ่งในละครที่ภูมิใจ

ในเรื่อง “ธรณีนี่นี้ใครครอง” พี่ดุ๊กเล่นเป็นพ่อณเดชน์ พี่เวนซ์เป็นน้องชาย 2 คน เจอกันตอนซ้อมเขาทักทายกันตามปกติ เราก็จะบอกว่าพี่ดุ๊กคะแอ๊วขอนะ เพราะว่าคุณไปตั้งแต่อายุสิบกว่าขวบ ขโมยเงินแม่แล้วไปเลย พอยี่สิบปีผ่านไปก็ส่งลูกชายมา จนแม่ตายแล้วคุณก็กลับมาเจอพี่เวนซ์ที่เป็นน้องแล้วทักทายกันธรรมดามันไม่ใช่นะ คือจากการมองกันมันก็ต้องมีความเคอะเขินนะ เราไปด้วยความผิดและเสียใจก็เลยส่งพระเอกที่เป็นลูกชายมาขอโทษแม่ พี่น้องก็พูดคุยกันมองหน้ากันและจับมือกันพร้อมร้องไห้ ณเดชน์ยืนดูนี่ถึงกับอึ้งเลย เราเข้าใจว่าเราแค่บอกนิดหน่อยเขาก็จะเล่นต่อไปได้เอง ด้วยประสบการณ์ของเขา แล้วพอเขาเล่นและได้มานั่งดูมอนิเตอร์ รวมทั้งพี่แหม่มที่นั่งทำงานอยู่ก็มาดูด้วย จนเอ่ยปากเลยว่าพี่ดุ๊กใจร้ายเล่นขนาดนี้เลยเหรอ พี่ดุ๊กก็บอกว่าพี่แอ๊วบอก ก็จะมีฉากแบบนี้บ่อยๆ ที่เป็นสำคัญของเรื่องที่เราคอยเติมคอยบอกให้เขาขยี้ เพราะเรารู้ว่าโดยศักยภาพแล้วนักแสดงเขาทำได้อยู่แล้ว แต่เขาอาจจะนึกไม่ถึงว่าจะต้องเอามันออกมา

ความสำคัญของแอ๊กติ้งโค้ชกับละครไทย

แอ๊วว่ามันก็น่าจะสำคัญนะ แต่บางคนเขาก็มองว่าไม่เป็นไร เด็กบางคนมาเล่นได้ คือเล่นได้จริง แต่มันใช่แล้วหรือยัง เราดูละครบางคนเล่นหน้าเดิมทุกเรื่องทุกฉาก อย่างน้อยถ้ามีแอ๊กติ้งโค้ชก็จะได้ช่วยดูอารมณ์ในตรงนี้ให้ได้ ซึ่งมันก็จะแล้วแต่ครูผู้สอนด้วย และเด็กอาจจะงงว่าทำไมครูสอนไม่เหมือนกัน เราก็บอกว่าเหมือนเราเรียนหนังสือเวลาครูสอนเลข ก็แล้วแต่ว่าเขาจะเอาอะไรมาสอน เพราะว่าทุกจุดมันไม่ได้ใช้พร้อมกัน แต่เมื่อไหร่ที่จะต้องใช้เราก็จะเอาตรงนั้นออกมา (เหมือนผู้ปิดทองหลังพระ?) ประมาณนั้น ในความเป็นครูของเรา เราก็นึกถึงพวกรุ่นเก่าๆ มาเป็นฐานว่าทำไมนักแสดงรุ่นพ่อที่เราเรียกที่เราเคารพเขาเนี่ยทำไมเขาทำได้

อยากจะทำอะไรอีกไหมในวงการบันเทิง

มันสุดหมดแล้วค่ะ สอนคนแล้ว สอนคนที่จะเป็นพระเอก-นางเอก แค่เรามองเขาที่เราอยู่จุดนี้ เจอกันจะทักจะไหว้หรือไม่ก็ไม่เป็นไร คุณจะดังจะมีงานแค่ไหนเราก็ยังอยู่ของเราได้ แล้วถ้าวันหนึ่งเขาได้รับรางวัลได้รับเสียงชื่นชมในฝีมือการแสดง แค่นี้เราก็ปลื้มใจแล้วค่ะ ผู้ปิดทองหลังพระโดยแท้ (หัวเราะ) แต่เพื่อนบอกว่าแอ๊วเธอปิดทองใต้ฐานพระเลยนะ ต้องไปพลิกถึงจะเห็น ลูกศิษย์ในวงการก็เยอะพอประมาณ เวลาเห็นเขาออกหน้าจอทีวี.เห็นพัฒนาการทางการแสดงของเขาเราก็ดีใจ ล่าสุดไปเล่นเจ้าบ้านเจ้าเรือนเข้าฉากกับจอย พี่ไก่เขาก็เลยจับถ่ายรูปคู่กันแล้วโพสต์ลงโซเชียลของเขา ก็เห็นว่ามีลูกศิษย์นักแสดงเข้ามาทักทาย ฝากความนึกถึงมากมายเลย ซึ่งเราเป็นคนที่ไม่เล่นโซเชียลอยู่แล้วไงคะ แต่ได้ยินแค่นี้เราก็ปลื้มใจแล้วค่ะที่ทุกคนยังคิดถึงเราอยู่

บทบาทที่ประทับใจ

ก็มี “สุภาพบุรุษจุฑาเทพ” ที่คนพูดถึง ย้อนไปอีกหน่อยก็มีเรื่อง “เชลยศักดิ์” และ “น้ำตาลไหม้” ที่เล่นเป็นสาวพาร์ทเนอร์
ในบทต้องสนิทเคลียคลอกับ “ตู่-นพพล” ตอนนั้นเราเพิ่งคลอดลูกได้ 3 เดือน พี่ไก่ก็แต่งตัวซะ แล้วหุ่นนี่คือสะพรั่งเลย จนมีคนมาถามว่าเราอยู่ผับไหนบาร์ไหน (หัวเราะ) คือแอ๊วไปทักผู้หญิงทุกคนที่เป็นตัวประกอบในบาร์ ถึงเขาไม่ใช่ตัวละครที่แสดงเป็นตัวเอกก็จริง เรียกว่าเราก็ต้องเป็นคนที่ช่างสังเกตคน ว่าแต่ละอาชีพเขาอะไรยังไงบ้าง เพราะว่าสักวันหนึ่งมันจะต้องมีในบทละคร เด็กรุ่นใหม่เราก็จะบอกเหมือนกันว่าให้หัดมองสิ่งที่อยู่รอบตัวบ้าง เช่นเวลาคนร้องไห้มากน้อยเขาร้องเพราะอะไร ดีใจก็สามารถร้องไห้ได้ทุกอย่างคืออารมณ์ แต่เราจะไม่โมโหเด็กรุ่นใหม่ ต้องเข้าใจธรรมชาติของคนทุกรุ่น ในกองมันเป็นหน้าที่ของเรา และถ้าคนไหนที่ไม่ทำตามเราก็จะขอโทษเขาและบอกให้เขาช่วยทำแบบนี้หน่อย

อีกหนึ่งความภูมิใจของคนเป็นแม่

คงจะเป็นลูกชายค่ะ ซึ่งเมื่อก่อนเขาก็เคยมาแจมๆ ในละครบ้าง เราต้องการให้เขาเข้ามาเพื่อรู้รสชาติของความเหนื่อย ตอนนั้นเขายังเรียนหนังสืออยู่ แล้วเขาก็ไปเม้าท์ให้เพื่อนฟังว่าเพิ่งรู้ว่าแม่เหนื่อยแค่ไหน และมันก็ไม่ใช่สายงานที่เขาชอบ ตอนนี้ก็ไปทำงานบริษัทญี่ปุ่น เราก็โล่งอกและเข้าใจว่าทุกคนไม่ได้ถูกลิขิตให้มาอยู่ตรงจุดนี้ (เขาห่วงอะไรคุณแม่บ้าง ?) จะคอยโทร.ถามตลอดว่าแม่อยู่ไหนกินข้าวหรือยัง เจอกันก็กอดหอมเราโดยไม่อาย บางทีไปเดินซื้อของกันก็จะกอดแม่ หลานเดินตามหลังยังบอกเลยว่ามีคนมอง ลูกชายเขาจะดูแลแม่อย่างนี้เสมอ เราก็ให้พรเขา คืออย่างน้อยลูกไปที่ไหนก็มีคนชม แม้แต่คนข้างบ้านเขาก็ยกมือไหว้สวัสดีทักทาย อาจจะด้วยความที่เขาถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กๆ เราจะบอกเขาเลยว่าอยู่ในบ้านเล่นกับแม่ได้จับไหล่ได้ แต่เวลาอยู่ข้างนอกห้ามเล่น เพราะคนข้างนอกเห็นเราก็ไม่รู้ว่าเขาจะมองยังไง มีคนชมให้เราฟังบ่อยๆ เราก็ปลื้มใจ (ยังไม่อยากอุ้มหลานเหรอคะ ?) เฉยๆ ก็แล้วแต่เขา คือเขาก็มีแฟนนะ เราก็จะสอนเขาเสมอว่าชีวิตเขาให้เขาตัดสินใจเอง เราไม่กะเกณฑ์ให้เขา เพราะเรามีเขาตอนอายุ 29 เราทำงานสู้ชีวิตมาเยอะกว่าเด็กผู้ชาย เพราะฉะนั้นคุณต้องไปสู้เอง ให้เขาเรียนรู้เอง ไม่เคยด่าว่าหรือโมโหลูก เพื่อนยังเอาเทคนิคการเลี้ยงลูกแบบเราไปใช้เลย

คติในการดำเนินชีวิต

เมื่อตื่นขึ้นมาต้องดีใจว่าได้มีชีวิตอยู่ คนเราอยู่แค่การหายใจ คนเราอยู่แค่ว่าได้ตื่นมาแล้วรู้สึกว่าฉันยังไม่ตาย แอ๊วจะพนมมือขอบคุณที่ยังให้เราอยู่ เพราะว่าแอ๊วเป็นคนหลับง่ายไปนอนที่ไหนก็หลับเร็ว คนเราแค่หายใจกับไม่หายใจแค่นั้น เมื่อไหร่เจอกันเมื่อไหร่จากกัน เราก็จะสอนลูกเลยว่าอะไรอยู่ตรงไหน อะไรที่ต้องทำ ใครๆ บอกว่าเราเยอะไปไหม เราคิดว่าไม่นะ การที่เราบอกไว้ก่อน ก็เพื่อที่ว่าเผื่อเราเป็นอะไรไปมันทำอะไรไม่ได้นะ ก็ได้มาจากแม่ค่ะ ตอนพ่อป่วยแม่ก็ไปจองวัดเตรียมสถานที่ ทุกคนก็หาว่าแม่แช่งพ่อ พอพ่อไปปุ๊บแม่อาบน้ำอาบท่าไปวัด หลวงพ่อก็พร้อม แล้วแม่ก็ไม่ร้องไห้ด้วย

“แค่เรามองเขาที่เราอยู่จุดนี้ เจอกันจะทักจะไหว้หรือไม่ก็ไม่เป็นไร คุณจะดังจะมีงานแค่ไหนเราก็ยังอยู่ของเราได้ แล้วถ้าวันหนึ่งเขาได้รับรางวัลได้รับเสียงชื่นชมในฝีมือการแสดง แค่นี้เราก็ปลื้มใจแล้ว” และนี่คือ “สุกัญญา นาคสนธิ์” ผู้ที่ทุกลมหายใจมอบให้กับศิลปะการแสดง

กุหลาบสีเงิน

 

star retro : ‘เจี๊ยบ’ นนทิยา จิวบางป่า จับไมค์มากว่า 28 ปี เพิ่งได้มีคอนเสิร์ตเดี่ยวครั้งแรกในชีวิต!!

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/entertain/207785

วันอาทิตย์ ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2559, 06.00 น.
tags : star retro
สตาร์เรโทรสัปดาห์นี้พาไปย้อนวันวานกับศิลปินคุณภาพที่มีทั้งงานเบื้องหน้าและเบื้องหลังไม่ได้ขาด รวมถึงมีรางวัลการันตีอย่าง นักร้องยอดเยี่ยมแห่งประเทศไทย สยามกลการ ปี 2531 และเจ้าของรางวัลพระพิฆเนศทองพระราชทานในปี 2540 “เจี๊ยบ” นนทิยา จิวบางป่า กับเส้นทางที่เธอบอกว่า มีทั้งสุข เศร้า เคล้าน้ำตา และช่วงเวลาที่แสนปลาบปลื้มใจ

ชีวิตวัยเยาว์

เจี๊ยบเรียนหนังสือและโตที่เชียงรายค่ะจะถูกเลี้ยงมาเหมือนเด็กผู้ชาย ไม่ค่อยได้เล่นขายของเหมือนเด็กผู้หญิงทั่วไป คือมีพี่สาวพี่ชาย แล้วเจี๊ยบเป็นคนที่ 3 และก็มีน้องชายหลงมา ห่างกัน 7 ปี เพราะฉะนั้นเราจะได้ดื่มด่ำความเป็นน้องเล็กอยู่หลายปี อีกทั้ง
มีลูกพี่ลูกน้องเป็นผู้ชายอีก 2 คนมาอยู่ด้วย เรียกว่าพี่เล่นอะไร เราก็ต้องเล่นตาม จะไม่มีโอกาสได้นั่งเล่นตุ๊กตาเป็นเด็กหญิงเรียบร้อยเลยค่ะ แต่สิ่งหนึ่งที่ดึงเจี๊ยบออกมาจากพี่ๆ ได้ก็คือ คุณพ่อเป็นนักดนตรี เวลาพ่อทำงานเจี๊ยบก็จะอยู่ข้างๆพ่อตลอด พ่อนั่งแกะเพลง ซ้อมร้องเพลง เจี๊ยบก็จะนั่งข้างๆ แล้วก็ร้องเพลงกับพ่อ

สืบสายเลือดนักดนตรี

คุณพ่อเจี๊ยบเป็นนักดนตรี เล่นเบสค่ะเมื่อก่อนพ่อจะเล่นเพลงฝรั่งอยู่ที่โคราชในแคมป์ทหารฝรั่ง เพราะสมัยก่อนจะมีค่ายทหารต่างชาติมาตั้งค่ายที่นั่น แล้วพ่อก็ได้เจอกับแม่ที่นั่น ถามว่าเจี๊ยบเป็นคนที่ไหนเจี๊ยบเกิดที่โคราชแต่ไปโตที่เชียงราย เพราะมีคนมาจ้างคุณพ่อจากโคราชไปเล่นดนตรีที่เชียงราย ก็เลยย้ายครอบครัวไปกัน ส่วนคุณแม่เป็นคนสระบุรีค่ะ

เครื่องดนตรีชิ้นแรกที่จับ

กีตาร์ค่ะ เจี๊ยบขอคุณพ่อเล่น แต่จริงๆ แล้วพ่อไม่เคยสนับสนุนให้เล่นเลย เพราะว่าเขาเหนื่อย เขาไม่อยากให้เราเหนื่อยแบบเขา ไม่อยากเห็นลูกเดินเส้นทางเดียวกัน แต่ห้ามไม่ได้จริงๆ เจี๊ยบชอบเล่นกีตาร์ก็เลยขอเขามาเล่น อ้อนวอนขอเรียน แล้วพ่อก็ให้อาที่เล่นกีตาร์ในวงช่วยสอน อาอ๊อดก็สอนให้เล่นได้บ้าง ฝึกเองบ้าง ไล่สเกลเองบ้างนิดๆ หน่อยๆ ตั้งแต่นั้นมาก็เลยได้เล่นดนตรี

จุดเริ่มต้นของงานดนตรีจากกีตาร์ตัวเดียว

ใช่ค่ะ แต่ร้องเพลงนี่ ร้องได้อยู่แล้วเพราะเราร้องกับพ่อตลอด แล้วตอนเด็กๆ คุณอาเขาก็จะจับขึ้นร้องเพลงตามงานต่างๆ ที่เขาไปแสดงกัน ก่อนจะขึ้นร้อง ก็จะมีน้ำตานิดหนึ่ง เพราะไม่อยากร้อง อยากเล่นมากกว่า เจี๊ยบขึ้นร้องเพลงตั้งแต่อยู่ประถม แต่ไม่แน่ใจว่าช่วงอายุเท่าไหร่ เพราะเจี๊ยบเห็นจากรูปถ่ายเก่าๆ ยังเป็นเบบี๋อยู่เลยค่ะ

ส่วนกีตาร์นี่เล่นตอนมัธยมแล้ว เพราะว่าตอนนั้นมีงานโรงเรียน ไปขอร้องรุ่นพี่ ขออยู่วงนี้ด้วยนะ แรกๆ ก็คิดนะว่าจะเป็นนักร้องหรือเล่นกีตาร์ดี แต่สุดท้ายก็เป็นนักร้องก่อนแล้วกัน เพราะถนัดสุด แล้วก็ได้หัดกีตาร์ด้วย เริ่มจริงจังตั้งวงโฟล์กซองขึ้นที่โรงเรียน หาเงินช่วยซื้ออุปกรณ์การเรียนเข้าชมรม ตอนนั้นเจี๊ยบอยู่ชมรมวิชาอังกฤษ-ฝรั่งเศส ก็ช่วยหาเงินเข้ามา เจี๊ยบเป็นคนคิดเองหมดเลย โชว์ ท่าเต้น หาคนมาเต้นตอนนั้นเจี๊ยบเรียนที่ โรงเรียนดำรงค์ราชสงเคราะห์ โรงเรียนประจำจังหวัดที่เชียงราย เรียกว่าเป็นเด็กกิจกรรม ฮอตมากสมัยนั้น (หัวเราะ)


ทีมงาน Concert Music is my life กับลูกชายและลูกสาว

เหตุที่เลือกเรียนสายศิลป์-ภาษา

เจี๊ยบเป็นคนชอบด้านภาษาค่ะ ชอบร้องเพลงฝรั่ง ก็เลยรู้สึกว่าคำนี้ประโยคนี้เนื้อร้องแบบนี้แปลว่าอะไรนะ อยากรู้จัง แล้วเราก็มาทางศิลป์โดยไม่รู้ตัว เพราะเราไม่ชอบคณิตศาสตร์ ไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับตัวเลขแต่ภาษาอังกฤษนี่สามารถท่องศัพท์เป็นร้อยคำได้

ผู้จุดประกายให้หลงรักเพลงฝรั่ง

พี่ตู่-นันทิดา แก้วบัวสายค่ะ เห็นพี่ตู่ประกวดร้องเพลง I Who Have Nothing เป็นแชมป์เอเซีย คือสมัยนั้นมีการประกวดดาวรุ่งช่อง 3 พี่ตู่-นันทิดา, ครูอ้วน-มณีนุช,คุณสุชาติ ชวางกูร เราเห็นแล้วก็รู้สึกว่าอยากเก่ง อยากประกวดบ้าง ทำยังไงดีก็แอบร้องเพลงซ้อมงูๆ ปลาๆ ของเราไป แล้วก็ไปเรียนที่วัด พระสอนภาษาอังกฤษเรา ตอนนั้นอายมากเลยนะ ไม่รู้เนื้อเลย แต่ร้องจบเพลง คือเราก็ฟัง แล้วก็จำและร้องไปตามที่หูได้ยิน เจี๊ยบรู้ทันทีเลยว่าคนร้องเพลงมั่วเป็นยังไง (หัวเราะ) พระก็ยิ้ม เราก็ไปขอเรียนที่วัด เพราะอยากเก่งภาษาอังกฤษ พอจบจากตรงนั้นจะเข้ามหาวิทยาลัย เจี๊ยบอยากเรียนนิเทศศาสตร์ ก็เลือกมหา’ลัยดังๆ ทั้งหมดเพราะมั่นใจว่าเราเรียนเก่ง แต่สุดท้ายสอบไม่ติด ได้เข้ากรุงเทพฯมาเรียนรามคำแหงคราวนี้เลือกเรียนนิติศาสตร์ เพราะสมัยนั้นคนเรียนรามฯ จะฮิตเรียนคณะนี้กัน แต่กลายเป็นว่าเราก็เรียนไม่จบอยู่ดี

ไม่ได้ใบปริญญา แต่ชีวิตก้าวเข้าใกล้ฝันอีกขั้น

เจี๊ยบแอบไปสมัครเข้าวงดนตรี เพราะพ่อไม่ชอบให้เล่นดนตรี เราก็ไปขอเขาเข้าวง จนได้เป็นนักร้องของ RUแบรนด์ ชีวิตจะอยู่แต่ที่ชมรม เห็นรุ่นพี่ที่อาร์ยูแบรนด์ไปประกวด เพื่อนๆ ก็ไปกันเยอะ อยากไปบ้าง แต่ไม่มีเงินซื้อใบสมัคร ก็พยายามหาเงิน จะไปร้องเพลงกลางคืน พ่อก็ไม่ให้อีกเขาไม่อยากให้เราเป็นนักร้อง แต่โชคดีวงเพื่อนคุณพ่อเขาขาดนักร้องที่ร้องเพลงฝรั่ง ก็เลยขอเราไปร้องด้วย คุณพ่อก็เลยให้ไป เป็นความโชคดีมากที่ได้ทำตรงนี้ มีเงินไปสมัครประกวดแล้ว แถมมีเงินเหลือส่งให้ที่บ้านด้วย เริ่มมีรายได้เองเดือนหนึ่งตกประมาณ 10,000 บาทนิดๆ แล้วหลังจากนั้นก็ออกจากบ้านป้า มาเช่าห้องอยู่เอง ส่งเงินให้ที่บ้านใช้ และพอไปประกวดร้องเพลงตามที่ฝัน ผลปรากฏว่าชนะ คราวนี้ชีวิตเปลี่ยนไปเลย จากเงินเดือนหมื่นกว่าบาท มีเงินใช้เดือนละ 60,000 ร้องเพลงโชว์ มีงานอีเว้นท์ จากที่ไม่เคยมีเงินเดือน พอได้เงินมาก้อนแรกก็โทร.เรียกที่บ้านขึ้นมากรุงเทพฯเลยค่ะ พาพ่อแม่ไปเลือกซื้อทอง จากที่เคยเช่าหอพักห้องเล็กๆ ก็ย้ายไปอยู่อพาร์ทเม้นต์ แล้วก็ทำงานไปเรื่อยๆ


