star retro : ฮาน่า-ทัศนาวลัย จักรพงษ์ หวนคืนจอในรอบ 6 ปี

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/entertain/199972

วันอาทิตย์ ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2559, 06.00 น.

star retro : ฮาน่า-ทัศนาวลัย จักรพงษ์ หวนคืนจอในรอบ 6 ปี

พร้อมเผยเคล็ดลับของครอบครัวแสนสุข

หลังจากที่พักงานในวงการบันเทิงกว่า 6 ปีเพื่อไปทุ่มเทเวลาดูแลครอบครัว ทั้งลูกๆ และสามี วันนี้ ฮาน่า-ทัศนาวลัย จักรพงษ์ กลับมาพร้อมผลงานละครเรื่องใหม่“ที่หนี้มีรัก” ของค่าย เป่าจินจง ฉะนั้นสตาเรทโทรไม่รอช้ามีโอกาสเจอสาวฮาน่าก็ขอเข้าไปอัพเดทเรื่องราวชีวิตครอบครัวของเธอมาฝากแฟนๆ รวมถึงเหตุผลที่ทำให้เธอกลับมารับงานการแสดงอีกครั้ง

กลับมาเล่นละครในรอบ 6 ปี

ใช่ค่ะ 6 ปี หลังจากแต่งงาน เพราะว่าตั้งแต่แต่งงานไม่ได้รับละครเลย คือฮาน่าต้องบินต่างประเทศไปอยู่ที่นิวยอร์ก อังกฤษ แล้วพอมีลูกก็พักคุณฮิวโก้(จุลจักร จักรพงษ์) ก็อยากให้มีเวลามากขึ้น แต่พอทุกอย่างเริ่มเข้าที่ก็กลับมารับละครค่ะ ตอนนี้มีเรื่อง “ที่หนี้มีรัก” เรื่องเดียวเลยค่ะอยากรับทีละเรื่อง จบเรื่องนี้แล้วค่อยว่ากัน บทไม่เหนื่อยมาก แต่มีปรับเวลาการมากอง อยู่กอง เพราะคิดถึงลูก (ยิ้ม) แต่เดี๋ยวนี้ดีค่ะมีเฟซไทม์ เทคโนโลยีทำให้เราใกล้กัน วันๆ อยู่กองไม่มีอะไรก็โพสต์รูปลูก ดูรูปลูกๆ ลงไอจีบ้าง กลายเป็นอินสตาแกรมลูกไปแล้วตอนนี้

ช่วงที่ห่างหาย

ดูแลครอบครัวค่ะ อยู่กับลูก ดูแลสามี แล้วก็ทำธุรกิจเสริม เพราะฮาน่าเป็นคนที่อยู่เฉยๆ ไม่ได้ ในระหว่าง 5-6 ปี ฮาน่า
ก็ทำรายการ เป็นพิธีกรรายการ รับผลิตรายการด้วย ทำโปรดักชั่น มีเปิดคลินิกความงาม หาอะไรทำให้ตัวเองไม่รู้สึกเบื่อ เพราะจะไม่มีความสุขถ้าต้องอยู่เฉยไปวันๆ ก็เลยทำอะไรบ้างดีกว่า แล้วการที่เรากลับเข้ามาในวงการบันเทิงอีกครั้ง ก็ทำให้เรารู้สึกว่า เราต้องดูแลตัวเองนะ ให้ยังสาวยังสวยและแข็งแรงอยู่

อะไรทำให้ตัดสินใจกลับมาเล่นละคร

ก่อนหน้านี้มีติดต่อมาตลอดนะคะทุกปี เราก็นั่งดูบทไปมีหลายบทน่าสนใจ แต่พอมีลูกคนที่สอง ฮาน่ารู้สึกว่าเราควรจะกลับมาทำอะไรบ้างในวงการบันเทิง เพราะเราก็คิดถึงอยู่ตลอดเวลา ชอบบรรยากาศในกองถ่าย พอได้บทเรื่อง “ที่หนี้มีรัก” อ่านบทแล้วดีเลยค่ะ บวกกับไม่มีถ่ายต่างจังหวัด อยู่ในกรุงเทพฯ หมดเลย และอีกอย่างฮาน่าเกรงใจ อาตู่( นพพล โกมารชุน) เพราะอาตู่ชวนและถามตลอดว่าเมื่อไหร่จะกลับมาเล่นละครสักที รับหรือยัง คือจริงๆ คนที่เรานับถือเป็นพ่ออีกคนก็คืออาตู่นะค่ะ เพราะฉะนั้นเมื่ออาตู่ชวนก็ต้องมาแล้วล่ะค่ะ ง่ายต่อการตัดสินใจอย่างยิ่งค่ะ บทบาทนี่ไม่ได้ถามเลยด้วยซ้ำ แค่อาตู่มาเอ่ยปากปุ๊บว่าอยากให้มาเล่นก็รับเลย

บรรยากาศของการกลับมา

สนุกสนานมากค่ะ เป็นตามที่เราคิดไว้แต่ก็มีตกใจเหมือนกันว่านักแสดงใหม่หมดเลย ใครกันบ้างนะ วัยรุ่นเพียบ ดูเป็นป้าแก่อยู่ในกอง ทุกคนยกมือสวัสดีครับ/ค่ะ (หัวเราะ) แต่ก็มีรุ่นใหญ่กว่าเราอย่างพี่เอ้-ชุติมา, พี่แชมเปญ เอ็กซ์, พี่เอก-เอกชัยก็รู้สึกสนุกสนานเฮฮาลั้นลากันในกอง และอีกอย่างฮาน่าคิดว่าต้องเคาะสนิมแน่ๆ เพราะไม่ได้เล่นละครนาน แต่ปรากฏว่าพอเรามาเล่นเรารู้สึกสมูท รู้สึกว่าตัวเองพัฒนาขึ้นกว่าเดิมเยอะเลย อย่างเช่นการรับ-ส่ง เพราะเรามีคนรับ-ส่งที่ดี ทุกอย่างก็สมูทขึ้น ตอนแรกนะกลัวมาก ต้องเทคหลายเทคแน่ๆ ไม่ได้เล่นนาน แต่เอาเข้าจริงๆ กลายเป็นว่าเทคเดียวสองเทคผ่าน ยังได้อยู่นะ (ยิ้ม)

ถือว่าบทโดนใจ

ใช่ค่ะ ได้แต่งตัวสวยๆ งามๆ แต่งตัวทั้งวัน สมใจ สนุกสนานค่ะ บทไม่ได้ยากมาก เป็นสีสันของเรื่อง ก็คาดหวังว่าแฟนๆ จะได้
เห็นหน้าเรา เพราะก็มีหลายคนถามไถ่เข้ามาว่าเมื่อไหร่จะกลับมาเล่นละคร ถามตลอดในเวลา 5 ปีที่พักไป ก็นี่แหละค่ะเรื่องนี้ “ที่หนี้มีรัก”กลับมาแล้ว ติดตามกันดูนะคะ เป็นเรื่องที่สนุกสนานตลกๆ ฮาน่าว่าน่าจะช่วยผ่อนคลายและหายคิดถึงฮาน่าค่ะ

จุดเริ่มต้นในวงการบันเทิงของฮาน่า

ฮาน่าเริ่มจากการถ่ายโฆษณา แล้วก็มาถ่ายแบบเดินแบบ เล่นหนัง แล้วค่อยมาเล่นละคร มีทำพิธีกรด้วย ซึ่งละครกับการทำพิธีกร เป็นสิ่งที่ฮาน่าคิดว่าชอบที่สุดนะ ทำพิธีกรสนุก เพราะเราทำโปรดักชั่นเอง แล้วเราก็ออกกองเองได้เจอคนเยอะ สัมภาษณ์คนเยอะ ทำให้เราได้เรียนรู้คนหลายคน ได้เรียนรู้หลายอาชีพเป็นอะไรที่สนุก เป็นสองอย่างที่ชอบคือ พิธีกรกับเล่นละครค่ะ

ผลงานประทับใจและภูมิใจ

เรื่อง “เก็บแผ่นดิน” ของอาตู่นี่แหละค่ะ คือสุดยอด ฮาน่าไว้บนหิ้งเลยก็ว่าได้ เพราะว่าไม่คิดว่าคนจะจำชื่อตัวฮาน่าในเรื่องนั้นได้พอพูดชื่อ “เข่งล่า” ทุกคนจำได้ นี่คือ 10 กว่าปีมาแล้ว ตอนนั้นฮาน่าเด็กมาก แทบจะเป็นละครเรื่องแรกๆ ของฮาน่า ก่อนหน้าก็มีเล่นบ้างแต่ก็พักไปเพราะฮาน่ารู้สึกว่าละครไม่ใช่ฮาน่า เราอาจจะไม่ได้เกิดมาทางนี้ ไม่เอา หยุดไป จนอาตู่มาทำให้รู้สึกว่า นักแสดงต้องทำอย่างงี้นะให้เราฝึกพูด รู้จักการแสดงมากขึ้น ก็เริ่มรู้สึกว่าน่าจะเป็นสิ่งที่เราทำได้นะ พอได้เล่นก็เริ่มซึมซับกลายเป็นว่าตอนนี้รักเลยค่ะงานแสดง แต่ก็จะพยายามรับปีละเรื่อง ให้แฟนๆ ได้เห็นหน้ากันบ้าง เพราะต้องดูแลลูก ดูแลสามี

บทบาทของคุณแม่ลูก 2ของน้องฮาร์เปอร์และฮันเตอร์

เหนื่อยมากนะคะ แต่มีความสุขมากเช่นเดียวกัน ลูกชายทั้งสองคนนี้จะบ้าพลังมาก โชคดีที่คนโตฮาน่าปลูกฝังเขาตั้งแต่แรกเลยก่อนมีน้อง และเขาก็เป็นคนที่อยากจะมีน้องเองด้วยนะ มารีเควสกับคุณแม่ว่าขอน้องชายนะ เพราะเขาบอกว่าถ้ามีน้องผู้หญิงไม่รู้จะเล่นหรือพูดยังไงกับน้องดี ทำตัวไม่ถูกเขาอยากได้น้องชายจะได้เล่นด้วยกัน พอมีน้องชายปุ๊บเราก็บอกเขาว่า ถ้ามีน้องก็ต้องเสียสละนะ คนอื่นเขาอยากมีน้องแต่ไม่มีนะ ฮาร์เปอร์โชคดีแค่ไหนที่มีน้อง ฮาร์เปอร์ต้องดีกับน้องเยอะๆ นะ เราบอกและปลูกฝังเขาเอาไว้ก่อน พอน้องเกิดมาเราก็จะไม่ไปดูแลหรือเทคแคร์น้องเกินไป เดี๋ยวเขาอิจฉา ก็จะปล่อยให้คุณพ่อ หรือคุณยาย ดูแลน้องไป เพราะเด็กแรกเกิดยังไม่มีความรู้สึกอะไรกินอิ่ม นอนหลับ ก็แฮปปี้แล้ว แต่คนที่รู้เรื่องคือคนโต อย่าไปใส่ใจน้องมากจนเขาคิดว่า ทำไมแม่ไม่ดูแลเขาเลย ช่วงปีแรกจะดูแลคนโตไป คนเล็กก็ดูแลนะแต่ก็ต้องดูตอนที่ฮาร์เปอร์ไปโรงเรียน ดูแลเต็มที่ พอฮาร์เปอร์กลับมาบ้านปุ๊บก็เปลี่ยนมาดูแลคนพี่อย่างเดียวเลย

