Star Retro : ‘ปอย-ณภัทร’ จากหน้าจอผันสู่เบื้องหลัง ควบบทบาทคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยว

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/entertain/327391

Star Retro : ‘ปอย-ณภัทร’ จากหน้าจอผันสู่เบื้องหลัง ควบบทบาทคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยว

Star Retro : ‘ปอย-ณภัทร’ จากหน้าจอผันสู่เบื้องหลัง ควบบทบาทคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยว

วันเสาร์ ที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2561, 14.50 น.

อีกหนึ่งบุคคลเบื้องหน้าที่ผันตัวสู่งานเบื้องหลัง สำหรับ “ปอย-ณภัทร ปัทมสิงห์ ณ อยุธยา” กับประสบการณ์ที่ค่อยๆ เก็บเกี่ยวจนวันนี้เขากลายเป็นผู้กำกับการแสดงที่น่าจับตามอง “ทีมข่าวบันเทิงแนวหน้า” มีโอกาสพบเขาในงานเปิดตัวซีรี่ส์ “I Sea youฉันรักทะเล…ที่มีเธอ” ซึ่งเป็นผลงานการกำกับล่าสุดของหนุ่มปอย จึงถือโอกาสพูดคุยย้อนเรื่องราวชีวิต และที่มาที่ไปของการเบนเข็มมารับงานเบื้องหลัง

งานประจำในวันนี้

ที่ผมกำกับละครเสร็จไปแล้ว และกำลังออกอากาศอยู่ทางช่อง True4U ก็คือเรื่อง “I Sea you ฉันรักทะเล…ที่มีเธอ” แล้วก็มีไปช่วย “แดน” (วรเวช ดานุวงศ์) เรื่อง “30 กำลังแจ๋ว เดอะซีรี่ส์” และเล่นด้วย แล้วก็มีไปช่วย “พี่ผิน” (ผิน เกรียงไกรสกุล) ในตำแหน่งผู้ช่วย บางทีผมก็รู้สึกว่าถ้าเราไม่ได้กำกับ เราก็ไปหาคนที่เขามีวิธีการเล่าเรื่องเก่งๆ ไปฝึกฝีมือซึ่งผมยอมอยู่แล้ว เพราะว่าผมไม่ได้มีอีโก้ว่าเราต้องกำกับทุกเรื่อง คือผมเลือกที่จะไปทำงานร่วมกับใคร อย่างพี่ผินเขาเป็นคนที่อธิบายซีนได้เก่งผมก็จะไปเอามาบางส่วนที่เราต้องเพิ่มในการกำกับของเรา เรามีข้อด้อยข้อเสียของเรา เรารู้ตัวอยู่แล้ว เราก็จะไปเพิ่มตรงนั้น เหมือนไปเปิดโลกทัศน์เพิ่มเพื่อที่จะได้เอามาเสริมใส่ในงานของเรา พี่ผินก็บอกว่ารู้เลยว่าเรามาเอาวิชา (หัวเราะ) แดนก็เหมือนกันไปทำกับเขา บางทีแดนติดธุระผมก็ทำแทนบ้าง อย่าง 30 ยังแจ๋วผมก็สลับไป-มา เหมือนเป็นบัดดี้กัน เพราะว่าผมก็จะเข้าใจบทที่เขียนกันมา เราอ่านด้วยกันและบางทีเขาก็ปล่อยให้ผมบรีฟไปเลย เรียกว่าค่อนข้างรู้ทางกันกับแดน สิ่งไหนที่บกพร่องเราก็จะมาแก้ไขกัน เพราะว่าระยะเวลาการทำงานของผมกับแดนเราต้องนับไปตั้งแต่สมัยวัยรุ่นเลยนะ

จุดเริ่มต้นการเป็นผู้กำกับการแสดง

“I Sea you ฉันรักทะเล…ที่มีเธอ” ถือเป็นงานกำกับเรื่องที่ 3 ของผมครับ ก่อนหน้านี้คือผมกำกับหนังเรื่อง “The One Ticket ตัวพ่อเรียกพ่อ”และมี “ซิ่งรักทะลุมิติ” ทางTrue4U ที่ผมมาทำงานเบื้องหลังเนี่ย เหตุผลเลยคือผมนั่งอยู่ในกองละครกับแดน เราก็คุยกันเรื่องบทว่าถ้าเป็นแบบนี้น่าจะสนุกนะ ด้วยความที่ผมเป็นคนชอบดูซีรี่ส์ดูหนังอยู่แล้ว เราก็คุยกันแล้วแดนก็ถามว่าเขาจะไปทำเบื้องหลัง เราจะไปทำด้วยไหม ผมก็บอกว่าเราคิดเหมือนกันเลย โดยที่เราก็เริ่มจากการคิดอะไรที่มันฟุ้งๆ เราทำหนังสั้นไหม คนในกองเขาก็มองว่า 2 คนนี้มันก็คงคุยกันไปงั้นแหละ แต่เราก็เริ่มกันเลยครับ และผมก็อยากจะเป็นผู้กำกับ แต่การที่เราจะเป็นผู้กำกับเลยมันก็กระไรอยู่ อยากรู้ว่าจริงๆ แล้วมันเป็นยังไงก็เลยเริ่มไปทำผู้ช่วยก่อน บางคนเขาเป็นนักแสดงแล้วกำกับเลยก็ได้ แต่ผมแค่อยากรู้ว่ามันมีอะไรมากกว่าที่ผมเห็นทั้งที่ผมออกกองนะ คือผมอยากเห็นอีกมุมมองหนึ่ง ที่เราว่าน่าจะไม่ยาก แต่พอเอาเข้าจริงๆ แล้วโอ้โห! เหนื่อยมาก วันแรกหยิบจับอะไรมั่วไปหมด ต้องกลับมาตั้งสติใหม่ เหมือนเราเล่นละคร มันจะมีสเต็ปของมัน ก็ค่อยๆ ทำไป หลังจากนั้นก็เริ่มมาพัฒนา คุยกันเรื่องบท ไปศึกษาเรื่องบทเรียนรู้กันหาหนังสือมาอ่านศึกษากันเอง แดนเขาจะมีสไตล์หนังของแดน ผมก็จะมีสไตล์หนังของผม แล้วก็เปิดหนังดูว่าประมาณนี้มันจะมีกี่องค์ เมื่อก่อนไม่รู้จักคำนี้ เราก็ศึกษาและเอามาเทียบกับสิ่งที่เราทำ ข้อดีก็คือเราได้ลงมือทำก่อนแล้วกลับมาศึกษามัน เลยเก็ตเร็ว ซึ่งตอนแรกที่ทำเอ็มวีไป มันเหมือนฟลุก คือเราดันไปทำในสิ่งที่ตรงกับคอนเซ็ปต์ และเอาพวกนี้มาเสริมในสิ่งที่เรามีอยู่ เลยทำให้รู้ว่าถ้าเราเริ่มต้นจริงๆ แล้วเรามาผิดทางเลย เพราะว่าเราต้องเริ่มต้นจากบทก่อน เพราะว่าบทมันคือหัวใจของเรื่อง

ลุยงานเบื้องหลังอย่างเต็มตัว

งานแรกที่ทำคือไปเป็นผู้ช่วย 3 ให้กองคนนู้นคนนี้นอกจากพี่ผินแล้วก็ยังมี “ พี่กบ” ซึ่งเราจะสลับกันตอนผมกำกับ ผมก็เรียกพี่กบมาช่วย แล้วก็มี “พี่อ๊อด-บัณฑิต” และแดน ก็ศึกษาของทั้ง 4 คนนี้ว่าสไตล์ของแต่ละคนเป็นแบบไหน แล้วเวลาออกกอง ตอนเป็นนักแสดง เราก็จะเจอผู้กำกับหลายแบบ เราก็จะมาดูว่าอันนี้ดี อันนี้เหมาะกับเรา หรืออันนี้อาจจะไม่เหมาะกับเราแต่มันดีมากเลย เราก็ปรับๆ ไปให้มันเข้าไปในทางนั้น โดยรวมแล้วคือผมทำเบื้องหลังทั้งหนัง ละคร โฆษณา เอ็มวี ก็ทำมาร่วมๆ 6 ปีแล้วครับ เฟสตัวเองจากงานเบื้องหน้าไปทำเบื้องหลัง ซึ่งก็ไม่ได้หายไปไหนเลยครับ แล้วหลังๆ จะมีแจมเบื้องหน้ามาแสดงบ้าง คือมันเหมือนช่วงแรกเรากำกับเขา เราก็จะไม่ไปเล่น แต่ตอนหลังผมก็อยากลิ้มรสจังหวะของการเล่น เผื่อเราจะเอาไปเพิ่มในการกำกับได้ด้วย ถ้าเราลองกลับไปเป็นนักแสดงในจังหวะแบบนี้ ตัวละครคิดแบบนี้จะเป็นยังไง เพิ่มสกิล ผมบอกเลยว่าเรียนรู้ไม่จบหรอกครับ ถ้าราเหยุดมันก็เหมือนเราจบ เหมือนดูซีรี่ส์ผมดูหมด รวมทั้งข่าวต่างๆ ถ้าเราไม่ได้ดูมันก็เหมือนเราล้าไปพวกหนังซีรี่ส์มันมีไอเดียแล้วก็มีสไตล์

สไตล์การกำกับในแบบของ “ปอย-ณภัทร”

ผมเป็นคนที่มี Energies สูงมาก มากๆ ด้วยเคยไม่พักกินข้าวเที่ยงเลยก็มี คือพอเราทำงานแล้วเห็นซีนที่มันสนุกจะรู้สึกเอ็นจอย ไม่อยากจะหยุด อยากถ่ายตรงนี้ต่อ เหนื่อยนิดหน่อยแต่ผมก็จะมีแซวคนนั้นคนนี้ไม่ได้โหดครับ เมื่อก่อนผมเคยโหด เรื่องแรกๆ คือไม่ใช่โหดเพราะว่าไปโวยวาย แต่ว่าผมอยากได้อะไร ผมก็ต้องเอาพอหันไปมองข้างหลังผมไม่มีคนเลย เพื่อนกันด้วยซึ่งเขาก็ไม่อยากจะบอก ไม่อยากจะเตือน ผมก็ไม่รู้ตัวนะจนหลายคนเขามาบอกว่าเนี่ยเราเป็นแบบนั้นแบบนี้นะ เราก็ตกใจว่าจริงเหรอ เราไม่รู้ตัวเลย ผมไม่ได้โกรธเขานะ คือผมแค่โฟกัสเรื่องงาน แล้วหน้าผมเวลาดุมันก็เครียด ผมก็เลยค่อยๆ ปล่อย ลองสบายๆ สิ แต่พอสบายไปก็จะเกิดเหตุการณ์ชิลไป ถ้างั้นเรามาครึ่งหนึ่ง พอเริ่มหาจุดที่มันโอเค ก็รู้สึกว่ามันเวิร์ก กองไม่เครียดทุกคนเต็มที่ นักแสดงพร้อมที่จะมาเล่น ทีมงานแฮปปี้ เราแฟร์กับเขา เขาก็ยิ่งให้อะไรมากกว่าที่ผมคิด ตากล้องที่ผมถ่ายด้วยเราสนิทกันมาก อย่างเวลาผมไปกำกับเอ็มวี “พี่ยอ” ตากล้องเขาก็ไปช่วย โดยที่ไม่คิดตังค์ แต่ก็ไม่บ่อยนะ คือนานๆ เรามาจอยกัน มันก็รู้สึกสนุก เราหาวิธีการถ่ายทำจนเรามาเจอมูจิสไตล์ที่มันทิ้งสเปชเฟรมอย่างที่เราใช้ในเรื่องนี้

สิ่งที่คิดฝันไว้ก่อนจะมาถึงจุดนี้

ต้องพูดจากใจจริงแบบไม่อ้อมค้อมเลยว่าตอนแรกไม่อยากเป็นดารา แค่มาทำแล้วได้ตังค์เยอะ แต่เราก็เริ่มซึมซับว่าเราได้ตังค์แล้วเราสนุก มันได้เล่นนะไม่ได้เป็นตัวของตัวเอง เหมือนเราเล่นเกมซึ่งมันสนุก ก็เล่นร้ายบ้างคอเมดี้บ้างเป็นเด็กวัยรุ่นขำๆ หลังๆ ก็เริ่มศึกษา เริ่มรู้สึกว่าอาชีพนี้เรารักมันเลยล่ะ และผมเริ่มเห็นทีมงาน เห็นเบื้องหลังที่เขาทำงานผลิตในสิ่งที่ผมทำอยู่ เหมือนเรานั่งดูหนังที่เราชอบ แล้วเรารู้สึกว่าการทำงานมันยากนะ เพราะเราดันรู้เบื้องหลังของไทยด้วยว่ามันยากนะ กับซีนหนึ่งที่จะต้องเดินโผล่ออกมา เราถ่ายทั้งวัน แต่โผล่มาแป๊บเดียว แต่โมเม้นท์นั้นที่คุณถ่ายนานแต่คนยิ้ม ผมพอใจมาก ผมก็เลยรู้สึกว่าอยากลองมาทำเบื้องหลังอยากกำกับ ก็ตั้งเป้าไว้ว่า 5 ปี จะทำให้ได้แล้วก็ทำได้ก่อนด้วย

ย้อนวันวานก้าวแรกในวงการบันเทิง

โอ้โห! ลืม (ยิ้ม) คือจริงๆ ก็ประมาณ อายุ 19-20 ตอนนี้ผมอายุ 38 แล้ว ตอนแรกกะทำงานแค่ 2 ปี จุดเริ่มต้นของผมต้องบอกว่าตลกมาก คือเขาให้ไปแคสโฆษณา แล้วก็มีโมเดลลิ่งนะ นึกไปสมัยนู้นยุค 90 ของเรา (หัวเราะ) เขาก็ให้ไปถ่ายรูปเก็บไว้ ซึ่งผมก็ไม่ไป ไม่ได้กลัวแต่คือผมก็เตะบอล เป็นเด็กช่าง เรียนวาดรูปเรียนศิลปะของผมไป ก็มีคนมาขอเบอร์ คือเป็นโมเดลลิ่ง แล้วเขาก็โทร.เรียกให้ไปถ่ายรูปเก็บไว้ เราก็ขี้เกียจ รู้สึกไม่โอเคจนวันหนึ่งก็มีอีกงาน เขาก็บอกว่าลองไปแคสหน่อย ผมก็ยังเข้าใจว่าการไปแคสคือโมเดลลิ่งไปถ่ายรูป แต่พอเข้าไปคือคนเต็มเลย พ่อก็ขับรถไปส่งด้วย เขาให้ไปถ่ายรูปเราก็ไป และเขาก็ให้ทำท่าทางเวลาดื่มโค้ก คือน้ำอัดลมครับ ผมก็โอเคทำไปเต็มที่ให้จบๆ ก็แคสคนสุดท้ายเลย พอจบเสร็จก็กลับบ้าน หลังจากนั้นเขาก็โทร.มาบอกว่าเราได้นะ ให้ไปถ่ายที่กาญจนบุรี คืออะไรเนี่ย งง..แต่ก็ไปนะไปถึงก็มีคนมาแต่งหน้าเรา แล้วทำไมเราไม่ได้ไปนั่งอยู่กับคนอื่นที่เป็นเอ็กตร้า ก็ถ่ายไปเสร็จจบ ได้ตังค์กลับบ้านก็ยัง งงๆ หลังจากนั้นเขาก็บอกว่ามีงานอีก ไม่ต้องแคส เขาชอบ ก็เลยเริ่มเข้าใจว่ามันคือการแคสติ้งเพื่อไปถ่ายโฆษณา ก็ต้องเข้าใจว่าเราไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้ ไม่ได้สนใจงานบันเทิงเลย ทำมาปีหนึ่งก็ว่าจะพอแล้ว แต่ก็ดันมีละครเข้ามา เรื่องแรกคือ “น้องใหม่ร้ายบริสุทธิ์” ก็กลัวเหมือนกันว่าจะทำได้ไหม เพราะว่าบทพูดเยอะด้วย แต่ก็อ่ะ ทำไป จะได้จบๆ แต่เต็มที่นะ เล่นไปตามความเข้าใจของเราไม่เคยไปเรียนการแสดงที่ไหน แต่เขาก็ชอบกัน หลังจากนั้นก็คิดว่าจะต้องเลิกแล้วน้องใหม่ฯ เพราะว่ามันเล่นยาวจังเลย แล้วพี่ที่ธันเดอร์ “พี่ตุ๊ก” ก็เรียกมาว่ามีละครเรื่อง “วิมานกุหลาบ” เราก็ได้ไปเวิร์กช็อป ซึ่งอันนี้ทำให้เราเข้าใจว่าบทละครมันคืออะไร มาเข้าใจเรื่องที่ 2 แล้วก็เล่นเต็มที่ หลังจากนั้นก็ได้เล่นของธันเดอร์เรื่อยๆ และได้มาเล่นอาร์เอส จนได้มาเจอกับแดน ซึ่งจริงๆ เขาเป็นเพื่อนกับน้องชายผมนะ คือน้องชายผมเป็นคนเขียนบทเรื่อง“I Sea you ฉันรักทะเล…ที่มีเธอ” พอเราได้มาเล่นด้วยกันถ้าเราไม่ทักไม่คุยกัน มันก็จะยังไงอยู่ ก็เลยกลายเป็นเพื่อนกันมาสิบกว่าปี (หัวเราะ)

สิ่งที่ได้จากวงการบันเทิง

อย่างแรกเลยให้ตังค์ (ยิ้ม) ชัดเจนเลย ผมเป็นคนชัดเจนอยู่แล้ว ให้อาชีพให้มิตรภาพ อันนี้เรื่องจริงผมกับแดน แล้วก็น้องชายผมด้วย แล้วก็ทีมงานหลายคนที่ผมร่วมงาน แล้วยังร่วมกันต่อ หรือแม้แต่พี่ๆ หลายคนที่มาร่วมแสดงให้ ทุกคนมาเต็มที่ วันหนึ่งเราทำงานแล้วเราเหนื่อยแต่เราหันกลับไปมอง อ้าวนี่ก็เพื่อนเรา พี่เราน้องเราซึ่งมันแฮปปี้มาก ในความรู้สึกผมแล้วเราพร้อมที่จะช่วยกันอีกอย่างก็คือทำให้เรามีฐานะขึ้น นี่แหละคือสิ่งที่ผมได้ แล้วมันทำให้ผมได้เรียนรู้ในวงการว่ามันเป็นวิชาหนึ่งเลย การกำกับการแสดง เราอย่าไปมองแค่การกำกับ ซึ่งมันมีตำรานะที่เขาทำกันมา เราก็เหมือนเป็นนักศึกษาคนหนึ่งและได้สนองความต้องการ การวาดรูปของผมโดยการมาถ่ายทอดออกมาเป็นละคร

มองว่าน่าจะยึดเป็นอาชีพตั้งแต่เมื่อไหร่

ตอนเป็นดาราไม่ได้คิดนะ เราก็สนุกๆ คิดว่าสักวันก็เลิกแล้ว ไปทำอย่างอื่น เริ่มมาคิดตอนที่อยากมาทำเบื้องหลังนี่แหละ ตั้งเป้าไว้เลยว่าทำไมจะทำไม่ได้ เราต้องทำให้มันเป็นอาชีพอยากเป็นผู้กำกับให้ได้ แล้วพอได้ปุ๊บเราจะทำยังไงให้มันอยู่ยาว จริงๆ ตอนเด็กผมฝันว่าอยากจะเป็นศิลปินวาดรูปการ์ตูนนะ อยากเป็นนักเขียน ซึ่งผมก็ยังฝันอยู่

มุมมองของคนในครอบครัว

แม่ก็บอกว่าโอ้ย..ทำได้ด้วยเหรอ แล้วเขาก็จะคุยเรื่องอื่นไป เขาจะเฉยๆ ส่วนพ่อก็เออ..ทำไปดีๆ แล้วก็คุยเรื่องอื่น เขาจะถามดาราคนนั้นเป็นยังไง จริงๆ เขาก็บอกว่าให้เราทำอะไรเต็มที่อย่ายอมแพ้ ซึ่งมันก็เป็นเรื่องปกติของคนเป็นพ่อเป็นแม่ แล้วผมมีลูกสาวแล้วไง (ไปมีครอบครัวตั้งแต่เมื่อไหร่?) นานแล้วครับ แต่ว่าผมมีแต่ลูกนะ ส่วนแม่เขาเราก็เลิกรากันไป ก็เลยเอาลูกสาวมาเป็นแรงบันดาลใจผมเลี้ยงลูกคนเดียว หนังเรื่องแรกก็เลยอยากทำหนังที่เกี่ยวกับพ่อลูก แต่มันมีวิธีไหนที่จะทำให้สนุกบ้างนะ ก็คิดๆ วันหนึ่งผมเดินกลับบ้านก็เห็นรายการหนึ่ง ก็ได้แรงบันดาลใจว่าถ้ามีพ่อห่วยคนหนึ่งที่เอาตังค์ที่ลูกเก็บไปซื้ออย่างอื่นที่มันงี่เง่า แล้วลูกก็อยากไปดูศิลปิน เรื่องมันก็คงวุ่นวายดีนะแทนที่จะเป็นหนังพ่อลูกทั่วไปก็เลยเกิดเป็นไอเดียนี้ทำเรื่อง “The One Ticket ตัวพ่อเรียกพ่อ” ส่วนลูกผม เวลาที่ผมทำงานเขาก็จะถามนะว่าพ่อปอยรู้จักคนนั้นคนนี้ไหม คือเขามีเพื่อนกลุ่มยูทูบของเขาที่จะตามดูเขาจะมีเวลาของเขาดูเสร็จผมก็พาไปเล่นดินปลูกต้นไม้เล่นบาส แล้วก็จับลูกสาวตัวเองมาแสดงด้วย (หัวเราะ)

บทบาทการเป็นคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยว

ผมว่าไม่เกี่ยวนะ เขาคือลูกเราก็เลี้ยงมาก็จบ อย่าไปคิดเยอะ รู้ว่ามันเหนื่อย แต่ก็ไม่เห็นเป็นไร เรายังเลี้ยงเพื่อนได้เลย แล้วนี่เลี้ยงลูกคนเดียวทำไมจะเลี้ยงไม่ได้ แต่ว่าก็จะมีคุณพ่อคุณแม่ผมช่วยเลี้ยงอยู่แล้ว ถ้าผมมีงานก็ไปทำงาน กลับบ้านมาก็จะพาเขาเล่นแล้วเขาจะชอบ “พี่ไอซ์-ปรีชญา” ผมก็จะพาเข้าไปกองด้วย เขาจะไม่ค่อยพูดชื่อว่าชอบดาราคนไหน พอเขาพูดเราก็เลยพาเขาไป แล้วก็จะมีพาไปกองนู้นกองนี้ ซึ่งผมก็ไม่รู้สึกลำบาก รู้สึกมันหายเหนื่อย มาถึงกระโดดขี่คอพ่อ เออก็ยังดี 8 ขวบยังกอดเราอยู่ แล้วก็นั่งคุยกันผมจะถามเขาว่าไปโรงเรียนมีอะไรไหม เล่นอะไรกัน ถามเขาเหมือนให้เขานั่งเล่ามา ผมเป็นคนเลี้ยงลูกแบบสบายๆ เขาอยากเป็นอะไรก็แล้วแต่เขา ถ้าอยากจะเป็นนักแสดงก็เป็น ในเรื่องนี้เขาก็เล่นนะ พาคุณปู่คุณย่ามาเล่นด้วย เหมือนเป็นเอ็กตร้าผมเห็นว่าถ่ายใกล้บ้านก็เลยเรียกมา

ไม่ได้รู้สึกว่าความเป็นวัยรุ่นหายไป

ตอนนั้นผมก็ 30 แล้วนะ ก็ถือว่าโตแล้ว ไม่ได้เครียดอะไร เราก็ได้เริ่มวางแผนชีวิตตัวเองว่าจะทำอะไร มีลูกเราก็ต้องรับผิดชอบ ซึ่งผมก็อยากมีด้วย โอเคไม่มีแม่ เราก็ต้องพูดให้เขาเข้าใจ เขาก็โอเค นานๆ ไปเจอกันได้ เราก็ให้แต่ว่าก็ไม่ได้สปอย หมายถึงว่าให้ในสิ่งที่เขาขาด วันแม่ที่โรงเรียนเขา บางทีผมก็ไปบ้าง แม่ผมก็ไปด้วยอะไรแบบนี้หรือบางทีกีฬาสีก็จะไปเชียร์ ชีวิตผมแฮปปี้ดี เลี้ยงลูกไปทำงานที่เรารักไป ก็แค่นี้แหละ ทำงานเสร็จกลับบ้าน มาเจอลูกเจอครอบครัวก็มีแค่นี้ เพราะว่าตอนวัยรุ่นสีสันผมเยอะมากแล้ว (ยิ้ม) พอมันถึงจุดหนึ่ง มันก็จะห่างๆ คือก็มีกินเที่ยวบ้าง แต่ว่ากินก็กินบ้าน เพื่อนนั่งกันเงียบๆ คุยกันเรื่องงาน เป็นไปตามอายุครับ

อนาคตที่เป็นไป

ผมก็จะลองทำโปรเจกท์อะไรใหม่ๆ อาจจะลองอะไรที่พิสดารขึ้นนอกจากกำกับอย่างเดียว เดี๋ยวไปคิด กำลังเตรียมพร้อมอะไรบางอย่างอยู่ แล้วก็อาจจะมีไปทำไวรอลของน้องสาว แล้วก็ยังคงทำกำกับนี่แหละต่อไปเพียงแต่ว่าเราจะเพิ่มเติมอะไรขึ้นมากกว่าเดิม เพราะรู้สึกว่าตอนนี้ยังไม่พอ หมายถึงตังค์นะ (หัวเราะ) ไหนจะค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าบ้าน ค่ารถ ค่าเรียน ค่านมลูก ก็ฝากแฟนๆถ้าเจอกันก็ทักทายกันได้ว่าเป็นยังไง เหมือนได้เจอเพื่อนเก่ารำลึก เอ๊ะ! เคยเล่นเรื่องนี้นี่นา แต่ตอนนั้นผอมกว่านี้นิ ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นแบบนี้ (ยิ้ม) ก็เข้ามาคุยกันได้ทักทายกันได้หรือว่าชอบในทิศทางของผู้กำกับ ชอบเรื่องนี้ไม่ชอบเรื่องไหน ก็เข้ามาคอมเมนท์ได้ครับคือผมก็ยากรู้เหมือนกันว่าเขารู้สึกยังไง เม้นท์มาเถอะ บางทีคอมเม้นบางอย่างมันฮานะ ผมก็เอามาใช้ในบทด้วย ซึ่งเราก็ได้ไอเดียจากตรงนี้แหละ

เรียกว่าไม่หยุดที่จะสร้างสรรค์และพร้อมที่จะพัฒนาผลงานอยู่เสมอ เพราะนี่คือสิ่งที่เขารักและยึดเป็นอาชีพ ควบคู่กับอีกหนึ่งหน้าที่ของการเป็นคุณพ่อที่ “ปอย-ณภัทร ปัทมสิงห์ ณ อยุธยา” ไม่ได้ขาดตกบกพร่องเลย

กุหลาบสีเงิน

Star Retro : หนุ่ย-สุพร สังฆะภิบาล ประสบการณ์ชีวิต คือเข็มทิศ หล่อหลอมการเป็นนักแสดง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/entertain/325823

Star Retro : หนุ่ย-สุพร สังฆะภิบาล  ประสบการณ์ชีวิต คือเข็มทิศ  หล่อหลอมการเป็นนักแสดง

Star Retro : หนุ่ย-สุพร สังฆะภิบาล ประสบการณ์ชีวิต คือเข็มทิศ หล่อหลอมการเป็นนักแสดง

วันอาทิตย์ ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2561, 06.00 น.