ลูกชายและคุณพ่อ

พ้นวิกฤติด้วยการปลดหนี้

ก่อนหน้านี้ พ่อเอาเงินไปลงทุนทำธุรกิจเปิดร้านอาหาร แต่ไม่ประสบความสำเร็จ เขาก็เอาบ้านไปจำนองเพื่อหาเงินมาเลี้ยงคนในร้านให้รอด แต่สุดท้ายต้องปิดร้านไปบ้านก็จะถูกยึด พอเราได้เงินได้รถที่ชนะการประกวดร้องเพลงมา ได้นั่งรถขับวนรอบเดียว แล้วก็ให้เต็นท์รถมารับไปเลย เพื่อเอาเงินไปปลดหนี้ทั้งหมด และให้พ่อซื้อที่ไว้ จนสามารถลืมตาอ้าปากได้อีกครั้ง คราวนี้บอกพ่อว่าไม่ต้องทำอะไรแล้วเดี๋ยวลูกเลี้ยงเอง

งานร้องเพลงกลายเป็นอาชีพหลัก

เจี๊ยบเริ่มต้นจากการเป็นนักร้องอาชีพ ก่อนที่จะไปประกวด เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะมีชื่อเสียงแค่ไหนไม่ว่าจะทำงานอัลบั้มไหนๆ เจี๊ยบจะมีงานที่เป็นอาชีพหลัก มีเงินเดือนของการเป็นนักร้อง 100,000 บาททุกเดือน เพราะฉะนั้นการที่ค่ายไหน บริษัทอะไร
จะให้นนทิยาเซ็นสัญญาเข้าค่าย จะต้องการันตีเงินเดือนว่าต้องได้เท่านี้นะ เพราะเรามีภาระต้องดูแลที่บ้านค่ะ

ชีวิตหลังเป็นแชมป์ประเทศไทย

มีค่ายเพลงมาชวนเซ็นสัญญาเกือบทุกค่ายค่ะ แกรมมี่ก็มา พี่เต๋อ-เรวัติ มาขอด้วยตัวเองว่าจะเอาเราไปปั้น แต่ช่วงนั้นแกรมมี่มีนักร้องหลายคนที่ยังไม่ได้ออกเทป คุณหญิงพรทิพย์ ณรงค์เดช ก็ไม่ให้ เพราะไม่อยากจะให้เอาเราไปดอง ใครมาขอก็ไม่ให้ จนกระทั่งคุณหญิงทำค่ายเองเพื่อจะให้นนทิยาออกเทป เพลงก็ไม่ผ่านโปรอีก เพลงต้องโกอินเตอร์เท่านั้น จนตั๊ก-ศิริพร ประกวดรุ่นหลังไปอยู่กับพี่แจ้(ดนุพล แก้วกาญจน์) ตั๊กดังไปถึงไหนแล้ว นนทิยายังกินบุญเก่าอยู่ เป็นนักร้องเป็นหน้าตาของประเทศ เป็นตัวแทนไปร้องงานอาเซียน แต่ยังไม่มีเพลงเป็นของตัวเองสักที จนกระทั่งตั๊กชวนไปอยู่ด้วยกัน เราก็ขอคุณหญิง ไปทำเทปกับพี่แจ้ ท่านก็ให้ไป แต่จริงๆ ท่านตั้งใจอยากให้เราไปประกวดอาเซียน อยากให้ได้ขึ้นเวทีเดียวกับพี่ตู่-นันทิดาที่เราเคยฝันไว้ ถึงขนาดส่งเจี๊ยบไปดูงานเราไปนั่งดูงาน น้ำตาไหลเลย หวังไว้ว่าปีหน้าฉันต้องได้รางวัลอาเซียน ปรากฏว่า ปีต่อมาเขาเลิกจัด… จบค่ะ

อัลบั้มเพลงชุดแรก

พอมาอยู่กับพี่แจ้ พี่แจ้สั่งให้ผอม เราก็โอเคได้ ผอม เล่นเวท ว่ายน้ำ กินยาลดความอ้วน จนได้หุ่นสวยเลย 34-26-36
แต่เตี้ยนะ 160 ไม่งั้นไปประกวดนางสาวไทยแล้วค่ะ (หัวเราะ) ออกเทปชุดแรกเป็นเทปรวมเฉพาะกิจ มีพี่วินิจ เลิศรัตนชัย, เบคกี้ (ริสา หงส์หิรัญ) คนนี้สนิทกันมาก เพราะออกอัลบั้มชุดแรกในชีวิตก็ทำด้วยกัน ชื่อชุด “สะบัด” จากนั้นก็เป็นอัลบั้มเดี่ยวของตัวเอง “ลีลา” ซึ่งพี่แจ้คาดหวังมาก นนทิยาจะต้องดังปรากฏเพลงออกมาแป๊ก ไม่ประสบความสำเร็จ ไม่เหมือนที่คิดไว้ หลังจากนั้น เลยได้แต่ทำเพลงโคฟเวอร์เพลงพี่แจ้ โคฟเวอร์เพลงฮิตฮอตทั้งหลาย กลายเป็นเจ้าแม่โคฟเวอร์ไปเลย ไม่มีเพลงของตัวเองอีกเลย เชื่อไหมทุกวันนี้นักข่าวถามเจี๊ยบว่า เพลงไหนของเจี๊ยบที่ดัง เจี๊ยบอึ้งนะ ตอบเลยว่า ไม่มีค่ะ


เมื่อครั้งร้องเพลงประกวด

รางวัลที่ภาคภูมิใจ

รางวัลในชีวิตเจี๊ยบมี 2 รางวัลคือรางวัลสยามกลการ นิสสันอวอร์ด ปี 2531 และรางวัลพระพิฆเนศทองพระราชทาน
ปี 2540 เจี๊ยบทำงานอยู่ในแวดวงดนตรีตลอด
มีงานร้องเพลงกลางคืน วิ่งอีเว้นท์เยอะมากเดือนหนึ่งได้ห้าแสน แต่ตอนนั้นไม่ได้มีโกลด์หรืออะไร เจี๊ยบใช้ชีวิตเต็มที่มาก อยากได้อะไรซื้อ รองเท้าคู่เป็นหมื่นก็ซื้อ สมัยนั้นเงินเดือนออกปุ๊บ ชวนต้อม(ไกรวิทย์ พุ่มสุโข), เบคกี้ ร้องเพลงอยู่ด้วยกัน ไปซื้อของฉันซื้ออะไร เธอต้องซื้อ จะได้ใช้เงินเท่าๆ กัน(หัวเราะ)

ชีวิตส่วนตัว

เจี๊ยบเริ่มจาก ท้อง แต่งงาน และมีครอบครัว คือที่บอกว่าท้องก่อน เพราะว่าเราท้องถึงได้แต่งงาน(หัวเราะ) งานเพลงก็เริ่มเบาลง แต่ยังเป็นมือปืนรับจ้างร้องเพลง ออกอัลบั้มเป็นบางชุด ชั่วครั้งชั่วคราว ร้องกลางคืนอยู่จนท้องได้ 8 เดือนก็ยังร้อง จนเบคกี้บอกว่าจะร้องจนลูกทะลักเลยหรือไงเราถึงได้หยุด หยุดเดือนหนึ่งก่อนคลอดแล้วก็ 3 เดือนให้นมลูกเสร็จ ก็กลับมาร้องต่อเลย เพราะนี่คืออาชีพเจี๊ยบจริงๆ เราเป็นคนขายเสียง เพราะฉะนั้นคนที่มา เขาก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะต้องสวย ถึงเราท้องป่องแต่เรายังร้องเพลงได้

ครอบครัว ณ ปัจจุบัน

เจี๊ยบมีลูก 2 คน คนโตผู้ชาย คนเล็กผู้หญิง ห่างกัน 6 ปี กำลังวัยรุ่นเลยค่ะ ส่วนกับสามีตอนนี้แยกทางกันแล้ว จริงๆไม่เคยประกาศกับใคร เพราะเห็นแก่ลูก กลัวเขารับไม่ได้ อยากเซฟความรู้สึกลูก แต่ตอนหลังเขาก็เริ่มเข้าใจ เพราะเราไม่ได้ทะเลาะอะไรกันไม่ได้มีใครใหม่ เราแค่ถึงจุดที่อยู่ด้วยกันไม่ได้เท่านั้นค่ะ จากนั้นเจี๊ยบก็เริ่มกลับเข้ามาในวงการใหม่อีกครั้ง รับเล่นละคร เล่นหนัง ส่วนใหญ่จะรับงานแสดงปีละเรื่อง งานเพลงก็ไม่เคยขาด ยังร้องเพลงเป็นอาชีพอยู่ รับจ้างร้อง รับจ้างสอนไปเรื่อยๆ ค่ะ

จุดมุ่งหมายในชีวิตตอนนี้

ตอนนี้โกลด์ของเจี๊ยบคือดูแลผลิตผลที่เราสร้างขึ้นมาให้ดีที่สุด ดูแลครอบครัวให้ดีที่สุด โกลด์ก็เปลี่ยนไปเป็นอยากมีบ้านหลังที่สอง คือชีวิตหลังจากที่ตอนนั้นโกลด์คือลูก เก็บเงินเลี้ยงลูก ดูแลลูก มีบ้าน โกลด์ต่อไปของเจี๊ยบจากนี้ก็คือ บ้านหลังที่สอง อยากใช้ชีวิตแบบปลูกผักกินเอง กลางวันก็เปิดร้านกาแฟทำขนมปังโฮมเมด ทำอะไรกินกันเอง กลางคืนก็ดื่มไวน์สักแก้วสองแก้วเพื่อสุขภาพ เพื่อนฝูงมาก็เก็บผักทำสลัดกินกัน เป็นความฝันในบั้นปลายชีวิตค่ะ ตอนนี้กำลังมองหาทำเลดีๆ อยู่ค่ะ

สุขภาพร่างกาย

เจี๊ยบอ้วนมาตั้งแต่เด็กๆ ค่ะ คุณแม่ก็เป็นเบาหวาน เสียไปแล้ว เราเลยกลัวที่จะเป็นเหมือนแม่ ทำให้หันมาดูแลเอาใจใส่สุขภาพตัวเองมากขึ้น โชคดีที่ไม่มีโรคประจำตัวแต่ถ้าไม่ระวังก็อาจจะเป็นได้เหมือนกันค่ะ เพราะตอนนี้คอเลสเตอรอลสูง ค่าไขมันเหลวเยอะกว่าค่าไขมันดี ทำให้ต้องพยายามดูแลร่างกายให้มาก ตอนนี้ดีขึ้นเยอะค่ะคุณหมอก็ดีใจที่ร่างกายเราดี แต่ก็ต้องกินยาควบคุมเรื่องไขมัน คอเลสเตอรอล สิ่งที่ตัวเองชอบดื่มชอบกินก็กินไม่ได้แล้ว เพราะปกติเราเป็นคนชอบดื่ม ชอบปาร์ตี้ เป็นปาร์ตี้เกิร์ล เที่ยว แต่ตอนนี้หยุดหมด หลังจากเห็นช่วงบั้นปลายของคุณแม่ ทำให้เรากลัว และหยุดไปเองค่ะ

คอนเสิร์ตครั้งแรกในชีวิต “Music is my life”

ไม่เคยมีคอนเสิร์ตของตัวเองเลย เคยแต่ไปรับเชิญชาวบ้านเขา ใฝ่ฝันอยากจะมีคอนเสิร์ตแบบดีๆ อลังการสักครั้งหนึ่ง เคยคุยกับทางเฉลิมกรุงเมื่อปีก่อนแต่คิวไม่ลงตัวกัน พอปีนี้เขาติดต่อมาอีก เราก็คิดว่าถ้าปฏิเสธ ก็คงต้องรอไปอีกปี แล้วก็ไม่รู้จะได้ทำไหม เลยตอบรับที่จะทำทันที เป็นครั้งแรกของเราด้วย เลยรู้สึกว่า ฉันอยากจะให้ออกมาเพอร์เฟกท์ คนที่มาจะได้เห็นและฟังเพลงที่อยู่ในชีวิตเจี๊ยบ เพลงที่อยากจะร้อง แล้วก็ร้องกับคนที่เรารัก นอกจากนี้สิ่งที่คุณจะได้เห็นคงเป็นบรรยากาศที่อบอุ่น จากคนสนิทจริงๆ ลูกศิษย์ที่รัก เพื่อนพ้องในวงการที่พร้อมใจกันมาช่วย

อีกหนึ่งฝันที่กำลังจะเป็นจริง

คอนเสิร์ต “Music is my life” นนทิยา จิวบางป่า จะมีขึ้นวันอาทิตย์ที่ 27 มีนาคมนี้ค่ะ รอบบ่ายสองโมง ที่ศาลาเฉลิมกรุง ติดต่อซื้อบัตรได้ที่ไทยทิคเก็ตเมเจอร์ทุกสาขา บัตรราคา 1,000 , 700 และ 500 บาท(ขายของเรียบร้อยค่ะ) เรียกว่าเป็นครั้งหนึ่งในชีวิต เด็กรุ่นใหม่อาจไม่รู้จักเจี๊ยบ- นนทิยา แต่เขาจะรู้ว่าเราเคยเล่นละคร เป็นครูสอนร้องเพลงของ กัน เดอะสตาร์, เจมส์ มาร์เป็นคอมเม้นเตเตอร์ในรายการ KPN อยากให้มาดูกันค่ะ ครั้งแรกในชีวิต ไม่ได้บอกว่าจะเลิศหรูเพอร์เฟกท์ แต่ทุกเพลงที่ร้องเป็นเพลงในชีวิตของ เจี๊ยบ-นนทิยา แล้วก็เป็นคนที่ร้องเพลงแล้วมีความสุข อยากจะร้องเพลงให้คนฟังคนดูมีความสุขเช่นกัน คุณจะได้เห็นชีวิตของเจี๊ยบ คุณจะได้เห็นคนสำคัญในชีวิตเจี๊ยบ เห็นสิ่งที่นนทิยาทำด้วยความรัก เห็นเพชรที่นนทิยากำลังเจียระไน เจี๊ยบถือว่าอาชีพเจี๊ยบอีกอันหนึ่งคือเป็นครู ที่เป็นช่างเจียระไน เจี๊ยบเป็นนักเจียระไนเพชร เพชรที่จะไปประดับบนเรือนมงกุฎที่ไหนก็ตาม ต้องเป็นเพชรเม็ดเอก หรือเป็นยอดมงกุฎ วันนั้นเราจะมีความสุขไปกับบรรยากาศที่อบอวลด้วยความรักความอบอุ่นกันค่ะ

อัลบั้มเพลงชุดแรก

แม้ “เจี๊ยบ” นนทิยา จิวบางป่า จะเป็นนักร้องที่ไม่มีเพลงดัง แต่ทุกสิ่งที่เธอทำคืองานรังสรรค์อันเปี่ยมไปด้วยคุณภาพ ทุกบทเพลงคือรักที่กลั่นออกมาเป็นเสียงขับขาน และวันนี้เธอกำลังจะได้ทำฝันให้เป็นจริงในคอนเสิร์ต “Music is my life” นนทิยา จิวบางป่า

ใบพร้าว

star retro : ‘ต้อย’ ธงชัย คะใจ ทิ้งวงการ… เพื่อตามหารัก และเพราะรัก ถึงทำให้กลับเข้าวงการ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/entertain/206667

วันอาทิตย์ ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2559, 06.00 น.
tags : star retro
เกริ่นแค่ชื่อ หลายคนอาจไม่รู้จัก แต่ถ้าเห็นหน้าตา ต้อย-ธงชัย คะใจ เชื่อว่าคอโทรทัศน์ต้องร้องอ๋อ กับหนุ่มพิธีกรที่ปักหมุดอยู่โยงมาแล้วหลายเกมโชว์วาไรตี้ แต่พักหนึ่งเขาคนนี้ยอมทิ้งวงการบันเทิง เพื่อรับคำท้าแฟนสาว ตามรัก ตามฝัน ข้ามน้ำข้ามทะเลไปพิสูจน์รัก!?

เด็กต่างจังหวัดที่รักการเรียนรู้

ผมเรียนมัธยมที่กำแพงเพชร เรียนม.รามคำแหง 2 ปี และคิดว่าตัวเองไม่น่ารอดก็ย้ายไปที่มหาวิทยาลัยศรีปทุมและจบที่นั่น คณะนิเทศศาสตร์ คือจบแล้วก็ตกงานปี 2540 ไปสมัครงานจะเป็นผู้จัดการร้าน KFCแต่สไตล์เราเป็นแบบนี้ก็ไม่ใช่ละ โดนไล่ออกมาเลย แต่งตัวไม่เรียบร้อย ครั้งแรกที่ได้สัมภาษณ์งาน ผมเดินร้องไห้ออกมาเลยพอไปสัมภาษณ์ที่เวิร์คพอยท์ คราวนี้ตั้งใจแต่งตัวเต็มที่ ไปหาซื้อกางเกงสแล็ค เนคไท กลับโดนลูกพี่ด่าอีก แต่งตัวอะไรมา(หัวเราะ)

เริ่มเข้าวงการ

ผมเริ่มเข้าวงการ โดยการเป็นคนคุมกองเชียร์ที่เวิร์คพอยท์ครับ ตอนนั้นประมาณ 26-27 มั้งประมาณปี 2541-2542ช่วงฟองสบู่แตก ผมเรียนจบก็ไปเปิดร้านขายก๋วยเตี๋ยวอยู่ข้างเวิร์คพอยท์แถวสะพานใหม่และได้รู้จักพวกพี่ๆ อย่างพี่แดง-สมชัยพุทธจันทรา ที่เป็นผู้กำกับ เขาเป็นลูกค้าเรา แล้วเราก็เป็นคนกวนๆ เขาก็กวน พอกวนไปกวนมาก็ชักชวนมาเริ่มทำงาน เป็นคนคุมกองเชียร์ก่อน แล้วก็ไปเป็น Backstage ที่เวิร์คพอยท์ ตอนนั้นที่ทำเวิร์คพอยท์ ต้องทำและเรียนรู้ให้ได้ทุกอย่าง ทุกคนต้องมีหลายหน้าที่ หลังจากนั้นก็เริ่มขยับขึ้นมาเป็นครีเอทีฟ ผมอยู่เวิร์คพอยท์ 5 ปี ทำกับพี่แดงตั้งแต่รายการ “เวทีทอง” พี่แดงเห็นว่าเราเป็นคนกล้าพูดกล้าแสดงออก ก็เลยผลักดันเรา สมัยนั้นมีส่งจดหมาย เขาก็บอกว่าต้อยไปส่งจดหมายถึงพี่กิ๊ก, พี่หม่ำ “ชิงร้อยชิงล้าน” หรือเวลาจะมีเล่นอะไรก็จะส่งเราออกไปเล่น ใน “ระเบิดเถิดเทิง” ด้วย คือแทบจะทุกรายการ แต่ว่าในสมัยนั้นไม่มีนโยบายจะสนับสนุนให้พนักงานเป็นนักแสดง เราก็สนุกสนานแหละไม่มีอะไร ทำงานมีความสุขแล้วก็ได้เรียนรู้

พออยู่เวิร์คพอยท์ประมาณ 5 ปี เป็นช่วงวัยรุ่นเราก็เปลี่ยนไปอยู่กับพี่ซูโม่กิ๊ก (เกียรติ กิจเจริญ) พี่ติ๊ก กลิ่นสี ที่ทริปเปิ้ลทู พอไปปุ๊บที่ทริปเปิ้ลทูเขาก็ขึ้นรายการใหม่ของไอทีวีในสมัยนั้น ผมก็ได้เป็นพิธีกร ในรายการ “ยุทธการบันเทิง” คู่กับ บอล-อธิป เป็นพิธีกรเต็มตัว แต่ก็เป็นโปรดิวเซอร์ควบคู่ไปด้วย ไม่ได้ทำอย่างเดียว คิดมุก คิดอะไรแล้วก็ไปเล่นเอง พี่กิ๊กเขาก็ให้เป็นพิธีกรภาคสนาม “เกมพันหน้า” ด้วย แล้วก็พิธีกรหลัก “วันหยุดสุดขีด” ช่อง 7 เรียกว่าเกือบจะทุกรายการของทริปเปิ้ลทู ส่วนใหญ่ผมจะทำทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังคู่กันไปอีกประมาณ 5 ปี

งานกำลังไปได้สวย แต่จู่ๆ กลับทิ้งไป

ผมตามแฟนไปเมืองนอกครับ (หัวเราะ) หลายคนไม่รู้ ก็จะเอ๊ะ! ทำไมอยู่ๆ หายไป คือจริงๆ นิสัยส่วนตัวผมพอจะเบื่ออะไร ผมก็จะไม่สนเลย เมื่อก่อนเราเจ้าชู้ไง พอเจอคนนี้ปุ๊บเราเริ่มคิดละ เขาการศึกษาดีครอบครัวดี ทุกอย่างดีหมดเลย เราก็เลยอยากจะหยุดที่คนนี้ คบกันได้ 1 ปี เขาก็จะไปเรียนต่อโทที่ซานฟรานซิสโก อเมริกา แล้วก็ท้าเราว่าแน่จริงก็ตามไป เราก็ไปขอพี่กิ๊กว่าเดี๋ยวขอลาออกไปอยู่อเมริกา ตอนนั้นผมน่าจะประมาณอายุ 35 ปี ส่วนแฟนอ่อนกว่าผม 10 ปี เขาไปเรียนโท เราก็ตามไป แล้วก็ไปเรียนภาษาเพื่อให้อยู่ได้ ก็อยู่ดูแลเขา คือจริงๆ ผมตั้งใจไปดูแลนั่นแหละ แล้วก็ทำงานด้วย เรียกว่าจริงจังกับผู้หญิงคนนี้

