Star Retro : ต๋อย ไฮแจ็ค ความบังเอิญ นำไปสู่ความสำเร็จ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/entertain/310524

Star Retro : ต๋อย ไฮแจ็ค ความบังเอิญ นำไปสู่ความสำเร็จ

Star Retro : ต๋อย ไฮแจ็ค ความบังเอิญ นำไปสู่ความสำเร็จ

วันอาทิตย์ ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2560, 06.00 น.

เป็นอีกหนึ่งกลุ่มศิลปินขวัญใจวัยรุ่นในยุค 90 ที่ยังคงอยู่ในใจแฟนเพลง สำหรับวง “ไฮแจ็ค” สตาร์เรโทรเคยมีโอกาสพูดคุยกับ 2 หนุ่ม “เอ็กซ์” และ “ผี” กันไปแล้วคราวนี้ถึงคิวของพี่ใหญ่อย่าง “ต๋อย ไฮแจ็ค” ที่พร้อมบอกเล่าเรื่องราวชีวิต พร้อมอัพเดทความเป็นไปแบบละเอียดยิบ

“ตอนนี้หลักๆ คือผมดูฮวงจุ้ยและสัมมนาเรื่องฮวงจุ้ย ซึ่งทำมาประมาณ 3-4 ปีแล้วครับ อย่างอื่นที่ทำเป็นงานอดิเรกก็คืออยู่กับกลุ่มเพื่อนๆ ในวงการบันเทิงมี “พี่โหน่ง วีระชัย” ซึ่งเป็นผู้กำกับละคร แล้วเขาทำรายการเฮฮาบ้ากอล์ฟ เราก็ไปช่วยทำออแกไนซ์ จัดอีเวนท์ดารา ทำการกุศลกัน แล้วก็ไปตีกอล์ฟกัน มีดารานักแสดงประมาณร้อยคนอยู่ในกลุ่มหมุนเวียน ใครว่างก็ไป”

สาเหตุที่หันมาสนใจเรื่องฮวงจุ้ย

เป็นฮวงจุ้ยเชิงวิทยาศาสตร์นะครับ คือเราไม่มีสิ่งของอะไรที่เป็นไสยศาสตร์มาวางเลย เน้นลมแสงสีเสียงแรกเริ่มเลยคือแฟนผมเป็นแอร์โฮสเตสมา 20 กว่าปีเขาก็รู้สึกเบื่อ ชวนว่าออกมาหาอะไรทำดีไหม แล้วเราสองคนไม่ชอบอะไรที่เกี่ยวกับไสยศาสตร์อยู่แล้ว และบังเอิญไปเจอหนังสือของ “อาจารย์มาศ เคหาสน์ธรรม” ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับฮวงจุ้ยเชิงวิทยาศาสตร์ เราก็เลยสนใจ อยากเรียนรู้ เลยไปลองเรียนกัน แล้วก็เกิดความเข้าใจว่าฮวงจุ้ยทางวิทยาศาสตร์ก็คือการนำเอาพลังงานที่อยู่รอบตัวเรา เข้ามาทำให้บาลานซ์กัน ดึงให้เข้ามาอยู่ในบ้านเรา แล้วเราอยู่แล้วมันก็จะดี

ยึดถือเป็นอาชีพ

ทำตรงนี้เรียกว่าเป็นอาชีพไปแล้วครับ ทำด้วยกันกับแฟน และเราก็เป็นเหมือนพีอาร์จัดคิวสัมมนาให้ คือจะคอยซัพพอร์ตและไปด้วยทุกครั้ง แล้วเราก็มีจัดสัมมนาตลอด แฟนผมคือ “ซินแสออร์” เป็นซินแสคนเดียวในประเทศไทยและในโลก ที่ดูฮวงจุ้ยแล้วอยู่กับลูกค้าตลอด เป็นที่ปรึกษา จนลูกค้าได้ในสิ่งที่ต้องการ ซึ่งถ้าให้มองภาพซินแส หรือถ้าพูดถึงซินแส คนก็จะนึกภาพถึงอาแปะแก่ๆ มีหนวด แต่ว่าซินแสออร์จะเป็นผู้หญิงยุคใหม่ แฟชั่น แต่งตัวโมเดิร์นเก๋ๆ คนจะไม่คิดว่าเป็นซินแสเลย คือเราอยากให้คนเปลี่ยนลุค เลิกมองว่าซินแสต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ อยากให้ดูที่ผลงานมากกว่า และต้องบอกว่าเป็นอาชีพที่คนต้องการมากนะครับ แต่ว่าคนที่เรียนรู้เรื่องฮวงจุ้ยเชิงวิทยาศาสตร์จะน้อยมาก ผมเองไปศึกษากับอาจารย์มาศเป็นลูกศิษย์ท่านใช้หลักของอาจารย์มาศแบบร้อยเปอร์เซ็นต์รายได้ตรงนี้ก็ดีด้วย ที่ผ่านมาเราดูให้กับหลากหลายบุคคล ส่วนมากจะเป็นนักธุรกิจ บริษัทใหญ่ๆ เซเลบฯคนดังซึ่งส่วนมากเขาจะไม่ค่อยเปิดเผยตรงนี้ เราก็ต้องเอาความสบายใจของเขาเป็นหลัก แต่ส่วนใหญ่เราดูให้นักธุรกิจเป็นหลักเกินห้าสิบเปอร์เซ็นต์ และทุกครั้งที่เขาแฮปปี้ประสบความสำเร็จในธุรกิจ เราก็ดีใจกับเขาด้วย