เชื่อว่าหลายคนคงคุ้นหน้าคุ้นตากันดีกับ “หนุ่ย” สุพร สังฆะภิบาล ด้วยบุคลิกที่เป็นเอกลักษณ์จนได้รับฉายาว่า ตลกหน้าตาย เพราะเล่นหนังเล่นละครเรื่องไหน ทำเอาคนดูหัวเราะและอมยิ้มไปกับทุกบทบาทที่เธอได้รับ แต่ใครจะรู้เบื้องหลังคาแร็กเตอร์ที่แฟนๆ จดจำ เธอต้องผ่านการขัดเกลาจากทั้งผู้กำกับและกวาดประสบการณ์มาไม่น้อย ที่สำคัญบทบาทในชีวิตจริงกับอาชีพ ครู ก็มีส่วนหล่อหลอมให้เธอพัฒนาตัวเองเข้าสู่เส้นทางสายบันเทิง

จุดเริ่มต้นเข้าสู่เส้นทางบันเทิง

เริ่มต้นจากการเป็นนักธุรกิจทำการตลาดค่ะ แต่พอไปเจอกระแส IMF ก็เลยทำให้ตกงาน หลังจากนั้นก็ได้เป็นคุณครูสอนภาษาไทยและวัฒนธรรมไทยให้กับเด็กต่างชาติ ที่โรงเรียนนานาชาติแอ๊ดเวนตีส เอกมัย และเข้าสู่วงการบันเทิงจากงานโฆษณาก่อนค่ะ พอผลงานโฆษณาชิ้นแรกออกอากาศก็เริ่มมีโมเดลลิ่งติดต่อให้มีงานเข้ามาเรื่อยๆ เลยทำอาชีพสองอย่างพร้อมกันก็คือ เป็นครูกับนักแสดง

ผลงานแจ้งเกิดแฟนๆ จดจำ

ภาพยนตร์เรื่อง “รถไฟฟ้ามาหานะเธอ” ค่ะ แต่ก่อนจะมาเล่นหนังเรื่องนี้ จะมีงานแสดงละครเข้ามาบ้างเป็นตัวเสริม รับเชิญ ยังไม่ได้เล่นซีรี่ส์ยาว เป็นฟรีแลนซ์ และหลังจาก “รถไฟฟ้ามาหานะเธอ” ก็จะเป็นเรื่อง “สุดเขตเสลดเป็ด”, “รักสุด TEEN”, “รักเอาอยู่” ส่วนละครที่คนพูดถึงก็มี Club Friday the Series 5 ตอน ความลับของมิ้นต์กับมิว แล้วก็ Club Friday The Series 8 ตอนรักแท้หรือแค่…สงสาร บทส่วนใหญ่ที่ได้รับก็จะเป็นบทตลกแบบนิ่งๆ หลายคนทักว่า ออกมาทีไรจะฮาทุกที แต่เราก็ไม่รู้ตัวเองนะว่าฮาตรงไหน (สงสัยไหมว่าตนเองฮาตรงไหน?) เคยนะคะ แล้วก็ได้รับคำพูดกล่าวมาว่า เป็นเพราะว่าเราตลกหน้าตายความตลกเราคิดว่าน่าจะเป็นที่บทนะคะ ต้องยกเครดิตให้คนเขียนบท แล้วก็ผู้กำกับ ส่วนใหญ่ก็ได้รับคำชมจากผู้กำกับเกือบจะทุกท่านเลย ดีใจค่ะ บุคลิกตัวจริง หลายคนบอกว่าเราเรียบร้อย ดูนุ่มนวล ไม่ได้ตลกเลย ถ้าเป็นครูก็ไมได้เป็นครูที่ดุ ถ้าในเวลาเรียนเวลาสอนก็จริงจัง ถ้านอกเวลาก็เป็นเพื่อนกับผู้ปกครองได้ ชอบในการพูดคุย

ความยากของการเป็นตลกหน้านิ่ง

ไม่รู้สึกยากนะคะ (หัวเราะ) ได้ทันที สนุกกับมันน่ะ ผู้กำกับท่านให้คำชมว่า จังหวะดี ซึ่งจริงๆ ต้องให้เครดิตผู้กำกับและคนเขียนบทนะคะ เราไม่เคยเรียนการแสดง แต่เราจะให้เครดิตผู้กำกับทุกท่านเพราะเขาสอนเรามาทุกท่านเลยที่ร่วมงานด้วย ท่านแรกเลยคือ พ่ออี๊ด-สุประวัติ ปัทมสูต เล่นละครช่อง 3 หลายเรื่องกับท่าน ก่อนจะมาเล่นหนัง ท่านเป็นคนแรกที่แนะนำเรื่องที่ว่า ให้เข้าถึงบทบาท ให้ลืมตัวตน ให้คิดว่าเรื่องนั้นเกิดขึ้นจริงกับเรา

ท่านที่สองก็คือ นก-จิรศักดิ์ โย้จิ้ว ท่านได้แนะนำและคอมเม้นท์ครูหนุ่ยไปในตัว ท่านบอกว่า นักแสดงหน้าใหม่ทั่วๆ ไป เวลาเล่น ยิ่งให้เล่นใหม่คือหลายเทคจะยิ่งประหม่า คือความรู้สึกนักแสดงหน้าใหม่จะรู้สึกว่าเทคเก่าไม่ดีต้องเล่นใหม่ให้ดีก็จะประหม่า คุณนกคอมเม้นท์ครูหนุ่ยว่า ยิ่งหลายเทคยิ่งไหลลื่น ซึ่งมันก็เป็นกำลังใจ ในขณะเดียวกันท่านก็แนะนำว่า การต่อบท นักแสดงรุ่นเก่าๆ บางครั้งเขาจะมีนอกบท มีคำพูดของเขาเอง เวลาเล่นกับนักแสดงใหม่ ซึ่งนักแสดงใหม่มักจะจำแต่บทที่อยู่ในกระดาษ พอนักแสดงรุ่นเก่าออกนอกบทปุ๊บนักแสดงใหม่ไปไม่ถูก อันนี้ท่านช่วยคอมเม้นท์ไว้ให้ฟัง เพราะฉะนั้นท่านบอกว่า เสน่ห์ของนักแสดงอยู่ตรงที่ ต่อบทได้ไหลลื่นไปกับคนที่เราแสดงด้วย และอยู่ที่ฟังคนอื่นนั่นคือผู้แสดงร่วมกับเราด้วย อย่าท่องแต่บทของตัวเองฟังของคนอื่นด้วย ไม่ใช่จำแต่บทของเรา

และอีกท่าน โต้ง-ตรัยยุทธ์ กิ่งภากรณ์ ผู้กำกับเรื่อง ลีลาวดีเพลิง ช่อง 7 ท่านให้คำแนะนำว่า นักแสดงควรทำความเข้าใจให้ถ่องแท้ถึงความแตกต่างระหว่างระดับอารมณ์ในขั้นต่างๆ ตั้งแต่เบื่อหงุดหงิด โมโหโกรธ ฯลฯ การแสดงออกทางสีหน้าจะต้องแตกต่างกันให้คนดูรับรู้ได้ว่าเรากำลังรู้สึกอย่างไร การทำงานกับผกก.แต่ละท่าน ล้วนได้ความรู้ประสบการณ์ใหม่ๆ ที่แตกต่างหลายหลาก ทำให้ครูหนุ่ยเพิ่มความชำนาญในการทำงานอย่างนักแสดงมืออาชีพขึ้นทุกวัน ต้องขอขอบพระคุณผกก.ทุกท่านค่ะ ครูหนุ่ยก็เรียนรู้จากท่านเหล่านี้โดยที่ไม่เคยเข้าชั้นเรียนการละครเลย

การดำเนินชีวิตที่เปลี่ยนไปจากเดิม

นิดหนึ่งค่ะ หลังจาก ภ. รถไฟฟ้ามาหานะเธอ แต่ก็ยังทำหน้าที่เป็นครูอยู่ พอไปไหนมาไหนคนเริ่มจำได้ คนทัก เขายิ้มให้เรา เด็กๆ ก็จะไหว้ รู้สึกอบอุ่น เวลาไปสอนนักเรียนก็จะมีแซวบ้าง (หัวเราะ)ก็เหมือนเป็นเรื่องที่แจ้งเกิดจุดพลุให้ชีวิตเราเปลี่ยนไปเยอะเลยก็ว่าได้ค่ะ แต่การดำเนินชีวิตก็สนุกขึ้น ไม่ได้ยากหรือต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองอะไร ถ้าแฟนๆ จะจำชื่อไม่ได้ก็ไม่น้อยใจหรืออะไรนะคะ เฉยๆมากกว่า ซึ่งพอมายุคโซเชียลตอนนี้ก็เริ่มมีแฟนเพจ “ครูหนุ่ยSuporn Sangkaphibal” คนก็รู้จักชื่อเรามากขึ้นค่ะ

สนุกสนานกับงานวงการบันเทิง

สนุกค่ะ ชอบมากเลย เป็นอะไรที่ทำให้ชีวิตมีสีสัน มีรสชาติมากขึ้น จากที่เรามีบุคลิกที่เรียบง่าย พอได้มาเล่นหนังเล่นละคร ก็จะได้รับบทที่บุคลิกแตกต่างออกไป ทำให้ชีวิตเราตื่นเต้น ส่วนในพาร์ทของการเป็นครูก็จะเป็นอีกแบบ บางครั้งที่นักเรียนพูดถึงเรื่องหนัง เรื่องละครที่เราเล่นในชั้นเรียน เราก็ต้องคอยปราม เพราะว่านี่เป็นเวลาเรียน ไม่ห้ามที่จะแซว แต่ไม่อยากให้ใช้เวลาเรียนไปพูดถึงเรื่องผลงานที่เราเล่นเราแสดง เพราะเดี๋ยวจะยาวไม่ได้สอนกันพอดี ก็เลยต้องบอกนักเรียนว่าไว้คุยกันนอกเวลาเรียนนะ (หัวเราะร่วน)

บทบาทของคุณครูสอนภาษาไทย

เด็กที่สอนส่วนใหญ่จะเป็นเด็กต่างชาติค่ะ ก็สอนไม่ยากเลย เด็กๆ น่ารัก สนุกดี สอนเด็กก็อีกแบบหนึ่ง มาเล่นหนังเล่นละครก็อีกแบบหนึ่ง แต่ว่าก็เกี่ยวโยงกัน เหมือนให้เครดิตกันและกัน อย่างเช่นเวลาที่เรามาเป็นนักแสดงทุกท่านก็ให้เกียรติว่าเป็นครูให้ความเคารพ เอาใจใส่ นักแสดงบางคนก็มีสอนภาษาให้บ้างในกองถ่าย ตอนนั้นคุณนก-จิรศักดิ์ โย้จิ้ว ผู้กำกับซิทคอมเรื่อง“เป็นต่อ” ท่านแนะนำให้ไปสอน “จียอน” กับ “มายูมิ” และนอกนั้นก็จะสอนเด็กต่างชาติ ครูหนุ่ยว่าการสอนผู้ใหญ่จะง่ายกว่าเด็ก เพราะว่าเขามีความตั้งใจ เขามีเป้าหมายชัดเจน แต่กับเด็กอยู่ที่พรสวรรค์ล้วนๆ เด็กบางคนที่ชอบก็เรียนรู้ได้เร็วค่ะ

ครอบครัวที่น่ารัก

ที่จริงแล้วครูหนุ่ยเป็นคนจีนร้อยเปอร์เซ็นต์นะคะ เกิดที่เมืองจีน ย้ายมาเมืองไทยตอนอายุ 2 ขวบ สามีทำธุรกิจส่วนตัว ครูหนุ่ยมีลูกสาว 1 คน แต่งงานมีลูกแล้วเรียบร้อยค่ะ ลูกเขยเป็นชาวญี่ปุ่น หลานน่ารักมาก หลานคนโตอายุ 9 เดือน คนที่ 2 อยู่ในท้อง ตอนนี้เขาก็อยู่ญี่ปุ่น ไม่ค่อยได้ดูเราเล่นละครเท่าไหร่ค่ะ เขาเรียนจบ ทำงาน และแต่งงาน อยู่ที่ญี่ปุ่นเลย ส่วนสามีก็ไม่ค่อยได้ดูผลงานเราเพราะเขาเป็นนักธุรกิจ เดินทางเยอะ ส่วนใหญ่ที่ดูก็จะเป็นเพื่อน เป็นนักเรียน ผู้ปกครอง เพื่อนก็ติดตามแจเลยค่ะ แล้วก็มีแฟนคลับที่น่ารัก จำหน้ากันได้ เราก็รู้สึกอบอุ่น ไม่ได้เขินหรือชีวิตแปลกไป ใช้ชีวิตปกติ เดินทางโดยรถสาธารณะอยู่บ่อยๆ ซึ่งบางครั้งแฟนคลับเจอกันบนรถเมล์ทักทายกันก็มีค่ะ (หัวเราะ) แล้วก็มีโพสต์ลงในแฟนเพจตอนนี้ก็อายุ 61 ปี และเกษียณจากอาชีพครูแล้ว แต่ก็ยังรับสอนพิเศษให้ฝรั่งต่างชาติบ้างนิดหน่อย ส่วนงานแสดงตอนนี้ต้องบอกว่ากลายเป็นงานหลัก

กิจกรรมยามว่าง

จะมีน้องๆ ชวนไปงานการกุศล ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่เรารู้สึกว่าเติมเต็มชีวิตในบั้นปลาย ล่าสุดเราไปทำบุญกันที่บ้านแกร์ด้า ซึ่งเป็นองค์กรการกุศลที่ดูแลเด็กกำพร้าที่ติดเชื้อเอชไอวี ตั้งอยู่ที่จังหวัดลพบุรี ครูหนุ่ยไปมาสามครั้งแล้ว แต่ละครั้งที่ไปก็มีธีมของงานว่าจะทำอะไร ปีนี้ก็บริจาคชุดชั้นใน นอกเหนือจากนี้ก็มีการเลี้ยงอาหาร แล้วก็ดูหนังกลางแปลง จัดให้เด็กๆ ได้ดูกัน ปูเสื่อเลี้ยงหมูกะทะ น่าชื่นชมพี่เลี้ยงทั้งหลายมากค่ะ

เคยคิดไหมว่าจะได้มาเป็นนักแสดงอยู่ในวงการบันเทิง

จริงๆ แล้วไม่เคยคาดคิดเลยว่าจะมาอยู่ในหน้าจอทีวี เป็นนักแสดงแบบนี้ ไม่เคยคิดเลยว่าจะเข้ามาอยู่ในวงการบันเทิง เพราะเราก็ได้ติดตามสายนี้ ฉะนั้นก็จะไม่ค่อยรู้จักนักแสดงเยอะเท่าที่ควร กลายเป็นว่าเพื่อนๆ รู้จักนักแสดงมากกว่าเรา ก็ต้องขอโทษ (ยิ้ม) ก็เป็นอีกแขนงหนึ่งที่เราได้มาสัมผัส ครูหนุ่ยเองจบปริญญาทางด้านการตลาดเพราะฉะนั้นการเป็นนักการตลาด เราก็เน้นเรื่องการเทรนกับลูกน้องอยู่แล้ว พอมาเป็นครูก็ยังคงบทบาทนั้นอยู่ คือสอนนักเรียนหน้าชั้น พอมาเป็นนักแสดงแล้วอาจจะเข้ามาในวงการบันเทิงตอนอายุเยอะแล้ว ครูหนุ่ยเข้ามาตอน 40 ปี ทำให้การแสดงออกมาแล้วได้รับคำชมว่า ค่อนข้างธรรมชาติ เพราะเราผ่านอะไรมาเยอะ ชีวิตผ่านมาทุกรูปแบบเลยไม่เคอะเขิน

วางอนาคตงานแสดง

เป้าหมายที่ปรารถนาก็คือได้รับบทบาทที่แตกต่าง ท้าทายและสนุกสนาน คือไม่จำเป็นต้องติดภาพลักษณ์ว่าเป็นคุณแม่สายฮา คุณแม่ใจดี อยากลองอะไรที่แตกต่าง สิ่งที่อยากลองมากๆ ก็คือบทผู้หญิงสูงศักดิ์ หรือ นักธุรกิจ สายลับ สายบู๊ค่ะ (หัวเราะ) ครูหนุ่ยแข็งแรงอยู่นะคะ เพราะว่าปกติออกกำลังกายเป็นประจำ เข้าฟิตเนสประจำ เล่นพวกเวต แล้วก็วิ่งบนลู่ เป็นการวอร์มอัพอย่างหนึ่ง ฉะนั้นสามารถติดต่อเล่นบทที่หลากหลายได้นะคะ (หัวเราะร่วน) ไทเก๊ก ได้ การใช้ภาษาก็ได้ พร้อมท้าทายค่ะ

แนะนำนักแสดงรุ่นใหม่

ทุกๆ อาชีพ สิ่งหนึ่งที่สำคัญที่สุดเลยคือใจต้องรัก พอเรารักแล้วเราจะทำได้โดยธรรมชาติอย่างตั้งใจ การเป็นนักแสดงบางทีก็ต้องลืมตัวตนการเป็นตัวเอง ไม่ว่าคุณจะเป็นคนที่เรียบร้อยหรือคนที่ตลกแต่พอ 5 4 3 2 1 คุณต้องเป็นตัวละครนั้นให้ได้ทันทีต้องทำการบ้านมาดีๆ อ่านบทให้เข้าใจ อ่านบุคลิกของตัวละคร ตีบทให้แตก ผู้กำกับให้เป็นรูปแบบไหน ให้ลืมตัวตนของตัวเอง ลืมแม้กระทั่งว่าคนนั้นคนนี้จะเห็นถ้าคุณจะเขินหรืออายก็จะแสดงไม่ออก ต้องลืมตัวตนให้หมดเลย และคิดว่าเรื่องนั้นเกิดขึ้นจริงกับเรา อินเข้าไปในบทบาท สมาธิต้องดี จิตใจต้องไม่ว้าวุ่นตัดเรื่องที่กังวลส่วนตัวออกไปให้หมด มีโฟกัสในบท

ผลงานล่าสุดที่ท้าทาย

ต้องขอบคุณบริษัท ปรากฏการณ์ดี จำกัด แล้วก็GMM25 ที่ให้ครูหนุ่ยมารับบทที่แตกต่างไปจากเรื่องอื่นๆ ชอบมาก รับบทเป็นสายลับให้กับราชการ แล้วก็มีโอกาสได้ใช้ภาษานิดหน่อยค่ะ ผู้กำกับ โอ๋-คฑาเทพ ไทยวานิช อยากให้ลบภาพลักษณ์เก่าๆ ออก ที่เคยเล่นแต่บทแม่/อาม่า คนจีนที่พูดไทยไม่ชัด มาเป็นสายลับบุคลิกจริงจัง (เมื่อสั่งงาน) ปนขี้เล่น (ไว้ตบตาคน) ที่พูดได้หลายภาษา และออกสำเนียงได้อย่างชัดเจนทุกภาษาทั้ง ไทย จีน อังกฤษ สนุกและท้าทายดีค่ะ

เรียกว่าเป็นนักแสดงอาวุโสอีกคนที่ไม่หยุดพัฒนาตัวเองเพื่อเรียนรู้และก้าวตามโลกยุคดิจิตอลอย่างเปิดใจ ฉะนั้นจึงทำให้วันนี้ครูหนุ่ยยังเป็นที่รักและคิดถึงของผู้จัด ผู้กำกับ เทียบเชิญให้มาร่วมงานที่แปลกใหม่อยู่เสมอ

กุหลาบสีเงิน

Star Retro : ล้วงลึกเส้นทางชีวิต บิ๊ก-ศรุต วิจิตรานนท์ อุปสรรคมีไว้ฝ่าฟัน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/entertain/324348

Star Retro : ล้วงลึกเส้นทางชีวิต  บิ๊ก-ศรุต วิจิตรานนท์  อุปสรรคมีไว้ฝ่าฟัน

Star Retro : ล้วงลึกเส้นทางชีวิต บิ๊ก-ศรุต วิจิตรานนท์ อุปสรรคมีไว้ฝ่าฟัน

วันอาทิตย์ ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2561, 06.00 น.

นักแสดงหนุ่มมาดเข้ม บิ๊ก-ศรุต วิจิตรานนท์ โลดแล่นในวงการบันเทิงมากว่า 20 ปี และมีผลงานการแสดงให้แฟนๆ ได้ติดตามอย่างต่อเนื่อง แม้เขาจะไม่ได้ยืนในระดับแถวหน้า แต่ด้วยความมีเสน่ห์และเอกลักษณ์ ทำให้บิ๊กเป็นที่จดจำและประทับใจของผู้ชม ซึ่งกว่าที่เขาจะมาถึงณ จุดนี้ได้ ต้องต่อสู้กับปัญหาและอุปสรรคมาไม่น้อย วันนี้บิ๊กพร้อมที่จะแชร์ทุกประสบการณ์ ให้แฟนๆ “ทีมข่าวบันเทิงแนวหน้า” ได้ทราบกัน

ชีวิตเริ่มต้นบนถนนสายดนตรี

ผมชอบดนตรีมาตั้งแต่เด็ก มีความใฝ่ฝันอยากจะเป็นนักดนตรี อยากขึ้นเวทีมีคอนเสิร์ต จนกระทั่งมีวง Soul After Six (โซลอาฟเตอร์ซิกซ์) โดยผมเล่นตำแหน่งเบส มีผลงานอัลบั้มแรก “Soul After Six” ในปี พ.ศ. 2539 เพลงที่หลายคนน่าจะรู้จักก็คือ “ก้อนหินละเมอ” วงเราไม่ได้โด่งดังอะไร เป็นวงเฉพาะกลุ่มซึ่งตอนนี้ก็ยังเล่นอยู่ด้วยความรัก เล่นดนตรีด้วยกันมา 28 ปีแล้วครับ ส่วนคอนเสิร์ตใหญ่ของวงคิดไว้เหมือนกัน แต่คงไม่ได้จัดใหญ่โตอะไร อยู่ในขั้นตอนของการคุยกัน เดี๋ยวคืบหน้ายังไงไว้ผมมาอัพเดทให้ทราบครับ หรือติดตามกันได้ที่ยูทูบ SoulAfterSixBand กับเฟซบุ๊คแฟนเพจ Soulaftersixband

หักเหสู่เส้นทางงานแสดง

อยู่ดีๆ วันหนึ่งต้องมาเล่นละครเรื่อง “กุหลาบที่ไร้หนาม” ของกันตนา พี่ตู่ (นพพล โกมารชุน) เป็นพระเอก พี่นุช (ปรียานุช ปานประดับ) เป็นนางเอก ผมเล่นเป็นพระรองคู่กับ น้ำฝน (กุลณัฐ ปรียะวัฒน์) ได้บทดีมากด้วยนะตอนนั้น แต่เราไม่รู้เรื่องการแสดงอะไรเลย ต้องเล่นอะไรยังไง กล้อง ไฟ ต้องทำยังไง เพราะเป็นนักดนตรีอยู่ดีๆ พี่ตู่ก็ชวนมาเล่นละคร แล้วพอจบเรื่องนั้นพี่ตู่ก็บอกว่าบิ๊กไปฟิตหุ่นหน่อยนะ อีกสัก 2-3 ปีข้างหน้า เดี๋ยวอาจจะชวนมาเล่นละคร ซึ่งผมก็ลืมไปแล้วนะ และไม่คิดว่าแกจะจำเราได้ เราก็เป็นเด็กกะโปโลคนหนึ่งและหลังจากนั้นก็ตัดสินใจไม่เอาแล้วการแสดง ไปเรียนต่อดีกว่า ไม่ชอบเลย เลิก แต่ปรากฏว่าพี่ตู่ให้ธุรกิจกองถ่ายโทร.มาหา แล้วบอกว่าจาก เป่า จิน จง พี่ตู่ให้ติดต่อมาเล่นละคร ผมก็งง ตกใจ เอาจริงเหรอ (หัวเราะ) จำเราได้ด้วยเหรอเนี่ย เพราะหลังจากละครเรื่องนั้น ผมก็ไม่เจอพี่ตู่อีกเลย ตลอดระยะเวลา 3 ปี พี่ตู่ก็ยังจำได้ และให้คนโทร.มาตามไปเล่นเรื่อง“เก็บแผ่นดิน” และหลังจากนั้นก็เลยยาวเลย จนมาถึงทุกวันนี้

ผลงานแจ้งเกิด

ผมว่าน่าจะเป็นเรื่อง “เก็บแผ่นดิน” หลังจากนั้นก็มาเรื่อง “เพลงผ้าฟ้าล้อมดาว” แล้วก็มีเรื่อง “ถึงแม้เลือกเกิดได้” ที่คนชอบและพูดถึงเยอะเหมือนกันจนบางคนอาจจะติดภาพผมเป็นตัวร้ายบ้าง ไม่เป็นไร ผมดีใจด้วยซ้ำไปนะ ที่คนเชื่อและติดตามผลงานเรา นั่นแสดงว่าเขาชอบที่เราเล่น ชอบที่เราแสดง ผมว่าน้อยคนนะที่เล่นเป็นตัวร้ายแล้วคนจะชอบ คือส่วนใหญ่เล่นเป็นตัวร้ายคนจะเกลียด พอเราเล่นร้ายแล้วคนชอบผมก็รู้สึกดีนะ (หัวเราะร่วน)

หัวใจสำคัญในการเป็นนักแสดง

ผมในฐานะนักดนตรีและนักแสดงอาชีพคนหนึ่ง ผมบอกเลยว่าสิ่งที่สำคัญมากๆ คือ วินัย แล้วก็ความจริงใจต่ออาชีพตัวเอง ถ้าคุณจะเข้าวงการบันเทิงมาเพื่อตักตวงชื่อเสียงเงินทอง มันก็อาจจะอยู่ได้ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง แต่ถ้าคุณมีความจริงใจ ซื่อสัตย์กับงาน สิ่งนั้นจะอยู่กับเรานานมาก ยกตัวอย่าง ถ้าเป็นตัวผมเอง ผมไม่ใช่คนที่ดังอะไรมากมาย แล้วก็ไม่ใช่คนที่เสิร์ชอินเตอร์เนตออกมาแล้วจะเจอแต่ข่าวดีๆ แต่ทุกวันนี้ก็ยังมีคนนึกถึงมีผู้จัดผู้ใหญ่หลายๆ คน คิดถึงและยื่นงานให้เรา สิ่งนั้นไม่ได้มาจากชื่อเสียง แต่มาจากความตั้งใจและวินัยที่เรามีให้งาน ซึ่งเราสะสมมาเป็นประจำ ทำให้เขาเห็น เก่งไม่เก่งไม่สำคัญเลย พี่ตู่เคยสอนและบอกผมเสมอว่า “คนไม่เก่งแกไม่ติดอะไรนะ แกจะติดตรงที่คนไม่ตั้งใจ เพราะฝีมือฝึกได้”

ผลงานล่าสุดที่ภาคภูมิใจ

ก่อนหน้านี้ผมมีโอกาสเล่นเรื่อง “บางระจัน” ของค่ายบรอดคาซท์ฯ ผมเล่นเป็น “ทองแสงใหญ่” บุคคลที่มีตัวตนจริงๆ แล้วครั้งนี้ก็ถือเป็นครั้งที่สองกับละครเรื่อง “บุพเพสันนิวาส” ซึ่งกำลังออกอากาศทางช่อง 3 ผมรู้สึกปลื้มปริ่มมาก ภูมิใจที่เราได้มาถ่ายทอดบุคคลที่มีตัวตนจริงๆ ในประวัติศาสตร์ อย่างในเรื่อง “บุพเพสันนิวาส” ผมได้เล่นเป็น สมเด็จพระเพทราชา ซึ่งการแสดงเรื่องนี้ค่อนข้างยาก เราก็ต้องหาข้อมูลและทำการบ้าน พยายามหาเรื่องเล่าประวัติ อุปนิสัยของท่านที่มาที่ไป เป็นการบ้านในหัวไว้ส่วนหนึ่งแล้วพอวันถ่ายก็มาคุยกับพี่ใหม่-ภวัต พนังคศิริผู้กำกับอีกส่วนหนึ่งว่า พี่ใหม่อยากให้เป็นแบบไหน ไปทิศทางไหน บทยากมาก คำที่พูด ไม่ใช่คำที่เราใช้ปัจจุบันทุกวัน เป็นคำโบราณ บางทีไม่เข้าปาก เราเล่นด้วยความเข้าใจก็จริงนะ เวลาถ้าเป็นละครปัจจุบันจะมีคำพูดที่เราพูดออกไปในไดอะล็อกนั้นๆ ที่คงความหมายไว้ แต่สำหรับเรื่องนี้ไม่มีเลย คือเข้าใจนะแต่เราไม่สามารถลืมหรือหลุดคำใดคำหนึ่งไปได้ จะทำให้ความหมายเปลี่ยน และขาดใจความสำคัญ

นอกจากนี้ในเรื่องของการแต่งตัวก็โคตรยากเลย(หัวเราะ) ทรงผม ไปซ้ำกับอีกเรื่องที่ถ่ายอยู่พี่ใหม่ก็เลยให้ทำทรงใหม่เป็นรวบขึ้นเกล้ามวย ฉะนั้นก็จะต้องใช้เวลาทำนาน ส่วนโลเกชั่นที่ประทับใจคือ วันแรกที่เข้าฉากเป็นวัดที่พระนครศรีอยุธยา ซึ่งตอนนั้นเราก็เตรียมตัวไปประมาณหนึ่ง เป็นฉากที่พระเพทราชาเรียกทุกคนมาคุยว่าเราจะทำการยึดอำนาจ ซึ่งมันเป็นฉากแรกที่เพิ่งไปถึง โอ้โห…ฉากนั้นฉากเดียวดึงทุกอย่างออกมาได้หมดเลย อารมณ์ ความรู้สึกต่างๆ และโชคดีที่ทางกองถ่ายเขาให้เราเล่นฉากนี้ก่อนมันทำให้เราอินและรู้สึกขลัง เพราะเป็นวัดเก่า ฉากนั้นทำให้เราเข้าใจทุกอย่างเลย

หลงเสน่ห์การเล่นละคร

ชอบครับ ผมว่ามันมีความท้าทายตลอดเวลา แล้วเราก็ได้เล่นบทบาทที่เปลี่ยนไปเรื่อย เล่นตั้งแต่เป็นพระรอง เป็นพระเอกอยู่เรื่องหนึ่ง เป็นตัวร้าย เป็นตัวดี จนกระทั่งตอนนี้เล่นเป็นพ่อบ้าง ถือว่าผ่านมาเยอะนะ กว่า 20 ปีที่เราเล่นละครมา ก็เห็นอะไรมาเยอะ ผ่านอะไรมามากมาย ทุกรูปแบบ ทุกอย่างก็สอนการใช้ชีวิตให้เราด้วยเช่นเดียวกัน สำหรับผม วงการบันเทิงเป็นหลายอย่างในชีวิตผมเลย มีทั้งช่วงที่เหลิง ช่วงที่เราทำอะไรไม่ดี แล้วสิ่งพวกนี้ก็กลับมาสอนเรา คือเข้ามาแรกๆ จากคนไม่มีใครรู้จัก จนกระทั่งมีชื่อเสียง เมื่อ 20 ปีที่แล้ว ตอนนั้นรู้สึกว่าตัวโต ตัวพองแล้วก็แบบมีชีวิตอยู่แบบนั้น จนมีเรื่องเกิดขึ้นมา ก็เลยทำให้เราฉุกคิดว่า เฮ้ย..สิ่งที่เราคิดเป็นยังไง ก็เหมือนเป็นละครชีวิตเรื่องหนึ่งของนักแสดงแต่ละคนว่าจะเจอกับอะไร ผมก็เช่นเดียวกัน ก็เป็นละครชีวิตที่มีทั้งถูกและผิดเรียนรู้กันมาเรื่อยๆ ครับ

บทเรียนชีวิต

ตอนนั้นยอมรับครับว่ามาจากความคึกคะนอง ถ้าไม่เกิดก็ดี แต่มันเกิดมาแล้ว ผมก็ใช้เวลานานนะกว่าจะผ่านพ้นมาได้ ตอนนี้น้องปิ๊ก (ลูกชาย) ก็เจอกันและคุยกันมากขึ้น คือเมื่อก่อนผมไม่เอาเลยนะจนสุดท้ายก็คิดได้ว่าเราจะมาตั้งกำแพงทำไม อาจจะเพราะเราโตขึ้น เข้าใจชีวิตมากขึ้น ล่าสุดวันเด็กที่ผ่านมา พาไปปั่นจักรยานที่สุวรรณภูมิ ผมว่าเขาก็มีความคล้ายๆ ผมนะ แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เหมือนเลยคือ เขาสูงกว่าผมแล้วตอนนี้ (หัวเราะ) ส่วนอนาคตของเขา ผมไม่ได้บังคับหรือวางอะไรไว้เยอะ เท่าที่คุยกันคือชอบอะไรทำเลย ไม่ห้ามเลย แต่ขอแค่อย่างเดียว ห้ามยุ่งเรื่องยาเสพติดอย่างเด็ดขาด นอกนั้นชอบอะไร พุ่งเป้าไปทางนั้นได้เลย แล้วแต่ ไม่บังคับ

อัพเดทสถานะหัวใจหนุ่มวัย 46

มีแฟนครับตอนนี้ เขาก็โอเค เป็นคนนอกวงการ รู้จักกันมาจริงๆ ก็ 6 ปีแล้วล่ะ แต่ว่าก็รู้จักแล้วก็ห่างๆ กันไป เขาก็ไปอยู่เมืองนอกบ้าง ตอนนี้อายุเราก็เยอะแล้ว คงไม่ใช่ความรักที่จะมาหวือหวา
อะไรมากมาย เป็นเหมือนว่าเรามีคนรู้ใจที่เราไว้ใจเขาไว้ใจเรา เราไว้ใจเขา เป็นที่ปรึกษากันและกัน คุยกันรับฟังกันและกัน อยู่ด้วยกันไปแบบนี้มีความสุขดีครับ

ไลฟ์สไตล์นักบิด

ผมเป็นคนง่ายๆ ชอบขี่มอเตอร์ไซค์ มีทั้งรถเล็ก รถใหญ่ แล้วก็รถแข่ง และแข่งรถมาแล้ว 3 ปี ซึ่งปีนี้ก็เป็นปีที่ 4 ผมรู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้คือการพักผ่อน เป็นอิสระดี มีแค่เรากับรถ คือเหมือนมีอะไรที่ปลุกตัวเราตลอดเวลา ผมเคยพลาดเกิดอุบัติเหตุชนหนักมากในปีแรกที่ลงแข่ง ตอนนั้นซี่โครงข้างหลังหัก 2 ซี่ กระเด็นตีลังกาไม่รู้กี่ตลบ เอ็นหัวไหล่ฉีก เอ็นข้อเท้าซ้ายอักเสบ เดินไม่ได้ ต้องไปหัดเดินใหม่ แต่ก็ยังกลับมาแข่งต่อ มันเหมือนหลุดไปอีกโลกหนึ่งเลยตอนนั้นซึ่งอุบัติเหตุครั้งนั้นก็เป็นสิ่งที่คอยเตือนเราว่าทำไมเราถึงชน เพราะว่าเราเหนื่อยและไม่ยอมพักเหนื่อยแล้วไม่ยอมหยุด ฉะนั้นถ้าเราเหนื่อยเราต้องหยุด อันนั้นคือหนักที่สุดในชีวิต ซึ่งจากเหตุการณ์นั้น ทำให้ผมเลิกซิ่งบนถนนเด็ดขาดเลยนะ ตอนนั้นอุปกรณ์เซฟตี้ครบ เรายังเจ็บขนาดนั้นแล้วถ้าขี่บนถนนใส่เสื้อยืดกางเกงยีนส์รองเท้าผ้าใบ ถ้าชนแบบวันนั้นตายแน่นอนครับ ไม่มีทางรอด

ต่อยอดความสุขด้วยธุรกิจจากสิ่งที่ชอบ

ผมคงทำงานอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ครับ ตราบใดที่มีคนให้เราเล่น ให้เราแสดง ก็รับไปตลอด อย่างอื่นก็คงต้องมีทำบ้าง ที่จะมาเสริมคงเป็นสิ่งที่เราชอบอยู่นั่นแหละครับ ตอนนี้ผมก็ทำบริษัท Japan Rider เป็นบริษัทที่ผมหุ้นกับเพื่อนอีก 3คน เปิดบริษัทตัวแทนรถมอเตอร์ไซค์เช่า จับมือกับบริษัท Rental819 ของประเทศญี่ปุ่น เป็นตัวแทนหนึ่งเดียวในประเทศไทย ซึ่งถ้าใครอยากไปขี่รถ ไปเช่ารถที่ญี่ปุ่นก็ผ่านเรา ตอนนี้ทำมาประมาณ 2 ปีแล้วครับถือว่าไปได้ดี มีลูกค้าไปและมีโอกาสจัดเป็นอีเว้นท์ใหญ่ๆ ให้กับบริษัทรถจักรยานยนต์ จัดให้เขาแบบครบวงจร เรามีแบบติดต่อประสานงานเช่าให้ก็ได้ แล้วไปกันเอง หรือจะให้เราทำให้ทั้งหมดก็ได้ เพราะนี่คือสิ่งที่ผมรักและชอบ ผมยังคิดเลยว่าบั้นปลายชีวิตผมก็คงขี่มอเตอร์ไซค์เที่ยวไปเรื่อยๆ ไปให้หมดเลยทุกที่

อีกหนึ่งนักแสดงฝีมือดีมีวินัย ที่ซื่อสัตย์กับอาชีพอย่างจริงใจ ไม่ฉวยโอกาสดังจากข่าวฉาว เรียกว่าเน้นทำทุกผลงานด้วยความมุ่งมั่น และพยายามสร้างสรรค์งานอย่างมีคุณภาพ จึงทำให้เขายืนหยัดมาถึงทุกวันนี้

กุหลาบสีเงิน

Star Retro :

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/entertain/322918

Star Retro :

Star Retro :

วันเสาร์ ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561, 15.06 น.