พอไปอยู่ที่โน่นก็ต้องไปเป็นเด็กเสิร์ฟ คนไทยที่โน่นเขาดูรายการไทย เขาก็จำผมได้ แรกๆ ยอมรับว่าอายนะ เพราะเราเริ่มจากการเป็นเด็กเสิร์ฟ ไม่มีค่าตัว ไปขอฝึกงานเพื่อให้ได้งาน เขาก็ถามว่ามาทำอะไรเราก็บอกเขาตรงๆ ว่ามาอยู่กับแฟน เราก็ไม่
ได้ปกปิดอะไร อยู่ที่โน่น 5 ปี ได้เที่ยว ได้เรียนรู้ได้เปิดโลก ได้ทำอะไรต่างๆ เยอะ พอเป็นเด็กเสิร์ฟ เราก็ขยับขยายเป็นหัวหน้าแผนกโน้นเป็นผู้จัดการร้านนี้ เปิดผับเป็น ไทยไนท์ อย่างบางทีเจ้าของร้านจะเอานักร้องที่ประเทศไทยไปแสดง ผมก็เป็นคนจัดการให้ เหมือนเรามีความรู้อยู่แล้ว ก็จะจัดโน่นจัดนี่ ทำฉากทำอะไรให้ ถือว่าดีมากๆ ค่าตอบแทนดีแล้วเรายังมีโอกาสทำงานด้านเบื้องหลังด้วย คือผมได้ไปหาซื้อกล้องมาถ่ายเหมือนรายการท่องเที่ยวที่ซานฟรานซิสโก แล้วส่งไปให้ช่องเคเบิลที่แอลเอ เป็นเคเบิลไทย ก็ได้เงินอีกได้เงินหลายทาง เราก็ไม่เบื่อ ได้เที่ยวทั่วเลยไปซื้อมอเตอร์ไซค์ขี่ไปโน่นไปนี่ มีความสุขครับ แล้วที่แฟนเรียนจบ เขาไม่ได้ใช้เงินที่บ้านเลยนะครับ คือแฟนผมเขาก็ทำงานด้วยเรียนด้วย เราทำงานด้วยไปเรียนภาษาด้วย เก็บเงิน ค่าเทอม แล้วก็ส่งมาให้แม่ แฟนก็ส่งมาให้คุณตา-คุณยาย อยู่กันไป 5 ปี

ตั้งใจปักหลักที่อเมริกา

แรกๆ คิดครับ ไปแรกๆ คิดเลย เพื่อนก็บอกว่ามีวิธีนะ แต่งงาน ทำอย่างโน้นอย่างนี้นะ หรือเจ้าของร้านเขาก็ช่วย จะทำเรื่องให้ แต่พออยู่ๆ ไปเริ่มไม่ใช่ละ ครอบครัว เพื่อนฝูงเราอยู่ที่ประเทศไทย คนไทยที่โน่นจริงๆ ห่างกัน ไม่ได้อบอุ่นแบบอยู่บ้านเรา พอแฟนใกล้จะเรียนจบ เราก็มาคุยกันว่าเราจะเอายังไงกันดี แล้วก็ตกลงกันว่าเรากลับไทยดีกว่า แต่ช่วงนั้นผมก็ยังคุยกับพี่ๆ ทั้งที่ทริปเปิ้ลทู กับพี่แดงก็ไม่ได้ขาดการติดต่อคุยกันตลอด พอเราตัดสินใจไม่อยู่แล้ว กลับไทยดีกว่า เรียนจบปุ๊บก็กลับเลย ประมาณปี 2554 พอกลับมา ก็มาช่วยพี่แฉะกำกับหนัง “เค้าเรียกผมว่าความรัก” พี่แฉะเขาบอกว่ากลับมาช่วย มาอยู่เบื้องหลังกับเขา เพราะเราก็เป็นทุกอย่างอยู่แล้ว เราก็บอกว่าไม่เอาเงินนะ ขอทำรื้อฟื้นก่อน แต่เขาก็ให้นะพอจบหนังก็ทำรายการผีให้ช่อง 9 ทำรายการโน้นรายการนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นเบื้องหลัง ไม่มีช่วงว่างงานเลยครับ คือพอทำอะไรจะจบเรื่องนี้ คนก็จะเริ่มรู้ว่าเรากลับมา เขาก็จะโทร.มาถาม เฮ้ย! ต้อยอันนี้มีทำไหม ก็เริ่มกลับมาทำเป็นโปรดิวเซอร์รายการ ทำเป็นพิธีกรที่ไทยพีบีเอสทำรายการเด็ก “สภาเสียงไร้เดียงสา”

งานในวงการหลั่งไหลอีกครั้ง

พอทำ “สภาเสียงไร้เดียงสา” รุ่นน้องก็มาชวนไปทำที่ช่อง MONO29 ไปดูแลแผนกรายการ ก็ไปทำได้ปีหนึ่งแล้วเขาก็ยุบแผนก ผมออกทั้งทีม กระจัดกระจายไปจนผมไปทำ “เจ็ดดาวประจัญบาน” ให้ช่อง 7ทำจ๊อบเล็กจ๊อบน้อย แล้วก็มางานล่าสุดทำซิทคอม “สุขจ๋า..อยู่หนใด” ให้ช่องไทยพีบีเอสชีวิตผมอยู่กับเบื้องหลังเป็นส่วนใหญ่ครับ ผมไม่ได้เกิดมาจากเบื้องหน้า เราเกิดมาจากเบื้องหลัง ใครที่จะให้ไปทำก็ทำได้แต่ถามว่าชอบอันไหนมากที่สุด คงเป็นเบื้องหลัง เพราะเราได้คิด สมองไม่ได้หยุด พออยากจะทำอะไรมันก็ปิ๊งปั๊งมีความสุข

คนส่วนใหญ่กลับจากเมืองนอกจะมีเงินก้อน

ผมไม่ได้มีเงินก้อน เพราะว่าหมดไปกับค่าเรียนหลายล้านนะ คือเราเก็บเงินเพื่อเรียน แฟนก็เรียนจบโดยไม่ใช้เงินที่บ้าน แล้วตอนอยู่โน่น ผมป่วยเป็นโรคตับบวม หมดเงินไป 7 แสนกว่าบาท แล้วก็กลับมารักษาที่ไทยต่อ ตอนนี้หายดีแล้วครับ มาหายที่บ้านเราโรงพยาบาลพระมงกุฎ คือที่โน่นเขาไม่รักษานะ ที่หมดไป 7 แสนแค่ค่าตรวจ แต่เขาตรวจละเอียดมาก 2 คืนที่ไปนอนตรวจ สรุปคือเป็นโรคตับบวม กลับไปพักผ่อนวิธีการรักษาที่โน่นคือเราต้องมีหมอประจำตัวให้หมอประจำตัวตรวจละเอียดอีกทีหนึ่งหมอของเราจะต้องเป็นคนสั่งยาให้เราเท่านั้น ผมไม่มีหมอประจำตัว แล้วเราก็ไม่มีประกันด้วย โอ้โห..ชีวิตแบบตอนนั้นทำงานก็ไม่ได้ แฟนก็ต้องทำงานคนเดียว แต่เจ้าของร้านเป็นคนไทย เขาก็เอ็นดูเราเหมือนลูก เขาก็ทำกับข้าว ทำซุปมาส่งเรา ดูแลเราดี โรคตับนะแค่เดินก็เหนื่อยมากๆ เป็นช่วงรอยต่อพอดี ตอนนั้นเราก็ให้รุ่นน้องที่ไปๆ มาๆ เอายาจากที่ไทยไปให้ เราก็โทร.หาเพื่อนที่เป็นเภสัชบอกรายละเอียดของโรคให้จัดยาให้หน่อยช่วยบรรเทาแต่ไม่หาย แต่โอเคพอดีขึ้นพอเรียนจบก็กลับมารักษาต่อที่ไทยประมาณ6 เดือน ที่โรงพยาบาลพระมงกุฎ หายเลยครับหมอก็ตกใจ เราเลิกดื่มแอลกอฮอล์หมดเลย ดูแลสุขภาพ เลือกกิน เข้ายิม ออกกำลังกาย (โรคนี้เกิดจากอะไร?) ดื่มเยอะครับ อยู่ที่โน่นพอเราเป็นผู้จัดการร้าน ทำเกี่ยวกับผับก็ดื่มเยอะ ตอนนี้เลิกหมดเลย กลายเป็นเฮลตี้แมน อยากรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องสุขภาพถามผมได้เลย

ชีวิตคู่กับแฟนในวันนี้

เพิ่งแต่งงานกันไปเมื่อ 30 พ.ย. 2558 แฮปปี้มากครับ (มีน้องยังคะ?)เพิ่งไปหาคุณหมอเพื่อที่จะวางแผนมีน้องครับ ผลตรวจออกมาก็โอเคไม่มีอะไร อยู่ในระยะเวลาเตรียมพร้อม (คิดว่าจะมีกี่คน?)คงมีคนเดียวก่อนครับ แล้วตอนนี้ผมเอาหลานมาเลี้ยงอยู่คนหนึ่ง ตั้งแต่เขาอายุได้ 3 เดือน ตอนนี้เขาก็ 8-9 เดือนละ ก็กะจะมีสักคนหนึ่งแล้วก็ให้เขาช่วยกันดูแล ครอบครัวครบสมบูรณ์ เป็นช่วงที่เราก็ต้องเดินหน้าต่อไป ยิ่งเราอยู่ในวงการนี้สมัยนี้ก็ต้องมีคุณภาพ ผมว่าเราก็ต้องเก็บคุณภาพของเราเอาไว้ เพราะว่าช่องต่างๆ เยอะ คนเยอะ แต่ผมเชื่อว่าการที่เราทำงานให้มีคุณภาพนั้น เราจะยืนอยู่ได้นานๆ ให้คนได้นึกถึง แบบงานนี้เรียกต้อยสิ! ได้ทำโน่นทำนี่ได้

จากเด็กต่างจังหวัดถีบตัวจนมีวันนี้

โดยรวมแล้วชีวิตผมเหมือนได้ผลักดัน ได้เรียนรู้ และอุปนิสัยเรา ที่เคารพรุ่นพี่ เราไม่เคยลืมเลยว่าใครมีบุญคุณกับเรา เพื่อนฝูง ความรักก็ต้องจริงใจ แล้วพอเราเป็นคนที่ชอบเรียนรู้โน่นนี่นั่น ทำงานก็จะเคยโดนสอนตั้งแต่อยู่เวิร์คพอยท์แล้วว่า คือถ้าเขาให้ทำ 10 เราต้องทำมา 20 เราอย่าไปทำแค่ 10 แล้วจบ คือพยายามทำให้เกินในสิ่งที่เขาสั่ง ซึ่งเด็กสมัยใหม่มีน้อยและสอนยาก อย่างสมมุติสอนใครผมจะสอนทีเดียวถ้าไม่เอาก็จะไม่สอนแล้ว

อนาคตกับการเกิดเปิดบริษัทของตัวเอง

จริงๆ แล้วคิดไว้ครับ แต่ในสถานการณ์ตอนนี้ ค่อนข้างจะน่ากลัว เพราะว่าอย่างช่วงที่กลับมา เราก็โดนเบี้ยวค่าตัวไปเยอะเบื้องหลังนะ โดนไปสองรอบ น่ากลัวนะ เลยเลือกที่จะทำอะไรเกี่ยวกับคนที่ไว้ใจได้คนที่ไม่สนิทก็ขอก่อนครึ่งหนึ่ง

ณ ปัจจุบันนี้ ตำแหน่งจริงๆ

โอ้โห.. พี่แดงเขาเรียกมาและให้มาหลายอย่างมาก คือเราสามารถเป็นผู้ช่วยได้เลย โปรดิวเซอร์ หาโลเกชั่น ดูแลนักแสดง เราก็รู้จักนักแสดงรุ่นใหญ่ โปรดิวเซอร์จัดการกอง จะเป็นผู้ช่วย เป็นนักแสดง คือเรียกว่าทุกอย่างก็โอเค เป็นงานที่เราถนัดอยู่แล้วครับ

ความใฝ่ฝัน

ผมไม่ได้ใฝ่ฝันอะไรมากกว่านี้แล้วครับ ใฝ่ฝันแค่ทำงานแล้วก็มีความสุข ถามว่าจะให้มั่นคงอะไรมากไหมในช่วงเวลานี้ยังตอบไม่ได้ จริงๆ ที่เราเคยไปอยู่บริษัทใหญ่ๆ เราก็อยากจะสร้างตรงนั้นนะ แต่พอไม่ได้ปุ๊บ เราก็ไม่เป็นไร คือไปอยู่นั่น เราก็เป็นเฮดแหละ แต่พอมางานแบบนี้เรามีรุ่นพี่ก็รอรับคำสั่งกับพี่แดง ไม่ได้ยึดติดกับเฮดหรืออะไร เลือกเอาความสุขดีกว่า ทำอะไรก็ได้ครับ

งานในวงการอาจไม่จีรังยั่งยืน

จริงๆ แล้วใช่เลยครับ ที่เขามองๆ กันว่าไม่จีรังยั่งยืน ตอนนี้ผมก็คุยกับภรรยาว่าเราจะทำขนมขาย เราจะรับทำโน่นทำนี่ไม่ได้ทำด้านนี้อย่างเดียว แฟนทำเอเจนซี่อยู่เป็นพนักงานประจำ ส่วนผมตอนนี้ก็เหมือนเป็นฟรีแลนซ์ ก็เริ่มทำขนม ทำธุรกิจเสริม ตอนนี้ทำเป็น กล้วยเส้น แฟนผมเขาเคยกินเหมือนรสชาติต้มยำ บาร์บีคิวจริงๆ เขาก็เลยรับมาถุงใหญ่ ผมก็เอามารีแพ็กเกจ ออกแบบโลโก้ เมื่อวานนั่งแพ็ก นั่งทำอยู่ แต่เดี๋ยวก็ต้องเอาไปแจกตามร้านที่รู้จักกันให้เขาชิมก่อน ผมตั้งชื่อว่า “บานาโน๊ะ”ตอนนี้มี 3 รส คือ รสสมุนไพร, รสต้มยำ, รสบาร์บีคิว สนใจสั่งได้นะครับ ขอขายของนิดหนึ่ง(หัวเราะ) ติดต่อได้ทั้ง line‬:toikajai‬, ‎IG‬:banano_banana หรือโทร. 089-1116577, 083-6996296 ครับ

แหม! แค่ชื่อก็น่าทานแล้วค่ะ พี่ต้อยยังไงก็ขอให้ “บานาโน๊ะ” ขายดิบขายดี กิจการรุ่งเรื่องนะคะ ว่าแต่ถ้าธุรกิจ “บานาโน๊ะ”ไปได้สวย ก็อย่าลืมผลิตงานเบื้องหลังกับโปรเจกท์ใหม่ๆ ให้เราได้สนุกและเพลิดเพลินกันด้วยนะคะ

ใบพร้าว

Star Retro : ใหญ่-ยิ่งใหญ่ อายะนันท์ ไม่สนคนบ่นด่า เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/entertain/205481

วันอาทิตย์ ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2559, 06.00 น.
Star Retro : ใหญ่-ยิ่งใหญ่ อายะนันท์ ไม่สนคนบ่นด่า เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ

หันหลังให้วงการบันเทิง ลุยงานการเมือง

หายหน้าหายตาจากจอทีวี.ไปพักใหญ่สำหรับ ใหญ่-ยิ่งใหญ่ อายะนันท์ นักแสดงฝีมือดีของวงการบันเทิงไทย ล่าสุดใหญ่ผันตัวไปทำงานสายการเมืองกับตำแหน่งนายกเทศมนตรี ตำบทท่าสัก ที่เรียกว่ากำลังไปได้สวยและสร้างความสนุกตื่นเต้นให้ใหญ่อยู่ไม่น้อย ทำให้วันนี้ไม่ได้เห็นใหญ่เล่นละคร รับงานแสดง เหมือนอย่างเก่า แต่มุ่งมั่นและตั้งใจเพื่องานใหม่ที่ยิ่งใหญ่สมชื่อ ฉะนั้นงานเก่าที่น่าคิดถึง กับงานใหม่ที่กำลังสนุก เขามีสุขทุกข์อย่างไร ฉบับนี้เรานัดค้นใจอดีตพระเอกคนดังกันค่ะ

ชีวิตก่อนเข้าสู่วงการบันเทิง

ผมเป็นเด็กจังหวัดอุตรดิตถ์ อำเภอพิชัย มีพี่น้อง 3 คน ผมเป็นคนสุดท้อง ผมมีฝาแฝด แต่คู่แฝดเสียไปตอนประมาณ6 เดือนด้วยอาการปอดบวม เพราะวงการแพทย์สมัยก่อนยังไม่เก่ง คุณพ่อ คุณแม่ คุณตาเป็นกำนัน คุณแม่ก็เป็นเจ้าของโรงเรียนชื่อโรงเรียนอรุณีศึกษา แล้วคุณแม่ก็เล่นการเมืองท้องถิ่น เป็น สจ. อยู่ 3 สมัย ชีวิตผมเริ่มเรียนหนังสือที่โรงเรียนคุณแม่ จนถึง ป. 6 พอขึ้น ม.1 ก็เข้ามาเรียนในตัวจังหวัด เป็นโรงเรียนชายล้วนจนจบ มศ. 3 สมัยเรียนผมค่อนข้างเกเร เฮ้วมาก สอบตกด้วย และสมัยก่อนไม่มีการซ่อมเหมือนสมัยนี้ เลยซ้ำชั้นอยู่ปีหนึ่งตอนนั้นม.3 โอ้โห..โดนคุณพ่อเล่นงานซะเละ พ่อตี ฟาดซะเจ็บเลย แต่ซ้ำชั้นก็ดีอย่างนะ มีเพื่อนหลายรุ่น (หัวเราะ) เพื่อนเยอะ พอเรียนจบเสร็จเรียบร้อยผมก็เข้ากรุงเทพฯ

ตัดสินใจเข้ามาเรียนในกรุงเทพฯ

ตอนนั้นใจอยากจะไปเรียนพาณิชย์พระนคร แต่เรียนไม่เก่งสอบไม่ได้ เลยไปเรียนดุสิตพณิชยการ จนจบ เรียนอย่างเดียว อยู่กับน้าซึ่งทำงานอยู่ในสวนจิตรลดา ขับรถหลวง พอจบก็ไปทำงานเป็นเซลส์ขายรถยนต์อยู่ 1 ปี ที่จังหวัดแพร่ อาศัยอยู่กับเพื่อน แล้วรู้สึกว่าอยากเรียนปริญญาตรีต่อ ก็ตัดสินใจเข้ากรุงเทพฯ อีก มาเรียน ม.รามคำแหง คณะรัฐศาสตร์ รหัส 17 เรียนตามเพื่อนอีกนั่นแหละ พอเรียนรามคำแหงเข้าปีที่สอง ที่มหาวิทยาลัยเขามีชมรมศิลปการแสดง ผมก็เข้าชมรมนี้ ที่ชมรมมีการแสดงละครและทำละครเรื่อง “เจ้าหญิงแสนหวี” เล่นที่โรงละครแห่งชาติ คุณจตุพล ภูอภิรมย์ เป็นพระเอก แล้วผมเป็นตัวน้องพระเอก คุณวิฑูรย์ กรุณา ก็เป็นตัวน้อง ตอนแรก ว่าจะเล่น 10 รอบ แต่ละครสนุกติดลม สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี ก็เสด็จฯทอดพระเนตร คราวนี้เล่นกันเป็น 100 รอบเลย และเกิดเป็นข่าวขึ้นมา ผู้กำกับหนังก็ไปดู ไฟว์สตาร์ก็ไปดู แล้วก็จองตัวคุณตุ๊-จตุพล, คุณแอ๊ด-วิฑูรย์ ไปร่วมงานกับ คุณพิศาล อัครเศรณี พอละครจบก็เริ่มแยกย้ายกันเข้าสู่วงการบันเทิง

ผลงานชิ้นแรกในชีวิตการแสดง

ผมเริ่มจากที่รัชฟิล์มทีวี. ของคุณไพบูรณ์พึ่งศิลป์ ได้เล่นละครทีวีอยู่พักหนึ่งเรียกว่าหลายๆ ปีเลยล่ะ ที่ดังๆ ก็จะเป็น “รักในสายหมอก”, “จุดเจ็บในดวงใจ” แล้วก็พวกละครหุ่นไล่กา แปลงร่างนู่นนี่นั่นเป็นตอนๆ แล้วพอดีคุณพันคำจะสร้างเรื่อง “สวัสดีคุณครู” ก็ประกาศรับนักแสดงรุ่นใหม่ แล้วคุณอดุลย์ ดุลยรัตน์ เป็นผู้กำกับอยู่ที่รัชฟิล์มเขาก็เลยบอกว่า “เฮ้ย! ใหญ่น่าจะไปสมัคร ไปหาอาน้อยไหม ไปลองดู บุคลิกเอ็งได้เลยนะ” ผมก็ลองไปสมัครดู เขานัดให้ไปแคส ถ่ายรูป แล้วก็ได้เจอกับคุณจารุณีสุขสวัสดิ์ ไปนั่งรออยู่ด้วยกัน เพราะเขาก็มาสมัครเหมือนกัน ตอนนั้นยังไม่มีใครดัง โนเนมทั้งคู่ ใส่รองเท้าแตะ จำได้ว่าตอนนั้นผมอายุ 21 ปี เปิ้ล-จารุณี ก็น่าจะ 17 ปี นั่งรอตั้งแต่เช้ายัน 4 โมงเย็น พอ 5 โมงเย็นเขาบอกว่าไปที่โรงถ่ายศรีสยามตรงห้วยขวาง ผมก็ถามเขาว่า “ไปทำไมครับ” เขาก็บอกว่า “ไปถ่ายรูป” แล้วผมกับเปิ้ลก็นั่งแท็กซี่ไปกัน พอถึงก็ถ่ายรูป สัมภาษณ์ ไปกันสองคนไม่รู้จักใครเลย หลังจากนั้นสองอาทิตย์เขาก็เรียกตัวกลับไป และเปิดตัวอย่างเป็นทางการว่าผมกับเปิ้ลได้เล่นเรื่อง “สวัสดีคุณครู” ผมถือว่าโชคดี ที่เรื่องแรกประสบความสำเร็จทั้งคู่ และมีหนังเรื่องอื่นตามมาเรื่อยๆ กลายเป็นคู่ขวัญกับเปิ้ล แต่ช่วงหลังเปิ้ลเขาเป็นซูเปอร์สตาร์ ผมก็เริ่มเล่นเป็นตัวสอง ตัวเพื่อน ตัวรอง ตัวโกงบ้าง กะเทยบ้าง ก็รับงานแสดงเล่นไปเรื่อยๆ เล่นนอกค่ายบ้าง ไฟว์สตาร์บ้าง เพราะทางบริษัทไม่ฟิคว่าจะไปเล่นที่ไหน ชีวิตแฮปปี้มากช่วงนั้น

