Star Retro : เส้นทางชีวิตที่ไกลเกินฝันของ ‘เขตต์ ฐานทัพ’

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/entertain/342683

Star Retro : เส้นทางชีวิตที่ไกลเกินฝันของ  ‘เขตต์ ฐานทัพ’

Star Retro : เส้นทางชีวิตที่ไกลเกินฝันของ ‘เขตต์ ฐานทัพ’

วันอาทิตย์ ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2561, 06.00 น.

กว่าครึ่งชีวิตที่โลดแล่นอยู่ในเส้นทางสายบันเทิง “เขตต์ ฐานทัพ” หรือ “ธฤษณุ ธีญานาถธนันชา” จึงทั้งหลงใหลและรักในการแสดง จนอยากที่จะสานต่อไปสู่งานเบื้องหลัง และวันนี้ความฝันของเขา ก็ได้เดินทางมาถึงเป้าหมาย ก้าวสู่บทบาทหน้าที่ใหม่ โดยที่เขาไม่เคยลืมเรื่องราวในอดีต ซึ่งทำให้ชีวิตมาถึงวันนี้

บทบาทหน้าที่

ปัจจุบันผมเป็นผู้จัดการแผนกละคร “บริษัท มีเดีย สตูดิโอ จำกัด” ทำมาเมื่อสิงหาปีที่แล้วครับ คือเราก็มั่นใจในจุดนึงของเรา ว่าเรามีคุณสมบัติ มีประสบการณ์มากพอ แล้วพอดีนายเรียกมาคุยว่าอยากทำงานไหม เป็นงานดูแลเรื่องละครนี่แหละ เป็นผู้ช่วย “พี่จุ๋ม” (ดร.เยาวลักษณ์ พูลทอง) ดูเรื่องละคร ซึ่งเราก็ยินดี งานที่ทำก็ในทุกๆ ภาคส่วนนะครับ อย่างตอนที่ผมเข้ามา ก็ทันเรื่อง“สกาวเดือน” พอดี เลยมีโอกาสได้ดูแลประมาณครึ่งเรื่อง ดูแลตั้งแต่การคอมเมนท์เรื่องบท ซึ่งก็จะมีบอร์ดผู้บริหารคอมเมนท์ด้วย ไม่ใช่ผมคนเดียว หลายคนจะมองว่าเขตต์เป็นผู้จัดฯ เหรอจริงๆ ไม่ใช่ครับ เรามีทีมที่แข็งแรงมาก พอมาทำงานเบื้องหลังตรงนี้ก็ต้องบอกว่าสนุกนะ จริงๆ มันเป็นความฝัน(ยิ้ม) คือผมเคยฝันว่าอยากจะทำงานเบื้องหลังละครมาเมื่อประมาณ 5 ปีแล้วครับแต่ว่าก็ยังไม่มีโอกาสได้ทำสักที ก็ต้องกราบขอบพระคุณ ดร.เยาวลักษณ์ พูลทอง ที่ให้โอกาสผม

จังหวะและโอกาส

เราอยู่วงการนี้มาตั้ง 20 กว่าปี เล่นละครเกือบ 60 เรื่อง (หัวเราะ) เรายังไม่ได้รับโอกาส ก็ถือว่ามีเดียสตูดิโอเป็นที่แรก ที่ให้โอกาสเราได้มีที่ที่อยู่เบื้องหลัง และได้อยู่ในโพซิชั่นที่ผมพอใจและภูมิใจ ผมเล่นละครมาตั้งแต่อายุ 17-18 ก็นานมากแล้ว ทำธุรกิจอื่น เราก็ทำ ซึ่งก็ประสบความสำเร็จบ้างไม่ประสบความสำเร็จบ้าง แต่เรื่องที่เรารู้ดีมากที่สุด เป็นครึ่งชีวิตเราแล้วด้วย ก็คือเรื่องละคร จะหนีไปไหนได้ ก็รอว่าเมื่อไหร่จะมีโอกาสได้ทำเท่านั้นเอง แล้วพอมีโอกาส เราก็ต้องทำอย่างเต็มที่ รายละเอียดของงานจริงๆ ที่ทำ คือดูตั้งแต่การคอมเมนท์เรื่องบท ประชุมเรื่องคิวถ่าย เรื่องค่าใช้จ่าย คือทุกอย่าง รวมไปถึงการออกกองถ่าย ผมไปกองสกาวเดือนทุกคิว ตั้งแต่ที่ผมได้รับมอบหมายให้ดูแล แล้วก็เป็นส่วนหนึ่งในทีมตัดต่อด้วย พอเรามาทำเบื้องหลัง ทำทางด้านการดูแลการผลิตจริงๆ เหมือนโปรดิวเซอร์ งานมันหลากหลายกว่า นักแสดงอยู่เบื้องหน้า งานกำกับจริงๆ ก็ชอบนะ ผู้กำกับอยู่เบื้องหลังก็จริง แต่ว่าคือหลังมอนิเตอร์ แต่หลังของผู้กำกับคือโปรดิวเซอร์ ต้องดูทุกอย่างทุกภาคส่วน ผู้กำกับมีหน้าที่กำกับการแสดง และถ่ายทอดการแสดงของนักแสดงให้ผู้ชมได้รับชม แต่เราคือทีมที่สร้างงานทั้งหมดขึ้นมา เราเลือกแม้กระทั่งตัวผู้กำกับ เราเลือกบทประพันธ์ เราเลือกทุกอย่าง เพราะฉะนั้นงานอย่างพวกเราคืองานวางระบบทุกอย่างของละครหนึ่งเรื่องทั้งหมด แล้วพอจบเรื่องสกาวเดือน เราก็มีเรื่องอื่นต่ออีก คือไม่ได้ว่างเลยครับ ตอนนี้ก็มีเรื่อง “ไฮโซสะออน” แล้วก็ “นักสู้สะท้านฟ้า” เป็นโปรเจกท์พิเศษที่ทำร่วมกับ พอดีคำ

แรงขับเคลื่อนในการผลิตผลงาน

สนุกมาก คือไฟมีเต็มเปี่ยมเลยครับ แล้วยิ่งเจอทีมที่เข้าขากันก็ยิ่งโอเค แฮปปี้มาก มีความสุข เราสามารถนำเสนอได้ว่าเราต้องการอะไร แต่มันก็ต้องแล้วแต่นายเราด้วย (หัวเราะ) ซึ่งคนอาจจะมองว่าสไตล์ผมน่าจะต้องมาสายคอเมดี้ แต่จริงๆ ผมเป็นคนชอบดราม่านะ และผมก็ชอบเล่นละครดราม่าด้วย แต่ทุกวันนี้ละครก็จะปนๆ กันหมด ขึ้นอยู่กับว่าใครผสมสูตรอะไรออกมาได้อร่อยถูกใจผู้ชมมากแค่ไหน ทำให้ทีมละครเราต้องทำงานกันหนักมากขึ้น เพราะคนดูทุกวันนี้มีพัฒนาการมากขึ้น เขาดูละครละเอียดมากขึ้น เราเข้าไปอ่านกระทู้ต่างๆในอินเตอร์เนตหรือในโลกออนไลน์ มีบางคนไดเร็กมาถึงผมเองโดยตรง และจดหมายก็ยังมีมาอยู่ ผมก็อ่านนะซึ่งมันก็เป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์ มีมุมมองที่อาจจะเข้าใจไม่ตรงกัน พอมีคอมเมนท์เข้ามา ที่เขาไม่ถูกใจในบางจุด พอเราปรับปุ๊บแฟนๆ น่ารักมาก เขาก็เข้ามาขอบคุณ คือเหมือนกับว่าทุกวันนี้มันต้องอาศัยซึ่งกันและกัน เราฐานะคนทำงานด้านบันเทิงยังไงเราก็จำเป็นที่จะต้องอาศัยพวกคุณทุกคนที่เป็นแฟนคลับ อาศัยแฟนคลับนักแสดง หรือแฟนคลับช่อง เราอยู่ได้เพราะพวกคุณ เพราะฉะนั้นทุกเสียงของพวกคุณทุกคน สำคัญมาก เป็นสิ่งที่ช่วยทำให้เราภาคภูมิใจ ทำให้เราหายเหนื่อย มันเป็นสิ่งที่ทำให้เราเศร้าน้ำตาตกก็มี มันเป็นสิ่งที่ทำให้เราปลาบปลื้มตัวลอย คือมันมีทุกรูปแบบ ดังนั้นการจะเขียนอะไร มันมีผลกับชีวิตคนเยอะเหมือนกัน

บทบาทหน้าจอ

งานแสดงผมก็ยังรับอยู่ ทุกวันนี้ก็ยังมีสัญญาการเป็นนักแสดงกับทางช่อง 7 การที่ผมจะมีงานหรือไม่มีงาน ช่องเป็นคนกำหนด ละครปีนี้ยังไม่มีวาง แต่ว่าปีที่แล้วถ่ายจบไปแล้ว คือ “สมิงจ้าวท่า” ผมเองรักการแสดง แต่ว่างานเบื้องหลังมันเป็นความฝัน มันต้องแยกออกจากกัน ถ้ามีโอกาสได้เล่นละครต่อไปเรื่อยๆก็ยังเป็นสิ่งที่ดี เพราะตัวเองก็มีใจรักในการแสดง มันคือตัวตน งานประจำที่นี่เป็นอะไรที่แบ่งสันปันส่วนไว้แล้ว ว่าผมสามารถรับละครได้ 1 เรื่องในสัปดาห์นึง เราอายุขนาดนี้แล้ว ถ้าหมดสัญญาถามว่าเซ็นต่อไหม เอาเป็นว่าถ้าให้เซ็นก็เซ็นครับ ถึงไล่ก็ไม่ไป (หัวเราะ) ตอนนี้ผมเป็นพนักงานมีเดียสตูดิโอ อยู่ที่ไหนมีความสุขก็อยู่ ช่อง 7 เหมือนบ้านผม อยู่มาตั้งแต่เด็กๆ โตมาได้ถึงทุกวันนี้

คาแร็กเตอร์เวลาทำงาน

ใครๆ เขาบอกว่าเครียดนะ (หัวเราะ) ในพาร์ตที่เป็นนักแสดงจะไม่ค่อยเครียด หรืองานที่เป็นส่วนตัว บริษัทผมเองที่เป็นเจ้าของกิจการเอง ทุกคนก็จะบอกว่าดุ มาทำงานที่นี่ก็พยายามจะไม่ดุ (ยิ้ม) แต่เวลาออกกองมาเจอสถานการณ์ที่มันหน้าสิ่วหน้าขวาน มันก็ขรึมไปเองบ้าง แต่อย่างน้อยก็เป็นผู้ใหญ่พอ ที่จะไม่ลุกขึ้นมาโวยวาย หรือว่าพูดจาด่าทอใคร

ครอบครัวและลูก

ตอนนี้ “ดีจ้า” (ธามัน ธีญานาถธนันชา)ก็สองขวบครึ่งแล้ว ส่งเข้าโรงเรียนแล้ว เพราะว่าพ่อแม่ก็ทำงานทั้งคู่ อยู่บ้านก็มีคุณยายกับพี่เลี้ยง ซึ่งผมก็มองว่าโรงเรียนน่าจะสอนลูกได้ดีกว่า เพราะเขาก็มีหลักวิชาการเครื่องไม้เครื่องมือ มีจิตวิทยา มันก็จะดีมากขึ้น คือพัฒนาการของดีจ้าคือเขาแสบมากขึ้นไม่เหมือนผมหรอก (ยิ้ม) คือเขาจะค่อนข้างกวน จะติดแม่มาก อ้อนพี่เลี้ยง ติดยาย แต่จะไม่ติดผม เพราะว่าผมดุไม่ตามใจเลย ถามว่ารักป๊ะป๋าไหม เขาจะตอบเลยว่าไม่รัก แต่ถ้าไม่มีใครเขาก็เอาเรานะ คือเราจะเป็นตัวเลือกสุดท้ายเสมอ เขาเลี้ยงไม่ยากครับ ถ้ามีโอกาสก็จะเลี้ยงเขาเอง แต่ส่วนมากจะไม่ค่อยได้เจอ เพราะว่าเมื่อก่อนเราก็ออกบ้านแต่เช้า เขายังไม่ตื่นกลับมาบ้านเขาก็หลับไปแล้ว บางทีก็ไม่ได้เจอ 4-5 วัน แม่เขาก็เหมือนกัน เพียงแต่ว่าเราไม่ตามใจเขามากกว่า เลยทำให้เขาไม่ติดเรา ทุกคนตามใจหมด แล้วผมก็คิดว่าน่าจะมีสักคนนึงที่เป็นมารร้าย เป็นยักษ์บ้างซึ่งก็คงต้องเป็นผมนี่แหละ เขาเป็นเด็กที่เข้าใจนะ แต่เขาจะทำหรือไม่ทำเท่านั้นเอง บางทีที่เราดุหรือว่าเขาก็จะฟัง รู้ว่าเราบ่นเขาก็จะทำหูทวนลมบ้าง เดาะปากเล่นบ้าง แล้วก็เฉไฉชวนคุยเรื่องอื่น คว้ากระติกน้ำดูดน้ำ เป็นเด็กที่ขึ้นอยู่กับอารมณ์ คิดว่าโตมาก็น่าจะเป็นคนที่เซ็นซิทีฟ(ติดความเป็นนักแสดงมาจากคุณพ่อไหม ?) อาจจะเป็นไปได้ มีบางจังหวะเหมือนกันที่ผมเห็นตัวเอง คือสั่งซ้ายไปขวาสั่งขวาไปซ้ายซึ่งผมเป็นอย่างนั้น

แพลนเปิดอู่อีกครั้ง

โอ้โห…ยากจังเลยครับ ขอเวลาตัดสินใจก่อน อยากมีนะ แต่จริงๆ การมีลูกคนเดียวมันก็ดี มันมีทั้งข้อดีและข้อเสียครับ สุดท้ายก็แล้วแต่ ถ้าเขาจะมาอีกคนก็มา แต่ถ้าไม่มาก็ไม่ได้ซีเรียสอะไร “แนท” (ทักษญา ธีญานาถธนันชา /ภรรยา) เขาก็ทำงานเยอะไม่น้อยไปกว่าผมนะ เพราะฉะนั้นก็เป็นห่วงเขาเรื่องสุขภาพ ผู้หญิงลองมีลูกสักคนนึงสุขภาพก็จะถดถอย ก็แล้วแต่จังหวะว่าเขาจะมาหรือเปล่า ตอนนี้ก็สนุกกับการเลี้ยงดีจ้าไป เขาจะมีวีรกรรมมาให้แปลกใจทุกวัน

วางอนาคตลูกไว้อย่างไร

ทำอะไรก็ได้ที่เขามีความสุข แม้กระทั่งโรงเรียนเราก็เลือกโรงเรียนที่จะทำให้เด็กมีความสุข ทำให้เด็กอยากจะไปโรงเรียน ทำให้เด็กมีทัศนคติที่ดีต่อสังคม มีน้ำใจโอบอ้อมอารี รู้จักช่วยเหลือรู้จักแบ่งปัน ผมมองว่าในอนาคตการแข่งขันมันสูง ความรู้เพิ่มเติมสามารถหาได้แต่สิ่งที่เป็นเนื้อแท้ในจิตใจของคน หรือเราอยากจะให้ทายาทของเราคนนึงเป็นคนที่ดีของสังคม เป็นคนที่ช่วยทำให้ประเทศนี้ โลกนี้มันน่าอยู่ขึ้น ผมเลือกแบบนั้นมากกว่า ถ้าคุณเก่งมากๆ แล้วคุณเบียดเบียนคนอื่นผมไม่โอเค เราก็เริ่มจากตัวเราเองก่อน ลูกเรา เราก็พยายามสอนให้เขาเป็นคนดี เอาตัวรอดได้ แต่ไม่เบียดเบียนใคร ส่วนพัฒนาการอื่นที่จะเสริมสร้างเขาให้มีศักยภาพที่ดีโดดเด่นขึ้น เราก็ค่อยสนับสนุน ผมไม่จำกัดว่าเขาจะเป็นอะไร เข้าวงการก็ได้ แต่งานในวงการมันก็เหนื่อยนะ เหตุผลของการเข้าวงการของผม มีเหตุผลเดียวเลย คือเราต้องดูแลตัวเอง ช่วยเหลือครอบครัว แต่พอเริ่มเข้ามา มันคือความรักความผูกพัน เพราะว่าเราอยู่ด้วยกันมานาน และไปอินกับเรื่องของการแสดงละคร ซึ่งผมไม่แน่ใจว่าเขาจะชอบเหมือนผมหรือเปล่า เราก็สร้างทุกอย่างเพื่อสแตนด์บายรอเขาพร้อมเป็นผู้ใหญ่ ก็รับหน้าที่ต่อไป

บอกเล่าถึงวันวาน

การเข้าสู่วงการบันเทิงสำหรับผม ผมถือว่าผมมาไกลเกินความฝันแล้วนะ ไม่เคยคิดเหมือนกันว่าวันนึงจะมาถึงจุดนี้ เป็นคนที่มีคนรู้จักในหมู่มากถ่ายโฆษณาตอนอายุ 16-17 แต่มาเล่นละครที่เป็นเรื่องยาวเรื่องแรกเลย ตอนอายุ18 เรื่อง “6/16ร้ายบริสุทธิ์” ซึ่งก่อนนั้นก็มีละครแต่ว่าเป็นละครสั้นรับเชิญ ผมเริ่มต้นจากถ่ายนิตยสาร “เธอกับฉัน” ซึ่งตอนนั้นฝึกงานอยู่ ผมเป็นเด็กศิลป์ เรียนอาชีวศึกษาธนบุรีก็ไปฝึกงานที่ศึกษาภัณฑ์ แล้วก็ลงมาจัดตู้ดีสเพลย์เจอพี่ที่เป็นช่างภาพคอลัมน์ของนิตยสารเธอกับฉัน เขาให้นามบัตร และชวนให้ไปถ่ายรูปทิ้งไว้ เราก็ไปไม่ได้คิดอะไรสยามเราก็ไม่เคยเดิน คือสมัยก่อนวัยรุ่นเขาจะไปเดินสยามกัน แต่เราบ้านนอกมาก (ยิ้ม) หลังจากนั้นพี่เขาก็เรียกให้ไปถ่ายแบบครั้งแรก รู้สึกว่าจะได้เงิน 5,000 บาทมั้ง ดีใจมาก ซื้อกางเกงยีนส์ได้ตัวนึง และได้เงินให้แม่ด้วย แล้วเราก็ช่วยคุณแม่เพราะว่าท่านก็เลี้ยงเรามาคนเดียวตั้งแต่เด็กๆ เพราะว่าคุณพ่อเสีย พอถ่ายแบบก็มีไปเทสต์งานโฆษณาถ่ายมิวสิกวีดีโอ เป็นดัชชี่บอยรุ่นแรก และได้มาเล่นหนัง “ตัวเก็งเต็งหนึ่ง,เด็กเสเพล” แล้วก็ได้มาเล่นละครสั้นหลายเรื่องเล่นละครจริงๆ จังๆ ที่มีคนรู้จักในกลุ่มฐานคนดูละครคือ “6/16 ร้ายบริสุทธิ์” ซึ่งเป็นโปรเจกท์แรกที่ทุกวันนี้ก็คือ “น้องใหม่ร้ายบริสุทธิ์” ตอนนั้นก็เริ่มชอบการแสดงแล้วครับ เรารู้อยู่แล้วว่าเราเป็นคนเซ็นซิทีฟเป็นคนมีจินตนาการ เราได้ปลดปล่อยจินตนาการของเรา

จุดพีคอีกครั้ง

เทิร์นนิ่งพอยท์อีกที คือการกลับมาเล่นช่อง 7 หลังจากที่เคยเล่นละครสั้นๆ ก็มาเล่นเรื่อง “รักเต็มร้อย”กับ “นุ่น-วรนุช” ซึ่งเกิดปรากฏการณ์ละครเย็นฟีเวอร์ กลายเป็นคู่ขวัญกัน และมีละครคู่กันต่อเนื่องมาเรื่อยๆ ก็มีไปเล่นกับนางเอกคนอื่นนะ แต่ถ้าเป็นอัตราส่วนละครในชีวิตที่เล่นมาทั้งหมดเล่นกับนุ่นอยู่ประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ ถือว่ามากที่สุด แต่คนอื่นจะประปราย ผมถือว่าประทับใจทุกเรื่องที่เล่นมา เพราะว่าแต่ละเรื่องจะใช้ศักยภาพในแต่ละแบบแตกต่างกัน แล้วผมเป็นคนที่เล่นละครแต่ละเรื่อง ผมจะสร้างคาแร็กเตอร์ใหม่ให้กับตัวละคร คือไม่พยายามหยิบใช้เหมือนเดิม เราเล่นตั้งแต่เรารู้สึกว่ามันต้องมีแพทเทิร์น จนตอนนี้เราว่ามันไม่มีแล้วปล่อยให้บทนำพาไป

ความแสบซ่าในวันนั้น

ตอนที่เริ่มมีชื่อเสียงกันขึ้นมาใหม่ๆ แก๊งผมมี “จิม-เจจินตัย” ตอนนี้ก็มีลูกสาวกำลังน่ารักมาก เป็นเนตไอดอลดวงใหม่ “อั๋น-ศราวุธ” ก็อยู่เมืองนอกมีลูกสาว 2 คน “แจ้-จตุพล” ซึ่งตอนนี้เป็นคุณพ่อลูก 2 และเป็นเจ้าของร้านอาหารในอเมริกา บอกเลยว่าเพื่อนผมแต่ละคนไม่ธรรมดา (ยิ้ม) อีกคนคือ “พี่เล็ก-ศรัณย์” ซึ่งเสียไปแล้ว เราได้ฉายาเด็กนรก ซึ่งมันมาจากหนังที่เราเล่นด้วยกันของ “พี่มด-นพพร วาทิน”เรื่อง “ตัวเก็งเต็งหนึ่ง” นอกเรื่องแสบมาก ด้วยความซนสมัยนี้เขาต้องเรียกว่าความเกรียน คือความเกรียนมันมีมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ ช่วงนั้นคำว่าเกรียนมันยังไม่มี แล้วผู้ใหญ่เขาก็พูดว่าพวกเอ็งนี่มันนรกจริงๆมันเลยเป็นที่มาของคำว่าเด็กนรก คือมันก็ต้องมีบ้างตามประสาวัยรุ่น เราไปสร้างปัญหาให้กับทีมงานเล่นไม่รู้เรื่อง ทำให้งานเขาช้า ซึ่งวันนี้มันก็ทำให้เราเข้าใจแล้วว่างานโปรดักชั่นมันเป็นอะไรที่ต้องทำงานแข่งกับเวลา

วันที่บทบาทหน้าจอต้องเปลี่ยนไป

ไม่ได้รู้สึกยังไงเลยนะ มันเป็นเรื่องจริงของวงการบันเทิงเรามากกว่า มันขึ้นอยู่กับว่าบทนั้นมันเด่นมากแค่ไหน วันนี้ก็ถือว่าเรายังอยู่ในโพซิชั่นที่โอเคในความรู้สึกเรานะ ไม่ได้เป็นนำเดี่ยวในหลังข่าว แต่เราก็เป็นตัว 2 ผมมองว่าตัวละครมันมีความสำคัญกับละครเรื่องนั้นมากแค่ไหน ถ้ามีความสำคัญ เราเล่นได้เราโอเค

ความสำเร็จ ณ วันนี้

ด้วยหนึ่งอย่างคือด้วยกระแสตอบรับ มีคนที่เป็นแฟนละครติดตามผมตั้งแต่สมัยผมเด็กๆ เยอะนะทุกวันนี้เวลาไปไหนมาไหนไปที่ทุรกันดารไกลแค่ไหนทุกคนเขารู้จัก ผมมีความสุข ผมอยากจะกราบขอบคุณทุกคนเลย ที่สนับสนุนให้ผมเป็น “เขตต์ ฐานทัพ” ได้ถึงทุกวันนี้ 20 ปีที่ผ่านมา มันเป็นอะไรที่สุดยอดมาก ยังกินก๋วยเตี๋ยวฟรีได้อยู่เลย (ยิ้ม) ขอบคุณที่ยังติดตามผลงาน แล้วก็คอยเป็นกำลังใจในทุกเรื่อง บางทีก็เจอกันตามเฟซบุ๊ค เมื่อก่อนก็จะต้องเขียนจดหมายหากัน แต่ทุกวันนี้มันไดเร็กตรงกันหมดแล้วหลายช่องทาง ก็ขอบคุณจริงๆ ที่ติดตามกันมาอย่างยาวนาน และหวังว่าจะติดตามกันต่อไปเรื่อยๆ เราก็มีเปลี่ยนไปบ้างตามกาลเวลา แต่ก็พยายามดูแลตัวเองถนอมสุขภาพ คงไม่ซ่าเหมือนสมัยเป็นวัยรุ่น ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปพอสมควร แต่ว่าสิ่งที่ไม่เปลี่ยน คือเรายังรักในอาชีพการเป็นนักแสดงอยู่เหมือนเดิมครับ

อีกหนึ่งคนบันเทิงตัวจริงที่ทุ่มทั้งชีวิตและจิตวิญญาณเพื่องานที่รัก และนี่คือ “เขตต์ ฐานทัพ” นักแสดงหนุ่มหน้าเด็กที่กาลเวลาไม่สามารถทำอะไรเขาได้

กุหลาบสีเงิน

Star Retro : ‘อำภา ภูษิต’ 40 ปีในวงการ กับปรากฏการณ์สุดเซอร์ไพรส์

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/entertain/341240

Star Retro : ‘อำภา ภูษิต’ 40 ปีในวงการ  กับปรากฏการณ์สุดเซอร์ไพรส์

Star Retro : ‘อำภา ภูษิต’ 40 ปีในวงการ กับปรากฏการณ์สุดเซอร์ไพรส์

วันอาทิตย์ ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2561, 06.00 น.

วันนี้ “ทีมข่าวบันเทิงแนวหน้า” มีนัดจิบกาแฟยามบ่ายสุดพิเศษที่ร้าน Top’s Café ย่านบางบอนกับคนดังแห่งพระนคร “อำภา ภูษิต” ที่ตอนนี้กำลังเกิดปรากฏการณ์สุดพิเศษในชีวิตการเป็นนักแสดง 40 ปี ในวงการบันเทิง กับบทพิสูจน์ของคำว่านักแสดง บทบาทการเป็นคุณแม่ และชีวิตที่ผ่านเรื่องราวมามากมาย

“ตอนนี้ไปไหนคนก็จะเรียกแม่ปริก ป้าปริกคุณแม่บ้าน ก็คือสามารถเรียกชื่อตามละครได้เลยค่ะไม่เป็นไร เพราะว่าเราโดนด่ามาทั่วพระนครแล้ว (หัวเราะ) แต่ก็ดีอย่าง ถึงคนด่าแต่ว่าก็มีคนรักเยอะ จะไปงานไหนก็ตาม เด็กๆ ยังรู้จักเราเลย เรียกว่าเป็นปรากฏการณ์อีกครั้ง ตั้งแต่เล่นช่อง 3 มา แต่ละเรื่องปังทุกเรื่อง อย่างตอนที่เล่นกับ “ตั๊ก-บงกช” เรื่อง “นิราศสองภพ” แล้วมา “นางบาป” ของ “พี่ปิ่น” ต่อมาก็ “ทองเนื้อเก้า” เป็นยายแลถล่มทลายทั่วบ้านทั่วเมืองเลย วิ่งขึ้นไปโชว์ตัวแป๊บเดียวขึ้นรถไปต่ออีกงาน จูงมือกันไปกับ “น้องยอร์ช” แล้วก็ “พี่โย-ทัศน์วรรณ”จนมาอีกครั้งนึงก็บุพเพสันนิวาส ซึ่งก็ไม่คิดว่าจะมีวันนี้ เราคิดว่าละครคงจะดังประมาณนึง แต่ไม่คิดว่าจะดังเว่อร์ทุกตัวทั่วพระนครขนาดนี้ต่างประเทศเพื่อนก็เขียนมาบอกว่าฝรั่งชอบมาก ยัยปริกเขาขอให้เราส่งโลเกชั่นบ้านไปให้ดู แล้วเขาก็ซูมดูแค่เห็นหลังคาบ้านก็ยังดี (หัวเราะ) เราก็มีความรู้สึกว่าโอเคนะ ดีๆ ตอนนี้มีงานละครเข้ามาเรื่อยๆ ที่ออนแอร์อยู่คือ “รูปทอง” ทางช่อง gmm25 ซึ่งรับบทเป็นป้าของพระเอก เป็นคนปากร้ายใจดี ก็สนุกไปอีกแบบเหมือนกัน”

ตัวตนในแบบของ “อำภา ภูษิต”

จะบอกว่าตัวเองเป็นคนไม่ค่อยปกติ (หัวเราะ) เป็นตัวตลกของบ้าน แต่ว่าตลกกับลูกกับแม่กับคนใกล้ชิดนะ ถ้าคนงาน ก็จะดูว่าแต่ละคนเขาเป็นยังไง จะมีเถียงกันบ้าง คือเราเป็นคนที่เวลาอยู่บ้านจะไม่ยอมทำอะไรเอง แต่แม่เราเป็นคนที่ทำอะไรเองหมด เราก็มีความรู้สึกว่าทำไมแม่เราต้องทำ เราจ้างให้มาดูแม่เรา ทำไมไม่ทำให้แม่เรา ในเมื่อแม่ไม่ใช้ เราก็ใช้สิตื่นเช้าลงมาเนี่ยของกินเพียบ แต่ว่าห้องนอนห้องพระเราจะไม่ให้ใครขึ้นนะ คือจะทำความสะอาดเองถ้าอะไรขยับ เราจะรู้หมด ห้องพระจะปิดสนิทเลยไม่ให้ใครเข้า เพราะว่าจะเข้าไปไหว้พระทุกคืน ถ้าเรารู้แล้วว่าเช้าวันนี้ต้องถ่ายถึง 4 ทุ่ม แล้วพรุ่งนี้เช้าต้องตื่นเช้า เราก็จะเข้าซะเลยเช้านี้ แต่ถ้ามันสุดวิสัยจริงๆ ก็จะเข้าไปสัมมาอะระหัง 3 จบ จะมีบทสวดสั้น ซึ่งเมมไว้ในโทรศัพท์ สวดประมาณ 10 นาทีก็เสร็จ แต่ถ้าแบบยาวจะประมาณชั่วโมงกว่า นี่คือมุมสงบของเราที่มีความสุข