มุมมองในอดีตที่มีต่อฮวงจุ้ย

ผมไม่เคยสนใจ และไม่เคยคิดว่าจะทำเลยครับ แต่ว่าพอเราไปเรียน แล้วมันเป็นเรื่องเชิงวิทยาศาสตร์จริงๆ ตอนแรกก็ไม่ได้คิดว่าจะต้องมาเป็นอาชีพ ก็มาดูแลตัวเอง ดูแลคนรอบข้างครอบครัว คนใกล้ตัวเรา แต่เห็นผลหมดเลย และเห็นผลไวมาก จากการดูดวงชะตา เขาก็บอกว่าเราเหมาะกับอาชีพนี้ เราก็เลยมุ่งตรงมาเลยเราไม่ได้โด่งดังทางการออกทีวี. แต่มีงานเกือบทุกวันจากการที่คนบอกต่อ

เฟสตัวเองจากการเป็นศิลปินนักเต้น

ใช่ครับ เหมือนผมหยุดตรงนั้นมานานแล้วนะ แล้วเราก็มาทำเบื้องหลัง ทำเกี่ยวกับออแกไนซ์ อีเวนท์กอล์ฟ สตาร์แจม เพราะว่าเราเป็นคนชอบตีกอล์ฟ แล้วเราก็ค่อยๆ เฟสตัวเองออกมาไปทำธุรกิจเปิดร้านเปิดผับกับเพื่อนฝูงตามประสา เหมือนเรากับ “เจมส์” จะแยกออกมาเลยจากไฮแจ็ค “เอ็กซ์” เขาก็ไปเป็นนักแสดง “ผี” สอนเต้นมีโคโรกราฟบ้างตามงาน

ความบังเอิญในวันนั้น

ผมเป็นคนที่สตาร์ทจากการเต้น โดยที่ไม่ได้ชอบเต้นเลยนะ และไม่ชอบร้องเพลงด้วย แต่มันเป็นเรื่องของความบังเอิญ สมัยก่อนก็คือเดินแบบ ถ่ายแบบ และได้มาเจอ “คุณสตรอม” ที่เป็นชาวอังกฤษซึ่งมาทำคอนเสิร์ต“พี่เบิร์ด” แล้วเราก็ไปงานเดินแฟชั่นโชว์งานนึง ซึ่งเขามาโคโรกราฟให้ในงานนั้น และเขาเห็นว่าเราหน่วยก้านดีก็เลยชวนให้มาเรียน เป็นแดนเซอร์ และเขาจะสอนให้เราเป็นแดนเซอร์อาชีพ ด้วยความที่เราเป็นคนชอบออกกำลังกายอยู่แล้ว ก็เลยไปโดยไม่ได้คิดอะไร ก็ไปเรียน1 ปีเต็ม และเริ่มเต้นในงานคอนเสิร์ต ก็โอเคสนุก เต้นแล้วได้สตางค์(หัวเราะ) สมัยก่อนบุกเบิกวงการเต้นเลยอาร์เอสก็เลยชวนให้มาเล่นหนังเรื่อง “รองต๊ะแล่บแปล๊บ”คนก็ชื่นชอบ เลยรวมตัวกันมาออกเทปในนามวง “ไฮแจ็ค”เราต้องไปเรียนร้องเพลงเป็นเรื่องเป็นราว และบังเอิญดังมีชื่อเสียงกันขึ้นมาอีก เรียกว่าทุกอย่างเป็นความบังเอิญหมด ไม่ได้เป็นความชอบตั้งแต่แรกด้วย พอเรามาเรียนดวงเรียนฮวงจุ้ยเลยทำให้เรารู้ว่าทำไมเราถึงทำตรงนั้นขึ้นก็เพราะว่าธาตุของเราให้คุณ มันจะดีกับเรา ถึงว่าไงว่าทำไมบางคนเขารักเขาชอบแต่ทำไมทำไม่ขึ้น ก็เพราะว่าแบบนี้นี่เอง เรามาดูอดีตย้อนหลังของเรา เลยยิ่งทำให้เราเข้าใจ