หลังๆ มาคนพี่มาบอกอีกแล้วนะว่า คุณแม่อยากได้น้องสาว ขอน้องสาวได้ไหม เขาเป็นคนที่รักเด็กมาก ไปตามห้างหรือที่ไหนๆ เห็นคนเข็นรถเด็กนะ จะวิ่งเข้าไปหา ดูหน้าจับเล่นกับเขา เขาเป็นคนอ่อนโยนมาก ทุกคนจะเห็นว่าเขาเป็นเด็กผู้ชายที่เล่นกับเด็กเบา เพราะเราสอนว่าต้องทำเบาๆ จะไม่ทำอะไรน้องรุนแรง กลายเป็นว่าตอนนี้มีแต่น้องมาทำพี่ เตะ ต่อย หยิก กัด พี่ทุกอย่าง(แล้วแบบนี้จะมีน้องสาวให้ฮาร์เปอร์ไหม) ยังค่ะ ชายสองตอนนี้ก็ตบตีกันวุ่นวาย คือฮาน่าเป็นคนที่แบบจะทำอะไรก็ต้องทำให้ดี เลี้ยงใครก็ต้องมีเวลาจริงๆ แล้วนี่สองคนฮาน่ายังรู้สึกว่าเราจะผลัดเวลาจากคนนั้นมาคนนี้ยังลำบากเลย ถ้ามีอีก เดี๋ยวจะกลายเป็นว่าไม่มีเวลาให้ทั้งหมด คือเอาจริงๆ นะ ไม่ได้กะจะมีลูกกันเลย แต่งงานแพลนกันไว้ว่าเราอยู่กันสองคน เที่ยวไปไม่มีห่วง เพราะเป็นคนชอบทำงานด้วยกันทั้งคู่ แต่พอมีฮาร์เปอร์ปุ๊บ ตอนแรกช็อกนะไม่ได้ตั้งใจ กำลังย้ายไปอยู่นิวยอร์กด้วยกันสักพักเอง แล้วก็ท้อง เราก็เครียดละ เราจะต้องกลับมาเมืองไทย แต่พอมีคนแรกก็อยากจะมีคนที่สอง ให้เขาอยู่เป็นเพื่อนกัน เวลายามแก่เฒ่า หรือตอนที่เราจากเขาไปแล้ว จะได้มีคนช่วยคิด เขามีพี่น้องจะได้ดูแลกัน เราไม่อยู่ก็น่าจะโอเคแล้ว

ในมุมมองฮาน่า คุณพ่อฮิวโก้เป็นแบบไหน

เขาเป็นแฟมีลี่แมนมากๆ ค่ะ รักลูก รักครอบครัวมาก ทำทุกอย่างแทนเราได้หมด ลูกๆ จะชอบเล่นกับเขากว่าเราอีก เพราะเด็กผู้ชายน่ะ แต่ถ้าถามว่าใครดุ เข้มงวด กฎเกณฑ์เยอะกว่ากัน ก็คงเป็นพ่อ ตอนแรกเราคิดว่าเป็นเรานะ จริงๆ ที่จะต้องโหด ดุ กลายเป็นพ่อดุที่สุด มีกฎเกณฑ์เยอะมาก เรากลายเป็นคนใจดีไปเลยจริงๆ แล้วลูกเขารู้ทางเราค่ะ พอมาอ้อนพูดจาเพราะๆ ชมเอาอกเอาใจเข้าหน่อย ใจอ่อน อยากได้อะไรให้หมด แต่กับคุณพ่อไม่ได้ ทุกอย่างต้องมีขั้นตอนมีระเบียบ นอนต้องเป็นเวลา กินก็ต้องอยู่บนโต๊ะ ทานข้าวนั่งกินกับผู้ใหญ่ เจ้าระเบียบมาก เขาก็จะเลี้ยงแบบฝรั่ง ทุกอย่างไม่ใช่ขึ้นอยู่กับเด็ก เราต้องเป็นคนกำหนด เพราะเราเป็นพ่อ-แม่

ความสวีทหวานลดน้อยลงไหมเมื่อมีลูก

ก็มีนะ เขาบอกเลยว่า เราต้องหาเวลาหนีไปกันสองคนบ้าง ไม่ใช่ไปไหนจะมีลูกไปด้วยตลอดเวลา แต่กลายเป็นว่าพอจะไปญี่ปุ่นกันสองคน ฮาน่าก็จะบอกว่าขอเอาลูกไปด้วยได้ไหม สงสารอยากให้เขาไปเที่ยว กลายเป็นว่าพอไปปุ๊บก็กลายเป็นทริปลูก ทุกอย่างต้องไปหมดเลย ยูนิเวอร์แซลอะไรที่เป็นเลโก้แลนด์ทุกอย่างที่เป็นเด็กหมด กลายเป็นว่าพ่อ-แม่ไม่ได้เที่ยวตลอด (หัวเราะ) ก็จะเปลี่ยนเป็นหนีไปทะเล เที่ยวในประเทศไทยปีละครั้งสองครั้งค่ะ

การเป็นคุณแม่สอนอะไรให้กับชีวิตบ้าง

สอนให้ฮาน่าใจเย็นค่ะ เมื่อก่อนฮาน่าเป็นคนใจร้อนมากๆ ขี้หงุดหงิด และเป็นคนขับรถไวมาก ลงถนนปุ๊บคิดว่าขับรถแข่งตลอดเวลา จะต้องไปถึงที่หมายภายในเวลาที่กำหนด แต่พอมีลูกปุ๊บความคิดเปลี่ยนฉันจะต้องเก็บชีวิตไว้เลี้ยงลูก ฉันจะไม่มาตายบนถนน แล้วยิ่งมีลูกนั่งบนรถด้วยนะ เรายิ่งต้องรอบคอบให้มากที่สุด สามีนั่งด้วยเคยถาม“นี่เธอจะรีบไปไหน” พูดหลายครั้งก็ไม่ฟังแต่ก็ได้ลูกนี่แหละค่ะมาเบรก ใจเย็นลงความอดทนมีมากขึ้น

กับงานเบื้องหลังอย่างการเป็นผู้จัดฯ

จริงๆ มีคนมาติดต่อให้ไปทำเยอะนะคะ 4-5 เจ้า ฮาน่ารู้สึกว่า อย่าเพิ่งหาเรื่องให้ตัวเองดีกว่า ให้ลูกๆ เข้าโรงเรียนกันให้หมดก่อน แต่ฮาน่าก็ยังไมได้คิดไปไกลนะ เพราะเราต้องตักตวงประสบการณ์อีก แล้วช่วงเวลาที่ฮาน่าหายไป 5-6 ปี พอกลับมาก็อยากจะมาอยู่ตรงนี้สักพัก ดูลาดเลาก่อนว่าพร้อมไหม ตอนนี้แค่คิดว่ากลับมารับจ้างเล่นละครก่อน แต่ถ้าพร้อมก็อาจจะกลับไปทำพวกรายการ เพราะฮาน่าก็มีผลิตให้กับหลายๆ ที่อยู่เหมือนกัน

เรียกว่าตอนนี้ชีวิตครบสูตรสมบูรณ์แบบ

ครบนะคะ การที่ครอบครัวมีลูกแล้วเราถือว่าครบละนะ เหมือนลูกๆ มาเติมเต็มในส่วนที่เราไม่เคยคิดว่าอยากมี แล้วพอมีปุ๊บเราก็มานั่งคิด ถ้าเราไม่มีเขา เราคงเสียใจมากนะ กลายเป็นว่าทุกวันมีเรื่องให้เราคิด ปวดหัว แก้ปัญหา ดีใจ มีความสุข

ความคาดหวังกับลูกๆ

ให้เขาเป็นคนดีค่ะ อยู่ในแนวทางที่ดีได้เจอสิ่งที่ดีๆ คนดีๆ เพราะว่าเพื่อนหรือคนรอบข้างที่ดีมีความหมายนะ ลูกโตขึ้นจะเป็นยังไง เพื่อนมีส่วนสำคัญ ให้เขาไปทางไหนแล้วเราก็ต้องสั่งสอนลูกเราให้ดี ฮาน่าจะไม่ปล่อยเลยถ้าลูกทำอะไรไม่ดี แล้วบอกว่าเขายังเด็กอยู่ ฮาน่าจะคิดว่าเราต้องเตือนต้องบอกเพราะถ้าโตไปเขาอาจจะคิดว่าแบบนี้เขาทำได้ ทำถูก เพราะฉะนั้นต้องห้าม คำพูดไหนที่คิดว่าไม่ดีไม่มีสัมมาคารวะเราต้องสอนตั้งแต่ตอนนี้ ฮาน่าสอนหมดเลย หลายคนบอกว่า ทำไมมารยาทดี พูดเพราะจัง นี่แหละก็เพราะเราสอนเขาตั้งแต่เด็กๆ ต้องหมั่นสอนแต่ก็เหน็ดเหนื่อยนะ เพราะเขาจะติดเพื่อนที่โรงเรียนมา แต่เดี๋ยวพอโตไป เขาคงเจออีกเยอะค่ะ ตอนวัยรุ่นนี่น่ากลัวสุด แต่ก็ต้องดูแลกันไป เด็กเลี้ยงยากขึ้นเยอะ มีสิ่งล่อแหลมมากมายในสังคม เพราะฉะนั้นพ่อ-แม่ต้องมีเวลาให้ลูกเยอะๆ อย่าปล่อยเขาไว้กับพี่เลี้ยงหรือใครก็ตาม เพราะเขาคงไม่สอนลูกเราได้ดีเท่าเรา

คติในการดำเนินชีวิต

ฮาน่าอยู่ในความไม่ประมาท ทุกอย่างต้องมีสติ เพราะสติเท่านั้นที่จะทำให้เรารู้สึกว่าประคองชีวิตไปได้โดยราบรื่น อย่าทำอะไรโดยขาดสติ จะพูดอะไรก็ตาม ขอให้คิดก่อนทำ คิดก่อนพูด แล้วทุกอย่างจะดีขึ้นเอง (กับชีวิตคู่?) ต้องซื่อสัตย์และให้เกียรติซึ่งกันและกันค่ะ เราทำได้ เขาทำได้ เราทั้งสองคนจะคิดเหมือนกันว่าเราต้องให้เกียรติกันนะผู้หญิง ผู้ชายมีสิทธิ์เท่ากัน เราต้องไม่โกหกซึ่งกันและกัน ต่อให้เรื่องนั้นจะดีหรือแย่ก็ต้องคุยกันตรงๆ จะสามารถประคองชีวิตคู่แบบครอบครัวไปได้ อะไรเล็กๆ น้อยๆ ก็อย่าไปใส่ใจมาก เราเป็นคนที่ไม่เก็บเรื่องหยุมหยิมมาคิด หรือทะเลาะกันเพราะเรารู้สึกว่าทะเลาะไปก็เท่านั้น สุดท้ายก็ต้องดีกัน เราเป็นสามีภรรยากันมีลูกที่ต้องดูแล ถ้าอะไรที่ไม่เหลือบ่ากว่าแรง เราก็ไม่น่าทะเลาะกันนะ แต่ถ้าเรามีปัญหากัน เราจะต้องเคลียร์วันเดียวให้จบค่ะ พี่ฮิวโก้เขาจะไม่เก็บให้ข้ามวันเด็ดขาด ต้องให้จบเพราะเดี๋ยวจะกลายเป็นเรื่องใหญ่โต ไม่ดีค่ะ