มุมของความเป็นคุณแม่

มีลูกสาว 2 คน เป็นแฝดค่ะชื่อ “น้องเนม-น้องนาว” ส่วนใหญ่ก็จะฮัลโหลกัน คือเราอยู่บ้านด้วยกันก็จริง แต่ว่าเวลาว่างจะไม่ค่อยตรงกัน เพราะเขาก็ออกทำงานแต่เช้า และเราจะมีไลน์กลุ่มส่วนตัว
ในบ้านกัน วันนี้คุณแม่อยู่ร้านนี้ ใครอยากทานอะไรบ้าง เราก็จะซื้อเข้าไป คุณแม่ซื้อของอยู่ ใครเอาอะไรบ้าง ของใช้ในบ้าน ส่วนใหญ่ถ้าจะไปด้วยกันก็วันครอบครัว สงกรานต์ไปบังสุกุลคุณตาคุณทวดที่เราจะทำประจำและที่สำคัญคือล้างเท้าแม่ทุกปี แล้วเราก็จะเอาน้ำนั้นมาอาบราดตั้งแต่หัวลงมา เราก็จะสอนลูกด้วย แต่จะบอกเขาว่าไม่ต้องราดหัวก็ได้เอาแค่อาบตัวมันก็เป็นสิริมงคลแล้ว

สไตล์การเลี้ยงลูก

แอ๊วจะเป็นซิงเกิ้ลมัมตั้งแต่แรกแล้ว ลูกเรียนโรงเรียนเอกชนที่นึง ซึ่งไม่ว่าคุณแม่จะรวยหรือจนก็สามารถส่งเรียนได้ เรารู้สภาพเราว่าเราหากินคนเดียวโทรศัพท์ลูกอยากได้เราก็ต้องซื้อให้เขา แต่ต้องถนอมให้ดีนะมีปัญหาอะไรโทร.หาแม่ พี่น้องเขามีอะไรเขาจะปรึกษา รถซื้อ 2 คัน ลูกยังเรียนไม่จบเลยเขาขอขับรถไปโรงเรียนกัน 2 คนพี่น้อง เราก็อนุญาต แต่ก็ต้องไปขอคุณครูจอดรถ จอดได้อาทิตย์เดียวทางโรงเรียนบอกว่าขออนุญาตเถอะค่ะ ครูบางคนยังไม่มีรถ เราก็ขอโทษ ก็จอดข้างโรงเรียนไปบ้าง เลี้ยงลูกเหมือนเลี้ยงทางโทรศัพท์ แต่เขาจะมีสัญชาตญาณของเขาเองคือหนึ่งเขามีแม่คนเดียว ดังนั้นเขาจะรู้ว่าต้องทำตามใจแม่ อะไรที่แม่ไม่ชอบเขาก็จะไม่ทำ มีอะไรจะเล่าให้ฟัง เพราะเราแก้ปัญหาได้ เขาไม่ดื้อแต่เป็นเด็กทันสมัย ทำอะไรแม่จะไม่ยุ่ง ไม่ก้าวก่ายเรื่องส่วนตัว แต่ต้องไม่เสียหาย

คุณแม่เห่อลูกสาว

ตอนเรียนหนังสือทุกคนรู้หมดว่านี่คือลูกดาราจากที่เขาเขิน ก็กลายเป็นชินแล้ว เพราะว่าคุณแม่เวอร์(หัวเราะ) เวลาลูกเล่นละครมีกิจกรรมอะไรที่โรงเรียน แม่ก็จะต้องไป เราก็ภูมิใจของเรานะ ในฐานะคนเป็นแม่ เขาเป็นดรัมเมเยอร์เราก็ต้องไป นั่งอยู่บนรถสงกรานต์เราก็ไป แล้วก็จะให้คนตามถ่ายรูปตลอด กว่าเขาจะถึงโรงเรียน แล้วก็จะชอบจับเขาแต่งตัวเหมือนกันด้วย พอเขาเริ่มโตเขาก็อาย ขอใส่อย่างอื่นที่มันไม่เหมือนกันบ้าง เราก็บอกว่าใส่เหมือนกันมันน่ารักนะลูก แต่เขาก็บอกว่าเขาโตแล้ว เราก็เลยตามใจเขา อยากใส่อะไรก็จัดการกันเอาเอง เพราะว่าพอโตเขาก็ไปกันคนละทาง เราก็ปล่อยเขา

อยู่ที่ดวงชะตาฟ้าลิขิต

น้องนาวเขาเคยเล่นละครด้วยนะ เรื่อง “ผยอง” ทางช่อง 3 แต่ว่าละครไม่ได้ออนแอร์เขาเสียใจมาก เพื่อนก็รอดู เขารู้สึกเสียเซลฟ์เลย บอกว่าไม่เล่นอีกแล้วนะ แม่ก็ไม่ว่า เป็นแม่ก็เสียเซลฟ์ แต่ตอนนั้นก็เหมือนว่าเราอยากให้เขาลองงานแสดง และบทแก่นๆ สมวัย ซึ่งเขาก็เล่นได้ค่ะ อาจจะด้วยสายเลือดนักแสดงจากแม่ แต่ว่าพอละครไม่ได้ออนแอร์ เขาก็เลยเหมือนไม่ได้ตั้งเป้าตรงนี้แล้ว การที่จะมาเป็นนักแสดงใช่ว่าแม่อยู่ตรงนี้แล้วคุณจะมาเป็นได้นะคะ มันต้องอยู่ที่ดวง แล้วอยู่ที่ว่าบางครั้งเราเข็นกันแทบตายแต่เราไม่เคยเข็นลูกเราเลยนะ บางคนไม่ต้องเข็นหรอกดวงมันใช่ ออร่ามันออกเรื่องเดียวก็เปรี้ยงปร้าง อย่างแม่ก็ไม่เคยเล่นมาก่อนเข้ามาก็เพราะดวงจริงๆ เล่นๆ แล้วหนังได้ 3 ล้านบาท 40 ปีที่แล้ว แล้วตอนประกวดนางงามเขาก็ว่าเราเป็นนางงามเดินสาย แต่จริงๆ ไม่ใช่นะ เราเวทีเดียว ฟลุคขึ้นเวทีเดียวเวทีแรกก็ได้รางวัลเลย ประกวดเทพีสงกรานต์สวนสามพราน ด้วยความที่เรายิ้มไม่หุบ เพราะว่าผ้าสไบที่เราใส่เป็นลูกปัดแล้วมันไปติดตามร่องเวที เราก็เดินต่อไปไม่ได้ เลยยืนยิ้มทั่วตัวเลย ไม่ใช่ยิ้มเก่งนะ แต่ยิ้มขอความช่วยเหลือ (ยิ้ม) จนมีคนเขาวิ่งมาปลดให้แล้วเราก็เดินต่อไป แล้วไหว้ เราตัวเล็กๆ คนที่ได้ที่ 2 เขาตัวสูงชนะเลิศได้ ทอง 2 สลึง เงินสองพัน ถ้วยเงินใบนึง จะบอกว่าที่เราเข้ามาตรงนี้ก็เป็นความบังเอิญนะ และได้รางวัลตลอด

วันวานที่หวนคิดถึง

เข้าวงการตรงนี้มาก็อย่างที่บอกค่ะ คือพี่สาวไปเดินแฟชั่นโชว์กับ “อาจารย์สำราญ วิจักขณา” แล้วเราก็บังเอิญไปดู อาจารย์สำราญเห็นก็เลยส่งเราเข้าประกวดเวทีสงกรานต์สวนสามพราน “เด่นชัยวัฒนา” ก็เห็นว่าสาวไทยคนนี้ดูเข้มหน้าตาน่ารักก็เลยเอาไปประกวดมิสอินเตอร์เนชั่นแนล 45 ประเทศ คัดออกมาแค่ 3 ประเทศแต่ว่าเราไม่ได้รางวัลอะไร เพียงแต่ว่าเราเอาผ้าไทยแล้วก็วัฒนธรรมการไหว้ของเราไปเผยแพร่ ตอนนั้นอายุ 18 เด็กมาก ไปร้องไห้ทุกวันอยากกลับบ้าน คิดถึงบ้าน แต่ก็ไปจนรอด กลับมาก็ได้มาเล่นหนังของ “คุณจิรวรรณ กัมปนาทแสนยากร” คุณแดงตอนแรกอยากได้นางเอกโจรคือตัวดำแล้วเอามาเล่นคู่กับ “พี่จิ๊ก-เนาวรัตน์” คือนางเอก 2 คน พอตอนหลังบทไม่เสร็จ ก็เลยเอาเราไปเล่นเรื่อง “ฟ้าหลังฝน” ก่อนก็คงไม่ต่างจากลูกโจรคือเป็นกรรมกรก่อสร้าง ส่งแฟนเรียนหนังสือ ก็จนอีกแหละ แต่ว่าหน้าตาไม่มีเล่ห์เหลี่ยม คิดอะไรพูดอย่างนั้น เริ่มต้นบทบาททางการแสดงด้วยบทจ๊นจน(หัวเราะ) ตอนแรกที่ว่าจะเล่นกับพี่จิ๊กก็เปลี่ยนตัวมาเล่นกับ “สุพรรษา” ปั้นขึ้นมาอีกคน เล่นด้วยกันเรื่อง “รอยลิขิต” เป็นลูกโจรคนนึงลูกนายอำเภอคนนึงบทลูกโจรก็คือไม่พ้นเรา เขามาทีหลังเขายังได้เล่นเป็นลูกนายอำเภอเลย เป็นนางเอกในค่าย จิรบันเทิงฟิล์ม และโด่งดังขึ้นมาอีกจากเรื่อง “สามใบเถา” ซึ่งตอนนั้นต้องเรียกว่าคิวทองมาก รับงานเป็นเช้าเรื่อง กลางวันเรื่อง เย็นเรื่อง 10 วันจบเรื่อง เมื่อก่อนเรื่องละสามหมื่น เก็บเงินเป็นฝักถั่วเลยค่ะ แต่สโลแกนของ “อำภา ภูษิต” คือต้องดำ ต้องร้องไห้ ต้องเสียใจ เป็นแม่คนจนไม่มีร่ำรวยกับเขาหรอก ถ้ารวยก็คือคุณนายแจ๊ดแจ๋ไปเลย

คู่ขวัญในยุคนั้น

“วิฑูร กรุณา-อำภา ภูษิต” เล่นด้วยกันตั้งแต่เรื่องแรกเลย “ฟ้าหลังฝน” และเล่นด้วยกันแทบทุกเรื่อง แต่ก็ไม่ได้เป็นแฟนกัน เพราะว่าตอนนั้นคุณพ่อขับรถให้ ก็จะเป็นอะไรที่เรียกว่าไม่เคยมีใครได้ย่างกรายเข้ามาจีบ จีบพ่อไปก่อน แต่จริงๆ พ่อไม่ได้มีปัญหากีดกันลูกสาวนะ เพียงแต่พ่อไปแล้วพ่อก็ไปนั่งตรงนั้นตรงนี้ตามประสา แต่ทุกคนเกรงใจ เพราะว่าพ่อขับรถมาให้เลยไม่กล้าเข้าใกล้ แล้วเราก็เป็นลูกสาวที่เชื่อฟัง พ่อแม่ทำกับข้าวไปให้ทุกวัน เราจะนอนอยู่ในรถพอถึงคิวก็จะลุกไปถ่าย ก็เลยเป็นแค่คู่ขวัญกันในจอ

ในวันที่ต้องผลัดเปลี่ยนบทบาท

จากนางเอกเป็นนางร้าย จากนางร้ายเป็นแม่เล้า สารพัดที่จะเล่น (หัเวราะ) เราไม่ได้ยึดติดกับคำว่านางเอก เราไม่ได้เกิดจากนางเอก เราเกิดจากตัวเอก เราเกิดจากการเป็นนักแสดงเพราะฉะนั้นก็คิดว่าคำว่านักแสดงมันยิ่งใหญ่กว่านางเอก คุณไม่ได้อยู่คนเดียว คุณต้องอยู่เป็นคณะเป็นหมู่ ไม่ว่าเราจะไปเช้าไปสายไปบ่าย เราก็ต้องไปให้ตรงเวลา อยู่กับคนหลายๆ คน เราต้องทำตัวให้ถูก นั่นแหละคือสิ่งที่เราต้องยอมรับกัน เรื่องตรงต่อเวลาเป็นสิ่งสำคัญ เคารพทุกอย่าง ยังไม่ถึงคิวเราก็ไปรอหมดคิว 4 ทุ่มเราก็กลับ แต่ถ้าสมมติว่าเรามีงานอะไรก็จะถามเขาเลยวันนี้มีคิว 5 โมงเย็นนะปล่อยได้ไหม ถ้าไม่ได้เราก็ต้องบอกอีกงานเลยว่าไม่ได้ เราจะไม่มีการหนีไป

ความสำเร็จ ณ วันนั้น

ต้องบอกว่าตอนนั้นด้วยความที่เราเด็กมากๆ นะคะ แล้วเราก็ไม่รู้ว่าเราเล่นได้ยังไงและทำไมเขาถึงเลือกเรา คือเขาให้เรานั่งเท้าคางแล้วมองหน้า “อาเปี๊ยก-พิศาล” เขาก็บอกว่าเอาเราเล่นเลย เราก็งงว่าแค่นี้ เขาเลือกเราแล้วเหรอ ก็คือสายตาเราไม่ได้บอกอะไรเลย เป็นสายตาที่ว่างเปล่าจริงๆ ไม่มีเลศนัย คือใสๆ ของแท้ ซึ่งเขาต้องการนางเอกใสๆ จากวันนั้นที่เล่นหนังก็ได้มาเล่นละคร และขยับบทบาทเปลี่ยนไปเรื่อยๆ จากนางเอกอายุ 18 ไม่น่าเชื่อนะคะ (ยิ้ม) มันเร็วมากเลย แต่ก็เคยแอบคิดนะว่าถ้าเขาไม่จ้าง เราก็คงไม่เล่น มีอยู่พักนึงไม่มีใครจ้างแล้วน้อยลงเหลือแค่เรื่องเดียว เราก็อยู่เรื่อยๆ เผอิญมันฟลุค “พี่อ๊อฟ-พงษ์พัฒน์” เอาไปเล่นก็เลยเล่นมาเรื่อยๆ เลยไม่ได้หยุด ณ วันนี้ถ้าย้อนอดีตไปได้เราก็อยากเป็น “อำภา ภูษิต” ที่สมบูรณ์แบบที่สุดโดยที่ตัวเรารู้ว่าเราเป็นคนที่เก็บเงินเก่ง เราก็จะขอมีลูกแค่ 2 คน กับแม่กับพ่อ เรื่องอื่นเราก็คงจะไม่สนใจมีลูกแล้วก็จบกันไป เราอยู่กับลูกเราแฮปปี้กว่า ฉันรู้ว่าฉันรวยตรงนั้นแน่ๆ แล้วฉันคงจะไม่มองใครแล้ว ไม่เคยเหงาไม่มีคำว่าเหงา (ยิ้ม) อยู่บ้านยังมีหมา 2 ตัวให้เลี้ยงอีกโอ้ย..สนุกสนาน ช่วงนี้อาจจะนอนน้อย เพราะงานเยอะมาก แต่ถ้าวันไหนที่ว่างจริงๆ ก็จะนอนอยู่ที่บ้าน แล้วก็มีหมอนวดคนนึงคอยนวดให้สบายๆ แล้วอีกข้อนึงก็คือถ้าว่างก็จะไปซื้อของเข้าบ้าน เพราะว่าลูกคงไม่มีเวลาเข้าเด็กก็จะจดมาให้ว่าขาดอะไรแล้วเราก็ไปจัดการซื้อของเรา หรือบางทีก็รอในรถให้คนของเราขึ้นไปซื้อๆ

ความห่วงใยจากลูกๆ

เขาจะขอพิเศษก็คือ ขออย่างเดียว คุณแม่อย่าเล่นไลน์ระหว่างขับรถ กิ๊กนึงคุณแม่ดูแล้ว คุณแม่ห้ามเด็ดขาด ถ้าจะดูต้องชิดซ้าย เขาห่วงมากเรื่องการขับรถ กลัวรถชน ก็เลยจะห้ามเพราะว่าถ้าเราเป็นอะไรไป เขาคงเสียใจ เขาจะไม่ให้จับเลย ถ้าไปคนเดียว แต่ถ้าไปกับเขา เขาก็จะให้เราเล่นไปเลยเดี๋ยวเขาขับรถให้

เข้าถึงแฟนๆ

เมื่อก่อนไอจีจะปิดนะคะ เพิ่งจะเปิดสาธารณะได้ไม่นาน คือเราจะเลือกรับคนที่เรารู้จัก แต่มีคนนึงเขามาทักแล้วบอกว่า แม่ครับ แม่รีวิวสินค้าไหมแม่เปิดไอจีเลย อาทิตย์เดียวจากสองสามพัน ลูกจ๋า14K คืออะไร คุณแม่ได้เป็นหมื่นแล้วค่ะ เร็วมาก คนที่มาตาม ตอนที่เป็นยายแลได้เยอะมาก พอเยอะมากแล้วมันมีปัญหา คนเข้ามาคอมเมนท์ด่าว่าอะไรที่มันดูไม่น่ารัก เราก็รู้สึกไม่สบายใจ คือเราอ่านทุกคอมเมนท์แล้วตอบ และมันยังมีปัญหาจากพวกไอจีปลอมที่ไม่ใช่เราอีก ก็เลยจะฝากบอกตรงนี้ว่าเรามีแค่ไอจี aewampaphusit เท่านั้น มีคนติดตามอยู่ประมาณสองหมื่นกว่าคน นอกนั้นไม่ใช่ของจริงนะคะ คือเราก็แคร์แฟนคลับทุคน แคร์คนดีๆ ที่เขาเข้ามาหาเรา แต่ทำไมคนบางคนมากลั่นแกล้งเรา เลยตัดใจลบอันเก่าไปและนี่สร้างขึ้นมาใหม่และไม่รับสาธารณะ แต่พอมาเป็นยายปริกมันก็จำเป็นที่จะต้องเปิดสาธารณะ และไม่ได้ไปตอบโต้ไปว่าใครทั้งสิ้น

อนาคตที่วาดไว้

อยากทำร้านสวยๆ นั่งสบายๆ แล้วก็มีร้านก๋วยเตี๋ยวไก่ด้วย เพราะว่าเราไม่กินหมูกับเนื้อ แต่เป็นร้านเล็กๆ ก็พอนะคะ คือเราเห็นแล้วว่าขายก๋วยเตี๋ยวเนี่ยทุนน้อยมาก ทำร้านให้สะอาดๆ น่านั่ง และลูกสาวเขาก็บอกว่าอะไรที่เป็นของเรา ทำจากมือเราเอง เขายินดีที่จะทำให้เลย

ความในใจถึงแฟนๆ

ต้องขอบคุณทุกคนค่ะที่ติดตามผลงานมาตลอด มีเกลียดบ้างรักบ้าง แต่ก็ไม่เคยโกรธใครค่ะก็ต้องกราบขอบคุณที่ได้ดูเราแล้วก็ให้กำลังใจมาตลอด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องส่วนตัวหรือเรื่องอะไรทุกคนจะเข้าใจว่าเราเป็นคนยังไง 40 ปีในวงการ ยาวนานมากนะคะ แต่ก็ยังคงจะอยู่ตรงนี้เรื่อยๆไม่ไปไหน ใจนึงก็อยากเป็นผู้จัด เคยรวมคนไว้ว่าจะทำแต่พอมีงานเข้ามาเราก็ไปงานก่อนอันนั้นก็ไม่เป็นไรได้ทำเมื่อไหร่ก็ค่อยว่ากัน

นอกจากจะทุ่มเทฝีมือเพื่อสร้างสรรค์ผลงานออกมาให้แฟนๆ รับชมแล้ว ยังมีความห่วงใยใส่ใจแฟนๆ จึงทำให้ “อำภา ภูษิต” ได้ใจคนดูทุกครั้งในทุกบทบาทการแสดง

กุหลาบสีเงิน

Star Retro : ‘พีท ทองเจือ’ลุยงานเต็มสูบ หวังดันลูกๆเข้าวงการ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/entertain/339842

Star Retro : 'พีท ทองเจือ'ลุยงานเต็มสูบ หวังดันลูกๆเข้าวงการ

Star Retro : ‘พีท ทองเจือ’ลุยงานเต็มสูบ หวังดันลูกๆเข้าวงการ

วันอาทิตย์ ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2561, 06.00 น.

จะเห็นว่าพักหลังพระเอกหล่อตลอดกาลพีท ทองเจือ นั้นหันไปหลงใหลกับการแข่งรถเป็นชีวิตจิตใจ พร้อมเปิดทำธุรกิจส่วนตัวเกี่ยวกับอุตสาหกรรมรถยนต์ เพื่อต่อยอดความชอบ จนไม่มีเวลามาเล่นละครให้แฟนๆ ได้ติดตามกันอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดพีทก็ขอทุ่มเทรับงานแสดงอย่างเต็มที่อีกครั้ง โดยเจ้าตัวเผยว่าอยากทำเพื่อให้ลูกเห็นการทำงานจริงๆ และเป็นการสอนให้เขาเข้าสู่ถนนสายบันเทิงอย่างมีคุณภาพ วันนี้ “ทีมข่าวบันเทิงแนวหน้า” ขอพาไปเจาะลึกเบื้องหลังกลวิธีที่จะก้าวไปสู่ความสำเร็จและมีที่ยืนในสังคมอย่างภาคภูมิใจในแบบฉบับของ พีท ทองเจือ

จุดเริ่มต้นในวงการบันเทิง

ผมเกิดที่อเมริกา และกลับมาตอนอายุ 6 ขวบ พอมาถึงก็เผอิญคุณลุงผมเป็นเพื่อนสนิทคุณพ่อของ คุณใหม่-ปิยะวงศ์ กรรณสูต มีสตูดิโอเวิร์กช็อป แกเป็นตากล้องและกำลังทำโฆษณาตัวหนึ่งให้บริษัทต่างประเทศ และเห็นเรา ก็เลยเรียกให้มาเล่นหนังโฆษณา พอเล่นก็ได้รับการตอบรับดี หลังจากนั้นก็มีโฆษณาอื่นๆ ตามมาเรื่อยๆ แล้วก็เริ่มแสดงละครเรื่องแรก“ชายในฝัน” ช่อง 5 เป็นพระเอก แล้วก็มาเล่นซีรี่ส์“จ้อนกับแดง” และเล่นละครมาเรื่อยๆ ค่อยๆ โตขึ้นมาในกองถ่ายก็ว่าได้

วัยรุ่นไฟแรงรับงานเต็มที่

ถือว่าเป็นวัยรุ่นที่เป็นนักแสดงแบบฟูไทม์ แต่ก็เรียนหนังสือไปด้วย ทำควบคู่กันไป เป็นช่วงหัวเรี่ยวหัวต่อ ช่วงอายุ 12-13 ปี หลังจากนั้นคุณพ่อคุณแม่ก็ส่งกลับไปเรียนเมืองนอก แล้วก็ไปเรียน 5 ปีไม่ได้กลับมาเลย ตอนนั้นก็คิดว่าเราหมดอายุการทำงานตรงนี้ไปแล้ว แต่ปรากฏว่ากลับมาเที่ยวช่วงอายุ 16-17 เป็นวัยรุ่นเต็มตัวจริงๆ แมกกาซีนก็สนใจให้เราถ่ายแบบถ่ายอะไรเยอะแยะไปหมด ก็จะมีช่วงหนึ่งที่บนแผงหนังสือมีหน้าเราขึ้นปกเกือบทุกเล่มเลย ตั้งแต่ เธอกับฉัน, เพื่อนเดินทาง, วัยน่ารัก ฯลฯ ก็จะมีงานเข้ามาตลอดใน 3 เดือนที่กลับมาช่วงโรงเรียนปิด ก็เหมือนเป็นการหารายได้พิเศษพอเปิดเทอมก็กลับไปเรียนต่อ แต่ก็ยังไปๆ มาๆ

เลือกตัดสินใจกลับมาเมืองไทย?

ตอนเรียนจบก็ทำงานเองอยู่ที่โน่น เป็นบาร์เทนเดอร์ อยู่ในบาร์ รายได้ดีมาก แล้วตอนที่กลับมาก็เพราะมาเยี่ยมคุณแม่ คืออยู่ที่โน่นมีบ้าน มีรถ เป็นของตัวเองหมดแล้ว แต่พอกลับมากลายเป็นว่าเป็นที่ต้องการของผู้จัด คนทำงานในวงการ ด้วยวัยที่กำลังเป็นหนุ่ม เราก็เลยตัดสินใจกลับมารับงาน โฆษณาที่เปรี้ยงเลยก็คือ เป๊ปซี่ แล้วก็มีภาพยนตร์ และเล่นละครเรื่องแรก “หนึ่งในทรวง” ช่อง 3 แล้วก็ดังมากประสบความสำเร็จ ละครก็เข้ามาเรื่อยๆ หลากหลายช่องมากขึ้น

เลือกแสดงในบทบาทที่แตกต่าง

การทำงานของผมก็ตั้งใจว่า งานจะต้องเป็นงานได้รางวัลนะ คือจะมีช่วงหนึ่งที่เป็นช่วงล่ารางวัลของเราซึ่งได้สมใจเกือบทุกรางวัล อย่างตอนที่จะตัดสินใจรับเล่นละครแต่ละเรื่องจะคิดเยอะ อย่างเช่น เรื่อง“เงาราหู” ช่อง 3 ของบรอดคาซท์ฯ ก็จะพิจารณาอยู่2-3 เดือน ผมจะเป็นคนที่ตัดสินใจยาก แต่ตัดสินใจนะไม่ใช่ไม่ตัดสินใจ แค่ขอดูบทดูอะไรก่อน ส่วนเรื่องเงินไม่ใช่ประเด็น แต่แค่ว่าสิ่งที่ผมตั้งเป้าคือมองหารางวัลมากกว่าก็เลยตั้งใจ จะบอกว่าเล่นละครเพื่อล่ารางวัลก็ไม่ผิด (หัวเราะ) เรื่อง “เงาราหู” ได้รางวัลโทรทัศน์ทองคำ ดารานำชายดีเด่น หลังจากนั้นก็มี รางวัลเมขลา ผู้แสดงนำชายดีเด่น จากละคร “ซอสามสาย”แล้วก็เริ่มไปเล่นให้ช่อง 7 แล้วก็ได้อีกทีกับรางวัลเมขลา ผู้แสดงนำชายดีเด่น จากละคร “อังกอร์” เรามีเป้าหมาย อันไหนที่เรารู้ เราทุ่มเท เราทำงานเต็มที่ ทำงานหนัก วางแผนไว้ได้ ฉะนั้นสิ่งที่เราตั้งใจทุกอย่างก็เกิดขึ้นได้ อย่างเรื่อง “ยุทธการปราบนางมาร” ที่ตัดสินใจรับเล่นก็เพราะว่าบทแบบนี้ที่ผ่านๆ มายังไม่เคยเล่นเป็นคนพิการ ก็เลยรู้สึกว่ามีอะไรที่ท้าทายดีครับ

ลุยงานเต็มสูบ

นิดหนึ่งครับ ถือว่าเป็นช่วงที่กลับมารับงานในวงการมากขึ้น อย่างตอนนี้ก็มีละครที่กำลังออนอยู่ของช่องวัน31 ส่วนที่ถ่ายทำอยู่ก็มีของช่อง 8 ช่อง 3 และ ช่อง GMM25 คือ ตอนนี้โปรแกรมแข่งรถต่างประเทศออกมาหมดแล้วไงครับ เราก็จะส่งตารางวันที่เราว่างให้ผู้จัดแต่ละคนดู ให้เขาเลือกลงคิวละครเรื่องนั้นๆ ช่วงนี้ก็เลยจะกลับมายุ่งๆ กับงานในวงการเพิ่มขึ้นนิดหนึ่งครับ (หัวเราะ) คือเมื่อก่อนทำงานเจ็ดวันเต็มทำอยู่เจ็ดวันเจ็ดปีกว่า

บทบาทการแสดงที่โหยหา

ส่วนมากบทบาทสไตล์ผมก็ต้องเป็นแอ๊กชั่น ตอนนี้ก็ยังชอบอยู่ และไหวอยู่แล้ว เพราะเราก็เป็นนักกีฬา เมื่อก่อนมีช่วงที่เล่นละครแอ๊กชั่นหมดเลยนะ ระย้า อังกอร์ ดาวคละดวง ที่เล่นบู๊หนักๆ แบบนี้คือเราชอบและไม่ชอบพูดบท จำบทไม่ค่อยได้(หัวเราะ) ก็จะอารมณ์ผู้ชายเน้นสนุกแล้วก็มันส์ แต่ตอนนี้ก็ยินดีรับทุกบทบาทครับ เพราะแม้ว่าเราจะผ่านบทบาทการแสดงมาเยอะแล้ว ทุกวันนี้ก็ต้องบอกเลยนะครับว่าก็ไม่มีบทไหนที่ง่าย ต้องใช้ความพยายามอยู่ไม่ได้บอกว่าเล่นเรื่องไหนก็ได้ เราก็ต้องมีผู้กำกับคอยช่วย

งานเบื้องหลังก็มองไว้?