กับความสำเร็จในวันวาน

สำหรับคนที่ไม่ได้ชอบตรงนั้นเลยแล้วมาถึงจุดนี้ได้ ผมถือว่ามันโชคดีมากเลยนะ โชคดีที่บังเอิญชีวิตและจังหวะของดวงที่เราไปจ๊ะเอ๋กับเรื่องราวเหล่านั้น ซึ่งหลายคนเขาใฝ่ฝัน บางคนมุ่งเลยด้วยซ้ำ ว่าเขาอยากจะเป็น แต่ก็ไม่ได้ ซึ่งเรามันบังเอิญทุกอย่างเลย แล้วเราได้มา เราได้สัมผัสบรรยากาศ ได้สัมผัสแฟนเพลง ซึ่งไม่น่าเชื่อ น้อยคนในประเทศที่จะมาอยู่ตรงจุดนี้ ไปไหนไปทัวร์ต่างจังหวัดก็มีแฟนคลับตามไปกรี๊ดไปให้กำลังใจ การที่คนที่เขาไม่ใช่ญาติพี่น้องและเราไม่เคยรู้จักเลย แต่เขามาชอบเรา มันเป็นบรรยากาศที่หาไม่ได้ สมัยก่อนเราเป็นแดนเซอร์เราก็จะเห็นแฟนเพลงของศิลปินอยู่แล้ว ที่เขามาชอบนักร้องที่เราเต้นให้ เราก็ได้แต่คิดว่าชีวิตนี้เราคงไม่ได้สัมผัสแบบนั้นเป็นแดนเซอร์ก็จะมีแฟนคลับเหมือนกันตาม “โลกดนตรี, 7 สีคอนเสิร์ต” แค่นี้เราก็แฮปปี้แล้ว แต่แล้วก็บังเอิญได้มาเป็นนักร้องโดยที่เราไม่ได้คิด มันเป็นเรื่องที่ครั้งหนึ่งในชีวิตไม่เคยลืมอยู่แล้ว เราร้องเพลงเสร็จมีคนพับนกกระดาษพับดาวมาให้แล้วบอกว่าหนูไม่ได้นอนสองวันเลยเนี่ย พับมาให้ เราฟังแล้วเรารู้สึกปลื้มมาก ทั้งที่เราไม่ได้เป็นคนสำคัญไม่ได้เป็นพ่อแม่พี่น้องเขา แต่เขาก็ให้ความสำคัญเรา เราสัมผัสได้เลยว่ามันหาที่ไหนไม่ได้หรอกบรรยากาศแบบนี้

ทักษะการร้อง-เต้น

สำหรับผมเต้นง่ายกว่า แต่ร้องเพลงเป็นอะไรที่ยากมาก เพราะว่าเราต้องมาปรับ เราเป็นคนเสียงแหบด้วยแต่ก็มีเพลงประจำตัว แล้วก็ได้รับความนิยมด้วย คือ “ขอบอกเอง” ก็ฝึกแบบหนักหน่วงเลย เพราะว่าหนึ่งคือเราไม่ใช่คนที่เสียงดีมาโดยกำเนิด สองเราต้องทั้งร้องทั้งเต้น คือเราต้องมีแรงมากกว่าคนที่เขายืนร้องเฉยๆ เวลาที่ฝึกร้องเพลง ผมต้องวิ่งขึ้นวิ่งลงตึกอาร์เอสเพื่อให้เหนื่อย แล้วค่อยมาร้องเพลง ถ้าเราไม่ทำแบบนี้ แล้วเราเหนื่อยๆ ไปร้องเพลงเราก็ตาย แล้วสมัยก่อนเราไม่มีการซิงก์ ทุกอย่างเราสดหมด สมัยนี้สบายแล้วมาเมคกันได้

ครอบครัว “ไฮแจ็ค”