เป็นนักแสดงหนุ่มเจ้าบทบาทที่ผ่านเรื่องราวชีวิตมาแล้วมากมาย กว่าจะพบกับความสำเร็จ และจัดอยู่ในตำแหน่งพระเอกแถวหน้าของวงการบันเทิงบ้านเราแต่เมื่อกาลเวลาผ่านไป เขารับมือกับความเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นอย่างไร สตาร์เรโทร จะพาทุกท่านไปร่วมค้นเรื่องราวชีวิตของ “เมฆ-วินัย ไกรบุตร”

“ตอนนี้ก็เล่นละครครับ ถ่ายละครอย่างเดียว มีเรื่อง สัมปทานหัวใจ, สมิงจ้าวท่า, ประกาศิตกามเทพ, ปะการังสีดำ, อังกอร์, พยัคฆา, นางครวญ ไม่เยอะหรอกครับ (หัวเราะ) แล้วคือผมก็ไปได้หลายช่อง บางทีเรื่องสองเรื่องมันเอาไม่อยู่ค่าใช้จ่ายปัจจุบันมันก็เยอะนะ แล้วเรามีลูกที่ต้องเลี้ยงดูอีก ก็เลยต้องทำเยอะๆ หาเงินค่าเทอมลูก เห็นว่าละครเยอะ แต่เราก็สามารถจัดสรรได้ครับ คือบางเรื่องเราก็รับเชิญ บางเรื่องเดือนหนึ่งไป 2-3 คิว เพราะว่าเราไม่ใช่พระเอก เลยพอจะรับได้ ตอนนี้ก็มีลูก 2 คนแล้ว คนโตชื่อ น้องมารค อายุ 5 ขวบส่วนน้องแมม 3 ขวบกว่า เรียนอีพีทั้งสองคน ผมทำหน้าที่คุณพ่อทุกอย่างเลย อาบน้ำ ป้อนข้าว รับ-ส่งลูกไปโรงเรียน”

คุณพ่อในสไตล์ของ“เมฆ-วินัย”

ไม่ค่อยนิ่มครับ เป็นคนลุยๆ สอนให้ลูกติดดิน สอนให้ลูกเหมือนเรา ติดดินไม่ติดหรู แข็งแรงอดทน สู้ คืออยากให้ลูกรู้จักความลำบาก ให้เขารู้จักเหนื่อยเล่นดินเล่นทรายได้ ไม่อยากให้เขาสบายเกิน กลัวว่าโตไปเขาจะลำบาก เขารู้ว่าพ่อเป็นดารา เป็นนักแสดง เขาเห็นผลงานของพ่อในละคร มีบู๊ยิงกันสู้กัน เป็นผีเขาก็ดูกันหมด แต่เขาก็เฉยๆ เพราะว่าเขารู้ว่าเป็นงานของเรา เขาเข้าใจเพราะว่าเราก็อธิบายบอกสอนเหตุผลให้เขาไปด้วย

หวังให้ลูกๆ เจริญรอยตาม

ลูกชายคนโตนี่ถ้าให้แสดงละครเขาแสดงได้นะ แต่ว่าชีวิตจริงขี้อาย เคยไปดูเขาแสดงละครที่โรงเรียน ก็บอกเขาเลยว่าถ้าจะแสดง พ่อก็จะไปดู แต่ถ้าจะไปยืนท่องบทจะไม่ไปนะ เขาก็ร้องไห้เสียใจเลย เพราะว่าเราไปดูวันที่เขาซ้อมแล้ว แต่ว่าเขายืนท่องบทเฉยๆ ไม่ได้แสดงละคร หลังจากวันนั้น เขาก็แสดงมีแอ๊กติ้ง ผมสอนตลอด ก่อนที่เขาจะไป ผมอยากให้ลูกเข้าวงการนะ อยากให้เขาเป็นนักแสดง เรื่องอื่นที่เขาจะไปเป็นนักธุรกิจ หรือว่าทำงานอะไร ผมไม่รู้ ก็แล้วแต่เขา แต่ว่าอยากให้เป็นนักแสดงด้วย ตามเชื้อสายเรา เหมือนอยากมีทายาทสืบทอด การที่จะเป็นนักแสดงแล้วทำธุรกิจไปด้วยก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร อยากให้สืบทอดอาชีพนักแสดงไม่ว่าน้องมารคหรือน้องแมม คนใดคนหนึ่ง หรือว่าเป็นได้ทั้ง 2 คนยิ่งดี

ภูมิใจในอาชีพนักแสดงอย่างสูงสุด

ภูมิใจมากครับ เพราะว่าชีวิตผมที่ได้ดีมาทุกวันนี้ น้องผมเรียนจบทุกคน พ่อ-แม่ผมได้สบายทุกวันนี้ และที่ผมมีชีวิตทุกวันนี้ เพราะนักแสดง ผมอาจจะไม่ได้รวยเหมือนคนอื่น ผมอาจจะไม่ได้ดังเหมือนคนอื่น แต่ว่าผมก็อยู่กับมันมาตั้งนานแล้ว และผมก็พอมีกินมีใช้ คิดดูว่าจะไม่ภูมิใจได้อย่างไร เพราะฉะนั้นไม่มีเหตุผลใดที่ผมจะไม่ให้ลูกๆ เข้ามาตรงนี้

ย้อนวันวานจากเด็กหนุ่มธรรมดาคนหนึ่ง

ชีวิตผม วินัย ไกรบุตร ไม่เคยคิดที่จะมาเป็นนักแสดง คืออยู่กระบี่เรียนจบ ปวช. และเป็นบ๋อยอยู่โรงแรม อยู่ชายทะเล แล้ววันหนึ่งก็ขึ้นมากรุงเทพฯ เข้ามาหางานทำ อยู่ๆ ก็พลิกชีวิตได้ไปเจอโมเดลลิ่ง แล้วเขาจับไปเทสต์ และได้โฆษณาแบงก์กรุงเทพ ซึ่งเป็นโฆษณาตัวแรกในชีวิตเลย ไต่เต้ามาจากเป็นนายแบบ มาเดินแบบแล้วก็มาเล่นละคร เล่นหนัง มันเป็นสเต็ปมาเลย ไม่ได้ไปประกวดชิงรางวัลเวทีไหนๆ ชีวิตผมกับชีวิตเด็กสมัยนี้มันต่างกันโดยสิ้นเชิงเลยครับ คือชีวิตรามันเป็นโชค เป็นเหมือนกับลาภที่เดินเจอ ผมไปเจอแมวมองที่ห้างมาบุญครอง แต่ว่าเด็กสมัยนี้ต้องไปประกวด ต้องไปเรียนก่อนจะมาเป็นดารา ต้องเตรียมความพร้อม

จากที่ยังไม่มีเป้าหมายในชีวิต

ชีวิตผมยิ่งกว่าเริ่มจากศูนย์อีกนะ มาจากใต้คนเดียว ไม่รู้จักใครไม่มีญาติพี่น้องที่ไหน ก็มาขออยู่บ้านเพื่อน ที่บ้านเราฐานะปานกลาง มีกินมีใช้ไม่ได้รวย แต่พอเราจบปวช.เขาก็ไม่ส่งให้เรียนต่อแล้ว ผมไม่ได้เป็นคนที่มุ่งมั่นนะ แต่เป็นคนที่ต้องอยู่ให้ได้ เพื่อมีกินมีใช้ไปวันๆ ก็ไม่ได้คิดอะไรตอนนั้น แต่หลังจากที่เข้าวงการบันเทิงก็เริ่มมุ่งมั่น รู้สึกว่างานนี้มันเป็นกอบเป็นกำ และตอนนั้นรู้สึกว่าอยากจะเรียนไปด้วยทำงานไปด้วย อาจจะล้างจานหรือว่าทำงานกลางคืน แล้วก็เรียนไปด้วย เพราะว่ามันมองอะไรไม่เห็นทาง คือจะเอาทางไหนถึงจะรวยได้เงินก้อนแรกที่ได้จากการถ่ายโฆษณาตอนนั้น 30,000 บาทถือว่าเยอะเลยครับ ผมคิดเลยว่าผมสามารถอยู่ได้6 เดือนแล้ว เราก็บอกตัวเองว่าเรารอดตายไปแล้วนะครึ่งปี แล้วพอมีงานมาอีกเรื่อยๆ เป็นแสนสองแสนก็อยู่ได้3 ปีแล้ว ไม่ได้คิดว่าจะต้องไปซื้อนู่นซื้อนี่ คิดแค่ว่าเราอยู่ได้ หลังจากนั้นก็ค่อยเริ่มคิดว่าเราต้องเก็บนะ ต้องส่งน้องเรียน ส่งแม่

ความฮอตพุ่งปรี๊ดเมื่อกลับไปกระบี่

ที่บ้านเขาก็ตกใจนะ อยู่ๆเป็นนายแบบขึ้นมาได้ยังไง กลับบ้านไปคนเรียกแต่นายแบบๆ ดังทั้งเมืองเลย เดินไปไหนมาไหนคนก็ตะโกนเรียก เขินมาก แล้วก็รู้สึกว่าตลกตัวเองว่าคนอื่นเขารู้ด้วยเหรอ เพราะว่ามันออกวันหนึ่ง20-30 รอบโฆษณาทางทีวี. คนก็เห็นทุกวัน ในกระบี่นี่ขึ้นรถไปคนตะโกน วินัย ไกรบุตร นายแบบมาๆ เพื่อนข้าๆ แต่ตังค์ในกระเป๋าเรามีอยู่แค่สองสามพันเอง (ยิ้ม) แต่เป็นนายแบบแล้ว ดูยิ่งใหญ่มาก ภูมิใจมาก

จุดพีคสุดของชีวิต

คือตอนที่เป็นพระเอกหนัง เป็นพ่อมาก ในภาพยนตร์เรื่องนางนาก จริงๆแล้วเข้าวงการมาตั้งนานก็ดังนะ มีคนรู้จักแต่มาพีคสุดๆ ของชีวิตเลยตอนเล่นนางนาก ตอนนั้นผมอายุ 30 พอดี หนังทำรายได้ร้อยกว่าล้าน ผมกลายเป็นพระเอกร้อยล้าน คนแรกในเมืองไทย ได้ฉายาจากหนังเรื่องนางนาก แต่ต้องบอกว่าตอนแรกผมไม่ได้ไปเทสต์เป็นพระเอกนะ ผมไปเทสต์เป็นเพื่อนของพระเอก เพราะผมคิดว่าตัวเองเป็นพระเอกไม่ได้อยู่แล้ว เราเป็นตัว 3 ตัว 4 ก็ไม่คิดจะบ้ายอตัวเองไปเทสต์เป็นพระเอก ก็ไปนั่งรอ แล้ว “พี่น้อย” ทีมงานก็บอกว่าให้เทสต์เป็นพี่มากคู่กับ “น้องทราย เจริญปุระ” ไปเลย พอเทสต์ปุ๊บ เราก็พูดเป็นพี่มาก เล่นดราม่าได้ด้วยเขาก็งงกัน ซึ่งปกติเราก็ไม่เคยดราม่าได้เลยในชีวิต

กลายเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิต

เราก็ไม่ได้คิดว่ารายได้หนังจะเป็นยังไง คิดว่าคนเขาคงจะด่า ว่าเล่นแข็ง เล่นไม่ได้ ทองแดง เดี๋ยวเราก็ต้องรอรับสภาพเขาด่าอีกแหละ ผมปิดโทรศัพท์ 7 วันเลยกลัวเพื่อนจะโทร.มาด่า พอเปิดโทรศัพท์เท่านั้นแหละ เพื่อนโทร.มาด่าจริงๆ ด่าว่าปิดเครื่องทำไม นี่จะไปดูหนังแกเราก็งงว่าเพื่อนจะไปดูทำไม เพราะว่าปกติเขาไม่ดู แล้วเขาก็จะด่า แต่เพื่อนบอกว่าเรื่องนี้คนดูกันทั้งประเทศ เขาไปดู3 รอบแล้ว ก็เลยไม่มีที่นั่ง ไม่มีที่ดู คือเราก็ไม่อยากจะเชื่อนึกว่าเพื่อนโกหก ก็เลยไปเช็คข่าว โอ้โห! 7 วัน รายได้ไปถึง 60 ล้าน เดินออกจากบ้านนี่คือเอ๋อเลย คนตะโกนเรียก อ้ายมากๆ ไปเรียน คนตะโกนเรียกชื่อดังมาก คือผมเรียนอยู่ที่สวนสุนันทา เดินเข้าไปคนทั้งตึกสองข้างอ้ายมาก พี่มากขา คือมองไปเหวอหมด อะไรกันเนี่ยขนาดนี้เลยเหรอ บอกตัวเองว่านี่มันดังมากเลยนะปกติมีแค่นานๆ คนจะมอง แต่ว่านี่คือคนเรียกทั้งตึกนี่สุดๆ ของชีวิตแล้วครับ น้ำตาไหลเลย คืออย่างน้อยๆ ชีวิตหนึ่งเราได้เป็นพระเอก แล้วดังขนาดนี้ ตายก็คุ้มแล้วนะไม่เสียดายชีวิต

จากคำทำนายที่ฟังแค่ผ่านหู

ก่อนหน้านี้เคยมีคนดูดวงให้นะ 2 คน คือเพื่อนดูไพ่ยิบซีให้ ว่าปีหน้าเราจะดังแล้วดังมาก แต่ตอนนั้นเราลำบาก ละครมีเรื่องเดียว เขาเปิดไพ่ออกมาคือทั้งเงินทั้งชื่อเสียง เราก็หาว่าเพื่อนบ้าอีก แล้วต่อมาก็ไปถ่ายละครเรื่อง สุรพลคนจริงสมบัติเจริญ อยู่ๆ แม่ของเพื่อนนางเอก เขาก็มาบอกว่าปีหน้าคุณจะดังมาก ดังเป็นพลุแตกเลย เราก็ครับแม่ ขอบคุณครับ คิดว่าเขาคงจะยอเรา เพราะเห็นว่าเราจีบลูกสาวเขาหรือเปล่า (ยิ้ม) แต่พอนึกย้อนกลับไป ถึงคำพูดของทั้ง 2 คนแล้วคือโอ้โห! มันจากหน้ามือเป็นหลังมือเลย พลิกแบบตั้งตัวไม่ทัน ทำตัวไม่ถูกด้วย ต้องทำตัวยังไง ทุกคนก็บอกว่าต้องแต่งตัวอย่างนี้ ทำตัวแบบนี้ เพราะว่าเป็นพระเอกแล้วเราก็เฮ้ย! ทำไมต้องทำ เราเป็นแบบเดิมไม่ได้เหรอ ผมก็ใส่ขาสั้นเหมือนเดิม แต่งตัวไปกองถ่ายเหมือนเดิม นอกจากมีงาน ผมถึงจะแต่ง ทุกวันนี้ผมก็มาถูกทาง ผมไม่เคยไปเติมแต่งชีวิต ไม่เคยไปยกตัวเองสร้างภาพให้ตัวเองตัวจริงผมเป็นแบบนี้แหละ ไม่เสแสร้ง ตอนดังเป็นแบบนี้ตอนไม่ดังก็เป็นแบบนี้ ไม่ต้องไปแต่งตัวใส่แบรนด์เนม

กับกระแสข่าวด้านลบ

มีอยู่แล้วครับ ตามสภาพ ประมาณว่าหาว่าเราหยิ่ง คือจะเรียกผมไปก็ไปได้ แต่ถ้าวันหนึ่งมีคนเรียกผมหลายคนผมจะไปได้ยังไง คนนู้นก็เรียกมาถ่ายรูป แล้วผมจะไปทำงานยังไง ถ้าผมไปกับคนทุกคน คือทุกคนอยากเข้าถึงเรา ซึ่งเราก็คงจะไม่สามารถเข้าหาได้ทุกคน คนเลยมองว่าเราหยิ่ง เราเรื่องมาก ไปกองถ่ายก็ว่าเราเรื่องเยอะขึ้นแต่คือก็ไม่ใช่หรอก ขอหน่อยเถอะ คือมันเหนื่อยมาก ร่างกายเราไม่ไหวจริงๆ ที่ว่าเราเรื่องมาก คือบางทีถ่ายถึงตี 4 แล้วอีกเรื่องถ่าย 8 โมงเช้า ไม่ใช่เรื่องมากนะ คือให้ผมนอนสัก 2 ชั่วโมงเถอะ ไม่งั้นจะตายซะก่อน (ปรับตัวอย่างไร ?) ก็รับงานน้อยลง คือรับได้ทีละ 2 เรื่อง เพราะมันไม่ไหวจริงๆ แต่แค่นั้นก็จะตายอยู่แล้วนะ บอกเพื่อนที่ดูแลเลยว่าเราไม่ไหวจริงๆ น้ำตาร่วงเลย ตื่นแล้วแต่ตาเปิดไม่ได้ เป็นเม็ดทราย เพราะการปฏิเสธมั้ง เลยทำให้คนมองว่าเราเรื่องเยอะ

ชีวิตมีขึ้น-ลง

ตรงนี้เป็นอาชีพที่รักที่สุดในชีวิต เพราะเป็นอาชีพที่ทำให้ผมเกิดขึ้นมามีศักดิ์ศรี มีชื่อขึ้นมา คนได้รู้จักผมทั่วประเทศ เกือบทั่วโลกเลยก็ว่าได้ ไม่มีอาชีพอื่นที่ทำให้ผมเป็นแบบนี้ ทำให้ผมรู้หลายๆ อย่างเกี่ยวกับชีวิตตอนผมดัง ผมก็รู้ว่าชีวิตมันเป็นแบบไหน คนรอบข้างเป็นแบบไหน ตอนผมตก ผมก็รู้ว่าชีวิตคนเป็นแบบไหนคนรอบข้างไปไหน ชีวิตจริงกับละครมันก็เหมือนกัน เวลามีขึ้นมีลงมีรวยมีตกมันเป็นไปตามวัฏจักรซึ่งเวลาดังเพื่อนก็เข้ามาหาเยอะแยะ แต่เวลาตกไม่มีคนมอง เดินหมายังเห่าเลย(แอบน้อยใจไหม ?) ตอนนั้นก็แอบนึกน้อยใจแหละแต่ว่ามันเป็นการเรียนรู้ชีวิตของความเป็นจริง ความมายาชื่อเสียง ตำแหน่งมันไม่ได้อยู่กับเราตลอดเวลา

กับหลากหลายฉายาที่ได้รับ

ในวงการบันเทิงผมคือคนเจ้าชู้ เพลย์บอยมากเลยนะ ส่วนมากเราเป็นคนไปจีบเขา จีบนางเอก จีบดารา จีบคนนอกวงการบันเทิงเยอะแยะ แต่ผมไม่เคยมีข่าวว่าเป็นแฟนใครในวงการบันเทิง ไปหาได้เลย เพราะผมไม่อยากมี ก็คบไปตามธรรมชาติของผู้ชาย โดยอายุโดยอาชีพเรายังไม่พร้อม เลยไม่อยากมี แต่ชอบคนนู้นคนนี้ไปตามปกติ เพราะว่าผมเป็นผู้ชาย เรื่องเกย์ก็มี เรื่องกะเทยก็มี ลิ้นสว่านก็ผม พระเอกร้อยล้าน พระเอกทองแดง พระเอกร้อยเทคก็ฉายาผม เล่นเลิฟซีนก็ดุเด็ดจูบจริงในหนังไกรทอง จนได้ฉายามา ชีวิตนี้ผมได้มาหมดแล้ว ปลื้มทุกฉายา (ยิ้ม) เพราะถือว่าผมทำจริง มันถึงมีข่าวออกมา ผมตั้งใจทำจริงๆ แต่ไม่คิดว่าเขาจะมาตั้งเป็นฉายาแบบนี้

หยุดทุกอย่างไว้ที่ภรรยาและลูก

ภรรยา “น้องเอ๋” เป็นคนนอกวงการครับ เขาทำธุรกิจเกี่ยวกับเส้นผม เจอกันในเว็บไซต์ก่อน คือผมเสิร์ชหาออร์แกนิคว่ามีน้ำยาทาหนังศีรษะที่ทำให้ผมขึ้น เพราะว่าผมหัวเถิก พอคุยกัน 5-6 เดือน ก็ไปเจอที่ร้าน ขอจีบเขา คบกันมา 2 ปีก็แต่งงานเลย ผมชอบเขา ที่เขาเป็นคนธรรมดา ไม่สวยไม่รวยแต่เป็นคนใจสู้ เป็นคนนักเลง ใจกว้าง คุยกับเรารู้เรื่อง รับเราได้ที่เป็นเรา เพราะว่าเราไม่ใช่คนดี วินัย ไกรบุตร ไม่ใช่คนดี ข่าวคราวต่างๆ ของเราผ่านมาแล้ว มันก็คืออดีต จบก็คือจบ และเราก็ให้เขาทั้งใจ อาจจะไม่เป็นคนหวาน เงินก็ให้หมดทุกอย่างให้หมดแม้แต่บาทเดียวก็ไม่เอา ในแบงก์มีไม่เกิน 500 ขอวันละ 300 ถ้าไปต่างจังหวัดก็ได้ 500 เราเที่ยวมาเยอะแล้ว พอเรามาเจอคนที่เรารัก คนที่เราถูกใจก็ให้เขาไปเลยเต็มที่ พอมีลูกมีเมียแล้ว ไม่มีปาร์ตี้เลย ไม่อยากไป อยากกลับไปหาลูก อยากอยู่กับเมีย ค่ำๆ ตีแบดเสร็จก็รีบกลับไปหาลูก เพราะลูกรอ พอมีครอบครัวแล้วชีวิตเปลี่ยน แล้วเราก็เปลี่ยนตัวเองด้วย เพราะว่าเราอยากเห็นลูกเราเติบโต อยากพาลูกไปตีแบด ว่ายน้ำ ตีกอล์ฟ ไปทำนู่นทำนี่ ถ้ามีตังค์มากกว่านี้อยากจะมีลูก 4 คน นี่ยังไม่ทำหมันเลยครับ อยากมีลูกเยอะๆ ได้เลี้ยงได้ดูแลเขาคนนั้นเป็นอย่างนั้น คนนี้เป็นอย่างนี้ คนนี้เป็นดารา คนนี้ไปทำงานอย่างอื่น ชีวิตเราไม่มีอะไรแล้ว ก็รอวันตายอย่างเดียว ทำงานส่งให้เขาต่อไป ไม่มีอะไรหรอกครับชีวิต เอาอะไรไปไม่ได้ ทำอะไรก็ให้เขา

อนาคตที่วางไว้

อยากทำอาชีพอื่นเสริมเหมือนกันครับ ที่ผ่านมาทำอะไรก็เจ๊งหมด สปา ร้านอาหาร ร้านกาแฟ ปุ๋ยก็เจ๊งไปเกือบ 20 ล้าน เพราะว่าเราบริหารไม่เป็น ไม่มีความรู้ ไม่ต้องโทษคนอื่นเลยครับ เป็นคนขาดประสบการณ์คิดไม่เป็น ขอโทษตัวเองเลยที่เป็นแบบนี้ แต่ก็จะหาใหม่ที่มันลงทุนไม่เยอะ แล้วขายในโซเชียลได้ ไม่เจ็บตัวเยอะคือเรารู้แล้ว อาชีพนักแสดงก็ยังทำเป็นหลัก จะทำจนกว่าจะไม่มีแรงไม่มีคนจ้าง เป็นอาชีพหลักของผม แม้ว่าบทบาทจะเปลี่ยนไปก็ตาม ตอนนี้ผมเล่นเป็นตาแล้วนะ ไม่ซีเรียสเราสนุก สบายดีจะตาย พอเป็นคนแก่ก็จะบู๊ได้นิดหน่อย สบายเลย แต่ว่าส่วนตัวผมก็ยังพอบู๊ได้เบาๆ ละครบู๊ หรือว่าถอดเสื้อยังได้อยู่ ซิกแพ็กยังมีอยู่นิดหน่อย (ยิ้ม)

ความในใจถึงแฟนๆ

ขอบคุณแฟนคลับที่ดูแลผมตั้งแต่อายุ 23จนตอนนี้ผมอายุจะ 50 แล้ว กว่า 27 ปี ในวงการบันเทิง ขอบคุณตั้งแต่รุ่นพ่อแม่ปู่ย่าตายายมาถึงรุ่นปัจจุบัน ที่เป็นกำลังใจ ขอบคุณที่ดูผลงานผมและคอยให้กำลังใจตลอด ถ้าไม่มีพวกคุณผมก็คงไม่เกิด ผมจะทำผลงานให้ดีขึ้น เดินไปไหนมาไหนน้อยคนมากที่จะไม่รู้จักเรา แต่อย่างเดียวที่เขาบอกคือในทีวี.ทำไมตัวใหญ่ ตัวจริงทำไมตัวเล็ก แล้วในทีวี.แก่ แต่ตัวจริงไม่แก่ อันนี้เป็นคำพูดที่ได้ยินประจำ ก็ภูมิใจครับที่คนรู้จัก ไปไหนก็ลำบาก ลำบากตรงที่ว่าจะไปทำอะไรที่ไม่ดีไม่ได้ ก็ต้องทำในสิ่งดีๆ (ยิ้ม) และฝากทายาทไว้ด้วยครับ น้องมารคน้องแมม เผื่อเขาได้มีผลงานในวงการบันเทิง ก็ฝากเชียร์ฝากเป็นแฟนคลับไว้ในใจคุณผู้ชมทุกคนด้วยครับ

เรียกว่าทำหน้าที่การเป็นหัวหน้าครอบครัว และการเป็นคนของประชาชนได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง สมฉายา “พระเอกร้อยล้าน” คนแรกของวงการภาพยนตร์ไทย “เมฆ-วินัย ไกรบุตร”

กุหลาบสีเงิน

Star Retro : 16 ปีในวงการ ‘เอ-สุรพันธ์’ขยับตามวัฏจักร ผันเป็น พ่อค้าบะหมี่

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/entertain/319895

Star Retro : 16 ปีในวงการ  ‘เอ-สุรพันธ์’ขยับตามวัฏจักร  ผันเป็น พ่อค้าบะหมี่

Star Retro : 16 ปีในวงการ ‘เอ-สุรพันธ์’ขยับตามวัฏจักร ผันเป็น พ่อค้าบะหมี่

วันอาทิตย์ ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561, 06.00 น.