สนใจนะ หลังจากแต่งงานใหม่ๆ ตอนนั้นก็บินไปทำหนังที่อเมริกา เป็นโปรดิวซ์ฯ ปัจจุบันก็มีคนรวบรวมโปรเจกท์หนังต่างๆ มาให้ดูอยู่ น่าสนใจนะและก็พิจารณาอยู่ แต่ก็ยังไม่ได้ตัดสินใจอะไรมาก จริงๆ ก็มีโปรเจกท์ที่คิดๆ ไว้อยู่บ้างเหมือนกันแหละ (ยิ้ม)

วงการบันเทิงสอนการใช้ชีวิต

ผมเริ่มงานในวงการบันเทิงตั้งแต่ 6 ขวบกว่า ปีนี้อายุ 50 ปีแล้ว ก็ถือว่านานมากนะ วงการบันเทิงให้เราในเรื่องของความพอดี การบลาลานซ์ตัวเองผมแนะนำนักแสดงหรือผู้ที่จะเข้ามาในวงการในอนาคตหรือคนที่เพิ่งเข้ามาไม่นานว่า เราต้องบลาลานซ์ตัวเองให้ได้ในทุกๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นการอยู่ร่วมกับคนในสังคม ให้เกียรติคนรอบตัวไม่ว่าเขาจะเป็นใครก็แล้วแต่ ตรงนี้แหละที่จะทำให้คุณอยู่ได้ยาวนานมากๆ แล้วก็วินัยในการทำงาน เป็นนสิ่งที่อยู่ติดกับตัวเราแล้วก็เป็นยี่ห้อของตัวเรา เวลาที่คนทำงานหรือคนที่สร้างงานเขานึกถึงตัวเราขึ้นมา ฉะนั้นเรื่องวินัยการทำงานสำคัญมาก ไม่เก่ง ไม่มีความสามารถ ไม่ใช่เรื่องใหญ่ แค่มีความตั้งใจและความพยายาม อดทน และอีกอย่าง ความสำเร็จไม่ได้เกิดขึ้นแค่ชั่วข้ามวันข้ามคืน แต่ถ้ามันเกิดขึ้นมา คุณต้องเรียนรู้และรับมือกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วให้ได้ และต้องไม่หลงแสงสีเสียงที่เกิดขึ้น เพราะว่ามันจะกระทบที่ไม่ใช่แค่ตัวคุณเอง มันจะกระทบคนรอบๆ ตัวคุณ หรือแม้กระทั่งคนในครอบครัว เมื่อเราคอนโทรลตัวเองไม่ได้

ไลฟ์สไตล์ที่ใช่กับสิ่งที่ชอบ

การแข่งรถ เป็นอะไรที่ผมทำมานานมากๆ ในช่วงปีนี้ก็เป็นนักแข่งอาชีพ อยู่ในสังกัดของ ปตท. แล้วก็จะมีสปอนเซอร์ต่างๆ ดูแลเรา ปีนี้ก็แข่งรุ่นโอเพ่น ก็คือ เป็นรุ่นที่รถแรงที่สุด รุ่นใหญ่ที่สุด เป้าหมายตอนนี้ก็คือแชมป์ ISUZU ONE MAKE RACE 2018ส่วนงานแสดงช่วงนี้ก็เรียกว่า คืนกำไรให้กับลูกค้ามากกว่านะครับ (หัวเราะร่วน) จะเลือกบทที่น่าสนใจ แต่จริงๆ อยากทำให้เป็นตัวอย่างให้กับลูกๆ เหมือนเวลาเรามาทำงานในกองถ่าย น้องก็มาด้วย มาดูว่าเราทำอะไรยังไงบ้าง เขาก็จะถามว่าแต่ละตำแหน่งทำงานยังไง หรือไปนั่งดูผู้กำกับแต่ละคนทำงาน นี่แหละผมว่าเป็นสิ่งที่ต่อให้มีเงินก็ซื้อไม่ได้ กลับมารับเล่นละครเพื่อสอนลูกเข้าสู่วงการอย่างมีคุณภาพ คือทำให้เขาเห็นการทำงานต่างๆ หรือเวลาอ่านบทก็จะให้น้องช่วยต่อบทให้เรา ก็จะสอนเขาไปด้วยว่าไม่ใช่การอ่านนะต้องใส่อารมณ์ลงไปด้วย ใส่มูดเข้าไป ถ้านึกไม่ออกก็ใช้เสียง ก็เหมือนสอนเขาไปด้วย ซึ่งผมก็ไม่ได้หวังว่าเขาจะเข้ามาเต็มที่นะ อย่างน้อยก็ได้ลองดู แล้วแต่ละคนก็มีทางของเขา คือผมว่าการที่พ่อ-แม่ช่วยสนับสนุนให้ลูกๆ ตามหาฝันของตัวเองให้เร็วที่สุด เสียเวลาตอนนี้ยังดีกว่าเสียเวลาตอนโต

ผลักดันลูกๆ เข้าวงการ

ก็เป็นสิ่งที่เขาต้องเรียนรู้นะครับ แต่หลักๆ แล้วเขาก็ต้องเรียนหนังสือ ช่วงนี้ก็ต้องฝึกฝนหาชั่วโมงบิน หาประสบการณ์ไปเรื่อยๆ สิ่งที่เราสอนหรือฝึกเขาก็คือให้น้องได้เห็นทุกอย่างตามเหตุผล ตามความเป็นจริง และเลือกทำหรือไม่ทำ ตัดสินใจให้ถูกและให้เร็วที่สุด แล้วก็เตรียมความพร้อมที่จะอยู่ในสังคมในอนาคตให้ได้

ลงมือทำให้เห็น

น้องๆ ก็โตกันหมดแล้ว ลูกสาว 2 คน คือ น้องเซย่า กำลังจะอายุ 14 ปี น้องมิย่า 12 ปี และน้องโลเตอร์ ลูกชายคนสุดท้องอีก 1 คน กำลังจะ 10 ขวบ ครอบครัวเราจะเน้นอยู่ด้วยกัน สมมุติผมไปทำงาน เขาก็จะไปด้วย อยู่เป็นเพื่อมาให้กำลังใจแล้วแต่ละคนเราก็จะฝึกให้ดูแลตัวเองได้ ทำงานเป็น สอนให้ทำงานหาเงินเอง แล้วอีกอย่างที่สำคัญก็คือ ให้น้องๆ ตามหาความฝันของตัวเองให้เจอเร็วที่สุด แล้วก็ทำ ให้ไปถึงความฝันนั้นเร็วที่สุด อย่าเสียเวลาเพราะว่าจากประสบการณ์ของผมเองบางอย่างเราชอบก็ได้แต่มอง แล้วเราก็รู้สึกว่าเสียเวลา กว่าจะได้เข้ามาทำจริงๆ เพราะฉะนั้นต้องค้นหาพรสวรรค์ของเขาให้เจอเร็วที่สุด แล้วก็รีบพุ่งเข้าไปตรงนั้น ซึ่งแต่ละคนเขาก็จะมีความแตกต่างกันไป น้องเซย่าก็จะมาสาย ว้อยท์ ส่วนน้องมิย่า ก็จะมาสายเต้น ตอนนี้ก็เรียนเต้นฝึกซ้อมอยู่ ผมก็พยายามจะส่งน้องเข้าไปออดิชั่นของค่ายเกาหลีที่เกาหลีใต้เร็วๆ นี้ และคนเล็กน้องโลเตอร์ เล่นดนตรี ตีกอง และเป็นนักแข่งรถเขามีทักษะ ขับรถได้ดี ปีนี้ก็ตระเวนแข่งที่เมืองนอกแล้วเวลาเราไปกันก็จะยกไปทั้งครอบครัว คือครอบครัวเราจะอยู่ด้วยกันตลอดเรียกว่าเป็นวิถีในการใช้ชีวิต

แบ่งเวลาเติมความหวาน

ผมก็คิดว่าเราทำในส่วนของตัวเองได้ดีที่สุดและเรียบร้อยนะ เช่น ดูแลเขาอย่างดี ไม่คิดแบบผู้ชายที่แบบว่าขอเวลาส่วนตัวไปสังสรรค์กับเพื่อน ถ้าผมไปก็จะชวนเขาไปด้วย หรือว่าเขาไปสังสรรค์กับเพื่อนเราก็พาลูกไปด้วย อาจจะอยู่โต๊ะข้างๆ (หัวเราะร่วน)คือหลังจากแต่งงานมีครอบครัวมานี่ ไม่เคยออกไปเที่ยวกลางคืนเลย น่าจะ 16-17 ปี ได้แล้วมั้ง เราก็ไม่ได้ออกไปสังสรรค์กับเพื่อน ไม่อยากออกไปไหนอยากอยู่กับครอบครัว ถ้าเพื่อนอยากเจอก็มาหาที่บ้านผมรู้สึกว่าถ้าจะไปไหนก็อยากจะอยู่กับลูกๆ และภรรยาดีกว่า

ธุรกิจครอบครัว

ผมทำบริษัทเกี่ยวกับอุตสาหกรรมรถยนต์ ลูกค้าเราก็จะเป็นโปรดักซ์สินค้าต่างๆ เกี่ยวกับรถยนต์เป็น (Supplier) ทำมาเกือบ 13 ปีแล้ว งานก็จะเปลี่ยนไปตามเวลา ช่วงเศรษฐกิจดีมากๆ ก็จะมีงานหลายแขนงเกิดขึ้น บริษัทต่างๆ มีเม็ดเงินที่จะใช้ พอเศรษฐกิจไม่ดีเม็ดเงินน้อย รูปแบบงานก็เปลี่ยนไป ปรับสภาพไปตามเศรษฐกิจ และส่วนตัวผมเองก็มีทำเครื่องดื่มชูกำลัง “Hero Star” เป็นผลิตภัณฑ์ energy drink เป็นสารสะกัดไม่มีสารเคมีเลย พยายามจะลุยตลาด AEC ตอนนี้ก็เพิ่งเริ่มต้นมาประมาณ 2 ปีแล้ว ก็ต้องใช้เวลา ยังไม่ได้หวังผลอะไรมาก เราหวังผลอีก 10 ปีข้างหน้า ลูกๆ โตแล้วมากกว่า (หัวเราะ) ส่วนภรรยาก็มีทำกล้วยหอมทองแท้บางกรอบ “ตรา ฟาร์มวิล” สั่งออนไลน์ได้ และก็มีรับทำเค้กด้วย ที่คนชอบก็จะเป็น เค้กมะพร้าว สามารถสั่งจองได้ที่ Line :@milkywaybakery

เส้นชัย

โชคดีที่ชีวิตผมเหมือนมีหลายเส้นทาง ไม่ได้แค่ทำงานในวงการบันเทิงอย่างเดียว ธุรกิจอื่นก็ทำผมขอใช้คำว่า มีที่ยืนในสังคม คือ การมีที่ยืนกับมองหาที่ยืนต่างกันนะ บางช่วงก็อาจจะยืนโล่งๆ บางช่วงก็ยืนอย่างแออัดแน่นๆ หน่อย ก็ไม่เป็นไร ในช่วงบั้นปลายของชีวิต ตอนนี้ก็ถือว่าบั้นปลายแล้วนะ (หัวเราะ) เพราะเราตั้งใจจะรีไทร์ตัวเองเร็ว ไม่ได้จะบอกว่าใช้ชีวิตมามากที่สุด แต่จะบอกว่าเราก็ผ่านอะไรมามากมายหลายเหตุการณ์ ทุกๆ วันก็ยังเป็นการเรียนรู้อยู่ยังไม่มีสูตรสำเร็จหรือมีบทสรุป แค่ว่าทุกวันนี้เราก็ยังดูแลลูกๆ และภรรยา แล้วก็หวังว่าลูกจะสามารถเข้าไปอยู่ในสังคมได้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุด ไปไหนคนรัก คนเอ็นดู แล้วก็มีภูมิคุ้มกันที่จะต่อสู้กับสังคมในอนาคตได้ แค่นี้แหละคือสิ่งที่เรามองไว้

หลักการใช้ชีวิตเวลาท้อ

จริงๆ แล้วการดำรงชีวิตในสังคมปัจจุบัน กับลูกๆ 3 คน แล้วก็ ภรรยา การเป็นหัวหน้าครอบครัว เราก็ผ่านเหตุการณ์มากมาย ส่วนมากปัญหาต่างๆ จะเกิดขึ้นจากตัวเราเองนี่แหละ เช่น ทำภารกิจบางอย่างที่ใหญ่แล้วก็เกิดปัญหารอบตัว โจทย์ก็คือใครจะแก้ปัญหาได้เร็วที่สุด แล้วก็เดือดร้อนน้อยที่สุด สิ่งที่คนเราจะต้องยอมรับให้ได้ก็คือ ความไม่สมหวัง หรือความพ่ายแพ้ เราอยากให้เป็นแบบนี้แต่มันไม่เป็น สุดท้ายแก้ไม่ได้ก็ต้องปล่อยวาง เพราะถือว่าเราทำดีที่สุดแล้ว

ฝากบอกมิตรรักแฟนคลับ

แฟนๆ ที่เข้ามาคุยกับเรา อยากเจอ อยากถ่ายรูป ขอลายเซ็น กี่คนที่เจอก็มักจะมีคำถามที่ว่า เล่นละครอีกไหม เมื่อไหร่จะได้ดู โอ้โห..ลูกโตแล้วนะ เราจะชอบดูความรู้สึกต่างๆ ของคนที่เข้ามาทักทายเราดีใจที่ทุกคนดีใจ เรามีที่ยืนในจิตใจของพี่น้องคนไทย สมัยก่อนนะ ไม่มีโลกโซเชียลช่วย ที่บ้านก็จะมีแฟนละครเขียนจดหมายมาหาวันหนึ่งพันสองพันฉบับ ฉะนั้นความโด่งดังในสมัยก่อนคือดังจริงๆ มันไม่มีโซเชียลช่วย และโชคดีที่เราก็อยู่ในช่วงเชื่อมต่อของสองยุค ผมก็เจอคนรุ่นที่ดูละครเราเยอะๆ เขาก็พยายามหาเราจนเจอทั้งไอจี เฟซบุ๊ค เขาก็จะมาบอกว่าดีใจมากที่เดี๋ยวนี้มีไอจี ทำให้โลกที่กว้างๆ แคบลงมา

เรียกว่าจะกี่ยุคกี่สมัย พีท ทองเจือ ก็ยังเป็นขวัญใจแฟนคลับทุกเพศทุกวัยอย่างเหนียวแน่นเหมือนเดิม!!

กุหลาบสีเงิน

Star Retro : ‘โจม-ศุกล’ เคยบอกปัดผู้จัดฯดัง ก่อนหลงรัก ‘งานแสดง’

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/entertain/338427

Star Retro : ‘โจม-ศุกล’ เคยบอกปัดผู้จัดฯดัง ก่อนหลงรัก ‘งานแสดง’

Star Retro : ‘โจม-ศุกล’ เคยบอกปัดผู้จัดฯดัง ก่อนหลงรัก ‘งานแสดง’

วันอาทิตย์ ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2561, 06.00 น.

“ยิ่งอยู่นานยิ่งสนุก” เป็นนิยามการทำงานในวงการบันเทิงของ โจม-ศุกล ศศิจุลกะ หรือชื่อเดิม กมล ศิริธรานนท์ พิธีกร นักแสดงอารมณ์ดี ที่มีผลงานออกมาให้แฟนๆ ติดตามอย่างต่อเนื่อง ทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง กว่าโจมจะมายืนจุดนี้ได้เขาต้องผ่านอุปสรรคมานับไม่ถ้วน โดยเฉพาะการต่อสู้กับตัวเอง ซึ่งใครจะรู้ว่าในตอนแรกโจมไม่ชอบการแสดงเอามากๆ ถึงขั้นปฏิเสธบทละครของผู้จัดชื่อดัง แต่กลายเป็นว่าทุกวันนี้อาชีพนักแสดงที่โจมพยายามหนี กลับทำให้เขามีความสุขอย่างที่ไม่คาดคิดมาก่อน สตาร์เรโทรสัปดาห์นี้เราจะไปย้อนดูเส้นทางวันวานของโจมแบบหมดเปลือก พร้อมส่องชีวิตครอบครัวกับภรรยาและลูกที่น่ารักของเขา

อัพเดทผลงาน

ผมมีงานละครที่เพิ่งจบไปคือ “คมแฝก” ทางช่อง 3 และที่ยังออนแอร์อยู่ตอนนี้ก็ “รูปทอง” ทุกวันจันทร์-อังคาร ช่วง 2 ทุ่ม 20 ช่อง GMM25 และมีทำรายการของตัวเอง Mission Idol (ภารกิจคนดัง) ทุกวันอาทิตย์ บ่าย 3 โมง ทางช่อง Nation TV 22

เปลี่ยนชื่อ ชีวิตเปลี่ยน

เปลี่ยนชื่อมาประมาณ 5 ปีแล้วครับ ถือว่าดีขึ้นนะ คือเมื่อก่อนชื่อ กมล ศิริธรานนท์ นี่คือชื่อจริงตั้งแต่เกิด ตอนนั้นจำได้ว่าทำรายการแล้วมีสัมภาษณ์ในรายการสะบัดช่อ ผมก็ถามว่าการเปลี่ยนชื่อมีผลต่อชีวิตเหรอครับ เขาก็บอกว่ามีสิ ชื่อมีส่วน 30% และพฤติกรรมมีส่วน 70%จนกระทั่งถ่ายรายการเสร็จ ผมถามอาจารย์แล้วอาจารย์ก็บอกว่าชื่อผมอยู่ในระดับเลวร้าย ตอนนั้นผมไม่เชื่อเรื่องแบบนี้หรอก ก็เลิกคุยไปจนมาเล่าให้แฟนฟัง แม่ฟัง และคนอื่นๆ แต่ไม่เชื่อนะ(หัวเราะร่วน) กังวล อยู่ไม่สุขล่ะ อยากรู้ ไม่น่าถามเลยก็เลยโทร.ไปหาอาจารย์และนัดคุยกับอาจารย์ และอาจารย์ให้เปลี่ยนทั้งชื่อและนามสกุล ก็ยังไม่เปลี่ยน แต่เขาทักมาว่าจะเกิดสิ่งไม่ดีแบบปัจจุบันทันด่วน ตอนนั้นก็ยังไม่เชื่ออีก แต่ระหว่างนั้นปวดหัวบ่อยมาก ปวดแบบไม่รู้สาเหตุ ตื่นขึ้นมาก็ปวดจี๊ดๆ ก็ไปหาหมอก็มีปัญหานิดหน่อยไม่ได้ร้ายแรงอะไร แล้วประจวบกับคำทักที่ไม่ดีนี้ก็เลยเปลี่ยน กลับไปคุยกับแม่ เปลี่ยนทั้งชื่อและนามสกุลแล้วก็พยายามเลือกตัวอักษรที่ใกล้กับชื่อเดิมให้มากที่สุด ก็เป็น ศุกล ศศิจุลกะ ซึ่งพอเปลี่ยนมาก็ดีขึ้น แต่ไม่ได้ดีจากหน้ามือเป็นหลังมือไปเลยขนาดนั้น

หน้าที่การงาน ก่อนโลดแล่นในวงการ

ทำงานอยู่ที่บริษัท Volvo เป็นเซลส์ฝ่ายขายก่อน พอเข้าวงการก็เป็นหัวหน้าฝ่ายขาย โดยเริ่มงานในวงการบันเทิงจากโฆษณา ชิ้นแรกเลยก็คือ เบียร์สิงห์ แล้วก็มาเป็นพิธีกรรายการสะบัดช่อ ของบริษัททีวี ธันเดอร์ คู่กับ วรุฒ วรธรรม แล้วก็ทำควบคู่ไปกับงานบริษัทประมาณ 2 ปี หลังจากนั้นเศรษฐกิจไม่ดี ก็คิดว่าเราต้องทุ่มเทฝั่งใดฝั่งหนึ่งแล้วล่ะ ก็เลยลาออกและมาเอาดีกับงานในวงการบันเทิง

เมื่อมีผู้จัดเสนอให้เล่นละครแต่กลับปฏิเสธ

พอเป็นพิธีกรอยู่ที่บริษัททีวี ธันเดอร์ ประมาณ 2 ปี เขามาถามผมว่าจะเล่นละครไหม ผมก็ไม่เอา ไม่ถนัด ไม่ชอบ ก็ปฏิเสธไป คือแรกๆ ที่ถ่ายโฆษณา ถ่ายแบบ แล้วผลงานเราเผยแพร่ออกไป ก็มีหลายค่ายเห็นและติดต่อเข้ามาเยอะมากเพื่อที่จะชวนเราไปเล่นละคร หนึ่งในนั้นก็มีพี่ไก่- วรายุฑ เขาเอาบทมาให้ผมที่บริษัท Volvo ผมก็บอกว่าผมไม่ชอบละคร แต่เขาก็ยังเอาบทมาให้ และบอกว่าให้เราไปอ่านก่อนนะ ลองดู ผมก็เอาบทนั้นไปคืนที่บริษัทพี่ไก่ โดยที่ไม่บอกแกด้วยนะคือตอนนั้นไม่ชอบไง ก็ไม่สนใจ เพราะอาชีพหลักเราที่บริษัทก็รายได้ดีไม่เดือดร้อนอะไร ก็เลยปฏิเสธพี่ไก่ไปเรื่องนั้น คือเอาจริงๆ ผมไม่ได้ชอบงานวงการบันเทิงเลยนะ ไม่ได้คิดอยู่ในหัวเลยด้วยซ้ำไป และไม่คิดด้วยว่าจะอยู่มานานจนปัจจุบัน

ประเดิมงานแสดงแรก

เรื่องแรกเลยที่เล่นละครคือ “เขาวานให้หนูเป็นสายลับ” ของ พี่คิง-สมจริง ศรีสุภาพ เล่นไป 3 ตอน รับเชิญยังไม่เยอะเท่าไหร่ แล้วก็มาเรื่อง “แผลหัวใจ” ของทีวี ธันเดอร์ เรื่องนี้เป็นพระเอกนะ (ยิ้ม) หลังจากนั้นก็มีละครมาเรื่อยๆ เป็นพระเอกอีกเรื่องหนึ่งนานแล้วคู่กับ แอน-สิเรียม แล้วก็ผันเปลี่ยนบทบาทเป็นเพื่อน เป็นพี่ เป็นลุง แล้วแต่ผู้จัดจะยื่นบทมาให้ เราก็รับหมดล่ะตอนนี้(หัวเราะร่วน) คือก็เล่นมาเกือบหมดแล้วล่ะ จะเหลือแต่บู๊นี่แหละที่ยังไม่ได้เล่น ซึ่งผมชอบบู๊มากเลยนะเอาจริงๆ ก็มีเล่นบ้างแต่น้อยอย่างในภาพยนตร์เรื่อง “คืนบาป พรหมพิราม” ผมเป็นตำรวจ ก็มีบ้างนิดหน่อย แต่ตอนนี้ก็รอบทบู๊นะครับ (หัวเราะ) หลายคนอาจจะคิดว่าผมเล่นไม่ได้ แต่ผมยังฟิตและได้อยู่ ติดต่อมาได้ครับ (ยิ้ม)

เสน่ห์ของวงการบันเทิง

ผมว่ามีเวลาเยอะนะ หมายถึงว่า เราสามารถบริหารเวลาแล้วก็ทำงานอื่นได้ แต่นั่นหมายความว่าเราก็ต้องทำการบ้านในส่วนของเราไว้ดีแล้วนะ อย่างบางช่วงบางฉากที่ไม่มีเราแสดงเข้าฉากนั้นๆ เราก็สามารถเอาเวลาตรงนั้นไปทำงานอย่างอื่นได้ ผมเองก็เหมือนกัน ผมทำรายการผมก็ใช้เวลาว่างนั้นสั่งงานโปรดิวเซอร์รายการ ตรวจเทปรายการบ้างสั่งงานลูกน้องต่างๆ นานา แล้วอีกอย่างนะวงการบันเทิงรายได้ดี (ยิ้ม) คือถามว่ายากไหม ก็ยาก แต่ถ้าเราผ่านพ้นจุดที่ต้องฝึกฝนช่วงแรกที่มีทั้งความกดดันอะไรต่อมิอะไร ความกลัว อาการวูบวาบๆ ร้อน หนาว สั่น เสียงเปลี่ยน มือไม้ไปไม่ถูก แต่ถ้าเราผ่านตรงนั้นไปได้ก็จะสบายล่ะ เพราะแรกๆ ผมก็เป็นเหมือนกัน ผมไม่ใช่คนมีแวว ฉะนั้นก็ต้องใช้ประสบการณ์และการฝึกฝน ผมว่ามันขึ้นอยู่กับพรสวรรค์และความเข้าใจ พอตอนนี้เราผ่านมาได้แล้วทุกอย่างก็สนุกและมีความสุขกับงานที่เราทำ ตอนนี้ชอบเลย เกิดความสนุก และรู้สึกว่านี่ไม่ใช่งานแล้วล่ะ นี่คือการพักผ่อนของเราอีกรูปแบบหนึ่ง การมาเล่นละคร มากองเจอคนที่หลากหลายก็เอ็นจอย

เมื่อพูดถึงงานถนัดอย่างพิธีกรก็ไม่ง่าย

ถ้าเป็นรายการตัวเองที่ทำอยู่สนุกนะ แต่ก่อนหน้านั้นที่เป็นของคนอื่นเราจะกังวล ตอนแรกที่เข้ามาเป็นพิธีกรใหม่ๆ เครียดมากนะ จังหวะ วิธีการพูดต่างๆ ลึกซึ้งมาก หรืออาจจะเป็นเพราะผมใส่ใจรายละเอียดเกินไปด้วยมั้ง ต้องการความเพอร์เฟกท์ เช่นการส่ง เพื่อเชิญแขกรับเชิญ เสียง ระดับเสียง จังหวะ ช่วงของการเว้นคำพูด รอไฟจับ รอกล้อง รอมิวสิก ต้องรอทุกอย่างนะ เป็นรายการทอล์กโชว์ด้วย เวลาพูดก็ต้องตาไว หูฟัง จับจังหวะทันต้องให้ไปพร้อมกัน มีรายละเอียดเยอะครับ แต่พอเรามาทำเองเป็นของเราก็รู้สึกสบายรีแลกซ์ขึ้นตัดความเครียดตรงนั้นออกไปได้เลย เพราะปัจจุบันคนดูก็เปลี่ยนไป การนำเสนอก็เปลี่ยนตามไปด้วย คนดูไม่ได้ชอบอะไรที่เป็นพิธีการแต่ชอบความเป็นเรียลิตี้ ชอบอะไรที่สุด ผิดได้ยิ่งสนุก เช่น จะเห็นว่าคนดูชอบดูรายการทางทีวี.น้อยลง แต่ชอบดูไวรัล คลิปสั้นๆ โพสต์ ไลฟ์ พวกนี้ไม่มีสคริปต์ เลยทำให้คนชอบดู เพราะรู้สึกว่าเหมือนกับเรา ใกล้ตัว ดีและชัดเจน ทำให้การทำพิธีกรของผมตอนนี้ไม่ต้องต้องเป๊ะตามสคริปต์เหมือนเมื่อก่อนแล้ว ผิดก็ผิด ไม่ต้องตัดทิ้ง สามารถตัดออกอากาศได้ เราเป็นเจ้าของรายการก็มองในเชิงที่เป็นคนดูอยากได้อะไรด้วย

ผลงานประทับใจ

ละครเรื่อง “เจ้าบ้าน เจ้าเรือน” ตอนนั้นเล่นเป็น แรม ข้าราชการเก่าแก่ไปมีเมียน้อยกินเหล้าตกอับ คือบทนี้ผมรู้สึกว่าเล่นแล้วอิน (หัวเราะร่วน) อินตรงที่ว่ากินเหล้าแล้วก็ป่วยและตาย คือปกติผมไม่กินเหล้าไง เล่นไปก็รู้สึกสงสารตัวเองเหมือนกันนะ

ครอบครัวในปัจจุบัน

ตอนนี้มีลูกชาย 1 คน อายุ 19 ปี เรียนวิศวะ อยู่ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก็ไม่ได้บังคับหรือกะเกณฑ์อะไรให้เขา ผมเลี้ยงลูกแบบคนหัวสมัยใหม่นะ เลือกเอง เขาอยากจะทำอะไรก็ไม่ห้าม ล่าสุดจะลงชมรมฟอร์มูลาวัน คือเขาเรียนการออกแบบรถยนต์มาไง เขาก็เลยวางแผนว่าจะไปทางนี้ ก็ให้เขาลองดู ซึ่งจริงๆ ตอนแรกผมก็คิดเล่นๆ นะว่า เอ๊ะพาเขาเข้าวงการบันเทิงดีไหม เพราะก็มีคนเห็นเขาจากไอจีผมก็เรียกไปดูตัวบ้าง แต่เขาเรียนหนักมาก วิศวะปีแรก ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรก็บอกว่าลองดูก็ได้นะเป็นประสบการณ์ แรกๆ เหมือนเขาจะไม่สนใจ แต่หลังๆ เหมือนเริ่มสนใจละเพราะว่าเห็นเพื่อนตอนที่เรียนมัธยมอินเตอร์ เพื่อนเขาไปทำกันบ้างอย่าง เจ้านาย เจ้าขุน เป็นรุ่นน้องเขาปีหนึ่ง แต่เราก็ไม่ได้ไปบังคับอะไรเขานะแล้วแต่เขาเลย ส่วนคุณแม่ก็แล้วแต่เขาเลยเหมือนกัน

บทบาทความเป็นพ่อของโจม

ผมเป็นพ่อที่วัยรุ่นมากเลยนะ ผมออกกำลังกายทุกวันกับลูก เพราะเขาจะชอบออกกำลังกายทุกเย็น เวลาเขาไป ผมก็ไปด้วย โปรแกรมเขาสั่งมาผมก็ต้องทำตาม (หัวเราะร่วน) ผมแข็งแรงทุกวันนี้ก็เพราะเขานะ แล้วก็ได้ทำรายการด้วย ก็เลยส่งเสริมกัน เพราะเป็นรายการที่ออกแนวเอ็กสตรีมหน่อยๆ ก่อนจะหน้านี้ชื่อรายการ Sport idol แต่ผมมาเปลี่ยนเป็น Mission Idol (ภารกิจคนดัง) ก็เป็นกิจกรรมที่เราชอบ แขกรับเชิญถนัด สนุกๆ ครับ

วงการบันเทิงให้อะไรบ้าง

ให้ความสุขของชีวิต ผมว่าใครที่มีความสุขกับการทำงานได้นั่นคือสุดยอดของการมีชีวิตแล้วนะเพราะทุกคนอยู่ในสังคมต้องมีรายได้ มีงานคุณไม่สามารถบอกว่า การนั่งสมาธิแล้วมีความสุขไปปฏิบัติธรรมแล้วมีความสุข ทำได้ครับ แต่เป็นแค่ระยะหนึ่งเท่านั้น เพราะชีวิตคนเราต้องดำเนินไปมีรายได้ มีครอบครัว ฉะนั้นถ้าชีวิตนี้ทำงานแล้วมีความสุขนี่คือสุดยอดแล้ว ไม่ต้องการอะไรแล้วถ้าการทำงานแล้วเป็นเหมือนการพักผ่อน แถมยังได้รายได้จากงานที่คุณทำแล้ว มันหาไม่ได้แล้วแบบนี้และสุดท้ายจริงๆ ผมก็อยากจะอยู่ในวงการบันเทิงไปเรื่อยๆ เป็นเหมือน อาหนิง-นิรุตติ์ ได้ทำงานและมีสวนเป็นของตัวเอง แล้วก็ดูแลตัวเองดีน่าจะเป็นแนวทางเดียวกัน ตอนนี้ว่างๆ ก็ดูประติมากรรมงานปั้น แต่ยังไม่ได้ศึกษาละเอียดอะไรมากครับ

ความฝันกับการเป็นผู้จัดละคร

ตอนนี้เป็นผู้ผลิตรายการแล้ว แต่พูดไปก็อาจจะเกินตัวไปหน่อย แต่ก็อยากจะเป็นผู้ผลิตละครบ้าง (ยิ้ม) แต่ผมยังไม่ได้ศึกษาเต็มที่ แค่อยากเพราะเชื่อว่าผู้ผลิตละครน่าจะมีรายได้ดี (หัวเราะร่วน)แต่ดูหลายคนแล้วจากเปลือกนอกก็จะเห็นความเครียดเหมือนกันนะ แต่ก็อยากลองเป็นอีกสเต็ปหนึ่งของชีวิตเราเหมือนกัน ก็จะคิดอยู่ในหัวตลอดเวลา

แนะนำนักแสดงรุ่นใหม่

ยุคนี้ผมว่าทุกคนก็อยากจะเป็นดารา อยากเป็นนักแสดง บางคนก็อาจจะใช้วิธีการที่ไม่ดีเพื่อให้คนได้จดจำ ก็แล้วแต่ เราก็ไม่สามารถไปห้ามใครได้ บางคนเขาอาจจะมีความสุขแบบนั้น แต่อยากจะฝากถึงนักแสดงหลายคนว่าที่ท้อถอยจากการแสดงคิดว่าทำไมเล่นหนังเล่นละครแล้วยังไม่ดัง ไม่มีคนรู้จักเรา อย่าไปท้อ เราต้องมีความสุขกับมันก่อน ทำให้ความกังวลต่างๆ หายไปให้ได้ก่อนบางคนก็บอกไม่ได้หรอกยาก แต่ผมบอกเลยว่ามันมีเส้นบางๆ อยู่เส้นเดียวแหละ ถ้าคุณข้ามได้เมื่อไหร่ ทุกอย่างจะคลิกและลงตัวของมันเอง ฉะนั้นต้องยอมลำบากก่อน ผมเองไม่ได้เก่งมาก่อนก็ต้องฝึกฝนเก็บเกี่ยวประสบการณ์ไปเรื่อยๆ ทุกวันนี้ก็เป็นอย่างนั้นอยู่ ต้องคอยดูความเปลี่ยนแปลงของสังคมโลก วงการที่คุณอยู่ และคอยปรับตัวให้ทัน หลายครั้งที่การแสดงแบบเก่าเอามาใช้กับแบบใหม่ไม่ได้ เทคนิคการงอน สงสัย ทำยังไง ขยี้ตา ขมวดคิ้ว มองซ้าย มองขวา มองบน อันนั้นอาจจะเป็นเทคนิคเก่า คนรุ่นใหม่อาจจะไม่ใช่แบบนี้แล้ว ทุกอย่างมีการเปลี่ยนแปลง หรือในฐานะของผู้ผลิตรายการทีวี.ก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลง เพราะคนดูเก่ง เราต้องปรับตัวไปตามยุคสมัยครับ

ขนาดโจมที่ผ่านงานในวงการบันเทิงมาทุกรูปแบบ ยังต้องคิดและปรับตัวเพื่อหาอะไรใหม่ๆ มาตอบโจทย์สังคมยุคดิจิตอล เด็กรุ่นใหม่ที่มีคนคอยหยิบป้อน น่าจะลองนำไปเป็นแบบอย่างนะคะ

กุหลาบสีเงิน

Star Retro : หลากมุมมองรุ่นพี่ สู่ลายเส้นผู้กำกับ ‘นุ่น-หลักเขต วสิกชาติ’

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/entertain/337018

Star Retro : หลากมุมมองรุ่นพี่ สู่ลายเส้นผู้กำกับ  ‘นุ่น-หลักเขต วสิกชาติ’

Star Retro : หลากมุมมองรุ่นพี่ สู่ลายเส้นผู้กำกับ ‘นุ่น-หลักเขต วสิกชาติ’

วันอาทิตย์ ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2561, 06.00 น.