ผลงานสร้างชื่อเสียงในวงการละคร

ผมใช้ชีวิตโสดสนุกกับงานอยู่พักใหญ่ประมาณ 30 กว่าปี แล้วก็วกเข้ามาวงการทีวี.อีก เริ่มเรื่องแรกของพี่จิ๋ม-มยุรฉัตร ดึงมาเล่นเรื่อง “อีพริ้งคนเริงเมือง” ยุคของวิยะดา อุมารินทร์ เป็นนางเอกของช่อง 3 เล่นเป็นนักศึกษา ผมเล่นเป็นสามีคนที่ 4 ของอีพริ้ง ก็ติดลมอยู่ยาวกับช่อง 3 มาเรื่อยๆ หลังจากนั้นก็เล่นทุกบทบาท พระเอกบ้าง พระรองบ้าง เปลี่ยนไปเรื่อยๆ พอทำไปทำมาก็ทำงานอยู่กับพี่จิ๋มเลย เป็นในส่วนของเบื้องหลัง ทำงานอยู่ในกองถ่ายเป็นธุรกิจกองถ่าย หาสถานที่ ไปติตต่อสปอนเซอร์ คอสตูม หาเสื้อผ้าให้ดารา เบิกเงินจากช่องมาให้กองจ่ายค่าตัว คือทำงานกับพี่จิ๋มก็เหมือนทำกับครอบครัว พี่จิ๋มสอนงานทุกอย่าง เราเลยสนุก ได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์มาเยอะ เรื่องเงินนี่ไม่มีปัญหา เพราะทางบ้านผมก็พร้อมอยู่แล้ว เลยอยู่วงการด้วยความสุข ไม่ดิ้นรน ไม่เดือดร้อน และไม่ได้วางแผนที่จะอยู่เบื้องหลังหรืออะไร เพราะเราก็รู้อยู่แล้ววงการบ้านเรา พอเริ่มมีคลื่นลูกใหม่มา เราก็เริ่มถอยหายไป

ชิมลางงานผู้จัดละคร

ผมขอพี่จิ๋ม บอกว่าอยากลองสักเรื่องหนึ่ง เลยได้ทำเรื่อง “นักเรียนตรง” เป็นหนังเกี่ยวกับนักเรียน เด็กเกเร สร้างเรื่องมาเอง
แต่งเรื่องขึ้นมาเอง เป็นพี่หน่อยผู้กำกับเก่าอ่ะมือขวาของท่านมุ้ย มาช่วยกำกับให้ แล้วก็เขียนบทให้ด้วย ตัวแสดงก็จะมี สามารถ พยัคฆ์อรุณ, กบ-ปภัสรา เตชะไพบูลย์ แล้วก็เด็กไฟว์สตาร์รุ่น สายฟ้า เศรษฐบุตร ได้ทำเรื่องเดียวแหละครับ เพราะไม่เวิร์ก แต่แค่เรื่องเดียวก็ได้รางวัลนะ รางวัลเมขลา ละครสนับสนุนเยาวชนดีเด่น

ช่วงหลังเริ่มห่างหายจากหน้าจอ

พอช่วงหลังงานพี่จิ๋มเยอะขึ้น ละครบูมทุกเรื่อง คลื่นลูกใหม่เบื้องหลังก็เข้ามาเยอะเหมือนกัน ไม่ใช่เฉพาะเบื้องหน้า พอเสร็จปุ๊บเป็นช่วงจังหวะที่พ่อผมป่วย ก็เทียวขึ้นเทียวลงไปดูพ่อ แล้วพอคุณพ่อเสีย แม่อยู่คนเดียว พี่สาวก็มีครอบครัว ผมเลยต้องไปๆ มาๆ ทำให้เริ่มห่างจากวงการบันเทิงไป งานไม่ต่อเนื่อง พอไปอยู่ที่บ้านก็จะอยู่นานหน่อย งานในวงการก็ไม่ปะติดปะต่อ แล้วก็เริ่มเข้าวงการการเมือง เพราะว่าพอดีที่บ้าน ผู้ใหญ่บ้านเขาหมดวาระ ชาวบ้านแถวนั้นก็สนับสนุนให้ผมลงสมัคร ผมก็คิดว่าเอ๊ะ!จะได้เหรอ ไม่เคยคิดเลยว่าจะได้ หรือเล่นการเมืองอะไร พอลงสมัครไปปุ๊บ ตอนนั้นอายุ 28 ปี ก็ได้เป็นผู้ใหญ่บ้าน พอเข้ารับตำแหน่งแรกๆ ก็โดนแอนตี้นะ เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ เป็นดารา มาทำงานแบบนี้ไม่ได้หรอก จะมาลงพื้นที่เป็นเหรอ ตอนนั้นผมเรียนจบเรียบร้อยที่ม.รามฯ และเรียนที่มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครด้วย ก็ได้ปริญญามาสองใบ เสร็จปุ๊บพอได้ตำแหน่งผู้ใหญ่บ้าน ผมทำอยู่ 4 ปี พอหมดวาระ ก็ไปลงสมัคร สจ. ปรากฏว่าสอบตก โอเคไม่เป็นไร ไปลงสมัครนายกเทศมนตรีเทศบาล สมัยแรกสอบตกอีก ก็เก็บคะแนนไปเรื่อยๆ อยู่บ้านว่างๆ ก็ทำไร่อ้อย 80 ไร่ ทำนา 14 ไร่ ทำเองด้วย จ้างเขาทำด้วย เพราะเราเป็นนายจ้างก็ต้องดูว่าเขาทำอะไรยังไง พอสมัยที่ 2 ก็ลงนายกเทศมนตรีอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้ได้ ก็เป็นมาจนถึงทุกวันนี้ครับ 2 สมัย 8 ปีแล้ว

8 ปีกับการเป็นนายกเทศมนตรี

แฮปปี้นะ แต่ทุกคนจะบอกว่านักการเมืองยังไงก็ต้องโดนด่าอยู่แล้ว ผมก็โอเค ผมไม่สนใจ ผมแฮปปี้กับตรงนี้ เพราะเราเข้ามาเราต้องการบริการประชาชน อยากด่า ด่าไป ผมก็จะทำหน้าที่ของผมให้ดีที่สุด คนด่าก็คือคู่ต่อสู้ฝ่ายตรงข้ามแค่นั้นเอง

แล้วคิดถึงงานในวงการไหม

มีบ้างนะครับ ทุกวันนี้ยังแอบมาเล่นนะช่องทรูโฟร์ยู เรื่อง “รับแซ่บ MY BOSS” แล้วก็หนัง หม่ำ จ๊กมก “ทาสรักอสูร” ผมก็มาเล่น ถ้าใครติดต่อมา แล้วได้จังหวะลงตัว ผมก็รับเล่นนะ รับเชิญนิดๆ หน่อยๆ

เพื่อนๆ ในวงการยังติดต่อกันเหนียวแน่น

เพราะผมเป็นคนจ๊ะจ๋ามั้ง แล้วน้องๆ รักกัน อย่างเมื่อคืนเราก็รวมตัวกันนะ ที่ร้านของ ต้อม เรนโบว์ นัดทุกคนทานข้าวกันลูกนัท, ทองขาว, นก-ฉัตรชัย 30 กว่าคน ตั้งกรุ๊ปไลน์กันว่า “ชมรมเพื่อนเก่าแต่ไม่แก่” ทำให้ทุกคนได้กลับมาจอยกันอีกครั้งหนึ่ง และที่ติดต่อกันบ่อยที่สุดก็จะเป็น ตุ๊ก-ดวงตา,ตู่-นันทิดา ที่คุยกันเกือบทุกวัน ฝั่งผู้ชายก็จะมีพี่ตุ่ม-ชลิต, ตู่-นพพล, ไก่-วรายุฑ แล้วก็ พี่จิ๋ม-มยุรฉัตร และอีกอย่างเพราะผมเป็นคนจริงใจกับทุกคนมั้ง เฮฮาสนุกสนาน เป็นหัวโจกในกลุ่ม ขึ้นเวทีเลยก็มี แต่พักหลังด้วยหน้าที่การงานก็เลิกไปหมดละครับ

ชีวิตส่วนตัว

ตอนนี้ลูกๆ ผม ทำงานกันหมดแล้วครับ ผมไม่เคยมีงานแต่ง (หัวเราะ) คือตอนหลังไปด้วยกันกับภรรยาไม่รอด ผมก็เลยเลี้ยงลูกคนเดียว แต่ก็ได้น้องสาวช่วยเลี้ยง มีอะไรก็โทร.ถาม ช่วงมีลูกคนแรกก็เป็นอะไรที่ตื่นเต้นดีนะ ตอนนั้นยังอยู่ในวงการบันเทิง พอลูกคลอดออกมาไม่เท่าไหร่ก็เลิกกับแฟน ลูกยังแบเบาะอยู่เลย เอาลูกไปกองถ่ายใส่ตะกร้าเหมือนลูกหมาเลย(หัวเราะ) พี่จิ๋มก็เอาไปช่วยเลี้ยง ส่วนแม่เขาก็ไม่ได้ติดต่อกันเลย ลูกคนที่สองนี่เกิดกับแม่อีกคน ผมก็เลี้ยงเองหมดทั้งคู่ ตอนนี้ลูกสาวอายุ 30 กว่า ทำงานอยู่ราชบุรี ส่วนลูกชายยังเรียนอยู่ครับ

มีแววเข้าวงการเจริญรอยตามคุณพ่อไหม

“ไม่แน่ๆ ลูกชายผมเรียนช่างกลปทุมวัน นานๆ เจอกันที ส่วนคนโตก็ทำงานไปแล้ว แต่เขาจะสูงๆ หุ่นนางแบบ คุณแม่เขาเป็นนางแบบ สองคนเขาจะเรียกผมว่า “ลุง” นะเขาเรียกพี่สาวกับพี่เขยผมว่าพ่อกับแม่ เพราะว่าเขาอยู่คลุกคลีกันตลอด ผมไม่รู้สึกเสียใจหรืออะไรนะ ดีซะอีก เหมือนเพื่อนกัน คุยกันได้ทุกเรื่อง

สิ่งที่หวังและวางแพลนชีวิตไว้

ผมอยากทำในส่วนของการเมืองที่ทำอยู่ตอนนี้ให้ดีที่สุดก่อน แต่ใจจริงๆ อยากเปิดร้านอาหารที่ต่างจังหวัดนะ ชอบเอ็นเตอร์เทนเพื่อนๆ เอาแนวผู้ใหญ่ๆ ฟังเพลงเก่าๆ แขกขึ้นไปร้องเพลงได้ ใจคิดนะแต่ไม่รู้จะเมื่อไหร่ ส่วนเรื่องการเมืองอันนี้ยอมรับว่าคิดไกลเลยครับ แต่ยังไม่อยากบอก ต้องรอดูครับ

บั้นปลายชีวิต

ผมคงเป็นคนแก่อารมณ์ดีอยู่กับบ้านอยู่กับสวน ดูความสำเร็จของลูกๆ ซึ่งจริงๆ ตอนนี้ก็แฮปปี้นะ ทั้งงาน เพื่อนๆ ครอบครัว
ปัญหาสุขภาพนี่ไม่มีเลย ป่วยมากสุดคือปวดหัวตัวร้อน มีครั้งเดียวผ่าตัดไส้เลื่อนโรคประจำตัวไม่มี ปีนี้ก็ 63 แล้ว ออกกำลังกายขี่จักรยาน ไม่มีควบคุมอาหารอะไร แค่ไม่ดื่มกาแฟ เช้าก็กล้วยน้ำว้าสองลูก เที่ยงจัดหนักอยู่ถึงเย็น มีดื่มบ้างนิดหน่อยครับ

วันพักผ่อน

ผมทำนา ทำไร่ เข้ากรุงเทพฯ บ้างก็ตอนมาประชุม ถ้ามาส่วนตัวไม่ได้มาเลย ตอนนี้ผมกลายเป็นโรคห่วงไร่นาที่เราทำไว้ หรือถ้าว่างๆ ก็จะเข้าไร่อ้อย เพราะทำส่งโรงงานน้ำตาล นาก็ทำไว้กิน มีบ่อปลาอีกสองไร่บ้านไหนมีงานก็มาเอาไปทำกินกัน ไม่ได้ขาย ส่วนเรื่องครอบครัวชีวิตคู่ไม่คิดละครับ

มุมมองต่อเด็กรุ่นใหม่ในวงการ

ผมว่าเขาเก่งนะ แล้วก็รวยกันเร็วเนอะไม่เหมือนรุ่นเราทำแทบตาย ตอนนั้นก็ประมาณสองหมื่นเองต่อหนึ่งเรื่อง ละครตอนละพัน เดี๋ยวนี้เขาได้เป็นแสน เล่นไปซื้อรถซื้อบ้าน ก็เรียกว่าเด็กสมัยนี้มีโอกาสเยอะหน้าตาดี สัมมาคารวะดี แต่ถ้าเล่นตัว หยิ่งก็จะอยู่ได้ไม่นาน ผมว่าส่วนใหญ่อยู่ที่ผู้จัดการส่วนตัวของแต่ละคนครับ

ชีวิตของ ใหญ่-ยิ่งใหญ่ อายะนันท์ ในวันนี้ มีแต่ “สุข” อย่างน่าอิจฉา เพราะเขาบอกว่าพอเพียงแล้วกับทุกสิ่งที่มี !!

Star Retro : ‘น้ำฝน-บุณฑริก ทัศนารมย์’ ชีวิตที่ไม่หวือหวาแต่น่าค้นหา

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/entertain/204453

วันอาทิตย์ ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559, 06.00 น.
จากเด็กสาวลูกนายทหารที่ถูกเลี้ยงแบบเข้มงวด แต่เพราะเป็นคนที่กล้าแสดงออก เมื่อมีโอกาสได้ก้าวเข้ามาสัมผัสงานในวงการบันเทิง “น้ำฝน-บุณฑริก ทัศนารมย์” จึงไม่ยอมปล่อยโอกาสนั้นให้หลุดลอยไป แม้ว่าอาชีพนักแสดงจะไม่ใช่ความใฝ่ฝันอันสูงสุดของเธอแต่เธอก็รักและหลงเสน่ห์วงการมายานี้

กับธุรกิจที่รับผิดชอบในตอนนี้

กิจการที่ทำอยู่คือมีอพาร์ทเมนท์ให้เช่าอยู่แถวเขตสายไหมค่ะ ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของฝนเองที่ต้องเข้ามาดูแลเต็มตัว แล้วอีกอันก็คือเป็นธุรกิจของสามี (ทพ.ธำรง ลิมปนาภา) เป็นคลินิกทำฟันที่เราก็ช่วยเป็นเบื้องหลังบ้าง งานไม่ได้เกี่ยวข้องกับวงการบันเทิงเลยค่ะ แต่อย่างอพาร์ทเมนท์ก็เพิ่งจะสร้าง ปีนี้ขึ้นปีที่ 3 ซึ่งคุณแม่พูดมานานแล้วว่าอยากทำอพาร์ทเมนท์ จนมันถูกที่ถูกเวลาทุกอย่างเหมาะเจาะก็เลยลงทุนทำกัน จริงๆ ถ้าเทียบกับสมัยก่อนเมื่อ10-20 ปีก่อนเขาจะชอบพูดว่ามีอพาร์ทเมนท์เหมือนเสือนอนกิน แต่สมัยนี้มันจะใช้คำนั้นไม่ได้แล้วเนื่องจากค่าก่อสร้างสูงขึ้นแล้วของเราก็เป็นอพาร์ทเมนท์เล็กๆ ฝนก็พยายามทำทุกอย่างให้มันเรียบร้อย เพราะว่าอยากให้ทุกคนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ถึงแม้ว่าจะมาเช่าอพาร์ทเมนท์อยู่ก็ตาม เราก็เลยลงทุนค่อนข้างสูง กว่าจะได้กินระยะยาว ก็คงยาวจริงๆ และคุณแม่ฝนก็จะมาอยู่ที่นี่ดูแลเรื่องทั่วไป ใครมีปัญหาอะไรก็สามารถเรียกคุณแม่ได้ ฝนจะเข้ามาตั้งแต่ 10 โมงถึงประมาณ 5 โมงเย็น เลทบ้างอะไรบ้าง

ความภูมิใจเล็กๆ

มีผู้ปกครองของน้องๆ ที่มาเช่าห้องแล้วจำเราได้ค่ะ แต่ว่าน้องๆ ที่เป็นนักศึกษาปีหนึ่งปีสองจะไม่รู้จัก พอคุณแม่ที่พาลูกมาเห็นเราเขาก็ตื่นเต้น จำได้ ขอถ่ายรูปด้วย เราก็รู้สึกดีใจเหมือนกันค่ะ

หวนคืนจออีกครั้ง

ก็ยังมีงานละครบ้างเล็กๆ น้อยๆ อย่างพี่ชุดาภา พี่ก้อง-ปิยะ ที่เป็นผู้จัดซึ่งเราก็สนิทสนมเป็นพี่น้องกัน พี่เขาก็เรียกไปใช้บ้าง พอเราได้กลับไปก็รู้สึกสนุกค่ะ นึกถึงบรรยากาศเก่าๆ ล่าสุดที่เล่นคือเรื่อง “พันล้านพนันรัก”ออกอากาศทางช่องทรู และก่อนหน้านี้มีเรื่อง“กากับหงส์” ทางช่อง 8 ซึ่งกว่าที่จะได้กลับมาเล่น 2 เรื่องนี้ ถือว่าฝนหายไปจากงานแสดงเกือบ 10 ปีเลยค่ะ เนื่องจากว่าแต่งงานด้วย พอมีครอบครัวแล้วการทำงานของสามีกับการทำงานของเรามันไม่เหมือนกัน คนที่ตื่นเช้า แปดโมงไปทำฟันเป็นคุณหมอ หกโมงเย็นออกกำลังกายกลับบ้าน นั่นคือตารางเวลาของเขาแต่ว่าของเราไม่เป็นเวลา บางวันนัด 11 โมง บางวันนัดเที่ยง บางวันนัดตี 2 เขาก็จะงงว่ามันเป็นแบบนี้เหรอ เขาไม่ห้ามที่เราจะเล่นแต่ว่ามันก็ไม่เป็นชีวิต บวกกับว่าฝนก็ห่างๆ ไปเองด้วยค่ะ (ผลงานเรื่องสุดท้ายก่อนหยุดยาว ?)ห่างจนจำไม่ได้ค่ะ ดูสิ แล้วพอแต่งงานเราก็วางแผนจะมีน้อง แต่สรุปก็ไม่มีค่ะ ทำกิ๊ฟ
ก็ไม่สำเร็จ เลยอยู่กันสองคน ได้ใช้ชีวิตอีกแบบหนึ่ง

รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นน้องใหม่ในวงการ

ใช่ค่ะ เหมือนไม่ชิน และทำอะไรไม่ถูก เพราะว่าด้วยบทบาทที่ได้รับก็คือจะโตขึ้นด้วย อย่างเรื่อง “กากับหงส์” คือจะมีหลานและเขาต้องมานอนหนุนตักเรา หลานโตเป็นหนุ่มแล้วด้วยเราก็เงอะๆ งะๆ น้องเขาก็ใหม่ เราก็ใหม่ด้วยตื่นเต้น บทก็จำไม่ได้ อย่างที่เล่นละครกับพี่โอ๊ต-วรวุฒิ เรื่อง “พันล้านพนันรัก” มีอยู่วันหนึ่งจำบทไม่ได้ เทคเยอะมาก เหงื่อแตกต้องนั่งทำสมาธิ พี่โอ๊ตก็เหมือนจะให้กำลังใจมากเลยนะคะ คือบอกทุกคนว่าเมื่อก่อนเราเป็นนางเอก ไม่ได้แบบนี้เลยนะ จนฝนต้องไปนั่งสงบๆ ทำสมาธิและค่อยๆ ปรับตัว นั่งคิดว่าบทมันยาวหรือว่าเราแก่นะ (หัวเราะ) แต่ไม่นะดู พี่ตุ๊ก-ดวงตาสิ ทำไมเขาจำบทแม่นล่ะ แล้วเชื่อไหมคะว่าฝนไม่รู้มุมกล้องด้วย พอกลับไปบ้าน ฝนต้องพยายามทำการบ้านหนักเลย ขยันมากขึ้น เรียกว่าขยันกว่าเมื่อตอนที่เข้าวงการใหม่ๆ เสียอีก เพราะว่าไม่อยากให้ไปทำงานแล้วรู้สึกว่าเป็นตัวถ่วงทุกคน ทั้งที่เราอายุเยอะแล้ว ไปถึงก็มีแต่คนไหว้ แต่ว่า
มาเทคตลอดๆ (ฟีดแบ๊กจากคุณสามี ?) เขาก็เห็นว่าพอเราไปถ่ายละครแล้วกลับดึก แต่พอตื่นเช้ามาดูเราสดชื่นมีชีวิตชีวาขึ้นนะ เพราะว่าปกติฝนตื่นขึ้นมาก็เจออะไรเดิมๆ ก็หงอยๆ แต่ว่านี่เราดูกระปรี้กระเปร่าขึ้น แต่ถ้าวันไหนที่กลับดึกเขาก็จะเป็นห่วง หรือว่าบางทีคุณแม่สามีมาจากต่างจังหวัด พอเห็นเรากลับดึก ท่านก็จะสงสัยว่าทำไมถึงกลับดึก คือท่านก็เข้าใจว่าเราเป็นนักแสดง แต่คงจะไม่ทราบว่าจริงๆ แล้วเราต้องถ่ายทำกันดึกๆ ดื่นๆ และออกเช้า บางวันก็ออกบ่าย 3 เลยอะไรแบบนี้