ผันตัวไปเป็นพ่อค้าบะหมี่เกี๊ยวหมูแดงจนเป็นที่ร่ำลือ สบโอกาสเจอกับหนุ่ม “เอ-สุรพันธ์ ชาวปากน้ำ” ที่ยกร้านไปเปิดในงานตลาดนัดดาราช่อง 3 จึงจับตัวนักแสดงและนายแบบคนดังมานั่งพูดคุย ล้วงลึกถึงสูตรลับ พร้อมบอกเล่าเรื่องราววันวานสุดประทับใจ

l ปัจจุบันที่เป็น

งานแสดงตอนนี้พอมีบ้าง แต่ว่าก็น้อยลงครับ จะตามอะไรก็ไม่รู้ (หัวเราะ) ตามวัฏจักรมั้งครับ แต่หลักๆ ที่ทำอยู่ตอนนี้จะเป็น food truck บะหมี่เกี๊ยวหมูแดงชื่อว่า “เกาลูนนู้ดเดิ้ล” อยู่ที่ซอยทองหล่อ18 ขายตั้งแต่วันจันทร์ถึงศุกร์ 11 โมงถึง 2 ทุ่ม ก็จะขายบนรถ หรือว่าจะไปออกงานก็ได้ ทำมาเกือบปีแล้วนะครับ ตอนแรกไม่มีสูตรเด็ดอะไรเลย แต่ว่าเพื่อนมาชวน แล้วโดยส่วนตัวผมเป็นคนที่ชอบกินบะหมี่มาก เป็นคนที่ทำอะไรแล้วตัวเองจะต้องชอบด้วย แต่ก็ไม่ได้เอาแต่ตัวเองเป็นหลักนะมองแล้วคนอื่นเขาก็น่าจะชอบด้วย ก็เริ่มทำ โดยมีรุ่นพี่คนนึงที่เขาเป็นเชฟ ก็ให้เขาช่วยคิดสูตรว่าเราจะหมักหมูแดงยังไง ต้องปรุงน้ำซุปยังไง เขาก็ช่วยคิดค้นขึ้นมาจนเราได้สูตรของเรา

l คิดค้นจนได้สูตรเด็ด

จะเหมือนใครหรือเปล่าเราก็ไม่รู้ เพราะว่าเราก็ไม่รู้ว่าคนอื่นทำยังไง แต่สูตรของเรา ผมเชื่อว่าหมูแดงมันจะมีความนุ่มหอมอร่อยในตัวเนื้อหมู คือหมูแดงบางที่ที่เราไปกิน จะขาวๆ แต่ของเราเนื้อจะนุ่มๆ หอมๆไม่กระด้าง ตอนแรกก็ยังไม่สมบูรณ์แบบ เราพัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆ ส่วนไส้เกี๊ยว ให้น้องสาวเป็นคนคิดค้นสูตรขึ้นมาครับ เราจะมีเอกลักษณ์ของเรา คือกินแล้วมันจะฉ่ำๆเต็มคำ เรามีหลายเมนู คือ บะหมี่เกี๊ยวหมูแดง เล้งแซ่บจริงๆ ส่วนตัวผมเฉยๆ แต่ว่าเห็นเขาฮิตกันมาก ก็เลยต้องตอบโจทย์ แต่กลายเป็นว่าคนชอบ คือที่เราไปกินมาเขาจะเป็นแบบเปรี้ยวๆ รสจัดๆ แต่เรามาทำให้มันกลอมกล่อม กินกับบะหมี่แล้วเข้ากันดีมาก ซึ่งคนก็จะชอบสั่งบะหมี่เกี๊ยวหมูแดงแห้งกับเล้งคู่กัน แล้วก็มีอีกอันคือ ยำเกี๊ยวเกาลูน ก็ใช้น้ำซอสพอนสึแบบญี่ปุ่นโรยด้วยงา เราพยายามพัฒนาอยู่เรื่อยๆ ยังไม่สมบูรณ์แบบที่สุดในการเติบโต พยายามคิดเมนูขึ้นมาเรื่อยๆ หยุดนิ่งไม่ได้ เดี๋ยวจะเพิ่มไข่ออนเซ็น บะหมี่ไก่ทอด บะหมี่ขาหมู และเราขายแฟรนไชส์ด้วยครับ ตอนนี้มีคนซื้อไปประมาณ 2-3 เจ้าแล้วในส่วนของการทำแฟรนไชส์ เราดูจากคนที่เขาประสบความสำเร็จแล้ว ก็เอามาปรับปรุงแล้วประยุกต์ให้มันเหมาะกับแนวทางของบะหมี่ของเรา

l จุดประกายฝันการเป็นพ่อค้า

ต้องบอกว่าย้อนไปเมื่อ 15 ปีที่แล้วเลยนะครับ คือผมเคยเปิดร้านที่เป็นผับ เตรียมการไว้แล้ว คือทุกย่างจะต้องมีช่วงดาวน์ลงไป ก็เลยคิดไว้ว่าเราจะต้องมีอะไรมาเป็นแผนสำรอง ในตอนนั้นคือเปิดร้านเป็นผับตรงทองหล่อกับเพื่อนๆ ซึ่งตอนนั้นก็ถือว่าไปได้ดี แต่ว่าตอนนี้ปิดไปแล้ว และมาเปิดอีกร้านเป็นผับเหมือนกันชื่อว่า SYN เปิดกับรุ่นน้องอยู่แถวเอกมัย ส่วนบะหมี่เป็นธุรกิจที่เราทำเองเต็มๆ แต่ว่าตอนนี้เริ่มรู้สึกว่าเราจะต้องหาลูกน้องเข้ามาช่วยแล้วล่ะ เพราะว่าเริ่มไม่ไหวแล้ว คือเจ็บเข่าเจ็บหลังบ้างตามประสา (หัวเราะ) แล้วเราตัวสูงด้วยพอไปยืนบนรถมันก็เลยจะลำบากในด้านสรีระและสังขารนิดนึง ก็เลยจะให้น้องๆ เขามาปรุง เราก็สอนวิธีทำเขาไปเพราะเราก็ไม่หวงวิชา แต่บางคนก็บอกว่าเอไปบอกสูตรคนอื่นเขาหมดได้ยังไง เกิดเขาออกไปทำเองล่ะ เราก็บอกว่าไม่เป็นไร ถ้าเขาจะเอาไปทำ เราก็ห้ามไม่ได้อยู่แล้ว คือมันสมัยใหม่ เขาแค่เปิดยูทูบก็ทำเป็นแล้วนะ ไม่เห็นต้องปิดบังอะไรกันเลย

l หนีไม่พ้นเรื่องอาหาร

จากเดิมที่เราเปิดเป็นผับกึ่งร้านอาหารมา มันก็อยู่ในธุรกิจสไตล์พวกนี้ ซึ่งเราถนัดเรื่องเหล่านี้มากกว่า คือเกี่ยวกับอาหารเครื่องดื่มหรือว่าการให้บริการ ซึ่งเรียกว่าเราถนัดทางนี้มากกว่า แล้วบะหมี่นี่ถือเป็นธุรกิจที่เราใช้ต้นทุนไม่ได้สูงมาก คือตอนแรกที่คิดทำ ก็คิดว่าจะเปิดเป็นร้านเช่าห้องแถว แต่งร้านน่าจะหมดเป็นล้านบาท แล้วเกิดขายไม่ดี ก็จะหายไปกับร้านแล้วย้ายก็ไม่ได้ ก็เลยคิดว่างั้นเป็นรถดีกว่า สมมติว่าตรงนี้ไม่ดี หรือจะไปออกงานมันก็เหมือนกองโจรครับ หรืออย่างน้อยถ้าเราขายไม่ดี เราก็ขายรถก็ยังมีอะไรกลับมา คิดเผื่อไว้นะไม่ได้มั่นใจว่าเราจะขายดี แล้วเราก็จะต้องมีแผนสำรอง ช่วงแรกเหนื่อยเหมือนกัน แต่ว่าพอทำไปก็โอเค คือชีวิตก็ไม่เคยคิดว่าเกิดมาจะต้องมาขายบะหมี่ (ยิ้ม) แต่ว่าพอทำไปแล้วมันเลิกไม่ได้ ก็ต้องทำไปให้สุด

l จากนักแสดงสู่การเป็นพ่อค้า

มีคนเดินเข้ามาทักว่า เอ๊ะ! ใช่ดาราหรือเปล่า หน้าคุ้นๆ ซึ่งเราก็ดีใจนะ ที่เขาก็อาจจะจำเราไม่ได้หรอกว่าเป็น “เอ-สุรพันธ์” แต่ว่าอย่างน้อย เขาก็พอจำได้ว่าเป็นดารา ยิ่งเดี๋ยวนี้คนทักบ่อยมาก ประโยคที่ว่า “ไม่เล่นละครแล้วเหรอ” ซึ่งเราก็รู้สึกดีใจที่อย่างน้อยเขาจำเราได้ ดีกว่าไม่ทักอะไรเลย ไม่ได้รู้สึกว่าอาชีพนี้จะดูไม่ดีหรืออะไรยังไง แล้วคนส่วนมากจะทักว่าเราทำเองเลยเหรอซึ่งจริงๆ เราก็ทำเองอยู่แล้ว ทำเองก่อนจะได้รู้ว่ามันเป็นยังไง เราจะรู้สึกภูมิใจมากกว่านะ เรารู้ว่าน้ำเสียงหรือการทักของเขาคือเขาให้เกียรติเรา เหมือนเขาทึ่งว่าเรามาทำเองเลยเหรอ เราทำเองก็ได้ ทุกวันนี้ดารานักแสดงผันตัวเองมาเป็นพ่อค้าแม่ค้ากันเยอะมาก ซึ่งเขาก็คงจะคิดเหมือนเอ ว่าอาชีพนี้มันไม่ได้จีรังมากมาย มีหลายจังหวะที่มันเหนื่อยนะครับ ขี้เกียจแล้ว ไม่ไหวแล้ว แต่พอมองอีกทีคือมันก็ยังไปได้ มันอร่อยนะ ตอนนี้เราแค่ต้องการทีมที่เข้ามาเสริม ช่วยในสิ่งที่เราคิดและทำ และในอนาคตก็กำลังอยากจะมีเป็นร้านเหมือนกัน แต่ว่าต้องเป็นร้านที่ไม่ได้ลงทุนเยอะแยะมากมาย

l ย้อนวันวานจุดเริ่มต้นในวงการ

ตอนนั้นอายุ 21 ซึ่งตอนนี้ 40 แล้ว (หัวเราะ) ตอนนั้นเรียนอยู่เอแบค แล้ววันนั้นเป็นวันอาทิตย์ จำได้เลย เพราะว่าเราเพิ่งไปโบสถ์กลับมา คือผมเป็นคาทอลิก เสร็จแล้วก็ไปเดินอยู่เซ็นทรัลเวิลด์ ก็มีพี่เขาเดินเข้ามาหาชื่อ “พี่หนุ่ม-อภิวัฒน์ ยศประพันธ์” เข้ามาทักว่าเคยถ่ายแบบไหม หรือว่าเคยประกวดอะไรไหม แล้วพี่หนุ่มเขาก็ให้นามบัตร ซึ่งเขาทำงานอยู่ในเครืออมรินทร์พริ้นติ้งชื่อหนังสือเทรนดี้แมน พี่เขาบอกว่าให้โทรหาเขานะ แล้วมาลองถ่ายโพราลอยด์เทสต์ เราก็โทรหาเขา ยังจำได้เลยว่านั่งรถเมล์ไปไกลมาก ไปคนเดียวเลยครับ ไปถึงบริษัทอมรินทร์แถวศิริราช เขาก็ให้ถ่ายรูปตรงโรงอาหารเลย แล้วเราก็นั่งรถเมล์กลับบ้าน ตอนถ่ายมันก็ไม่ยากเท่าไหร่ เราก็ทำได้ หรืออาจจะบอนทูบีหรือเปล่าไม่รู้ (หัวเราะ) เขาบอกให้หันอย่างนี้ ทำอย่างนี้นะ ไม่ได้คิดหวังอะไรมาก ถือว่าเป็นโอกาสหนึ่งที่เราได้ไปลอง หลังจากนั้นสักพักพี่เขาก็เรียกให้มาถ่ายแบบชุดกีฬา พอถ่ายแบบเสร็จเขาก็ให้เงินมา ซึ่งเราก็ไม่รู้หรอกว่าเท่าไหร่ แต่เปิดซองออกมา อู้หู! ได้ตั้งหกหรือเจ็ดพันมั้ง สำหรับเราคือมันเยอะมากเลยครับ แค่ไปถ่ายรูปไม่กี่ชั่วโมง กลับมาบอกแม่ เขาก็ดีใจด้วย เหมือนเป็นรายได้ที่ดี แต่เราคือดีใจมาก ระหว่างนั่งรถเมล์ไปก็เพลินมาก (ยิ้ม) หลังจากนั้นเริ่มต้นถ่ายแบบเดินแบบมาเรื่อยๆ เกือบ 2 ปีครับที่อยู่วงการแฟชั่น ตอนที่เข้ามาก็เจอ “พี่ปี๊บ-รวิชญ์, พี่โอ๊ต-วรวุฒิ, ดอม เหตระกูล” ที่เข้ามาร่วมรุ่นก็มี “เอส-วรฤทธิ์,ไรอัน เจทท์, ชาย-ชาตโยดม, เบนซ์-นิพิธ” เราจะเป็นเหมือนร่วมสมัย มีทั้งรุ่นพี่และรุ่นเรา คือด้วยสรีระที่ตัวสูงใหญ่เท่ากับรุ่นพี่ๆ ก็เลยได้ร่วมงานกันกลับกลุ่มนี้จัดอยู่ในกลุ่มมนุษย์ตัวสูง

l เกือบจะโกอินเตอร์

พอผ่านมาเกือบ 2 ปี ก็คุยกับพี่หนุ่มว่าเราน่าจะไปเดินแบบที่เมืองนอกนะ ด้วยความที่เทรนด์หน้าเอเชียแบบนี้กำลังฮิตมาก แต่เริ่มต้นเราต้องไปที่สิงคโปร์ก่อน ให้สากลรู้จัก แล้วค่อยไปสู่ยุโรป แล้วเราก็ทำ Portfolio ส่งไป วางแผนแล้วว่าเราจะทำยังไง แต่บังเอิญว่า “พี่คิง-สมจริง ศรีสุภาพ” ได้ติดต่อมาทางพี่หนุ่ม ว่าอยากชวนเอไปเล่นละคร ให้ลองไปแคสดูที่โพลีพลัสปรากฏว่าชายก็ไปด้วย คือเราไปเจอกันที่นั่น เมื่อก่อนเอกับชายลุคเราจะคล้ายกัน และงานต่างๆ เวลาไปแคสหรือว่าแฟชั่นโชว์ MV ก็จะไปด้วยกันตลอด แล้วละครเรื่องแรก “รักเล่ห์เพทุบาย” ก็ได้เล่นด้วยกัน ดีใจนะเหมือนมีเพื่อน แล้วโครงการที่ว่าจะไปเดินแบบต่างประเทศก็จำเป็นต้องพับไป คือก็ไม่เป็นไร เล่นละครไปก่อนก็ได้ เพราะเรายังมีงานอีกทางหนึ่ง

l สู่งานแสดงอย่างเต็มตัว

แรกๆ เราก็ไม่ได้รู้จัก หรือคิดว่าจะต้องมาเป็นดารา มาเล่นละคร เพราะว่าอาชีพแรกของผมคือเกี่ยวกับแฟชั่น เดินแบบถ่ายแบบ แต่พอมีโอกาสเราก็ลองทำดูเป็นหนทางนึง เป็นอีกรายได้นึง พอเล่นเรื่องแรก ก็มีต่อเข้ามาเรื่อยๆ แต่ก็ยังมีแผนอยู่นะว่าจะไปเดินแบบที่เมืองนอก ผ่านไป 1 เรื่อง มันก็สนุก ชอบ มา 2 เรื่อง 3 เรื่องเขาก็ติดต่อมาเรื่อยๆ เลยไม่ไปแล้วเมืองนอก เลิก (หัวเราะ) แต่งานในบ้านเราสำหรับเดินแบบถ่ายแบบ ก็ยังมีเรื่อยๆ (เสียดายโอกาสไหม ?) ไม่ครับ เรารู้สึกว่าเรามีโอกาสที่ดีกว่า ที่เราได้มาอยู่ตรงนี้ ที่บ้านก็ไม่ได้ว่าอะไรอยู่แล้ว อยากทำอะไรก็ได้ เราถ่ายละครทำงานของเราไปแล้วก็ดีด้วย มีรายได้ หาเงินเรียนเองเลย ผ่านไป 1 เรื่อง พอเรื่องที่ 2-3 ก็ซึมซับเข้ามาเรื่อยๆ สนุกกับมัน สนุกดีที่เรามาถึงจุดนี้ เป็นนักแสดงมา 16 ปี ซึ่งจากเรื่องแรกที่ได้เล่น รู้สึกดีใจมากนะครับ เพราะว่าพระเอกนางเอกคือ “พี่วิลลี่” กับ “พี่หมิว” เป็นพระเอกนางเอกที่เราชอบตั้งแต่เด็ก เจอ 2 คนนี้คือดีใจมากเลยนะครับ พี่หมิวสวยมาก พี่วิลลี่ก็หล่อ ณ ตอนนั้นคิดว่านักแสดงเป็นอาชีพเราเลยนะ ที่เรียกว่าเป็นอาชีพ เพราะว่ารายได้ที่ทำให้เราสามารถนำมาเลี้ยงดูชีวิตเราได้ และเราก็ชอบกับมัน รักกับมันมาเรื่อยๆ ซึ่งละครเรื่องแรกถือเป็นเรื่องที่ประทับใจมาก อีกอย่างคือได้ประกบกับพี่หมิวพี่วิลลี่เป็นที่สุดแล้ว และมาเจอพี่คิงที่เป็นผู้กำกับอีก ละครของโพลีพลัสด้วย ในตอนนั้น คือสุดยอดแล้วนะ ซึ่งเรื่องนั้นผมเล่นเป็นนักดับเพลิงอยู่ทางเหนือ แล้วก็ได้มาเจอ“พี่รัก-ศรัทธา” ทำให้สนิทกันมาถึงทุกวันนี้อีก ซึ่งพี่รักก็จะช่วยสอนการแสดงและหลายๆ อย่างในตอนนั้น ได้เจอเพื่อนสนิทเป็น “ชาย-ชาตโยดม” แล้วก็ “เหนือ-อรรถกร” มันหลายอย่างมาก เลยประทับใจในเรื่องนี้ครับ

l เพื่อนสนิทในวงการ

ชายเหมือนเป็นเพื่อนซี้ที่สนิทในวงการ ทำงานด้วยกันบ่อย เจอกันตั้งแต่ก่อนเดินแบบแล้วครับ คือตอนที่เราไปแคสงานก็เจอกันอยู่เรื่อยๆ เพราะด้วยความสูงที่เท่ากัน ก็เลยจะเจอกันมาเรื่อยๆ ชายเขาเป็นคนที่สุภาพบุรุษมาก มีน้ำใจ โอบอ้อมอารีเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ คือไม่รู้จะหาอะไรไปติเพื่อนคนนี้เลย (หัวเราะ) ถ้าเกิดมีใครไปติชาย ก็ยังนึกไม่ออกเลยว่าจะติเขาเรื่องอะไร ทั้งหมดทั้งปวงเลยคือดีมากๆ สำหรับละครก็เล่นกับชายประมาณ 3-4 เรื่องครับ แต่ล่าสุดได้ร่วมงานกันในฐานะที่ชายเป็นผู้กำกับคือเรื่อง “คุณแม่เลี้ยงเดี่ยวหัวใจฟรุ้งฟริ้ง”

กับบทบาทที่หลากหลาย

ทุกวันนี้ได้มาเล่นเป็นพ่อ เป็นโจร เป็นกะเทยบ้าง หลากหลายจริงๆ เล่นได้หมดเลย ไม่ได้ซีเรียสนะ ขอให้มีอะไรให้เราได้เล่น ได้โชว์ฝีมือการแสดง และเราก็ต้องเข้าใจกับวันเวลาที่ผ่านไปด้วย มาถึงจุดนี้ได้ ผมภูมิใจแล้วแหละ คือผมก็ผ่านมาได้ตั้งสิบกว่าปี

l ยังครองความโสดอยู่

(ยิ้ม) คนก็ชอบพูดเหมือนกันว่า ดูสิเพื่อนแต่งงานไปหมดแล้ว มีลูกกันหมดแล้วนะ ก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน บางทีมันก็ยังไม่ถึงจังหวะ ไม่ถึงเวลา ไม่ใช่ว่าไม่อยากมีนะครับ บางคนเขาบอกว่าอยากจะโสด แต่ว่าเราไม่อยากโสดแบบนั้น เพียงแต่ว่าจังหวะมันอาจจะยังไม่ลงตัว แม่ก็ไม่ได้ว่าอะไรอยู่แล้ว แล้วแต่เรา ลูกเพื่อนโตกันหมดแล้ว (หัวเราะ) แต่ไม่เป็นไร ก็ยืมลูกเพื่อนมาเล่นได้

l สิ่งที่ได้จากวงการนี้

ให้หลายด้านมากนะ ที่เรามาอยู่ถึงทุกวันนี้ที่ได้มานั่งคุยกันวันนี้ ก็เพราะว่าอาชีพในวงการบันเทิงนี่แหละครับ ที่สำคัญคือทำให้เราเจอคนเยอะมาก ทั้งในวงการบันเทิงเอง และคนภายนอกเอง ทำให้เราได้รู้จักคนหลากหลาย และหลายแบบ ด้วยความเป็นดาราคนก็จะเข้ามาหา หรือเราก็ต้องเข้าไปหาเขาด้วย ซึ่งมันหลายอย่างทำให้เราได้มองคนได้ทะลุมากขึ้น ทั้งในด้านดีและไม่ดีครับ

l ความในใจจากผู้ชายที่ชื่อ “เอ-สุรพันธ์”

อยากจะบอกว่าขอบคุณทุกท่านเลยนะครับคนแรกเลยที่ชักนำเข้ามาสู่วงการเดินแบบก็คือพี่หนุ่ม-อภิวัฒน์ แล้วพอได้มาเล่นละครก็ต้องขอบคุณพี่คิง และตึกมาลีนนท์นี่แหละครับ (หัวเราะ) ที่ให้โอกาสเราเสมอมา ส่วนแฟนละครเอง เอก็ต้องขอบคุณนะครับ คือคนที่ยังจำเราได้ก็ยังมีอยู่ บางคนก็จะบอกคลับคล้ายคลับคลา เดี๋ยวนี้เอจะเป็นแบบนี้เลยครับ คือจะมีคนเข้ามาแล้วแบบ เอ๊ะ…ใช่เอหรือเปล่า ผมก็จะตอบว่าใช่ครับ ผมชื่อ เอ-สุรพันธ์ ชาวปากน้ำอายุ 40 ปี (หัวเราะ) พอเขาได้ยินนามสกุล เขาก็ร้องอ๋อทันที มาทักทายหรือว่าอุดหนุนกันได้ เอเป็นคนอารมณ์ดีหน้าอาจจะดูโหดด้วยหนวดเครา แต่ว่าจริงๆ เป็นคนใจดีนะครับ (ยิ้ม) มาเจอกันได้ที่ทองหล่อ 18 หรือไม่ก็มางานตลาดนัดดาราที่ช่อง 3 แล้วอีกที่นึง ก็คือที่เอกมัยเป็นร้านอาหารกึ่งผับ SYN สำหรับงานแสดงยังคงรับอยู่เรื่อยๆขอให้จ้างเถอะครับ (เสียงอ้อน) ยินดีที่จะเล่นอยู่แล้ว

อยากลองลิ้มชิมรสบะหมี่สูตรเด็ดของหนุ่มเอ ตามไปอุดหนุนกันได้ตามพิกัดที่พ่อคุณเขาแจ้งเลยค่ะ

กุหลาบสีเงิน

Star Retro : ลูกทุ่งเบรคแตก ‘อ้อยใจ แดนอีสาน’ ชีวิตนี้อุทิศเพื่อหมาแมว

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/entertain/318374

Star Retro : ลูกทุ่งเบรคแตก 'อ้อยใจ แดนอีสาน' ชีวิตนี้อุทิศเพื่อหมาแมว

Star Retro : ลูกทุ่งเบรคแตก ‘อ้อยใจ แดนอีสาน’ ชีวิตนี้อุทิศเพื่อหมาแมว

วันอาทิตย์ ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561, 06.00 น.

เป็นนักร้องลูกทุ่งที่มีเอกลักษณ์ความโดดเด่นเฉพาะตัว ทั้งด้านน้ำเสียง และการแต่งกาย สำหรับ “อ้อยใจ แดนอีสาน” ซึ่งไม่ว่าจะอยู่ในบทบาทของการเป็นนักร้อง หรือแม่ค้า เธอเต็มที่และเรียกเสียงหัวเราะจากแฟนๆ ได้เสมอ แต่ภายใต้รอยยิ้มนั้น เธอต้องข้ามผ่านอุปสรรคมานานัปการ…

“อ้อยใจ แดนอีสาน” ในวันนี้

หลังจากที่วงการเพลงซบเซา โลกโซเชียลเข้ามามีบทบาท เราก็เลยเหมือนจะหายหน้าหายตาไป ซึ่งก็เป็นทุกคนไม่ใช่แค่อ้อยใจแล้วเราก็ต้องมีอาชีพหลัก นั่นก็คือขายยำแหนมสดซึ่งเป็นอาชีพเก่าอาชีพดั้งเดิมที่เราทำมานานแล้ว พ่อ-แม่พี่น้องทุกคนจะขายยำแหนมสดกันหมดเลย เป็นสูตรที่เราได้มา คือเมื่อก่อนเคยไปเป็นลูกจ้างที่ร้านอาหารคนญวน เลยได้วิชามา แล้วมาสอนพี่น้องพ่อ-แม่ให้ทำ ก็ขายอย่างนี้มาตลอด ก่อนจะเข้าวงการเพลงลูกทุ่งเสียอีกค่ะ ตอนที่เพลงดังก็ยังขายอยู่ หาบขายที่คลองเตย ไปประตูน้ำก็ไป คือไปทั่ว เราก็มีความสุขนะ คือเรามีพี่น้อง 6 คน พอถึงเวลาทุ่มหนึ่ง เราก็กลับไปเจอกัน เอาสตางค์ไปนับได้คนละเท่าไหร่ ขายอย่างนี้ทุกวัน

จุดประกายความฝันการเป็นนักร้อง

วันหนึ่งมีเพื่อนชวนไปร้องเพลงคาเฟ่ เขาบอกว่าร้านนั้นนักร้องขาด เลยลองให้เราไปสมัคร เราก็คิดนะว่าเขาจะรับเหรอ เราแต่งตัวไม่ดี เราเป็นแม่ค้าหน้าตาก็ไม่ได้สะสวย เขียนคิ้วก็ไม่เป็น เราเป็นคนที่ชอบร้องเพลงอยู่แล้ว เวลาขายของไป เราก็จะร้องเพลงไปด้วย ลูกค้าก็ชอบ บางคนก็สงสาร คือเราจะเป็นคนที่น่าสงสารมากกว่า แต่ว่าจะทำยังไงเพื่อให้ได้เงินไปให้พ่อ-แม่ ไม่อยากให้ที่บ้านลำบาก แต่ขายยำแหนมก็ขายดีนะสนุกในการหาบขาย แล้วพอมีคนมาบอกว่าทำไมไม่ไปร้องเพลงล่ะ ท่าจะดังนะ เสียงดีด้วย พอคนนั้นคนนี้ชม เราก็เหิมเกริม (หัวเราะ) แล้วพอดีเด็กข้างบ้านเขาเป็นนักร้อง และเขาเกิดทะเลาะกับแฟน เลยไปร้องเพลงแบบซังกะตาย เราก็เลยขอไปกับเขาด้วย เขาก็ให้ไป แต่บอกว่าอย่าซนนะให้นั่งอยู่เฉยๆ เพราะว่าผู้จัดการจะดุเอา แล้วบังเอิญว่านักร้องเขาเกี่ยงกันร้อง เพราะว่าแขกยังไม่ค่อยมี เราก็ขึ้นไปจับไมค์ร้องเพลงเลย “คุณไม่รักทำไมไม่บอก” นักดนตรีเขาก็ไล่ลง เราก็ขอเขา จนเขายอม พอร้องไปแขกที่นั่งอยู่เขาชอบใจ และให้ทิปด้วย คือเราร้องเราก็มีลีลาที่ไม่เหมือนใคร สนุกสนาน มีสไตล์ยักคิ้วหลิ่วตาเต้น หลังจากนั้นก็มีอีก ที่คาเฟ่หนึ่งแถวสะพานควาย เขาเขียนว่ารับสมัครนักร้อง เราก็เอาเลย ขายของเสร็จอาบน้ำแต่งตัว ก่อนนี้คือไปเดินประตูน้ำ ซื้อเสื้อผ้ามาแล้ว เราจะต้องสวย ตกกลางคืนจะไปสมัครงานร้องเพลง ไปกี่ที่เขาก็ไม่รับ (ยิ้ม) การแต่งตัวไม่ดี เราก็มั่นใจว่าเราแต่งสวยแล้วนะ (นึกท้อไหม?) ไม่ท้อค่ะ ต้องมีสักคนที่ยอมฟังเราบ้าง มีร้านหนึ่งเขาเปิดถึงสว่างเราก็ไป เขาก็บอกว่าลองมาเทสต์ดู เราก็ไป คือใจเรายังหวัง แต่พอไป แขกยังไม่มีเลย เทสต์ไปก็เท่านั้น กลับบ้านเสียค่ารถไปไกลด้วย แต่ก็ยังไม่ท้อ กลับมาอีก เพราะว่าเขายังไม่ได้ฟังเสียงเรา เว้นอีกนาน เพราะห่วงขายของ มัวแต่จะไปร้องเพลง เราก็จะขาดรายได้ อีกอย่างคือแม่ไม่ชอบด้วย ที่เราจะไปเป็นนักร้องเต้นกินรำกินแบบนั้น แม่ให้ขายของ แต่เราชอบ ก็ได้แต่นึกอยู่ในใจไม่กล้าเถียงแม่ จ้ะๆ แต่แอบไปเรื่อย กลับตี 1 ตี 2 ไปรอคิว บางทีไม่ได้ร้อง ต้องอาศัยใจกล้าหน้าด้าน ใครวางไมค์เราก็วิ่งขึ้นไปจับเลย แล้วพอดีเขาเห็นว่ามาหลายครั้ง อยากร้องงั้นก็ร้องเลยก็บังเอิญไปถูกใจเขา เลยให้ร้อง และบอกว่าร้องดี แขกมาเขาก็ถามหา เขาเลยให้เราไปร้องได้ค่าตัววันละ 70 บาท ตอนนั้นถือว่าเยอะสำหรับเรานะ แล้วมีทิปด้วย ก็เอาสนุกด้วย ร้องแบบนี้อยู่นาน จนมีคนติดต่อให้ไปร้องวิ่งรอกเลย ที่บ้านก็รู้แล้ว ห้ามไม่อยู่ โดนว่าก็จ้ะๆ แต่ก็ไปอยู่ดี

ลูกทุ่งเบรคแตก

มีคนใต้คนหนึ่ง เขามารับจ้างถ่ายรูปนักร้อง เขารู้จักกับท็อปไลน์ เขาก็เห็นว่าเราร้องเพลงดี เลยพาไปฝากท็อปไลน์ ชวนตั้งหลายครั้ง แต่เราไม่ยอมไป กลัว เพราะว่ากรุงเทพฯเรายังไม่ชินเลย ก็นึกกลัวไว้ก่อน แต่สุดท้ายเขาก็พาไปจริงๆ แต่ท็อปไลน์ไม่รับ และพี่คนนี้เขาก็มีหัวหน้า เขาก็เลยพาไปหาหัวหน้าเขาชื่อ “ณรงค์ รอดเจริญ”พอคุณณรงค์พาไป เขาก็รับเลย และให้เราร้องเพลงหมอลำ อัดแผ่นชุดแรกชื่อเพลง “สาวดำรำพัน” แต่ว่าเสียงเราไปทางลูกทุ่ง ไม่ใช่หมอลำมันเลยไม่เกิดเท่าไหร่ แต่ก็ถือว่ามีคนรู้จักเราเยอะขึ้น แต่ที่เปรี้ยงสุดๆ ก็ชุดที่ 2 “ผัวฉันหาย” ตอนแรกเขาก็ว่าจะทิ้งแล้วล่ะ เพราะว่าเหมือนจะไม่เกิด แต่อาณรงค์เขาบอกว่าลองอีกสักชุดหนึ่งถ้าไม่เกิดก็แค่นี้เลยลองทำอีกชุดหนึ่ง ชุด “ลูกทุ่งเบรกแตก” คนก็ชอบ เวลาไปต่างจังหวัดเขาเห็นแต่หน้าก็ขำแล้ว ทั้งที่ยังไม่ได้ขึ้นเวที ไม่ได้ทำอะไรเลย

จากเด็กสาวสู้ชีวิต ได้มาอัดแผ่นเสียง

ไม่ได้ตื่นเต้นอะไรเลย คิดว่ามันเป็นการทำงาน และไม่ได้คิดว่าตัวเองดังหรืออะไร คนถามว่าดังแล้วยังมาขายยำแหนมอีก เราก็แบบดังเหรอ ดังเป็นแบบไหน ต้องมีคนมารุมล้อมเราสิ นี่ไม่เห็นมีเลย มันดังยังไง ไม่เข้าใจเลย จนเวลาได้ค่าตัวเราก็ตกใจว่าจริงเหรอ