ในบทบาทการเป็นนักแสดง “นุ่น-หลักเขต วสิกชาติ” มักจะสวมบทโหด พูดน้อยต่อยหนัก เฉียบคมด้วยฝีมือ แต่กับอีกบทบาท งานผู้กำกับการแสดง ถือเป็นเป้าหมายสูงสุดในชีวิตที่เขาฝัน และวันนี้เขาก็ได้ทำมัน แต่หนทางกว่าที่จะได้มานั้น ต้องพบเจอและข้ามผ่านอะไรบ้าง “ทีมข่าวบันเทิงแนวหน้า” ล้วงลึกมาให้ทราบกัน

บทบาทหน้าที่ในวันนี้

ตอนนี้มีละครที่ผมกำกับและออนแอร์อยู่คือเรื่อง “บ่วงรักซาตาน” ทางช่อง 3 ครับ เป็นละครยาวเรื่องที่ 2 ที่กำกับ เรื่องแรกคือ “เลือดตัดเลือด” ทางช่อง 7 แต่ว่าก่อนหน้านั้นเคยทำซีรี่ส์เรื่อง “ศีล 5 คนกล้าท้าอธรรม” ซึ่งทำอยู่เกือบ 4 ปี และมี “หล่อล่าผี” เป็นซีรี่ส์ออนทางไทยรัฐทีวี คือเริ่มมาจากศีล 5เป็นละครคุณธรรมสร้างสรรค์สังคม มีหน่วยซีล และมีเรื่องลึกลับเข้ามาพระเอกเห็นวิญญาณ เลยกลายเป็นเรื่องที่มันคลุมโทนด้วยแอ๊กชั่น กับเรื่องลึกลับสืบสวนสอบสวน แต่ตัวจริงผมชอบความเป็นดราม่าในละครมากกว่านะชอบความเป็นมนุษย์ ตอนเด็กๆ ผมโตมากับ “รัตนาวดี, ปริศนา, โดมผู้จองหอง” (ยิ้ม) ชอบดู และอินกับฟิลแบบนี้ ด้วยลุคมันอาจจะขัด แต่ว่ากับชื่อนี่ยังได้อยู่นะ นุ่น (หัวเราะ) แต่ก็ยังไม่มีโอกาสได้ทำละครสไตล์ที่ตัวเองชอบ อย่าง “บ่วงรักซาตาน” มันก็จะมีเส้นโรแมนติกดราม่า ไม่เน้นแอ๊กชั่น ก็เลยเหมือนได้ทำในเรื่องนี้บ้างนิดหน่อย ซึ่งก็แฮปปี้นะ ทำแล้วมีความสุข ผมคิดว่าละครแต่ละเรื่องมันมีโลกของมันเอง เราต้องจัดสัดส่วนหรือความเป็นไปของมันให้อยู่ในโลกใบนั้น ดังนั้นมันต้องหลากหลายและเราต้องตีความ ทำมันออกมา คงจะมีจังหวะในสักวันที่เราจะเจอละครที่มันโดนกับชีวิตเรา

จุดเริ่มต้นความสนใจในงานบันเทิง

ตอนเรียนปี 3 ครับ เรียนนิเทศศาสตร์ ม.กรุงเทพ แต่ตอนนั้นลังเลอยู่ 2 อย่าง คือชอบเรียนศิลปะด้วย แต่เป็นคนไม่ได้อาร์ตมาก ก็เลยเอ็นท์ไม่ติด เลยไปสอบที่ม.รังสิต ติดศิลปกรรมออกแบบภายใน และมาสอบนิเทศศาสตร์ ม.กรุงเทพ รู้สึกว่าสมัยนั้น ก็ดังเรื่องการสื่อสารที่ตัดสินใจเลือกนิเทศ เพราะว่าคุยกับพี่ชายและแม่เราก็ดูแล้วว่าฝีมือการทำงานศิลปะเราเต็ม 10ให้เท่าไหร่ ซึ่งมันก็คือกลางๆ เราก็คิดว่าในยุคนั้นคนที่ทำงานศิลปะแล้วโตมาประสบความสำเร็จ มันต้องเป็นตัวระดับท็อปจริงๆ กับนิเทศด้วยอุปนิสัยเรามีความยืดหยุ่นอยู่ ก็น่าจะเหมาะกว่าไหมก็เลยมาเรียนนิเทศดีกว่า จนปี 3 ก็ต้องเลือกว่าจะไปในทางไหน ทุกสาขามันจะต้องมีวิชา Intro To Performing Arts ซึ่งมันเป็นวิชาเดียวเลยที่ชอบมาก พอเวลาอ่านหรือฟังอาจารย์แล้วเราชอบ เราสนใจมาก มันก็เป็นวิชาประวัติศาสตร์ ศิลปะ ประวัติศาสตร์ ละคร และเรื่องเกี่ยวกับปรัชญาชีวิต กระบวนการทางความคิดจิตวิทยาการแสดง และมันใกล้ความเป็นเรา พอสอบออกมาเต็มร้อย เราได้ 90 กว่าคือไม่เคยได้แบบนี้ ก็เลยค้นพบแล้วว่าเราน่าจะชอบทางนี้ปี 3 ก็เลยเข้าไปเรียนศิลปการแสดงที่ ม.กรุงเทพ ซึ่งเขาเน้นละครเวที ได้เล่นละครเวทีด้วย ได้กำกับได้คิดโปรเจกท์ได้ฝึกการทำงานตั้งแต่ตอนนั้นเลย

ก้าวแรกในงานแสดง

ปี 4 ครับ รุ่นพี่ที่จบมาเขาไปเป็นผู้ช่วยผู้กำกับที่เอ็กแซ็กท์ พี่เอ พี่ใช้ ซึ่งเขาจะดึงพวกรุ่นน้องที่มีทักษะการแสดงพอประมาณให้มาเล่นด้วยเราก็ได้มีโอกาสเข้าไปเล่น เป็นละครแนวแอ๊กชั่นเชือดเฉือน “ชีวิตเพื่อฆ่าหัวใจเพื่อเธอ” เป็นเรื่องแรกเลย เปิดตัวด้วยบทลูกน้องของ “อารุจน์ รณภพ”เป็นมือปืน เราก็จะมาด้วยลุคประมาณนี้ครับผมเป็นคนที่มีความแตกต่างในกระบวนความคิดหรืออารมณ์ของตัวเองอยู่เหมือนกัน คือผมเป็นลูกคนเล็กที่โตมากับแม่ นอนเตียงเดียวกับแม่จน ม.1 ก็เลยได้ความ soft ของแม่มา แต่พ่อเป็นสถาปนิก แนวอาร์ตๆ มึงมาพาโวยหน่อย เลยเป็นการหล่อหลอมกัน ชื่อเล่นเราเลยชื่อนุ่น อยู่กับแม่ก็จะมีพาร์ตเป็นนุ่น งุ้งงิ้ง ส่วนชื่อจริง “หลักเขต”พ่อตั้งให้ มันก็จะดูต่างกัน ลุคเราการแต่งตัวก็เลยเป็นไปตามไอดอลของเราในสมัยนั้น การแสดงของผมมันเหมือนว่าเราจะเล่นน้อยพูดน้อยต่อยหนักแต่ว่าจริงๆ แล้วมันก็สนุกนะ โชคดีที่เราเอาสิ่งที่เราเรียนมานั้นมาใช้ในตัวละครได้ เรารู้แหละว่าบทมันไม่ได้มีอะไรมาก มันคือลูกน้องเจ้าพ่อ และไปเจอกับ “กัปตัน-ภูธเนศ” พระเอก เราจะสู้กันจะยิงกันยังไงเราก็พยายามเล่นให้มันเต็มที่คาแร็กเตอร์มันก็เลยชัดขึ้นมา เลยได้งานต่อมาเรื่อยๆ แต่ยังเป็นบทลักษณะนี้อยู่ ก็เล่นละครเยอะเหมือนกันนะ ซึ่งผลงานที่ผมประทับใจก็คงจะเป็นเรื่องแรกชีวิตเพื่อฆ่าฯ บทประพันธ์ดีตัวละครมีมิติ แล้วมาอีกเรื่องก็คือ “สองเสน่หา” เรื่องนี้จะมีบทพูดเยอะหน่อย เป็นนักธุรกิจเจ้าเล่ห์ แล้วมันจะไปอีนุงตุงนังอยู่กับตัวแฝดที่ “อั้ม-พัชราภา” เล่น

งานเบื้องหลังก็ทำควบคู่ไปด้วย

ทำมาตั้งแต่แรกอยู่แล้วครับ ตอนที่เล่นละครเอ็กแซ็กท์ ผมทำพร็อพ ทำหนัง “มือปืนโลก/พระ/จัน” ด้วย แล้วก็เล่นด้วย เป็นสแตนด์อิน11 ตัว คือมันเห็นกว้างๆ (หัวเราะ) แล้วก็ทำกับ“พี่ปลา”(พีรพล เธียรเจริญ) ตอนที่พี่ปลามากำกับเรื่อง “หักเหลี่ยมกุหลาบ” และเริ่มมาทำผู้ช่วยผู้กำกับก็ทำกับพี่ปลาเหมือนกัน ในเรื่อง“รักเธอทุกวัน” ของโพลีพลัส คือในระหว่างนั้นก็เล่นละครไปด้วย ทำงานเบื้องหลังไปด้วย แต่พอเริ่มทำผู้ช่วย ก็ไม่ค่อยได้เล่นแล้ว เพราะว่างานที่ทำทุกวันมันก็เต็ม หลังจากนั้นก็ไปทำกับ“พี่เชาว์” (ชวลิต พงศ์ไชยยง) เรื่อง “นางสาวผ้าขี้ริ้ว” และกับ “พี่บ๊วย” (พิเชฐ ตงศิริ) เรื่อง “มหาชนชาวแฟลต” เป็นซีรี่ส์นี่ก็ได้วิชามาเยอะพี่บ๊วยเก่งมาก ได้ในเรื่องของการที่จะมาสู่ผู้กำกับในอนาคต เวลากำกับบล็อกเสร็จแกก็ให้เราไปบล็อกกิ้งนักแสดงต่อ แล้วแกดูภาพรวม เราเลยมีแบบพี่บ๊วยเป็นไกด์ ได้เรียนรู้นักแสดงด้วยรวมทั้ง “พี่ตูน” (สุชีวิน แนวสูง)ที่ทำเรื่อง “เซนสื่อรักสื่อวิญญาณ” ของพี่ตูนก็จะได้เรื่องภาพเรื่องการเอาตัวรอด เพื่อให้ทันออนแอร์ พี่ตูนเก่งมากเรื่องการเล่าด้วยภาพ ส่วนพี่ปลาคือจุดเริ่มต้น เป็นมากกว่าผู้กำกับ ผู้ช่วย ดูแลผมมาตั้งแต่สมัยทำหนัง ดังนั้นพี่ปลาคือจุดเริ่มต้นของการที่ผมได้เข้ามามีชีวิตในการทำงานที่เป็นทีมงานอย่างแท้จริง สุดท้ายผมก็กลับมาทำกับพี่ปลาที่โพลีพลัส “เธอกับเขาและรักของเรา” ทีแรกจะมาทำฟรีแลนซ์ แต่ว่าต้องไปถ่ายทำที่จีนไปเป็นกองโจรกัน กลับมาทางโพลีพลัสก็เลยชวนทำประจำ และผมก็ได้ใช้สิ่งที่ผมไปเรียนรู้มาจากพี่บ๊วย พี่ตูน พี่เชาว์ คือผมเจอไม่กี่คนนะ เอามาใช้กับพี่ปลาในการเป็นผู้ช่วยเต็มๆ ที่โพลีพลัส

ตำแหน่งสูงสุดที่ตั้งเป้าไว้

คิดตั้งแต่แรกแล้วครับว่าอยากจะเป็นผู้กำกับ คิดตั้งแต่ช่วงที่เรียนอยู่ และเริ่มทำงานแรกๆ เล่นละครมันแฮปปี้ที่เราได้แสดงได้แอ๊กติ้งออกไป แต่รู้สึกว่าชอบการทำงานเบื้องหลังมากกว่า รู้สึกว่ามันโอเคมากเลย การที่มันมีบทมาแล้วเราอ่าน ซึ่งเราไม่ได้อ่านแต่ในส่วนของเรานะอ่านแบบเอาสนุกเราก็จินตนาการของเราไปตั้งแต่ฉากแรก และพอเรารู้ว่าใครเล่น เราก็จะนึกภาพนั่นคือความสุขของเราจริงๆ นั่นคือสิ่งที่เรานึกออกเราทำได้ แต่เราจะทำมันได้ดีแค่ไหนมันก็ต้องเป็นประสบการณ์ แล้วก็ต้องฝึกฝีมือ ซึ่งนั่นก็คือ direction คือการกำกับ ผมเริ่มเล่นละครตอนอายุ 20 กว่าๆ มากำกับละครตอนอายุ 30 ปลายๆ ก็ใช้เวลานานอยู่นะครับ คือเราก็รู้แหละว่าเราชอบอะไร แต่เราก็ใช้ชีวิตไปตามที่มันเป็นไป มันอยู่ที่จังหวะและโอกาสที่ผู้ใหญ่จะมอบให้ และเราก็ต้องมีโอกาสที่จะแสดงฝีมือว่าเขาซื้อไหมเขายอมรับในสิ่งที่เราคิดไหม คุณมีโอกาสได้อยู่ในจุดที่คุณได้แสดงความสามารถหรือความคิดเห็นหรือเปล่า อย่างที่สองเมื่อคุณได้โอกาสแล้วสิ่งที่คุณทำไปสิ่งที่คุณคิดว่าเป็นฝีมือของคุณมันตอบโจทย์เขาไหม ถ้ามันตอบโจทย์แล้วเขาเลือกคุณไหม เพราะ ณ ตรงจุดที่ตอบโจทย์มันไม่ได้มีแค่เราที่เป็นตัวเลือกคนเดียวหรอก เราต้องยอมรับว่าสิ่งที่เราทำได้ คนอื่นเขาก็ทำได้ แต่ว่าเมื่อไหร่ที่ชีวิตมันเข้าเส้นทางตรงนี้ เราก็ต้องพยายามผลักดันมันให้มันไปต่อ

เมื่อได้ลงมือกำกับ

ผมแฮปปี้ครับ ผมมีความสุข โอเคกับมันมันก็เหนื่อย ก็เครียดนะ แต่ทุกคนเขาก็เหนื่อยก็เครียดไม่ใช่แค่ผู้กำกับผู้กำกับอาจจะต้องรับภาระมากหน่อย แต่เจอสภาวะนี้แล้วแลกกับสิ่งที่เราชอบ เราถนัด เราแฮปปี้ในการทำ ได้เงินเดือนค่าจ้างกลับมา มันดีแล้วที่เราได้ทำในสิ่งที่เราชอบสิ่งที่เรารักและเป็นรายได้ที่ทำให้เราเลี้ยงชีพได้ เราดีใจมากที่ผู้ใหญ่มอบให้เราทำ แล้วก็รู้สึกว่าความกดดันเริ่มเข้ามาทันที ปัญหาต่างๆ ที่เรารู้อยู่แล้วในฐานะที่เราทำผู้ช่วยตอนนั้นคือละครไม่มีสต๊อก เราต้องวีคต่อวีค แต่ก็ต้องทำมันครับ จากที่เราคิดว่าอยากกำกับ เมื่อไหร่เราจะได้กำกับ พอเขาให้เรากำกับ เราก็ดีใจมากเลย แฮปปี้มีปีติและก็คิดต่อไปว่าเราจะทำได้ดีและเขาจะให้เรากำกับต่อไปอีกหรือเปล่านะ(หัวเราะ) สรุปก็ทำมาเรื่อยๆ กำกับศีล 5 ประมาณ 3 ปีกว่า ศีล 5 เป็นละครที่ผมภูมิใจกับมันเลยนะครับ เป็นซีรี่ส์อาทิตย์ต่ออาทิตย์ เหมือนเราต้องทำงานแข่งกับเวลางานก็ต้องออกมาให้ดี เรตติ้งโอเคเลย อยู่ในอันดับ 1 อันดับ 2 ของช่อง 5 ยาวนาน มันเคยขึ้นอันดับหนึ่งอยู่ 11 หรือ 12 อาทิตย์เลย ผมมีความสุขมาก อาจจะเหนื่อยหน่อยแต่ก็ไม่แคร์เพราะว่าทุกคนก็เหนื่อย

สไตล์ในการกำกับ

เดือดๆ หน่อยนะ (ยิ้ม) บางทีก็ขี้โมโหแต่ก็น้อยนะครับ จะบอกว่าตามชื่อเลยครับ มันมีทั้งความเป็นนุ่นและความเป็นหลักเขต แต่ผมจะมีสเต็ปของความยืดหยุ่นในข้อแม้ที่เราได้คุยกันไว้ก่อนแล้ว สมมติว่าเต็ม 10 เรามีจินตนาการ 9 แต่ด้วยเรื่องงบประมาณและองค์ประกอบมันทำให้ได้อยู่ 7 เราก็ยอมไปที่ 7 แต่ 7 มันต้องสมบูรณ์ให้ได้มากที่สุด แต่เมื่อเวลาการถ่ายจริงแล้วมันไม่ไปสู่ 7 บางทีมันดรอปไป 3 หรือ 4 โดยเหตุผลที่ไม่สมควรกับในช่วงเวลาที่มันจำกัดผมก็มีโมโหนะพอโมโหก็เสียงดังนะแบบผู้ชายเลยล่ะเขาเขวี้ยงกันผมเขวี้ยงแก้ว (หัวเราะ) แต่ไม่ได้เขวี้ยงใส่ใครแล้วเวลาโมโหก็ไม่เคยพูดชื่อหรือระบุชื่อเพราะรู้สึกว่ามันเกินไปถึงแม้ว่าเราจะปรี๊ดขึ้นมาก็เถอะ แต่ทุกคนในกองเขาก็เครียดแหละ เราก็เข้าใจถ้าเราเป็นตลอดเวลาคงเป็นคนบ้าแล้วคงต้องพิจารณาตัวเอง แต่ทุกวันนี้ก็พิจารณาตัวเองเหมือนกันนะก็รู้ว่าเวลาโมโหมันไม่ดี อย่างพี่ปลาเวลาทำงานเขาก็อารมณ์ดีเราก็พยายามปรับตัว

สิ่งที่ได้จากบ้านโพลีพลัส

ณ วันนี้คือเป็นผู้กำกับอิสระ อยู่กับโพลีพลัสมาเกือบ 8 ปี สิ่งที่ได้จากตรงนั้นคือได้สิ่งที่มั่นคงมาเป็นตรงนี้ครับ ได้ความเป็นคนที่มีที่ยืนเป็นคนในองค์กรภูมิใจจะตาย ได้โอกาสในการทำงานประจำจากที่เราทำฟรีแลนซ์มา สองพอเราได้โอกาสจาก “คุณนิด” (อรพรรณ วัชรพล) ที่ให้เรามากำกับมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนะและมันเป็นเครดิตกับตัวไปตลอด ต่อจากนี้เราจะไปทำที่ไหนเราก็คือผู้กำกับที่เคยทำที่โพลีพลัส ได้โอกาสจากคุณนิดได้การเรียนรู้จากการปฏิบัติจริงๆ ได้จากโพลีพลัสเยอะมากเรียกว่าเป็นจุดยืนที่มั่นคงของเรา

ทิศทางในการทำงานต่อไป

ไม่ได้คิดว่าจะเปลี่ยนแนวทางการทำงานอะไรนะครับ แต่แค่คิดว่าเราคงต้องเอาประสบการณ์จากการทำงานกับคนที่เราเรียนรู้มาปรับใช้ให้มันดีขึ้นกว่าเดิมอีก คือเราก็เรียนรู้อะไรมาหลายอย่างทั้งเรื่องของงานและการทำงานร่วมกับคนไม่ว่าจากนี้ไปเราจะไปทำในส่วนของอะไรก็แล้วแต่ เราต้องตระหนักเหมือนกันว่าเราก็ต้องเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาอีกสเต็ปนึงตามคุณวุฒิวัยวุฒิเรา เราต้องตอบโจทย์การทำงานให้ได้เหมือนเดิมแต่กระบวนการขับเคลื่อนมันต้องลงตัวให้มากกว่าเดิม ก็ยังอยากกำกับเหมือนเดิม ส่วนงานแสดงก็มีเพื่อนๆ ที่ชวนให้ไปเล่นบ้าง ก็บอกเขาไปว่าจริงๆ อยากกำกับมากกว่า เขาก็เลยพยายามหาอะไรที่มันสั้นๆไม่ต้องใช้เวลามากมาให้เล่น ก็เออแบบนั้นก็ได้ไม่ได้อิ่มงานแสดงนะครับแต่ชอบการที่เป็นผู้กำกับมากกว่า เพราะว่าสมัยเล่นละครก็ไม่ได้ดังอะไรแค่คนเขาก็คุ้นหน้าเพราะว่าเล่นโหด (ยิ้ม) คือถ้าตอนนั้นเราคิดว่าเราอยากจะเป็นนักแสดงเราอาจจะไม่รอดก็ได้นะ พอโตขึ้นมาเราก็ต้องมีอาชีพในการเลี้ยงดูตัวเอง ตอนนั้นไม่ได้คิดเลยว่าเราจะมีอาชีพเป็นนักแสดง มีคนทักเราก็รู้สึกดีนะเขินนิดๆ แต่ไม่ได้รู้สึกว่าเราเป็นที่รู้จัก

สิ่งที่อยากจะทำนอกจากนี้

ตอนนี้ 45 อีก 5 ปีจะ 50 เต็มที่ 55เราจะอยู่ตรงไหน เราคงต้องสร้างคอนเน็คชั่นอยากเป็นผู้จัดรายย่อย ไอดอลผมคนหนึ่งที่เป็นแนวทางให้ผมก็คือพี่เชาว์ เพราะว่าพี่เชาว์เป็นผู้กำกับ ก่อนนี้ก็เป็นผู้ช่วย ไปกำกับให้คนนั้นคนนี้แล้วก็มาเปิดบริษัทของตัวเอง ละครต่อ 1 ปีของพี่เชาว์ไม่ได้หลายเรื่องแต่ว่าก็คุณภาพทั้งนั้น และสามารถมีพนักงานประจำไม่มากแต่ก็มีชีวิตที่ลงตัวคือผู้จัดละคร เลยนึกว่าอยากจะเป็นแบบนี้บ้าง ไม่ได้คิดออกไปจากงานบันเทิงเพราะว่าเราเรียนมาด้านนี้ทำงานมาด้านนี้มันก็ถนัดในสิ่งที่ทำนี่แหละ แต่แอบคิดว่าเกิดวันหนึ่งทีวีมันความต้องการของคนลดลงมากๆ แล้วเราไม่ตอบโจทย์อายุก็มากขึ้นแล้วเราจะทำอะไรถ้าไม่ได้ทำงานด้านนี้ เป็นเรื่องที่เมื่อปีสองปีนี้แอบคิดๆเหมือนกันว่าเราจะทำอะไรดี หรือว่าถ้าในอนาคตที่เรายังทำตรงนี้อยู่แต่เป็นอะไรส่วนตัวที่แยกไปทำจะได้ไหมยังนึกไม่ออกว่าทำอะไรดี

ที่บ้านเขาก็โอเคกับสิ่งที่เราทำนะครับ พ่อแม่พี่น้องเขารู้อยู่แล้วว่าเราเป็นคนแบบนี้ ก็ต้องขอบคุณแม่กับพี่ที่แนะนำว่าเลือกเอาสิ่งที่คิดว่าตัวเองไปทำแล้วมันจะอยู่ในสเต็ปที่ดีกว่า เลยทำให้เราได้มีวันนี้ครับ และสุดท้ายผมก็อยากจะฝากผลงานการกำกับเรื่องต่อไปด้วย ซึ่งจะเป็นเรื่องอะไรนั้นอยากให้ติดตามกันต่อไป หรือถ้าแฟนละครเจอกันก็เข้ามาทักทายได้ครับ ไม่ดุนะไม่โหดครับทักทายพูดคุยกันได้

และนี่ก็คืออีกหนึ่งบุคคลเบื้องหลังที่รักและพร้อมจะสร้างสรรค์ผลงานดีๆ ออกมาให้แฟนละครได้รับชม “นุ่น-หลักเขต วสิกชาติ”

กุหลาบสีเงิน

Star Retro : ส่องชีวิต ‘บุพเพสันนิวาส’ จุ๊บแจง-วิมลพันธ์ ชาลีจังหาญ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/entertain/334282

Star Retro : ส่องชีวิต ‘บุพเพสันนิวาส’  จุ๊บแจง-วิมลพันธ์ ชาลีจังหาญ

Star Retro : ส่องชีวิต ‘บุพเพสันนิวาส’ จุ๊บแจง-วิมลพันธ์ ชาลีจังหาญ

วันอาทิตย์ ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2561, 06.00 น.