ช่วง 10 ปีที่เงียบหายไป แอบคิดถึงการแสดงบ้างไหม

อย่าใช้คำว่าแอบเลยค่ะ คิดถึงตลอดอยู่แล้ว แต่เราก็เข้าใจการทำงานของสามีค่ะ เลยไม่กล้ากลับมาเล่นละคร มีไปเที่ยวกองถ่ายบ้างสนุกสนานเฮฮา ไปเมาท์มอยกับพี่ๆ แล้วเราก็กลับบ้านแฮปปี้ (เพื่อนสนิทในวงการ ?) จริงๆ เพื่อนสนิทในวงการของฝนจะเป็นกลุ่มที่โตกว่าไม่ว่าจะเป็น พี่ชุดาภา พี่ก้อง-ปิยะ พี่ท็อป-ดารณีนุช พี่ผัดไทย พี่โอ๊ต-วรวุฒิ พี่แจง-วราพรรณ ฝนจะเป็นน้องเล็กที่เข้าไปหลังสุด ตอนนั้นเล่นละครกับพี่ก้องเรื่อง “สวรรค์บ้านทุ่ง”ซึ่งไปถ่ายด้วยกันที่สุพรรณฯ พี่ก้องก็ยังเป็นนักแสดงอยู่ เราอยู่ด้วยกันค่อนข้างนานหลายเดือน กินนอนด้วยกัน เลยสนิทกัน พี่ก้องเลยดึงฝนเข้าแก๊งมาด้วย จนตอนนี้คบกันมาเกือบ
ยี่สิบปีแล้วนะ เวลาเจอกันเราก็จะมีกินข้าวแชร์กันฝนรู้สึกว่าพอไปเจอกลุ่มนี้ทักษะทางการพูดของฝนด้อยพัฒนามาก เพราะว่าพี่ๆ แต่ละคนต่างแย่งกันพูดเรื่องของตัวเอง ซึ่งขำมากและสนุก เราจะรู้สึกทุกครั้งที่กลับมาบ้านว่าฉันยังไม่ได้คุยเลยนะ พูดไม่ทันเขา ไม่ว่าจะมีเรื่องอะไรสุขทุกข์ก็จะมีพี่ๆ กลุ่มนี้ที่ปรึกษากันจนกลายเป็นญาติไปแล้วค่ะ

ย้อนวันวานกับผลงานสร้างชื่อ

เรื่องแจ้งเกิดคือเรื่อง “บ้านไร่ริมธาร” เล่นกับ พี่ต้น-ตระการ คนรู้จักฝนมาก พูดถึงบ่อย อาจจะเป็นเพราะว่าเรายังเด็กๆ ในตอนนั้น แล้วก็มาเล่นบทน่าสงสาร รู้สึกว่าจนถึงทุกวันนี้ก็ยังมีพี่ๆ ที่เขาเคยเป็นปลัดในสมัยนั้น แต่ว่าตอนนี้ก็ใหญ่โตกันไปหมดแล้วพี่เขายังมีมาแซวอยู่บ้าง คือในเรื่องพี่ต้นเล่นเป็นปลัด แล้วเราก็ไปแอบชอบเขา กับงานละครส่วนมากฝนจะเล่นละครเด็กๆ ซึ่งเป็นละครเย็นค่ะ เป็นละครของค่ายกันตนา พระเอกที่ได้ร่วมงานด้วยก็มีพี่จอนนี่แอนโฟเน่ พี่อั๋น-สิรคุปต์ พี่โชคชัย เจริญสุข พี่พีท ทองเจือ ฝนรุ่นเดียวกับ แก้ว-กวินนา ส่วนคาแร็กเตอร์ที่ได้รับแรกๆ จะเป็นแนวเรียบร้อยพูดช้าๆ เหมือนตัวเองเลยค่ะ แต่ว่าหลังๆ จะได้บทที่ร้ายขึ้นแรงขึ้น เริ่มเล่นเป็นตัวอิจฉา ซึ่งฝนก็ชอบเล่นร้ายนะ เพราะว่ามีอะไรให้เล่นเยอะ แต่ตอนที่เล่นละครเด็กๆ ก็ชอบเหมือนกัน เพราะว่ามันเหมือนเป็นวัยของเราด้วยค่ะ เลยรู้สึกว่าสนุกกลมกลืนเข้ากับเด็กได้ง่าย ยอมรับว่าบรรยากาศในกองถ่ายของสมัยนี้กับสมัยนู้นต่างกันเยอะเลย ด้วยเทคโนโลยีด้วย จากเมื่อก่อนเราไปเราก็จะสนิทกันมากทำอะไรผูกพันกันกินข้าวถ้าไม่มีเก้าอี้ก็จะนั่งเสื่อด้วยกัน แต่ตอนนี้ก็คือจะมีเก้าอี้เก๋ๆ หิ้วมาต่างคนต่างมีมุมของตัวเอง แต่การทำงานกับน้องๆ ใหม่ๆ เราก็จะได้เห็นมุมใหม่ๆ ว่าเด็กสมัยนี้เขาเก่ง

ก้าวแรกในวงการ

ฝนเริ่มจากการถ่ายโฆษณาค่ะ นีเวียโลชั่น คือเราก็เป็นเหมือนเด็กนักเรียนทั่วไปค่ะ เดินมาบุญครองแล้วพี่จิ๋ม โมเดลลิ่งเขามาเจอ
ก็ขอให้ไปถ่ายรูปทิ้งไว้แล้วก็เรียกไปเทสต์งานก็บังเอิญได้ จากนั้นก็ถ่ายโฆษณามาสัก 3-4 ตัว ถ่ายแบบลงนิตยสาร จน พี่สุ-สุชีรา กัลย์จาฤก จากกันตนาเห็นเราในโฆษณาบรีสคัลเลอร์ ก็เลยเรียกเข้ามาเทสต์และได้เล่นละคร สังกัดกันตนา ตอนที่เขาเรียกไปเทสต์งาน เราไปกันทั้งบ้านเลยนะคะ ทั้งตื่นเต้นแล้วก็กลัวว่าจะโดนหลอกด้วย เลยไปกันเยอะขนาดนั้น และทุกคนก็มองว่าเออ…
นี่แค่มาเทสต์นะ ยังไม่ได้ถ่ายจริงเลย พอได้งานคุณแม่ก็บอกให้เรารู้จักหัดเก็บหอมรอมริบไม่กีดกันที่เราจะเข้ามาในวงการ แต่ว่าตอนก่อนที่คุณพ่อจะเสียก็มีคนชวนฝนเข้าวงการเหมือนกันซึ่งคุณพ่อไม่อนุญาตคือท่านเป็นนายทหารค่อนข้างเข้มงวดนิดหนึ่ง พอคุณพ่อเสียก็เลยรู้สึกว่าอย่างน้อยเราก็ได้เอาเงินมาช่วยคุณแม่นะเพราะว่าท่านก็ทำงานคนเดียวเลี้ยงลูก 2 คน แล้วพอเราได้เข้ามาทำงานตรงนี้เราก็รู้สึกสนุก

ย้อนวันวานความรัก

คู่เราไม่ค่อยสวีทหวานเท่าไหร่ค่ะ สามีเป็นคนทำงานเยอะมาก เวลาที่จะทานข้าวสวีทกันเหมือนคู่อื่นๆ เราจะไม่มีตรงนั้นเลย ส่วนฝนเองตอนนั้นก็ยังรับงานแสดงอยู่ เวลาเราก็ไม่ตรงกันเหมือนกับว่าคบกันไปสักพัก 6 เดือนเลิกกัน แล้วกลับมาดีกัน คบๆ เลิกๆ กันอยู่แบบนี้ค่ะพอฝนไม่โทร.ไป เขาก็ไม่โทร. ต่างคนต่างยุ่ง มันก็ห่างๆ กันไป เลยรู้สึกว่ามันแปลกๆ แต่ว่าก็ยังคบกันอยู่ค่ะ (หัวเราะ) จนวันที่เขามาขอแต่งงาน ฝนเครียดเลยค่ะ พี่ท็อป-ดารณีนุช เป็นคนให้คำปรึกษา ฝนบอกพี่ท็อปว่าทำยังไงดี หมอขอ
ฝนแต่งงาน พี่ท็อปก็บอกว่าเราต้องพบพระก่อนคือให้เราไปปฏิบัติธรรม 7 วัน ไปดูว่าตัวเองต้องการอะไรแน่ คือมันแปลกมากที่คนโดนขอแต่งงานแล้วไปปฏิบัติธรรม แทนที่จะดีใจ พี่ก้องก็เรียกประชุมใหญ่เลยค่ะ เชิญทุกคนในแก๊ง แล้วก็เชิญ พี่แหม่ม-จินตหรา มาด้วยมาให้คำตัดสินว่าแต่งดีไม่แต่งดี จนพี่แหม่มพูดมาคำหนึ่งว่า “ฝน…สัญชาตญาณแรกที่เขาขอหนูแต่งงาน หนูรู้สึกยังไง ไม่ต้องคิดมาก สัญชาตญาณแรกสำคัญที่สุด คือเราตื่นเต้น ดีใจ หรือว่ายังไง” ฝนก็นึกย้อนกลับไปว่าเราดีใจมากเลยนะแต่…หลังจากนั้นเรากลัวเท่านั้นเอง ว่ามันจะเป็นยังไงต่อไป ซึ่งก็ไม่เป็นไร พอเราได้รับคำแนะนำจากพี่ๆ หลายๆ ท่าน เราก็เลยรู้สึกว่าไม่เป็นไรนะทำปัจจุบันให้มันดี อนาคตจะเป็นอย่างไรก็ปล่อยมันไป พอแต่งงานแล้วเราแมทช์กันดีมาก คือเขาเป็นคนที่มีโลกส่วนตัวสูง ฝนก็มีโลกส่วนตัวสูง และต่างคนต่างไม่วุ่นวายกัน เขาจะไปเล่นกีฬา จันทร์ พุธ ศุกร์ อาทิตย์ เราก็ไม่ไปแตะเวลาตรงนั้น เราลั้ลลาสังคม เขาก็ไม่โกรธไม่ว่าอะไร ถึงเวลาที่เราจะต้องไปทำกิจกรรมด้วยกันเราก็ไป เขาเป็นผู้ใหญ่ซึ่งเวลาเราคุยกัน เขาก็จะเหมือนคอยสอนคอยชี้แนะ ฝนก็เลยรู้สึกว่าเรามีความเกรงใจต่อกัน แต่ฝนเป็นคนที่ใจเย็นกว่าเขานะคะเพียงแต่เขาสุขุมและนิ่งกว่า อยู่ด้วยกันมา 8 ปีไม่เคยทะเลาะกันเรื่องใหญ่เลย ไม่ทะเลาะกันไม่ใช่ว่าเราทำอะไรถูกใจหมดนะ มันมีเรื่องที่ไม่ถูกใจกันตลอดแหละ แต่ว่ามันอยู่ที่เราจะยังไง คือต่างคนก็ต่างนิ่งเงียบ

ยังกล้าๆ กลัวๆ ถ้าจะต้องมีน้องในตอนนี้

สามีฝนเขาคิดหนักว่าถ้ามีลูก แล้วเราก็อายุเท่านี้แล้ว จะต้องเก็บเงินเท่าไหร่กว่าลูกจะเรียนมหาวิทยาลัย ต้องใช้เงินอีกเยอะไหม คือเขาจะวางแผนไว้หมด เขาคิดว่าถ้ามีลูกคนเดียวแล้วลูกจะเหงาหรือเปล่า ถ้าเราสองคนเป็นอะไรไปเขาก็คิดเยอะ จนกล้าๆ กลัวๆ ดังนั้นถ้าถามว่าอยากมีลูกจริงๆ ไหม มันเป็นบางอารมณ์ค่ะ บางทีเห็นเด็กน่ารักๆ เราก็นึกอยากจะมีบ้าง พอถามเพื่อนเขาก็บอกว่ามันจะเป็นห่วงทางใจนะนู่นนี่สรตะ แล้วก็เลยกล้าๆ กลัวๆ มีก็ได้ไม่มีก็ได้ เคยคิดเหมือนกันว่าจะไปให้คนอุ้มบุญ แต่
ฝนคิดมากค่ะ คือลูกเรา เราก็อยากจะอุ้มท้องเองแฟนก็ไม่อยากให้เราคิดมากค่ะ เลยไม่เป็นไรอยู่แบบนี้สองคนก็มีความสุข

อนาคตในวงการบันเทิง

มีพี่ๆ ชวนฝนมาทำผู้จัดเหมือนกันค่ะ แต่ฝนยังไม่กล้าขนาดนั้น เคยหุ้นกับพี่ๆ กลุ่มนี้ทำรายการก็ยังไม่ประสบความสำเร็จเท่าไหร่ เลยคิดว่าเราอาจจะไม่เหมาะกับเบื้องหลัง กับผลงานที่ผ่านมาฝนพอใจในระดับหนึ่งค่ะ แต่ไม่ได้สูงสุดถ้าได้มีโอกาสกลับไปก็จะเก็บเกี่ยวให้มันมากกว่านี้แต่ด้วยความที่ทุกวันนี้ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปมาก เรากลายเป็นคน 2 ยุค ที่จากธรรมดาก็ขึ้นมาเป็นแบบดิจิตอลเลย ถ้าได้กลับมาอีกครั้ง คงจะเป็นประสบการณ์ที่ดี และเราก็อยากไปลองทำอะไรใหม่ๆ ดู บทบาทอะไรก็ได้ค่ะ เพราะว่าตอนนั้นฝนยังเรียนไม่จบมหาวิทยาลัยด้วยซ้ำก็มาเป็นนักแสดงเลย เหมือนกับว่าเขามาอยู่กับเราเกือบค่อนชีวิตแล้ว มันคือตัวเราไปแล้ว ถ้าพูดทีไรมันก็ยังตาวาวตื่นเต้นทุกที ถ้ามีบทคุณแม่ติดต่อเข้ามา ก็ได้นะ เพราะเราก็รู้สึกว่าเราถึงจุดนั้นแล้วล่ะ อาวุโสได้แล้ว วงการนี้คือชีวิตเราไปแล้ว เราอยู่ตรงนี้มาตั้งแต่เด็ก รู้สึกชอบ ถ้ามีบทอะไรที่เราพอจะกลับไปเล่นได้ก็ยินดีค่ะ

รักและพร้อมจะปกป้องวงการบันเทิงทุกเมื่อ

วงการบันเทิงให้อะไรฝนเยอะมากนะไม่ว่าจะเป็นการทำธุรกิจ จนถึงตอนนี้คือรู้เลยว่าความอดทนเป็นเรื่องสำคัญ และการที่ไม่เห็นว่าเราทำงานคนเดียว พี่สุชีราเคยเรียกไปคุยตอนที่เล่นละครแรกๆ ว่าเวลาเราเล่นละครเห็นไหมว่าพี่ตากล้องทุกคนต้องทำงานหนักขนาดไหน เราเล่นเรายังมีบางซีนที่ได้แอบมาหลับ แต่พี่ๆ เขาจะต้องยืนสแตนด์บายอยู่ทั้งคืน เพราะฉะนั้นเขาจะเหนื่อยกว่าเรา 2-3 เท่า ก็ให้รู้ซะว่าทุกคนที่ทำงานร่วมกับเรามีความสำคัญหมด อย่าทำตัวให้ติดลมบน ต้องติดลมล่างถึงจะดีกว่า สิ่งที่ฝนได้จากตรงนี้ก็คือฝนจะเป็นคนเรียบๆ ไม่หวือหวาไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม พอมาทำงานอพาร์ทเมนท์ฝนวิ่งให้ลูกค้าได้ทุกเรื่องที่ลูกค้าต้องการ เพราะว่ามันคือหน้าที่ของเรา ลูกค้ากลับเป็นฝ่ายที่เกรงใจเราซะมากกว่า เราก็บอกว่าไม่เป็นไรเพราะมันคืองานของเรา เรายินดีจริงๆ

เคล็ดลับการมีสุขภาพที่ดี

ฝนออกกำลังกายบ้างค่ะ แต่หลังๆ เริ่มขี้เกียจแล้ว เมื่อก่อนจะเล่นโยคะ เข้าฟิตเนสบ้าง และมีไปเดินที่สวนหลวง ร.9 รู้สึกว่าชอบ แล้วฝนจะมีกิจกรรมกับครอบครัว กับเพื่อนๆ เรื่อยๆ ชีวิตไม่ค่อยอะไรมาก อยู่แบบสบายๆ

บุคคลเหล่านี้ที่ไม่เคยลืม

ที่ฝนอยากจะขอบคุณคือพี่สุ-คุณสุชีรา เป็นคนแรกที่เรียกฝนเข้ามาในวงการ และเป็นคนสั่งสอนฝนทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ
การวางตัวการทำงาน หลายๆ ข้อคิดที่พี่สุให้ฝนสามารถเอามาใช้ในชีวิตประจำวันได้จนถึงตอนนี้แล้วก็อีก 2 ท่าน คือ พี่ก้อง-ปิยะ กับพี่ท็อป- ดารณีนุช จริงๆ จะบอกว่าทั้งกลุ่มเลยก็ได้ เพราะว่าพี่ๆ เหล่านี้ที่อยู่กับฝนตลอดเวลาไม่ว่าเราจะทุกข์หรือว่าสุข ภายนอกจะเห็นว่าทุกคนเฮฮาสนุกสนานร่าเริง แต่ว่าพอถึงจุดที่เราเจอปัญหา คำพูดของพี่ๆ เหล่านี้ฉุดฝนให้ขึ้นมาได้หลายครั้ง ก็ขอบคุณพี่ๆ ที่คอยอยู่ข้างกันตลอดไม่เคยทิ้งกัน หลายคนเลยอาจจะเอ่ยชื่อไม่หมด แล้วอย่างชื่อของอพาร์ทเมนท์ บ้านทสนา พี่แจง-วราพรรณก็เป็นคนตั้งชื่อให้ เพราะว่าฟังดูอบอุ่นดี พี่ๆ ในกลุ่มมีส่วนช่วยหมดเลย พี่ชุดาภามาดูที่เลยค่ะ แล้วบอกว่าให้ทำอพาร์ทเมนท์ พี่ก้องก็บอกว่าให้เช่าถ่ายละครสิช่วงไม่มีคน ทุกคนช่วยทำการตลาดให้ด้วย

“เห็นความเปลี่ยนแปลงของวงการชัดเจนเปลี่ยนไปมากทั้งดีและไม่ดี แต่ว่าเราก็ยังรักวงการนะคะ ไม่ทิ้งอย่างแน่นอน มันอยู่ที่ตัวเราว่าจะเลือกเก็บสิ่งไหนไว้กับตัว…ถ้าได้กลับไปอีกครั้งฝนจะเลือกทำอะไรที่รู้สึกว่ามันดีกับวงการ”สิ่งต่างๆ ในโลกย่อมเปลี่ยนไปตามกาลเวลา แต่หัวใจที่รักมั่นในการแสดงและวงการบันเทิงของ น้ำฝน-บุณฑริก ทัศนารมย์ จะยังคงไม่เปลี่ยนตาม

star retro : ‘น้ำฝน’ สรวงสุดา ลาวัณย์ประเสริฐ ชีวิตดั่งละคร

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/entertain/203339

วันอาทิตย์ ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559, 06.00 น.
tags : star retro
star retro : ‘น้ำฝน’ สรวงสุดา ลาวัณย์ประเสริฐ ชีวิตดั่งละคร

เรียน ร.ด.เพราะอยากเป็นทหาร แต่ชะตากลับพลิกด้านให้แจ้งเกิดเป็น ‘นางสาวไทย’

เริ่มต้นจากการเป็น “นางงาม” สู่บทบาทของ “นางเอก” หลากหลายบททดสอบที่“น้ำฝน-สรวงสุดา ลาวัณย์ประเสริฐ” ต้องแลกและพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าเธอไม่ได้มาเล่นๆ“สตาร์เรโทร” สัปดาห์นี้จึงขอเปิดพื้นที่กะเทาะทุกซอกทุกมุมชีวิตของเธอ