สุขจากการเป็นผู้ให้

เป็นคนที่ยอมคน ไม่ชอบเอาชนะใคร ถึงเราจะชนะคนอื่น เราก็ต้องยอมแพ้ เราถึงจะอยู่กับคนทั่วไปได้ ทุกวันนี้ก็ยอม ใครว่าอะไรก็ไม่สน ไม่เก็บมาใส่ใจให้ตัวเองคิดมาก สุขภาพเสื่อมโทรมไม่เอา แม้ว่าเราจะไม่ได้ร่ำรวยมาก แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะว่าคนเราตายไปก็เอาอะไรไปไม่ได้ อยู่ไม่ถึงร้อยปีหรอก ทำบุญมีเท่าไหร่ทำ แต่อย่าทำหมด ทำเท่าที่เราสบายใจ ไม่ต้องไปออกชื่อออกนาม เมื่อก่อนได้เงินมาก็ไปทำบุญแถวโรงพยาบาล นั่งรถเมล์ไป แล้วก็ไปแจกเงิน คนละ 10, คนละ 100, คนละ 300 แล้วแต่ เขาก็ถามว่าเราเป็นใคร อยู่ที่ไหน เราก็บอกว่าไม่ต้องรู้หรอก เราชอบให้ ทุกทีที่ให้แล้วสบายใจ พรุ่งนี้หาใหม่ จะเป็นคนแบบนี้ได้เงินมาก็แจกเด็กกำพร้า เขาเห็นเราไปร้องเพลง เด็กๆ ก็จะมารอแล้ว เราไม่ให้มันก็ดูยังไง ทุกวันเขาต้องมานั่งรอ ตอนเราตื่นก็แจก (ยิ้ม) ทุกวันนี้ก็ยังเป็นอยู่ รวมถึงการให้อาหารหมาจรจัดต่างๆ คือก็ทำมาตั้งแต่สมัยเป็นเด็กวัด เราอาศัยอยู่ในวัด เพราะว่าเมื่อก่อนเคยหลับไป 8 วัน แล้วเราเห็นหมดว่าคนที่ทำบาปเป็นยังไง ไปเห็นนรกสวรรค์ คือสมัยเด็กบ้านเรายากจนมาก ก็เอาปูนาที่มันไต่อยู่ไปโยนใส่หม้อน้ำร้อน ซึ่งเราจะต้องไปรับกรรมต่ออีกกี่ปีกี่ชาติถึงจะหมด กับที่เราทำกับเขาไว้ ไม่ว่าจะฆ่าสัตว์อะไรก็แล้วแต่ เราฆ่ามดเขาก็ต้องฆ่าเรา เลยจดจำมา ทุกวันนี้ขอให้ตัวเองแข็งแรง กลัวที่สุดคือกลัวเรื่องเจ็บป่วย เพราะไม่มีใคร ญาติพี่น้องตายหมด ก็ต้องดูแลตัวเองให้ดีที่สุด

แม่พระของเหล่าหมาแมว

เงินจากการขายยำแหนมนี่แหละค่ะ ที่เอามาซื้ออาหารให้น้องหมา คือขายได้ก็ไปซื้อข้าวสาร บางทีก็มีคนบริจาคมาบ้าง เลยเบามือไปหน่อย แต่บางคนก็ว่านะ ว่าเลี้ยงตัวเองยังไม่รอดเลย ทำไมต้องไปเลี้ยงหมา แต่เราไม่ได้เก็บมาคิดนะ ต่างจิตต่างใจ เขาไม่ชอบ แต่เราชอบ ก็ไม่ว่าเขา เราไม่มีสิทธิ์ที่จะไปว่าเขา เราชอบของเราแบบนี้เราก็ทำของเราไป

ยังคงร้องเพลงและรับงาน

ด้วยความที่เราเล่นเฟซไม่เป็น ไม่มีโซเชียลคนก็เลยไม่ได้มาสนใจ จะมีบ้างข่าวจากนักข่าวที่มาขอสัมภาษณ์ บางครั้งก็ถูกกันท่าเหมือนกัน คือบางผู้จ้างเขาอยากได้อ้อยใจไปเล่น เพราะเขาเคยเห็นการแสดงของเรา บางคนก็ไปบอกว่าให้เอาวงตัวเองดีกว่า เพราะว่าอ้อยใจแก่แล้ว ถือไมค์ไม่ไหวแล้ว อัมพาตอัมพฤต เจ้าภาพเขาก็ไม่รู้ไง แต่พอเขาไปหาเบอร์โทร.เราในเนต แล้วเขาโทร.มา เขาก็ถามว่ารับสายไหวไหม คือด้วยความที่เขาไปเชื่อคำพูดของคนอื่น แต่จริงๆ แล้วเราก็อยากจะบอกว่า เรายังอยู่ดีสบายอยู่นะ รับงานจ้างงานแสดงอยู่เหมือนเดิมจะใกล้ไกลก็ไม่ต้องห่วงไปได้หมด ไม่ต้องกลัวว่าจะแพง เล่นให้เต็มที่ เข้ามาดูในเฟซบุ๊ค “อ้อยใจ แดนอีสาน” มีคนสร้างให้ ก็สามารถเข้าไปดูผลงานของอ้อยใจได้ค่ะ

ในวันที่งานเพลงซบเซา

ไม่รู้สึกเสียดาย หรือว่าเสียใจเลย เพราะว่าเราเป็นคนขยันอยู่แล้ว อ้อยใจเป็นคนที่ว่าไปอยู่ที่ไหนก็ได้ขอให้มีฝีมือทางการค้าขาย เราต้องรับตัวเองให้ได้สิคลื่นลูกใหม่ก็มาเยอะแยะ ไม่ใช่ไม่มีงานจ้าง จะไปกินยาฆ่าตัวตาย เราไม่ได้เกิดมาเพื่อการแสดง เราเกิดมาเป็นลูกแม่ค้า เราค้าขายเป็น คนลำบากมาก่อนไม่เคยสบาย เราไม่เคยรวย เราต้องไปคิดทำไม โลกนี้โอ้โห!สวยงามน่าอยู่ ไม่เคยคิดว่าจะต้องไปดิ้นรน เงินไม่มีจะต้องไปอัดแผ่นเสียงเสียค่าใช้จ่ายอีก ถ้ามันจะดัง เราก็แต่งเพลงขึ้นมาสักเพลง ร้องลงยูทูบดู ให้คนอื่นเขาลงให้นะ ไม่ได้ไปขวนขวายไม่ได้ไปเสาะแสวงหา เพราะชีวิตไม่เคยรวย ไม่มีเพื่อนสนิท ไม่เคยขับรถไปหาใคร เพราะว่าขับรถไม่เป็น(หัวเราะ) เลยไปหาใครไม่ได้ เราไม่รู้เส้นทางด้วย บางคนอยู่ไกลๆ เราก็ไปไม่ได้ อีกอย่างคือเราต้องทำมาหากิน หยุดวันหนึ่งหมาอดตาย เราก็จะเป็นทุกข์ เราเลยอยู่อย่างสมถะของเรา ที่ไม่ได้ไปหาใครอย่าหาว่าหยิ่งเลยนะคะ ไม่มีอะไรจะมาหยิ่งหรอก เป็นคนที่ให้ใจเต็มร้อย เป็นคนที่เกิดมาจากพ่อ-แม่สองท่านนี้เป็นคนไม่ลักไม่ขโมย ไม่หวังที่จะรวยไม่ติดคุก มีครบ 32 แล้วก็จิตดีคิดดีไม่เป็นโรคภัยไข้เจ็บพอแล้ว เกิดมาในประเทศไทยเป็นลูกของในหลวงรัชกาลที่ 9 ดีที่สุดภูมิใจที่สุด ไปดูคนที่เขาตาบอด คนที่เขามีไม่ครบ 32 เหมือนเราสิ เขามองไม่เห็นโลกเลย คนที่นั่งรถเข็นเดินไม่ได้น่าสงสาร เราต้องมองจุดนี้ เราหูตาก็ดี มือไม้ก็ดี อย่าไปน้อยใจเลย กินปลาทูตัวเดียวก็อิ่มเหมือนกัน ไม่มีใครรู้

ชีวิตในวัยเด็ก

เป็นเด็กต่างจังหวัดบ้านเกิดอยู่ที่จังหวัดชัยภูมิค่ะ ครอบครัวยากจน กินข้าววัดมาตลอดเผาถ่านขาย มีพี่น้อง6 คน อ้อยใจเป็นคนที่ 5 ก็ช่วยพ่อ-แม่เผาถ่านขายในวัด ตรงป่าช้าเลย เขาเผาศพไฟยังไม่ดับเลย เราก็ไปเผาถ่านอยู่ข้างๆ แต่จริงๆ เป็นคนกลัวผีนะ แต่ก็จำเป็นต้องทำจนกระทั่งอายุ 13 ก็หนีออกจากบ้าน เข้ากรุงเทพฯ มีทองมาสลึงหนึ่ง แม่ซื้อให้ ก็เอาทองมาใส่ แล้วก็ใส่เสื้อคอกระเช้านุ่งผ้าถุงเข้ากรุงเทพฯ ชีวิตไม่ได้สบายเลย เป็นเด็กที่รักในเสียงเพลงด้วย คือบางทีเขาจ้างเลี้ยงลูก เราเมื่อยก็เอาเท้ายันแปลไกวกล่อมลูกเขาไป บางทีตัวเองก็หลับไปด้วย ฝึกร้องเพลงจากการฟังวิทยุ แล้วร้องตาม ฝึกเองไม่เคยเรียนร้องเพลง ไม่เคยมีใครมาสอน ไม่เคยมีครู แล้วเราก็มีไปประกวดเวทีตามจังหวัดต่างๆ ก็ได้รางวัลมาเรื่อย เป็นขนมปังร้อยเชือก แค่นั้นเราก็ภูมิใจแล้วนะ

ฝันที่ช่าง ไกลเหลือเกิน

มุ่งมั่นอยากจะเป็นนักร้องเหมือนกัน แต่ก็คิดว่าคงเป็นไปไม่ได้ เราไม่รู้จักใคร เป็นไปไม่ได้หรอก ได้แต่ชื่นชมได้แต่แอบดูนักร้องคนอื่นๆ ตอนนั้น “อาพนม นพพร”เขาไปเล่นที่ชัยภูมิ เราก็อาบน้ำแต่งตัวไปดูเขา ชอบอาพนมมาก เขาไปกินอาหารโต้รุ่ง เราก็ไปช่วยเขาล้างจานที่โต้รุ่งพออาพนมเผลอ เราก็ไปจับแขนเสื้อเขาแล้วก็มาดม (หัวเราะ) บอกหล่อจังเลย อยากรู้จักแล้วก็หัวเราะ แค่นี้ก็มีความสุขแล้ว

ความภูมิใจที่ไม่เคยลืม

ภาคภูมิใจที่มีคนรู้จัก ไปไหนมีคนทักทาย อย่างไปประตูน้ำ เราเคยหาบของขายที่นั่นมาก่อน คนเก่าคนแก่เขายังจำเราได้ เราก็ส่งภาษาใส่เขา ใครพูดใต้เราก็ใต้ด้วย อีสานเราก็พูดอีสาน เจอเหนือเราก็พูดเหนือ เขาก็บอกว่าเราไม่ถือตัวนะ แล้วทำไมถึงเลิกร้องเพลง เราก็บอกว่ามันเป็นไปตามวัฏจักร (หัวเราะ) จะไปแข่งขันกับเด็กๆ เขาไม่ได้หรอก เราได้แฟนเพลงรุ่นตะกร้าหมาก ตัวคนเดียวเราไม่ห่วงอะไรหรอก คือพ่อ-แม่ก็เสียไปหมดแล้ว พี่น้องก็ไม่มีให้เลี้ยงสักคน เขาเสียหมดแล้ว ก็เลยเหลือตัวคนเดียว

ชีวิตที่เรียบง่ายแต่ไม่เหงา

ครอบครัวไม่มี คือเราเป็นผู้หญิง เราก็ต้องเลือก ต้องชอบอยากมีครอบครัวที่ดี แต่เราเป็นศิลปินนักร้อง ใครจะมาชอบเราจริง คนที่มาเที่ยวเขาเป็นสามีคนอื่นทั้งนั้นเราจะต้องไปด่าไปว่าไปแย่งเขามา มันไม่ใช่นะ อย่ามีดีกว่า ให้ไปร่วมหัวจมท้าย หรือว่าไปมีสัมพันธิ์ลึกซึ้งกว่านั้นไม่ได้ ได้แค่ชอบ คนนี้หล่อจังเลย อยากได้เป็นแฟนอย่างเนี้ยแต่ว่าเขาเป็นแฟนคนอื่น อย่าไปแย่งเลย บาปกรรมไม่เอาแค่ชอบเราก็บาปแล้วนะ ก็เลยอยู่คนเดียว ทำงาน ไม่ไปยุ่งกับใคร เพื่อนฝูงเขาชวนไปไหน เราก็ไม่ไป เราเป็นคนโบราณด้วย ไม่เที่ยวไม่กินไม่ไปไหนกับใคร เข้าแต่วัดอยู่คนเดียวไม่เหงาหรอกค่ะ ได้ไปคุยกับแมวกับหมานี่มีความสุขแล้วนะ

สูตรเด็ดความอร่อยที่พร้อมจะถ่ายทอด

ยำแหนมสดขายอยู่ที่พุทธมณฑลสาย 4 ถ้ามาจากองค์พระ ที่จะทะลุเพชรเกษม สังเกตโลตัสเล็กๆ เราจะขายอยู่ตรงป้ายรถเมล์ ขายทุกวัน ไม่มีวันหยุดหรอก ถ้าหยุดวันไหนสุนัขอดแน่นอน แต่จะขายเย็นหน่อย คือ 1 ทุ่ม ถึง 5 ทุ่ม ซึ่งถ้าออกมาเร็ว ก็ขายดีนะ แต่นี่เรามัวแต่ไปเลี้ยงสุนัขจรจัด มัวไปเลี้ยงแมวมากไป ยอดเลยตก (หัวเราะ) เพราะลูกค้าเขารอไม่ไหว ซึ่งลูกค้ามาจากไกลๆก็มี เขาซื้อไปกินเป็นเดือนเลย มีทั้งยำแหนมสด เมี่ยงมะม่วงงาดำ ยำผัดไทย เมี่ยงวุ้นเส้นงาดำ และก็รับสอนด้วยค่ะ สามารถโทร.มาได้เลยที่ 081-9177101 รับรองว่าไม่มีกั๊กวิชา และสามารถเอาไปขายได้เลย ถ้าขายไม่ได้ คืนเงินให้ เป็นสูตรที่เราคิดเอง ซึ่งคนก็ชอบ คนกินเยอะ คือเราสังเกตดูว่าเราทำไปคนจะชอบกินไหม ถ้าคนกินเราก็จะทำ ของเราไม่มีสาขา ไม่มีแฟรนไชส์

เอกลักษณ์การแต่งตัวที่โดดเด่น

ไปไหนมาไหนแฟนคลับก็จำได้ ด้วยการแต่งตัวที่เป็นเอกลักษณ์ของเรา คือชอบการแต่งตัวมาแต่ไหนแต่ไรแล้วค่ะ เราต้องดูดีถึงจะแก่ก็ต้องให้มันดูดี แต่บางทีก็แต่งแบบหลุดโลกเหมือนกัน (หัวเราะ) ขายยำแหนมออกมา คนก็มาจ้องที่การแต่งตัวเราเลย ใส่เป็นปี ก็ไม่หมดเสื้อผ้าซื้อทุกวัน บางทีชุด 10-20 ปีเราก็เอามาวนใส่ได้อยู่เรื่อยๆ มันก็ยังดูดีอยู่นะ คนก็บอกว่าต้องพี่อ้อยใจเท่านั้นนะเนี่ย ถึงจะกล้าใส่ สีสันจี๊ดจ๊าดเราก็มั่นใจของเรา คือแต่งแก่มันก็แก่ ไปไหนคนก็ชมว่าพี่อ้อยใจไม่แก่เลยมาขอถ่ายรูปด้วย เราก็ภูมิใจ แก่ๆอย่างเรามีคนเข้ามาขอถ่ายรูปด้วย ไม่ธรรมดานะเนี่ย (ยิ้ม)

อย่าไปท้อเลยนะคะ ชีวิตคนเรา กว่าจะเกิดมาได้ เวลาเราเป็นอะไรไปคนที่เสียใจคือพ่อ-แม่นะ คนอื่นเขาไม่ได้มาเสียใจกับเราหรอก ถ้าเป็นคนขยันซะอย่าง ไปอยู่ที่ไหนก็ไม่อด อย่าไปคิดมากเลย มันเป็นวัฏจักร ไม่ใช่เป็นแต่เราคนเดียว เขาเป็นกันเยอะแยะไป ถ้าเรารับตัวเองได้ว่าเราเคยรวย เราเคยมีเงินมีทอง เรามีความสามารถอะไรที่เก่ง หรือมีวิชาชีพอะไรที่เราทำได้ดีที่สุดเราก็ทำอันนั้น ถ้าไม่ดีก็ทำใหม่ ทำให้ดีให้ได้ อย่างยำแหนมอ้อยใจเมื่อก่อนมันก็ไม่ได้อร่อยเท่านี้หรอก แต่ตอนนี้คนซื้อเขามาแล้วเรายังไม่ได้จัดร้านเลย ยังรกซกมกอยู่เลย สั่งคนละ10-20 ห่อ ขอจัดร้านก่อนได้ไหม เขาก็บอกว่าไม่ต้องจัด เอามาเลย ทำอะไรต้องทำมันให้ดี ให้มันอร่อย

สำหรับผลงานตอนนี้ มีละคร “กรงกรรม” ของ “คุณอ๊อฟ-พงษ์พัฒน์” ส่วนงานเพลงก็กำลังจะทำ เป็นเพลงที่แต่งเอง ทำนอง “สาวมาด” แต่งให้ ชื่อเพลง“อมขี้ไก่หาผัว” ถ้าปล่อยลงในยูทูบเมื่อไหร่ก็ฝากให้ติดตามกันด้วยค่ะ

ใครที่กำลังนึกท้อต่อชะตาชีวิต ถ้าจะลองเอาแง่คิดดีๆ จากนักร้องลูกทุ่งหญิงแกร่งคนนี้ไปเป็นแนวทาง ก็ไม่ว่ากัน

กุหลาบสีเงิน

Star Retro : ‘โอ๋-กฤษฎา’ คนละคร..กับตัวตนที่ค้นเจอ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/entertain/316926

Star Retro : 'โอ๋-กฤษฎา' คนละคร..กับตัวตนที่ค้นเจอ

Star Retro : ‘โอ๋-กฤษฎา’ คนละคร..กับตัวตนที่ค้นเจอ

วันอาทิตย์ ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2561, 06.00 น.

คุ้นชื่อมานาน ในฐานะคนเบื้องหลัง แต่วันนี้ “โอ๋-กฤษฎา เตชะนิโลบล” กำลังยืนแถวหน้า ในฐานะผู้กำกับละครโทรทัศน์เลือดใหม่!! กว่า 14 ผลงานที่เขาได้สร้างสรรค์ จนเป็นที่ติดอกติดใจ คนละครผู้น่าสนใจคนนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร “สตาร์เรโทร” มีคำตอบให้ทราบกัน

ผลงานการกำกับล่าสุด

ที่เพิ่งจบไปก็คือ “ระเริงไฟ” ต้องบอกว่าลุ้นละครตัวเองทุกวีคเลยครับ โอ๋ชอบอ่านฟีดแบ๊กจากในทวิตเตอร์ ซึ่งมันรวดเร็วมาก และเป็น case study ให้เราในเรื่องต่อไป คือโอ๋เป็นคนที่ทำงานร่วมสมัย ไม่ใช่คนที่วัยรุ่นจ๋า แต่อยู่ระหว่าง 2 ยุค ช่วงระยะเวลามันเปลี่ยนเร็วมาก ตอนนี้มีช่องทีวีเพิ่มขึ้น นอกจากทีวีดิจิตอลแล้ว ก็ยังมีไลน์ทีวี ทีวีออนไลน์ ไวรอลต่างๆ เราเลยได้รับฟีดแบ๊กแบบสดๆ คนดูฉลาดมากขึ้น ละครก็เลยทำยากมากขึ้น จบละครเรื่องนึงเราก็ต้องถอยมานับศูนย์กันใหม่ เช่นถ้าละครเรื่องนี้ประสบความสำเร็จ เราก็ไม่สามารถใช้สูตรเดิมได้ จังหวะของคนดูละครเปลี่ยนไปเยอะ คนดูใจร้อน อยากดูอะไรที่จริงมากขึ้น เพราะในโทรศัพท์เราเห็นแต่อะไรที่จริงที่แซ่บกว่าละครอีก ถ้าละครยังทำได้ไม่แซ่บคนก็จะหันไปดูเรื่องจริงตามเพจต่างๆ และที่ขาดไม่ได้คือเราต้องแข่งกับตัวเอง หยุดอยู่กับที่ไม่ได้เลยครับ

“ระเริงไฟ” เป็นผลงานกำกับเรื่องที่ 14 รวมระยะเวลาแล้วก็ 12 ปี ในการเป็นผู้กำกับ ได้กำกับละครที่หลากหลายแนว เรียกว่าครบเลยครับ แต่จะถามว่าชอบกำกับแนวไหนมากที่สุด คือโอ๋จะแล้วแต่ปีครับ ทุกคนจะมองว่าเราเป็นผู้กำกับสายดราม่านะ แต่เราแค่เชื่อว่าละครมันคือชีวิตจริง ไม่ว่าจะทำละครในรูปแบบไหน เราก็จะอยู่บนพื้นฐานของคนปกติ จะไม่ค่อยถนัดละครเหนือจริงแฟนตาซี ถนัดอะไรที่เป็นชีวิตประจำวันของคนเรา ซึ่งชีวิตจริงของคน มันก็คือดราม่านี่แหละ ช่วงนี้ทำละครดราม่า ปีที่ผ่านมาคือ “ระเริงไฟ” เราก็จะรู้สึกว่าของฉันหมดจะต้องไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์ก่อน แต่ช่วงเวลาที่กำลังทำเรื่องนี้อยู่ เราก็ใส่ความจริงจังความเครียดของตัวละครลงไป สิ่งที่เก็บเกี่ยวได้ ที่ยังไม่ใส่ลงไปคือเรื่องตลกและบู๊เพราะฉะนั้นในตัวเราจะรู้สึกว่าฉันยังมีของตรงนี้อยู่ ดังนั้นต่อจากเรื่องนี้ก็กำลังดูอยู่ว่า เราจะทำละครตลก หรือว่าละครบู๊ (ยิ้ม) ถ้าวันนี้มีคนติดต่อให้ทำละครดราม่า ก็จะยังนะ เพราะว่ารู้สึกยังไม่อยากทำ

กับหลากหลายแนวละครที่กำกับ

รู้สึกว่าตัวเองโชคดี ตอนที่อยู่โพลีพลัส เราก็ได้ทำละครหลากหลายแนว ถ้าเราเป็นผู้กำกับฟรีแลนซ์มาตั้งแต่ต้น แล้วทุกคนคิดว่าเรามาสายดราม่า ก็จะไม่มีใครมาติดต่อเราให้ทำละครตลกหรือว่าละครบู๊ แต่เมื่อวันนั้นเราอยู่ใต้บ้านโพลีพลัส มันมีงานที่หลากหลายให้เราได้ฝึก และสมัยก่อนก็จะมีโอ๋กับ “พี่ปลา-พีรพล” ก็จะวนเวียนกันอยู่ซึ่งการได้ทำอะไรแบบนี้ ถือเป็นสิ่งที่ชอบนะ ณ วันนั้นเราอาจจะยังเด็กอยู่ เราก็มีผู้ปกครองที่ดี นอกเหนือจากคำแนะนำจาก “พี่นิด” (อรพรรณ วัชรพล) แล้วก็ทำให้เราแข็งแรงขึ้น เราได้ฝึก แต่พอเราออกจากโพลีพลัสแล้ว เหมือนเราโตมาในระดับหนึ่ง เราก็สามารถจะเลือกในสิ่งที่เราอยากทำได้ พอเราอยู่ในอาชีพนั้นนานๆ คนในวงการก็จะกลายเป็นพี่น้องกัน ซึ่งเราก็จะสามารถพูดคุยกันได้จะไม่รู้จักกันแค่งาน อาจจะไม่เห็นงานเราต่อเนื่อง แบบชนกันขนาดตอนที่อยู่กับโพลีพลัส แต่เราก็มีความสุขในการทำงานนะครับ เพราะว่าเราได้มาเจอผู้จัดใหม่ๆ สไตล์บท การทำงานก็จะแตกต่างกัน และช่วงหลังเราก็จะมีเวลาได้ไปเที่ยวไปชิลของเราบ่อยขึ้น (ยิ้ม) การไปเที่ยวมันเป็นการเปิดโลกทัศน์เราไม่ได้อยู่ในสถานะของคนรวยที่จะเที่ยวได้ทุกวัน แต่เราก็ยังโชคดีที่เราอยู่ในฐานะของคนที่พอทำงานแล้วมีเงินเพื่อไปหาความสุข หาประสบการณ์ชีวิตได้

ทุกอย่างถูกขีดไว้แล้ว

สมัยก่อนไม่เชื่อนะ แต่ตอนนี้เชื่อแล้ว ว่ามันมีบางอย่างที่ขีดชีวิตเราอยู่ ข้างบนเขาขีดมาแล้ว คือตอนเอนทรานซ์ โอ๋ขอแค่ให้เอนท์ติด พ่อบอกว่าถ้าเอนท์ไม่ติด จะส่งไปอยู่กับอาที่ออสเตรเลีย เราก็จะรู้สึกว่าฉันไม่ไปแน่นอน และเราก็ไม่รู้ว่าจะเรียนคณะอะไร แต่รู้สึกว่าชอบธรรมศาสตร์ อยากเรียนที่นี่ เพราะว่าบ้านอยู่ฝั่งธนฯ ชอบบรรยากาศตอนที่เดินไปท่าพระจันทร์ 5 อันดับที่เอนท์ โอ๋เลือกธรรมศาสตร์หมดเลย คณะอะไรก็ได้ ใส่ไปมั่วเลย ขอให้เอนท์ติดก็พอ และสุดท้ายก็ได้คณะศิลปกรรมศาสตร์ ซึ่งเป็นคณะเกี่ยวกับภาษา แต่เราเป็นคนขี้เกียจเรียน ไม่ชอบเรื่องการท่องจำ และเขามีคณะศิลปศาสตร์เอกการละครอยู่ ก็เลยไปขออาจารย์ไม่ได้อยากเรียนละครแค่เราหนีเอกภาษา ตอนเรียนก็สนุกและเกเรมาก (ยิ้ม) เราได้เรียนทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการแสดงละคร การแต่งหน้า การตีความ การกำกับ เขียนบทเป็นพื้นฐานของละครเวทีล้วนๆ คืออยู่ๆ มันก็ขีดมาในลักษณะนี้ แต่เราก็ไม่เคยคิดชอบละคร พอออกมาก็ฝันตามเด็กทั่วไป อยากเปิดร้าน แล้วก็มีเพื่อนเขาไปสมัครช่อง 9 และได้ เราก็เลยไปลองบ้าง ก็ได้ทำที่บริษัทแมสมอนิเตอร์ เป็นบริษัทในเครือแกรมมี่ เป็นครีเอทีฟรายการเกมโชว์ วาไรตี้ ก็สนุกนะแต่ยังไม่ได้รู้สึกว่ามันคือชีวิตเรา ทำได้ประมาณ 3-4 ปี จนกระทั่งเพื่อนชวนให้ไปทำที่บรอดคาซท์ฯ ทำรายการสตูดิโอแอ๊กชั่น และเราได้รับหน้าที่ในส่วนของละครเวที ต้องเขียนบทละครเวทีฟอร์ทีวี มันก็ซึมซับมาเรื่อยๆ จนวันนึง “พี่แอม” (กมล ภู่วัฒนวนิชย์)ย้ายมาเปิดบริษัทบ้านละคอน ที่โพลีพลัส ซึ่งตอนที่โอ๋ทำงานอยู่ที่บรอดคาซท์ ก็ไม่เคยทำงานกับพี่แอมเลยนะครับ แต่เกิดถูกชะตากัน ไปกินข้าวไปเที่ยวกัน พี่แอมก็เลยชวนว่ามาทำละครไหม

ค้นหาตัวตนจนพบ

ทำไม่เป็น ไม่เคยทำ แต่ว่าก็มากับเขานะ เพราะเริ่มรู้สึกว่ามันน่าสนุก อยากลองของใหม่ ก็เคยถามพี่แอมนะเพราะว่าเหมือนเรายังค้นหาตัวเองไม่เจอ และเราก็ยังไม่รู้เลยว่าเราชอบอะไรเราทำมิวสิก ทำรายการวัยรุ่นทำเกมโชว์วาไรตี้ คือทำมาหมดเลย ยกเว้นโฆษณาและหนัง เราตอบได้ว่าเราสนุกกับทุกงานที่ทำ แต่พี่แอมเป็นคนที่ทำให้เราต้องฉุกคิด เพราะว่าโอ๋เคยถามพี่แอมว่าเมื่อไหร่จะเลิกทำละคร แล้วไปเปิดร้านกาแฟ พี่แอมก็บอกว่าเขาไปทำไม่ได้หรอก เพราะว่าละครคือชีวิตเขา เราก็เหรอ ขนาดนั้นเลยเหรอ คือวันนั้นเรายังไม่เข้าใจ แต่พอมาวันนึงเรามาทำละคร เราถึงเข้าใจว่าอ๋อ..เราต้องอยู่กับมัน6-7 เดือน อ๋อมันกลายเป็นว่าละครเป็นเพื่อนสนิทเรา ละครเป็นลูกเรา

ตำแหน่งแรกที่บ้านโพลีพลัส

ด้วยความที่เป็นคนชอบเรียนรู้ ตำแหน่งแรกคือเป็นผู้ช่วย 1 ในเรื่อง “กรงเพชร” เรื่องต่อมาเป็นผู้ช่วย 2 “เล่ห์ร้ายอุบายรัก” เรื่องที่ 3 คือ “สะใภ้ทอร์นาโด” เป็นผู้ช่วย 3 คือเราก็ขอพี่แอม เพราะว่าไม่เคยทำละครเลยก็เลยอยากจะเรียนรู้ทุกตำแหน่ง และโอ๋ก็ได้เห็นจาก “พี่หมี” (โชติรัตน์ รักเริ่มวงษ์) ที่เป็นผู้กำกับว่าเขาจะพาเราผ่านไปได้ยังไง พอเราได้มาเป็นผู้กำกับ เราเลยได้ความรู้พื้นฐานในทุกด้านของละคร