คุ้นหน้าคุ้นตากันดีกับ “จุ๊บแจง-วิมลพันธ์ชาลีจังหาญ” หรือ “อีจวง” หนึ่งในแก๊งบ่าวเรือนใหญ่ของคุณหญิงจำปา จากละครดังแห่งปี “บุพเพสันนิวาส” ของทาง ช่อง 3 ซึ่งการเดินทางมาถึงวันนี้ของจุ๊บแจงนั้น เรียกว่าไม่ธรรมดา สตาร์เรโทรสัปดาห์นี้จึงพาไปส่องชีวิตที่ผ่านมาของเธอแบบหมดเปลือก

โชคชะตาฟ้าลิขิต

ต้องบอกว่าจุ๊บแจงฟลุคมากค่ะ คนที่อยากจะเข้าสู่วงการบันเทิงบางทีก็ไม่มีโอกาส เราถือว่าเป็นคนที่โชคดีมาก ไม่ได้คิดว่าจะมาอยู่ในวงการบันเทิง เพราะเป็นคนขี้อายมาก (เน้นเสียง) เวลารายงานหน้าชั้นเรียน อายสุดๆ แต่ปรากฏว่าเราเอนทรานซ์ติดพยาบาล เชียงใหม่ แต่ว่าแม่ไม่ให้ไปเชียงใหม่ โอเค..ถ้าแม่ไม่ให้ไปก็จะพยายามเรียนอะไรที่จบเร็วๆ สามปีครึ่ง ก็เลยมาเรียนคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ก็เรียนไปทำงานไป ทำ Backstage ทำเสื้อผ้า ทำพร็อพ อยู่เบื้องหลังทั้งหมด จนกระทั่งวันหนึ่ง อาป้ำ-กฤษณพงษ์ นาคธน มาถ่ายละครที่มหาวิทยาลัย แล้วเห็นเรา ซึ่งตอนนั้นเราผมยาวหัวหยิกๆ เขาก็ถามว่าอยากเล่นละครไหม เราก็บอกไม่อยาก เพราะอยากเรียนให้จบ แต่เพื่อนก็บอกว่า เราเรียนนิเทศฯ ถ้ามีโอกาสได้ทำงานตรงตามที่เรียนถือว่าโชคดีนะ และยังได้ตังค์ด้วย เราก็เลย โอเค ลองดู แล้วก็ได้มาเล่นละครเรื่องแรกคือเรื่อง “1 2 3 ชู๊ต” ช่อง 9 หลังจากนั้นก็มีงานโฆษณา ถ่ายหนังสือ มิวสิกวีดีโอ แล้วก็รับละครเท่าที่จะรับได้ เพราะต้องเรียนด้วย แต่พอเรียนจบก็ทุ่มเททำงานในวงการบันเทิงเต็มที่ ทำมาเรื่อยๆ จนตอนนี้ 27 ปีแล้ว

ผ่านมาแล้วทุกบทบาท

เมื่อก่อนเป็นนักแสดงกลุ่มนิวคิดส์ จากค่ายไฟว์สตาร์ อาต๋อย-นฤมล นิลวรรณ เป็นผู้จัด แล้วก็มีเป็นนางเอกคู่สอง คู่สาม อย่างเรื่อง “หวานมันส์ ฉันคือเธอ ภาค 2” จุ๊บเป็นลำนำ คู่กับ กวี (เจสัน ยัง) จริงๆ ตอนแรกลืมไปแล้วนะ พอดีกลับมาเจอ เจสัน ยัง ในกองถ่าย“กำไลมาศ” ก็เลยจำกันได้ หลังจากนั้นจุ๊บก็เล่นเป็นตัวร้ายบ้าง หลากหลายบทบาทมาก คนใช้ คนไม่ดี สารพัดเล่นมาเกือบทุกตัว ถามว่าสนุกตัวไหนก็คงเป็นการเล่นร้ายนะ เพราะก็เป็นสีสันของเรื่อง เป็นภาพจำอย่างตอนเล่น “กำไลมาศ” ก็เล่นเป็น เจิม ถือว่าเป็นความสะใจ (หัวเราะ) การที่เราได้บทที่หลากหลายก็ดีใจค่ะ

งานเบื้องหลังที่โชกโชน

ล่าสุดเพิ่งทำคอสตูม เสื้อผ้า สไตลิสต์ ละครเรื่อง “คุณย่าดอตคอม” จริงๆ จุดหักเหที่มาทำเรื่องเสื้อผ้าก็เพราะแม่ก้อย (ทาริกา ธิดาทิตย์) กับ น้องเอิน (นิธิภัทร์ เอื้อวัฒนสกุล) ตอนนั้นทำละครเรื่อง “แผนร้ายพ่ายรัก” น้องเอินมาทำละครแรกๆ เขาก็อยากได้มุมมองใหม่ๆ ก็เลยเรียกเราไปออกแบบทำสไตลิสต์ให้ เราก็ไปทำให้ช่วงแรก แล้วก็มีเรื่อง “บัวแล้งน้ำ” คือเราก็จะมีทีม จัดเซตทีมเข้าไปทำในแต่ละกองถ่าย ส่วนตัวจุ๊บเองถ้าทำงานเสร็จก็จะไปกองเกือบทุกวัน เพื่ออยากจะไปดูว่ามีปัญหาขาดตกบกพร่องตรงไหนไหม งานที่เราทำไปมีอะไรต้องแก้ไขหรือเปล่า จนผู้จัดบอกว่าไม่ต้องมาก็ได้ เราก็อยากไปน่ะ แล้วนอกจากเป็นคอสตูม หน้าที่ผู้ช่วยผู้กำกับ ก็เคยทำนะคะ เรื่อง “สุริยัน จันทรา” ของอาต้อย-เศรษฐา มี เจิน-วรัญญา
เจริญพรสิริสุข เป็นนางเอก

ถ่ายทอดวิชาความรู้สู่รุ่นหลัง

ถ้าทางมหาวิทยาลัยเชิญมาก็ไปค่ะ ให้ความรู้สอนพิเศษเกี่ยวกับการแสดง วงการบันเทิง แล้วก็สอนการแสดง แล้วแต่สถาบันไหนจะเชิญไป ก็มีสอนที่ มีฟ้า และอีกหลายๆ ที่ ก็ชอบที่จะเป็นครูสอนการแสดงนะ เพราะถือเป็นการเคาะสนิมในตัวเราไปด้วย เหมือนเราจะได้มองดูตัวเราเองด้วย เราก็เลยสนุกมากกว่า แต่อาชีพหลักที่เราอยู่ได้มาจนถึงทุกวันนี้เลยก็คืออาชีพนักแสดงนี่แหละ คือเราเป็นคนที่ต้องรับผิดชอบครอบครัวมีพี่น้อง 6 คนเราเป็นพี่คนโต พอพ่อเสียก็ต้องดูแลน้องๆ ทั้ง 5 คน

อาชีพเสริม เพิ่มเติมรายได้

คือการได้เล่นละคร ผู้จัดหรือใครเขาก็ไม่ได้เรียกเราเล่นทุกเรื่อง ก็เลยเปิดร้านขายเสื้อฟ้าชื่อร้าน “อีโกลด์ ฟลาวเวอร์” มาจากคาแร็กเตอร์ตัวละคร เรื่อง “บ้านไร่ชายทุ่ง” ของช่อง 3 เป็นซิทคอมที่เราเล่นเป็นตัวร้าย สมัยก่อนเปิดที่จตุจักร 1 ปี เพื่อเก็บเงิน แล้วมาเปิดที่ สยามสแควร์ ซ.4 เปิดมา 7-8 ปี แล้วปิดร้านไปทำขายส่งที่ประตูน้ำ ใบหยก ขายส่งได้ประมาณ 5 เดือน ขายดีมากนะ แล้วไฟก็ไหม้ เราก็โยกไปอยู่ที่ ใบหยก 2 พอใบหยก 1 สร้างเสร็จก็กลับเข้ามาใหม่ ตอนนั้นขายดีมาก ลูกค้าต่างชาติเยอะเลย เพราะเสื้อผ้าเราจะสีสันคัลเลอร์ฟูล แล้วจู่ๆ ก็เกิดเหตุการณ์ทางการเมืองขึ้น เดือนหนึ่งเปิดบิลแค่ 4 บิล อีก 20 กว่าวันเงียบ สต๊อกเสื้อผ้าเต็มเลย เพราะอาทิตย์หนึ่งออกแบบเสื้อผ้า 10 แบบ แบบละ 500 ตัว คละสี คละแบบ ครบไซน์ ก็ถือว่าวิกฤติเลยล่ะ ถ้าเปิดร้านต่อไปเราต้องตายแน่ๆ เลยหยุด หมดสัญญาเช่าก็ไม่ต่อ ของสต๊อกที่มีอยู่เราก็เอามาขายตอนงานช่อง 3 ทีวี 3 สัญจร ตลาดนัด ตามห้างที่เขามีศิลปินดาราให้ไปขายของได้ กระจายไป กว่าจะหมดสต๊อกก็เกือบ 2 ปี

เหมือนทุกอย่างจะดีขึ้น เกิดวิกฤติน้ำท่วมหลังจากเพิ่งเปิดร้านขายของที่เมเจอร์รัชโยธิน ทำให้เศษฐกิจซบเซา ก็เลยปิดร้านไม่ต่อสัญญา แล้วก็มาเปิดบริษัททำอีเว้นท์ ทำรายการทีวี ป้อนช่องเคเบิ้ลต่างๆ ตอนแรกก็คิดว่าทำสักรายการสองรายการ สุดท้ายก็ทำไป 5-6 รายการเลยน่ะ (หัวเราะ) แล้วลูกค้าเต็มตลอด เราเป็นพิธีกรเอง แล้วเอาเพื่อนนักแสดงมาทำพิธีกรด้วย แล้วอยู่ดีๆ ก็เปลี่ยนระบบ โดนอีกแล้วครับท่าน (หัวเราะ) ชีวิตเป็นอย่างนี้จริงๆ ขึ้น-ลง เราก็เลยรู้สึกว่าเศษฐกิจไม่ได้ดีแล้วล่ะ หยุดพัก

ทุกปัญหามีไว้แก้ไขและเริ่มต้นใหม่

เครียดมากเหมือนกันช่วงนั้น ก็เลย เอาวะ เป็นลูกจ้างเขาอย่างเดียวแล้วกัน ก็รับทำพิธีกร เล่นละคร อย่างเดียวไปเลย หยุดทำธุรกิจตัวเอง ถือว่าที่ผ่านมาเป็นช่วงวิกฤติในชีวิตเรา บางคนก็อาจจะคิดว่าเป็นหนี้ โดนทุกอย่างแบบนี้ คิดสั้น เครียด แต่เราชอบนะ ซึ่งก็ยอมรับแรกๆ เครียด แต่เราก็รู้สึกว่าดวงชะตาเราก็คงเป็นแบบนี้ล่ะมั้ง คนเราถ้ายังไม่สิ้นหนทาง มีมือ มีเท้า เราก็ต้องสู้ดิ้นรนต่อไป ทำให้เราดีที่สุด ทุกวันนี้ก็เริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ เพียงแต่ว่าก็รอให้เศรษฐกิจดีกว่านี้ ถ้าถามว่าตอนนี้ทำอะไรก็คือ รับทำอีเว้นท์ ทำทุกอย่างที่ใครให้เราทำ ใครจ้างก็ทำ เราไม่ชอบปล่อยโอกาสให้หลุดมือ เราเป็นคนไม่เกี่ยงเงินน้อย ไม่คอยวาสนา เพราะว่าเราคิดว่า คนขยันเท่านั้นที่จะไม่อดตาย แค่นั้นสโลแกนในใจ

แจ้งเกิดใหม่

ถามว่าตลอด 27 ปี มีคนจำเราได้ไหม จำได้นะ ว่าเออคนนี้เล่นละคร แต่สำหรับละคร “บุพเพสันนิวาส” กระแสตอบรับดีมาก จริงๆ บทของ จวง ก็เป็นส่วนเล็กๆ ของเรื่อง ที่เป็นตัวสีสัน เป็นเหมือนผงชูรสที่เขาปรุงให้มีรสชาติ ถามว่าเป็นเรื่องแจ้งเกิดให้เราไหมก็เรียกได้ว่าแจ้งเกิดนะ เพราะว่า เป็นบุพเพสันนิวาส ฟีเวอร์ไปเลย ทั้งประเทศเลย รวมถึงต่างประเทศด้วย เพื่อนจุ๊บที่อยู่ต่างประเทศก็จะอินบ็อกมา ไลน์มา เฟซไทม์มาหา แล้วบอกว่าคนที่โน่นติดมากเลยนะโดยเฉพาะร้านอาหารไทย หรือว่าคนไทย เขาน่ารักนะ คือที่ต่างประเทศเขาจะจับกลุ่มกัน คนไทยด้วยกันไปดูด้วยกันแล้วเขาก็จะมีนัดกันใส่ชุดไทยไปกินข้าวมาเจอกัน คืออาจจะด้วยคิดถึงบ้านก็ส่วนหนึ่ง ก็มีทำมะม่วงน้ำปลาหวานกินกัน เพื่อนที่โน่นเล่าให้ฟัง คือเขาคิดถึงความเป็นไทย

กระแสกับชีวิตประจำวัน

เหมือนเดิมทุกอย่าง ล่าสุดไปที่อยุธยา เด็กเล็กๆ ประมาณ 5-6 ขวบ วิ่งเข้ามาเรียกชื่อเรา พี่จวงๆ เราก็ดีใจนะ เออเขาก็ยังรู้ ส่วนจุ๊บเองก็ทำตัวและรู้สึกเหมือนเดิมทุกอย่างหรืออย่างบางทีเราวิ่งงานรถติด ต้องนั่งมอเตอร์ไซค์รับจ้างไป เขาก็จำเราได้ คนทั่วไปก็จำได้ทักทายกันปกติ เราก็ใช้ชีวิตเหมือนเดิมทุกอย่าง เดินไปซื้อของที่ร้านสะดวกซื้อไปไหนมาไหนทำทุกอย่างเหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงค่ะ อาจจะมีบางคนพูดว่าตอนนี้ บุพเพฯ ดังมากเลยนะ จุ๊บสบายแล้วสิ โน่นนี่นั่น แต่เราก็อยากจะบอกว่ายังเป็นเหมือนเดิมทุกอย่างนะ แต่เราดีใจที่เราไปไหนคนวิ่งเข้ามาขอถ่ายรูป แฮปปี้ดีใจที่เขาเห็นผลงานเรา รักที่เราเป็นตัวละคร เราก็ปลื้มใจดีใจ ขอบคุณไม่ว่าจะเป็น พี่หน่อง (อรุโณชา ภาณุพันธุ์) พี่ใหม่ (ภวัต พนังคศิริ) ช่อง 3 ก็ให้ความเมตตาเรามาตลอด รวมถึงนักแสดง ทีมงานทุกคน น่ารักให้ความเอ็นดู เคมีลงตัว ลงบล็อก เราโชคดีมากๆ เลยถึงแม้ว่าเราจะเป็นส่วนเล็กของละคร แต่ก็ทำให้เรารู้สึกว่าอิ่มใจ เบิกบาน อย่างวันที่รำแก้บนเรารู้สึกดีใจมาก อย่างที่บอกไม่เคยมีแฟนคลับมาตามเรา มาให้กำลังใจเรามีแฟนคลับถามว่าวันนี้จะไปไหนยังไง ซึ่งเมื่อก่อนไม่มี

ความผูกพันกับอาชีพนักแสดง

เมื่อก่อนละครยังไม่ได้อยู่ในสายเลือดของเรา อย่างที่บอกว่าการเข้าสู่วงการบันเทิงเป็นการจับพลัดจับผลูฟลุคๆ มา ก็เลยเหมือนกับว่า เออทำก็ได้เพราะจะได้ต่อยอด มีงานในวงการบันเทิงทำเบื้องหลัง แต่พอมาเล่นละครไปเรื่อย 4-5 ปี มันเริ่มซึมสู่กระแสเลือด พอไม่ได้เล่นละครแล้วคิดถึง เรามีความรู้สึกว่า เฮ้ยบทแบบนี้มันต้องขยี้แบบนี้ กลายเป็นแบบว่าเรารักมัน รักละคร หลอมรวมเราเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน กลายเป็นอยู่ในสายเลือดเราไปแล้ว ถามเราว่าเรารักอะไร เราก็บอกเลยว่า เรารักที่จะได้เล่นละคร อยากจะเล่น อยากจะทำ พอทำแล้วมีความสุข เรามีความสุขเวลาอยู่ในกองหรือเข้าฉาก เราจะดูตลอดว่าเราจะต้องเล่นแบบไหน แค่ไหน คือละครแต่ละเรื่องก็เหมือนกับกับข้าวหม้อหนึ่งหรือผัดจานหนึ่งที่ผู้จัดก็จะไปเลือกวัตถุดิบในตลาดสดหรือซุปเปอร์มาร์เก็ตแล้วก็หยิบๆ มา แล้วผู้กำกับจะเป็นพ่อครัว แม่ครัว ในการปรุงรส แล้วเราก็เป็นอีกหนึ่งรสชาติที่เขาให้ใส่ลงไปในละครแต่ละเรื่อง

ฝากให้คิดเตือนสติดาวรุ่งดวงใหม่

วงการนี้คนในอยากออก คนนอกอยากเข้า วงการนี้สวยหรู หอมหวาน มีชื่อเสียง มีคนนับหน้าถือตา มีคนดูแลเทคแคร์เหมือนเป็นเทวดา แต่ทั้งนี้และทั้งนั้นการที่เราจะอยู่ในวงการบันเทิงให้ยาวนานที่สุด จุ๊บชอบคุยกับดารารุ่นเก่าๆ นะการที่เรายึดมั่นแค่ไม่กี่อย่าง นั่นคือ ตรงต่อเวลามีสัมมาคาระวะ ซื่อสัตย์ต่อตัวเองและเพื่อนร่วมงาน แค่นี้คุณก็สามารถอยู่ในวงการบันเทิงได้อย่างยาวนาน ถ้าเราตั้งใจผู้กำกับเขาเห็นเราตั้งใจแล้วแต่ยังไม่ได้เขาก็อยากจะถ่ายทอดพลังงานต่างๆ ให้ ก็อยากจะฝากน้องๆ รุ่นใหม่ พรสวรรค์ใครมีอยู่แล้วก็ปุ๊บปั๊บเข้ามาได้เลย ก็อยากให้รักษาไว้ให้นานๆ ส่วนคนที่อยากเข้าวงการบันเทิงไม่มีพรสวรรค์แต่มีพรแสวง ก็อยากให้หมั่นฝึกฝนหมั่นดูหนังดูละคร ฝึกที่บ้านกับกระจก เพราะกระจกคือครูที่ดี ค่อยๆ ฝึกฝนให้เราเก่งเก็บชั่วโมงบินให้สูงๆ ได้ แต่ถ้าใครเข้ามาแล้วก็อย่าเพิ่งท้อใจที่เล่นไปไม่กี่เรื่องก็ยังไม่ดังไม่มีคนรู้จัก คนไม่จำ ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ที่จังหวะเวลาและโอกาส ถ้า 3 อย่างนี้มาปุ๊บคลิกเดียวลงตัว กำลังใจเราสร้างได้ด้วยตัวเอง ใจต้องเข้มแข็ง เรื่องต่อไปถ้ามีโอกาสได้เล่นก็ทำการบ้านให้เต็มที่ ถ้าสังเกตดีๆ ในละครบุพเพสันนิวาสฉากไหนที่คนไหนออกมาเขาเล่นขยี้กันเต็มที่เลยนะ ทุกคนขยี้เพราะเป็นซีนของเขา ต้องขายความเป็นเขา เป็นจุดๆ หนึ่งที่สำคัญนั่นก็คือความตั้งใจในการทำงานในหน้าที่ของตัวเองอย่างเต็มที่

อัพเดทชีวิตครอบครัว

คือตอนเราเด็กๆ ก็จะมีแบบว่า คบกัน บางคนไม่เข้าใจหรอกว่าเรามีภาระครอบครัวทั้งน้อง และหลาน จุ๊บส่งเสียน้องเรียนจบปริญญาตรีครบทั้ง 5 คนล่าสุดรวมถึงหลานสาวที่เป็นลูกของน้องชายที่เสียชีวิตไป เราก็ส่งเสียให้เขาเรียนจนจบปริญญาตรี พอหลานเรียนจบ จุ๊บก็อาจจะแต่งงานประมาณสิ้นปีนี้แหละค่ะ เพราะคนที่เราคบอยู่ก็คบกันมานานแล้วนะ เกือบ 21 ปี เขาทำงานเบื้องหลังนี่แหละค่ะ เขาก็รอเรามาตลอด ไม่ได้เร่งรีบอะไร คิดว่าถ้าทุกอย่างลงตัว ก็คงทำพิธีง่ายๆ ให้ผู้ใหญ่รับรู้ มีพิธีเช้า เลี้ยงเพื่อนๆ พอแล้วล่ะ เพราะเราเป็นคนขี้เกรงใจไง กลัวดูแลแขกที่มาไม่ทั่วถึง แล้วพอแต่งเสร็จถามว่ามีทายาทไหม ไม่มีค่ะ เพราะเลี้ยงน้อง เลี้ยงหลานมาเยอะแล้ว อยากจะแบบว่าแก่ๆ แล้วไปเที่ยวโน่นนั่นนี่ตามประสา ส่วนละครถ้ามีคนจ้างก็ยังเล่นค่ะ

ไลฟ์สไตล์ส่วนตัว

เป็นคนชอบเที่ยวเชิงบุญค่ะ ไปไหว้พระบ่อยมาก ถ้ามีโอกาสก็จะไปไหว้พระที่พม่า ปีหนึ่งก็หลายครั้งค่ะ ปีนี้ก็ไปที่มัณฑะเลย์ พระธาตุอินแขวน หรืออย่างไปฮ่องกงก็ไปไหว้ครบที่สำคัญๆ และในทุกๆ เดือนก็จะไปเติมน้ำมันตะเกียง ปฏิบัติธรรม ก็จะเป็นอย่างนี้ คือเหมือนเรามาถึงจุดๆ หนึ่งไม่มีใครมาอยู่กับเราจนตาย เราก็ต้องอยู่กับตัวเองให้ได้ แล้วจุ๊บก็เป็นคนที่ทำอะไรด้วยตัวเองได้ ไปไหนด้วยตัวเองคนเดียวได้ เพราะว่าตอนเราเข้าวงการบันเทิงมาแรกๆ ไม่มีพ่อ ไม่มีแม่ มาคอยตามเราที่กองถ่ายนะ เราไม่มีผู้จัดการส่วนตัว ดูแลตัวเอง จัดคิวเอง คุยงานเองทำเองทุกอย่าง เรามีความรู้สึกว่าเราช่วยเหลือตัวเองมาตลอด เราก็เลยแบบว่าอะไรที่เราทำเองได้เราก็ทำ

ฝากผลงานเรื่องต่อไป

มี “ปี่แก้วนางหงส์, ด้วยแรงอธิฐาน, วัยแสบสาแหรกขาด 2” ทางช่อง 3 แล้วก็รับทำเสื้อผ้าคอสตูมเหมือนเดิม อีเว้นงานจ้างพิธีกรต่างๆ รับหมดค่ะ แต่ช่วงนี้อาจจะมีลูกค้ามาซื้อสปอนเซอร์รายการเราเยอะขึ้นเพราะเห็นเราจากละคร ก็ส่งผลให้เรามีงานเพิ่มขึ้นนิดหนึ่งค่ะ (ยิ้ม)

อย่าทำงานเพลินจนลืมแบ่งเวลาเตรียมตัวเป็นเจ้าสาวนะคะ “ทีมข่าวบันเทิงแนวหน้า” ขอแสดงความยินดีล่วงหน้าค่ะ

กุหลาบสีเงิน

Star Retro : ปราปต์-ปราปต์ปฎล สุวรรณบาง กับปรากฏการณ์ใหม่ของชีวิต

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/entertain/332988

Star Retro : ปราปต์-ปราปต์ปฎล สุวรรณบาง กับปรากฏการณ์ใหม่ของชีวิต

Star Retro : ปราปต์-ปราปต์ปฎล สุวรรณบาง กับปรากฏการณ์ใหม่ของชีวิต

วันอาทิตย์ ที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2561, 06.00 น.

โลดแล่นอยู่ในวงการบันเทิงมากว่า 20 ปี “ปราปต์-ปราปต์ปฎล สุวรรณบาง” ผ่านงานมาครบทุกรูปแบบแต่ที่ทำเอาเซอร์ไพรส์สุดๆ ก็คงเป็นละครเรื่อง “บุพเพสันนิวาส” กับบทบาทของ “สมเด็จพระนารายณ์มหาราช” เพราะคนดูพูดถึงอย่างล้นหลาม นับว่าเป็นปรากฏการณ์ที่แปลกใหม่ในชีวิต ที่เจ้าตัวไม่คาดคิดมาก่อนความโด่งดังและชื่อเสียงที่เข้ามา จะนำพาชีวิตปราปต์เปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง วันนี้มีมาเล่าให้เหล่าออเจ้าฟังกัน

ฟีดแบ๊ก “บุพเพสันนิวาส” ดีเกินคาด

เซอร์ไพรส์มากครับ เป็นปรากฏการณ์ที่ไม่ใช่แค่ในวงการละคร วงการบันเทิงบ้านเรา แต่เป็นปรากฏการณ์ในชีวิตผมด้วย ก็ทำงานในวงการมายาวนานกว่า 20 ปีแล้ว ในแต่ละเรื่องที่เราทำงานมา เราก็มีความตั้งใจเต็มที่กับทุกเรื่อง แต่ละเรื่องเป็นงานที่ดีๆ ทั้งนั้น ถ้าจะเปรียบเทียบนะ เราอยู่บนเวที สปอตไลท์จะส่องสาดไปสาดมา คนก็จะเห็นเราแวบๆ อ๋อ…คนนี้เหรอจำได้ แต่ยังไม่ชัดเจนเหมือนตอนนี้ เพราะครั้งนี้มันเหมือนสปอตไลท์พุ่งตรงมาที่เรา แล้วก็แช่ไว้ที่เรานานๆ ให้คนได้จำภาพ จดจำงาน หรือสิ่งที่เราทำ ก็เลยกลายเป็นปรากฏการณ์แห่งความทรงจำที่เซอร์ไพรส์มากๆ สำหรับการทำงาน หรือถ้าจะให้เปรียบเทียบก็เหมือนกับเรามักจะพูดเล่นกับคนหลายๆ คนทั่วไปว่า “ปุจฉา อะไรเอ่ย เกิดปั๊บแก่ปุ๊บเลย” คนก็ตอบว่าอะไรเหรอ งงๆ เราก็ตอบ ฉันน่ะสิหลายๆ คนก็ยกให้เป็นฉากที่ดีที่สุดในตอนที่โผล่มาแค่สองซีนแรก แล้วคนก็จำเรา

ครั้งแรกที่ได้รับการติดต่อ

ไม่ลังเลใดๆ เลยครับ รับเลย ตอนแรกที่เขาติดต่อมา ซึ่งเราเคยร่วมงานกับพี่ใหม่-ภวัต (ผู้กำกับ) อยู่แล้ว พี่ใหม่ได้เห็นในสิ่งที่เราเป็น แล้วพี่ใหม่ก็ชวนว่าให้มาเล่นในละครเรื่อง บุพเพสันนิวาส เราก็บอก เล่นครับตอนนั้นยังไม่รู้หรอกว่าเล่นเป็นใคร อะไรยังไง จนกระทั่งรู้ว่าได้เล่นเป็นบท สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ก็ตื้นตันใจมากๆ นาทีแรกที่พี่ใหม่บอกว่าเล่นเป็น สมเด็จพระนารายณ์มหาราช น้ำตาคลอเลย เราปลื้มใจ ดีใจภูมิใจมากเลยคือคนเป็นนักแสดง การที่เราตั้งหน้าตั้งตาทำงานอย่างเดียว โดยที่ตั้งใจทำไปเถอะ ทำไปเรื่อยๆ แล้วพอวันหนึ่งมีคนมองเห็นว่าเรามีอะไรอยู่ภายใน จริงๆ ทุกคนจะจำภาพเราก็คือ ถ้าไม่เป็นนักรบ ดุดัน มุทะลุ ตัวร้าย โจร นี่คือภาพจำของคนดูแฟนละคร ฉะนั้นเวลาที่มีคนติดต่องานเราหรือมองเห็นเราก็จะมีความทรงจำกับเรา ก็จะเป็นภาพแบบนั้นตาม ซึ่งเราก็คิดว่าก็เป็นผลจากผลงานที่เราเล่น เราแสดงออกไป ให้คนดูรู้สึกและจดจำในแบบนั้น เขาเกลียดเรา เขามองอย่างนั้น คือตอนเล่นก็เล่นไปตามบทบาทที่ได้รับมาให้เต็มที่ ซึ่งก็ช่วยไม่ได้ที่คนจะจำภาพแบบนั้นเราไปแล้ว เราไม่ติดอะไร ดีด้วยซ้ำไปคนจำตัวละครได้มากกว่าเรา

โอกาสพิสูจน์ความสามารถ

พี่ใหม่เป็นคนที่มองเข้าไปลึกๆ ในความเป็นเรา มากกว่าที่เป็นภาพจำอย่างที่บอกข้างต้น พี่ใหม่อยากเห็นเราเปลี่ยน ซึ่งก็เปลี่ยนเลยนะ เปลี่ยนชนิดที่ตอนแรกเลย พอคนรู้ว่าผมจะมาเล่นเป็น สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ไม่มีใครเชื่อ มีแต่คนอึ้ง เหรอๆ คนนี้เหรอ จนสุดท้ายพอมันออกมา แค่ภาพนิ่งหรืออะไรต่างๆ นานา ทุกคนก็มีเหวอกัน เราดีใจนะที่ทำให้หลายๆ คนเห็นเราตอนนี้เป็นภาพของ สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ทุกคนจำภาพนี้ทุกคนไม่ได้แคลงใจ ไม่ได้มีความรู้สึกติดค้างอะไร กับสิ่งที่เราได้เล่นเป็นพระองค์ท่าน ทุกคนยอมรับ เชื่อสนิทใจว่านี่คือ สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ที่เขาเชื่อ ที่เขาอยากเห็น แล้วเขาก็ได้รับรู้เข้าไปในจิตใจของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ท่านทรงคิดอะไร เราก็เลยจะบอกว่านี่แหละคือความภาคภูมิใจ ความสุขของเราที่เราได้รับโอกาสจากพี่ใหม่, พี่หน่อง-อรุโณชา ภาณุพันธ์ และช่อง 3

สิ่งแรกที่ต้องทำเมื่อรับเล่น

เราขอกับพระองค์ท่าน เพราะท่านก็อยู่ทุกที่ในผืนแผ่นดินนี้แหละ และท่านก็อยู่ทุกที่ที่เราจะคิดถึงท่าน เราก็ตั้งจิตบอกกับท่านว่า ถ้าท่านเลือกเราให้เป็นท่านก็ขอให้ทุกอย่างราบรื่น และผ่านพ้นอุปสรรคจนกระทั่งตอนทำงานเสร็จ ถามว่าระหว่างทางมีอุปสรรคไหมมี เพราะทุกอย่างมีอุปสรรคเสมอ แต่เราก็ผ่านไปได้หมด และผ่านไปได้ด้วยดี อย่างที่เราอธิษฐานกับพระองค์ท่านก็คือ ถ้าท่านยอมรับให้เราเป็นท่าน ก็ขอให้พระองค์ท่านได้ให้คนรุ่นหลังเรียนรู้ประวัติศาสตร์ แล้วก็อยากให้เขาเข้าถึงจิตใจของท่านว่าท่านคิดอะไรหรืออยากจะให้เป็น
ไปแบบไหน อยากให้คนเขาเข้าใจแบบไหน ขอให้เล่าผ่านตัวเราได้เลย