★ ถูกจับตามองกับบทบาทล่าสุดที่แสนแซ่บ

ฟีดแบ๊กละคร “กำไลมาศ” ดีมากค่ะ หลายๆ คนบอกว่ารู้สึกดีที่เห็นเราได้เปลี่ยนบทบาท เขาชอบบทนี้ แล้วก็มีแฟนเด็กด้วย (เป็นบทคุณแม่ที่แรงที่สุดไหม?) แรงกันไปคนละแบบ บางตัวก็แรงในด้านของความต้องการ อย่างเรื่องนี้จะแรงในเรื่องของความรัก หวือหวาเรื่องของคู่ชีวิต ไม่ซ้ำจากที่เคยเล่นมา แต่ตอนแรกที่ได้รับการติดต่อมาฝนกังวลใจอย่างหนึ่งนะว่าเราไม่ได้ชอบเด็ก (หัวเราะ) ไม่เคยมีสเปกนี้ ก็เลยนึกไม่ออก คือคุยกับเด็กต้องคุยยังไง แบบไหน การที่เราจะสื่อสารกับเขา ต้องอ้อนไหม เสียงเล็กเสียงน้อยยังไง แต่พอเวลาเข้าด้วยกันแล้ว เด็กก็แค่อยู่ในความเป็นเด็ก เหมือนเวลาคนเรามีความรักมันก็มุ้งมิ้งอยู่แล้ว เวลาคุยก็ลืมวัย อีกอย่างไม่ได้ถึงขั้นใจซื้อใจ เรารู้อยู่แล้วว่าเขาคือเด็ก การที่จะเอาเด็กอยู่ ก็จะต้องซื้อด้วยเงิน ก็เลยข้ามโจทย์ตรงนี้ไปว่ามันไม่ได้จริง (เล่นกับ ปาล์ม-ศุภชัย คงไม่เขิน ?) เขินนะคะ เพราะว่าฝนเป็นคนที่แพ้ทางเลิฟซีน จุดอ่อนของตัวเองค่ะจะขวยเขินอะไรก็ไม่รู้ แต่ก็ผ่านไปได้ด้วยดี

★ งานแสดงยังคงต่อเนื่อง

ตอนนี้มีเรื่อง “ชาติพยัคฆ์” ที่กำลังจะออนแอร์ ส่วนที่ถ่ายทำอยู่ก็มี “นางอาย”, “ราชินีหมอลำ” ฝนเป็นนักแสดงอิสระ แต่ว่าหลักๆ คิวก็จะลงล็อกที่ช่อง 3 จะมีช่องอื่นประปราย ซึ่งก็เป็นละครของพี่ๆ ที่สนิทกันเป็นการส่วนตัวและด้วยคิวที่ลงล็อกพอดีค่ะ

★ ความรู้สึกกับการรับบทคุณแม่

รับบทแม่มาเกือบสิบปีแล้วนะ ฝนไม่รู้สึกอะไรเลยค่ะ อาจจะรู้สึกแค่ว่าเราต้องเล่นบทโตขึ้น เกิดคำถามที่ตัวเราว่าเราไปเล่นบทนั้นแล้วเราเล่นได้แค่ไหน เราเข้าใจในความเป็นวัยนั้นแค่ไหน มันหยิบยืมเทียบเคียงกับความรู้สึกของตัวเองที่รับผิดชอบน้อง ความที่เราเป็นผู้ใหญ่มาตั้งแต่เด็ก เป็นผู้นำของครอบครัว บทแรกที่เล่นเป็นแม่คือเรื่อง “บัวปริ่มน้ำ” เป็นแม่ของ อเล็กซ์ เรนเดลล์ ซึ่งเขาก็ยังเป็นเด็กอยู่ เหมือนน้องฝนเลี้ยงน้องสาวมาตั้งแต่เด็ก เหมือนเลี้ยงลูก เลยใช้ความรู้สึกมาเทียบเคียงในเวลารับบทแม่ฝนทำทุกอย่างเหมือนเป็นแม่ของน้องสาวหลายคนมักสงสัยว่าทำไมฝนเล่นแม่ได้อินขนาดนี้มีลูกแล้วเหรอ ซึ่งจริงๆ คือฝนเลี้ยงน้องสาวเหมือนลูก ฟิลของคนเป็นแม่เรามีระดับหนึ่งที่จะค่อยๆ เติม และเราก็ค่อยๆ ได้เจอบทแม่ที่เข้มขึ้นขึ้น “บัวปริ่มน้ำ” เหมือนจะง่ายแต่ก็ไม่ง่าย เป็นเรื่องแรกที่ตัดสินใจรับบทแม่ ก่อนหน้านี้มีคนติดต่อมาเยอะมาก คือเป็นแม่ที่มีลูก 2 คน แต่สามีเจ้าชู้ความเป็นแม่ที่ต้องประคับประคองความเป็นครอบครัวไปให้ได้ เป็นอีกบทที่ท้าทายค่ะใครจะมองว่าบทแม่เล่นง่ายไม่ง่ายนะ คือหนึ่งเราจะถูกค้านโดยสายตาคนว่าเรายังไม่ใช่แม่ แต่ทำยังไงล่ะนั่นคือโจทย์ของฝนที่คนอื่นไม่เชื่อ แต่เราต้องมีความเชื่อ

★ เข้มข้นหลากหลาย ท้าทายความสามารถ

หลังๆ บทแม่ก็เครียดขึ้นค่ะ เพราะว่าแต่ละบทเขาจะเป็นแม่ที่มองโลกในทิศทางของตัวเอง ไม่มีใครถูก-ผิด อย่างแม่ในเรื่อง“ขอเป็นเจ้าสาวสักครั้งให้ชื่นใจ” เล่นเป็นแม่ของอาเล็ก-ธีรเดช ซึ่งเป็นบทแม่ที่มีความเข้มข้นมากๆ รักลูกแต่อาจจะแสดงออกผิดบ้างถูกบ้าง เพราะความไม่เข้าใจกันระหว่างแม่และลูก คิดว่าต่างฝ่ายต่างไม่ได้รักกัน เลยนำมาซึ่งความสูญเสีย ในเรื่อง “สามี” ก็เล่นเป็นแม่ของ อเล็กซ์เรนเดลล์ อีกครั้ง ลูกชายเป็นไบโพลาร์ แต่แม่ก็ไม่รู้ แม่ลูกคู่นี้เป็นบ้านที่ 2 ของครอบครัวเจ้าสัว แม่ก็ต้องการให้ลูกได้รับทุกอย่างที่ดีที่สุด จึงทำทุกอย่างภายใต้การรักลูกและรักตัวเอง ส่วนในเรื่อง “เพลิงทระนง” ที่เล่นเป็นแม่ของมาริโอ้ก็เป็นความรักที่ต่างชนชั้น เมื่อสามีตายและลูกชายต้องการมาอยู่ใกล้ๆ ดูแลคุณย่า เราก็ต้องตามเข้ามาอยู่เพื่อดูแลคุณย่า และดูแลลูกชายไปพร้อมๆ กัน ท่ามกลางบททดสอบสุดหิน (เล่นเป็นแม่ใครบ่อยที่สุด ?) ก็เวียนๆ กันไปค่ะ จำไม่ได้แล้ว แต่ว่าลูกที่โตที่สุดคือพี่หนุ่ม-ศรราม (หัวเราะ) จากเรื่อง “ศิราพัชร ดวงใจนักรบ” ตอนแรกที่ติดต่อมาไม่ใช่พี่หนุ่มเล่น เราก็ถามแล้วว่าจะเปลี่ยนตัวก็ได้ เราไม่มีเงื่อนไขใดๆ ทุกวันนี้ก็ยังแซวกันอยู่เลยว่าเป็นแม่พี่หนุ่ม ส่วนตัวพี่หนุ่มเองเขาก็ขำเหมือนกัน ออกมานอกฉากเรียกกันไม่ถูกเลย แย่งกันไหว้ กลายเป็นเรื่องที่ฮาซึ่งฝนเองก็ไม่ได้ซีเรียส

★ ย้อนวันวานในวัยเด็ก

ฝนเป็นเด็กต่างจังหวัดคนหนึ่งที่ชีวิตเรียบง่ายมาก อยู่กับแม่เพราะว่าคุณพ่อไปทำงานซาอุ เราก็เหมือนพี่คนโต เป็นเด็กที่ไม่รู้ว่าตัวเองจะต้องไปเป็นอะไร ยังไม่มีเป้าหมาย เป็นเด็กเงียบๆ อยู่ติดบ้านไม่เคยไปเที่ยวหรือไปค้างบ้านคนอื่น ถ้าได้วิ่งเล่นวิ่งซนก็คือจะเล่นกับน้องชาย ถ้าได้ไปเที่ยวก็จะตามลูกพี่ลูกน้องไป ไม่ได้เฮฮามีกิจกรรมเป็นหัวโจก อยากทำกิจกรรมที่โรงเรียนนะคะ แต่ก็ไม่กล้า ลุ้นด้วยสายตาให้ครูเลือกเรามากกว่า เป็นเด็กผู้หญิงก็อยากแต่งตัวสวยบ้าง

★ ชีวิตดั่งละคร

จริงๆ นะคะ แค่จะมากรุงเทพฯยังยากเลย จะมาทำอะไรในวงการยิ่งเป็นไปไม่ได้ และเราก็ไม่มีใครเลยในกรุงเทพฯ ที่พอจะรู้จัก มีแต่น้าที่อยู่ชาญเมืองเข้ากรุงเทพฯ ทีก็นั่งรถเมล์อ้วกแตกอ้วกแตน ก็เลยบอกกับแม่ว่าฝนจะไม่เข้ามากรุงเทพฯ ไม่ไหวแล้วเวียนหัว แล้วเวลาเรามาจากนครนายก เราก็มารถตู้ จะเห็นภาพจำของความวุ่นวาย ฝนเริ่มจากการประกวดเวทีเล็กๆ ที่เขาให้ลูกสาวแต่ละบ้านไปขายกระทง แล้วก็มีประกวดธิดาโดม สระบุรี พอดีอาเป็นอัยการอยู่ที่นั่นก็เลยให้เราไปประกวด โดยที่คนที่มาเขาตัวแม่กันทั้งนั้น เราไม่มีอะไรเลย ญาติๆ มาเชียร์ก็เหมือนมาเชียร์กีฬาสี (ยิ้ม) แต่ว่าด้วยจังหวะมั้ง และกรรมการท่านหนึ่ง คุณจำเนียรทองศรี ปัจจุบันท่านเปลี่ยนชื่อเป็นธนพร คือพอเราได้ที่ 1 ท่านเกิดถูกชะตาและนึกขึ้นได้ว่ารู้จักกับ คุณชัยวัฒน์ ดำรงกิจกุลชัย ที่เป็นสปอนเซอร์ให้กับ ลุงสมชาย นิลวรรณ ก็ต่อๆ กันมาก็เลยกลายเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในชีวิตเลยค่ะ คุยกับแม่ว่าจะไปไม่ไปดี แต่แม่ก็รู้จักว่าลุงสมชายเป็นใคร ก็เลยยอมให้มา คือถ้าไม่ได้มาตรงนี้ก็คงจะเป็นนักเรียน ร.ด. เป็นทหารไปแล้ว ฝนเรียน ร.ด ด้วย เพราะรู้สึกว่าถ้าเราทำอะไรที่เป็นสายราชการ พ่อแม่จะเบิกได้ นั่นคือฟิลของเราตอนที่เป็นเด็กต่างจังหวัด พอมาอยู่กับลุงสมชาย ก็ประกวดอีกหลายเวที กว่าจะได้มาประกวดนางสาวไทย ส่วนใหญ่เป็นเวทีระดับจังหวัด เวทีเล็กเวทีน้อยลุงไม่ให้ไป แล้วก็จะได้ตำแหน่งกลับมาตลอด แต่ก็ยังงงตัวเองนะ ไม่เคยคิดเลยว่าจะมาสายนางงาม ไม่มีความเป็นนางงามอยู่ในหัว แม่ซื้อเครื่องสำอางมาให้ยังแต่งหน้าไม่เป็นเลย มันรู้สึกว่าไม่ใช่ แล้วเราก็ไม่เคยคิดว่าเราจะต้องได้ที่หนึ่ง ลุงไม่เคยสอนไม่เคยบอกว่าเธอมาอยู่กับฉันแล้วเธอจะได้ตำแหน่งนางสาวไทย ลุงสอนว่าให้ทำให้เต็มที่ตั้งแต่ก้าวแรกที่ออกจากบ้าน หรือลงจากรถ จะต้องสมาร์ทมีบุคลิก มีวินัย เธอต้องออกกำลังกาย แล้วเด็กก็คือเด็ก บางอย่างไม่ต้องไปทำให้มันสาวเกินวัย

★ สู่บทบาทการเป็นนางเอกละครโทรทัศน์

พอได้รับตำแหน่งนางสาวไทยก็ได้เล่นเป็นนางเอกทางช่อง 7 เรื่อง “อำนาจ” แต่ยอมรับว่าไม่ค่อยประสบความสำเร็จเท่าที่ควรค่ะอาจจะด้วยว่าเราทำหลายอย่างพร้อมกัน เรียนหนังสือ เป็นนางสาวไทย ถ่ายละคร เราไม่มีพื้นฐานเลย ได้ตำแหน่งตอนอายุ 19 เรียนมหา’ลัยกำลังจะขึ้นปี 2 แต่เราก็ไม่ดร็อปเรื่องเรียน ก็ดันทุรังเรียนไปด้วยถ่ายละครไปด้วย แต่มันเป็นเรื่องแรกที่ต้องทั้งขี่ม้า เลิฟซีนก็ไม่ได้ฉากร้องไห้เราก็ยังต้องไปนั่งฟังเพลงเศร้าเลย ฟังเพลงบิวท์ตัวเองว่าต้องเศร้าๆ เข้าใจว่าฉากนี้เราร้องไห้ เราก็ต้องร้องไห้ โดยที่ไม่รู้ว่าเทคนิคการแสดงจริงๆ เป็นยังไง พูดบทไปก็เหมือนอ่านหนังสือสอบ ย้อนนึกถึงตัวเองแล้วก็รู้สึกว่าเราทำให้หลายๆ คนเขาเสียเวลามาก เราเลยเข้าใจเด็กรุ่นใหม่ค่ะ (นึกท้อบ้างไหม?) มันผสมๆ กัน งงๆ กับชีวิตอยู่ เพราะว่าทำหลายอย่าง และเราก็ยังเด็ก เราก็ว่าเราเต็มที่นะ ที่เขาว่าทำไมนางเอกเล่นแข็งทื่ออย่างนี้ ทำไมถึงเล่นไม่ได้เลย ทั้งที่เป็นนางสาวไทย แล้วเรตติ้งก็ไม่ได้ดีมาก ตรงนั้นคือความรู้สึกแย่ที่เราได้พบเจอ ก็เสียใจทั้งที่เราเต็มที่แล้ว แต่มันเป็นการเต็มที่ที่ไม่ถูกจุดไงคะ เพราะว่าเราไม่รู้ แต่มันก็ไม่ผิด แต่เสียใจที่มันออกมาแบบนั้น และเราก็ต้องยอมรับว่าถ้าเราไม่ได้ไปต่อทางนั้นก็ไม่เป็นไร ก็ต้องเรียนไป แต่ปีถัดมาก็ได้เล่นเรื่องที่ 2 ของหม่อมน้อย เรื่อง “เริงมายา” โชคดีที่เจอหม่อมน้อยเลยทำให้เราเข้าใจฐานการแสดงมากขึ้น รู้ว่าการแสดงคืออะไร รู้จักฟังมากขึ้น

★ มาสายดราม่า

มักจะเป็นแนวชีวิต ดราม่าค่ะ ซึ่งละครแต่ละเรื่องที่เล่นฝนก็ประทับใจแตกต่างกันไปนะคะ ที่ประทับใจที่สุดไม่มีค่ะ แต่ถ้าถามว่ารักตัวละครไหน อันนี้มีค่ะ อย่างเรื่อง “ตะวันฉายในม่านเมฆ” ฝนยังเขียนในไอจีเลยค่ะ คือเป็นตัวละครที่เรารู้สึกอิจฉาชีวิตเขามาก เป็นผู้หญิงที่มีความสุขในชีวิต ครอบครัวน่ารัก หรือแม้กระทั่งตัวละครในเรื่อง “เพลิงทระนง” เป็นตัวละครที่ยิ่งเล่นยิ่งรัก ในเรื่อง “สามี” พี่นก-จริยา ก็กล้าที่จะให้เราเล่น มีหลายๆ ตัวที่เล่นแล้วอยู่ในใจเรา แม้ว่าเขาจะมีความคิดบางมุมที่เราเล่นไปแล้วไม่ได้รู้ว่าเราจะคิดไปยังไง แต่เราไปตามตัวละคร มันมีบางมุมที่พอเราไปเป็นตัวเขาแล้ว เราเผลอเจ็บปวดไปกับเขาด้วย ฝนมองว่าบทแต่ละบทมันมีความยากในตัวของมัน เราจะขยี้ยังไง คือยิ่งเรารู้จักและแทบจะหายใจเป็นคนเดียวกัน เวลาที่ฟังคำพูดคนหนึ่งพูดมาแล้วกระทบแล้วเจ็บ ฝนอยากได้ความรู้สึกแบบนี้อยู่กับฝนทุกๆ เรื่อง เพราะความรู้สึกนี้มันสำคัญมาก กับการเป็นนักแสดง เมื่อไหร่ก็ตามที่เราทำงานแล้วเรารู้สึกว่าเราเหมือนไม่ได้เล่นละครอยู่ นั่นคือสิ่งที่ฝนแฮปปี้มาก

★ ลบคำสบประมาท

พยายามบอกตัวเองว่าเรามาจากสายนางงามนะ เราไม่มีพื้นฐานทางการแสดงเลย นั่นคือจุดเริ่มต้นนะที่จะทำให้คนรู้ว่านางงามคนนี้เล่นละครได้ นั่นคือจุดแรก แล้วจะทำยังไงที่เล่นละครแล้วให้คนเชื่อว่าเราเล่นละครได้ เป็นนักแสดงคนหนึ่งได้ แต่ตอนนี้สิ่งที่บอกตัวเองก็คือทำยังไงก็ได้ให้เรารู้สึกว่าเราเป็นคนคนเดียวกับตัวละคร เรารู้สึกร่วมไปกับตัวละคร เจ็บปวดในใจไปกับเขานี่คือสิ่งที่เราควรจะมีในสายอาชีพของเราค่ะถ้าเราไม่ศรัทธาไม่เคารพในบทตัวละครนั้นๆ มันก็ยากแล้วล่ะที่คุณจะไปเป็นเขาได้ สำหรับฝนนะ

★ ความฝันในวัยเยาว์

ไม่มีเลยค่ะแค่คิดว่าอยากรับราชการ อยากประกอบอาชีพที่เป็นข้าราชการ อาจจะเป็นทหารมั้งคะ เพราะว่าตอนเด็กขโมยขึ้นบ้าน แล้วทหารเป็นอาชีพหนึ่งที่จะทำให้ทุกคนเห็นว่าเราเป็นผู้หญิงแข็งแรง สามารถปกป้องคนในครอบครัว เพราะว่าพ่อไม่อยู่ แล้วมีคนมาทำร้ายแม่เรามันฝังใจ เป็นภาพติดตาฝนมาตลอด คือเขาเอาปืนตีหัวแม่ แล้วแม่ให้เราเข้าไปอยู่ในห้องนอน เราก็มองผ่านหน้าต่างบานเกล็ดกับน้องชายยืนกอดกันอยู่ เราก็เห็นผู้ชายล็อกคอแม่แล้วเขาก็ตีเป็นภาพที่เรารู้สึกว่าเพราะเราเป็นผู้หญิงใช่ไหม เห็นว่าเราอยู่กันแค่แม่ลูกเลยรังแกเรา ก็เลยบอกกับตัวเองว่าอะไรก็แล้วแต่ ถ้าฉันจะเข้มแข็งแล้วปกป้องคนในครอบครัวได้ ฉันจะทำ นั่นคือสิ่งลึกๆในตัวเอง เลยทำให้ไปสมัครเรียน ร.ด. ถ้าไม่ได้มาทางนี้คงจะไปสายทหารไปแล้ว กะว่าจะเรียนให้ครบ 5 ปี แต่ว่าเรียนได้ปีเดียวเองก็มาเป็นนางงามซะก่อน

★ แง้มหัวใจสีชมพู

ราบเรียบดีค่ะ (หัวเราะ) ยังไม่มีข่าวดี และไม่รู้ว่าเมื่อไหร่นะ ของพวกนี้พูดกันลำบาก เราให้พื้นที่ซึ่งกันและกัน คบกันแบบโตแล้ว พี่เขาก็โตกว่าเราด้วย ฝนไม่ชินกับการออกสื่อเรื่องความรัก แต่เราก็ใช้ชีวิตปกตินะ เพียงแต่เราไม่ชินกับการที่จะบอกไปไหนมาไหนด้วยกัน พ่อแม่ไปมาหาสู่กันผู้ใหญ่รับรู้ และเพื่อนๆ ก็รับรู้ ฝนก็ตอบไม่ถูกว่าทำไมถึงยังไม่แต่ง หรือว่าเราเป็นเจ้าสาวกลัวฝน ชีวิตมันก็เริ่มต้นจากการที่เราไม่ได้คาดหวังอะไรเลยมาตั้งแต่แรก พอไม่ได้คาดหวังแล้วมันอาจจะดีก็ได้ คบกันมาสิบกว่าปีแล้วค่ะ เราก็ยังไม่ได้อยู่ด้วยกันนะ ไปมาหาสู่กัน ถ้าพูดถึงในความของคนที่แต่งงานมันก็ต้องนับหนึ่ง แต่ความที่เป็นแฟนแล้วคบกันมันก็นาน ยังนึกภาพของตัวเองไม่ออกว่าถ้าเราต้องอยู่ด้วยกันแล้วจะเป็นยังไง ตอนนั้นฝนมีเป้าหมายที่ว่าเราโฟกัสที่ครอบครัว ห่วงน้องต้องให้น้องเรียนจบมหาวิทยาลัย ฝนขอจัดทุกอย่างในบ้านให้ลงตัวก่อน ถ้าวันนึงฝนแต่งงานไป ฝนอาจจะดูแลพ่อแม่กับน้องได้ไม่เต็มที่ อย่างน้อยตอนนี้เราได้ทำเต็มที่มันเป็นเรื่องของการเคลียร์ใจของตัวเองด้วย บางคนอาจจะมองว่าทำไมแต่งงานไปแล้วก็ยังดูแลแม่ได้ ในความเป็นจริงมันไม่ใช่ ฝนพยายามจะทำหน้าที่ของลูกอะไรที่แต่ก่อนตอนเด็กๆ เราไม่เคยได้เราไม่เคยมีก็พยายามเติมให้แม่ พาท่านไปทานข้าวไปเที่ยวไหว้พระบ้าง แต่ส่วนมากคุณพ่อจะอยู่ที่นครนายกค่ะ (คุณพ่อคุณแม่รบเร้าให้แต่งงานไหม?) แม่เลิกถามแล้วค่ะ จริงๆ คือแม่ก็แล้วแต่ฝน เพราะเขาก็รู้ว่าเราเป็นคนที่เหมือนเป็นหัวหน้าครอบครัว