ความประทับใจในคุณสามี

ความเสมอต้นเสมอปลายค่ะ เมื่อก่อนเป็นแบบไหน วันนี้ก็ยังคงเป็นแบบนั้นอยู่ ไม่เปลี่ยนแปลง 10 ปีที่แล้วเป็นยังไง ตอนนี้
ก็เป็นแบบนั้น ยังโทรศัพท์หาเหมือนเดิม เวลาไม่ได้อยู่ด้วยกัน ไปทำงาน นี่คือความโรแมนติกที่เขาทำให้ แล้วเขาก็จะรู้สึกว่าอยากจะทำอะไรให้เรารู้สึกดีทุกวัน ทะเลาะกันก็มีบ้าง แต่ก็จะเป็นเรื่องลูกแค่นั้นเอง เราอาจจะตามใจลูกไป บางทีเขาไม่ให้อันนี้ แต่เราสงสารลูก ก็ยอมมีบ้าง เขาเลี้ยงแบบฝรั่ง เราเลี้ยงแบบไทย นอกนั้นก็จะไม่มีทะเลาะเพราะว่าเรารู้แล้วแหละว่าสิ่งที่ทำอะไรแล้วจะทะเลาะกันก็จะไม่ทำก็จบไป

มีเคล็ดลับเติมเต็มความอบอุ่นให้ครอบครัวได้น่ารักแบบนี้นี่เอง ถึงทำให้แต่ละวันของฮาน่ามีแต่ความสุข แม้จะทำงาน เลี้ยงลูกเหนื่อยแค่ไหน ถ้าได้กำลังใจดีๆ จากลูกๆและสามีสุดที่รัก แค่นี้ก็เพียงพอแล้วใช่ไหมจ๊ะฮาน่า

กระแตน้อย

star retro : ที่สุดนักบู๊สู่ความสมถะ เป้า ปรปักษ์

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/entertain/198894

วันอาทิตย์ ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2559, 06.00 น.
tags : star retro
จากสตันท์แมนสู่ผู้กำกับคิวบู๊ที่โด่งดัง“เป้า ปรปักษ์” หรือ “เป้า รุ่งโรจน์” แต่แล้วโชคชะตาก็พลิกผันทำให้ต้องกลายเป็นคนพเนจรกินนอนในรถ สุดยอดในตำนานผู้นี้มีวิธีต่อสู้กับสิ่งเหล่านี้อย่างไร สตาร์เรโทรสัปดาห์นี้มีคำตอบค่ะ

เมื่อกาลเวลาเปลี่ยนไป

ต้องยอมรับ ด้วยสังคมปัจจุบันที่เปลี่ยนเป็นยุคสมัยใหม่ สื่อที่ออกไปส่วนใหญ่จะเป็นสื่อของคนรุ่นใหม่ ผมในภาพลักษณ์ของนักบู๊แอ๊กชั่น คนก็จะมองว่าเป็นยุคเก่า คือคิดเองนะครับ แต่การบู๊แบบเก่าหรือใหม่ ถ้าเรามองหนังฝรั่งที่เขาเป็นครูเป็นผู้นำของโลก เขาก็แก่ๆ เก่าๆ แต่สังคมไทยจะเน้นอินเทรนด์เด็กวัยรุ่น เราหน้าตาออกจริงจังเลยดูจะไม่เหมาะ แต่ก็พอจะมีผู้สร้างเก่าๆ ที่นึกถึงบ้างอย่างเช่น คุณเปี๊ยก-พิศาล ซึ่งทำละคร ก็เอาผมไปเล่น เพราะเสียดายในความสามารถ ให้มาเล่นเป็นตัวบู๊ๆ อย่างที่ถ่ายทำจบไปแล้ว คือเรื่อง “หมอเทวดา” ทางช่อง 3 แล้วตอนนี้ก็มาดูแลเรื่องแอ๊กชั่นในเรื่อง “เขี้ยวราชสีห์” ของคุณกอบสุข จารุจินดา ผู้สร้างเก่าๆ ที่เราเคยรับใช้กันมา เราถึงจะมีโอกาสได้ร่วมงานด้วย นอกนั้นแทบไม่มีโอกาสเลย (รู้สึกเสียใจหรือท้อบ้างไหม ?) ช่วงหนึ่งเรายอมรับว่าชีวิตที่เราเคยมีงานทำมีสังคม มาสู่ช่วงที่เราต่ำสุด คือไม่มีงานทำแล้ว ก็ใช้คำว่าบ้านก็ไม่มีอยู่ข้าวบางมื้อก็ไม่มีกิน เคยคิดว่าทำไมชีวิตเราถึงเป็นแบบนี้ ทั้งที่ในวงการบันเทิงคำว่า “สุดยอด”สื่อก็เป็นผู้ตั้งให้เรา สื่อบอกว่าเป็น สุดยอดของผู้กำกับที่กำกับภาพยนตร์ได้เร็วที่สุด เป็นผู้สร้างที่ทำหนังโปรดักชั่นต่ำที่สุด เยอะที่สุด แล้วก็ยังเป็นสุดยอดของคำว่าสตันท์แมนอีก คุณดู๋-สัญญากับ คุณดำรงค์ พุฒตาล รายการเจาะใจเป็นคนตั้งให้ ชั่วโมงนี้คำว่า “สุดยอด” มันหายไปไหนหมด ทำไมไม่มีงานเลย เขาไม่รู้จักเราหรือ ทำไมเขาไม่เรียกเรา ถึงขนาดว่าต้องไปนั่งอยู่สนามหลวง ที่คนหลายคนที่ไม่มีบ้านเลือกที่จะไปอยู่ เราก็ไปนั่งปลงอนิจจัง (หัวเราะ) เหมือนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ดลให้เราไปนั่งตรงจุดนั้น เพราะว่าที่นั่นมีพระแก้วมรกต พระเสื้อเมือง พระทรงเมือง เจ้าพ่อหลักเมือง และพระแม่ธรณีที่เป็นเสาหลักของความศรัทธา จนเราได้พบธรรมตรงนั้น จากที่ว่าต่ำสุด เสียใจ ไม่มีเลย เพราะเราเห็นอนิจจังว่ามันไม่เที่ยง พระพุทธเจ้าสอนว่า ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนสมัยก่อน เราก็ไม่รู้ว่าหมายถึงอะไร รู้อย่างเดียวเรามีเพื่อนเรามีพวกไม่มีตังค์ เรายืมใครก็ได้ ไม่มีงานทำ เดี๋ยวเราทำตรงไหนก็ได้ พอมาถึงคราวเราต่ำสุด จะไปพึ่งใครก็ลำบาก ก็เลยเข้าใจคำว่า ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน หูตาสว่าง

อยู่กับปัจจุบันด้วยความสุข

มีความสุขมากกับการที่เราไม่มีงาน เพราะว่าเราไม่ต้องรับผิดชอบ ความรับผิดชอบมันเป็นตัวที่ทำให้มนุษย์ทนทุกข์ทรมานโดยไม่รู้สึกตัว เป็นหัวหน้าครอบครัวก็ต้องเป็นผู้นำ มนุษย์มีภาระอันหนักหน่วง พอเราไม่มี เรารู้สึกว่าเราพบความสุขที่แท้จริง เมื่อปี’50 ครับที่ผมรู้สึกแบบนี้ เพราะว่าตั้งแต่เล็กจนโตในวัย 60 กว่าผมไม่เคยรู้สึกเลย เรารู้แต่ว่าเราแข็งแรงทำอะไรเราก็เป็นหัวหน้า เป็นผู้นำตลอด เป็นนักมวย เป็นดารานักแสดง เราก็ประสบความสำเร็จตอนแรกนึกว่าเราถูกสาปมั้ง เขามีครอบครัวกัน ทำไมเราไม่มี เขามีหน้าที่ มีเงินทองทรัพย์สินกัน ทำไมเราไม่มี แต่พอไปต่ำสุดได้เห็นธรรมก็สาธุเลย ที่เราไม่ไปเจอสิ่งเหล่านั้นมาครอบงำ ถ้าเรายังมีงานมีเงิน เราก็จะหลงระเริงอยู่ ไม่รู้ว่าตัวเองคือใคร เหมือนเป็นบุญ เราสร้างบุญมาเยอะเลยได้พบธรรม แต่ถ้าเราไม่ได้สร้างบุญมา เราอาจจะติดคุก อาจจะทำอะไรที่ผิดๆ ความจนมันทำให้เราทำได้ทุกอย่างครับ

กว่าจะมาเป็น เป้า ปรปักษ์ ที่ทุกคนรู้จัก

ผมเกิดมาในครอบครัวที่จน พ่อเป็นนายตำรวจก็จริง แต่ว่าพ่อมีแฟนหลายคน ผมเป็นคนกรุงเทพฯครับ เกิดที่ตลาดพลู แม่ก็ไม่ค่อยได้เลี้ยงเราเท่าไหร่ ให้น้าให้ยายเลี้ยงบ้าง ด้วยความจนไปโรงเรียนบางทีก็ไม่มีสตางค์ ต้องไปรับจ้างปลอกมะพร้าว เช้านั่งรถไปเรียน เย็นเดินกลับหรือถ้าอยากกินขนมก็ต้องเก็บ ในวัยเด็กอายุ 8-9 ขวบ ก็เริ่มตัวใหญ่ ผมไปรับจ้างปีนต้นไม้ เชิดสิงโต มังกรทอง แล้วยังเป็นนักมวยอีกไปฝึกมวยปีหนึ่งเขาถึงจะให้ต่อยที แต่ต่อยแล้วต้องชนะเขาเท่านั้น เราก็อดทนซ้อม พอไปต่อยก็ได้เงินมาแค่ 25 บาท แล้วเราเจ็บ พอดีว่าน้าชายผมเขาเล่นหนังอยู่แล้ว เป็นฝั่งผู้ร้าย เขาก็สงสารที่เราเจ็บตัว เลยชวนให้ไปเล่นหนังด้วย ซึ่งได้วันละ 30 บาท เริ่มเล่นหนังตอนอายุ 10 ขวบ (บทบาทที่เริ่มต้น ?) โป้งแอ๊ะ! คือออกไปก็โดนยิงตาย เล่นบทเป็นผู้ใหญ่ได้เพราะว่าตัวสูงใหญ่ เราก็รู้สึกว่าชอบเล่นหนัง ชีวิตที่เป็นนักมวยเริ่มเบาลง แต่ว่ายังมีเชิดสิงโต เชิดมังกรอยู่ และยังเป็นเด็กโรงหนังด้วย เก็บตั๋วหน้าประตู ด้วยพื้นฐานที่เรามีทางด้านมวยไทย ก็เริ่มออกลวดลายให้เขาเห็นว่าเราเล่นได้ และเราก็มีความขยัน ไปกองถ่ายเขายกน้ำยกของแบกไฟเราก็ช่วย เลยเริ่มไต่เต้าจากเล่นหนังโป้งแอ๊ะ ก็เริ่มมีคิวบู๊ และตอนนั้นหนังฮ่องกงกำลังดังมาก หวังอยู่ แล้วก็ บรูซลี ซึ่งในโทรศัพท์ผมยังเก็บรูปที่ถ่ายตอนทำงานกับบรูซลีไว้เลย แต่มันอาจจะไม่ชัดนะ เราได้ร่วมงานกับบรูซลีในเรื่อง “ไอ้หนุ่มซินตึ๊ง” ที่เขามาถ่ายทำที่บ้านเรา หนังจีนกำลังดังมาก และหนังไทยก็ดัง ช่วงนั้นคนไทยดูหนังไทยไม่ได้บ้าหนังฝรั่ง หลังจากที่เราเล่นคิวบู๊ได้ไม่กี่เรื่อง ก็มีความรู้สึกว่าอยากทำให้หนังไทยสู้ฮ่องกงบ้าง ผมเลยทุ่มเทเล่นจริงกระแทกจริงของหล่นใส่บ้าง จนคนดูเขาเห็นและจำได้ แต่เขาก็ไม่ได้เรียกชื่อนะ เขาบอกว่า “ไอ้ดำนี่มันส์นะ ตายยากด้วย” เล่นมา 25 ปี เขาถึงจะเรียกชื่อ เป้า ปรปักษ์ เพราะสมัยก่อนผมเป็นแค่ตัวประกอบผู้ร้าย นักข่าวไม่ได้มาสัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ก็ไม่ลง