เก็บทุกเม็ดของการแสดงในซีนตัวเอง

เรื่องราวของสมเด็จพระนารายณ์ก็จะเป็นเรื่องในประวัติศาสตร์ที่ทุกคนก็จดจำกันได้ในบันทึกประวัติศาสตร์อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเวลาออกมา ทุกคนก็จะเฝ้ามองดูซึ่งคราวนี้ทุกคนเฝ้ามองดูแล้ว ความเป็นกษัตริย์ของพระนารายณ์ในเรื่องบุพเพสันนิวาส เหมือนเป็นกษัตริย์ที่จับต้องได้ เป็นอะไรที่คนดูรู้สึกว่าเข้าไปถึงจิตใจของท่านจะไม่เหมือนกับสมมุติเทพในเรื่องอื่นๆ ก็จะทำกันในรูปแบบของความเป็นฮีโร่ ในเรื่องนี้คนดูจะได้เข้าถึงจิตใจของพระองค์ท่าน เหมือนอยู่ในเหตุการณ์จริงๆ เหมือนอยู่ตรงนั้น เวลาที่ท่านไม่เข้าใจก็จะไม่เข้าใจว่าทำไมหูเบา ทำไมถึงได้ฟังความข้างเดียว ทำไมถึงไม่นั่นไม่นี่ จังหวะที่เกิดการทะเลาะกันแล้วหลังจากนั้นท่านต้องอยู่คนเดียว ท่านก็แสดงให้เห็นว่าท่านหนักใจแค่ไหน ท่านต้องแบกรับภาระเรื่องราวมากมายแค่ไหน จะแสดงออกก็แสดงออกไม่ได้ ใครจะเข้ามาด่าชี้หน้า ร้องไห้ใส่ ใครจะทำอะไรก็ตาม ท่านเป็นกษัตริย์ท่านต้องแบกรับอารมณ์ทุกอย่างไว้ นิ่งให้มากที่สุด เรามาเล่นตรงนี้เราจะเข้าใจพระองค์ท่านเลยว่า จะให้ท่านมาฟูมฟาย ระเบิดอารมณ์ นั่งอธิบายทุกคำพูด ทุกเหตุผลที่คิดก็ไม่ได้ ถ้ามัวแต่มานั่งคิดอย่างนั้นแล้วจะนำพาประเทศชาติที่ใหญ่โตขนาดนั้น ต้องปกครองคนเท่าไหร่ บ้านเมืองใหญ่โตแค่ไหนแล้วแบกรับอยู่แค่ไหน ถ้าจะมานั่งคิดนู่นคิดนี่ ไม่มีแนวทาง ไม่มีความมุ่งมั่นที่จะทำอะไร ไม่มีจุดมุ่งหมายที่ชัดเจน ไม่มีความเข้มแข็งพอจะแบกรับภาระหนักนั้นไว้ได้อย่างไร นั่นแหละคือสิ่งที่ละครเรื่องนี้ทำให้คนดูได้สัมผัสและใกล้ชิดพระองค์ ได้เหมือนกับเข้าไปอยู่ในจิตใจของพระองค์ ซึ่งเราถือว่าเป็นงานที่ยากมากในการใช้วิชาชีพทางการแสดง

ชีวิตก่อนเข้าวงการบันเทิง

ชีวิตผมมี 2 ช่วงนะ เคยเข้ามาตอนเด็กๆ ตอนอายุ 17-18 เข้ามาประมาณ 2-3 ปี สัมผัสทั้งถ่ายแบบเดินแบบ ถ่ายมิวสิกวีดีโอ เกือบจะได้ทำเพลงกับแกรมมี่ เล่นภาพยนตร์ไปเรื่องหนึ่ง แต่ด้วยความที่เราเด็กตอนนั้นจริงๆ แล้วคือทุกวันนี้ผมก็ยังเป็นอยู่นะ ผมเป็นคนที่เป็นตัวของตัวเองสูง และที่คนเขานิยามให้ 2 คำซึ่งคาบเกี่ยวกันมากคือ “โอ้โหพี่คนนี้แ-งติสท์สั-” กับอีกคำหนึ่งก็คือ “ติสท์จริงๆ นะไอ้สั-” แล้วแต่จะเรียกเลย ผมเป็นอย่างนี้ตั้งแต่เด็กๆ ผมก็เลยรู้สึกว่า วงการนี้ไม่น่าเหมาะกับเรา เพราะเราไม่ชอบ ทั้งๆ ที่จะไปได้ดีนะ เกือบจะได้ทำเทปกับแกรมมี่อยู่แล้ว ออดิชั่นผ่านแล้ว ผู้บริหารเลือกเราแล้ว แต่ผมไม่เอา ด้วยอารมณ์ในวัยเด็กของเราตอนนั้น วัยรุ่น ความรู้สึกไม่เอา ไม่ใช่ที่ทางของเรา เท่านั้นแหละ แล้วก็เดินหันหลังให้เฉยๆ หายไปเลย 10 กว่าปี

โชคชะตาดึงกลับมาเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง

การดำรงชีวิต ตกงาน (หัวเราะร่วน) ช่วงฟองสบู่แตกประมาณปี 2540-2541 ผมตกงานครับ แล้วลูกค้าเก่าๆ ของเราที่ทำงานประจำที่เป็นคนวิ่งหาโฆษณาลงแมกกาซีน แล้วก็มีเจ้าหนึ่ง Panasonic เขาก็ถามว่าช่วงนี้ทำอะไรอยู่ ผมก็บอกตรงๆ ตกงานครับ เขาก็บอกว่ามาถ่ายโฆษณาให้พี่หน่อยสิ ผมก็บอกเอาสิได้ตังค์ด้วยก็ไปถ่ายโฆษณา ตอนนั้นจำได้ว่าเขาให้ 30,000 บาทไม่ต้องแคสไม่ต้องอะไร ก็ถือว่าเยอะนะช่วงนั้น ตอนที่ถ่ายโฆษณานั้นมี 3 คน มี “อมิตา ทาทา ยัง” แล้วก็“โอเด็ต” (เฮนเรียต แจ็คโคมิน) และ ผม นี่คืองานชิ้นแรกที่กลับมา หลังจากนั้นก็มีงานโฆษณา แต่ผมไม่ชอบแคส แล้วจะทำอะไรล่ะ ไปเดินผ่านกล้องเฉยๆ ก็ได้นะขอให้ได้ตังค์ ก็เอาหมด ห้าพัน หมื่นหนึ่ง ก็ไป ขอแค่ไม่ต้องแคส จนวันหนึ่งเราก็บอกกับโมเดลลิ่งไปว่า ผมอยากไปเล่นละครหรือไปเล่นหนังอะไรก็ได้ อยากแสดงความสามารถ เอาล่ะ ผมอยากแสดงแล้ว อยากกลับเข้ามาทำงานด้านการแสดงจริงๆ จังๆ แล้วเขาก็ส่งผมไปเล่นละครเรื่องแรกคือ “ตาเบบูญ่า” ไปเล่นเป็นเอกซ์ตร้า ในกองถ่าย แต่พอดีว่าพี่ซูโม่แห้ว (บำเพ็ญ ชำนิบรรณการ) ผู้กำกับตอนนั้น เขาเห็นเรา เขาก็ส่ายหน้า แล้วก็เดินหนีเราไป เราก็คิดว่าเราไม่ได้แล้วล่ะ กลับบ้านเลย พอถึงบ้านปุ๊บ ทีมงานโทร.ตามว่า เฮ้ย..ไปไหน พี่แห้วถามหา อ้าว..ก็ส่ายหน้าใส่ผมก็ต้องกลับสิ ไม่เอาผมแล้ว เขาบอกไม่ใช่ พี่แห้วบอกให้กลับมาก่อน เราก็กลับไป เขาก็เอาบทมาโยนใส่หน้า เป็นพระเอกตัวรองๆ คู่กับ “ทราย เจริญปุระ”เป็นคู่หมั้นคู่หมาย และเป็นคนที่เดินเรื่องแล้วก็เป็นคีย์ของเรื่องพอสมควร ก็เลยได้เริ่มจากเรื่องนั้น และกลับมาแล้ว ก็ยาวเลย ทั้งหนังและละคร กลายเป็นว่าเราก็ไม่ได้ทำมาหากินอย่างอื่นแล้วครับ

รู้จักการใช้ชีวิตที่เติบโตขึ้น

เราผ่านการไปดำเนินชีวิตแบบสู้ชีวิตมาแล้ว ความติสท์เหลือเกิน ก็ยังคงเป็นอยู่ แต่ก็มีน้อยลง ในแง่ที่ว่าเรารู้ว่าอะไรควรหรือไม่ควร เพราะเราก็เป็นผู้ใหญ่แล้ว เราก็เปลี่ยนตัวเอง แล้วก็ทำให้เรามีความรู้สึกว่าประสบการณ์ในการใช้ชีวิตนอกวงการมันก็สอนเรามา แล้วมันก็เลยทำให้เรา และอารมณ์ของการที่จะเอาตัวเองเป็นใหญ่น้อยลง ได้ใช้ชีวิตเป็นมากขึ้น แล้วก็มีความนิ่งมากขึ้น คงเป็นผลจากการที่เราได้กลับมาในวัยที่โตเต็มตัวแล้ว เพราะฉะนั้นการใช้ชีวิตในวงการ ก็เลยเป็นการใช้ชีวิตแบบคนที่เข้าใจชีวิต ไม่ตื่นเต้นกับสิ่งที่เข้ามา เพราะฉะนั้นถ้าคนถามว่า ที่ผ่านมางานก็เยอะมากเลย แต่ทำไมเราไม่มีกระแส ไม่มีเรื่องราว เราก็บอกว่า ก็เราเป็นคนทำงานไง ที่ผ่านมาคนรู้จักเราจากละครเรื่องนู่นเรื่องนี้แล้วพูดถึงตัวละครเรา เขาจำได้หมด แต่พอบอกชื่อจริงเรา “ปราปต์ปฎล” ใครวะ? ซึ่งผมไม่น้อยใจเลยนะ เพราะเขาพูดถึงตัวละคร ถูกต้องแล้ว เราจึงตั้ง Positionตัวเราเองแล้วว่า เราเข้ามาทำงาน เป็นนักแสดง ไม่ได้มาเป็นดารา เรามีงานแสดงให้คนได้ชื่นชม แล้วเขาพอใจ ชื่นชมกับงานที่เราทำออกไปแค่นั้นพอแล้ว แต่พอมาถึงทุกวันนี้ด้วยกระแสหลายๆ อย่างเข้ามา เพราะฉะนั้นก็ถือว่าเป็นวาสนาของเราที่ได้เล่นละครเรื่องนี้ บทนี้ จนกลายเป็นว่าเราก็ถูกจับตามองนิดหนึ่งว่า อ๋อ..คนนี้เหรอ ชื่ออะไรเขาก็เลยไปค้นหาประวัติ คราวนี้แหละจากที่ไม่รู้จัก “ปราปต์ปฎล”ก็รู้จัก เฮ้ยเคยผ่านงานเรื่องนี้มาแล้ว เราก็เคยดูนะ เรื่องนี้ก็ดูชอบนะ แต่ทำไมเราไม่จำเขาเลย เราไม่รู้ว่าเขาเป็นใครเลย เคยสงสัยมานานว่าคนนี้ใคร ตอนนี้ก็รู้จักแล้ว (ยิ้ม)

คนปิดทองหลังพระ

ผมทำงานด้านอาสามาร่วม 20 ปี แล้วครับ ทำมาตลอด แต่ว่าการทำงานของผมไม่ได้ต้องไปป่าวประกาศว่าเราทำนะ ผมก็ดำเนินตามคำสอนของในหลวงรัชกาลที่๙ คือ ปิดทองหลังพระ ทำไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นทุกคนจะรู้ว่าช่วงงานพระราชพิธีของในหลวงรัชกาลที่๙ ผมก็ทำ แต่ไม่ได้ออกสื่อผมไม่ออกสื่อและไม่คุย เพราะว่าถ้าไปออกสื่อเล่าเรื่องงานอาสาที่ทำ ถ้าจะคุยต้องมีคอนเทนต์คุยกับผมว่าตรงนี้สามารถเป็นแรงบันดาลใจให้คนทั่วๆ ไปหรือเยาวชนมองเห็นว่าการทำงานอาสามีประโยชน์ต่อสังคม แล้วเขาอยากทำบ้าง ถ้าเป็นคอนเทนต์แบบนี้โอเค แต่ถ้าเป็นคอนเทนต์เพื่อมาสรรเสริญผมผมไม่ไป ไม่ออก

เกือบเป็นนักกีฬาฟุตบอลทีมชาติ

ผมเป็นคนที่เล่นฟุตบอลอยู่ตลอดเวลา กีฬาที่รักที่สุดก็คือฟุตบอล ครั้งหนึ่งในวัยเด็กที่เป็นนักกีฬาฟุตบอล เกือบจะติดทีมชาตินะ ก็ไม่แน่ถ้าเล่นต่อ เพื่อนหลายคนที่เล่นด้วยกันติดทีมชาติ แล้วก็ในรุ่นเดียวกันก็เป็นโค้ช เป็นผู้บริหารทีมฟุตบอลอยู่เยอะแยะ แต่ผมในวัยนั้นเลือกที่จะเลิกเล่นแล้วก็หันมาทำงาน พอเข้าวงการมาถ้ามีเวลาหรือนักแสดงเขาเตะฟุตบอลกันผมก็ไปเตะตลอด ส่วนใหญ่ชอบเตะกับพวกพี่ๆ นอกวงการบันเทิง กับดาราก็มีเตะในกรณีพิเศษ

อาชีพที่รักและทำอย่างมีความสุข

ผมรักอาชีพนักแสดงนี้ จนไม่รู้ว่าจะไปทำอะไรได้ดีไปกว่านี้แล้ว เพราะฉะนั้นก็จะทำไปเรื่อยๆ จนกว่าคนเขาจะไม่จ้างเรา และจริงๆ มีงานเบื้องหลังที่ผมควรจะต้องกำกับได้นานแล้ว แต่ผมก็ยังมีความสุขกับงานแสดงเบื้องหน้าอยู่ถามว่าอยากไหมก็อยาก และคงวนเวียนอยู่วงการนี้แหละ แต่ตอนนี้ผมมีความสุขกับชีวิตของการเป็นนักแสดงอยู่ ควบคู่ไปกับการทำงานอาสา หลักๆ ในชีวิตที่โฟกัสเลยก็คือ งานแสดง กับ งานอาสา

แนะนำน้องๆ ดาวดวงใหม่ที่รอวันแจ้งเกิด

ขอให้ทุกคนเชื่อว่าถ้าเข้ามาในวงการบันเทิงนี้แล้วเข้ามาด้วยความจริงใจ เข้ามาด้วยความรัก ในอาชีพนี้แล้วก็มีความรับผิดชอบต่อสังคม รับผิดชอบต่องานรับผิดชอบชีวิตเราเพื่อไม่ให้เป็นภาระต่อสังคมคุณจะอยู่ในวงการบันเทิงนี้อย่างยาวนาน และสื่อมวลชนกับเราเป็นเรื่องที่ถ้อยทีถ้อยอาศัยกันถ้าเขาขอความร่วมมืออะไรที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมโปรดจงให้ความร่วมมือเขาเต็มที่ แต่ถ้าเรื่องอะไรที่เรามองและพิจารณาดูแล้วว่าไม่มีประโยชน์ ไม่มีอะไรที่เป็นสาระกับเยาวชนก็ช่วยกันกลั่นกรอง อย่าไปสนุกกับกระแส และอย่าไปหลงระเริงกับชื่อเสียง เพราะว่าทุกอย่างคือสิ่งที่มาแล้วเดี๋ยวก็จะหายไป คนเข้ามา คนออกไป ชื่อเสียงก็เหมือนกันก็จะมาๆ ไปๆ วนเวียนอยู่ตรงนี้ ไม่มีอะไรแน่นอนแต่สิ่งที่จะทำให้คุณยืนอยู่ไม่ว่าจะวงการไหนก็แล้วแต่คือความจริงใจ ความรักในอาชีพที่ตัวเองทำ และความรับผิดชอบต่ออาชีพ ต่อสังคม ต่อคนรอบข้าง แล้วก็เป็นคนดี รับผิดชอบสังคม เห็นชีวิตของคนอื่นมีคุณค่าและมีประโยชน์ อย่าน้อยกว่าชีวิตตัวเอง

และวันนี้เราก็ได้เข้าใจความเป็น “ปราปต์” ปราปต์ปฎล สุวรรณบาง มากยิ่งขึ้น!!

กุหลาบสีเงิน

Star Retro : เส้นทางชีวิตคุณพ่อสุดแนว ‘เสนาเพชร-พุฒิพงศ์’ สู่การเป็นผู้กำกับสุดฮา

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/entertain/331793

Star Retro : เส้นทางชีวิตคุณพ่อสุดแนว  ‘เสนาเพชร-พุฒิพงศ์’  สู่การเป็นผู้กำกับสุดฮา

Star Retro : เส้นทางชีวิตคุณพ่อสุดแนว ‘เสนาเพชร-พุฒิพงศ์’ สู่การเป็นผู้กำกับสุดฮา

วันอาทิตย์ ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2561, 06.00 น.

ผ่านมาแล้วเกือบจะทุกบทบาทหน้าที่ในวงการบันเทิง สำหรับ “พุฒิพงศ์ พรหมสาขา ณ สกลนคร” หรือที่ทุกคนคุ้นเคยกับฉายา “เสนาเพชร” ทุกก้าวย่างที่รังสรรค์ผลงาน เขาต้องผ่านสิ่งใดมาบ้าง รวมถึงชีวิตครอบครัวที่หลายคนจับตา จะแฮปปี้เฮฮาเหมือนบุคลิกหน้าตาเขาหรือไม่ วันนี้ “สตาร์เรโทร” มีคำตอบให้ทราบกัน!?

หน้าที่ความรับผิดชอบในวันนี้

ตอนนี้ผมกำกับละครเรื่อง “ไฮโซสะออน” ทางช่อง 7 แล้วก็มีโปรเจกท์หนังประมาณ 2-3 เรื่อง เป็นผู้กำกับและเป็นผู้จัดด้วยครับ สำหรับงานกำกับนี่ ผมสนใจมานานแล้วนะ เป็น 10 ปีแล้วล่ะ เมื่อก่อนเป็นนักแสดงแล้วก็มากำกับรายการทีวี วาไรตี้ แล้วก็มาทำละคร ทำซีรี่ส์ซิทคอม แล้วก็หนัง ด้วยความที่ผมเป็นคนสนุกเฮฮาชอบเอ็นเตอร์เทน เราทำงานในวงการนี้มีหลากหลายอารมณ์มากๆ เราสัมผัสคนเยอะมากที่สุด ไม่ว่าจะคนที่ใช้แรงงาน นักแสดง กลุ่มลูกค้า สปอนเซอร์ เราก็ได้เจอคนหลากหลาย เหมือนเราเป็นปลาที่เปลี่ยนน้ำได้ตลอด มันมีชีวิตชีวาดี การได้พูดคุยกับคนได้ดูว่าเขาทำอะไรกันบ้าง ก็สะท้อนกลับมาให้เราเห็นว่า เวลาเราทำงานถ้าใครมีบทบาทแบบนี้ มีสังคมกลุ่มแบบนี้ จะได้เข้าใจและเข้าถึง เพราะเราเคยผ่านตรงนั้นมาแล้ว และสามารถเอามาประยุกต์ใช้ให้เป็นตัวละคร เวลาเราต้องแสดงได้ง่ายขึ้น

จุดเริ่มต้นบนเส้นทางสายบันเทิง

ผมเริ่มเข้าวงการมาตอนอายุ 23-24 ตอนนั้นเรียนปี 4 มหาวิทยาลัยจันทรเกษม ตอนนั้นยังเป็นวิทยาลัยครู เข้ามาโดยการเล่นละครเวที อย่างที่บอก เป็นคนชอบสนุกสนาน ก็เริ่มเล่นเป็นเอ็กตร้าตั้งแต่สมัยเรียน รับเงินวันละ 150 บาท ก็สนใจมาตลอด เพราะเราสนุก ได้เที่ยวด้วย ได้ดูโน่นนี่นั่น จนกระทั่งได้มาเล่นละครเวทีของมณเฑียรทอง เธียเตอร์ ซึ่งเป็นผับเล็กๆ ตอนนั้นก็จะทำเองทุกอย่าง ตามที่รุ่นพี่บอก ไม่ว่าจะเรื่องเสื้อผ้า หน้าผม การซ้อม การดูแลตัวเองทุกอย่าง ไม่ได้มีทีมงานมากมาย ทุกคนช่วยกัน ผลตอบแทนก็น้อยมาก ใจต้องรักจริงๆ ถึงทำได้ และตอนนั้นละครเวทีจะนิยมเฉพาะกลุ่ม ซึ่งผมเองสนุกและมีความสุขที่ได้ทำ ณ ตอนนั้นเล่นบนเวทีเล็กมีคนมายืนมานั่งมองดูเรา บางรอบมีคนดูแค่คนเดียวก็ต้องเล่น The show must go on ด้วยใจรักก็เล่นไปเรื่อยๆ หลังจากนั้นก็เริ่มเข้ามาเป็นพระเอกช่อง 7 เรื่อง “จุดหมายปลายทาง” ละครเรื่องแรกก็เป็นพระเอกเลย (ยิ้ม) หลังจากนั้นก็มาเป็นพิธีกรรายการของเจ เอส แอลรายการสุริยาตาหวาน กำกับโดย “พี่เล็ก” (ภัทราวดีมีชูธน) แล้วก็มาละครวิก 07 รายการยุทธการขยับเหงือก เยอะแยะไปหมด

ที่มาของฉายา “เสนาเพชร”

ก็ทำรายการยุทธการขยับเหงือกมาประมาณ 9-10 ปี พวกเรากลายเป็นกลุ่มเสนา ไปไหนมาไหนทุกวันนี้ก็มีคนเรียกเสนาเพชรบ้าง ซึ่งเสนาเพชรก็เป็นตำแหน่งที่เรียกกันในรายการอยู่แล้ว ถามว่าคนจำเราในบทบาทพิธีกรจนเป็นโล้โก้ไหม อันนี้ไม่แน่ใจ แต่การเป็นพิธีกรผมได้อะไรมาเยอะเลยครับ ทางเจเอสแอลเขาพัฒนาบุคลากรดีนะ ผมถูกฝึกสอนการเป็นพิธีกรจากที่นี่ จากที่ตอนแรกเขามาชวน เราก็งงๆ เพราะเราก็ไม่คิดไม่ฝันว่าจะทำตรงนี้ได้ เขาบอกว่าให้เป็นผู้ช่วยพิธีกรหลัก คือพี่เล็ก-ภัทราวดี ผมก็ถามว่าผมต้องทำยังไงบ้าง เขาก็บอกว่าเล่นไปเหมือนละครเวทีแหละ ตอนที่ทำรายการสุริยาตาหวาน คือ มีพิธีกรคนหนึ่งผู้ช่วยคนหนึ่ง ผมเป็นเลขาฯก็เป็นการเล่นละครเวทีแทรกมาในรายการ

เรียนรู้งานด้านพิธีกรจากหลากหลายบุคคล

ผมเป็นคนทำได้หมดนะงานในวงการบันเทิงอย่างการเป็นพิธีกรเองก็ด้วย แต่จริงๆ แล้วผมว่าความชอบทำให้เรามั่นใจ ถ้าให้จับไมค์ก็ไม่กลัวใครเหมือนกัน (หัวเราะ) พอเราได้ปะทะกับพิธีกรใหญ่ๆ แล้วเราสามารถดำเนินไปกับเขาได้โดยไม่มีอะไรมาทำให้เราประหม่าหรือตกใจ เกร็งจนทำงานไม่ได้ คือเราเคยยืนอยู่กับ “พี่ต๋อย”(ไตรภพ ลิมปพัทธ์) “ดู๋” (สัญญา คุณากร) “ตา” (ปัญญา นิรันดร์กุล) เราเจอมาหมดแล้ว นี่คือรุ่นพี่เราที่ให้วิชาเขาจะส่งรับอะไรให้เราก็พอจะรู้วิธี เขาสอนว่าต้องวางตัวหรือทำตัวยังไง การให้เกียรติแขกรับเชิญ การยืนยังไงให้ดูเท่ ก็ทำหลากหลายรายการประกบกับพี่ๆ พิธีกรอันดับต้นๆ ของประเทศมากมาย

โอกาสในการก้าวมาเป็นผู้กำกับ

ผมกำกับภาพยนตร์เรื่องแรกเลยก็คือ “สิ่งเล็กเล็กที่เรียกว่ารัก” ถือว่าเราได้เรื่องราวที่ดีมาทำ ได้องค์ประกอบที่ดี เป๊ะ! พระเอก นางเอก คือตอนนั้นไปเจอเรื่อง ซึ่งก็เป็นเรื่องจริงของผู้หญิงคนหนึ่ง เราก็ได้มานั่งคุยกัน และคิดว่าน่าสนใจดีนะ ก็เลยเอามาทำ และอีกอย่างจังหวะดีด้วยมั้งครับ เลยประสบความสำเร็จ ผมเองก็อยากจะทำหนังดีๆโรแมนติกสักเรื่องหนึ่งที่ทำให้คนดู ดูแล้วอมยิ้มไปกับหนัง ผมไม่อยากทำเรื่องยากๆ ชอบเรื่องใกล้ตัว และชอบทำหนังให้ผู้หญิงดู เพราะผมรู้สึกว่าเวลาผู้หญิงชวนผู้ชายเข้าโรงหนังแล้วผู้ชายก็ต้องเข้า แต่ถ้าผู้ชายชวนผู้หญิงเข้าโรงหนังก็จะแบบ เออ…ฉันไม่ไปหรอก เธอไปเถอะก็เลยเลือกใกล้ตัวผู้หญิงและถูกจริตกระตุ้นสะกิดใจนิดเดียว เขาก็อยากจะเข้าโรงหนัง หรืออย่างเรื่อง“30+ โสด ON SALE” ตอนนั้นผมไปเจอเพื่อนรุ่นน้องอกหัก ผู้หญิงอายุใกล้จะ 30 ก็มักจะอกหัก ผมรู้สึกว่ามันแปลกมากนะ ก็เลยเอาเรื่องราวมาทำตอบโจทย์สาวๆ หรือพยายามโฟกัสว่าสมัยนี้คนดูเขาคิดอะไรกัน วัยรุ่นชอบแบบไหน ผมจะมีวิธีหาข้อมูลของผม อย่างเช่นถ้าผมไม่ได้กำกับหนังหรือละคร ก็จะไปเล่นเป็นนักแสดงในละคร เพื่อจะได้ไปคุยกับคนรุ่นใหม่ เพราะช่วงที่เรารอเข้าฉาก เราก็จะนั่งฟังเขาคุยว่าเขาคุยอะไรกัน ก็เข้าไปหาวิชานิดหนึ่ง (หัวเราะ) หรือบางครั้งก็ไปดูคนอื่นทำงาน ผู้กำกับแต่ละคนทำอะไรกันบ้าง เขาทำสไตล์ไหนกันสมัยนี้

ผลงานกำกับเรื่องล่าสุด

ละครเรื่อง “ไฮโซสะออน” เป็นแนวโรแมนติกคอเมดี้ เรื่องนี้เป็นบทประพันธ์มาอยู่แล้ว เรื่องราวผมว่าสนุกนะ เป็นเรื่องของคน 2 ชนชั้น คนรวยคนจน ต่างคนต่างมุมมองของตัวเอง ไฮโซก็จะมองจากบนลงล่าง คนจนก็ล่างขึ้นบน แต่จริงๆ ถ้าคนข้างบนลงมาอยู่ข้างล่างแล้วมองขึ้นไปข้างบนบ้าง ลองเปลี่ยนมุมมองก็อาจจะเห็นสิ่งที่ดีแตกต่างกันออกไป เป็นละคร 2 มุมมอง คือจริงๆ ผมคุยกับทางช่องไว้นานแล้วว่าอยากจะทำละครแนวแบบนี้นะ แล้วช่องก็มีเรื่องนี้อยู่แล้ว ก็เลยลองทำแนวนี้ไหม เราก็มานั่งอ่านเรื่องราว โอเคสนุกดี มีมิติหลากหลายดี ช่วงนี้ก็เลยกำกับเรื่องนี้เรื่องเดียวก่อน ทำงาน 4 วัน พฤหัสฯ ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์

ผู้กำกับสไตล์ “เสนาเพชร”

เฮฮาสนุกสนาน ทำงานสไตล์ตัวเองนี่แหละครับ เราเฮฮาได้ยันแม่บ้าน ไม่อยากทำงานให้บรรยากาศเหงาหงอย หรือว่ามีการด่ากันทะเลาะกัน ถ้าจะด่าหรือทะเลาะกันให้ทำบนโต๊ะทำงานในที่ประชุม พอออกมาข้างนอกเรามีหน้าที่ทำให้ทุกอย่างสนุก ใครทำอะไรพลาดหรือไม่ได้ตรงไหน ก็ต้องช่วยเหลือทดแทนกัน อย่าไปด่ากันหน้ากองให้มาเคลียร์กันบนโต๊ะว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะบางทีถ้าทีมงานไปเครียด นักแสดงก็เป็นตามไปด้วยนะ ดังนั้นทีมงานมีหน้าที่ทำทุกอย่างให้โฟว์ที่สุด ผิดถูกค่อยมาว่ากันหลังเลิกงาน ผมจะกำกับละครประมาณปีละเรื่อง 2 เรื่องเพราะอยู่ที่เวลาของเรา หรืออย่างบางทีพอจะทำละครปุ๊บก็มีหนังเข้ามาให้ทำ พอจะทำหนังก็มีละคร (หัวเราะ) ซึ่งละครที่กำกับก็จะสไตล์โรแมนติกคอเมดี้ เรื่องนี้จะเป็นดราม่า แต่ผมว่าซีนโรแมนติกสวย จะดีไซน์มุมใหม่ๆ ที่เกิดแบบนี้ขึ้นจริงๆ

ละครในฝันที่อยากจะกำกับ

ละครเด็ก ประมาณประถมศึกษาตอนปลาย หรือมัธยมต้น เด็กผู้หญิงเริ่มเข้าสู่วัยโต เพราะผมว่าเด็กช่วงนี้มีความคิดเปลี่ยนแปลงเร็ว เมื่อก่อนวัย 15 กำลังเริ่มเปลี่ยนแปลง แต่เด็กสมัยนี้อายุ 10 กว่าขวบก็เริ่มเปลี่ยนแล้วนะ ไม่ว่าจะเป็นมุมมอง เพื่อน สังคม เด็กเป็นสาวเร็วเรื่องอะไรที่สามารถเอามาทำแล้วสะท้อนสิ่งเหล่านี้ในยุคปัจจุบันได้ ผมว่าน่าสนใจนะ ก็เป็นความคิดไว้ มีในใจแล้วล่ะเรื่องหนึ่ง แต่ยังไม่ตกสะเก็ด (ยิ้ม) คือจริงๆ ก็คิดไว้แล้วล่ะพยายามฟอร์มทีมขึ้นมาทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง ด้วยความที่เราเป็นคนวัยขนาดนี้ แต่คนดูเป็นคนรุ่นใหม่ เขาก็จะอยากดูอีกแบบ เราก็เลยพยายามศึกษา เราต้องยอมรับความคิดเขา เด็กรุ่นใหม่อาจจะเก่งกว่าเราก็ได้ ก็เลยพยายามหาคนทำงานที่หลากหลายเจนเนอเรชั่น มารวมไว้ในทีม เพื่อแลกเปลี่ยน อันนี้สำคัญมาก เพราะบางมุมของเราอาจจะเก่าไปบ้าง เด็กรุ่นใหม่เขาจะเล่าอีกแบบ