กับเพื่อนในวงทุกวันนี้ก็ยังติดต่อพูดคุยกันอยู่ คือเราอยากดึงแฟนเพลงกลับมารวมตัวกัน เหมือนเราอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่สมัยเขายังเด็กๆ เราก็อยากรู้ว่าตอนนี้ทุกคนเป็นอยู่กันยังไงบ้าง เราอยู่กันเหมือนเป็นแฟมิลี่แล้ว สมัยเด็กๆ คือเขามาชอบเราโดยที่ไม่มีข้อแม้ เราเองสมัยก่อนงานเยอะเราเลยไม่มีเวลาได้เทคแคร์พวกเขา ไม่ได้คุยกับเขาเป็นเรื่องเป็นราว ได้คุยกันแค่ผิวเผิน แต่พอมาตอนนี้เขาเกาะกลุ่มกันอยู่แล้ว เราสามารถติดต่อกันได้ คือมีเฟซบุ๊คมีไลน์ด้วย เลยสามารถดึงเขาเข้ามา ตอนนี้สมาชิกก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เราก็คุยอยากจะเจอกัน บางคนมีลูกแล้ว เราก็เลยจะเป็นเพื่อนต่อกันไปเรื่อยๆ จนแก่เฒ่าคือเราไม่ใช่ศิลปินกับแฟนเพลงแล้วนะ แต่เราเป็นพี่เป็นน้องกัน เราอยากจะคีฟตรงนี้ไปจนลูกเขาโต จนเราแก่เฒ่าไปด้วยกัน แล้วเราก็จะมีอีเวนท์ให้ทุกคนมาเจอมาจอยกัน หรือใครมีปัญหาอะไรเราพอช่วยได้เราก็จะช่วยกัน

กิจกรรมที่จะทำร่วมกับแฟนคลับ

เราจะมีมีตติ้งแบบเล็กๆ ก่อน แต่ก็คิดว่าปีนึงจะมีมีตติ้งใหญ่ๆ ทำเป็นคอนเสิร์ตปาร์ตี้ส่วนตัวของเราร้องเพลงเก่าๆ ขึ้นมาจอยกันเล่นเกม ก็พยายามคิดกันอยู่ เป็นส่วนตัวเฉพาะแฟนคลับของไฮแจ็ค แต่เราก็อยากให้ทุกคนมาร่วมกันเยอะๆมาทำความรู้จักกันมาย้อนวันวานไปด้วยกัน และถ้าเราเจอกันบ่อยๆ เราอาจจะทำเพลงอะไรกันเองสนุกๆในกลุ่มของเราเองลงยูทูบไม่ได้เกี่ยวกับสมัยเก่า แต่ถ้าเป็นโปรเจกต์ที่ทำกับค่ายคงไม่มีแล้ว เราจะทำกันเองมากกว่าสนุกๆ อยากจะร้องอะไรอยากจะทำอะไรเพื่อให้แฟนคลับได้รับความสนุกสนาน แต่ว่าการรวมกลุ่มกัน สี่คน เจมส์อาจจะมารวมกับพวกเรายากหน่อย มีตติ้งเล็กๆ อาจจะไม่ได้มา แต่ถ้าเป็นมีตติ้งใหญ่ๆ นี่ไม่พลาดเนื่องจากว่าเขาอยู่อุบลฯและเน้นไปในทางธรรมอยู่แบบสันโดษชีวจิตอยู่แบบพอเพียงเน้นธรรม ก็ไปกันคนละแนวเลยครับสี่คน

ความผูกพันของสี่หนุ่มกลุ่ม “ไฮแจ็ค”

ด้วยความที่เราเริ่มต้นมาด้วยกัน แล้วไม่ใช่ว่าอยู่ๆโดนจับคนนั้นคนนี้มา ก่อนมาเป็นนักร้องเราเป็นแดนเซอร์เราอยู่ด้วยกันมา ใช้ชีวิตด้วยกันมาหลายปี ยิ่งกว่าพี่น้อง แปดโมงเช้าเรามาซ้อมเต้นกันแล้วกว่าจะเสร็จก็เที่ยงคืนตีหนึ่งทุกวันด้วยนะเพราะว่างานเต้นเยอะมาก ชีวิตเราอยู่ที่สตูซ้อมเต้นแล้วก็ไปเต้นมีงานเกือบทุกวัน เราก็เลยทิ้งกันไม่ได้เหมือนพี่เหมือนน้องกัน อย่างผมกับผีเราจะอยู่คอนโดฯด้วยกันก็ไปซ้อมเต้นด้วยกันไปมาด้วยกันตลอด จนเป็นนักร้องค่อยแยกกันอยู่ เราไม่เคยมีเรื่องทะเลาะหรือว่ามีปัญหากันเลยนะสี่คน มีแต่แซวกันสนุกสนานมากกว่า