เจ็บแทนพระเอก เพื่อก้าวสู่การเป็นสตันท์แมน

ผมคิดว่าถ้ามีโอกาสได้ทำคิวบู๊จะทำออกมาให้มันส์ที่สุดสู้ฮ่องกงได้ แต่ว่าก่อนที่จะได้มาทำคิวบู๊ ผมเป็นสตันท์แมนก่อน มีวันหนึ่งผู้กำกับถามว่ามีใครขับเรือเป็นบ้าง เราก็มองซ้ายมองขวาไม่มีใครยกมือ ผมก็ยกเลย แล้วบอกว่าผมครับ แต่จริงๆ แล้วเราขับไม่เป็นเลย เพียงแค่ใจเราถึง ใครขี่มอเตอร์ไซค์เป็นบ้าง ก็ผมครับอีกแล้ว ขับชนกระจกข้ามรถบรรทุกรถไฟแทน พี่แอ๊ด, ทูน,สรพงศ์, กรุง ชั่วโมงนั้นคือเป็นสตันท์กองถ่าย เพราะสมัยก่อนเขาจะไม่หาสตันท์ไป ถึงเวลามีฉากเสี่ยงๆ ก็หาคนในกองนั่นแหละเล่นแทน มันเป็นเสน่ห์แบบง่ายๆ ของหนังไทย แต่เรารักมันทั้งที่เรื่องของการเซฟตี้ก็ไม่เหมือนสมัยนี้ด้วย เชื่อไหมว่าบางทีตกลงมา 6-7 เมตร ไม่มีอะไรรองรับเลย นอนโรงพยาบาลเป็นเดือนๆ อยู่บ้านนอนหยอดน้ำข้าวต้ม ไม่มีใครดูแล และก็ไม่เข็ดเพราะว่าเรารักสู่ตำแหน่งผู้กำกับคิวบู๊

ผมเริ่มมากำกับคิวบู๊ จำไม่ได้ว่าปีไหน คือทำมาเยอะมาก อย่าง “เสือภูเขา”, “เพชรตัดหยก”ของ คุณคมน์ อรรฆเดช ส่วนของ คุณฉลอง ภักดีวิจิตร ก็ “ผ่าปืนสงครามเพลง” เรากำกับคิวบู๊ร่วมกับผู้กำกับการแสดง จนกระทั่งปี’34 ได้ตุ๊กตาทอง รางวัลพิเศษผู้กำกับคิวบู๊ยอดเยี่ยมแห่งปี ซึ่งผมได้รับจากเรื่อง “ล้างเมืองคนดุ” ในปี พ.ศ.2534

ประหลาดใจไหมกับรางวัลนี้

ถือเป็นรางวัลแรกในชีวิต ตอนแรกรู้สึกงงมากกว่าครับ ว่าเราได้ได้ยังไง เพราะว่ามีหนังที่ดีๆ และฉากเขาก็ใหญ่อลังการกว่าเรา ทำไมเขาไม่ได้ จนมีข้อครหาว่าเราเส้นหรือเปล่าซื้อมาหรือเปล่า จะกินยังไม่มีจะเอาตังค์ที่ไหนไปซื้อครับ ผมตกใจว่าเขาประกาศผิดหรือเปล่า และไม่รู้ล่วงหน้าเลยด้วยซ้ำ เราก็ไปแบบปอนๆ กางเกงยีนส์ คนอื่นเขาใส่สูทกัน โชคดีว่าพระเอกของผมใส่เสื้อสูทไป เขาก็ให้ผมยืมใส่ขึ้นไปทั้งที่เซอร์ๆ เพราะว่าตอนนั้นผมยาวด้วย ได้รางวัลตัวแรกมีความรู้สึกว่ายังงงๆ เฉยๆ จนกระทั่งมาได้ปีที่ 2 ในปี 2537 จากเรื่อง “ล้างเมืองคนดุภาค 2” เลยมีความรู้สึกว่ารางวัลนี้ไม่ธรรมดาแล้ว การที่เราจะได้เราต้องมีบุญมีวาสนา เพราะว่าในหลวงพระราชทาน พอยิ่งได้ตัวที่ 3ในปี 2538 เรื่อง “คนมหากาฬ” ยิ่งปีติสุข ชีวิตนี้เราไม่รวย ไม่เป็นไร ให้เราลำบากจนง่อยเปลี้ยเสียขาอะไรก็ตามเหมือนที่เขาดูถูกกัน ถึงเราตายไปแล้วอีกสองพันปีถ้าประวัติศาสตร์ยังจารึกอยู่ เปิดตำนานชื่อเราก็ยังมีในแผ่นดินนี้ ก็มีความสุขแล้ว เพราะนี่คือสิ่งที่เราได้ทำดีไว้บนแผ่นดินไทย คือความบันเทิงที่เราทำแล้วชนะใจกรรมการ

เป็นผู้กำกับคิวบู๊ที่หาตัวจับยาก

ใช่ครับ เพราะไม่ว่าจะเป็น พิศาล, ฉลอง, คมน์ ที่เรียกว่าสุดยอดผู้กำกับ เป้า ปรปักษ์ ต้องช่วยดูแลคิวบู๊ให้ คุณบี๋ ธีรพงศ์ นี่ฝึกมาเองกับมือเลย พระเอกของอาฉลอง, หม่อมหลวงสุรีย์วัล สุริยง มีอีกหลายคน แต่ผมไม่ขอเอ่ย เพราะตอนนี้เขาเจอเรา เขาก็ไม่รู้จักเราแล้ว

ช่วงชีวิตที่หักเห

ตอนยุคทองของหนังไทย คิวผมยังกะเพชร วันละห้าพันบาท นอนโรงแรมอย่างดีคนเดียว ก็มีหนังอยู่เรื่องหนึ่งของ พี่พยุง พยกุล บอกเราว่าถ่ายหนังที่สระบุรี โทรศัพท์ก็ไม่มี มีแค่เพจเจอร์ แล้วตอนนั้นผมถ่ายหนังของคุณชรินทร์อยู่ที่เชียงใหม่ เราก็ขอเขาว่าจะมาถ่ายให้พี่พยุง เขาไม่อยากให้ไป แต่เราก็ขอมา นั่งเครื่องบินมาเลย ห้าพันทิ้งไปเลย เพราะไปถึงกองไม่มีถ่าย ไม่มีแจ้งด้วยแต่เราก็ไม่เป็นไร เพราะเรารักพี่พยุงมาก หลังจากนั้นมาก็มีอีก ตอนนั้นเป็นหนังของพี่ดามพ์ ดัสกร ถ่ายที่พัทยา ผมก็ขอเขามาถ่ายให้พี่พยุง ผมขับมอเตอร์ไซค์ ขี่มาแล้วหลับในกระเด็นไปข้างทาง ตื่นมาอีกทีมองหารถ น้ำมันก็หมด เลยต้องไปหาซื้อน้ำมันมาเติม สิ่งที่ประทับใจที่สุดคือไปถึงกองถ่ายสิบโมงเช้า คำแรกที่พี่พยุงพูด “เป้าทำไมเหี้ยอย่างนี้ ทำไมมาสายป่านนี้ทุกคนรอเป้าอยู่”คิวสรพงศ์อย่างกับเพชร เราก็อุตส่าห์หนีเขามา แล้วฝ่าอุบัติเหตุรอดตายมา เพื่อทำงานให้พี่เขาได้เงินวันละสองร้อย เราก็น้อยใจ แต่ไม่เป็นไร คุณรู้ไหมว่าผมเลือกถูก ผมไม่เลือกเงิน ผมเลือกอนาคต ถ้าผมเลือกเงิน ผมเลือกห้าพันอยู่กับพี่ชรินทร์อยู่กับพี่ดามพ์ ทำไมผมเลือกพี่พยุงวันละสองร้อย เพราะพี่พยุงให้โอกาสผมได้กำกับหนังอย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็น “เจาะนรก”, “ดิบกระแทกดิบ”, “ขยี้แล้วเชือด” ร่วมงานกับพี่พยุงมา 40 ปี ทุกวันนี้ก็ยังติดต่อกันอยู่ ถ้าเขาทำหนังก็จะนึกถึงเรา เพราะรู้ใจกัน และปัจจุบันนี้เมื่อ2 ปีก่อน พี่พยุงทำหนังเรื่อง “บุญเพ็งหีบเหล็ก” เป้า ปรปักษ์ ก็กำกับ ผมเป็นผู้กำกับ แต่ไม่มีคนรู้เพราะว่าผมใช้ชื่ออื่น ยืนยง คงกระพัน, ศักดิ์มรกต, รุ่งโรจน์, ภูตะวัน, ผีเสื้อทระนง, เพลิงมรกตและอีกมากมาย ไม่มี เป้า ปรปักษ์ เพราะหนังต้นทุนมันต่ำ ผมกำกับหนังมาแล้วเป็นร้อยๆ เรื่องผู้กำกับที่ทำหนังได้ถูกที่สุดเร็วที่สุด มากที่สุดของปีที่เราไม่ใช้ชื่อเป้า เพราะว่าหนึ่ง คนรู้จัก เป้า ปรปักษ์ ในฐานะดาราแอ๊กชั่น ที่มีความประทับใจซาดิสม์ มันส์ ทำหนังบู๊ต้องสุดยอด แต่ด้วยทุนที่มันน้อย เรื่องหนึ่งแสนห้า สองแสน เราก็เลยไม่กล้าที่จะเอาชื่อเรามาลงตรงนี้ (แล้วทำไมถึงกล้ามาเสี่ยงกำกับล่ะ?) ไม่ให้กำกับเลย ก็ไม่ได้ เพราะว่าเรารัก สองลูกน้องอีกตั้ง 60 ชีวิต ถ้าเราไม่ทำงาน เขาจะทำอะไรกัน ทุกคนจากบ้านนอกมาหวังจะมาเป็นนักแสดง เป็นดาราที่มีชื่อเสียง