ก้าวแรกของการเป็นผู้กำกับ

อันนี้จริงๆ นะโอ๋ถึงเคารพพี่นิดมาถึงทุกวันนี้ คือถ้าไม่มีเขา ก็ไม่มีเราในวันนี้ เขาอาจจะเห็นอะไรในตัวเราบางอย่าง แต่การที่จะขึ้นเป็นผู้กำกับละครหลังข่าว โดยไม่ได้ผ่านละครบ่ายละครเย็นมาเลย มันไม่ง่ายนะ ถ้าไม่มีคนการันตีให้ ดังนั้นโอ๋ถึงถือว่าพี่นิดเป็นคนให้ชีวิตในส่วนนึงเลย เรื่องแรกที่กำกับคือ “สาวน้อยร้อยล้าน” ละครเพลงมาเลยจ้า (หัวเราะ) พระเอกเป่าแคนนางเอกตาบอด (ละครก็โด่งดังแจ้งเกิดผู้กำกับด้วย ?) สาธุครับ ด้วยความที่เป็นละครที่เข้าถึงคนดูได้ง่าย และทำให้เรารู้จักถึงความแมสจริงๆ คือพอเราทำรายการโดยปกติแล้วมันจะเฉพาะหัวเมือง แต่สำหรับการทำละคร ยิ่งละครแบบพระเอกนางเอกหนีจากบ้านนอกมาตรากตรำชีวิต มันเหมือนเป็นฝันของคนต่างจังหวัด มันมีความคลาสสิก

รู้สึกว่าละครคือชีวิตเมื่อไหร่

เมื่อวันนึงที่เรารู้สึกว่าเราเหนื่อยกับละครจังเลย อยากจะไปทำอาชีพอื่น แต่แล้วเราก็ฝันถึงไฟถ่ายละคร (หัวเราะ) มันแอบแทรกซึมเข้ามาในใจเราโดยไม่รู้ตัว ทั้งที่จริงๆ เรารู้สึกว่างานละครเป็นงานที่หนักมาก เมื่อเทียบกับงานบันเทิงอื่นๆ แต่แปลกที่มันมีเสน่ห์ตรงที่ว่าพอคนเข้ามาแล้ว มันออกไปไม่ได้ วันนั้นโอ๋ถึงเข้าใจที่พี่แอมบอกว่าละครคือชีวิตของเขา

บุคคลต้นแบบในการกำกับละคร

พี่หมี โอ๋มีครูคนเดียวในด้านกำกับการแสดงนะ ทั้ง 3 เรื่องที่เป็นผู้ช่วย ก็ทำกับพี่หมี ระบบความคิดคือของพี่หมี จะเป็นคนมีเหตุมีผล ลักษณะการทำงานของเราก็เลยจะเป็นแบบพี่หมี (แล้วสไตล์ “โอ๋-กฤษฎา” เป็นแบบไหน?) นอกเหนือจากระบบทำงาน นอกนั้นจะต่างกันเช่นโอ๋จะมีภาพของตัวละครอยู่ในหัวชัดเจน แล้วเราก็จะมาบอกให้นักแสดงเป็นแบบนั้น แต่ผู้กำกับบางคนเขาจะผสมกันระหว่างตัวละครกับตัวจริงของนักแสดงแต่อย่างที่บอกเราเรียนละครเวทีมา ดังนั้นเราเลยจะมองทุกอย่างเป็นตัวละคร เราอยากจะได้ยังไง เราบอกเลย แล้วยูลองซ้อมลองเล่นให้เราดูสิ ถ้าเล่นแล้วไปไม่ถึง หรือมันดูขัดกับแอ๊กติ้งของเขา เราก็ค่อยปรับกัน โอ๋ไม่ดุนะเวลาทำงาน แต่เป็นคนที่จริงจัง แล้วจะบอกกับทุกคนว่าอย่างเดียวที่ทำให้เราโกรธ คือเจอปัญหาอะไรที่ไม่สามารถแก้ไขได้ โดยที่เราได้บอกไปเรียบร้อยแล้ว ปัญหาทุกอย่างเกิดขึ้นได้ แต่อย่ามาบอกเอาวินาทีที่กำลังจะถ่ายทำแล้ว คือเราประชุมงานกันล่วงหน้ามาแล้ว ถ้าเกิดปัญหาอะไรบอกกันก่อน ตอนเช้าเราจะได้รีบเปลี่ยนฝันของเรา ไม่ใช่ว่ามาบอกเอาตอนที่เราเดินมาหน้าเซต กำลังจะทำฉากนั้นอันนั้นจะโกรธ เราบอกเลยว่าเราไม่ได้เป็นผู้กำกับที่เก่งไม่ได้เกิดมาเพื่อจะเป็นผู้กำกับ เราอาศัยครูพักลักจำ เพราะฉะนั้นเราจะทำการบ้านเยอะ ภาพในหัวเรามันเลยจะชัดเจนมาก ถ้าพอมีอะไรมาเปลี่ยนแปลงฝันเราปุ๊บ มันก็เลยจะทำให้เส้นอารมณ์มันกระตุกเร็ว แต่โกรธง่ายหายไวครับ คนทำละคร 6-7 เดือนที่เรามาอยู่ด้วยกัน เราต้องเป็นพี่น้องกัน เราอยู่ในบ้านเดียวกัน พี่น้องโกรธกันไม่นานหรอก พอหันไปทางอื่นแล้วก็หาย

นักแสดงยอดฝีมือที่ได้ร่วมงาน

โชคดีมาก ตอนที่เราเพิ่งเป็นผู้กำกับใหม่ๆ ได้อยู่ค่ายใหญ่ เลยได้เจอในระดับท็อปๆ ฝ่ายชายที่เรารู้สึกว่าฝีมือขั้นเทพมากก็คือ “ชาคริต แย้มนาม” เขาเป็นคนอัจฉริยะในการแสดง คือเรารู้สึกว่ามันมีรอยรั่วอยู่ แต่เขาแอ๊กติ้งให้คนไม่มองตรงนั้นได้ เขาใช้ความเข้าใจในการแสดงจริงๆ สำหรับฝ่ายหญิงมี 2 คน ที่ให้ 2 คนเพราะว่าเขามีวิธีการแสดงที่ต่างกัน “อั้ม-พัชราภา” กับ “แอน ทองประสม” คืออั้มใน “พระจันทร์ลายพยัคฆ์” ซึ่งเขาติดคุก แล้วมีขาใหญ่มาก่อกวนเขา จนสุดท้ายทนไม่ไหว คว้าแท่งเหล็กกำลังจะแทงเขา แต่เหล็กในการแสดงเราไม่ใช้เหล็กจริง เราก็หล่อด้วยยาง พอถึงเวลาจับ อั้มเขาจับด้วยฟิลแรงไปหน่อย เหล็กงอ แต่อารมณ์เขาได้ กล้องตัวนึงจับที่หน้าอั้มอีกตัวจับที่มืออั้ม เราก็เห็นว่ามือเขากำลังดัดเหล็กที่งออยู่ ในขณะที่น้ำตาก็ไหล เขามีสัญชาติญาณว่ามันมาแล้ว ถ้าจะเทคมันก็เสียดาย แต่ถ้าไม่ดัดเหล็กกล้องต้องเห็นแน่ๆ ว่ามันงอ คือสมองส่วนนึงเขากำลังคุมเซตการทำงานของเขาอยู่ แต่อีกสมองส่วนนึงเขาสามารถหลุดไปเป็นตัวละครตัวนั้นได้ คือเก่งนะ ส่วนแอนเขาเป็นคนที่เล่นละครเหมือนเจอสถานการณ์สดตลอดเวลา เขาท่องบท เขาทำการบ้านมา และเขามาจำว่าเราให้เล่นยังไง จำๆ แล้วก็ลืมทั้งหมด เพื่อที่เล่นอีกครั้งมันก็จะสด ไม่ได้หมายความว่าเขาลืมบทนะ แต่เขาลืมความรู้สึกล่วงหน้า เหมือนสะกดจิตตัวเองว่าเมื่อสักครู่ที่รับรู้ทิ้งมันไปซะ

ละครในฝันที่อยากจะกำกับ

เป็นเรื่องที่เขาทำไปแล้วทั้งนั้น คืออยากทำ “ล่า” กับ “สุดแต่ใจจะไขว่คว้า” รู้สึกว่า “ล่า” เป็นจินตนาการของคนละคร มันมีความเป็นละครเวทีผสมอยู่ด้วย มันยากมากที่จะเป็นเรื่องจริง อยู่ๆ มีตัวมโนออกมาในกระจก และมีความตุ๊ดๆ ความตระการตา ความโหดอยู่ในนั้นครบเลยส่วน “สุดแต่ใจจะไขว่คว้า” โอ๋ชอบความดีของตัวละคร ซึ่งละครสมัยนี้หายากนะ ที่จะพูดถึงการทำความดีเบื้องลึกของจิตใจ ไม่ว่าจะโดนสถานการณ์ไหน สุดท้ายคิดดีทำดี จะได้ดีหรือเปล่าไม่รู้ แต่ใจมันเป็นสุข

ตามหาจนเจอ

ถ้าตอนนี้มีคนมาถามว่า อยากจะทำอะไร ก็จะบอกไปว่า ไม่อยากทำอะไรแล้ว เพราะว่าเราทำเป็นแต่ละคร เราทำตรงนี้จนมีความรู้สึกว่าเรากลายเป็นคนในพื้นที่แล้ว ทำแล้วมีความสุขเจอแล้ว เจอในสิ่งที่คนข้างบนเขาขีดมาให้เราแล้ว ถามว่าทำได้ไหมกับธุรกิจอย่างอื่นก็ทำได้ แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่รัก เพราะเราเจอสิ่งที่เรารักแล้ว คือการทำละครเพียงแต่ว่าจะอยู่ในเซกชั่นไหนของละครแค่นั้นเอง

กำลังใจจากครอบครัว

บ้านโอ๋ไม่มีใครทำเกี่ยวกับวงการบันเทิงเลย เขาก็ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นในการที่เรามาทำในแวดวงทีวีนะ คือเราไม่ใช่ดารา แต่ว่าเราเริ่มต้นจากการที่เราเรียนละครมาก็เลยไม่ได้ตื่นเต้น แต่ตอนที่เป็นผู้กำกับ แล้วเราบอกเขาด้วยความเป็นพ่อเป็นแม่ เขาก็ตื่นเต้นดีใจ มันเป็นอีกก้าวนึงของลูก มันก็จะมีมุมความน่ารักของพ่อแม่ แต่ก็ไม่ได้แสดงออกมามากมาย อย่างตอนที่ละครออกอากาศ เขาก็ชอบออกไปตลาดตอนเช้าๆ แล้วเป็นพีอาร์ให้ซื้อปาท่องโก๋ก็เม้าท์เรื่องละครสักสิบนาที (หัวเราะ)แล้วก็ไปร้านอื่น กว่าจะกลับเข้ามาในบ้านได้

งานที่รักกับผู้จัดคู่ใจ

มันต้องหาคนรู้ใจ และรู้สึกว่าตัวเองโชคดีมากนะที่มาเจอ “พี่หน่อย”(บุษกร วงศ์พัวพันธ์) จริงๆ “ระเริงไฟ”ตอนแรกผู้กำกับไม่ใช่เราเลยนะ และก็เคยปฏิเสธไป เพราะว่าติดงานนึงอยู่ ก็คิดว่าเราคงไม่ได้ร่วมงานกับเขาแล้ว แต่พอดีจังหวะเขาเปลี่ยนนู่นนี่ งานเราก็เสร็จพอดีก็เลยโครจรกลับมาเจอกันอีกครั้ง รู้สึกว่าทำงานกับเขาแล้วมีความสุข

กำลังใจจากแฟนๆ ในโซเชียล

ไม่เคยเจอตัวเขาหรอกนะ แต่ในไอจีหรือตามเพจต่างๆ เขาก็จะเข้ามาชื่นชม เราก็ไม่ได้มีแฟนคลับแบบเป็นตัวเป็นตนหรอกครับ เขาไม่ได้ชอบตัวเรา แต่เขาชอบงานเราเราก็ชื่นใจนะนานๆจะเข้าไปในพันทิพ แล้วเขาพูดถึงเรา เขาจำได้ด้วยว่าเรากำกับเรื่องนี้มา ก็ทำให้เราชื่นใจ ยังไงก็ฝากติดตามผลงานเรื่องต่อๆ ไปนะครับ แล้วก็ขอบคุณจริงๆ ที่รับรู้ถึงความตั้งใจในการทำงานของโอ๋ เร็วๆ นี้ก็จะมีละครเรื่องใหม่ มาเซอร์ไพรส์ ให้ได้ชมกันประมาณปลายปีนี้ครับ

และที่ขาดไม่ได้ โอ๋ต้องขอขอบคุณพี่แอม ขอบคุณพี่นิด แล้วก็ขอบคุณพี่หน่อย ที่เรารู้สึกว่าเราอยู่กับทั้ง 3 คนแล้ว เราสุขใจ เป็นผู้มีพระคุณกับเราทางด้านชีวิตและจิตใจ ถ้าไม่มีพี่แอม โอ๋ก็ไม่หลุดเข้ามาในวงการละคร ถ้าไม่มีพี่นิดก็ไม่มีผู้กำกับชื่อโอ๋-กฤษฎา แล้วกับพี่หน่อยก็เหมือนว่าเราตามหากันมานาน เป็นรุ่นพี่รุ่นน้องร่วมสถาบันเดียวกัน และเราก็แอบเป็นแฟนคลับเขา (ยิ้ม) พอได้มาทำงานด้วยกัน ก็ต้องขอบคุณเขาที่ทำให้เวลาเราทำงานแล้วเราสุขใจ เขาเหมือนเป็นพี่สาว ที่คอยเป็นกำลังใจอยู่ข้างๆ ครับ

ฟังดูแล้ว ผลงานเรื่องใหม่ของ โอ๋-กฤษฎา หนีไม่พ้นพี่สาวผู้จัดฯ คนนี้แน่นอนค่ะ

Star Retro : ‘จิ๋ม-ศิริวรรณ’ พลิกวิกฤติเป็นโอกาส ฮึดสู้อีกครั้ง หลังเคยล้มละลาย!!

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/entertain/315514

Star Retro : ‘จิ๋ม-ศิริวรรณ’ พลิกวิกฤติเป็นโอกาส  ฮึดสู้อีกครั้ง หลังเคยล้มละลาย!!

Star Retro : ‘จิ๋ม-ศิริวรรณ’ พลิกวิกฤติเป็นโอกาส ฮึดสู้อีกครั้ง หลังเคยล้มละลาย!!

วันอาทิตย์ ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2561, 06.00 น.

อดีตดารานักแสดง “จิ๋ม-ศิริวรรณ เฮง” หรือ “กนกลักษณ์ วุ่นทางบุญ” ผู้ที่เคยฝากฝีมือและสร้างสีสันให้กับละครหลายต่อหลายเรื่อง แต่แล้ววันหนึ่งเธอตัดสินใจหันหลังให้กับวงการ เพราะเหตุผลใด ? พบกับเรื่องราวชีวิตที่สุดแสนจะหนักหน่วง ซึ่งเธอพร้อมเปิดใจกับ “ทีมข่าวบันเทิงแนวหน้า”

ชีวิต ณ วันนี้

ตอนที่เป็นนักแสดงก็ทำงานเพื่อเงิน แต่พอวันหนึ่งทำธุรกิจแล้วล้มเหลว คือสามีทำรถเทรลเลอร์ แล้วล้มละลายไป 11 ล้าน หลายคนก็ตกใจ เราตอนนั้นก็คิดอะไรไม่ออก คิดอย่างเดียวว่าเราต้องอยู่ได้ ตอนนั้นลูกชายคนโตก็เพิ่งสอบเข้านายร้อยตำรวจได้ ลูกสาวคนเล็กก็เพิ่ง 3-4 ขวบฉะนั้นเรารู้แต่ว่าพรุ่งนี้สำคัญที่สุด ไม่ใช่ไปนั่งนึกถึง 11 ล้าน เพราะมันแก้ไม่ได้ และมันทำให้เราได้รู้เห็นอะไรหลายอย่าง ทำให้เราได้อยู่กับครอบครัวมากขึ้น พลังครอบครัวทำให้เราไปข้างหน้าได้ดี ก็เลยกลับมาตั้งต้นใหม่ ชีวิตวันนี้ของจิ๋มทำอะไรบ้าง คือส่วนใหญ่จะหมดไปกับลูกและครอบครัวค่ะลูกมาก่อน แล้วก็ต่อด้วยธุรกิจ ทุกครั้งที่เราจะมีกิจกรรมที่บอกให้ลูกต้องทำ เขาจะกุลีกุจอทำให้เราเพราะเราให้กับเขานั่นเอง สำหรับธุรกิจที่จิ๋มทำอยู่นี้เรียกว่าเป็นธุรกิจออนไลน์ ซึ่งยูนิลีเวอร์เป็นผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภค แต่เขาไปค้าขายกับบริษัทใหญ่ๆ แล้วเขาได้ออกโปรเจกท์ใหม่ชื่อว่า OMNI Connect เป็นโปรเจกท์ออนไลน์ มีเว็บให้คุณอยากทำคุณก็มาเรียนกับเรา ไปขายสินค้าทางเว็บ โดยเป็นสินค้าเกรดเอ ซึ่งเขาเพิ่งเปิดออนไลน์ได้ประมาณ 2 ปี แต่ก่อนหน้านี้เปิดเป็นเน็ตเวิร์ค ซึ่งจิ๋มทำกับที่นี่มาเป็น 10 ปีแล้วค่ะ

สาเหตุที่มาจับธุรกิจนี้

คือสามีทำรถเทรลเลอร์ แล้วช่วงปี 40 ทุกอย่างมันตก จากตอนนั้นที่ล้มละลาย ก็ไม่รู้ว่าเราจะไปตั้งต้นอะไร เคยไปเป็นช่างแต่งหน้าในอาบอบนวดด้วยนะ ลูกต้องย้ายจากโรงเรียนพระหฤทัย มาอยู่โรงเรียนชั้นสอง ลูกชายต้องตัดรายจ่ายส่วนหนึ่ง รถเทรลเลอร์ถูกยึดหมดเลย มีแค่รถหกล้อที่แอบวิ่ง สวนตัวเรา รถที่ขับอยู่ก็ขับขึ้นทางด่วนไม่ได้ เพราะจะถูกยึด (หัวเราะ) แล้วเราก็ต้องหนีตำรวจ ทำอะไรไม่ได้ ก็เลยไปแต่งหน้าที่อาบอบนวดตั้งแต่ 11 โมงเลิกประมาณ 4 ทุ่ม แต่งได้เยอะคน ก็จะได้เงินมากขึ้น แล้วเราก็เอากับข้าวเอาแกงไปขาย เดือนนึงจะได้เงินจากแต่งหน้าประมาณแสนกว่าบาท เรียกว่าช่วงนั้นทำงานเพื่อเงินอย่างเดียว ส่วนงานแสดงก็ไปขอ “พี่ต้อย- เศรษฐา” อธิบายให้เขาฟังว่าชีวิตเราเป็นแบบนี้ ถ้าจะเรียกใช้เราก็เรียกตั้งแต่ตีห้าหกโมงนะ 11 โมงจิ๋มขอกลับมารับจ๊อบ ซึ่งพี่ต้อยก็น่ารักมากๆ 11 ล้านนอกจากธุรกิจที่มันแย่แล้ว หน้าเรายังเหี่ยวไปด้วย (หัวเราะ) แต่เราอยากให้ลูกมีความสุข เราจะล้มยังไงก็ตาม เราต้องมีรอยยิ้มให้ลูก เราต้องมีกินมีใช้ เรียกว่าทำทุกอย่าง ร้านก๋วยเตี๋ยวก็ทำ สามีเฝ้าร้านก๋วยเตี๋ยว ตัวเองก็ไปแต่งหน้าที่อาบอบนวด แล้วก็ไปกองถ่าย ชีวิตจะวนอยู่อย่างนั้นประมาณ 2-3 ปี

มองวิกฤติว่าเป็นโอกาส

ตอนที่ล้มละลาย เชื่อไหมคะว่ามันเป็นวิกฤติที่มีโอกาส เราได้ทานข้าวพร้อมกันพ่อแม่ลูก ตอนที่สามียังทำธุรกิจอยู่ เราแทบจะไม่ได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน กลับกลายเป็นว่าช่วงนั้นเราเจอหน้ากันทุกวัน มีความสุข ตอนที่เป็นนักแสดงแรกๆ เราได้ฟังคนพูดว่าเอาเงินไปเข้าแบงก์ แล้วมันจะมีดอก เงินก้อนจะอยู่ในแบงก์ไปเลย แต่จะมีดอกมา ดังนั้นเขาจะเรียกเงินก้อนนี้ว่าทรัพย์สิน แต่ถ้าเอาเงินมาใช้ มันก็จะเป็นเงินเฉยๆ มันไม่ใช่ทรัพย์สิน เราก็ย้อนกลับไป เพราะว่าตอนที่เราเป็นนักแสดง เราก็ตั้งใจว่าเราจะเก็บเงิน แต่ช่วงที่เราเก็บจริงๆ ดอกเหลือแค่บาทเดียวมันไม่ใช่ 5 บาทแล้ว ทุกอย่างก็เลยตันก็คิดว่าจะสร้างทรัพย์สินยังไง โชคดีที่ทางยูนิลีเวอร์เขาเปิดโปรเจกท์นี้ แล้วเด็กที่อาบอบนวดเขามาเล่าให้ฟัง เราก็เลยเข้ามาคุยเข้ามาศึกษาใช้เวลาเรียน 7 วันก็ขึ้นตำแหน่งแรก รับรายได้7,000 บาท ทำ 3 เดือนได้ไปเที่ยวฮ่องกงฟรี (ยิ้ม) แล้วไปเจอทีมงานของเจเอสแอล เขาก็งง ว่าเราล้มละลายแล้วมาต่างประเทศได้ยังไง ก็คือยูนิลีเวอร์เขาการันตีเราหลังจากนั้นก็เลยได้ไปออกรายการเจาะใจ และหลายรายการว่าเราล้มละลายแล้วทำไมยังยืนหยัดอยู่ ซึ่งเราก็บอกหลายๆ รายการว่า แม่สอนว่าไม่มีอะไรให้แก นอกจากความดี จะทำอะไรต่างๆ ให้คิดว่าอันนั้นเป็นสิ่งดีความดีแล้วก็ลงมือทำ สมบัติก็ไม่มีให้

จากดารา สู่การเป็นช่างแต่งหน้า

สามีไม่ยอม ครั้งแรกตอนที่ไปแต่ง ตอนนั้น“พี่อ้วน รีเทิร์น” ทำร้านเสริมสวยอยู่ในนั้น แล้วพี่อ้วนก็ชวนไป จากที่เราแต่งหน้าไม่เป็น เขาก็ให้กะเทยแต่งให้นี่คือน้ำใจพี่อ้วนนะ คือเราบอกสามีว่าเราจะไป เขาก็ไม่ยอม เป็นดาราอย่างนั้นอย่างนี้ เราก็หายไปประมาณเดือนนึง แล้วช่วงนั้นเราก็ค้นพบว่ามันมีเอกสารมาว่าเราล้มละลาย แต่สามีไม่ให้ไป แต่อยู่ๆ รถเทรลเลอร์เราก็ถูกยึดกลางทาง ดังนั้นมันก็ไม่ได้แล้วนะ ชีวิตยังต้องเดินต่อไปแล้วร้านก๋วยเตี๋ยวมันขายได้ช่วงเดียว คือเช้าถึงบ่าย 2-3 เลยตัดสินใจไปหาพี่อ้วน และเพื่อนกะเทยอีกคนชื่อ“ป้ากี” ก็ช่วยสอน เครื่องสำอางก็ไปซื้อที่ประตูน้ำ ชิ้นละ 20 บาท หัดแต่งและฝึกที่บ้านโดยใช้สามี ลูก และคนงานเป็นหุ่น (หัวเราะ) ไปวันแรกพี่อ้วนก็ไปเรียกเด็กๆ มา ว่าแม่จิ๋มเป็นดารานะ แต่งหน้าดี แต่งไป 9 คน ได้มา 900 บาทดีใจมาก กลับมาบอกสามี ซึ่งเขาก็ไม่ได้พอใจนะ มาหัดแต่งหน้า เขาก็หน้าบึ้ง วันที่ 2 เหลือหน้าเดียว พี่อ้วนเลยให้ไปดูคนอื่นว่าเขาแต่งกันยังไง เราก็เรียนรู้จากเขา วันที่ 3 เพิ่มมา 5 คน หลังจากนั้นขึ้นหมดเลยสูงสุด 30 คนยืนจนขาบวม ไม่สนใจเลยว่าฉันเป็นดาราแล้วจะมาทำอย่างนี้ คือคนก็จำได้แหละว่านี่ดารา เราก็บอกเออเราล้มละลาย เป็นการล้มละลายที่เราไม่ได้สนใจ เราสนใจแค่ว่าลูกจะอยู่ยังไง แล้วเจ้าหนี้ก็ตามได้เลย เราไม่หนีแล้ว ก็จะบอกว่าเราไม่มีตังค์ให้ รถที่เราขับอยู่ก็จะถูกยึด เลยบอกเซลล์เขาว่าอย่าเพิ่งยึดนะ เพราะว่าจะต้องขับไปทำมาหากิน แต่พี่จะค่อยๆ ผ่อนให้ ถ้ามีก็จะให้ ทุกวันนี้หนี้สินก็หมดแล้ว เคลียร์หมดแล้ว สามีจัดการ ณ ตอนนั้นที่เราล้มก็จะมีคนในครอบครัวนี่แหละค่ะ มีพ่อ แม่ สามีที่เป็นที่ยึด ยังมีความสุขกัน อยู่กับครอบครัววันนี้เราก็แฮปปี้ดี ลูกชายคนโตอายุ 35 เป็นรองผู้กำกับ ส่วนลูกสาวอายุ 20 เรียนอยู่ที่ธรรมศาสตร์ปี 2

ย้อนวันวานการมาเป็นนักแสดง

หลังจากที่เลิกกับสามีคนแรกแล้ว เราก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไรดี ลูกอยู่กับแม่สามี เราก็อยากเอาลูกมาอยู่ด้วย แต่ว่าเราจะต้องมีหลักมีฐานมีการมีงาน เราต้องสร้างเนื้อสร้างตัว เราไม่ใช่เอาลูกมาลำบาก ก็เลยคิดว่าจะทำอะไรดี ก่อนหน้านี้ เราก็เรียนรามฯ แล้วก็เลี้ยงลูกขายของเล็กๆ น้อยๆ เพราะว่าแต่งงานแล้วสามีก็ไม่ยอมให้ทำงาน แล้วพอมีปัญหาคือเราอยากเลิกกับเขาเอง เขาไม่ได้อยากจะเลิกกับเราหรอก แม่สามีก็ดีกับเรามาก แต่เรารู้สึกว่าไม่เอา ก็ไปซื้อของผ่อน เอาผ้ามาขายผ่อน คือทำทุกอย่างที่รู้ว่าเราจะได้เงิน เพื่อที่จะเอาลูกมาอยู่ด้วย แล้วก็ไปอ่านหนังสือพิมพ์เจอว่า “ครูเล็ก-ภัทราวดี” เปิดโรงเรียนสอนการแสดงแล้วให้เรียนฟรี เราก็เขียนจดหมายไป และได้รับการคัดเลือก ก็ไปแคสอีกทีกับครูเล็ก ซึ่งภูมิใจมากเลยเพราะครูเล็กบอกว่าทำไมเมื่อวานไม่เอาเราไปเล่น ทีมงานก็บอกว่าเราเพิ่งมาแคสวันนี้ หลังจากนั้นก็ผ่านและได้เรียนกับครูเล็ก

จินตนาการนำพา

คงเป็นเพราะว่าเราเป็นคนมีจินตนาการ ชีวิตเราคอยคิดตลอดว่าเราจะไปยังไง ครูเล็กจะบอกว่าระหว่างทางกลับบ้านให้ดูนะว่าพรุ่งนี้เราจะแสดงอะไร ต่างคนก็คุยกันไป ก็ไม่ได้ดู พอถึงวันเราก็ลืม รุ่งเช้าก็เลยมองหาว่าเราจะแสดงอะไรก็มีป้าคนนึงกำลังจะขึ้นรถเมล์ เราก็เล่นแบบป้าคนนี้แหละ ฉะนั้นเราก็เลยเป็นคนที่เล่นบทคนแก่ได้ดี เพราะเราเริ่มต้นจากบทนี้ แล้วครูเล็กก็ไม่บอกว่าอีกหน่อยพวกนี้มันจะเป็นฐานของเรา คนอื่นเขาก็ไปเล่นเป็นสาว แต่ของเราจะใช้พลังเยอะมากพอไปแสดงอะไรก็มีแต่คนบอกว่าลดลงหน่อย (หัวเราะ) โอเว่อร์ไป แม้แต่คุยปกติก็ยังโอเวอร์ เพราะว่าเป็นคนคุยสนุกเฮฮา

การเป็นนักแสดงที่ได้มากกว่าแสดง

ถ้าถามว่าชอบการแสดงไหม จิ๋มชอบเบื้องหลังที่เราได้อยู่กับเพื่อนมากกว่าค่ะ สรุปแล้วเราเป็นคนที่ชอบคุยชอบสนุก ไม่ได้รู้สึกว่าการแสดงมันจะโอ้โห! คือเวลาเราอยู่บ้าน เราก็เป็นลูก พอมาตรงนี้คุณก็เป็นนักข่าวมันก็เป็นบทบาท ทุกคนในชีวิตมีบทบาทหมดเลย ฉะนั้นก็แค่เปลี่ยนบทบาท พอบอกว่าวันนี้เล่นเป็นแมวนะ เราก็แค่ไปดูว่าแมวเป็นยังไง แล้วเราก็ก๊อปปี้แมวลงไป แต่ข้างหลังที่เราได้เจอผู้คนเรามีความสุข ได้อยู่ได้เจอกับคนนั้นคนนี้ การที่เราได้เปลี่ยนบทบาทไปเรื่อยๆ เราก็มีความสุข

จริงจังและทุ่มเทกับทุกบทบาท

เราเข้ามาเป็นนักแสดงตอนนั้นอายุประมาณ 26 แล้วนะ เริ่มจากการเป็นตัวประกอบได้ค่าตัววันละ 130 โมเดลลิ่งหัก 20 บาท เราก็แสดงเรื่อยให้ไปไหนก็ไป เริ่มจากครูเล็กส่งไปเดินในเรื่อง “ดีแตก” นั่นคือจุดเริ่มต้นของจิ๋มค่ะ ไม่ได้มีบทบาทอะไร แต่พอเขาเห็นว่าเราพูดบทได้ เขาก็เรียกเราเรื่อยๆ ตอนนั้นเราอยู่ในโมเดลลิ่งของครูเล็ก เพื่อนเราก็จะคอยส่งเราไปนู่นไปนี่ เริ่มจากไนท์สปอต ครูเล็กก็เริ่มทำละคร เราเลยได้แสดงมากขึ้น แล้วไนท์สปอตก็ให้เราไปแสดงด้วย หลังจากนั้นเพื่อนก็ได้ส่งเราไปที่สยามสตูดิโอแคสโฆษณายาสีฟันใกล้ชิด “เหมียว-ชไมพร” เป็นตัวเอกที่จับเข็มนาฬิกาแล้วห้อยมาเราเป็นคนที่เห็นเขาแล้วตกใจล้มตึง ซึ่งบทนี้เราก็ไม่รู้ความสำคัญ คนที่แคสเขาก็ไม่ล้มกัน แต่เราเป็นคนที่เต็มที่ก็ล้มตึงเลย เขาก็ถูกใจ เอาเราเล่นทันที ล้มไม่รู้กี่พันเทค กลับถึงบ้านคอแข็งเลย และตั้งแต่นั้นสยามสตูก็จองจิ๋มเป็นนักแสดงตัวประกอบ หรือตัวเอก ก็แล้วแต่ มาเถอะมีทุกวัน ระหว่างนั้นครูเล็กก็ทำละครเวทีเรื่อง “เก็บดวงใหม่ในสายฟ้า” ซึ่งเราก็ทำเสื้อผ้าให้ครูเล็ก เป็นแบล็คสเตจอยู่ข้างหลัง และร่วมแสดงด้วย รับเหมาหมดเลย ช่วงแรกของชีวิตเราจะต้องรับได้ทุกอย่างแล้วหลังจากนั้นเราค่อยมากรองว่าเส้นทางไหนที่เราจะไป รีดผ้ากองถ่ายก็ทำ เพื่อเงินค่ะ เลยทำให้เราทำได้ จนพอเรามีชื่อเสียง เราก็ออกรถ ทำร้าน ทำให้ทางครอบครัวอดีตสามีเขาไว้ใจเรา และยอมให้เราพาลูกมาเที่ยว