ชีวิตคู่และครอบครัว

ยังไม่ได้แต่งงานครับ แต่ก็มีโครงการนะว่าถ้าเราโอเคแล้ว พ่อแม่ทุกคนก็รับรู้คือถ้าถึงช่วงนึงเราก็ต้องแต่งงานให้ผู้ใหญ่สบายใจ เราก็พาลูกเขามาก็อยากให้พ่อแม่ญาติพี่น้องเขาสบายใจในขนบธรรมเนียมประเพณีของคนไทย อาจจะสักปีหน้าอาจจะมีข่าวดีครับ เราคบกันมาจะสิบปีแล้วครับ ประทับใจเขาคือด้วยนิสัย สิ่งที่ชอบทุกอย่างมันใกล้เคียงกันหมดพอมาดูดวงทุกอย่างเราลงล็อกกันคือในแง่ของนิสัยชอบเหมือนกัน ชอบไปเที่ยวเหมือนกัน เหมือนเราเป็นเขาในแบบผู้หญิง เขาก็เป็นเราในแบบผู้ชาย มันเลยอยู่ด้วยกันได้อย่างไม่มีปัญหาเราสองคนอยู่ด้วยกันตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงมาเป็นสิบปีแล้ว ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ยากนะการที่คนเราทำงานด้วยกันอยู่ด้วยกันตลอดแล้วจะไม่ทะเลาะกัน ส่วนเรื่องลูกไม่มีแล้วครับเพราะว่าเราเองก็อายุเยอะแล้ว และเราอยากใช้ชีวิตตรงนี้อยากจะช่วยคนมากกว่า ถ้ามีลูกตอนนี้คงจะไม่ไหวแล้ว คือมันเป็นภาระแล้วเราต้องทุ่มเทกับเขาให้เวลาเขา โดยที่เราจะมาทำงานตรงนี้ไม่ได้เลย

โปรเจกท์ที่อยากทำ

โปรเจกท์ต่อไปคือเราอยากจะทำรายการลงยูทูบเผยแพร่ให้คนได้รู้ได้กว้างขวางขึ้นบอกความรู้กี่ยวกับเรื่องฮวงจุ้ยให้คนมาดูว่าการดูแลบ้านพื้นฐานต้องทำยังไงเราจะมีช่องทางบอกเรื่อยๆ และมีสัมมนาเรื่อยๆ ส่วนงานร้องเพลงงานเต้นก็ยังคิดถึงอยู่นะ ถ้ามีโอกาสได้ทำก็แฮปปี้ที่จะทำ แต่ถ้าไม่มีโอกาสก็ไม่เป็นไรเพราะว่าเราไม่ได้ซีเรียส ก็อยากจะมีคอนเสิร์ตแบบรวมศิลปินที่เป็นแดนซ์จริงๆ สมัยยุคนั้นของอาร์เอส “ทัช ณ ตะกั่วทุ่ง” “แร็พเตอร์”“ลิฟท์ออย”“บาซู” ให้กลับมาเป็นแดนซ์ปาร์ตี้ไม่ต้องมีโต๊ะนั่ง เชิญทุกคนแดนซ์หมด(หัวเราะ) แฟนคลับอาจจะหอบหน่อย ก็ยืนเย้วๆ กันได้ครับ

ความในใจถึงแฟนๆ

ก็อยากจะบอกว่าขอบคุณแฟนเพลงพอเราย้อนกลับไปดูสิ่งที่ทำให้เราไม่ว่าจะเป็นพับดาวพับนกหรือว่าวาดรูปให้โอ้โห! การทำแต่ละอย่างมันยากมากนะ ก็อยากขอบคุณแฟนๆ ที่ตอนนี้เกาะกันเหนียวแน่นมากและยังซัพพอร์ตเรายังน่ารักกันเหมือนเดิมถ้าไม่มีพวกเขาก็คงจะไม่มีเราในปัจจุบัน อะไรที่เราพอจะช่วยได้คืนเขาได้บ้างเราก็อยากจะช่วยเหลือในแง่ไหนก็ได้ที่เราพอจะทำได้

แฟนคลับของหนุ่มต๋อยและวงไฮแจ็ค ได้ยินแบบนี้แล้วคงจะออกอาการปลื้มกันเป็นแถว

กุหลาบสีเงิน

Star Retro : เปิดชีวิตดาวร้ายหนวดงาม ‘ตู่-พงศนารถ วินศิริ’

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/entertain/309184

Star Retro : เปิดชีวิตดาวร้ายหนวดงาม  ‘ตู่-พงศนารถ วินศิริ’

Star Retro : เปิดชีวิตดาวร้ายหนวดงาม ‘ตู่-พงศนารถ วินศิริ’

วันอาทิตย์ ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2560, 06.00 น.