กล้าที่จะฉีกกฎ จนสร้างดารานักบู๊ที่ชื่อ พันนา ฤทธิไกร

พี่พยุงถือเป็นผู้ให้โอกาสผม เราเป็นคนที่ไม่เนรคุณ ผลที่ได้ก็คือ เขาส่งให้เราได้เป็นผู้กำกับ และมีรางวัลชีวิตอีกเยอะแยะ เพราะว่าเรามีความกตัญญู และเป็นที่มาของ พันนา ฤทธิไกร สมัยนั้นเขายังเป็นตัวประกอบ พี่พยุงให้ผมทำหนังบู๊เรื่องหนึ่งโดยมีทุนให้สองแสน ซึ่งจะไปทำอะไรได้ ค่าตัวสรพงศ์ก็แสนหนึ่งแล้ว ผมก็เลยขอปั้นพระเอกใหม่ โดยเลือกปั้นพันนา แต่พี่พยุงไม่ให้ บอกว่าถ้าทำไปก็เจ๊งแน่นอน จะไปขายใคร พี่พยุงคิดหนักเลย ทั้งที่ถ่ายทำไปแล้วนะ แต่ระหว่างนั้นผมก็ตัดต่อส่งให้สายหนังดู สายบอกทำภาค 2 เลย พันนาจากค่าตัวไม่ถึงหมื่น กินแสนเท่าสรพงศ์เลย คนที่ไม่กล้าจ้างพันนาเล่นหนังก็หันมาจ้างหมดเลย พันนาแจ้งเกิดจากหนังเรื่องเจาะนรก ผมบอกว่าผมขายแอ๊กชั่น ไม่ได้ขายหล่อไม่ได้ขายเลิฟซีน มันส์อย่างเดียว ผมเป็นผู้ฉีกตำราหนังไทย โดยที่พระเอกหนังไทยไม่จำเป็นต้องหล่อ แล้วมันก็ประสบความสำเร็จจริงๆ

เมื่อวงการหนังไทยซบเซาลง

ปี’39 หนังไทยตาย เพราะว่าคนหันไปดูหนังฝรั่ง หนังจีน หนังไทยกลายเป็นหนังแถม ช่วงที่หนังไทยกำลังสุดยอดบูมๆ ละครกันตนาเขาก็ทำอยู่หนึ่งเรื่องชื่อว่า “ไอ้ทิมมวยไทย”เขาขาดดาวร้ายที่เก่ง ซึ่งต้องมาต่อสู้กับไอ้ทิม ชื่อไอ้พอง เขามองแล้วว่ายุคนั้นไม่มีใครก็มี เป้า ปรปักษ์ ตัวเดียวที่พอจะเล่นได้ เขาก็ขอร้องให้มาช่วย ซึ่งตอนนั้นถ้าใครมาเล่นทีวี เขาถือว่าไม่มีฟอร์ม แต่เราด้วยความผูกพันและมารู้ทีหลังว่านี่คือราชนิกูลของพระเจ้ากรุงธนบุรี คุณแม่กุสุมา สินสุข คุณแม่ของ พี่ต๊ะ นิรัตติศัย เป็นลูกหลานพระเจ้าตาก และแทนที่เราจะไปเล่นแค่ 6 ตอนหรือ 9 ตอน กลับกลายเป็น 99 ตอน ปีกว่าจากผู้ร้ายกลายเป็นพระเอก จากไอ้พองกลายมาเป็นพระเอกคู่กับไอ้ทิม แต่ชีวิตผมก็ลุ่มๆ ดอนๆ นะปี 40-41 นิ่งเลย จากที่รูปร่างล่ำบึ้กก็ผอมไปทันทีจนคนคิดว่าเราป่วย หนังเหี่ยวเลยแต่จริงๆ คือไม่มีจะกิน จนกระทั่งไปออกรายการเจาะใจถึงเริ่มกลับมามีงาน แต่ชีวิตก็ยังไม่ได้ดีมาก เราก็เลยไปนั่งสนามหลวง ในปี’50 ชีวิตผมอลังการงานสร้างมาก (หัวเราะ) คือผ่านมาอย่างโชกโชน ทั้งหนังไทยหนังเทศน์ ผมเป็นเพื่อนกับหงจินเป่านะ สมัยก่อนเขามาถ่ายหนังเป็นแค่ตัวประกอบ จนมาเป็นนักแสดงโด่งดัง และปัจจุบันเป็นเจ้าของบริษัท เขาเคยชวนผมไปเปิดค่ายมวย สอนมวยไทย แต่ผมไม่ไป ถ้ารู้ว่าเมืองไทยปัจจุบันเป็นแบบนี้โกอินเตอร์ไปแล้ว

ชีวิตพลิกผันอีกครั้ง

ตอนที่มาพบกับ พี่โหน่ง-วีระชัย รุ่งเรือง ผมไปออกรายการสตาร์ ฮันท์ ที่เขาต้องการรู้ชีวิตผม ตอนนั้นเขาตั้งชื่อว่า ขุนศึกแห่ง
ภาพยนตร์ไทย แล้วพี่โหน่งเห็น ก็เลยให้คนไปตามซึ่งก่อนหน้านี้ ผมก็เคยไปช่วยงานพี่โหน่งมาบ้าง ก็เว้นกันไปนาน ไม่เจอกันอีกเลย แกก็ให้คนไปตาม ต้องบอกว่าแกอนุเคราะห์ผมมาก ทั้งที่แกเก่งทุกอย่าง แต่แกอนุเคราะห์ มีเมตตาให้เรามายืนเฉยๆ แล้วแกทำเอง ดูสิมีผู้กำกับคนเดียวในประเทศไทย ก็มาอยู่กับพี่โหน่งตั้งแต่ปี’52จนมาถึงทุกวันนี้ครับ

ภูมิใจที่ได้มีโอกาสร่วมงานกับต่างชาติ

ผมเป็นสตันท์โค คือไปเล่นฉากเสี่ยงๆ ร่วมกับเขา ทั้งฮ่องกง ฝรั่ง ครั้งสุดท้ายที่ผมไปต่างประเทศคือไปอินโดนีเซีย ไปเป็นคนดูแลแอ๊กชั่น เรื่องเช็งโฮ เป็นประวัติศาสตร์การกำเนิดอินโดนีเซีย ส่วนกับนักแสดงฮ่องกงที่ได้ร่วมงานกันก็มี หวังอยู่, หลู่จุ้น, เดวิดเจียง, ตี้หลุง, เฉินกวนไท่, บรูซลี ส่วนฝรั่งก็มี ซิลเวสเตอร์สตอลโลน, พระเอกชาวรัสเซียที่เล่นเรื่องScorpion ฌองคอสแวนแดม หนังอินเดียก็มีนะเล่นกับพระเอกดังๆ สมัยนั้น แต่จำชื่อพระเอกไม่ได้ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นความรู้สึกที่ดี ว่าเราเป็นนักแสดงไทยที่เขาไว้วางใจและภูมิใจมาก คือเราไปทีหนึ่งเราไม่ได้เล่นแค่ตัวเดียวแล้วจบ พออีกวันเขาก็ให้ไปเล่นเป็นอีกตัวใส่วิก ทำหน้าบากบ้าง ตายแล้วก็เปลี่ยนเป็นตัวอื่นอีก คือเขาเห็นคุณค่าของเรา เห็นความสามารถของเรา จากที่ว่าจะไปแค่ 3-4 วันก็อยู่กันเป็นเดือนเลย เราภูมิใจที่เราเป็นดาราไทยที่ร่วมงานกับเขาได้ ด้วยความที่เขาสบายใจและไว้ใจเรา ผมเชื่อว่าชาวต่างชาติมาเขารักผมนะ เพราะว่าผมเป็นคนนอบน้อมถ่อมตนและเป็นคนชอบช่วยเหลือเขา

ชีวิตที่ถูกลิขิตมาแล้ว

ฟ้าลิขิตไม่ใช่ว่าเราเลือกเอง ไปทำอย่างอื่นก็ไม่ประสบความสำเร็จ ไปค้าขายก็เคย ทำสวนอาหารใหญ่โตก็เลิกรากันไป คือขายดีนะ แต่ว่ามันมีอันเป็นไป มีการโกงกัน ผลสุดท้ายก็แพแตก ไปไหนไม่รอด ก็ต้องกลับมาที่หนัง ผมเชื่อเรื่องชะตามนุษย์ว่าโลกใบนี้เขาได้ลิขิตไว้แล้วเราฝืนไม่ได้หรอก คุณจะดีจะจนจะรวยหรือทำอะไรก็แล้วแต่ เขาลิขิตมาแล้ว ดังนั้นคุณต้องยิ้มรับโชคชะตา ผมจะทำอาชีพนี้ต่อไปจนกว่าจะหมดลมหายใจ และหมดคนเมตตา คนเราถ้าขาดคนที่เมตตาเราก็ไม่มีทาง ไม่ใช่ว่าเพราะ เป้า ปรปักษ์ เก่งมีคนเมตตาสงสารเรา ผมรักอาชีพนี้มากผมมักจะพูดกับทุกคนว่าชีวิตผมทำเลวไม่ได้ เพราะผมไปอยู่ซอกไหนหลุมไหนของประเทศไทยเขาเสิร์ชกูเกิ้ลรู้ประวัติหมดเลย

ชีวิตที่ปล่อยวาง สันโดษ สมถะ

สมัยก่อนเราไม่รู้ แต่พอเรารู้ตอนนี้เรารู้สึกว่าเราสุขมาก กับการที่เราไม่มีครอบครัว สมัยก่อนการไม่มีครอบครัวถือว่าบาป ไม่มีมนุษย์คนไหนที่อยู่คนเดียวได้ แต่ผมถือว่าบุญมหาศาล ผมได้ยินคำพระพุทธเจ้าที่ว่า ถ้าเราจะพบนิพพาน เริ่มต้นด้วยการละการครองคู่ ละการครองเรือน การครองเรือนคือการมีห่วง พอเราไม่มีห่วงจะทำอะไรก็สำเร็จหมด ก็เลยรู้สึกว่าที่เราต้องมาอยู่
อย่างนี้ เพราะเขากำหนดมา ปัจจุบันนี้ผมมีลูกน้องที่ฝึกมาเองกับมืออยู่ 5 คน ก็อยู่เบื้องหลังกับผู้กำกับหลายๆ ท่าน จาก 60 คนเหลือ 5 คน ถามว่ามีบ้านนอนอยู่ไหมก็มี แต่ไม่ใช่บ้านของเรา เป็นบ้านของน้า ซึ่งเราไปอาศัยอยู่กับเขาตั้งแต่เด็กๆ พอโตมาเรารู้สึกว่าเราควรจะไม่เป็นภาระ ผมก็เลยนอนในรถขับไปจอดในปั๊ม อาบน้ำอาบท่าก็ในปั๊ม ใช้ชีวิตแบบนี้ตั้งแต่ปี’40 ยี่สิบปีได้แล้วมั้งพอปลีกวิเวกรักสันโดษแล้วมีความสุข กินข้าวก็กินคนเดียว แต่ถ้าเราไปอยู่กับคนอื่นเราไปเบียดเบียนเขา เขาก็จะเป็นทุกข์อีก เราอยู่แบบนี้ของเราดีแล้ว สุขแล้ว ไม่ต้องทุกข์ หาเท่าไหร่ก็พอ แต่ถ้ามีครอบครัวแล้วมันหาไม่พอ แม่มักจะชอบไล่ผมให้ไปทำงาน แต่เราห่วงแกไง บางทีไม่มีงานก็ต้องขับรถออกมา แล้วก็ขับกลับว่าทำงานเสร็จแล้ว ก็อายุขนาดนี้จะไม่ให้ห่วงได้ยังไง แต่ปัจจุบันนี้ไม่มีแล้ว สักอาทิตย์หนึ่งค่อยกลับบ้านไปหาแม่ที ส่วนวันไหนที่ไม่มีงานเราก็ไปนั่งสนามหลวงขายของได้วันหนึ่งพันสองพัน คนจำได้ว่าเป็นเราก็ไม่เป็นไร เพราะเรามีความสุขแล้ว ถามว่าแก่ตัวไปจะทำยังไง แล้วเราจะอยู่ถึงแก่หรือเปล่ายังไม่รู้เลย รู้ว่าทำวันนี้ให้ดีที่สุด พรุ่งนี้จะเป็นยังไงไม่รู้ อย่าไปคิดถึง

“อย่าประมาทอย่าหลงตัวเองและอย่ายึดติด เพราะของทุกอย่างมันเสื่อมหมด ยามเรามั่งมีศรีสุขรุ่งเรืองมีชื่อเสียง สิ่งดีๆ จะเข้ามาหา แต่ช่วงที่เราหมดยุคหมดสมัย เราต้องพบกับความผิดหวังความลำบาก เราต้องทำใจยอมรับมันให้ได้ ทุกอย่างมันไม่มีอะไรแน่นอน เป็นสิ่งที่เขาสมมุติมาชั่วคราวเท่านั้น มีสติอย่าประมาท อย่าทำร้ายอย่าเอาเปรียบ อยู่กับธรรมชาติให้ได้ แล้วชีวิตจะเป็นสุข” นี่คือข้อคิดจากสุดยอดตำนานหนังบู๊ ที่จะอยู่ในใจของคนไทยไปตลอดกาล “เป้า ปรปักษ์”

กุหลาบสีเงิน

star Retro : “หนึ่ง” วรเชษฐ์ นิ่มสุวรรณ คิดทิ้งวงการไปเป็น “อาจารย์”

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/entertain/197832

วันอาทิตย์ ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2559, 06.00 น.
star Retro : ‘หนึ่ง’ วรเชษฐ์ นิ่มสุวรรณ คิดทิ้งวงการไปเป็น ‘อาจารย์’

แต่ชะตาไม่ปล่อยผ่านให้ล้มเลิก!?