★ ผู้จัดการส่วนตัว ที่เป็นมากกว่าผู้จัดการกับศิลปิน

รู้จักกันมานานพอๆ กับแฟนเลยค่ะ(คุณวรรณแอบแซวว่าหุ่นเดียวกันด้วย) รู้จักกันจากการไปงานค่ะ แล้ววรรณเขาก็ดูแลอีกคนหนึ่งอยู่จังหวะนั้นเราก็คุยกันถูกคอ ก็เลยให้วรรณมาดูคิวให้ กลายเป็นจุดเริ่มต้น วรรณรู้ใจฝนเกือบทุกอย่างเก็บรายละเอียดหมด แต่ฝนเป็นคนลืมๆ โก๊ะๆ วรรณเขาก็จะคอยเตือน เขาทำมากกว่าการเป็นผู้จัดการดูแล เขาเป็นมากกว่านั้น เขาเข้าใจความรู้สึก อย่างเช่นวันนี้มีฉากที่เราจะต้องซีเรียส วรรณเขาก็จะรู้แล้วจะไม่พูดเรื่องที่ทำให้เราต้องกังวล เราสามารถปรึกษาในส่วนของการแสดงได้ เพราะว่าวรรณเรียนการแสดงมา บทไหนฉากไหนที่เราเล่นไม่ดียังไม่ถึงเพื่อนก็จะบอก วรรณจะพูดในสิ่งที่ตรงและจริงไม่เข้าข้างเพื่อน เพราะฝนไม่ต้องการคำอวย เราต้องการให้เขาพูดให้เราเห็นภาพในการทำงาน อ่านบทตีความไปด้วยกัน เพราะว่าบางทีเราไม่ได้เข้าใจลึกซึ้งทางด้านการแสดง ทักษะทางการแสดงเราไม่รู้หรอกเพราะเราไม่ได้เรียนมา วรรณจะบอกว่าอย่าเล่นอะไรที่มันเป็นโอเวอร์แอ๊กจะดึงกลับมาให้จริงให้มากที่สุด รวมทั้งเรื่องชีวิตส่วนตัวเพื่อนก็จะรู้ว่าเราเป็นคนแบบไหนนิสัยยังไง

★ บุคคลที่ไม่เคยลืม

ถ้าจะให้ขอบคุณจริงๆ คนแรกเลยก็คือคุณจำเนียร ทองศรี ที่มองเห็นว่าเด็กต่างจังหวัดคนนึง (น้ำตาคลอเสียงสั่นเครือ) คือเราไม่คิดนะ แต่คุณจำเนียรก็น่ารักจริงๆ ทุกวันนี้ก็ยังไป-มาหาสู่ท่านอยู่ ฝนไม่เคยลืมเลยค่ะ จากเด็กกะโปโลทำไมท่านถึงมองเห็น ขับรถมารับที่บ้านพาไปหาลุงสมชาย คือหวังดีกับเรามากโดยไม่ได้หวังสิ่งตอบแทนเลย ท่านที่สองคือลุงสมชาย นิลวรรณท่านรู้ว่าเราเป็นเด็กที่ขาดอะไร และควรจะให้อะไร เตือนอะไร เป็นคุณลุงที่ไม่ได้เติมฝันให้เด็กซะจนเกินไป ลุงพูดตรงๆ และสอน หาข้อบกพร่องที่เราจะต้องพัฒนา ท่านเป็นเหมือนพ่อคนหนึ่งที่สอนวินัยหลายๆ อย่างที่ได้มาก็มาจากลุง รวมไปถึงคุณชัยวัฒน์ ดำรงกิจกุลชัย ซึ่งก็เป็นอีกท่านหนึ่งที่ให้โอกาส

★ แง่คิดดีๆ

เราควรจะมองทุกอย่างให้มันจริงที่สุด ฝันได้แต่ก็ต้องทำให้ได้ คือถ้าเราฝันว่าเราอยากจะมีอะไรในช่วงวัยของเรา เราก็ควรจะทำอย่างจริงจัง ซึ่งก็คือเรื่องของหน้าที่นั่นแหละ มีหน้าที่เรียนก็เรียน ทำหน้าที่ของลูกที่ดี ฝนมองว่าเราเหนื่อยมาจากไหนก็ตาม บ้านคือที่ที่ให้กำลังใจเราดีที่สุด คนสายเลือดเดียวกันเขาไม่ทิ้งกันหรอก เวลาที่เราขาดเหลืออะไรพี่น้องก็จะช่วยเหลือกัน เราต้องจูงกันไปประคับประคองกันไป แล้วสิ่งดีๆ ก็จะตามมาค่ะ

และนี่ก็คือ “น้ำฝน-สรวงสุดาลาวัณย์ประเสริฐ” อดีตนางงามที่ไม่ได้สวยเพียงแค่ภายนอก แต่มุมมองชีวิตทัศนคติและฝีมือการแสดงของเธอก็สวยงามไม่แพ้กัน

กุหลาบสีเงิน

Star Retro : ความสำเร็จของเด็กเสเพล ‘ตี๋’จีระศักดิ์ ปิ่นสุวรรณ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/entertain/202193

วันอาทิตย์ ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559, 06.00 น.
กว่าจะได้ยืนอยู่ในจุดที่คนทั้งประเทศยอมรับและยกย่องอย่างเช่นปัจจุบัน “ตี๋”จีระศักดิ์ ปิ่นสุวรรณ เคยแทบมองหาอนาคตไม่เห็น!? แต่ด้วยเสียงเพลงในยุคของ Elvis Presley กำลังครองโลก ชีวิตตี๋ข้ามจากจุดบอด ขึ้นมายืนในชื่อ “เอลวิส เมืองไทย” อีกทั้งมีผลงานหนังและละครรวมแล้วกว่า 400 เรื่อง!! และในวัย 72 ปี ตี๋ยังเดินหน้าสร้างสุขทำสิ่งที่เขารักและศรัทธา!!

b ย้อนวันวานยุคก่อนมีชื่อเสียง

เมื่อก่อนผมเรียกได้ว่าเป็นจิ๊กโก๋ ตีรันฟันแทงเอาทุกรูปแบบ ใช้ชีวิตทุกรูปแบบที่วัยรุ่นอยากทดลอง เรียนบ้าง ไม่เรียนบ้าง
เกเรทุกอย่าง ญาติๆ พ่อ แม่ พี่ น้อง เอือมระอา อยู่กับใครก็อยู่ไม่นาน บางทีก็ไม่กลับบ้านไปนอนวัดก็มี บางทีก็คิดนะ ลองมองอนาคตตัวเอง ว่าเอ๊ะ..แล้วเราจะไปยังไงต่อดี เคยมีช่วงคิดว่าถ้าไม่โตก็ติดคุกแหละ เพราะไม่รู้จริงๆ ว่าเราจะไปทางไหนดี แล้วสุดท้ายก็เหมือนดวงชะตาชีวิตกำหนดมา ตอนนั้นได้ยินเพลงของเอลวิสแล้วชอบมาก เลยฝึกฝนเอง มุ่งมาทางนี้เลย ชีวิตก็เปลี่ยนไป จะบอกว่าเอลวิสเป็นพ่อเป็นอาจารย์ที่มีพระคุณ เอางี้ดีกว่ารองจากพ่อ-แม่ญาติพี่น้อง ผู้ที่เปลี่ยนชีวิตให้เราก็คือ เอลวิส เป็นไอดอลเป็นรูปแบบที่ผมยึดไว้

b เสน่ห์ของ เอลวิส ที่ประทับใจ

เขาเป็นคนที่ครบเครื่อง ครบหมดทุกอย่าง คิดดูเขาตายไปแล้วตอนนี้ก็น่าจะประมาณ 30 ปีได้แล้วนะ แต่ก็เหมือนเขายังไม่ตายจากโลกนี้ คืออิทธิพลของเอลวิสนี่มีทั่วโลกจริงๆ บางคนอาจจะไม่รู้หรือรุ่นใหม่ๆ ก็อาจจะไม่เคยฟังเพลงของเอลวิส พอมาเจอเราแบบนี้ ก็จะสงสัยเอ๊ะเอลวิสเขาแต่งตัวแบบนี้เหรอก็ไปค้นคว้าเปิดดูในอินเตอร์เนต เขาก็จะเห็นว่าเออเป็นแบบนี้นี่เอง ยอมรับ นี่คือคิง ออฟ ร็อกแอนด์โรล จริงๆ

b สิ่งที่ทำให้หลงใหล เอลวิส

ด้วยความที่เขาดังเข้ามาในเมืองไทยด้วย ผมอายุประมาณ 11-12 ได้ฟังเพลงก็ชอบ ตอนนั้นยังไม่เห็นตัวเขานะ แค่ฟังเพลงเฉยๆ แต่พอไปเห็นตัวเขาในภาพยนตร์ก็เลยแบบ โอ้โห..คนนี้เหรอที่เราชอบ หล่อแบบนี้นี่เอง ไว้จอนด้วย ก็เลยชอบและเลียนแบบเขา
โดยเริ่มจากหัดร้องเพลง สมัยก่อนบ้านอยู่ลำปางก็อยู่ใกล้โรงหนัง ก่อนเริ่มฉายหนัง เขาก็จะเปิดเพลงเพื่อเรียกให้คนดูเข้าไปซื้อตั๋วดูหนัง เรียกว่าเพลง โหมโรง ผมก็ได้ฟังอยู่เรื่อยๆ ฟังทุกวันยิ่งชอบเข้าไปใหญ่ และยิ่งพอได้เห็นตัวจริงเขาในหนังที่ทั้งร้องทั้งเต้น แค่นั้นแหละ เลยเกิดการเลียนแบบร้องตามเต้นตาม เจอกระจกที่ไหนก็ร้อง เต้น ฝึกฝนเอง เจอไม้กวาดก็ทำเป็นไมค์โยก เลียนแบบเขาทุกอย่าง เข้าสายเลือดไปเลย ฝึกจนโอเคละ ไปเจอวงดนตรีเพื่อนๆ ก็ดันให้ขึ้นไปร้องเพลง กลายเป็นว่าเราร้องเพลงได้เข้าตากรรมการ หัวหน้าในวงเขาก็สนใจ ชวนให้มาเป็นนักร้องประจำวง นี่คือก้าวแรกที่ได้เข้ามาในวงการบันเทิง เริ่มจากการร้องเพลงสไตล์เอลวิส ทำอยู่สักประมาณ 4-5 ปี ได้ออกทีวี.ด้วย มีคนเห็นเราแล้วมาตามไปแสดงภาพยนตร์เรื่องแรก “พลับพลึงแดง”

พอจบเรื่องแรกก็มีคนติดต่อให้ไปเป็นพระเอกอีกเรื่องคือ “ขวัญใจวัยรุ่น” แต่ว่ามีเหตุบังเอิญไม่ได้ฉายเพราะว่าเมื่อก่อนพอถ่ายเสร็จต้องเอาฟิล์มไปล้างที่ประเทศฮ่องกงทุกเรื่อง ปรากฏว่าคนที่เอาฟิล์มไปไม่กลับมา ไปเที่ยวอยู่ฮ่องกงนานป่านนี้ยังไม่มาเลย (หัวเราะ) ทุกอย่างเตรียมพร้อมไว้หมดแล้วนะ กลับมาก็พร้อมจะเข้าฉายเลยสรุปคนนั้นที่ไปก็ไม่กลับมา ลืมเมืองไทยแล้วมั้ง หลังจากนั้นก็มีเรื่องที่สองตามมา “ดอกฟ้าเวียงพิง” เรื่องนี้เป็นพระเอกและได้ฉายครับ พอเรื่องที่สองคือเรื่อง “ดวง” เล่นเป็นพระรอง สงสัยความเป็นพระเอกคงไม่รุ่งสำหรับเรา ก็เลยได้เป็นพระรอง (หัวเราะ) เล่นหนังมาเรื่อยๆ ทุกสไตล์เล่นมาหมด เป็นทั้งฝ่ายพระเอก ตรงข้ามพระเอก ดีมั่งร้ายมั่ง ครบครับ แล้วถึงมาที่งานละคร รวมแล้วก็น่าจะประมาณเกือบๆ 400 เรื่องได้ ละคร ประมาณ 300 กว่าเรื่องหนังใหญ่อีกประมาณ100 กว่าเรื่อง

b กว่า 40 ปี ในวงการบันเทิง

สมัยเป็นพระเอกทีวี.ยุครุ่งเรือง ตอนนั้นไปไหนก็มีคนเอาอกเอาใจ วันหนึ่งวิ่งงานสามกองก็มี แล้วยังต้องสลับกับหนังใหญ่ด้วย ซึ่งเราก็เล่นเป็นตัวรอง ตัวสองตัวสามก็ว่าไป แต่พระเอกทีวี. เป็นพระเอกอยู่หลายสิบเรื่อง เสร็จแล้วทุกอย่างก็ไปตามคลื่น พออายุมากขึ้นคนใหม่ก็มา เราก็เล่นตัวประกบ ตัวเสริม ตัวรอง เล่นไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงวันนี้ จริงๆ บทส่วนใหญ่ก็จะเล่นเป็นเสี่ย ทั้งดีและไม่ดี แต่ส่วนมากจะเล่นเป็นตัวเลวเสียมากกว่า เรียกว่าเลวทุกรูปแบบ (หัวเราะ) ผ่านมาหมดแล้ว จนกระทั่งมาเรื่อง “ที่หนี้มีรัก” นี่แหละแปลกหน่อย กลายเป็นเสี่ยเกาหลี ชื่อ ปาร์คจูนโฮนักธุรกิจเกาหลี ลูกชายหนีมาเมืองไทยแล้วมาติดสาวไทยไม่ยอมกลับบ้าน ธุรกิจก็ต้องมีคนสืบทอด เลยมาตามเขากลับ เพราะเราก็มีลูกชายอยู่คนเดียว แล้วปาร์คจูนโฮไม่ได้ศึกษามาก่อนว่าเมืองไทยเป็นเมืองร้อนก็จะแต่งกายมาแบบเต็มที่เลย เสื้อกั๊กเสื้อหนาวหนาๆ ก็จะมีหนักใจเรื่องชุดนิดหน่อย(หัวเราะ) เพราะบ้านเราร้อน แล้วก็ถ่ายเอ้าท์ดอร์เยอะ เสื้อผ้าจัดเต็มเหมือนอยู่เกาหลีจริงๆ และอีกเรื่องที่หนักใจที่ผ่านๆ มาในการแสดงผมส่วนมากจะเล่นเป็นคนจีน เสี่ย พูดสำเนียงไทยปนจีนซะชิน แต่พอมาเรื่องนี้ต้องมาพูดไทยสำเนียงเกาหลีซึ่งในชีวิตที่ผ่านมาไม่เคยเจอเลย ก็พยายามจะเพี้ยนไปทางจีนอยู่เรื่อยๆ จนสุดท้ายวันแรกที่มาเข้าฉากก็เลยคุยกับผู้กำกับบอกว่า พูดไทยเลยดีกว่า แต่ลูกชายในเรื่องเขาพูดเหมือนน่ะ สำเนียงเขาได้เลย เราจะไปเลียนแบบเขาก็ไม่ได้ จะไปทางจีนทุกทีเลย ก็เลยพูดภาษาไทยเราธรรมดาสบายใจขึ้น นอกนั้นก็ไม่มีอะไรเพราะเราผ่านมาหมดแล้ว

b สิ่งที่ได้จากการเป็นนักแสดง

ให้ทุกอย่างครับ ความซื่อสัตย์ต่อหน้าที่การงาน แล้วก็ประสบการณ์ชีวิต เหมือนเราได้เป็นทุกอย่างผ่านตัวละครที่เล่น แต่งเป็นเจ้านั่งบัลลังก์มีคนมาหมอบกราบไหว้ก็ได้เป็นหมด เล่นเป็นตัวโกง ตัวร้าย เป็นหมดทุกอย่าง ดีก็มีบ้าง แต่ผมเกิดจากบทร้าย ทุกบทบาทถือเป็นกำไรชีวิตที่ทำให้เราอยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้

b แม้อายุจะเพิ่มมากขึ้น แต่ไม่เคยหยุดพัก หรือเลิกรับงาน

ผมชินแล้วมั้งครับ เพราะว่าเราก็ผจญภัยมาตั้งแต่สมัยก่อนโน้นเยอะ แล้วชีวิตก็ไม่ได้ไปทำอะไร เล่นละคร ทำงานในวงการบันเทิงมาแต่ไหนแต่ไร เคยจะไปทำหมู่บ้าน ก็ไม่สำเร็จ สงสัยชะตาชีวิตคงจะมาทางการแสดง แล้วก็ร้องเพลงมั้ง จนตอนนี้ 72 ปี
แล้วนะ เราก็มีงานมาเรื่อยๆ ซึ่งอาจจะเป็นเพราะว่าการกระทำตัวของเราด้วยเราตรงเวลา ไม่จุกจิกจู้จี้อะไรกับใคร ทุกอย่าง
ก็โอเคสมูท

ผมจะทำจนกว่าจะหมดแรงครับผลงานเพลงสไตล์เอลวิสก็ร้องไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหมดแรงเช่นเดียวกัน แต่เพลงนี่ผู้จัดจ้างเราไปที นี่หนักนะ เพราะต้องโชว์อย่างน้อยๆ ไม่ต่ำกว่าครึ่งชั่วโมงแน่นอน แล้วเพลงสไตล์เอลวิสเพลงช้าก็จะมีฮิตไม่กี่เพลงที่คนรู้จัก เราจะไปร้องเพลงช้าหรือกลางๆ ก็ไม่ได้ ไม่สนุก เพราะเอลวิสคือฉายา คิง ออฟ ร็อกแอนด์โรล ต้องร้องเต้น ต้องโยกไมค์ หลายอย่าง สังขารเราก็ไปเยอะตอนนี้ก็ใกล้แล้วแหละคิดตลอดว่า เอ๊ะ..น่าจะพอแล้วนะ ป่านนี้แล้ว ผจญภัยกับชีวิตการแสดงมาก็เยอะแล้ว 40 กว่าปีแล้วนะ (ยิ้ม)

b โชว์เอลวิสสไตล์ตี๋

ถือว่าตอนนี้ผมเป็นอันดับหนึ่งของวงการ ในเมืองไทยไปไหนคนก็ยกย่องว่าเราเป็นอันดับหนึ่ง ซึ่งจริงๆ แล้วเราก็ไม่ได้ฉวยโอกาสหรืออะไรเลยนะครับ เราศึกษาเอลวิสมาตั้งแต่เด็ก คือในเมืองไทยเขายกให้ผมเป็นบุคคลที่เลียนแบบเอลวิสได้เหมือน
ที่สุด ก็มีความภูมิใจนะ ผมภูมิใจตรงที่ว่าสื่อเป็นคนมอบคำนี้ให้เราว่าเป็นเอลวิสเมืองไทย เราไม่ได้ยกตัวเอง

b ชีวิตครอบครัว

ลูกสาวคนโตได้ทำงานทำการที่ดี ลูกชายก็ทำงานแล้วเหมือนกัน ทุกอย่างพ้นอกไปแล้ว สบายใจครับ เขาเอาตัวรอดเขาได้
หมดแล้ว (เขาอยากให้คุณพ่อพักงานตรงนี้ไหม?) ก็ไม่ได้ว่าอะไรนะ เพราะงานตรงนี้ก็เป็นความสุขของเรา เรามีความสุขที่ได้ทำ แต่บางทีถ้างานมากขึ้นกับคนอายุขนาดนี้แล้วก็เหนื่อยเหมือนกันนะ จริงๆ เล่นละครก็ยิ่งเหนื่อยนะโดยเฉพาะการเดินทางใน
โลเกชั่นต่างจังหวัดเราต้องเตรียมตัวและออกแต่เช้า เราขับรถเองด้วย

b ความสุขในบั้นปลาย

แฮปปี้มากครับ ช่วงนี้ถ้าว่างๆ ใครชวนไปเที่ยวเมืองนอกหรือไปที่ไหนๆ ไปหมดเท่าที่เราจะไปได้ เพราะผมถือว่าเราเหนื่อยมาเยอะแล้ว และอีกอย่างหนึ่งตอนนี้ขาเรายังเดินได้และมีแรงที่จะเดินไหวอยู่ก็ไป เพราะตอนนี้ 72 แล้วถือว่าเป็นกำไรชีวิตมากๆ นะ
เขาให้เรามา ให้เราอยู่ได้ขนาดนี้ มันได้กำไรแล้ว

b การดูแลเอาใจใส่สุขภาพ

ปกติของคนอายุเยอะครับ ความดัน น้ำตาลก็ขึ้นมาหน่อยๆ ไขมัน ตามสไตล์ของคนมีอายุอย่างเรานะที่ก็ยังไปทุกรูปแบบเมื่อ
ก่อนทำยังไงก็ยังทำอย่างงั้นอยู่ เพื่อนก็บอกนะว่าเมื่อไหร่จะเลิกเหล้า ส่วนบุหรี่เลิกไปนานแล้วประมาณ 20 กว่าปี ไม่มีใครชม แต่ขอชมตัวเองแล้วกันนะว่าเออเรามีความหนักแน่นเหมือนกันที่เลิกได้ เพราะรู้สึกก็คิดได้เองพอถึงวาระหนึ่งที่เหมือนจะพบสัจธรรม ต้องเลิกแล้วแหละ ซึ่งก็เลิกทีเดียวนะ แล้วขาดเลย เลิกยากมาก คนติดบุหรี่จะรู้ว่ายากแค่ไหน บางคนเลิกไปสิบรอบยังเลิกไม่ได้กลับมาอีกก็มีเยอะแยะ แต่ผมก็ขอเตือนนักดื่มไม่ว่าจะรุ่นใหม่รุ่นเก่าต้องมีกฎเกณฑ์ให้ตัวเองบ้างว่าอย่าไปเห็นแก่กินหรือการสังสรรค์ ไม่ใช่ว่าเมาแล้วตื่นมามีถอนอีกต่อเนื่องยาว ต้องมีวินัยในตัวเองกินได้ไม่ต้องเมามาย

b คติในการใช้ชีวิต

เรารับหน้าที่อะไรเป็นข้าราชการพ่อค้า เป็นประชาชนทุกอาชีพ เราต้องรับผิดชอบค้าขายก็ต้องขายให้ถูกต้องอย่าเอาของไม่ดีหรือของเสียมาขาย ถ้าเป็นข้าราชการก็ต้องซื่อสัตย์ต่องานและประชาชน

เชื่อเถอะค่ะไม่ว่าคุณจะรับหน้าที่อะไร ทำอาชีพไหน ถ้ามีหัวใจที่สะอาดและบริสุทธิ์ดำรงชีพด้วยหลักศีลธรรมจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพ ความดีก็จะเป็นเกาะป้องกันนำความเจริญและความสุขมาสู่ชีวิตอย่างแน่นอน

กระแตน้อย

star retro : ค้นโลกส่วนตัวของ ‘แบงค์’ กฤษฎี พวงประยงค์ กับภาวะที่เคยถึงขั้น..ว่างจนเหนื่อย!?