เป็นนักแสดงที่สวมบทดาวร้าย และคงคาแร็กเตอร์ของความมีหนวดไว้อยู่เสมอสำหรับ “ตู่-พงศนารถ วินศิริ” ที่จะเรียกว่าเป็นดาวร้ายคู่บุญของผู้กำกับชั้นครู “ฉลอง ภักดีวิจิตร” ก็คงไม่ผิด กับหลากหลายผลงานที่ผ่านมา บนเส้นทางในวงการบันเทิง และเรื่องราวชีวิตของเขาที่หลายคนอาจจะยังไม่ทราบ วันนี้สตาร์เรโทรมีคำตอบให้ได้รู้กัน

“ก่อนที่จะเข้ามาในวงการบันเทิงคือต้องบอกว่าเราเพิ่งกลับมาจากเมืองนอก ไปอยู่เมืองนอกมาทั้งอังกฤษและอเมริกา เป็นหนุ่มนักเรียนนอก พอกลับมาก็โต๋เต๋ไปเรื่อย จนกระทั่งมีโอกาสได้ถ่ายโฆษณา รับงานโฆษณามาก่อน ตอนนั้นอายุประมาณ 28 กำลังหล่อน่ารักเลย (ยิ้ม) แล้วเราคือไม่ค่อยดูหนังไทย ไม่ค่อยรู้จักดาราบ้านเรา แต่ก็จับพลัดจับผลูได้มาถ่ายโฆษณาอยู่หลายชิ้นเหมือนกัน เป็นสินค้าทั่วไป เครื่องใช้ไฟฟ้า หมู่บ้านจัดสรร คือหน้าเราก็จะแนวนี้คือ ไว้หนวดมาตั้งแต่หนุ่มเลย คาแร็กเตอร์เราคือมีหนวด เพราะเขาบอกว่ายิ่งโกนยิ่งขึ้นเราก็เลยไม่โกนมันซะเลย”

เข้าสู่วงการงานแสดง

ผมเริ่มต้นงานแสดงกับ “คุณอาฉลอง ภักดีวิจิตร” อาเจอผมจากโฆษณาหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ คือที่มีหน้าคนปูดขึ้นมาจากหนังสือพิมพ์ นั่นแหละคือผมเองครับ อาหลองก็ชอบเลยให้คนไปตามหาเราจนเจอ แล้วก็ให้มาเล่นภาพยนตร์เรื่อง “มังกรเจ้าพระยา” ภาค 2 พระเอกตอนนั้นคือ“คุณวิลลี่ แมคอินทอช” นางเอก “คุณแวร์ โซว์” ผมเองก็เล่นเป็นผู้ร้ายเลยครับ อาเห็นแววตาความร้ายเลยมอบบทร้ายให้เราเล่น จริงๆ เรารู้จักอาอยู่แล้วนะคือรู้จักแต่ชื่อ แต่ไม่เคยเจอตัว ก็ไม่คิดว่าเขาจะมาหลอกอะไรเราหรอก เพราะว่าคนที่เขามาตาม เขาบอกให้ไปพบอาหลองที่บ้านเลย ส่วนเรื่องการแสดง เรื่องแอ๊กติ้ง เราก็รู้สึกประหม่าอยู่เหมือนกัน แต่ว่าเราก็เชื่อในมือของคุณอา และอีกอย่างคือเราก็ผ่านโฆษณามาเยอะ ซึ่งโฆษณาก็เป็นงานที่ยากนะ เราต้องเล่นหลายเทค ใช้เวลานาน คือจริงๆ การแสดงเราต้องหน้าหนาไว้ก่อน คิดว่าเราต้องทำได้ และก็ทำได้จริงๆ หลังจากนั้นก็ได้เล่นละครเรื่อง “ระย้า” ที่คุณอาได้สร้างให้กับทางช่อง 7 ต่อมา “คุณแม่สมสุข กัลย์จาฤก” คุณแม่ของ “คุณต๊ะ-นิรัตติศัย” กำลังจะเปิดละครเรื่อง “เพชรตาแมว” เขาก็เลยให้คนมาติดต่อให้เราไปเล่น เลยได้มาเล่นของกันตนา แต่เราก็ขออนุญาตอาหลองก่อนนะว่าจะไปเล่นค่ายอื่น ด้วยความเกรงใจก็ต้องขออนุญาตก่อน อาก็บอกว่าลองไปหาประสบการณ์ดูไม่เป็นไร ก็เลยได้เล่นละครเรื่อยมา ทั้งกับทางค่ายอื่นๆ และค่ายของอาหลองด้วย