เก็บเกี่ยวประสบการณ์ทางการแสดงทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง จนในที่สุด หนึ่ง-วรเชษฐ์ นิ่มสุวรรณ ได้ขึ้นแท่นเป็นผู้กำกับการแสดง แต่กว่าจะมาถึงวันนี้ได้ เส้นทางชีวิตของเขาต้องฟันฝ่าอุปสรรคอะไรมาบ้าง วันนี้ “สตาร์เรโทร” มีคำตอบจากปาก…ผู้กำกับป้ายแดง

ความกวนเป็นเหตุ

บอกเลยว่าผมเข้าวงการมาด้วยความบังเอิญ ตอบได้เต็มปากเต็มคำ ครั้งแรกคือเริ่มจากไปเดินเล่นกับเพื่อนชื่อสมควรที่เซ็นทรัลลาดพร้าว สมัยเรียนเซนต์จอห์น ตอนนั้นอายุ 17 มีคนเดินมามองหน้า ในใจเราก็คิดว่าเขาหาเรื่องแน่ๆ สักพักเขาก็เดินมาที่ผมเลย แล้วบอกว่าน้องหน้าเหมือนอำพลนะ ซึ่งตอนนั้นพี่หนุ่ย (อำพล ลำพูน) กำลังดังมาก เพื่อนก็ทักเราประจำ เพื่อนบางคนเรียกหนุ่ย บางคนเรียกพุ ตามหนังเรื่องน้ำพุ และเขาก็ถามเราว่าอยากเป็นดาราไหม เราก็ไม่อยากจะเชื่อ เพราะว่าเราตัวเท่าลูกหมาเนี่ยนะ อย่ามาตลก แต่ว่าเพื่อนผมน่ะ อยากเป็น นำเสนอตัวเองมาก ซึ่งเขาก็หน้าตาดีและสูงกว่าผมด้วย เขาก็เลยให้นามบัตรมา และให้ไปแคสงานโฆษณาในวันรุ่งขึ้น ผมเองก็ไม่สนใจ แต่พอไปถึงโรงเรียนเพื่อนคนเดิมก็ชวนให้ไปแคส เราด้วยความรำคาญ ก็เลยยอมไปเป็นเพื่อนมัน แล้วก็ไปเจอพี่สายัณห์ ที่บริษัทซีดีโมเดลลิ่ง พอไปถึงพี่สายัณห์บอกให้เพื่อนเรารอ ให้เราเข้าไปแคส
ก่อน ผมก็งง รู้สึกเริ่มไม่พอใจ เขาถามอะไรมา ผมก็ตอบกวนประสาทไป ยืนนิ่งๆ หน้าไม่รับแขก เขาถามคำ เราก็ตอบคำ แล้วเขาก็บอกเราว่าให้พูดใหม่หมดเลยนะ แล้วมองกล้อง พอเขานับห้าสี่สามสองเราก็ “พูดใหม่หมดเลยๆ” (หัวเราะ) คือ
กวนมาก น่าจะโดนเขาเตะตั้งแต่แรก ตั้งใจกวนโอ้ย…เขาเลย และทุกช็อตเขาก็บันทึกไว้โดยที่เราไม่รู้เรื่องด้วย แล้วเขาก็ให้เราทำท่ากินลูกอมให้เขาดู เราก็แกะเปลือกออกแล้วเอามือดีดลูกอมขึ้นไปอ้าปากรับ ทำไปโดยไม่ได้คิดอะไร คิดแค่ว่าเรียนให้จบแม่กับตาก็พูดเสมอว่าเรียนจบออกมาหางานทำช่วยแม่ส่งน้องเรียน หลังจากนั้นอีก 4-5 วัน พี่สายัณห์ โทร.มาบอกว่าเราได้โฆษณา

ลงสนามจริงแบบงงๆ แต่เป๊ะทุกซีน

วันที่ไปถ่ายทำจริงๆ ตื่นเต้นมาก จำได้เลยวันที่ 25 ธันวาคม ปี 2538 ผมก็ยังกวนเขาอยู่นะ กวนกระทั่งผู้กำกับ แต่ก็บอกเขาว่าอยากให้ผมเล่นอะไรก็บอก เดี๋ยวผมเล่นให้ แล้วนางแบบสูงมาก เราต้องยืนบนบล็อกของช่างไฟ ตัวถึงจะสูงเท่าเขาได้ เป็นงานโฆษณาชิ้นแรก ชื่อลูกอมซานโตส ทุกช็อตก็คือเทคเดียวผ่าน ทั้งที่เราตื่นเต้นนะ แต่ว่าไม่แสดงให้เขาเห็น ได้ค่าตัวครั้งแรก 3,500 บาท ภูมิใจมาก ถือว่าเยอะมากครับในสมัยนั้น จากนั้นผมก็กลับไปเรียนต่อปกติ เพื่อนก็แซวว่าเราเป็นนายแบบ และเราก็มีงานเข้ามาอีก ทั้งถ่ายสารคดีปลอดภัยไว้ก่อน ตอนนั้นหนังเรื่อง “ปลื้ม” กำลังดัง มีพี่เอ็ม (สุรศักดิ์ วงษ์ไทย) บิลลี่ (บิลลี่ โอแกน) พี่หนุ่ย (อำพล ลำพูน) ก็มาด้วย และพี่มาโนช พุฒตาล เป็นผู้กำกับ คนทำฝ่ายศิลป์คือพี่ขวด (วรานันท์ ยูสานนท์) ซึ่งดังจากเพลง “รักยืนยง” ของพี่ปั่น (ไพบูลย์เกียรติ เขียวแก้ว) ก็โอ้โห! เจอคนที่เราปลื้มหมดเลย เราก็เล่นเป็นเด็กปั๊ม คนก็แซวอีกว่าหน้าเหมือนพี่หนุ่ย เพื่อนคนเดิมก็ตามไปด้วยอีก ซึ่งเขาก็เสียใจนะ ที่เขาไม่ได้งานเหมือนเรา แต่ตอนนี้ก็ยังคุยกันอยู่ เป็นเพื่อนสนิทกัน และหลังจากนั้นก็ยังมีงานโฆษณามาเรื่อยๆ อีกสัก2-3 ชิ้น

เข้าสู่แวดวงแฟชั่น

พี่พจน์ อานนท์ ชวนให้ไปถ่ายแบบหนังสือเธอกับฉัน พี่พจน์เป็นสไตลิสต์ ถ่ายแบบเสื้อผ้า แต่ว่าผมตัวแข็งทื่อมาก แต่ก็ได้ลงปก
เลยนะ พี่พจน์ก็ช่วยบอกตลอด ให้โพสท่าอย่างนั้นอย่างนี้ จัดท่าให้ โดยมีคุณอ๋อย (ลาวัลย์ แสงชาติ) ที่ไปด้วย เขาก็ดิวทางพี่พจน์มา และสมัยนั้น บก. คือ พี่สยุมพร บุตรนา นี่คือบุคคลที่ได้ชักชวนผมเข้ามา หลังจากนั้นพี่พจน์จะเรียกให้ไปถ่ายแบบตลอด จนคนรู้จักว่านี่คือ วรเชษฐ์ นิ่มสุวรรณ ซึ่งต้องบอกว่าคุณพจน์ อานนท์ เป็นคนสร้างเราให้คนได้รู้จัก จากนั้นก็มีหนังสือเรียกไปถ่ายเรื่อยๆ ทุกฉบับเลยที่ไปถ่าย แต่ที่บ่อยที่สุดคือเธอกับฉัน ครับ เราเหมือนเป็นนายแบบ แต่ว่าเป็นนายแบบต่อกล่อง (ยิ้ม) ตัวเล็กสุด หลังจากนั้นก็ได้ถ่ายโฆษณาฮอนด้าดรีมกับคุณรวิวรรณ จินดา เป็นเอ็กตร้าเมนขี่ประกบไปกับเขา จนพ่อตู่
(นพพล โกมารชุน) ผมจะเรียกพ่อตู่นะครับ เห็นผมระหว่างถ่ายโฆษณา เลยชวนให้ไปเล่นละครโดยฝากไปทางพี่นะ (ชนะ คราประยูร) ในภาพยนตร์เรื่องแรกคือ “เหยื่อ” ผมเล่นเป็นเด็กรถสองแถว พี่เอ็ม-สุรศักดิ์ เป็นพี่ชาย ซึ่งพี่นะ ก็จะสอนในเรื่องของระเบียบวินัย บทต้องท่องต้องจำ เล่นให้ได้ ได้มาเจอพี่เอ็มอีกครั้งก็คุยกันสนุก พี่เอ็มช่วยเยอะ เพราะผมก็ไม่ถึงกับเก่ง หลังจากนั้นก็มีหนังเล่นอีกเรื่อยๆ ไม่เคยได้เล่นเป็นพระเอก แต่ว่าก็เป็นตัวเอกของเรื่องเหมือนกัน

สู่จอแก้ว

มาเล่นละครทางช่อง 3 ครับเรื่อง “สุดแต่ใจจะไขว่คว้า” เรื่องแรก พี่หนุ่มเสกเป็นพระเอก การแสดงในตอนนั้นยังเป็นไม้กระดาน
อยู่ครับ (หัวเราะ) แต่ละครได้รับการตอบรับที่ดีมาก และเราก็ยังเรียนการแสดงเรื่อยๆ พ่อตู่
จะสอนให้ในวันที่ไม่ตรงกับคิวละคร บอกตรงๆ ว่าได้ความรู้ได้วิชาการแสดงจากพ่อตู่เยอะมาก
เราเลยได้มีโอกาสไปช่วยงานเบื้องหลังกับทางเป่าจินจงบ้าง ไปเรียนรู้งาน ด้วยความที่เราชอบเบื้องหลัง