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/entertain/201089

วันอาทิตย์ ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559, 06.00 น.
tags : star retro
เป็นนักแสดงที่ไม่ค่อยเปิดเผยเรื่องราวส่วนตัวต่อสาธารณชนสักเท่าไหร่ สำหรับหนุ่ม “แบงค์” กฤษฎี พวงประยงค์ เพราะนอกจากจะเป็นคนขี้อายแล้ว เขายังชอบที่จะใช้ชีวิตอยู่แบบเรียบง่าย ขอใช้ความสามารถกับงานแสดงเป็นหลัก ฉะนั้นเราจึงมักจะเห็นเขาผ่านบทบาทในละครเป็นส่วนใหญ่ วันนี้สตาร์เรทโทรจึงขอโอกาสสัมผัสตัวตนหนุ่มแบงค์กันใกล้ๆ กับบทสนทนาที่ครบเครื่องทุกเรื่องราวทั้งในและนอกวงการของ แบงค์-กฤษฎี

l บ้านเกิดในวงการบันเทิง

เป็นเด็กในบ้านเป่าจินจงครับ เกิดจากที่นี่ และโดนแซวว่าเป็นเด็กปั้นในตำนาน เพราะว่าเป็นเด็กที่เจอบนรถเมล์ ตอนนั้นผมอายุ 19 ปี คือหลายคนเขาอาจจะมาจากโมเดลลิ่งและหลายๆ ทาง แต่ผมเจอบนรถเมล์ ตอนนั้นมีผู้ช่วยผู้กำกับคนหนึ่งชื่อพี่ต่าย ผู้ช่วยอาตู่ (นพพลโกมารชุน) เขานั่งรถเมล์กลับบ้าน ผมก็นั่งรถเมล์กลับบ้านคันเดียวกัน เขายื่นโน้ตให้ผมแล้วบอกโทร.กลับไปตามเบอร์นี้นะ ยื่นให้เสร็จก็เดินลงรถไป ผมหยิบโน้ตมาก็งงๆ นะในโน้ตเขียนว่า “ชื่อต่ายนะ ทำงานที่เป่าจินจงของอาตู่-นพพล สนใจร่วมงานแสดงก็ติดต่อกลับมาที่เบอร์นี้นะ” แรกๆ ก็กลัวครับ เอ๊ะ..จะโดนหลอกหรือเปล่า ผมเดินสยามเป็นประจำไม่เคยมีใครมาทำแบบนี้ แต่พอนั่งรถเมล์กลับบ้าน ก็มีแบบนี้ด้วย ตัดสินใจโทร.กลับไปตามเบอร์ เขาให้เข้ามาถ่ายรูป กรอกประวัติ เก็บไว้ สักพักเขาก็เรียกให้มาแคสติ้งและได้เล่น “แม่อายสะอื้น” เป็นเรื่องแรกของชีวิตการแสดงครับ

l เปิดซิงงานแสดง

ตื่นเต้นมากครับ เป็นความรู้สึกของเด็กที่ยังไม่รู้เรื่องว่าการทำงานเป็นยังไง แค่คิดว่าจะมาหารายได้พิเศษในวัยเรียน พอมาทำจริงๆ ก็เกร็งและอาจจะออกมาไม่ได้ดีที่สุด แต่เรื่องนี้ผมได้อยู่ใกล้ชิดกับคุณยายจุ๊ (จุรี โอศิริ) คุณยายก็เหมือนเป็นคนที่สอนแอ๊กติ้งให้กับผม แล้วก็ได้พี่ๆ คนรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็น พี่วี (วีรภาพ สุภาพไพบูลย์) พี่ต้อม(พลวัฒน์ มนูประเสริฐ) ช่วยกันเทรนด์เด็กใหม่อย่างผม แต่ยอมรับเลยผมเกร็งมาก เพราะตัวผมจริงๆ เป็นคนขี้อายมากนะ ไม่ใช่คนที่กล้าแสดงออก ถ้าต้องออกไปแสดงอะไรหน้าห้อง ต้องไม่ใช่ผมแน่ๆ แล้วพอมาทำจริงๆก็ถูกสอนว่าเวลาแสดงให้ตัดโลกภายนอกออกเพื่อเป็นตัวละครนั้น โอเคความขี้อายก็ตัดไป นอกนั้นก็เหลือแต่ความเกร็ง ฉากแรกที่เล่นจำได้เลยว่า สั่นมาก เกร็งเหงื่อแตก หลังจากนั้นก็มีผลงานต่อมาเรื่อยๆ เช่น เพลงผ้าฟ้าล้อมดาวก็เล่นของอาตู่อีก แล้วอาตู่ก็คงคิดว่าผมน่าจะถึงจุดๆ หนึ่งแล้ว ก็เซ็นสัญญากับช่อง 7 ตอนนั้นเล่นละครกับช่อง 7 เรื่อยมา และส่วนใหญ่ที่เล่นละครก็จะได้เล่นละครกับค่ายอาตู่ แล้วก็มีค่ายอื่นๆ บ้างประปรายครับ

l เริ่มหลงรักงานแสดง

เริ่มรักตั้งแต่เล่นเรื่องที่สองแล้วครับ รู้สึกว่าเออ..เรามีความสุขนะ ก็ไม่ได้เข้าข้างตัวเองนะ แต่เรารู้สึกว่าเราก็แอบมีพรสวรรค์ทางนี้นะ ถึงแม้จะมีความขี้อาย แต่พอหลุดได้ก็โอเค ดูที่การทำงานเราจริงๆ ว่าเราก็มีพรสวรรค์ เราชอบที่จะอ่านบทตีโจทย์จากบท ทำให้เราซึมซับและรักในอาชีพนี้ไปเลย จริงๆ แล้วผมเรียนจบมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ ตอนแรกเป็นเด็กวิทยาศาสตร์ เพราะเรียนสายวิทย์มาเก่งทางคณิตศาสตร์ ก็เลยเลือกไปทางนั้นแต่พอเริ่มเข้ามาทำงานวงการบันเทิงก็เปลี่ยนสายครับ

l ตัวละครในความประทับใจ

ต้องบอกว่าอาตู่มอบโอกาสดีๆ ให้ผมเยอะแยะมากมายครับ เล่นละครมา 20 กว่าเรื่อง ของเป่าจินจงเกือบ 10 กว่าเรื่องแล้วครับ อย่างเรื่องแรกก็เป็นพระรองเลย เรื่องที่สอง “เพลงผ้าฟ้าล้อมดาว” ก็ได้รับบทที่เป็นคนงานที่มาจากทางกัมพูชา ที่ต้องพูดเขมรในขณะเดียวกันตอนที่ 1 พูดอย่างหนึ่ง และพอตอน 10 ก็ต้องพูดในแบบที่ชัดขึ้น เพราะว่าเราอยู่นานขึ้น โลเกชั่นถ่ายก็สวยมาก เป็นเรื่องที่ประทับใจ แล้วก็เคยเล่นเป็นพระเอกเรื่องหนึ่งเป็นละครตอนกลางวันเรื่อง “ถนนคนเดิน” ของอาตู่เหมือนกัน และอีกเรื่องที่ประทับใจคือ “เหนือทรายใต้ฟ้า” ผมเล่นเป็นนักวอลเลย์บอลต่างจังหวัดเข้ามากรุงเทพฯ เพื่อที่จะติดทีมชาติ แล้วก็พลิกผันโดนหลอกไปเสพยาติดยา ขาขาด ดราม่ามากๆ

นอกจากนี้ก็มีช่วงหนึ่งไปเป็นเจ้าพ่อเล่นเอ็มวี อย่างเพลงที่ดังและหลายคนน่าจะรู้จักก็เป็นเพลงของ เอิร์น เดอะสตาร์ เพลง “คำว่าจบพูดเบาๆ ก็เจ็บ” แล้วก็มีเพลงของ แมน มณีวรรณ คนต่างจังหวัดชอบและเป็นที่รู้จักจากการเล่นเอ็มวีเพลงนี้แหละครับ

l ผลงานอย่างอื่นนอกจากงานแสดง

มีครับ ช่วงที่หมดสัญญา ดร็อปๆ ไป ผมก็ไปเป็นพิธีกรช่องเคเบิล และมีช่วงไปออกอัลบั้มเพลงด้วย คือเป็นคนที่ไม่ได้ร้องเพลงเก่งนะครับ แต่มีพี่คนหนึ่งที่มีพระคุณเขาหางานโชว์ตัวให้เราประจำ แล้วเขาจะเปิดค่ายเพลง ในขณะที่เราก็ว่าง ก็เลยเข้าไปและได้ทำเป็นอัลบั้มรวม ผมเป็นหนึ่งในอัลบั้มนั้น ร้องเพลงชื่อเพลงแลกเบอร์แลกใจ ออกไปนานแล้วครับ เป็นเพลงหนึ่งในชีวิต อ้อ…แล้วก็มีอีกเพลงหนึ่งนะในชีวิตแต่ตอนนี้หาฟังไม่ได้แล้ว ร้องเพลงประกอบละครที่เป็นพระเอกเรื่อง “ถนนคนเดิน”ชื่อเพลง นายกะเพรา (หัวเราะ)

l ปฏิเสธโอกาสทองเพราะความติสท์

เมื่อก่อนผมยอมรับว่าตอนที่อาตู่ปั้นมา ก็มีโอกาสที่จะดังได้จากละครดังๆ หลายๆ เรื่อง แต่ผมตอนนั้นเป็นวัยรุ่นที่ไม่คิดอะไรมาก ติสท์นิดหนึ่ง มีผู้จัดการมาทาบทาม ผมไม่เอาใครเลย เพราะผมไม่ชอบโชว์ตัว ไม่ชอบร้องเพลง ไม่เอาอะไรสักอย่าง เล่นละครอย่างเดียว เราเข้าฉากในละครได้นะคนดูเป็นร้อยเราก็โอเค แต่ถ้าให้ไปออกรายการ ผมจะเกร็งและอายมาก มือสั่นเลยตัดสินใจไม่รับผู้จัดการ ซึ่งถ้าย้อนกลับไปก็ถือว่าเป็นการตัดสินใจที่ผิดมากๆ เลย คือด้วยตอนนั้น เราก็ไม่รู้ว่าหน้าที่ของผู้จัดการจะมาคอยช่วยเรามากน้อยแค่ไหน แต่พอวันนี้ถ้าเกิดเลือกได้ และถ้าจะให้ไปอยู่จุดนั้นก็คงไม่ได้แล้วล่ะ ก็เอาเป็นว่าตอนนี้ก็อยากที่จะเล่นละครให้อยู่ในระดับพอมีพอกินและพอใช้ครับ (จะบอกว่าตัวเองพลาดไปไหม?)ถ้าถามว่า ณ วินาทีนั้นคือมีความสุขของณ วินาทีนั้น แต่ถ้ามามองในวันนี้ ก็เหมือนกับว่าเราตัดสินใจพลาดไป อย่างน้อยถ้าเรามีวันนั้น เราอาจจะมีชื่อเสียง มีเงินเก็บ มีความมั่นคงที่มากกว่านี้ เพราะว่านอกจากละครแล้วถ้ามีผู้จัดการเข้ามาก็จะมีงานอีเว้นท์มีรายได้ที่มากกว่านี้ (แล้วตอนนี้มีผู้จัดการหรือยัง?) ไม่มีครับ คงไม่น่าจะมีแล้ว

l แพลนอนาคต

ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะมีงานแสดงไปตลอดชีวิตเลยครับ รักครับ ในขณะเดียวกันเราก็ต้องเรียนรู้สิ่งต่างๆ ในมุมของผู้ช่วย
ผู้กำกับด้วย อนาคตไม่แน่อาจจะผันตัวไปทำเบื้องหลัง ถามว่าอยากลองทำไหม ก็อยากนะ แต่ผมเป็นคนไม่มั่นใจและไม่ได้เรียนมาทางนี้เลย อาจจะค่อยๆ เรียนรู้กันไปเรื่อยๆ ก่อน ถ้ารู้สึกว่าใช่ ก็จะก้าวพัฒนาไป แต่ตอนนี้ยังความสามารถไม่พอที่จะก้าวไปตรงนั้น ขอเก็บเกี่ยวประสบการณ์ไปก่อนครับ

l ชีวิตมีขึ้นมีลง

ช่วงหมดสัญญากับช่อง 7 แล้ว ไม่มีงานเคยคิดว่าจะไปสมัครงานประจำ เพราะไม่มีงานเลย ทุกครั้งที่ออกไปร้องเพลง ก็ไม่มีความสุข ไม่แฮปปี้เลย คิดว่าจะหยุด พอแล้วล่ะงานในวงการบันเทิง คือจริงๆ ผมเป็นคนประหยัดมาก อยู่อย่างพอเพียง ถึงแม้จะไม่มีงานปีสองปีก็มีเงินเก็บใช้ แต่พอมาถึงจุดหนึ่งแล้วแบบเฮ้ย..นั่งๆ นอนๆ ใช้เงินเก็บทุกวันไม่ได้แล้วนะ ต้องหางานทำ จนกระทั่งอาตู่ให้โอกาสกลับมาร่วมงานเรื่องแรกของช่อง 3 เรื่อง “เพลิงฉิมพลี” เรื่องนี้แหละครับที่เป็นเรื่องที่ทำให้หลายๆ คนเริ่มกลับมาเห็นเรา แต่งานก็ยังคงเป็นดวงอยู่แหละ พอจบเรื่องนี้ไปก็ว่าง 8-9 เดือนเลยนะ แต่ตอนนี้ก็กลับมามี 4-5 เรื่อง มี “สะใภ้รสแซ่บ”, “ล่าดับตะวัน” ช่อง 8 “ที่หนี้มีรัก”, “บุญหล่นทับ” ช่อง 3 แล้วก็เพิ่งเปิดกล้องไป “นางฟ้าเปื้อนฝุ่น” ช่อง 7

l กำลังใจเวลาเผชิญปัญหา

สิ่งแรกเลยคือ มีครอบครัวที่ให้กำลังใจอย่างช่วงงานน้อยๆ ผมไม่ได้เป็นคนที่ออกค่าใช้จ่ายต่างๆ ให้กับครอบครัว เพราะมีครอบครัวที่คอยซับพอร์ตอยู่แล้ว เอาง่ายๆ ถ้าไม่มีตังค์ ก็ขอตังค์ที่บ้านได้ (หัวเราะ) แล้วก็จะมีคนรัก คนรอบข้าง ที่คอยให้กำลังใจ คือเราก็มีพื้นฐานครอบครัวที่ดี และมั่นใจในหลายๆ อย่างว่าถึงแม้จะไม่มีงานหรือมีงานน้อยเราก็ยังรู้ว่าเรามีครอบครัว มีคนรัก มีการศึกษาที่ดี มีทักษะวาทศิลป์ที่ยังคิดว่าเราก็มีโอกาสนะ ไม่ใช่เอาความท้อมาจมและเครียดไปกับมัน

l หัวใจไม่ว่างแล้ว

แฟนผมเป็นคนนอกวงการครับ คบกันมาเกือบ 5 ปีแล้ว เรื่องแต่งงานก็คงเป็นเรื่องของอนาคต แต่ถือว่าถึงจุดที่ลงตัวแล้วล่ะ อาจจะอีกสักปีหรือสองปีก็คงจะได้วางแผนแต่งงาน (ตกหลุมรักผู้หญิงคนนี้ตรงไหน) เขาเป็น MC พอดีไปเจอเขาในงานอีเว้นท์ก็เลยจีบเขาครับ (หัวเราะ) ผมเป็นคนชอบผู้หญิงที่เป็นแม่บ้าน คือชอบผู้หญิงที่แบบ จริงๆ ก็หายากนะ ถ้าจะแบบไม่เที่ยว ไม่อะไรเลยผมจะเป็นคนที่ชอบผู้หญิงเรียบร้อย ไม่หรูหราฟู่ฟ่า เรียบง่าย กินที่ไหนก็ได้ ไม่หวือหวา แล้วแฟนผมก็เป็นคนที่ค่อนข้างประหยัดเหมือนกัน เรียบง่ายเหมือนกันอีก ช่วยๆ กันประหยัด เดินไปในทางเดียวกัน ความคิดเห็นก็ไปแนวเดียวกัน

l สวีทหวานกันแค่ไหน

มีขึ้นมีลงครับ ความรักก็มีทะเลาะกันบ้าง แต่เผอิญเราสองคนเวลาทะเลาะกันหรือมีปัญหากันจะไม่ใช่คนที่โพสต์เฟซบุ๊ค เราไม่ใช่คนที่จะมาระบายผ่านเฟซบุ๊ค แต่ว่าเวลาไปกินข้าวด้วยกันก็จะโพสต์ เพราะฉะนั้นคนก็จะมองว่าคู่นี้หวานมาก ซึ่งจริงๆ ก็ไม่ใช่ ก็มีทั้งมุมหวานและมุมไม่หวาน มีปัญหากันทุกคนแหละครับ

l ในวันนี้ที่ชีวิตแฮปปี้และลงตัว

ถือว่าเป็นชีวิตที่มีความสุขมากๆ ครับ ที่ได้ตื่นเช้ามาทำงาน รู้ว่าอีกเดือน สองเดือนข้างหน้ามีงานให้เราทำ คือเมื่อก่อนผมจะมีช่วงที่เรียกว่า ว่างจนเหนื่อย (หัวเราะ) คือตื่นมาว่างอีกแล้วนะ ไม่รู้จะทำอะไร อย่างที่บอกเป็นคนประหยัดก็จะไม่ค่อยออกไปไหน อยู่แต่บ้านทำงานบ้าน ปลูกต้นไม้ จากที่ไม่เคยทำอะไรก็ลุกขึ้นมาทำเพราะว่างมากจริงๆ

l มีหลักในการใช้ชีวิตอย่างไรบ้าง

ผมเป็นคนอยู่อย่างพอเพียงเรียบง่าย ความอยากมี ความอยากได้ ก็น้อยลง ความสุขก็มีมากขึ้น เราก็พยายามมองโลกในแง่บวก แต่เราก็ไม่ได้ลืมในแง่ร้าย คือเรามองไปแล้วสองมุมถ้าบวกกับลบ ก็มีเตรียมแผนสำรองไว้ด้วย แต่ถ้าโดยพื้นฐานแวบแรกที่มองก็จะมองบวกก่อน

l ผลงานน่าติดตามอีกไม่นานเกินรอ

ตอนนี้ผมเป็นนักแสดงอิสระครับ ติดตามผลงานละครได้ในหลายๆ ช่องใครว่าจ้างไปไหนก็ไปครับ แล้วก็ฝากด้วยกับบทของ ลิขิต ในละครเรื่อง ที่หนี้มีรัก ทางช่อง 3 เล่นเป็นนักเลงนิดหน่อย เป็นเด็กเดินโพย และเป็นคนที่แอบชอบน้องพลอยดาว(ลีน่า ลลินา) จะคอยไปป่วนคู่ระหว่างน้องลีน่ากับเกี๊ยก (วัทธิกร เพิ่มทรัพย์หิรัญ) เขาจะรักกันเราก็แบบเฮ้ยได้ไง เรามาก่อนนะเราชอบก่อนไม่ได้นะแบบนี้ ในบทจะเป็นนักเลงประมาณว่าเหมือนจะนักเลงแต่ไม่ขาโจ๋ขนาดนั้นถ้าเจอของจริงก็หงอไม่ได้เก๋าเต็มร้อย แต่ถ้าเป็นอุปสรรคในเรื่องจริงๆ ก็จะเป็นในเรื่องของการขับมอเตอร์ไซค์ เพราะผมขับมอเตอร์ไซค์มีเกียร์ไม่เป็น แต่รับบทเด็กแว้นนะ (หัวเราะ) แต่ขับไม่เป็นก็เลยเปลี่ยนเป็นแค่ซ้อนให้ลูกน้องขับแทนแล้วกันครับ

เอาเป็นว่าละครเรื่องไหนจะสนุกถูกใจแฟนๆ เลือกดูกันตามใจชอบเลยเจ้าค่า เพราะทุกเรื่องทุกคาแร็กเตอร์หนุ่มแบงค์เขาตั้งใจและทุ่มเทแสดงเต็มที่ เพื่อมอบความสุขให้คนดูได้ติดตามเพราะนี่คือ หน้าที่ ของเขาในฐานะ นักแสดงคนหนึ่งในวงการบันเทิง

กระแตน้อย