สู่ละครเวทีและละครทีวีอย่างเต็มบทบาท

สยามสตูทำให้เรามีโฆษณาเยอะ คนรู้จัก แล้วเราก็ไปเล่นละครเวทีเป็นลูกศิษย์ของ “พี่หนุ่ย” ซึ่งเขาทำอีเวนท์และทำละครเวทีให้ “อาจารย์เสรี วงษ์มณฑา”เราก็ได้เล่นละครเวทีปิดวิกที่มณเฑียร เรียกว่าปีหนึ่งมีทุกเรื่องทำให้เราได้เกิดในละครเวที เราอยู่กับครูเล็ก ทำให้เกิดไปหลายด้านมากๆ และเราก็มีงานละครสั้นและได้เจอผู้กำกับของกันตนา คือ “พี่แดงซ่า” ซึ่งตอนนี้เสียไปแล้ว เขาก็ชวนให้ไปเล่นของกันตนา แต่ไม่รู้ว่าเขาจะเรียกเมื่อไหร่นะ ก็ไปเล่นละครเวทีต่อเรื่อง “นังเหมียวย้อมสี” แล้วทางทีมกันตนา “คุณตุ๊กตา” เขาก็มาดูพอดี อีกสองวันพี่แดงก็โทร.มาว่ากันตนาเรียกมาเล่นละครนะ มาได้ไหมที่สุพรรณ ไปถึงก็เจอ “ก้อย-ศิรินุช, ดุ๊ก-ภาณุเดช” ซึ่งเล่นนังเหมียวย้อมสี (ยิ้ม) แล้วพี่แดงคัดออกมาไปเล่นละครเรื่อง “สุสานคนเป็น” เราได้เล่นเป็นน้าของ “เหมียว-ชไมพร” ตัวสำคัญของเรื่องด้วย เรียกว่าเข้าไปถึงคือได้รับบทดีเลย เป็นเพราะว่าเราแสดงละครเวทีที่มันโอเวอร์แอ๊กติ้ง ไปถึงเขาก็ต้องกดลง หลังจากนั้นละครของกันตนาก็จะมีเข้ามาจนเขาล้อกันว่าเป็นเด็ก “คุณแดง-สุรางค์” (หัวเราะ) เพราะว่าเรารับเงินจากคุณแดง แล้วเรื่องไหนที่พี่แดงกำกับก็จะมีเรา ความภาคภูมิใจของตัวเองก็คือผู้ใหญ่ให้โอกาสเยอะมาก แม้กระทั่ง “อาหลวย” (ฉลวย ศรีรัตนา) หรือ “พี่โอ๋-ฐาปกรณ์”

ค่อยๆ เฟสตัวออกจากวงการ

จิ๋มเล่นละครอยู่ร่วม 10 ปีค่ะ พอแต่งงานกับสามีคนปัจจุบัน ก็มีคนไปตีข่าวว่าเราเลิกเล่นละครแล้ว เพราะมีสามีรวย มันมาประจวบเหมาะกับที่ว่าเราท้องแล้วแท้งถึง 2 ท้อง พอท้องที่ 3 เลือดก็ออกอีก ก็เลยต้องงดรับงานหมดเลย พอกลับมาผู้จัดเขาก็ไปเอาคนชื่อจิ๋มเหมือนกัน แต่ไม่ใช่ “จิ๋ม-ศิริวรรณ เฮง” มันก็ทำให้เราชื่อเสียงเสียว่าเรารับงานแล้วไม่มา เลยต้องเอาจิ๋มอื่นเสียบ ทั้งที่เราไม่รู้เรื่องเลย ก็เลยรู้สึกว่าวงการแสดงมันไม่ใช่ไม่ดี แต่คนที่อยู่ เรายังมีมือยังมีสมองทำไมเราจะต้องมายึดกับการแสดง เพราะว่ามันก็จะมีคนรุ่นใหม่เข้ามาไม่วันหนึ่งวันใดเราก็ต้องถอยหลัง ฉะนั้นเราก็ต้องไปเริ่มที่อื่นจะเสียเวลาทำไม ก็เริ่มตั้งแต่วันนี้ ก็เริ่มทำที่ยูนิลีเวอร์เลย งานแสดงมีประปรายแต่พอมองเห็นโอกาสว่าที่นี่จะสามารถทำให้เราสร้างแฟรนไชส์ได้ก็เลยลุย และเริ่มถอยงานแสดง จนผู้ใหญ่มองว่าเรางอนอะไร ไม่ได้งอนนะคะ คือลูกเราก็เริ่มโตทุกอย่างมันต้องมีค่าใช้จ่ายมากขึ้น แล้วเวลาผู้จัดเขาเลือกได้ แต่เราไม่สามารถเลือกได้บางเรื่องเราจองนะ แต่พอเปิดกล้องแล้วไม่มีเรา ก็เริ่มรู้สึกว่าไม่ปลอดภัย ก็เลยบอกทุกคนไปเลยว่าจิ๋มเลิกรับงาน ตอนนี้ดำรงตำแหน่งเอ็กเซ็กคูทีฟ และเป็นที่ปรึกษาด้วยค่ะ

ตัวตนที่พร้อมเปิด

เป็นคนที่ร่าเริงสดใสและชอบแต่งตัว เดิมตอนที่เป็นนักแสดงจะนุ่งกางเกงขาก๊วย เสื้อกล้าม แล้วหน้าตาก็ไม่แต่งคือเอาศพไปกองถ่ายเดี๋ยวเขาแต่งให้เอง เราก็เลยแต่งตัวไม่ค่อยเป็น แต่แล้ววันนึงวันที่มาแต่งงานกับสามีแล้วพี่สาวเขาแนะนำให้เราดูแลตัวเอง ก็เลยเริ่มแต่งตัวแต่งหน้า เริ่มรู้สึกว่าเรามีตัวตนนะทำไมไม่สร้างตัวตนออกมา ด้วยความที่เราปฏิบัติธรรมเลยค้นพบว่าอยากทำอะไรให้รีบทำ ทำวันนี้ให้ดีที่สุด ผมมันหงอกเราก็ทำสีเขียวสีฟ้า (ยิ้ม) เต็มที่กับการแต่งตัวลูกๆ ก็ไม่ว่าอะไร เขารู้แค่ว่าเขาได้แม่ที่ดีขึ้นจากการปฏิบัติธรรม เวลามีอะไรเขาก็จะมาปรึกษาแม่ กล้าเปิดใจคุยกัน

วันนี้ที่แข็งแกร่งขึ้น

จิ๋มเชื่อว่าวันทุกวันมันจะมีเหตุการณ์เข้ามาเสมอ ถ้าเราคิดว่ามันเป็นปัญหา เราก็จะแย่ แต่ถ้าเราคิดว่าเมื่อเรามีอย่างนี้เราจะไปไหนดีก็แค่นั้น ไม่มีอะไรหนักหนาเท่ากับตัวเราแล้ว หนี้11 ล้านมันก็คือ 11ล้าน แต่ตัวเราจะไปไหน 11 ล้านกับหนึ่งพันมันก็คือหนี้ แต่บางคนมีหนี้พันเดียว ยังไม่พัฒนาตัวเองว่าจะทำยังไง พันนึงแล้วก็มานั่งบ่นจนกลายเป็นหมื่น ไม่คิดว่าจะทำอะไรต่อ เพื่อไปข้างหน้า ยูนิลีเวอร์เขาให้จิ๋มวางไว้เลยว่าอีก 10 ปี 20 ปีข้างหน้ารวมทั้งให้เรากำหนดวันตาย เราไปเข้าสัมมนา แล้วเขาก็ถามว่าอยากตายตอนอายุเท่าไหร่ เราก็กำหนดไว้ว่า 120 ปี (หัวเราะ) ตอนนี้ 62 แล้ว และทุกวันนี้จิ๋มก็ดำเนินตามที่เขียนไว้ ซึ่งจะทำยังไงให้อยู่ได้ถึง 120 ปี ก็คือเราต้องนอนเป็นเวลา กินอาหารที่ดี ออกกำลังกาย แล้วก็ไม่เครียด เช้าตื่นขึ้นมาจิ๋มก็จะสวดมนต์ปฏิบัติธรรม แล้วก็นั่งคิดว่าขอบคุณจังเลย พ่อแม่ที่ให้เราได้เกิดมา ขอบคุณที่มีคนรู้จักทั้งคนดีคนไม่ดีที่ทำให้เราเลือกใช้ชีวิต คนไม่ดีเราก็ต้องขอบคุณเขา ขอบคุณอากาศ ขอบคุณรองเท้า ขอบคุณชุด ขอบคุณที่นอน คำขอบคุณทำให้จิตใจเราเบิกบานทำให้เราเข้าใจชีวิตว่าเราจะอยู่ด้วยตัวเองได้ยังไง

ความในใจถึงแฟนๆ

ถ้าแฟนๆ อยากจะชมผลงานการแสดงของจิ๋มคงจะยากหน่อย เพราะว่าไม่ได้รับแล้ว แต่มาเจอกันตามงานสัมมนาธุรกิจหรือว่าเจอในสถานปฏิบัติธรรม ก็เข้ามาทักทายกันได้ ทุกเดือนจิ๋มจะไปที่โรงพยาบาลทหารผ่านศึก จัดงานให้ทหารกับ “พี่ต้น-สุชาติ” หรือเข้ามาในเฟซบุ๊ค “โค้ช สอนรวย” เวลามีงานกิจกรรมจิ๋มก็จะเป็นพิธีกร และคอนเฟิร์มว่ายังสนุกเหมือนเดิม เป็นคนปฏิบัติธรรมที่ตัวแข็งเดินตาขวาง (ยิ้ม) เราปฏิบัติธรรมแล้วเราได้เห็นว่าวันแต่ละวันของเรามันมีค่ามากๆ

และนี่ก็ “จิ๋ม-ศิริวรรณ เฮง”อดีตนักแสดงมากฝีมือ ผู้ที่ไม่เคยท้อต่อชะตาชีวิตแม้จะพบกับวิกฤติที่หนักอึ้ง

กุหลาบสีเงิน

Star Retro : หลากมิติชีวิตที่ไกลเกินฝัน ของ ‘มอร์ริส เค’

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/entertain/314126

Star Retro : หลากมิติชีวิตที่ไกลเกินฝัน  ของ ‘มอร์ริส เค’

Star Retro : หลากมิติชีวิตที่ไกลเกินฝัน ของ ‘มอร์ริส เค’

วันอาทิตย์ ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2561, 06.00 น.

สตาร์เรโทรสัปดาห์นี้ พาไปสัมผัสชีวิตครบเครื่อง ของ “มอร์ริส เค” ผู้ที่มีความสามารถหลากหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็น งานแสดง พิธีกร หรือแดนเซอร์ ด้วยสีสันที่จัดจ้านกับทุกผลงานที่มีส่วนร่วม แต่กว่าที่จะก้าวผ่านมาถึงขั้นที่เรียกว่า มืออาชีพ เขาได้เผยกับ “ทีมข่าวบันเทิงแนวหน้า” ว่าไม่ใช่เรื่องง่าย

ณ วันนี้

เล่นละครเป็นหลักครับ ละครที่กำลังออกอากาศตอนนี้ คือซิทคอมเรื่อง “รักกันมันแจ๋ว” ทุกเสาร์-อาทิตย์ 9 โมงเช้า ทางช่อง 7 ซึ่ง “พี่หนุ่ม” (สันติสุข พรหมศิริ) เป็นผู้จัดฯ ทางพี่หนุ่มเขาเห็นคาแร็กเตอร์แล้วให้ทางทีมงานติดต่อมา ช่วงนี้เราเล่นละครเครียดๆ ก็เลยอยากจะรับอะไรที่มันรีแล็กซ์บ้าง แอบเซอร์ไพรส์เล็กๆ ที่พี่หนุ่มเป็นผู้จัดเรื่องแรก และดีใจที่ได้มาร่วมงานกัน อีกอย่างเราก็รู้สึกว่าสบายใจเพราะคนที่เคยมีประสบการณ์ในการเป็นนักแสดงแล้วมาทำงานเบื้องหลัง เขาจะเข้าใจฟิลของนักแสดงด้วยกัน

กับหลากหลายบทบาท

ในเรื่องนี้จะเล่นเป็นคนที่ดูแลเรื่องเสื้อผ้า ก็หวานแหววแต๋วจ๋า แต่ว่าไม่มากมายด้วยความจำกัดของบทละคร ไม่ได้แต่งหน้าทาปากมาก ในขณะเดียวกันเราก็เป็นคนที่สร้างปัญหาจากความเป็นตัวของตัวเอง (ยิ้ม) เป็นละครเบาสมอง ส่วนอีกเรื่องที่รอออกอากาศก็มี“ข้ามสีทันดร”ได้รับบทเป็นคนแอฟริกา เป็นคาแร็กเตอร์ที่ไกลตัวนะคือเป็นคนพื้นเมืองของแอฟริกาแล้วขายของให้กับนักท่องเที่ยว พอเราไปสัมผัสตรงนั้นจริงๆ มันทำให้เรารู้ว่าคนแอฟริกาผิวสีเขาทำงานตรงนี้เพื่อดูแลครอบครัวเขาไม่สามารถไปทำอาชีพอื่นได้ส่วนอีกเรื่องคือ “ระเริงชล” ซึ่งเป็นการพลิกคาแร็กเตอร์ ได้เล่นเป็นพ่อของนางรอง ผมดีใจนะที่ได้รับโอกาสนี้อย่างที่บอกคือเราเป็นนักแสดงสิ่งสำคัญของนักแสดงต้องเล่นได้ทุกบทบาทและให้คนเชื่อ แต่บางทีเราเล่นบทบาทนี้ไปแล้วคนอินไปแล้วจะให้คนเชื่อในบทอื่นมันก็ยาก อย่างเรื่องนี้เราก็เล่นไปตามบททำให้คนเชื่อแต่ทั้งนี้ทั้งนั้นมันก็จะต้องมีหลายองค์ประกอบด้วย ถ้าเราได้รับโอกาสเปลี่ยนคาแร็กเตอร์แล้วถ้าเราเป็นเด็กช่องเขาก็อาจจะทุ่มเทบทให้ แต่เราเป็นนักแสดงอิสระดังนั้นผู้จัดฯเขาก็ให้เราในระดับหนึ่ง ที่เหลือเราต้องเวิร์กเองต้องดูแลตัวเอง ว่าเราต้องเล่นยังไงเป็นพ่อแบบไหน คือจากประสบการณ์ถึงแม้เราจะไม่มีลูกแต่เรามีหลานเราก็เรียนรู้จากตอนที่เราเลี้ยงหลาน เราอยู่กับหลานยังไง เพราะคาแร็กเตอร์อยู่ที่บ้านก็ไม่ใช่คาแร็กเตอร์ที่เห็นในละคร ผมเนี่ยเวลาออกไปทำงานก็จะเป็นคาแร็กเตอร์ตามที่เขาต้องการแต่พอกลับถึงบ้านก็จะเป็นคาแร็กเตอร์มอร์ริสที่จะนิ่งๆ เงียบๆ หรือเป็นคนที่อารมณ์ดีถ้ามันมีเรื่องดีๆ แต่สามารถที่จะเป็นคนที่เข้มงวดในเรื่องที่ต้องเข้มงวดเพราะผมถูกสอนมาแบบนี้ สามารถสวมบทเป็นอะไรก็ได้เพราะนี่คืออาชีพนักแสดงที่มันอยู่กับเรามา 30 ปี มันทำให้เราสามารถที่จะกดปุ่มได้แล้ว อยู่ที่บ้านหลานๆ จะเรียกว่าลุงมอ (ยิ้ม) ลุงมอดุก็จะดุจริงๆ แต่ถ้าลุงมอเล่นก็จะเล่นจริงๆ ค่อนข้างจะเป็นคนที่ให้เหตุผลในการใช้ชีวิต

ครั้งแรกกับการรับบทพ่อ

รู้สึกดีใจเลย (หัวเราะ) เราไม่มายด์ว่าคนจะมองว่าดูแก่ เรื่องแก่มันเป็นเรื่องธรรมชาติคนเราต้องโตขึ้น แต่ที่ต้องสนใจคือบทที่เราจะได้รับหรือสิ่งที่เราจะได้เล่นมันท้าทายความสามารถเรามากน้อยแค่ไหน เราจะเล่นให้คนเชื่อได้หรือไม่นั่นคือสิ่งที่เราต้องทำการบ้าน ผมขอบคุณผู้จัดทุกคนนะที่ให้เกียรติเชิญผมไปเล่นแล้วผมก็จะรู้สึกดีใจมากถ้าเกิดมีผู้จัดคนไหนมองเห็นศักยภาพของเราว่าสามารถเล่นได้หลายบทบาท

ชีวิตที่อยู่กับธรรมชาติ

ผมเป็นคนที่ชอบอยู่กับธรรมชาติ ชอบทำอะไรที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวเห็นอะไรที่เป็นธรรมชาติแล้วมีความสุข เพราะธรรมชาติมีสิ่งสวยงามซ่อนอยู่ อาจจะทำรายการท่องเที่ยวของตัวเองหรืออาจจะไปทำไร่ทำนา เพราะว่าชีวิตผมในวัยเด็กอยู่กับเรือกสวนไร่นา มีคนที่เคยเอาผมไปเลี้ยงเขามีไร่สวนอยู่ที่สมุทรสงครามเขาทำสวนมะพร้าวสวนผลไม้ แล้วทุกปิดเทอมผมก็จะมีโอกาส ได้ไปดัดสันดาร(หัวเราะ) เขาเรียกแบบนี้เพราะว่าผมซนมากเขาเลยให้ไปเรียนรู้ใช้ชีวิตลูกทุ่งที่บ้านริมแม่น้ำแม่กลอง คนพื้นที่ที่นั่นเขาก็จะสอนให้เราจับกุ้งทำนู่นทำนี่เราก็รู้สึกว่าสนุกจังเลย ซึ่งมันเป็นเหมือนเมล็ดพันธุ์ที่มันหย่อนลงไปในจิตใจเรา ตอนนี้เรารู้สึกว่าเราชอบการใช้ชีวิตแบบนั้นมาก

กว่าจะมาเป็น “มอร์ริส เค” ในวันนี้

จริงๆ แล้วผมมาจากครอบครัวที่แตก คือ พ่อ-แม่ไม่สามารถเทคแคร์ผมได้เลยต้องไปอยู่กับคนอื่น ซึ่งครอบครัวนั้นเขาก็เลี้ยงดูผมมาจนอายุ 15 หลังจากนั้นผมก็ออกมาสร้างชีวิตของผมต่อสู้ด้วยตัวเอง ผมเป็นคนมีความทะเยอทะยานผมรู้สึกว่าชีวิตเรามีค่ามากกว่าที่จะมาอยู่แค่ตรงนี้ก็เลยกระเสือกกระสนหาทางเรียนหนังสือต่อ และโชคดีที่เราเจอพี่ๆ ที่เขาให้ความรู้กับผมเขาให้สิ่งดีๆ ไม่ว่าคุณจะเกิดมารูปร่างหน้าตาเป็นยังไงนั่นคือองค์ประกอบภายนอก แต่สิ่งที่คุณจะได้รับการยอมรับนับถือนั่นก็คือการที่คุณมีความคิดดีคุณใฝ่ดีคุณอาจจะลำบากในตอนนี้แต่อนาคตคุณจะสบายขึ้นนั่นเป็นคำพูดของรุ่นพี่ที่เป็นแรงผลักดันว่าถึงแม้เราจะเรียนน้อยก็ไม่เป็นไรเราหาเรียนเอง โดยเริ่มมาเรียนศึกษาผู้ใหญ่ จนจบ ม.3 แล้วก็กระเสือกกระสนมาอยู่ในกรุงเทพฯ พอมาเรียนต่อที่วิทยาลัยพณิชยการเชตุพน อยู่ตรงนั้นมาก็เจอสังคมที่มันฟุ้งเฟ้อ เราก็หลงระเริงไปกับมันจนที่สุดก็โดนรีไทร์ แต่เราก็ไปหาโรงเรียนใหม่เพื่อเรียนต่อจนจบ ปวช. และเราก็รู้สึกว่าเราอยากเรียนต่อนะ แต่ตอนนั้นเรายังไม่พร้อมเราต้องทำงานก่อนก็เลยหางานทำ และได้มีโอกาสเข้ามาในแวดวงนายแบบนั่นคือไปประกวดนายแบบโดมอนเมื่อปี 1987 แล้วก็ได้รองอันดับ 1 ใช้ชีวิตเป็นนายแบบอยู่สักปีหนึ่งผมเริ่มมีรายได้ที่ชัดเจนขึ้นผมไม่ละความตั้งใจที่จะเรียนหนังสือต่อพยายามไปสอบเข้าโรงเรียนของรัฐ แต่ด้วยความที่ความรู้ของเรามีน้อยเลยสู้กับเขาไม่ได้แต่ก็ไม่เป็นไรเราก็เลยไปเรียนมหา’ลัยเอกชนนั่นก็คือมหา’ลัยธุรกิจบัณฑิต ทำงานกลางวันกลางคืนเรียนภาคค่ำจบใน 4 ปี รับปริญญาปุ๊บต่อโทเลย ก็ยังเรียนฟอร์มเดิมคือกลางวันทำงานกลางคืนเรียนหนังสือ จนจบปริญญาโท (เป็นคนที่มุ่งมั่นมาก?) การเรียนทำให้เราคิดเป็น ทำให้เราเข้าใจวิธีการคิด ในสมัยก่อนมันไม่มีโซเชียลให้เราเรียนรู้อะไร เราก็ต้องเรียนรู้ไปตามขั้นตอนของมัน ผมมีความรู้สึกว่าเราอยากให้คนมองข้ามเรื่องของรูปพรรณสันฐานแล้วก็มองเห็นความสามารถ

ความภูมิใจเล็กๆ

รู้สึกว่าถ้าเกิดชีวิตของเราเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนอื่นได้เราก็รู้สึกดีใจนะครับ เพราะว่าชีวิตมันเป็นของเรา เราต้องกำหนดเองเราต้องสู้เอง อยากเป็นอะไรในอนาคต ถ้าอยากเป็นคนดีก็ต้องสู้ด้วยความดี ถ้าอยากเป็นคนเลวคุณก็ทำเลวไปเถอะแต่ผมเลือกที่จะเป็นคนดีผมพยายามปรับปรุงตัวเองทุกวันเพื่อให้เป็นคนดี มีอะไรที่แบ่งปันได้ผมก็จะแบ่งปัน ถ้าสังเกตจากในเฟซบุ๊คผมจะมีเรื่องราวที่ให้กำลังใจกับคนเสมอๆ

จากนายแบบสู่การเป็นแดนเซอร์และนักแสดง

ด้วยความที่เรามีบุคลิกที่แตกต่างและมีความมั่นใจ คนเขาก็สงสัยว่าคนผิวสีคนนี้เป็นใครมาจากไหน ก็มีคนติดต่อมาให้เล่นหนังเล่นรายการ และรายการหนึ่งที่ติดต่อมาแล้วผมปลื้มปริ่มมาก คือรายการ “แบบว่าโลกเบี้ยว” เขาติดต่อมาให้เล่นเป็นตัวประจำ ซึ่งพิธีกรหลักๆ เขาก็มีอยู่แล้ว พี่โย, พี่ปู, ก้าว, พี่กิ๊ก, พี่ติ๊ก แล้วก็มีคนนั้นคนนี้และในที่สุดคนเหล่านั้นก็ค่อยๆ หายไป ก็กลายมาเป็นผม ที่เสียบมายาวนานเขาก็ไม่เปลี่ยนใครอีกเลยกลายเป็น 4 คน ลงตัวก็เล่นโลกเบี้ยวมาซึ่งเขาจะเอาคาแร็กเตอร์ความเป็นตัวเราออกมาเช่นการเต้น แล้วทางบริษัทแกรมมี่เขาก็เห็นตอนนั้น “เจ-เจตริน” กำลังออกเทปเขาก็อยากได้ลุคที่เต้นแบบฮิปฮอปๆ ซึ่งเรามีทักษะในการเต้น “อากู๋- ไพบูลย์” มาเห็นว่ามันใช่ออกไปอย่างนี้ดีเขาถือเรื่องฮวงจุ้ยไง (หัวเราะ) หยินหยางดีหลังจากนั้นก็เลยได้เป็นแดนเซอร์คู่ใจให้กับเจ ซึ่งมี “ชาลี” ด้วยและเราก็เป็นเพื่อนกันมาก่อนสนิทสนมเป็นบัดดี้กัน เราก็เต้นด้วยกันมา แต่ผมเต้นได้แค่อัลบั้มเดียวเพราะว่าเราเป็นดาราแล้วงานเราก็เยอะ เจงานก็เยอะก็คิดว่าจะเอายังไง และเราต้องยอมรับจริงๆว่าการเป็นแดนเซอร์รายได้มันน้อยมันไม่พอค่าใช้จ่ายเราด้วย แต่เราชอบเต้นนะเราสนุกกับการเต้นมากแต่มันดูแลตัวเองไม่ได้ เพราะตอนนั้นต้องจ่ายค่าเทอม ผมเรียนหนังสือด้วยนะ ฉะนั้นมันก็เลยต้องเลือกนักแสดงก็ทำงานเป็นนักแสดงในวงการมาเรื่อยตอนที่เราเต้นให้เจทุกคนก็ชื่นชม เห็นมอร์ริสจะต้องเห็นเจคือเป็นบัดดี้กันเลย แม้จะเต้นให้เจอัลบั้มเดียวแต่ถ้าเขามีสเปเชียลเราก็จะได้ไปแจมอย่างล่าสุดเดือนธันวาก็ได้รับเกียรติเขาก็เชิญให้ไปเต้นแม้ว่าจะเต้นแค่เพลงเดียวเราก็รู้สึกว่าได้รับเกียรติมาก

เป็นมากกว่าฝัน

ผมบอกตรงๆ นะว่าผมไม่เคยฝัน เพราะว่ามันไกลเกินกว่าที่ผมจะฝันผมฝันว่าเอาชีวิตตัวเองให้รอด ดูแลตัวเองยังไงที่จะทำให้ตัวเองดำเนินชีวิตต่อไปได้ในอนาคตโดยไม่เป็นภาระของใครคิดอยู่แค่นั้น แต่แล้วก็ได้เข้ามาและมีงานเรื่อยๆ เล่นละครก็ด้วยคาแร็กเตอร์ของเราที่ไม่เหมือนใครนี่แหละครับ คนก็เลยจะจับให้เราไปเล่นนู่นเล่นนี่ เรื่องแรกละครเรื่อง “โรเบิร์ตทองล้นเนิน” ของช่อง 9 เป็นละครเกี่ยวกับชีวิตเด็กลูกครึ่งที่โดนทอดทิ้ง เราเล่นเป็นคู่บัดดี้กับพระเอก หลังจากนั้นก็เล่นต่อๆ มาเรื่อย เรื่อง “ล่า” ก็เล่นเป็นตัวละคร 1 ใน 7 ที่ข่มขืน “นก-สินจัย” และ “น้องทราย เจริญปุระ” มันชั่วร้ายมากเป็นคนที่กักขฬะมากตอนที่ล่าออกอากาศเด็กๆ แฟนคลับผมที่ชอบดูแบบว่าโลกเบี้ยวเขาไม่กล้าเข้าใกล้ผมเลย (หัวเราะ) เขาบอกว่าน่ากลัวมาก ผมเล่นโดยไม่เมคอัพนะเอาหน้าจริงๆ เอาความโทรมจริงๆ ผมฟูสยาย ซึ่งนี่คือการบ้านของผมที่ถ้าเราอยากเป็นตัวนั้นจริงๆ ผมไม่ห่วงหล่อไม่ห่วงสวย ก็ถือว่า “ล่า” เป็นผลงาน masterpiece เพราะว่าได้เปลี่ยนคาแร็กเตอร์จากหน้ามือเป็นหลังมือเลย อีกเรื่องหนึ่งคือ “แม้เลือกเกิดได้” ของ “พี่ตู่-นพพล” ทางช่อง 7 “เมฆวินัย” เล่นเป็นพระเอกแล้วเขาไปรักกับโสเภณี ตอนแรกเราก็ไม่ยอมรับแต่เขาก็ทำความดีขึ้นมาเราก็ช่วยเขาเต็มที่ จนในที่สุดเขาตายหรือไงนี่แหละผมต้องเลี้ยงลูกเขา นี่ก็เป็นการเปลี่ยนคาแร็กเตอร์อีกเหมือนกัน

กับบทบาทเพศที่ 3

เริ่มเล่นมาตั้งแต่แบบว่าโลกเบี้ยวแล้วนะครับ คือผมก็ไม่ได้ปิดไม่ได้เปิดอะไร เล่นตามที่เขาบอกให้เล่น แต่ที่พีคมากที่สุดคือช่วงอัลบั้มเจ ชุดที่ 2 มั้ง เขามีคอนเสิร์ตที่เอ็มบีเคฮอลล์แล้วผมได้เป็นแขกรับเชิญเราก็แต่งเป็น “วิตนีย์ ฮิวสตัน” ออกมาลิปซิงค์แล้วทุกคนก็ฮามาก ในแบบว่าโลกเบี้ยวก็จะผลัดกันแต่งหญิงกับพี่โยก้าว เราสลับกันคนก็จะชอบภาพนี้ แต่หลังจากนั้นก็จะกลับมาเล่นบทผู้ชายบ้าง คือการทำงานของผมมันแล้วแต่คาแร็กเตอร์ว่าจะเป็นอย่างไร ไม่จำเป็นว่าจะต้องบทบาทแบบนี้ตลอดเวลาเพราะผมเองก็เบื่อมันไม่ท้าทาย คุณจะเอาเกย์แบบไหนล่ะ คือตอนนี้ผมเล่นบทเป็นเกย์เยอะมากแล้วมันไม่ท้าทายเราก็เลยเริ่มไม่สนุก เพราะผมเป็นนักแสดงที่ชอบความท้าทายของตัวเองเสมอๆ