มีงานประจำที่ทำควบคู่กับงานแสดง

ระหว่างนั้นเราก็ทำงานรับราชการอยู่ที่ผังเมืองครับ ทำอยู่ 5 ปี สลับกับถ่ายละคร ซึ่งหัวหน้าผมใจดีครับ เวลาไปถ่ายละครก็ปล่อยให้เราไป แต่เวลามีงานที่ต้องทำต้องส่งก็ต้องเสร็จนะ แต่พองานแสดงเยอะๆ เข้า งานประจำก็เริ่มเสีย เราเลยต้องลาออกมาเล่นละครเต็มตัว และแอบหนีไปต่างประเทศก่อน 3 เดือน ไปหาแรงบันดาลใจพักหนึ่ง แล้วก็กลับมาลุยงานแสดง กลับมาเจอพี่น้อย ที่อยู่ไทยรัฐ พี่เขาก็บอกว่าหม่อมน้อย (หม่อมหลวงพันธุ์เทวนพ เทวกุล) ตามหาอยู่นะ เราก็เลยโทร.ไปหาท่าน ซึ่งหม่อมน้อยก็ให้มาเล่นเป็น “น้ำพุ” คือท่านทำหนังเรื่อง “ความรักไม่มีชื่อ” ผมก็ไปเล่นเป็นตัวน้ำพุ ซึ่งเป็นแฟนกับตัวละครตัวหนึ่งในเรื่อง ได้วิชาจากหม่อมเยอะมากครับ

ประชันฝีมือกับ 2 ไอดอล

พี่ยุ (ยุวดี ไทยหิรัญ) ทำหนังเรื่อง “ต้องปล้น” ก็ให้เราเข้าไปคุยบทกับพี่เมาท์ (ชูชัย องอาจชัย) ซึ่งพี่เมาท์ก็มอบบท “ไอ้จ้อน” ให้ผมไปอ่าน อ่านแล้วเราก็รู้สึกว่ามันสนุก ตัวมีสีสัน น่าเล่น อ่านจนรู้สึกว่าบทของเราเข้าหัวแล้ว บทของพี่อ๊อฟ พี่หนุ่ยก็เข้าหัวหมดเลย แต่ตอนแรกเรายังไม่รู้นะว่า 2 คนนี้จะมาเล่น เพราะพี่เมาท์ไม่บอก จนวันเปิดกล้องเห็นพี่หนุ่ย พี่อ๊อฟเล่นก็ดีใจมาก เพราะว่าไอดอลเราทั้งคู่เลย ซึ่งภาพที่ผมจำได้ตอนนั้นคือพี่อ๊อฟเดินเข้ามาหาเรา ทั้งที่ก็ยังไม่สนิทกันนะ แล้วบอกว่า “เฮ้ย!ไม่มีใครช่วยมึงนะ นอกจากตัวมึงเอง เล่นให้ได้แล้วกัน” แล้วแกก็เดินไปเลย นั่งกินข้าวอยู่ ผมกินไม่ลงเลย ข้าวยังไม่ทันหมดจาน พี่หนุ่ยเดินมาอีก มาคุยด้วยซึ่งคำพูดนั้นยังก้องอยู่ในหูผมจนทุกวันนี้ “เฮ้ย!ตัวใครตัวมันนะ ต้องช่วยเหลือตัวเองนะน้อง พี่คงช่วยอะไรมากไม่ได้” เจอดอกนี้อีก ใจคอไม่ดีเลยสิครับ แต่ก็เอ้า! เป็นไงเป็นกัน! ถึงเวลาถ่ายคือบทไม่ถือด้วยนะ เพราะว่าผมอ่านจนจำได้หมดแล้ว เป็นไงเป็นกัน ในบทผมกับพี่อ๊อฟต้องไม่ถูกกันด้วย ซึ่งเขาก็บอกเลยว่าเต็มที่ ไม่ต้องเกรงใจ เราจะเกรงใจคนเดียว คือพี่หนุ่ย เพราะนับถือเป็นพี่คนเดียวในเรื่อง ยิ่งพี่อ๊อฟพูดว่ามา ผมก็ใส่กลับไม่สนเลย คงคาแร็กเตอร์นี้ไว้จนจบเรื่อง แต่ทุกวันที่ไปกองถ่าย ผมจะไปบ้านพี่อ๊อฟตอนเช้า พี่แดงก็ทำกับข้าวให้ทาน แล้วเราก็ไปนั่งรถกับพี่อ๊อฟ เพื่อที่ไปถ่ายหนังด้วยกัน เพราะว่าเราเข้าฉากด้วยกันบ่อย ได้บารมีพี่อ๊อฟพี่แดงที่คอยช่วยเหลือ พี่แดงก็ให้ความรักความเมตตา และที่พี่อ๊อฟพี่หนุ่ยพูดขู่เรานั้นเขาต้องการให้เรามีแรงผลักเท่านั้นเอง และเขาก็ช่วยดันเราตลอดอยู่แล้ว พี่ธงชัย ประสงค์สันติ ก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ไม่สอนนะ แต่ต้องตั้งใจเล่น เคยได้ยินแกพูดกับเด็ก นี่คือสิ่งที่ดีสำหรับนักแสดงรุ่นพี่ แต่ถ้าเราไม่ได้อะไร เขาจะมีข้อแนะนำชี้แนะให้ แล้วคุณก็ไปปฏิบัติต่อให้มันดีขึ้น “ต้องปล้น” ถือเป็นภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จมาก คนรู้จักผม แจ้งเกิดอย่างมาก คนที่วัยน้อยกว่าผมนิดหนึ่งหรือมากกว่า เขาจะบอกว่าชอบตอนที่เล่นเป็น “ไอ้จ้อน” ใน “ต้องปล้น” คือยังจำชื่อตัวละครได้ ซึ่งผู้จัดฯละครของผมตอนนี้ คุณตุ๊ก(จันจิรา จูแจ้ง) ก็เล่นเป็นนางเอกด้วย

สู่งานเบื้องหลัง

จริงๆ ผมชอบงานเบื้องหลังตั้งแต่เล่น “ต้องปล้น” แล้วครับ เห็นวิธีการทำงานของทีมงานก็พยายามไปศึกษาเรียนรู้ จนวันหนึ่งก็ไปถ่ายหนังกับคุณบิลลี่ โอแกน เรื่อง “ยุ่งดะมะด๊อง” เรื่องนี้ผมได้รางวัลตุ๊กตาทองสมทบชายยอดเยี่ยม คุณบิลลี่ได้นักแสดงนำ เราก็ยังสนใจเบื้องหลังอยู่ ศึกษาไปเรื่อยๆ จนได้เจอพี่ต้อ (ชาติชาย แก้วสว่าง) ที่ทำธุรกิจกองเรื่องนี้ และได้มาดูแลคิวงานให้เรา แต่เขาไม่เอาเปอร์เซ็นต์อะไร และแกก็มีโอกาสได้ทำหนัง ผมเลยได้ไปช่วย แต่ก่อนหน้านั้นก็มีคุณปลา-พีรพล ผู้กำกับโพลีพลัส ทำหนังเรื่องหนึ่ง ผมเลยขอไปทำด้วย เพราะว่าอยากรู้เบื้องหลัง เลยลองไปศึกษา พี่หมี (โชติรัตน์ รักเริ่มวงศ์) ก็เป็นหนึ่งในอาจารย์ของผม เก็บเกี่ยวประสบการณ์ จนพร้อมลุยงานกำกับภาพยนตร์เต็มตัวครั้งแรก

ปีพ.ศ.2548 มั้งครับ ผมกำกับเรื่อง “มนต์รักร้อยล้าน” แต่ไม่ประสบความสำเร็จสักเท่าไร เราไม่ท้อ ทุกอย่างไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เมื่อมันยังไม่สุดทาง ก็ต้องมีอุปสรรค แต่เราจะหลบเลี่ยงแก้ไขยังไง ผมคิดแบบนี้ ทุกอย่างที่ผิดพลาด เป็นประสบการณ์ เป็นครูสอนเราว่า เราต้องแข็งแกร่งยังไง กำกับหนังวีซีดี หนังแผ่น ก็ทำมาแล้วครับ คือมันมีช่วงหนึ่งที่หนังแผ่นดังมาก เลยได้โอกาสไปทำ และผมก็เรียนปริญญาโทจบพอดี งานละครก็ยังรับอยู่ เล่นเรื่อง “เมื่อดอกรักบาน” ละครของพี่อ๊อฟ แล้วก็คิดว่าจะผันตัวเองไปเป็นอาจารย์สอนหนังสือ เพราะว่าไม่มีใครติดต่อมา ก็ไปพบท่านอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยศรีปทุม ท่านอาจารย์โสภิต ไปขอให้ท่านช่วยเพราะอยากจะไปสอนหนังสือที่มหาวิทยาลัยนอร์ทที่เชียงใหม่ ท่านก็โทร.ติดต่อให้เลยเดี๋ยวนั้น ทางนู้นก็น่ารักมาก รับเลย คุยกันเสร็จเรียบร้อย เดินลงจากตึก พี่อ๊อฟโทร.มาบอกว่าขาดผู้ช่วย ให้มาช่วยได้ไหม กำลังจะทำเรื่อง “หัวใจสองภาค” (งานเข้าเลย ?) ตอนนั้นรู้สึกเหมือนอะไรมาปะทะ ตัดสินใจไม่ได้ ก็เลยโทร.ไปหาแม่ แม่บอกว่ารักอันไหนทำอันนั้น ถนัดอะไรก็ทำอันนั้น พอแม่พูดแบบนี้ เลยคิดได้ ก็ตอบตกลงพี่อ๊อฟไป และไปขอโทษอาจารย์ อธิบายให้ท่านฟัง ท่านก็บอกว่าไม่เป็นไร พร้อมเมื่อไหร่ค่อยมาหา ซึ่งจนบัดนี้ก็ยังไม่ได้ไปเลยครับ 8 ปีมาแล้ว เลยไม่ได้เป็นอาจารย์ ช่วยพี่อ๊อฟ 3 เรื่อง “หัวใจสองภาค”, “สี่หัวใจแห่งขุนเขา ตอนวายุภัคมนตรา” แล้วก็ “รอยไหม” อิ่มและมีความสุขมากกับเรื่องนี้ คือละครก็ดี ภาพก็สวย นักแสดงก็สวยหล่อ

สิ่งที่ได้จากไอดอลที่ชื่อ อ๊อฟ-พงษ์พัฒน์

พี่อ๊อฟเหมือนเป็นครูคนหนึ่งเลยครับให้วิชาเราหลายๆ อย่าง โดยที่เขาไม่ได้สอนเราตรงๆ ได้วิชาจากพี่อ๊อฟทั้ง 3 เรื่อง และการตอบโจทย์เพื่อจะให้คนดูรู้สึกว่าละครเรื่องนี้มีอะไรที่เป็นความโดดเด่น น่าจะเล่าความเป็นเรื่องราว ผู้กำกับหลายๆ ท่านก็มีครับ เพียงแต่ว่าเราไม่ได้ไปร่วมงานกันมาก อย่างพ่อตู่ก็จะมีวิธีการเล่าเรื่องของแต่ละส่วน เวลาที่เราพักและได้ไปนั่งคุยกับท่าน