เสน่ห์งานในวงการบันเทิงที่รัก

ผมทำมาหลายอย่างมากในวงการ พิธีกร นักแสดงจนกระทั่งเป็นผู้กำกับ ก็ชอบทุกอย่างเหมือนเราสร้างงานศิลปะ ส่วนบทยังไม่ได้เขียน แต่สามารถตั้งโครงให้ได้ มองได้ แต่ผมชอบงานในวงการบันเทิงหมดเลย ทุกอย่างท้าทาย และเราเองก็ยังมีไฟอยู่ เราแค่ลดความคิดเราลงว่าเราไม่ได้เป็นคนเก่ง เพราะมีคนเก่งที่พร้อมจะขึ้นมาแทนเราได้ตลอด เราก็ลงไปหาเขา ดูวิชาเขา หรือให้โอกาสเขาทำ แล้วเราก็ค่อยใช้ประสบการณ์ที่เรามีในการบอกเขายอมรับฟังความคิดเห็นเขาว่าเป็นอย่างไร ถามว่าเคยอยากไปทำอย่างอื่นที่ไม่เกี่ยวกับวงการบันเทิงไหม ก็เคยนะแต่ว่าเราเป็นเอ็นเตอร์เทนเนอร์มากกว่า เราไม่ได้มาทาง Business หรือพ่อค้า เราเป็นคนขายอารมณ์ขันสร้างสีสันให้กับชีวิต เพราะฉะนั้นมันมีอีกหลายชีวิตที่แบบอยากให้เราไปเติมสีสันให้เขาเติมอารมณ์ความสนุก ตรงไหนบรรยากาศหงอยๆ เราก็อยากจะเข้าไปสร้างเอ็นเตอร์เทนให้เพราะกองถ่ายผมไม่มีเครียดรับประกันร้อยเปอร์เซ็นต์ใครที่โดนผมด่าถือว่าซวยมากเลยนะ (หัวเราะ) ไม่ค่อยโกรธใคร ไม่อารมณ์เสีย เพราะผมเอาใจเขามาใส่ใจเรา อย่างที่บอกผมเคยเป็นตั้งแต่ตัวประกอบ ทำงานเบื้องหลังก็เคยทำมาหมดแล้ว ก็จะรู้ว่าเด็กไฟ เด็กฉากเขาทำงานอย่างไร บางทีการผิดพลาดนิดเดียวจะไปด่าเขาเยอะทำไม ถ้าผิดมากจริงๆ ก็มาร์คไว้แล้วค่อยมาคุยกัน ทุกคนมีผิดพลาดได้ ต้องให้โอกาสเขา

ชีวิตครอบครัวในวันนี้

สร้างครอบครัวร่วมกันกับ “แตน” (ราตรี วิทวัส)ก็อยู่กันแบบนี้ สบายใจดีครับ ไม่ได้เป็นเป้าเด่นของสังคม เรามีหน้าที่เป็นพ่อแม่ที่ดีของลูกๆ เป็นบุคลากรที่ดีของประเทศ สร้างความสุขให้คนแบบนี้ก็ดีแล้วล่ะครับผมว่า ถามว่าเจอกันตอนไหน ปิดบังหรือเปล่า ก็ไม่นะ ผมเจอกับแตนตอนเล่นละครช่อง 3 เรื่อง “ผัวรสมะนาว” ผมเป็นแก๊งพระเอก 3 คน มี “เอ๋-กษมา” “เกม-ศานติ” 3 คนนี้เขาเรียกว่าแก๊งนรกของช่อง 3(หัวเราะ) แล้วแตนเขาอยู่ในแก๊งนางเอก ก็เหมือนเขาก็ชอบมาดูเรา เพราะแก๊งเราเฮฮา เวลาพวกเราเข้าฉากก็เล่นไปหลุดขำไป เห็นครั้งแรกก็ชอบๆ แล้วก็เห็นว่ามีนางเอกคนหนึ่งหน้าฝรั่งด้วยก็มองๆ ชอบและลองคุยดูแหละ ไม่ลองไม่รู้ ซึ่งแตนเขาเป็นคนเฮฮาอยู่แล้ว ยิ่งเราทำอะไรให้เขาขำ เขาสบายใจ เวลาเขามีเรื่องเครียดเราก็สร้างความบันเทิงให้ ก็เลยตกลงคบหาดูใจกัน ตอนนั้นก็ไม่ได้เปิด เพราะว่าแตนเขากำลังดังแล้วเราก็มีงานพิธีกรเยอะแยะ คืออยู่กันธรรมดาก่อน แต่ก็ไม่มีใครถามนะ เราก็ไม่ตอบ ในวงการจะมีบางคนบ้างที่รู้แต่คนไม่รู้เราก็ไม่ได้บอก ไม่ได้ไปป่าวประกาศ ใช้ชีวิตปกติคือเราทำงานเราก็จะประพฤติตัวเหมือนทั่วไป ไม่ต้องไปลงข่าวไอจีให้รู้ว่าเราอยู่ด้วยกันนะ เราเป็นแฟนกัน ใครจะจับคู่อะไรก็ว่ากันไป เวลาไปเป็นผู้ปกครองลูกที่โรงเรียนเราก็ไป

บทบาทการเป็นคุณพ่อ

ผมมีหน้าที่ในการคุยกับลูกทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเรียนเรื่องอะไรต่อมิอะไรต่างๆ นานา เวลาไปเที่ยว แม่เขาก็ให้ผมพาลูกไปเที่ยว ไปรับไปส่ง นั่งคุยเรื่องเพศ ลูกยังพาผมเที่ยวผู้หญิงเลย (หัวเราะ) คือเด็กสมัยนี้เราต้องเลี้ยงให้เขาได้เรียนรู้และเปิดกว้าง ไม่มีกฎตายตัวอะไร พอเขากล้าเปิดเผยกับเราได้ทุกเรื่อง เราก็จะควบคุมเขาง่าย เป็นที่ปรึกษากันและกัน ลูกไปเที่ยวผับผมก็ไปจอดรถรอ สบายๆ ชิลๆ ผมจะเป็นคนที่ไม่ด่าลูก จะคุยมากกว่า ถ้าเขาโดนแม่ด่ามา ผมก็จะรอสักพักแล้วเข้าไปคุย ถามว่าเกิดอะไรขึ้น หาวิธีแก้ไข ไม่เคยตีลูกเลย อาจจะมีเด็กๆ ตีปรามๆ ส่วนแม่จะเป็นคนที่ควบคุมความประพฤติ และคอยห่วงเรื่องยาเสพติดกับเรื่องมารยาท ก็จะสอนเรื่องความประพฤติ ต้องเคารพดูแลผู้ใหญ่นะ สอนตามแบบวิถีที่เขาเป็น เป็นคนดีพูดเพราะ ช่วยเหลือผู้อื่น ธรรมะธัมโม

วางอนาคตลูกๆ ไว้อย่างไร

ไม่ได้วางครับ เพราะต้องให้เขาคิดเอง เราจะวางกรอบของเราที่มีอยู่ เรารู้สึกว่ามันเก่า แต่คิดว่ายังไงลูกก็ต้องเป็นคนดี รู้จักผู้ใหญ่ แล้วก็เอาใจใส่กับสิ่งที่ตัวเองเป็นอยู่ แล้วทำเต็มที่ อย่างนีน่าตอนนี้เขามีแฟน เขาทำพวกบิ๊กไบค์ ก็จะสนใจค้าขายซ่อมอะไหล่ ส่วนจีโน่ก็ชอบทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง เรารู้สึกว่าเขาชอบ เขามีเลือดเราคือเราไม่ได้บอกอะไรมากหรอก ผมเชื่อว่าการยัดเหยียดสิ่งที่เราเป็นให้เขา บางทีก็ไม่ดี ต้องให้เขาทำเอง รู้สึกชอบด้วยตัวเองดีกว่า ค่อยๆ ซึมไปเอง พาไปเจอสังคม แนะนำการใช้ชีวิตในการทำงานตรงนี้ให้เขา เวลาไปกองก็พาเขาไปด้วย เอามาช่วยในกอง พอสักพักเขาเริ่มรู้ว่าตัวเองชอบอะไร เขาก็จะเดินมาบอกเองว่าเขาไม่เหมาะกับงานเบื้องหลังแล้ว เขาจะเป็นโปรดิวเซอร์ที่เอางานของพ่อมาหาตังค์ดีกว่า คือเป็นนักธุรกิจ Managementงานให้ได้ ทำเป็นโปรดิวเซอร์ คือตลอดระยะเวลาที่เขาเรียนรู้ เราก็สอนและให้รู้จักคนทำงานทุกตำแหน่ง เขาจะเห็นทุกอย่างที่ผมทำ แล้วเอาไปใช้และเรียนรู้เอง เพราะการเป็นผู้กำกับไม่มีวิธีที่เป๊ะ อยู่ที่การทำงานและแก้ปัญหาตรงนั้นมากกว่า ต้องดูว่ารอบข้างเกิดอะไรขึ้น เขาเรียน3 ปีครึ่งจบมหาวิทยาลัยกรุงเทพ คณะนิเทศศาสตร์อินเตอร์ ก็ภูมิใจนะกับวันนี้ที่พวกเขาเป็น

รักษามาตรฐานตัวเองในการทำงาน

ตลอดระยะเวลา 30 กว่าปีในวงการ ผมเป็นคนไม่พูดหยาบ เสมอต้นเสมอปลาย ไม่เคยลืมตัว ไม่เคยโกงใคร ไม่เอาเปรียบใคร และวินัยดี ไปทุกที่ไม่สายไปก่อนกลับหลัง แล้วก็เฮฮา อยู่ที่ไหนก็สร้างความบันเทิงไปเรื่อยๆ เอกลักษณ์คือมาด้วยเสียงหัวเราะ ทะลึ่งตึงตัง ทะเล้น ฉะนั้นในหนังที่ทำก็จะไม่มีคำหยาบ นอกจากจำเป็นจริงๆ ถึงใส่เข้าไป

บุคคลเบื้องหลังที่ทำให้มีวันนี้

ขอบคุณ “พ่ออี๊ด” (สุประวัติ ปัทมสูต) “ครูช่าง”(ชลประคัลภ์ จันทร์เรือง) พี่ชาย (ลูกศิษย์ครูช่าง) เจเอสแอลทั้งองค์กร คนในวงการหนัง ขอบคุณทุกคนที่เป็นครูพักลักจำมาให้เราเป็นตัวเราในวันนี้ หรือนักแสดงอาวุโสอย่าง“ป๋าต๊อก” (สวง ทรัพย์สำรวย) “แม่ชูศรี” (ชูศรี มีสมมนต์)เราดูวิธีการคุย ดูจังหวะตลกของเขา ดูเคมีป๋าต๊อกแม่ชูมันลงตัวยังไง จนมาเป็นตัวเรา ส่วนแฟนๆ ผมก็จะผลิตผลงานดีๆ ออกมาให้รับชมกันครับ และคาดว่าปีหน้าน่าจะมีผลงานที่ฮือฮาเป็นภาพยนตร์อีกเรื่องหนึ่งที่น่าจะอยู่ในใจแฟนๆ แล้วมาดูกันครับ

เรียกว่าเป็นบุคลากรในวงการบันเทิงที่ครบเครื่องทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง และนี่ก็คืออีกมุมชีวิตของ “เสนาเพชร-พุฒิพงศ์ พรหมสาขา ณ สกลนคร”

Star Retro : รางวัลชีวิตที่ยิ่งใหญ่ ของ ‘ก้อย-นฤมล พงษ์สุภาพ’

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/entertain/330340

Star Retro : รางวัลชีวิตที่ยิ่งใหญ่ ของ  ‘ก้อย-นฤมล พงษ์สุภาพ’

Star Retro : รางวัลชีวิตที่ยิ่งใหญ่ ของ ‘ก้อย-นฤมล พงษ์สุภาพ’

วันอาทิตย์ ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2561, 06.00 น.

แม้จะผันตัวไปจับธุรกิจร้านอาหาร แต่ “ก้อย-นฤมล พงษ์สุภาพ” ก็ไม่หยุดที่จะสร้างสรรค์ผลงานทางการแสดงออกมาให้ผู้ชมได้ชม วันนี้กับบทบาทหน้าจอที่เปลี่ยนไป ชีวิตและครอบครัวของเธอเป็นเช่นไร “ทีมข่าวบันเทิงแนวหน้า” ถือโอกาสดีไปนั่งพูดคุยกับเธอที่ร้าน TOKUSEN ธุรกิจส่วนตัวของเธอ

“งานแสดงก็ยังมีเรื่อยๆ ที่เพิ่งจบไปก็ “ชั่วโมงต้องมนต์” ทางช่อง 3 ที่กำลังออนแอร์อยู่คือ “พ่อปลาไหล” ช่อง 8 ส่วนที่ถ่ายทำอยู่ก็มี “ปี่แก้วนางหงส์” แล้วก็“หนี้รักในกรงไฟ” ส่วนใหญ่ตอนนี้ก็จะได้รับบทแม่หรือว่าป้า บทสาวใช้ ก็ไม่ค่อยได้แล้ว อาจจะด้วยวัยด้วยหน้าที่มันไปแล้ว (ยิ้ม)”

ภาพจำของคนดู

คนจำได้จากบทพยาบาลเพียงพร จากเรื่อง “คุณชายพุฒิภัทร” ซึ่งคนจะทักกันในรุ่นหลังๆ นี้นะคะ แต่ถ้าเป็นรุ่นก่อนก็จะเป็น “รักเดียวของเจนจิรา”, “แก้วหน้าม้า”คือเราเป็นนางเอกรุ่นสุดท้ายแล้วของ “อาต้อย-เศรษฐา”ไปไหนมาไหนคนก็จดจำได้ ทักทาย อย่างเวลาที่ก้อยมาร้าน บางคนมาเจอเราแล้วไม่รู้ ก็จะอ้าว…นี่ร้านพี่เหรอ ส่วนใหญ่เป็นคำพูดที่ชินหูมาก คือเขามาทานบ่อยแต่ว่าไม่เคยเจอเรา แม้กระทั่งพี่ๆ น้องๆ นักข่าวที่แวะมาทาน ก็เพิ่งจะทราบกันว่าเป็นร้านของก้อย ด้วยความที่โลเกชั่นร้านอยู่ใจกลางเมือง แต่ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยได้มาร้านจะอยู่ครัวกลางมากกว่าค่ะ

กับธุรกิจที่กำลังอินเทรนด์

คือก้อยเปิดร้านชาบูปิ้งย่างอยู่ที่เซ็นทรัลพระราม 9ร้าน TOKUSEN แล้วก็มีที่เดอะพาซิโอ ลาดกระบัง เป็นธุรกิจเสริมที่สามีเขาหุ้นกับเพื่อน แล้วเราก็มาบริหาร ทำมาตั้งนานแล้วค่ะ จะเป็น 10 ปีแล้ว จริงๆ ชื่อแรกเป็นที่รู้จักกันดีในนามของ Elite Grill Bar แต่ตอนหลังเราเปลี่ยนมาเปิดเป็นบุฟเฟ่ต์ แล้วตอนนี้เราก็เริ่มปรับมาขายเป็น A la carte ด้วย ที่สาขาพาซิโอก็จะปรับไปเรื่อยๆ คือทำธุรกิจจะอยู่นิ่งไม่ได้ หันมาทำธุรกิจเพราะว่าเราแต่งงาน เราก็คิดว่าพอเรามีครอบครัว เราคงจะต้องหาอะไรทำสนุกๆ คือตอนแรกคิดแค่สนุก สามีก็ทำส่งออกอยู่แล้ว และเพื่อนนำเข้าเนื้อ เราก็เลยลองทำดู เป็นเจ้าแรกๆที่ทำ คนกินเนื้อจะรู้จัก Elite Grill Bar ก็จะทำธุรกิจควบคู่ไปกับการเป็นนักแสดง จะเป็นคนที่รับหมด เล่นละครรับทุกบท เพราะส่วนใหญ่คนที่โทร.มาคือผู้จัดช่อง 3ที่เอ็นดูเห็นเรามาตั้งแต่เด็กๆ อย่าง “พี่ไก่-วรายุฑ” “พี่แหม่ม-ธิติมา” หรือว่า “พี่ดา-หทัยรัตน์” เขาส่งบทอะไรมา เราก็เล่นหมดเลย แล้วมันก็ดีจริงๆ บางทีบทเล็กๆ น้อยๆก็ทำให้คนจดจำเราได้ อย่างเรื่อง “ไทรโศก” ตอนเดียวเล่นเป็นแม่แล้วตาย ทุกวันนี้คนก็ยังจำได้ จับธุรกิจตอนแรกมันเฟื่องนะเฟื่องฟูมากเลย จนเปิด 6 สาขา แต่ด้วยความที่เรารับละครมากขึ้น ลูกก็เริ่มโตด้วย ก็ต้องให้เวลากับลูกและงานหลัก ก็เลยอันไหนหมดสัญญา เราก็ไม่ได้ต่อ แล้วตอนนี้ก็คิดที่จะไปบูรณะทำที่ดินที่ชลบุรี เพราะเห็นว่าอีกไม่นานชลบุรีจะเป็นแหล่ง AEC และอีกอย่างที่คิดจะทำคือทำครีมค่ะ คือก็ไม่ได้หยุดที่จะคิดทำธุรกิจ ส่วนสามีเขาก็มีธุรกิจของเขาอยู่แล้ว เป็นธุรกิจส่งออกมาตั้งแต่สมัยอาม่าอากง คือก้อยว่ามันเป็นไปตามดวงนะ มีลู่ทางทำเราก็ทำไป ไม่หยุด ควบคู่ไปกับการเลี้ยงลูก ซึ่งเลี้ยงลูกนี่จะเป็นงานหลัก

ย้อนวันวานเส้นทางชีวิต

ก้อยเริ่มเข้าวงการจากการประกวด New Star Award เมื่อปี 2538 เป็นของหนังสือทีวีพูล คนที่ได้ที่ 1คือ “พี่กิ๊ก-มยุริญ” เข้าวงการมาพร้อมกัน แล้วก็ “พี่ต่อ-เรืองฤทธิ์” ซึ่งเวทีนี้เขาก็ไม่ได้การันตีให้เรานะคะว่าเราจะเข้าวงการ มันเป็นยุคแรกๆ ของการประกวดเลย แต่เราก็ได้โชว์การแสดง เดินแบบ แอ๊กติ้ง ร้องเพลงนะที่ไปประกวดก็พอดีว่ามีรุ่นพี่ที่โรงเรียนเขาชักชวนให้ไป ตอนนั้นเรากำลังเรียนหนังสืออยู่ประมาณชั้น ม.5 ม.6 เป็นผมบ็อบคนเดียวในเวที (ยิ้ม) ก้อยเป็นคนที่ไม่กล้าแสดงออกนะคะ แต่เมื่อมันไปแล้ว และมันก็ได้ตังค์ด้วย ชนะได้เงินเป็นแสนเลยนะ เราก็เลยลองทำดู ก็ไปตามดวงเลย

เก็บเกี่ยวความรู้จากพี่ๆ

ละครเรื่อง “ไอ้คุณผี” ของช่อง 3 เป็นละครเรื่องแรกของก้อย ซึ่งตอนนั้นมีพี่ไก่กับ “ป้าแจ๋ว-ยุทธนา” เป็นกรรมการด้วย เขาก็อยากได้เด็กใหม่พอดี ซึ่งเขามี“พี่บี-แพรพลอย” “พี่นุ่น-รุ้งทอง” “พี่เกด-นรากร” แล้วก็ก้อย ซึ่งเด็กสุด และตรงคาแร็กเตอร์พอดี เลยได้เล่นละคร มาแล้วก็เรื่อยๆ คือเราก็ไม่ได้เก่งหรอก แต่ว่าตอนนั้นมีครูหลายคนเลยนะ ที่เป็นครูของก้อยในวงการ ไม่ว่าจะเป็น “พี่ต้อ-มารุต” “ป้าแจ๋ว” ซึ่งดีมากทุกคน น่ารักมากก้อยไม่ได้ไปเรียนการแสดงที่ไหน แต่ว่าเราก็อาศัยจำเอาจากที่พี่ๆ เหล่านี้สอน 2 ปี เราได้ความรู้ทักษะการแสดงจากทุกท่านที่เอ่ยมา รวมทั้ง “พี่ไก่-พี่ต่อ-พี่แตง” แต่พอเข้ามหา’ลัย ก็เข้าที่ศรีนครินทรวิโรฒก็ได้เรียนการแสดงและกำกับการแสดงโดยตรงไปเลย ซึ่งตอนนั้นรุ่นก้อยก็มี“พี่จอย-ศิริลักษณ์”

นางเอกละครพื้นบ้าน

ที่พีคสุดคือมาเป็นนางเอกละครพื้นบ้าน หรือว่าจักรๆ วงศ์ๆ ที่จะเห็นเด่นๆ เลยก็คือเรื่อง “แก้วหน้าม้า” เป็นนางเอกของอาต้อยอยู่ 2 เรื่อง ส่วนละครปัจจุบันก็ได้เล่นอะไรที่หลากหลาย เป็นเพื่อนนางเอกบ้าง แล้วก้อยก็มาแต่งงานซะก่อน แต่งงานตอนอายุ 25-26 ซึ่งตอนที่เข้ามาเป็นนักแสดงตอนนั้นเราไม่ได้คิดว่าเราจะเล่นไปได้ไกลแค่ไหนหรอกค่ะ แต่ว่าตอนนี้คิด เพราะว่ามันรักไปแล้ว ทำอย่างอื่นไม่ได้แล้ว คือมันต้องควบคู่ไปอย่างนี้แล้วล่ะ(หัวเราะ) เพราะว่าก้อยเป็นคนไม่ได้สวย เป็นคนไม่ได้มีคาแร็กเตอร์อะไรมาก แต่พออายุสัก 40 อย่างตอนนี้มันพอขายได้แล้ว พอจะมีบทบาทให้ตรงคาแร็กเตอร์แล้ว

ด้านชีวิตครอบครัว

คือเรียนจบมหา’ลัย ก็มีความคิดว่าอยากจะแต่งงาน เรามีแฟนชอบรักกันมากเลย แล้วเขาก็ขอให้แต่งงาน เพราะว่าพ่อเขาป่วย เราก็เลยแต่ง ก็ไม่คิดว่ามันจะอะไร แต่ตอนนั้นก็ไม่เป็นที่ยอมรับนะคะ สำหรับการเป็นดาราแล้วไปแต่งงาน แต่เราก็เลือกทางครอบครัวไปแล้ว ก็เลยออกจากวงการไปเลย ออกไปประมาณปีนิดๆคือพอคลอดลูกแล้วก็กลับมาอีก พอดีว่าคาแร็กเตอร์ตรงผู้ใหญ่ก็เรียกให้มาเล่น ก็อยู่มาเรื่อยๆ ตามอัตภาพ(หัวเราะ) กลายเป็นว่าการที่เราไปมีครอบครัวมีลูกไม่ได้เป็นอุปสรรคในการแสดงเลย จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่มีอย่างตอนที่คลอดลูกคนที่ 2 ก็อ้วนมากเลยนะคะ แต่ก็ยังได้เล่นเป็นแม่พระเอก สามีก้อยเขาก็ไม่ได้ห้ามอะไร คือไปเล่นได้เลย ด้วยความที่ธุรกิจเขาอยู่ตัวแล้ว ครอบครัวเขาค่อนข้างแน่นแล้ว เราก็ไม่ได้เข้าไปในกงสี คือเขาก็ไม่ได้ให้เราทำอะไร แต่เราไม่นิ่งเอง อยากทำนู่นทำนี่ เขาก็เลยหาอะไรให้ทำก็คือเปิดร้านนี่แหละ ด้วยความที่เราชอบไปขายของตามงานตลาดนัดดารา ออกร้านจนเขาบอกว่าเดี๋ยวเอาให้เป็นที่เป็นทาง ไม่ต้องไปไหน ก็เลยเปิดร้านให้

รักษามาตรฐานในการทำงาน

ก้อยเป็นคนที่โชคดีมากที่ผู้ใหญ่เอ็นดู แล้วเราก็รักษาคุณธรรมการทำงานความรับผิดชอบตรงต่อเวลา แล้วก็คุยง่ายทำงานเหมือนเป็นธุรกิจไปในตัว คือต้องเร็วมีความทุ่มเท ก้อยถือตรงนี้มาก ดังนั้นมันก็เลยเป็นความโชคดีของเรา ที่ผู้ใหญ่เห็นและเอ็นดู แต่ตลอดเวลาก็จะไม่ใช่คนที่โด่งดังอะไรมากมาย แต่ก็ไม่เคยทำให้ใครเดือดร้อนไม่เคยทำให้ชื่อเสียงเสีย

บทบาทการเป็นคุณแม่ทั้งในและนอกจอ

ชอบมาก (ยิ้ม) คือปีนเกลียวพี่ๆ เพื่อนกลุ่มก้อยก็จะมี “แม่เจี๊ยบ-ปวีณา” “พี่ใหม่-นัฏฐา”“พี่ฝน-สรวงสุดา” “พี่จุ๊บแจง-วิมลพรรณ” คือก้อยก็จะเป็นคนที่อายุน้อยสุดที่เล่นเป็นแม่ เขาก็จะขำกัน หน้ามันไปด้วยมั้งคะ (หัวเราะ) ชีวิตจริงก้อยมีลูก 2 คนค่ะ ผู้หญิงอายุ 15 ผู้ชายอายุ 8 ขวบลูกๆ เขาชอบมากเลยนะคะ ที่แม่เป็นนักแสดง เพราะโลกทุกวันนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว อะไรที่มันเป็นโซเชียล ไม่ว่าจะออกข่าวทางสื่อ ทางทีวีต่างๆ มันดูดี มันน่ารู้น่าใคร่รู้ไปหมด ตอนแรกเขาเฉยๆกับแม่นะ แต่พอเห็นแม่จะจะ แล้วเวลาอยู่บ้านแม่กระเซอะกระเซิง แต่ว่าเวลาอยู่ในจอทีวีแม่สวย แล้วแม่อยู่กับคนดัง เขาก็จะโอ้โห! แม่ได้เล่นกับคนนี้เลยเหรอ เช่นล่าสุดเล่นกับ “เจมส์-จิรายุ” เขาก็จะชอบจะกรี๊ด ส่วนใหญ่เด็กสมัยนี้เขาปลื้มดารากันอยู่แล้ว เขารู้จัก เขาก็จะดูตลอดเวลา แล้วผู้ปกครองของเพื่อนลูกๆ เขามาเจอเรา เขาก็แฮปปี้ เออไม่หยิ่งเลยเนอะชีวิตคือราบเรียบมากค่ะ ไม่มีอะไรเลยวันๆ นึง ถ้าไม่ได้ถ่ายละครก็จะอยู่ร้าน ไม่อยู่ร้านก็อยู่โรงงานมีแค่นี้ ไม่ได้มีอะไรหวือหวา ก้อยเลี้ยงลูกแบบเป็นเพื่อนกัน อยากได้อะไรอยากแต่งตัวแบบไหน บอกมา แล้วไปช็อปปิ้งกันสนุกสนาน ไปไหนไปด้วยกัน ถ้าไม่ได้ทำงานไม่ได้ถ่ายละครจะไปไหนไปด้วยกันตลอดทั้งสามีและลูกด้วย (หัวเราะ) เวลามีแฟนละครมาทัก เราก็จะไม่เขิน ลูกและสามีเขาก็ไม่เขิน สบายมาก บางทีคนขอถ่ายรูปลูกก็ยิ้มดีใจ เราเป็นครอบครัวที่อยู่บ้านจะไม่เป็นแบบนี้เลย คือจะเป็นแม่บ้าน

ความฉายแววของลูกๆ

ก็ยังไม่เคยค้นหาเขาเลยนะคะ แป๊บๆ ก็ ม.4 แล้ว ที่โรงเรียนสาธิตประสานมิตรเขาดีอย่างนะคะ เขาจะสนับสนุนให้เด็กทุกด้าน เดี๋ยวปีหน้าก็น่าจะรู้แล้วค่ะว่าเขาอยากเป็นไหม ก็คือผลักดันทั้งเรื่องวิชาการ แล้วก็การแสดง เพราะที่โรงเรียนเขาจะบังคับให้เด็กมีละครเวที ทำละครทุกปีอยู่แล้ว เขาก็จะมาถามตลอดว่าเขียนบทอย่างนี้ทำยังไง เรื่องเสื้อผ้าเอาแบบไหนดี บทละครตรงนี้น้องออมจะต้องเล่นยังไง แม่ก็จะคอยแนะนำ บวกกับเขาก็ได้เรียนที่แอ๊กแล็บด้วย คือก้อยอยากให้ลูกได้ไปเรียน เพราะว่าเหมือนตรงนี้เขาเรียนวิชาการแล้ว ละครมันปีละครั้งเอง เราก็อยากให้ส่งเสริมกันไปเรื่อยๆ เพราะว่าการเรียนการแสดงมันได้ทั้งบุคลิกภาพ ลูกเราหลังค่อมด้วยไงคะ ซึ่งพอเขาเรียนแล้วมันเป็นไปได้ เขามีทางของเขาที่จะได้เข้ามาทำงานเหมือนเรา ก็ดีมาก คือเราไม่อยากให้ลูกค้านกับสิ่งที่เขาไม่อยากทำ เขาอยากทำอะไรก็ให้เขาไปตามวาระเวลา ที่ผ่านมาก็มีทางค่ายละครติดต่อเข้ามาแล้ว แต่เราก็ไม่ได้ให้เล่น กลัวคนอื่นเขาเสียเวลาด้วย แล้วคือบทที่เขาส่งมามันแรงไปหน่อย ก้อยอยากให้เขาเปิดตัวในแบบใสๆสบายๆ ก็ดูไปก่อน ส่วนคนเล็กก็ยังไม่มีแววนะคะ จะซุกซนสไตล์เขา แต่ถ้าวันนึงลูกทั้ง 2 คนเขาเข้ามาเจริญรอยตามเราก็ไม่ได้ว่าอะไร ชอบเลยค่ะ ถ้าเขาได้จริงๆ คือเราดูแล้วเขาได้ ผู้จัดเล็งเห็นก็ให้อยู่แล้ว มันเป็นอาชีพที่ดีมาก เป็นอาชีพที่ทำให้มีแม่ทุกวันนี้นะ(ยิ้ม) แม่มีทุกอย่างกว่า 20 ปี มันคืออาชีพแล้วนะ ถ้าไม่มีอาชีพเขาส่งบทมาเราก็ต้องทำไม่ได้ แต่นี่คือส่งบทอะไรมา เราก็เล่นได้หมด ถ้ามีคนจ้างก็จะเล่นไปเรื่อยๆ