ด้านชีวิตครอบครัว

ยังเป็นโสดอยู่ครับแล้วผมก็คิดว่าจะครองตัวโสดอย่างนี้แหละ ไม่มีใครมาเป็น 10-20 ปีแล้วครับ เพราะผมมีความรู้สึกว่าผมอยู่ด้วยตัวเองมาตลอดจนติดนิสัย อยู่กับใครแล้วยาก เวลาอยู่บ้านนี่คือโลกส่วนตัวของฉันใครอย่ามายุ่ง ถ้ามีแฟนแล้วไม่แฮปปี้ไม่สร้างสรรค์สิ่งดีๆ ให้กันไม่ต้องอยู่ ไม่ได้ต้องการคนดูแล การมีแฟนมันก็ดีนะ แต่ทุกวันนี้ต้องยอมรับจริงๆ ว่ามันไม่มีใครที่จะเข้าใจผมเลย ผมมีเพื่อนเยอะมากแต่เพื่อนสนิทผมมีน้อยมาก ผมอยู่กับทุกคนได้แต่เวลาที่ผมต้องการหรือคุยแบบเปิดอกกับใครเนี่ยมีไม่ถึง 2 คน เพราะเราไม่อยากเป็นภาระให้กับใครไม่อยากให้ใครมาเดือดร้อนกับเรื่องของเรา และผมเป็นคนเจ้าระเบียบมากแต่ไม่ถึงกับว่าระเบียบจัดมาก เมื่อก่อนเป็นแต่ว่าแม่บ้านหนีหมด (หัวเราะ) หลานๆ ก็กลัวผมนะในเวลาที่ต้องกลัว แต่ถ้าเวลาปกติเขาก็จะวิ่งเข้ามาหามากอดมาเล่น จะฝึกระเบียบวินัยให้เขาสอนให้เขาทำอะไรด้วยตัวเอง หรือแม้แต่เรื่องการเรียนจะซีเรียสมากถ้าเขาติด ร นั่นแสดงว่าเขาไม่มีความรับผิดชอบ ถ้าเขาเป็นแบบนั้นก็จะลงโทษเลยด้วยการไม่ไห้ดูทีวี. 1 เดือน ก็ขอบคุณนะที่เขายังฟังผม เลี้ยงหลานเหมือนเป็นลูก แต่ก็ไม่ได้ให้เขาทั้งหมดเขาต้องทำเองด้วยแล้วที่เหลือเราก็จะช่วย

ใน 1 วัน ของ “มอร์ริส เค”

ไม่มีอะไรมากออกกำลังกายเป็นหลักแล้วก็ดูแลตัวเองหาสิ่งดีๆ ให้ตัวเองเช่นหาข้อความหรือหาข้อมูลดีๆ ให้กำลังใจตัวเอง ถ้าต้องทำงานก็ออกไปทำงาน ถ้าไม่ทำงานก็ทำกับข้าวดูแลบ้าน เป็นคนที่มีมุมมองของความเป็นแม่บ้านอยู่ในตัวเองเยอะ เพราะเป็นคนชอบทำกับข้าว ทำกับข้าวกินเองแล้วมันอร่อยได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยนี่เพิ่งทำพะโล้และเป็นสูตรโบราณที่ไม่ใส่ซีอิ๊วดำ หลายคนก็ถามว่าทำยังไงเราก็จำไม่ได้หรอกก็บอกให้เขาไปเปิดกูเกิ้ลเอา นั่นคือชีวิตของผมปกติ ประมาณว่าอยู่กับบ้านดูแลหลานดูแลตัวเอง ถ้าเกิดมีโอกาสหรือว่ามีอะไรที่ไม่ต้องรับผิดชอบก็จะเป็นคนท่องเที่ยวออกไปข้างนอก ชอบเที่ยวในที่ที่เป็นธรรมชาติจริงๆ แบกเป้ไปนอนเต็นท์ อีกอย่างที่คิดจะทำแต่ก็ไม่รู้ว่าจะได้ทำเมื่อไหร่จะโบกรถแล้วก็ไปเที่ยวในที่ต่างๆ และถ่ายคลิปไว้มันน่าจะสนุกดี และจะดูสิว่าจะโดนทำร้ายมากน้อยขนาดไหน (หัวเราะ)

จากวันนั้นถึงวันนี้

ถ้ามองย้อนกลับไปแล้วเรามาถึงทุกวันนี้ก็ต้องขอบคุณคนรอบข้างหลายๆ คนที่เป็นแรงบันดาลใจให้กับเรานะครับ ไม่ว่าจะเป็นรุ่นพี่ เพื่อน หรือแม้แต่เจ้านายของเราที่เป็นแรงผลักดันให้เราก้าวต่อไปทำงานต่อไปในอนาคต แล้วเราก็มีความรู้สึกว่าเราภูมิใจที่ได้ก้าวเดินชีวิตของเราจากเด็กไร้ค่าคนหนึ่ง เด็กที่บ้านแตกไม่มีครอบครัวแล้วในที่สุดเราก็สามารถมายืนอยู่ตรงนี้ได้ ไม่ใช่ว่าเราเก่ง แต่เป็นเพราะว่าเราสู้ และทำในสิ่งที่ถูกต้อง ผมเป็นคนที่ไม่ชอบโกงใครไม่ชอบเอาเปรียบใครแต่ผมมักจะโดนคนอื่นเอาเปรียบเรื่อย ไม่เป็นไร เพราะเราไม่ตาย (ยิ้ม) และผมเชื่อว่าเมื่อคุณทำสิ่งใดไว้คุณก็จะได้รับสิ่งนั้นตอบในเวลาอันสมควร เราแค่ทำจิตใจให้เบิกบานยิ้มและหัวเราะเข้าไว้

จบการสนทนาวันนี้ไปด้วยแง่คิดดีๆ เสียงหัวเราะและยิ้มกว้างที่สดใส จากศิลปินนักแสดงผู้มากความสามารถที่ทุกคนคุ้นเคย “มอร์ริส เค”

Star Retro : เวทีชีวิต ‘แอน-เพ็ญศิริ สุภาพันธุ์’

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ The Nation

http://www.naewna.com/entertain/311840

Star Retro : เวทีชีวิต  ‘แอน-เพ็ญศิริ สุภาพันธุ์’

Star Retro : เวทีชีวิต ‘แอน-เพ็ญศิริ สุภาพันธุ์’

วันอาทิตย์ ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2560, 06.00 น.

สตาร์เรโทร ส่งท้ายปี ด้วยการพาไปติดตามชีวิตของ “แอน-เพ็ญศิริ สุภาพันธุ์” หรือ “ชนิตา สุภาพันธุ์” จากนางงาม สู่เวทีนางแบบระดับประเทศ และหลากหลายบทบาททางการแสดงที่เธอเคยสร้างสรรค์ไว้ จากวันนั้น ถึงวันนี้ เธอหายไปไหนมา 9 ปี และเหตุใดจึงใจอ่อนกลับมารับงานแสดงอีกครั้ง!?

“ตอนนี้งานแสดงก็ยังมีอยู่เรื่อยๆ คือแอนเพิ่งกลับมาเล่นละครอีกครั้ง เมื่อสัก 3-4 ปีนี่เองค่ะ หลังจากไม่ได้เล่นมา 9 ปี เริ่มกลับมาเล่นจาก “ฟ้ามีตา” แล้วก็ค่อยขยับมาเป็นละครยาว ด้วยความที่เราเป็นศิษย์เก่า ดาราวิดีโอ เวลาสตาร์ทก็เลยต้องกลับมาสตาร์ทที่บ้านเดิม (หัวเราะ) มาเคาะสนิมที่ “ฟ้ามีตา”ว่ายังเล่นได้อยู่ค่ะ คือแอนโหยงานมาก คิดถึง ด้วยความที่ชีวิตนักแสดงแอนเริ่มต้นตั้งแต่อายุ 18 พอทำไปนานๆ เราก็รักมันตอนที่หยุดไปทำอย่างอื่น เราก็เคยคิดว่าเราไม่เอาแล้ว คงไม่ได้เล่นแล้วละคร แต่มันแอบคิดถึงอยู่ตลอดเวลา จนวันหนึ่งก็คิดถึงมาก ตัดสินใจโทร.หาผู้ใหญ่ที่ดาราวิดีโอ ว่ามีอะไรพอจะให้เราเล่นได้ไหม ซึ่งเขาก็บอกว่าเราหายไปหลายปีนึกว่าไม่เล่นแล้ว แต่จริงๆ คือยังอยากจะเล่นนะ แล้วถ้ามีบทอะไรเล็กๆ น้อยๆ ก็ให้เราเล่นได้นะ พอเราเล่นไป มันก็เหมือนเครื่องติดเราทิ้งไปนานแล้ว เรามาจับอีกทีก็รู้สึกเลยว่านี่แหละคือชีวิตเรา ไม่มีอะไรที่ทำแล้วมีความสุขเท่านี้เลยจริงๆ ตอบได้เต็มปากและชัดมาก ก็เลยตัดสินใจบอกทางบริษัทไปว่าขอเล่นเลยค่ะ บทอะไรก็ได้ไม่ซีเรียส

แม้บทบาทจะเปลี่ยนไป

วันที่เราออกไป เราอายุแค่สามสิบต้นๆ พอกลับมาอีกทีจะเข้าเลข 4 แล้ว (หัวเราะ) เขาก็ถามว่ารุ่นนี้มันก็ต้องบทแม่แล้วนะ หรือไม่อีกที ก็คนใช้ไปเลย รับได้ไหม ตอนแรกก็ตกใจคำว่าคนใช้ สะอึกนิดหน่อย เพราะว่าไม่เคยเล่น และไม่นึกว่าฉันจะมีวันนี้ ก็แบบว่าเป็นแม่นางเอกพระเอกก่อนไม่ได้เหรอ กระชากมาบทคนใช้เลยเหรอ แต่พอมาคิดอีกที มันก็คือการแสดงเหมือนกัน แล้วเราอยู่มานาน จนเรารู้สึกว่ามันก็แค่ตัวแสดงตัวหนึ่งที่มีความสำคัญในเรื่อง ถ้าบทนี้ไม่มีอะไรจริงๆ ทำไมเขาเอาเราเล่น เราก็เลยรู้สึกว่าเราปฏิเสธไม่ได้เลยคนใช้ก็เอา ไม่มีอะไรที่จะต้องแคร์ไม่มีอะไรที่จะต้องเสีย มีแต่ความสุขและสนุกแน่ๆ ก็เลยมาเล่นเรื่อง “มาหยารัศมี” คือเรื่องนี้เป็นการเริ่มต้นด้วยบทสาวใช้ อยู่ฝั่งตัวร้าย เป็นบ่างช่างยุ ที่คอยกลั่นแกล้ง “น้องใหม่-ดาวิกา” อย่างมีความสุข (หัวเราะ) สนุกมาก รู้สึกว่าเราได้ทำในสิ่งที่เราไม่เคยทำ การมากองถ่ายทุกวันคือความสุขแฮปปี้มากไม่เคยมาสายเลย ได้มาเจอเพื่อนฝูง ชีวิตฟินมาก ตอบโจทย์ ยิ่งย้ำเลยว่าใช่แล้วแอน เธอชอบการแสดงจริงๆ ขอให้มาเถอะค่ะบทสาวใช้มาอีกไม่เป็นไรเลย แล้วก็มีมาเรื่อยๆ เมื่อก่อนเป็นนางแบบค่ะ เป็นนางงามด้วย เมื่อก่อนได้มงกุฎได้สายสะพายแล้วไง มันไม่เกี่ยวเลย ประเด็นคือเราได้แสดง ได้ท่องบทได้เล่นได้แอ๊กติ้งได้เจอคนในกองถ่ายได้มีชีวิตที่เราเคยมี และเรารักมันก็พอแล้ว

ช่วงที่หยุดพักเบรกงานแสดง

แอนกลับไปเรียนหนังสือ และแอนรถคว่ำตอนเรียนมหาวิทยาลัยปี 1 กำลังจะขึ้นปี 2 แล้วก็ไม่ได้เรียนอีกเลย หยุดไปเลย เพื่อรักษาตัวอยู่ 2 ปี เลยขาดการเรียนไป ทำให้ต่อไม่ติดเพื่อนเราจบแล้ว “ต๊อก-ศุภกรณ์” เรียนห้องเดียวกัน แอนเพิ่งกลับมาเรียนใหม่ เมื่อสักไม่กี่ปีก่อนที่จะกลับมาเล่นละคร ไม่มีอะไรทำ ว่าง ก็เลยไปเรียนดีกว่า คือรู้สึกว่าไม่มีใครที่ไม่จบปริญญาตรีแล้วมั้งทุกวันนี้ แอนเรียนที่มหาวิทยาลัยเกริก เกี่ยวกับโฆษณาและประชาสัมพันธ์ และค้นพบว่าตัวเองสมองก็ยังใช้ได้อยู่เกียรตินิยมอันดับ 2 นะคะ เรียนอย่างเดียวเลย ไม่ทำอย่างอื่น เป็นเพื่อนเรียนห้องเดียวกับ “พี่แก้ว-อภิรดี” จนตอนนี้พี่แก้วจบโทไปแล้ว แต่ว่าแอนไม่ได้เรียนต่อก็จบแค่นั้นค่ะ

วันวานที่คิดถึง

แอนเริ่มเข้าวงการ มาจากการประกวด แอนประกวดตั้งแต่อายุ 15 สารพัดเวทีที่ประกวดค่ะ ยุคแอนเป็นยุคที่นางงามเฟื่องมาก มีประกวดหลักเลยคือ ลอยกระทง กับสงกรานต์ วิสุทธิกษัตริย์ต้องไป พระประแดงต้องมีเรา นี่คือเวทีหลักของนางงาม แล้วยังมีเวทีย่อยอีก นางงามเงาะนางงามส้มโอ ธิดาฟาร์มโคนม ส่วนมากเราก็คว้ารางวัลมาทั้งนั้น เพราะว่าเราก็หาเงินเรียนหนังสือด้วย เด็กๆ ไม่คิดมาก สนุก ประกวดได้แต่งตัวสวยๆ แล้วทำงานวันเดียวแต่งตัวตั้งแต่บ่าย แต่งหน้าทำผม กลางคืนประกวดได้รางวัลคืนนั้นเลย ไม่ได้เป็นตัวเต็งในเรื่องความสวยนะคะแต่ว่าพี่เลี้ยงดี (หัวเราะ) แอนเป็นเด็กประกวดของ“อาสมชาย นิลวรรณ” นักปั้นนางงามเบอร์หนึ่งสมัยก่อน ดังนั้นพอบอกว่าอาสมชายส่งเข้าประกวด ทุกคนก็จะขยาดกันเบาๆ เพราะว่าคอนเซ็ปต์ของอาเขาชัดเจนมาก จะต้องหน้าตาดี เรียนหนังสือต้องดี ไก่กาไม่เอา อาชีพแอบแฝงไม่เอา แล้วก็ต้องฝึกจริง ไหว้สวยมากๆ เดินสวยมากๆ ต้องฝึกเดินกับอาเป็นเดือน กว่าจะได้ลงเวทีจริง แต่แอนเด็กเส้นด้วยล่ะ เพราะว่าอาเป็นเพื่อนแม่ (หัวเราะ) เลยได้เข้ามา

จากเวทีนางงามขยับสู่แคตวอล์ก

ก็ไม่ได้ชอบการประกวดนะคะ เด็กอายุ 15คิดอะไรไม่ออกผู้ใหญ่ให้ทำอะไรเราก็ทำสนุกดีแค่นั้นได้ตังค์จบ ถามถึงความเคอะเขินอะไรมันก็มีอยู่แล้ว แต่ว่าเราได้รับการฝึกการสอนมาจากอาสมชาย ทุกสิ่งอย่างสอนหมด อาสอนดีมาก สอนมารยาท เหมือนเป็นพ่อเราเลย ตำแหน่งสูงสุดที่ได้รับก็มีหลายเวที แต่ถ้าเป็นเวทีระดับประเทศไม่ได้ลงประกวด เพราะว่าแอนเป็นคนผอมสูงและดำ ยุคนู้นต้องอวบๆ และขาว คือต้องผ่องพรรณรายมาเลย เวลาแอนประกวดพวกชุดไทยงานสงกรานต์ลอยกระทงที่ไปกวาดรางวัลมาเนี่ย เพราะว่าเราพอกตัว และชุดไทยมันจะพรางร่างกายเราด้วยว่าเราจริงๆ ผอมหรืออ้วนดูไม่ออก ส่วนผิวก็ลงแป้งทาตัวกันได้เพราะว่าเขาก็ลงกันทุกคน แต่เวทีใหญ่นางสาวไทยมิสไทยแลนด์เวิลด์ไปไม่ได้เพราะว่ามันจะต้องมีใส่ชุดว่ายน้ำ ใส่ปุ๊บเป็นนางแบบทันที เวทีใหญ่ที่ได้รับจะเป็นเวทีในสายนางแบบค่ะซึ่งอาก็พาไปเวทีนางแบบอีกเช่นกัน ด้วยความที่เราไปเวทีหลักๆ มาหมดแล้ว ห้างต่างๆ ที่เขาจัดประกวดเราก็ไปกวาดมาหมดแล้ว คือจนหมดแล้ว พอเริ่มโตขึ้นเป็นสาวขึ้นเรื่อยๆ ก็ไปเป็นนางแบบซะเลย ด้วยความที่เราฝึกจากการเป็นนางงามมา เราก็เริ่มรู้เหลี่ยมรู้มุมการเดินและมาพัฒนาต่อ แล้วก็ไปประกวดยอดนางแบบสยาม โดยสมาคมช่างเสื้อแห่งประเทศไทย ได้ที่ 1 ตอนอายุประมาณ 20-21 คือลุคเราหุ่นเราไปทางนั้น จากนางงามก็ไปสู่นางแบบ

จุดเริ่มต้นทางการแสดง

หลังจากนั้นก็รับงานเดินแบบถ่ายแบบมาเรื่อย แล้วมันเริ่มซ้อนกับละคร คือแอนก็เริ่มเข้ามาเล่นหนังเล่นละครด้วย แรกเลยคือเล่นหนังก่อนเรื่อง “ก่อนจะสิ้นแสงตะวัน” ของ “อาเปี๊ยก-พิศาล” ก็เลยถือเป็นเรื่องแรกที่ทำให้เราได้เรียนรู้ว่าการแสดงว่าเป็นยังไง อาเปี๊ยกเป็นครูคนแรกในการแสดง สมัยนี้เรียกเวิร์กช็อป สมัยนั้นคือไปเล่นให้เขาดู หลังจากนั้นแอนก็ได้เข้ามาเล่นละครกับทางดาราวิดีโอ เล่นหนังจักรๆวงศ์ๆก่อน เล่นกับ “พี่กุ้ง-ธนา”แล้วแอนเป็นนางเอกก็เล่นงงๆ และเล่นหลายเรื่องด้วยนะคะ ก่อนจะค่อยพัฒนามาเล่นละครหลังข่าวก็เป็นของดาราวิดีโอเหมือนเดิม

นางงาม นางแบบนักแสดง

สำหรับแอนคือได้หมด แอนขอบคุณอาสมชายที่อาสอนแอนเยอะมากให้อะไรเราเยอะมากจริงๆ เพราะว่าสมัยก่อนอามีรายการทีวี.ด้วยแฟชั่นสวยตามสมัย เป็นรายการแฟชั่นรายการเดียวที่เดินแบบออกทีวี. 25 ปีเขาอยู่ช่อง 5 ตลอดซึ่งแอนได้เดินในรายการ สปอนเซอร์ก็จะเป็นชุดสั้นชุดยาวชุดไทยสารพัดชุดสารพัดยี่ห้อมันเลยทำให้เรารู้ว่าถ้าเราใส่ชุดนี้เราจะพรีเซ็นต์ยังไงให้สวยที่สุดเทคนิคทั้งหมดขอบคุณอามาก มันช่วยเราทำให้เวลาเราไปเดินแบบเวทีจริงเจอโจทย์ยากแค่ไหนเอาอยู่หมด

ยุคทองของวงการนางแบบ

เป็นยุคที่นางแบบเฟื่องฟูมาก มีงานทุกวัน แต่แอนไม่ได้เอาดีทางเดินแบบ เพราะเรามาเล่นละครแล้วละครมันเอาเวลาของเราไป ไม่สามารถให้คิวการเดินแบบได้จริงๆ ไม่ได้ทิ้งงานเดินแบบนะคะ แต่อาจจะด้วยความที่เรายังเด็กเลยไม่สามารถจัดสรรเวลาได้ ถ้าเรามีผู้จัดการดูแลเหมือนเด็กสมัยนี้สิ ยุคนั้นมันไม่มีผู้จัดการเราต้องดูแลตัวเองพ่อ-แม่ไม่เกี่ยวไม่เคยยุ่งเลย คิดเองเออเองจัดการตัวเอง คือเราคิดแค่ว่าเราถ่ายละครวันพฤหัส-อาทิตย์เหลือแค่จันทร์อังคารพุธแล้วเดินแบบมันมักจะมีวันเสาร์-อาทิตย์ เวลาเราก็หมดรับงานไม่ได้ ทั้งที่จริงๆ มันก็มีวันว่างบางวันก็นอนอยู่บ้านแล้วพอเราไม่เดินนานๆเขาก็ลืมเราไปเขาก็ไปเอาคนอื่นเดิน เราก็ไม่เป็นไรเราก็เล่นละครของเราไปคิดแค่นี้ถ้าเป็นยุคนี้แล้วเรามีผู้จัดการส่วนตัวมันจะจัดการได้นะเขาจะคิดแทนเราและเขาจะมีหัวธุรกิจมากกว่าเรา

สิ่งที่ได้ในวงการนี้

ได้เพื่อนได้ชีวิตได้ความสุขได้เยอะเงินก็ได้ แล้วแอนว่ามันเป็นอาชีพนะ ซึ่งเป็นอาชีพเดียวในชีวิตแอน เป็นอาชีพเดียวที่แอนเรียกเป็นอาชีพ อย่างอื่นทำแค่แป๊บเดียวเราก็ไม่เอาแล้วไม่ชอบ เคยเปิดร้านก็เจ๊งแล้วเจ๊งอีกมันเอาเงินละครเราไปหมดเลย (หัวเราะ) เราเก็บมาแล้วพอไปลงกับธุรกิจ การทำธุรกิจมันเป็นความเสี่ยง แต่การที่เรามาเป็นนักแสดงเราเป็นลูกจ้าง ซึ่งกว่าจะค้นพบนี่คือทำร้านอาหารเจ๊งไปแล้วสามร้านนะคะ ก็เลยคิดว่าแอนไปเล่นละครเถอะเป็นลูกจ้างเขารับเงินไปเบาๆ อย่าไปคิดเยอะสนุกๆ อย่างนี้ดีกว่า ก็ขนาดแอนไปสอนเดินแบบแอนคิดเองเออเองทำเองคนเดียวเท่ากับเป็นนายตัวเอง แอนยังเอาดีได้แค่ตอนสอนเลย ตอนดำเนินธุรกิจการจัดแจงก็ทำไม่ได้อีกแล้วก็ท้อถอยจนทำให้ไม่ได้สอนเพราะว่ามันต้องมีธุรกิจควบคู่ด้วยซึ่งเราไม่เก่งและไม่ชอบ ก็เลยคิดว่าใครมีสถาบันสอนเดินแบบแล้วเอาแอนไปเป็นลูกจ้างแอนจะแฮปปี้กว่า

ชีวิตคู่ในแบบของแอน

แอนไม่มีครอบครัว (ยิ้ม) แต่แอนมีแฟนเป็นผู้หญิง เราอยู่ด้วยกันมาสิบเจ็ดปีแล้ว แต่ว่าแอนก็ไม่ได้เปิดตัวต่อสื่อใดๆ แต่ก็ไม่ได้ปิดคือครอบครัวและในกลุ่มเพื่อนฝูงเราก็จะรู้หมดเจอกันหมดแล้วทั้งเพื่อนเขาเพื่อนเรา วันนี้หรือว่าแอนมีความคิดแบบนี้มาตั้งแต่แรกก็ไม่รู้คือเราแค่หาคนที่อยู่ด้วยแล้วสบายใจ พอดีคนนั้นเป็นผู้หญิง ไม่ใช่ว่าวันที่คบกับเขาวันแรกคือเห็นทอมที่ไหนแล้วชอบอยากเป็นแฟน ไม่ใช่เลยไม่ได้มีความรู้สึกแบบนั้นไม่ได้รู้สึกอะไรกับเพศทอมเลยนะเห็นเป็นเพื่อนเป็นพี่คนหนึ่งเพราะว่าวงการเรามีทุกเพศอยู่จำนวนมากแล้วเราชินกับคนพวกนี้ เราไม่ได้รู้สึกว่าเป็นของแปลกอะไรจนวันที่มาคบกันมันก็เกิดขึ้นแบบงงๆ คบกันไปมากลายเป็นว่ามันนานระยะเวลามันนานไปเอง แล้วพอมันนานเข้าเราก็ไม่ได้รู้สึกว่าเราต้องการผู้ชาย คบคนนี้ดีแล้วเราไม่ได้รู้สึกว่าต้องการการดูแล ต้องการความผูกพันนี้จากผู้ชายบังเอิญว่าคนนี้เขามีให้เราได้ เราไม่ได้เน้นความรักความใส่ใจจากเพศอะไร เราเคยหาสิ่งนี้จากแฟนคนก่อนๆ ซึ่งเป็นผู้ชายแต่มันก็ไม่มี แต่พอเราคบคนนี้แล้วเราสบายใจและพ่อ-แม่เราก็ไม่ได้ซีเรียสว่าเราจะต้องมีลูกเต้าหรือว่ามีครอบครัวเขาก็แล้วแต่อยู่กับใครแล้วมีความสุขเราก็อยู่ไป ก็ขำๆ กับชีวิตไปไม่จำเป็นว่าเราจะต้องแต่งงานต้องมีลูกนะหรือคนจะมองว่าเป็นคู่พิสดารผิดธรรมชาติ ไม่แคร์ไม่สนค่ะ แล้วแอนก็มาใช้ชีวิตอยู่ที่พัทยาซื้อบ้านอยู่ที่นี่เพราะว่าแฟนเขาทำงานกับชาวต่างชาติที่นี่ เขาก็ชวนเรามาตอนแรกเราก็ไม่อยากมามีความรู้สึกว่าพัทยามันคือที่ให้เรามาเที่ยวอยู่สองสามวัน แต่พอมาอยู่จริงๆ เราก็อยู่ได้ ไปทำงานในกรุงเทพฯเราก็ขับรถไปกลับได้สบายบางทีไปถึงก่อนคนที่อยู่กรุงเทพฯเสียอีก รถไม่ติดเพียงแต่ระยะทางมันจะไกลหน่อยแต่เราก็ชินในการใช้ชีวิตของเราแบบนี้ค่ะ แล้วแอนก็มีน้องหมาเป็นเพื่อนรักยิ่งกว่าใดๆ ในโลกเลี้ยงไว้เป็นเพื่อน

ความเป็นไปในวันนี้

กลับมารับงานแสดงครั้งนี้ตั้งใจและบอกเลยว่านี่คือสิ่งที่เราทำแล้วมีความสุขที่สุดบอกเลยว่าจะทำต่อไป ซึ่งพอเรากลับมาก็เริ่มมีคนเห็นมีผู้จัดช่องต่างๆ เรียกใช้ บางเรื่องก็มีรับเชิญเป็นคุณหญิงเป็นแม่แป๊บๆ บางเรื่องเป็นคนใช้คือได้หมดเลยค่ะ ด้วยอายุจะให้เล่นเป็นนางเอกหรือไง (หัวเราะ) มันถึงวัยแล้วค่ะรับได้เป็นยายก็เอาละครตอนนี้มี “วิหคหลงลม” ทางช่อง 7 ของดาราวิดีโอใกล้ออนแอร์แล้ว และกำลังจะเปิดเรื่องใหม่ของพอดีคำเรื่อง “บ่วงสไบ” ก็ได้เล่นหลากหลายค่ายมากขึ้น อย่างที่บอกเราใช้ชีวิตมาหลายรูปแบบเราก็ค้นพบแล้วว่าการเป็นนักแสดงมันเหมาะกับเราที่สุดนางงามนางแบบคือใบเบิกทางแต่สุดท้ายแล้วแอนชอบอาชีพนักแสดงที่สุด และเราก็มีความเป็นครูอยู่ในตัวสูงเหมือนกัน ตอนนี้ก็เลยได้มาเป็นวิทยากรที่มหาวิทยาลัยพะเยา เป็นวิทยากรพิเศษให้ความรู้เด็กศิลปะที่กำลังจะศึกษาจบคือเด็กศิลปะเขาจะติสท์ๆเราก็จะไปไกด์เขา ไปกับเพื่อน เราไปพูดเรื่องการเข้าสังคมเพราะว่าอาชีพนักแสดงกับความเป็นนางงามของเราคือการเข้าสังคม ไปสอนว่าใบเบิกทางในการทำงานไม่ใช่มีแค่ฝีมือนะต้องมีมารยาท ต้องนั่งยืนเดินไหว้ให้เป็น โดยการเอาประสบการณ์ตรงของเรามาสอน คือเราเคยคิดว่ามันไม่สำคัญเมื่อตอนที่เรายังเด็ก แต่พอเราโตมาวันหนึ่งแล้วเราถูกไหว้เราจะนึกออกเลยว่ามันสำคัญ แอนจะมาสายวิทยากรให้ความรู้ด้วยค่ะแต่ไม่เปิดเป็นสถาบันแล้วขอเป็นมือปืนรับจ้างอย่างเดียว แอนเพิ่งมาสังเกตตัวเองว่าที่แล้วมาเวลาเราไปเดินแบบเจอเด็กใหม่ๆ เราจะชอบไปบอกเขานะ ยิ่งถ้าเด็กที่เข้าหาเราเองสกิลความเป็นครูก็จะพุ่งเลยค่ะ หรือแม้แต่เล่นละครก็เหมือนกันเราก็จะเตรียมกันมีอะไรก็ช่วยกัน ลูกศิษย์ที่ผ่านมือครูแอนมาแล้วก็มี“น้องทับทิม-อัญรินทร์” และ “น้องนาย-ชนุชตรา” แฟน“พี่เคลลี่” แอนสอนเขาเดินแบบเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว

บุคคลสำคัญที่ทำให้มีวันนี้

ทักษะด้านนางงามที่เกี่ยวกับการยืนเดินไหว้ต้องบอกว่าได้มาจากคุณอาสมชายโดยตรงเลยค่ะ แล้วคนถัดมาคือ “พี่สปัน เสลาคุณ” เป็นนางแบบรุ่นพี่ที่เคยสอนแอนช่วงเข้าวงการใหม่ๆ ที่เวลามาเดินแบบเราจะติดความเป็นนางงาม พี่เขาก็จะสอนเราก็ดีขึ้นก็เท่ากับเป็นครูอีกคนหนึ่ง ส่วนทางด้านการแสดงครูคนแรกที่สอนเข้ากล้องคือ “อาเปี๊ยก-พิศาล” หลังจากนั้นเราก็ได้มาเล่นละครจักรวงศ์ครูคนถัดมาก็คือ “พี่ลอร์ด-สยม” “พี่หลุยส์- สยาม” และแอนขอยกให้ผู้กำกับทุกท่านในดาราวิดีโอว่าเป็นครูของแอนนะคะ เพราะว่าสมัยก่อนไม่ได้เรียนการแสดงครูคือผู้กำกับก็เลยจะได้ความรู้ทางการแสดงจากบุคคลเหล่านี้ที่แอนเอ่ยมาค่ะ

เมื่อได้รับความรู้และประสบการณ์ดีๆ มาแล้วก็พร้อมจะถ่ายทอดไปยังน้องๆ รุ่นต่อไปอีก และนี่ก็คือ “แอน-เพ็ญศิริ สุภาพันธุ์” นักแสดงสาวเจ้าบทบาทที่อยู่ในใจใครหลายๆ คน

กุหลาบสีเงิน