ลุยงานเบื้องหลังอย่างเต็มตัว

ได้มีโอกาสร่วมงานกับผู้จัดผู้กำกับหลายๆ ท่านครับ อย่างคุณก้อง-ปิยะ ซึ่งผมไปช่วยพี่ชุ-ชุดาภา ในเรื่อง “กากับหงส์” และทางแม่หนู-ชลลัมพี ก็ได้ติดต่อมาให้ไปช่วยเรื่อง “เดอะซิกเซ็นส์” แต่ก็ต้องกราบขอโทษท่านผ่านสื่อตรงนี้ด้วย คือด้วยเจตนาของผม
“กากับหงส์” ยังไม่ปิด ก็ห่วงว่าเรายังทำงานนี้ไม่เสร็จ แล้วจะทิ้งไปรับงานอื่นมันก็ไม่ดี เลยไม่ได้รับ หลังจากนั้นคุณตุ๊ก-จันจิรา ก็ติดต่อเข้ามา ให้ไปช่วยทำเรื่อง “เรือนริษยา” ซึ่งเรื่องนี้เจ็บตัวหน่อย เพราะว่าคุณตุ๊กเจอปัญหาเยอะ เราก็อยู่ช่วยตามหน้าที่จนจบเรื่อง และแอบแว๊บไปเล่นหนังเรื่อง “ยังบาว” นิดหน่อย ไปเป็นผู้ช่วยเรื่อง “ฟาร์มเอ๋ยฟาร์มรัก” ในช่วงท้ายๆ ซึ่งพี่ผิน เกรียงไกรสกุล เป็นผู้กำกับ และได้ไปช่วยพี่ผินอีก 2 เรื่อง คือ “4 หล่อขอสืบ” กับ “Fly To Fin” แต่ผมก็ได้บอกกับทางพี่ผินไปแล้วว่ายังไงผมก็จะต้องมาทำให้กับพี่ตุ๊กนะ พอของพี่ตุ๊กเปิดกล้อง ทางนั้นยังไม่ปิดแต่เราก็ต้องมาทำ ซึ่งก็คือเรื่อง “เฮฮา (เมีย) นาวี” ในฐานะเป็นผู้กำกับเต็มตัวของช่อง 3 ครั้งแรก (ยิ้ม)

ขึ้นแท่นเป็นผู้กำกับการแสดงอย่างเต็มตัว

ไม่รู้สึกอะไรเลยครับ ไม่ตื่นเต้นด้วย คืออาจจะเป็นเพราะว่าเราชินกับการทำงานอยู่กับวงการมาเยอะ ชินกับการเป็นเบื้องหลังมา
หลายเรื่อง เจออะไรมาเยอะ เลยทำให้เรารู้สึกว่าจะทำยังไงให้งานมันเดินไปดีกว่า ได้บทมาก็อ่าน ไม่ดีก็แก้ คุยกับพี่ตุ๊ก เซตทีมกันมา จะเกร็งกับนักแสดงมากกว่า ว่าเขาจะมีคิวให้เราไหม เพราะว่านักแสดงเยอะมาก หลายท่านคิวมหาเทพมาก และเป็นละครคอเมดี้ พี่ตุ๊กก็เคยคุยกับผมไว้แล้วว่าถ้าเกิดจะได้ทำละครเย็น พี่หนึ่งซีเรียสไหม ผมก็บอกว่าไม่ซีเรียสเลย ละครตอนไหนก็ได้ ผมคิดว่าการทำงานจะไปเลือกไม่ได้ ผู้ใหญ่หยิบยื่นโอกาสให้ เราก็ทำ แต่ไม่ใช่ว่าไม่ใส่ใจนะ เราต้องรักและใส่ใจในทุกงาน ผมอยากทำเรื่องนี้เพราะว่าผมชอบบทประพันธ์ของพี่ป๊อก (นันทนา วีรชน) ผมได้อ่าน “เฮฮา (เมีย) นาวี” ตั้งแต่นานมาแล้ว และได้ดูภาพยนตร์สมัยที่ลิขิต เอกมงคล เล่น รู้สึกว่ามันขำดี และไม่เคยมีใครหยิบเรื่องนี้มาทำเป็นละคร เราก็เลยบอกพี่ตุ๊กไป แต่ว่าเราจะมีปรับบ้าง ก็เลยจะไม่เหมือนในหนังซะทีเดียว คือตัวนางเอกเราปรับให้เขาเรียนจบปริญญาโทแล้วกลับมา และสองให้พวกเดอะแก๊ง พี่เกมส์ พี่ยิ่งยง พี่บ๊วย เที่ยวคาราโอเกะเกี้ยวสาวเมียมาตามไล่ โดยเสนอความกะล่อนของผู้ชายว่าจะหนีเมียยังไงไปเที่ยว นางเอกก็มาสร้างความแข็งแรงในกลุ่มแม่บ้าน ให้เลิกการพนันมีอาชีพเสริมทำสินค้าโอท็อปขาย เราอยากให้สนุก ขำ และมีสาระให้คนดูด้วย

ดูมีความสุขที่จะทำละครเรื่องนี้

ใช่ครับ ผมชอบเพราะว่าเป็นนวนิยายในดวงใจ และด้วยความที่เป็นกลิ่นอายของทหารเรือ ซึ่งผมชอบทหารอยู่แล้ว พอเราได้ทำก็อยากเห็นความน่ารัก ทหารเขามีความน่ารักอยู่นะ ไม่ได้จริงจังซีเรียสตลอด โดยเฉพาะทหารเรือจะมีแก๊กเยอะหน่อย

ถ้ามีผู้จัดเจ้าอื่นสนใจอยากให้ไปกำกับ

ผมไม่ปฏิเสธนะครับ แต่ต้องขอให้เกียรติพี่ตุ๊ก-จันจิรา กับพี่ม่อน (มณีรัตน์ กาญจนชัยภูมิ) ก่อน เพราะว่าทั้ง 2 ท่านได้ให้โอกาสผม ซึ่งถ้าพี่ตุ๊กกับพี่ม่อนยังไม่ให้ผมเป็นผู้กำกับ หลายๆ ท่านอาจจะยังไม่เรียกผมไปทำ ก็ต้องกราบเรียนก่อนเลยว่าถ้าคุณตุ๊กทำเรื่องอื่นต่อ ผมก็ต้องทำกับท่านก่อน ผมถือว่าเป็นบุญคุณนะ ผมต้องขอบคุณคุณตุ๊กคุณม่อนมากๆ ที่ให้โอกาสผม

จากที่ปฏิเสธมาตั้งแต่แรกว่าไม่ชอบ ไม่เอา ไม่อยากเป็นดารา

กลายเป็นสิ่งที่รักที่สุดในสายอาชีพครับ เพราะว่าอาชีพนี้ทำให้ผมส่งน้องเรียนจนจบ ทำให้ผมมีบ้าน ทำให้ครอบครัวมีความสุข ทำให้ผมมีสังคมที่กว้างใหญ่มาก คือไปเจอคนข้างนอกหรือว่าประชาชนที่ทุกคนเข้ามาทักทายแล้วทำให้ผมมีความสุข นั่นคือสิ่งที่ผมได้สังคมรอบนอกที่ประชาชนให้การตอบรับกับผลงานของเรา แม้ว่าเราจะเล่นหรือไม่ได้เล่นก็ตาม เวลาที่ผมไปทำกิจกรรมให้กับสังคม มันทำให้เรามีความสุข เราได้คืนกลับให้เขา อย่างเวลาไปเตะบอลกับพี่น้องนักแสดง มันไม่ใช่แค่เราได้กับสังคมที่อยู่อาชีพเดียวกันเท่านั้น แต่เราได้มากกว่าที่เป็นอยู่ ครอบครัวผมภูมิใจมีความสุข คุณแม่ขอผมไม่เยอะเลย ตั้งแต่เป็นวรเชษฐ์ที่เดินดิน แม่ขอ 4 อย่าง สิ่งแรกเรียนให้จบ สิ่งที่สองรับใช้ชาติเกณฑ์ทหาร แต่ไม่ได้เป็น สิ่งที่สามบวชเรียน และสิ่งที่สี่เป็นคนดีของสังคมช่วยเหลือสังคมตามกำลังที่เราจะช่วยได้

เซอร์ไพรส์! แอบไปมีครอบครัวตั้งแต่เมื่อไหร่

(หัวเราะร่วน) นานแล้วครับ ถ้าถามว่าแต่งงานจริงๆ จังๆ คือเมื่อปีที่แล้ว 11 สิงหาฯ แต่ไม่ได้บอกใครครับ ไปแต่งที่เชียงใหม่ บ้านของภรรยา จัดพิธีแบบเรียบง่าย บ้านๆ มีแขกผู้ใหญ่มีญาติพี่น้องที่นับถือ คือเราก็อยู่เป็นสามีภรรยากันมานานแล้วครับ จนลูกโตแล้ว ก็ยังไม่ได้จัดพิธีให้เขาเลย ผู้หญิงชีวิตหนึ่งเขาก็อยากจะมีภาพทรงจำดีๆ เลยจัดให้เขา ตอนแรกว่าจะแต่งตอนปี’56 พอดีคุณแม่แฟนเสีย เลยเลื่อนมาเป็นปี’57 เรามีลูกสาวหนึ่งคน เรียนปี 2 มหาวิทยาลัยพายัพ ผมไม่ปิดนะ ใครเจอผมก็บอกว่านี่ลูกสาวนี่ภรรยา (จะให้ลูกเจริญรอยตามคุณพ่อไหม?) เขาชอบนะ ผมก็ไม่ได้ชักนำอะไร ปล่อยเขา สิ่งไหนที่เขารัก เขาชอบ แล้วเดินไปในทางที่ถูก ผมก็สนับสนุน ไม่สอนการแสดงให้เล่นเอง สิ่งไหนไม่ถูกเราก็ค่อยบอกกล่าว เรื่องนี้เขาก็เล่นด้วย คือเราเป็นผู้กำกับ นักแสดงท่านอื่นเราพูดได้ดุได้ แต่ถ้าลูกสาวมาเล่นแล้วดุไม่ได้ไม่ยอมนะ วันนั้นเข้าฉากร้องไห้ ทำไม่ได้ ผมก็ดุเลย เขาก็ร้องเลยครับ เขาอยากเล่นเอง ขออาตุ๊กเองเลย งั้นก็ต้องเล่นให้ได้นะ แต่เขาเคยเล่นมาแล้วเรื่องหนึ่ง เป็นหนังดังวันหยุด เรื่องที่ 2 เล่น “รอยไหม” ของพี่อ๊อฟ โดยที่พี่แดงก็ไม่รู้ว่าเป็นลูกสาวผม คือไปแคสเองเลย ผมก็บอกเขาว่าผมไม่ใช้เส้นให้นะ อยากเล่นต้องไปแคสเหมือนคนอื่นเขา พอดีว่าพี่อ๊อฟไปถ่ายที่เชียงใหม่ เขาเลยไปแคส พี่อ๊อฟก็เลือก จนวันถ่ายทำลูกสาวก็มานั่งตักเรา พี่แดงก็ถามว่าเด็กที่ไหน เอ๊ะ…หน้าเหมือนที่เล่นเป็นบัวซอน เราก็บอกพี่แดงว่าลูกสาวผมเองพี่แดงตกใจใหญ่ ส่วนพี่อ๊อฟชอบผลงานเขาครับ

“ในอาชีพการงานคงไม่มีสิ่งไหนที่ผมอยากจะทำแล้วครับ ผมอยากเป็นผู้กำกับที่ทำละครดีๆ เหมือนผู้กำกับทุกๆ ท่านที่ทำ ละครดีๆ ออกไปให้ประชาชนชม แล้วเขารักละครและรักตัวละครเรื่องนั้น รวมทั้งผู้ใหญ่ทางช่อง 3 ก็รักและชอบละครเรื่องนี้ด้วย แค่นี้ก็เป็นความสุขที่สุดสำหรับผมแล้วครับ” จากใจผู้กำกับหน้าใหม่ แต่เก๋าด้วยประสบการณ์แบบคับแก้ว “หนึ่ง-วรเชษฐ์ นิ่มสุวรรณ”