ยึดบทร้ายมาโดยตลอด

น้อยมากที่จะได้เล่นเป็นคนดี กับบทร้ายนี้ผมมองว่ามันเป็นบทบาทที่เราได้แสดงออกได้เกรี้ยวกราดดีนะ แล้วก็ในรุ่นของผมก็มีดาวร้ายไม่ค่อยเยอะ ช่วงที่เข้ามาก็จะมี คุณฤทธิ์ ฤาชา,คุณดามพ์ ดัสกร แต่เราก็จะรุ่นเด็กกว่าเขา บทร้ายที่ได้เล่น ก็จะเป็นเจ้าพ่อมาเฟีย นักธุรกิจที่เป็นตัวไม่ดีขี้โกงอะไรแบบนี้ ส่วนบทตลกก็เคยได้เล่นบ้าง เป็นซิทคอมของทางเวิร์คพอยท์ ซึ่งก็โอเคนะ คนชอบเราเองก็ชอบด้วย คือผมเป็นคนอารมณ์ดีอยู่แล้ว เวลาเล่นตลก แม้ว่าหน้าเราจะมีหนวดดูร้าย แต่มันก็ดูขี้เล่นติดตลกได้ หรือว่าเล่นเป็นผู้ร้ายแบบตลกๆก็มักจะได้รับเล่นด้วยเหมือนกัน และส่วนมากก็จะเล่นกับค่ายของอาฉลอง คนเลยมองว่าเป็นเด็กในสังกัดไปซะแล้ว แต่จริงๆ ก็เป็นสัญญาใจกัน เพราะว่าแจ้งเกิดจากที่นี่และเล่นด้วยกันบ่อย ก็เป็นผู้สร้างเราขึ้นมาเคี่ยวเข็ญเราขึ้นมา แล้วก็ให้บทบาทที่ดีๆ กับเราเรื่อยมาได้ฝึกการบู๊ การวางท่า ลีลาในการแอ๊กชั่นต่างๆ การวางตัว มุมกล้องอาก็สอนมา นอกจากสอนเบื้องหน้าแล้ว ยังแอบสอนงานเบื้องหลังเราด้วย สำหรับบทบาทที่อยากจะเล่นคืออยากเล่นบทดราม่ารันทดๆ อยากเศร้าบ้างอยากโชว์ความสามารถทางการแสดงในอีกขั้นของเราครับ

เริ่มค้นพบว่าชอบการแสดง

ผมเริ่มชอบตั้งแต่ถ่ายโฆษณาแล้วนะ จริงๆที่ผมเรียนจบมาจากอเมริกาคือด้านอินทีเรียดีไซน์ ตกแต่งภายใน ก็ได้มาทำเหมือนกัน เคยมาตกแต่งที่โรงพยาบาลแพทย์ปัญญาอยู่ช่วงนึง แต่ทุกวันนี้
ไม่ได้ทำแล้วครับ

เน้นอาชีพนักแสดงเป็นหลัก

ไม่ครับ จริงๆ ผมมีอาชีพอื่นทำด้วยนะ บางคนอาจจะไม่ทราบ ส่วนตัวทำธุรกิจนำเข้าพวกลวดเชื่อม อุปกรณ์การเชื่อมมาจากสวีเดน ชื่อบริษัท อินเตอร์เชนจ์เทรด นี่คือสองอาชีพที่ทำควบคู่กันไป ซึ่งถ้าจะให้เลือกอย่างหนึ่งอย่างใด สำหรับสองอาชีพนี้ ก็เลือกไม่ได้ เพราะว่าอย่างธุรกิจนี้ เราก็ทำมานาน ติดต่อกันมาเรื่อย ผูกพันกันมาเรื่อย คงจะยังทำต่อไป ส่วนงานแสดงก็ทำต่อไปเรื่อยๆ และถ้าให้นับจำนวนผลงานที่แสดงมา ผมว่าเกินห้าหกสิบเรื่อง ไม่กล้าบอกเป็นร้อยแต่ก็หลายสิบเรื่องมากๆ ทั้งซีรี่ส์เล็กๆ น้อยๆ อีกนะ รวมทั้งภาพยนตร์ต่างประเทศอีกหลายเรื่อง หนังอินเดียก็ได้เล่นครับ เล่นเป็นตำรวจไทยไปวิ่งจับผู้ร้ายแถวพาหุรัด (หัวเราะ) ก็คิดว่าจะยังคงรับงานแสดงนี้ต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าจะมีคนไม่อยากจะจ้างเรา คือเราก็ต้องดูแลร่างกายเราให้มันดี เราก็อยากจะอยู่ให้นานที่สุด กับยี่สิบกว่าปีที่เราอยู่จุดนี้