สิ่งที่ได้จากวงการนี้

วงการนี้ให้ทุกสิ่งอย่าง แล้วไม่ได้ให้แค่ตัวเรา ให้ทั้งพ่อแม่เราด้วยคือทุกวันนี้ก้อยก็เลี้ยงดูพ่อแม่น้องๆทุกคนก็มีอาชีพได้มาดูแลร้าน มีทุกวันนี้ได้คิดว่าน่าจะเป็นเพราะวงการนี้นะ อาชีพหลักของก้อยจริงๆ คือเลี้ยงลูก เป็นคุณแม่ แต่ว่าละครก็เป็นงานอดิเรกที่แทบจะหลักเหมือนกัน ควบคู่ไปกับการทำร้านอาหาร ทำไปเรื่อยๆ คือหยุดไม่ได้ ถ้าหยุดแล้วเครียด อยู่บ้านไม่ได้เลย ทุกวันนี้อยากจะบอกว่ามันเป็นรางวัลชีวิต แต่สำหรับตัวเราเราไม่ได้ว่าสำเร็จ เพราะว่ารวยหรือมีเงินอะไรมากมาย คือรถขับมาหมดแล้วทั้งสปอร์ตทั้งยุโรป จนตอนนี้ไม่มีแล้ว ธรรมดามาก แต่ขออยู่แบบสบายใจ แล้วเรามีทุกอย่าง มีบ้านมีรถมีลูก สิ่งสำคุญที่สุดในชีวิตของก้อยคือลูก และครอบครัว อาจจะอยู่กันแบบเงียบๆ เหงาๆ บ้าง เพราะว่าคุณพ่อแฟนเสีย คือตอนที่แต่งงานกันแต่งได้แค่ 3 วันแล้วท่านก็เสีย ตั้งแต่แต่งงานกันมา 10 ปีแรก มันมีแต่ความเศร้า เพราะว่าเขาก็สูญเสีย ทุกวันนี้เราก็ดูแลคุณแม่สามีไป แล้วคุณพ่อคุณแม่ทางเราน้องชายเราก็ดูแลไป เราก็ส่งเงินให้ ว่างๆ ก็ไปกินข้าวกัน คุณยายก็แฮปปี้เลี้ยงหลาน ทุกวันนี้มันยิ่งกว่าสำเร็จ ถ้าเทียบในเพื่อนๆ หรือความเป็นไปได้ของก้อย ก้อยถือว่าพอแล้ว มีทุกอย่างแล้ว บางทีก็แอบคิดว่าอยากได้นั่นได้นี่อีกไหม แต่ก็คิดไม่ออก อยากทำงานทุกวันจนไม่ว่างมากกว่า

ความในใจถึงแฟนๆ

ขอบคุณที่ติดตามก้อยนะคะ ก็ฝากละครแล้วก็ฝากร้าน TOKUSEN ด้วยนะคะ ขอบคุณที่ดูแล้วยังชื่นชมชื่นชอบการแสดงของก้อย มีทุกวันนี้ได้ก็เพราะผู้ชมและผู้หลักผู้ใหญ่ในวงการบันเทิงที่สนับสนุนอยู่ห่างๆ มีอะไรพูดนิดนึงทุกคนก็ยื่นมือเข้ามาช่วย จะสร้างสรรค์ผลงานที่ดีต่อไป พยายามที่จะไม่แก่และไม่อ้วนไปกว่านี้ค่ะ (หัวเราะ)

ทุ่มเททั้งกายและใจเพื่องานแสดง แต่ก็ไม่ได้ทำให้บทบาทการเป็นภรรยาและแม่ขาดตกบกพร่องเลย และนี่ก็คือ “ก้อย-นฤมล พงษ์สุภาพ” นักแสดงสาวยิ้มเสน่ห์ที่แฟนๆ คุ้นเคย

กุหลาบสีเงิน

Star Retro : 20 ปี กับบทพิสูจน์ของ‘หยา-จรรยา’ ที่ไม่ใช่เพียงเพราะบุพเพฯ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/entertain/328842

Star Retro : 20 ปี กับบทพิสูจน์ของ‘หยา-จรรยา’  ที่ไม่ใช่เพียงเพราะบุพเพฯ

Star Retro : 20 ปี กับบทพิสูจน์ของ‘หยา-จรรยา’ ที่ไม่ใช่เพียงเพราะบุพเพฯ

วันอาทิตย์ ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2561, 06.00 น.

เป็นนักแสดงที่ทุกคนคุ้นหน้า จากหลากหลายบทบาทที่ถ่ายทอดออกมาด้วยฝีมือและความทุ่มเท วันนี้ชื่อของ “หยา-จรรยา ธนาสว่างกุล” กลายเป็นที่รู้จักของคนดูมากขึ้น แต่กว่าจะมาถึงวันนี้เธอต้องข้ามผ่านอะไรมาบ้าง“ทีมข่าวบันเทิงแนวหน้า” ไม่รอช้า ขอตามไปถึงเรือนบุพเพสันนิวาส เพื่อล้วงชีวิตของ “พี่ผิน” มาฝากทุกท่านกัน

“ตอนนี้ไปไหนมาไหนคนจะเรียกพี่ผินกันหมดไปสอนหนังสือนักศึกษาก็ตะโกนเรียกพี่ผิน พี่ผินใช่ไหม ก็จะได้รับคำชมว่าดูแล้วร้องไห้ตาม รู้สึกว่าน่าสงสารเหลือเกิน ทำไมถึงรักเจ้านายขนาดนี้ ทำยังไงน้ำตาถึงออกมาไม่ขาดสาย คือเขาไม่เคยเห็น เพราะที่ผ่านมาเราก็จะเล่นอะไรที่มันตลกๆ เป็นตัวรับตัวชงหรือเป็นเพื่อนบ้านแม่ค้าในตลาดที่ขี้เม้าท์ เรื่องนี้ถือว่าตั้งแต่เล่นละครมาเกือบจะ 20 ปี เป็นบทที่ได้ใช้ฝีมือในการแสดงอย่างลึกซึ้ง จากความรู้ จากทักษะทั้งในวงการละครทีวี. และจากประสบการณ์ในการทำงานละครทีวี.ทั้งหมด”

กับบทบาทการเป็นครูสอนการแสดง

ในวงการละครทีวี.ก็จะมีแต่ผู้ใหญ่เท่านั้นที่รู้ว่าหยาเป็นครูสอนการแสดง อย่างที่บรอดคาซท์หยาก็ได้เป็นครูสอนแอ๊กติ้งให้กับแก๊งน้องใหม่ร้ายบริสุทธิ์ ได้สอน “จ้อย” (โมสต์-วิศรุต) ด้วยค่ะ คือ “พี่หน่อง” (อรุโณชา ภาณุพันธุ์) ให้ไปสอน ผู้ใหญ่ทางบรอดคาซท์ค่อนข้างไว้ใจที่จะให้ดูแลตรงนี้ จริงๆ ลูกศิษย์คนแรกเลยคือ “ซูซี่-สุษิรา” ก็ประกบเลยหน้าเซต ดูทุกประโยคตีความ เพราะว่าซูซี่เขาเป็นลูกครึ่ง แล้วก็อยู่ในสังคมที่เป็นฝรั่ง ดูแลทั้งการแสดง ดูแลทั้งความรู้สึก อยู่กับน้องตลอด 2 เรื่อง เพลิงสีรุ้ง, เรือนหอรอเฮี้ยน หลังจากนั้นก็มาเรื่อง บ่วง ได้โจทย์มาคือ “เอสเธอร์ สุปรีย์ลีลา” เราก็งงว่าใครนะ พี่หน่องก็ให้ทางทีมส่งเทปมาให้เราดูก็ตกใจ นี่เราต้องเจอเบอร์นี้เลยเหรอเนี่ย โจทย์ยากจริงๆ ก็โอเคนัดเวิร์กช็อปกันครั้งเดียวเองมั้ง ทุบเข้าจุดปุ๊บมาเร็วเข้าใจและเก็ตเร็วมาก น้องมีศักยภาพ น้องมีของ เพียงแต่ว่าน้องยังเอามาใช้ไม่เป็น จนพอเราเข้าไปอยู่ในกระบวนการ เข้าไปค้นหา จนระหว่างการถ่ายทำเราก็ประกบด้วย แต่หยาเป็นแอ๊กติ้งโค้ชที่จะพัฒนาผู้เรียนให้เขายืนได้ด้วยตัวเอง โดยที่เราค่อยๆ ถอยออกมา ให้เขาอยู่กับผู้กำกับ อยู่กับทีมงานมากขึ้น ไม่งั้นเขาจะอยู่บนโลกนี้ไม่ได้ ถ้าเขาคิดจะพึ่งแต่แอ๊กติ้งโค้ช แล้วเขาไม่คิดที่จะพึ่งตัวเขาเอง นั่นคือสิ่งที่หยาสอน บางคนเขาก็มองว่าเหมือนเราอู้ แต่ไม่ใช่นะ เราไม่อยากไปอธิบายให้ใครฟังว่านี่คือกระบวนการของเรา แล้วดูทุกวันนี้สิคะ เอสเธอร์ (ยิ้ม) นอกจากนี้ก็มี “นนท์-ภูดิศ” “รอน-ภัทรภณ”

เส้นทางกว่าจะมาถึงวันนี้

หยาเรียนการแสดงมา จบจากภาควิชาศิลปะการแสดง มหาวิทยาลัยกรุงเทพ จุดเริ่มต้นคือเกิดความสนใจในช่วงมัธยม อยากรู้ว่าสิ่งที่เราชอบมันจะมีสาขาหรือวิชาอะไรที่สามารถตอบสนองเราได้ไหม ก็ค้นหาจนเจอ และเลือกเอ็นทรานซ์ติดที่นี่ ซึ่งเราก็เอามาใช้ในการแสดงละครเวที ตอนนั้นมีแสดงละครเวทีของมหา’ลัย ของรุ่นพี่ที่ไปตั้งคณะละครข้างนอก แล้วตัวเราเองก็มาทำละครเวทีเล็กๆ จนมีรุ่นพี่ชวนให้ไปสมัครงานเป็นเพื่อน ก็ได้ทำตำแหน่งแคสติ้ง ที่บริษัทบิ๊กบลู โปรดักชัน ทำอยู่ 3 ปีก็ทำได้ค่ะ แต่ถามว่าดีไหม เราก็ไม่กล้าตอบเนอะ คือใจเราไม่อินกับงานแคสติ้ง สุดท้ายก็กระโดดกลับไปเล่นละครเวทีเหมือนเดิม โหย! มีความสุข มันคือเรา อย่าหนีมันไปเลย แต่ตอนนั้นก็ยังไม่รู้หรอกค่ะ ว่าการที่กระโดดกลับเข้าไปสู่ละครเวทีแล้วเราจะทำมาหากินอะไร ก็ปรากฏว่าการตัดสินใจกลับไปเล่นละครเวทีครั้งนั้น ก็กลายเป็นว่ามีทีมเขียนบทของ “อาบัณฑิต ฤทธิ์ถกล” เป็นรุ่นพี่ของหยาในกลุ่มละครเสาสูง เขามาดู และได้เห็นการแสดงเรา เกิดชอบและเอาเราไปเล่นเป็นคนใช้ในละครเรื่องนางสาวโพระดก “พลอย-เฌอมาลย์” เล่นเป็นนางเอก ก็ดีใจมาก เป็นละครเรื่องแรกตอนนั้นอายุ 27 ผมซอยสั้นทำสีทองแล้วผอมกว่านี้เยอะมาก ใส่เสื้อกล้ามกางเกงขาสั้น รองเท้าผ้าใบ ไปถึงกองก็สวัสดีทีมงาน แล้วก็บอกว่ามาถ่ายละคร เขาถามว่ามาเล่นเป็นเพื่อนพลอยเหรอ เราก็บอกว่าไม่ใช่ค่ะ เขาให้มาเล่นเป็นเพื่อนของ “พี่สุพรรษา เนื่องภิรมย์” ทุกคนก็ตกใจว่าทำไมวันนั้นมันไม่ใช่ลุคแบบนี้แต่ยังไงเขาก็จะให้เล่น ก็เลยต้องใส่วิกและเขียนริ้วรอย เพื่อให้ดูเป็นรุ่นเดียวกับพี่สุพรรษา(หัวเราะ) หลังจากนั้นพออาบัณฑิตไปทำหนัง ชื่อชอบชวนหาเรื่อง ที่มีนักแสดงรุ่นใหญ่เล่นเยอะมาก เราก็ได้มีโอกาสรับเชิญไปเล่นเป็นเป็นภรรยาของ “พี่กิ๊ก” (เกียรติ กิจเจริญ) เป็นบทที่โตกว่าตัวเองอีก และช่วงนั้นก็ได้งานโฆษณาด้วย ทำงานโฆษณามาไม่เคยได้เล่นโฆษณาเลย แต่พอออกจากบริษัทโฆษณา กลับได้งานโฆษณาเยอะมาก และที่สำคัญคือได้วัยที่แก่กว่าตัวเอง (ยิ้ม)

เปิดตัวด้วยบทที่โตกว่าตัวเอง

คือจะ ยีผมเป็นคุณนายหัวโตๆ เขาก็พยายามเอาคนในวัยนั้นมาแคสแล้ว แต่มันไม่ได้ ดังนั้นพอมีงานออกมาเราก็เลยจะได้รับบทที่มันแก่กว่าตัวจริงทุกเรื่อง ตอนแรกก็ประหลาดตัวเองนะ แต่ก็เอาล่ะ ถ้าเขาไว้ใจให้เราเล่นแล้ว ในเมื่อผู้กำกับมองว่ามันใช่ มันก็ต้องใช่ ก็ถือว่าเป็นการเข้ามาในวงการแบบเต็มตัวในฐานะนักแสดงโดยเฉพาะเรื่องที่ 3 หรือที่ 4 ที่ได้มาเล่นเรื่องปริศนาที่ “พี่คิง-สมจริง” เป็นผู้กำกับ ก็ได้เล่นเป็นครู หลังจากนั้นก็มีละครเข้ามาเรื่อยๆ คนเห็นคนจำภาพได้มาตลอดคาแร็กเตอร์จะเป็นอย่างที่บอก มาสายดุ แต่ตลก จนกระทั่งมีโอกาสได้ทำงานกับบรอดคาซท์ พี่หน่องให้มาเล่นเรื่อง มงกุฎดอกส้ม เล่นเป็น อาเง็ก เป็นคนใช้ของ “จอย-รินลณี”ก็อยู่ใน ดอกส้มสีทอง ด้วย คนจะจำอาเง็กได้เพราะว่าเราตามคุณนายที่ 2 ตลอด จะอยู่ในกระเสในตอนนั้นที่คนจดจำและพูดถึงตัวละคร แต่ยังไม่มีใครที่แบบเรียกชื่อเรา คนนี้พี่หยานะไม่มีใครรู้จัก

ยังคงโหยหาการแสดงละครเวที

เคยไปออกเกมโชว์ แล้วช่วงนึงเขาให้ดาราไปอยู่ในแคปซูล และให้คนทางบ้านเลือกเพื่อที่จะมาทำการแสดงด้วย เรารู้สึกว่าการที่ไปอยู่พื้นที่นั้น มันไม่ได้ให้เราเป็นตัวของตัวเองแล้วเรายังต้องแสดงเป็นใครก็ไม่รู้ รู้สึกว่าไม่ค่อยโอเค เลยปฏิเสธการออกเกมโชว์ทั้งหมด และเอาเวลาที่มีไปให้กับละครเวที เพราะเป็นพื้นที่ที่เราสบายใจสุด แต่ ณ ตอนนั้นเรายังเด็กนะ ยังเป็นตัวเล็กๆ เราก็รู้สึกว่าไม่กล้าที่จะต่อรองกับทีมงาน ว่าเราได้แค่อาทิตย์ละวันนะ ที่เหลือเราจะเอาไปซ้อมละครเวที ทุกวันนี้ก็ยังเกรงใจอยู่นะคะ ทุกปีเราจะเล่นละครเวทีให้ได้ปีละเรื่องเพื่อเติมจิตวิญญาณ ถ้าเราไม่ไปเติมอะไรที่มันเป็นพลังของจิตวิญญาณ เราก็ไม่รู้ว่าวันนึงเราจะเป็นยังไง กับการที่เราไม่ได้เกิดการเรียนรู้ใหม่ๆ ช่วงนี้ก็เริ่มมีคนชวนให้ไปเล่นละครเวทีมากขึ้น บางปีมีถึง 3 เรื่อง ปีนี้กำลังจะมีเรื่องที่ 5 หยาเป็นสมาชิกเครือข่ายละครเวทีกรุงเทพ ซึ่งจัดทำละครเวที เราจะมีพื้นที่เป็นโรงละครเล็กๆ ในกรุงเทพฯซึ่งมีอยู่หลายที่ทำการแสดง ใน 1 ปีเราจะมีมหกรรมรวมคนทำละคร เพื่อที่จะมาใช้พื้นที่นี้ทำการแสดงค้นหาหรือว่าได้เห็นงานสร้างสรรค์ต่างๆ

อาชีพและจิตวิญญาณ

เราก็เล่นละครเวทีอยู่เรื่อยๆ คือถือว่าเป็นอาชีพสำหรับเรานะ เพราะเราไม่มีอาชีพอื่น แต่ตอนแรกก็ไม่คิดว่าละครเวทีของเรามันจะต่อยอดมาสู่ละครทีวี.ได้ เพราะว่าถ้าคิดคงไปนั่งตรงบันไดห้างเพื่อที่ให้ “พี่พชร์ อานนท์” เห็น (หัวเราะ) คือชีวิตรู้อยู่แล้วว่าคงจะไม่มีทางที่ใครจะมามองแน่นอน เราคิดว่าเราจะทำงานละครเวทีและทำงานอยู่เบื้องหลัง คิดแค่นี้จริงๆ แต่ปรากฏว่าเข้ามาเฉยเลย แป๊บเดียว 20 ปีแล้วเหรอ อย่างที่บอกว่าตอนแรกเราก็จะเกรงใจผู้จัด เพราะว่าการทำงานมันต้องใช้ช่วงเวลา แต่ทีนี้พอถึงจุดที่เราต่อรองกับเขาได้ และเราตอบแทนด้วยวินัยการทำงานที่ดี ซึ่งสิ่งนี้ต้องขอขอบคุณ “มี้-พิศมัย” เคยคุยกับมี้ค่ะ ท่านบอกว่าที่ทำงานอยู่ในวงการบันเทิงนี้ได้ มี้เชื่อในเรื่องของวินัยความรับผิดชอบ การตรงต่อเวลา ถ้าเรามีสิ่งนี้ ถึงแม้ว่าเราอาจจะไม่ได้โด่งดังแต่ผู้จัดจะนึกถึงเราตลอดเวลา เพราะเขาอยากทำงานกับคนที่มีปัญหาน้อยที่สุด พอสิ่งนี้เราทำมาเรื่อยๆ มันเลยเกิดอำนาจในการต่อรองเบาๆ ทุกวันนี้ละครเวทีก็ยังมีแสดงอยู่เรื่อยๆ จะไม่ทิ้งทั้ง 2 อย่างนี้ เพราะว่าอันนึงคืออาชีพอันนึงคือวิญญาณ

ในมุมของความรัก

เคยคิดว่าถ้าตอนที่ออดิชั่นเข้าภาควิชาการแสดงไม่ได้ ชีวิตนี้อาจจะแต่งงานมีลูกมีสามีไปแล้ว เป็นแม่บ้านหรืออาจจะเป็นพนักงานออฟฟิศ เป็นยายเพิ้งทำงานงกๆจริงก็มีคนเข้ามาในชีวิตนะคะ แต่มันใช้เวลากับความสัมพันธ์มากเกินไป พอมานั่งทบทวนกับช่วงเวลาที่เสียไปเสียดาย 2 คนประมาณ 15 ปี โห!เราเสียเวลา 15 ปีกับผู้ชาย 2 คน 15 ปีเราทำอะไรได้ตั้งเยอะ แล้วมันจบไปโดยที่เขาไม่เข้าใจสิ่งที่เราเป็นด้วย หรือเขารู้สึกว่าเราไม่เหมาะกัน ด้วยเวลา ด้วยสไตล์การทำงาน ก็เลยคิดว่าไม่เป็นไร เพื่อนทุกคนจะบอกว่าเราปิด แต่เราไม่ได้ปิด และเราไม่กระโดดเข้าหามัน ในวัยรุ่นทุกคนจะรู้สึกสายตาจับจ้องหาความรัก แต่ ณ ตอนนี้มันไม่มีสิ่งเหล่านี้เลย มันมีแต่งาน มีแต่ครอบครัว คือคุณพ่อคุณแม่พี่น้อง ก็เลยรู้สึกว่าไม่เป็นไรการมีครอบครัวหรือไม่มีมันไม่ใช่สิ่งคาดหวังสำหรับเรา

มุมละมุนของพี่หยา

จริงๆ ที่บ้านเลี้ยงหมามา พอหมาตายไปหมด เราก็ไม่คิดว่าจะเลี้ยงอะไรอีก เพราะรู้สึกว่าการสูญเสียมันเจ็บปวด จนกระทั่งมีแมวแม่ลูกอ่อน ซึ่งคนที่คอนโดฯเรากำลังจะเอาไปทิ้ง เขาฝากเราไว้ที่ระเบียง ก็เลยจะเอาแม่แมวไปทำหมัน หาบ้านให้แมวทั้ง 4 ตัว พอทำหมันรับเขากลับมาบ้าน แม่แมวเขาเครียดมาก หัวขวิดกรงถลอกเยินน่าสงสารมาก เราก็เอามารักษาในห้องให้หายดีก่อน แล้วก็ค่อยว่ากัน แต่นั่นเหมือนเป็นแผนของแมว(ยิ้ม) เพราะหลังจากนั้นแม่แมวก็ไม่ได้ออกจากบ้านไปเลย คิดว่าจะหยุดแค่นั้น แต่เชื่อแล้วค่ะว่าเมื่อมีตัวที่ 1 ก็จะมีตัวต่อไปตามมา กลายเป็นทาสแมวไปแล้ว พยายามกระโดดตัวเองออกมา กลัวว่าจะหมกมุ่นกับแมวเกินไปจนลืมงาน หรือว่าเกินศักยภาพของตัวเอง เลยทำให้เข้าใจหัวอกของคนเป็นแม่ ตอนที่เราต้องมานั่งดูแลลูกแมวนี่แหละค่ะ ไม่ได้ดูแลตัวเองเลย แล้วดีที่มันเป็นจังหวะละครปิดกล้องพอดี เราก็โพสต์รูปกิจกรรมเราไปเรื่อยๆ พอทุกคนเห็น เขาก็ยื่นมือช่วยกัน ก็ต้องขอบคุณทุกคนจริงๆ เยอะมากที่หลังไมค์มาเพื่อขอบริจาคเงินช่วย โดยที่เราไม่ได้ร้องขอ เงินเหล่านั้นก็มาซัพพอร์ตแม่แมวลูกแมวทั้งหมดได้โดยที่เราก็ออกด้วยส่วนหนึ่ง ไม่ได้เจ็บตัวมากเกินไป จนพวกเขาหายดี และหาบ้านให้เขาอยู่ได้แล้ว ตอนนี้ก็เหลืออยู่ 2 ตัว กำลังเตรียมหาบ้านให้เหมือนกัน อยากให้เขาเจอคนที่มีเวลาให้กับเขา กอดเขา จะsensitiveกับแมวมาก เคยพาไปหาหมอแล้วร้องไห้ยืนดูเขา (น้ำตาคลอ) ถ้าเขามาตายในมือเรา เราคงรู้สึกแย่

จอมขโมยซีน

เขาชอบพูดว่าเราขโมยซีน เราไม่ได้ขโมยนะ เราทำหน้าที่ของเรา แต่คนที่เล่นกับเรา เขาทำหน้าที่ดีแล้วหรือยัง เพราะฉะนั้นทำไมเราต้องเล่นให้น้อยกว่าเขาละ เพื่อให้เขาเท่าเราทำไมเขาไม่เล่นให้เขาเท่าเราบ้าง ถ้าสายละครเวทีเขามาดูงานเราเขาก็จะบอกว่าอิ่มนะเนี่ย เขาพูดถึงเรื่องบุพเพฯ เขาก็บอกว่าดูพี่หยาเล่นแล้วอิ่ม เราก็ถามว่าอิ่มอะไร เขาก็บอกว่าคือกินเรียบเลย คำว่ากินเรียบของละครเวทีคือทุกเม็ดทุกช็อตเก็บหมดรายละเอียดแม้จะไม่ได้พูด เราก็มีตัวตนอยู่ในฉากนั้น ซึ่งเป็นสิ่งที่พยายามสอนเด็กที่เป็นนักศึกษา คือตอนนี้สอนเป็นอาจารย์พิเศษประจำอยู่ที่มหาวิทยาลัยหอการค้า สอนเกี่ยวกับทักษะการแสดง (เข้าสู่แวดวงการสอนมาประมาณ 6 ปี แล้วค่ะ สอนที่ ม.กรุงเทพ ก่อน แล้วก็หลังจากนั้นก็มาที่หอการค้าเรื่อยๆ) คอยบอกเขา ไม่ใช่ว่าถึงที่ตัวเองเล่น แล้วเล่น อย่าคิดว่าตัวเองไม่มีบทพูดเลยไม่เล่น แต่คุณอยู่ในซีนนะ คุณต้องมีตัวตน คุณต้องฟังต้องอยู่กับสถานการณ์ จะรีแอ๊กแบบไหนคุณต้องทำ ตั้งแต่ตอนซ้อมแล้ว ให้คนอื่นเขาเห็นไม่ใช่มาทำตอนเล่นจริงไม่งั้นมันอาจจะสร้างผลเสียกับคนอื่นได้ ดังนั้นเวลาแสดงทุกเรื่องทุกบทบาทหยาจะเต็มที่กับมัน จะมาว่าหยาขโมยซีนไม่ได้นะคะ

มุมมองของครอบครัว

ครอบครัวตอนแรกเราคิดมาตลอดว่าเขาจะไม่แฮปปี้ เพราะว่าอาชีพนี้ เขาเคยพูดถึงเรื่องเรียนสาขานี้ไว้ว่าต่อไปมันอาจจะเลี้ยงชีพไม่ได้ แล้วพอมันผ่านเวลาไป เราก็เล่นละครเวที เล่นละครทีวี. ให้เขาเห็น ด้วยความที่คุณพ่อเป็นผู้ชายปากหนัก เขาก็ไม่ชมต่อหน้า เราก็ไปเลียบๆ เคียงๆ ถามน้องชาย (น้ำตาคลอ) คือเวลาพ่อไปเจอเพื่อน เขาก็จะชม แต่พ่อไม่เคยเอาคำชมเพื่อนมาบอกเรา จะเล่าให้ที่บ้านฟัง น้องชายก็จะมาพูดให้ฟังบ้าง เนี่ยค่ะหยาเป็นคนsensitiveร้องไห้ (ยิ้ม) แต่ว่าพอมาถึง บุพเพสันนิวาส แล้วฟีทแบ๊กมันดีมาก เขาห่วงว่าเราพักผ่อนพอไหม ทำงานดึกถึงกี่โมง กินข้าวหรือยัง ถ้าเขารู้ว่าวันนี้เราจะกลับบ้าน เขาก็จะเตรียมอาหารที่เราชอบไว้ให้ ส่วนคุณแม่เขาก็จะเม้าท์กับญาติๆ หยาเองก็ปลื้มใจมาก ว่าเราอยู่ในฐานะที่ค่อนข้างโอเค ที่เราดูแลตัวเองได้นะในเรื่องการงานการเงิน แต่ว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือมันพิสูจน์อะไรบางอย่างที่เป็นปมเล็กๆ ในใจ ที่เรากลัวว่าเราจะทำสิ่งนี้ให้เขาเห็นไม่ได้ การพิสูจน์ว่ามันโอเคนะ มันอยู่ได้แต่ฟีทแบ๊กที่เกิดขึ้นมันเกินอธิบาย ระยะเวลามันเป็นเครื่องพิสูจน์ กับครอบครัวที่เคยสงสัยค้างคาใจอะไรกับเราตอนนี้มันหมดไปนานแล้วค่ะ

จากใจ “พี่ผิน” ถึงออเจ้าทั้งหลาย

ต้องขอพูดถึงแฟนๆ บุพเพสันนิวาส เพราะว่าตอนนี้คือเข้ามาเยอะมาก ทุกคนขอแอดมาเพื่อที่จะชื่นชมทั้งทางไอจีเฟซบุ๊คและมาฟีทแบ๊กกับการทำงานของเรา คือใครก็ไม่รู้ มาจากทุกสารทิศ ยอดฟอลโล่พุ่งเลย ขอบคุณจริงๆ ที่เข้ามาบอกความรู้สึกให้เรารู้ ทุกคนชื่นชมแล้วก็ชอบในสิ่งที่เราทำที่เราใช้เวลาสร้างความเป็นผิน และ “นุ่น-รมิดา” สร้างความเป็นแย้ม สิ่งที่เราประคับประคองให้ตัวละครมันเกิดขึ้นมาได้อย่างแข็งแรง ขอบคุณที่รักผินและแย้มมากๆ เราก็ไม่รู้ว่าหลังจากนี้จะเป็นยังไง แต่เราเดินมาบนเส้นทางนี้กับบทบาทประมาณนี้มาตลอด เราก็ไม่รู้ว่าเรื่องหน้ามันจะเทียบเคียงได้เท่าบุพเพฯไหม แต่ทุกการทำงาน เราทำตามทิศทางของผู้กำกับเราจะไม่เลยเถิด เพราะฉะนั้นติดตามผลงานกันนะคะ ก็จะมีครบทุกรสค่ะ ทำเต็มที่ทุกบทบาทแน่นอน

ทุ่มเททั้งชีวิตและจิตวิญญาณ เพื่อสร้างสรรค์ผลงานออกมาให้แฟนๆ ได้รับชม และนี่ก็อีกหนึ่งคนละคร “หยา-จรรยา ธนาสว่างกุล” หรือพี่ผินที่หลายคนกำลังหลงรัก

กุหลาบสีเงิน