ชีวิตครอบครัว

ทางครอบครัวก็สนับสนุน ไม่ได้ว่าอะไร คือผมก็มีครอบครัวมีลูก 3 คน คนโตชื่อ “แพน” เป็นผู้หญิงทำงานอยู่วิกตอเรียซีเคร็ท คนที่สองเป็นผู้ชายชื่อ “พอพ” ทำงานอยู่การบินไทย ส่วนคนที่สามก็เป็นผู้ชายชื่อ “พาย” ทำงานอยู่ที่พานาโซนิค ภรรยาผมคือ “คุณแอ๊ะ” เมื่อก่อนก็เคยทำงานในวงการบันเทิงเหมือนกันครับ เปิดเป็นบริษัทเอเจนซี่โมเดลลิ่ง เป็นผู้จัดการส่วนตัวให้กับ “คุณเอ็มม่า- วรรัตน์, คุณอาร์ต-ศุภวัฒน์” แต่ว่าตอนนี้เขาไม่ได้ทำแล้ว ซึ่งเมื่อก่อนนี้ผมก็ไม่ได้เข้าไปยุ่งในงานส่วนของภรรยาเขาหรอก คือไม่อยากให้คนมองว่าเราอยู่ในสังกัดของภรรยา แล้วจะต้องได้เล่นหนังเล่นละครเรื่องนั้นเรื่องนี้ ก็เลยแยกมาหาของเราเอง ส่วนตัวของลูกๆ เขาเป็นคนขี้อายกัน ก็เลยไม่ได้ชอบมาทางด้านงานแสดงเหมือนพ่อ ให้เข้ามาแสดงด้วยเขาไม่กล้าเลยครับ คงจะไม่มีคนไหนที่เจริญรอยตามคุณพ่อ แต่ว่าในส่วนของงานธุรกิจผม เขาชอบนะก็ไม่ได้ว่าอะไร ออกจะภูมิใจซะด้วยซ้ำ (ยิ้ม) เพราะว่าเวลาไปไหนมาไหนด้วยกันคนก็ได้รู้จักลูกๆ ด้วย เราเองก็ไม่ได้ผลักดันลูกว่าจะต้องเข้ามาทำงานในวงการเหมือนเราไม่เคยเอารูปลูกๆ ไปโชว์ให้ใครดู เรารู้ว่าเขาไม่ได้สนใจ เราก็เลยมองข้ามตรงนี้ และเราก็เป็นพ่อที่ไม่ได้กะเกณฑ์อะไรกับลูกมากมาย เขาอยากเรียนอยากทำอะไรก็แล้วแต่เขา ให้เขาดำเนินชีวิตของเขาไป แล้วเราก็อยู่คอยดูเขา คอยแนะนำเขาดีกว่า ให้มีความอดทน เพราะว่างานอะไรมันก็ลำบากหมดแหละ คือทำอะไรก็ให้อดทน อย่าทำแค่นิดนึงไม่ไหวไม่ทำแล้ว แบบนั้นมันก็จะไม่ดี เรียนรู้อะไรให้มันจริงแล้วจะดีเอง

ผลงานประทับใจ

ผมว่าน่าจะเป็นละครเรื่องแรกคือ “ระย้า” เพราะว่ามันมีความตั้งใจมาก คือเล่นเป็นผู้ร้ายนี่แหละ อยู่ฝ่ายญี่ปุ่น ซึ่งญี่ปุ่นมาบุกไทย แล้วเราก็เข้ากับญี่ปุ่นหวังเงินทองจากเขา แล้วก็ถือว่าละครเรื่องนี้แจ้งเกิดผม เป็นเรื่องที่ประทับใจแล้วเรื่องราวก็สนุก แต่จริงๆ ผมถ่ายของคุณอาเยอะแล้ว ก็ได้รับบทบาทที่ดีๆ ทั้งนั้น เวลาไปไหนมาไหนคนก็จดจำเราได้ ว่าเป็นนักแสดง แต่ส่วนใหญ่จะนึกชื่อไม่ออก เขาก็จะขอถ่ายรูปแล้วก็ขอลายเซ็นด้วย และด้วยความที่คาแร็กเตอร์เรามันชัดมากคือมีหนวด คนเลยจดจำได้ง่าย แต่ชื่อจำได้ไม่ได้ นั่นก็อีกเรื่องนึง ก็ไม่เป็นไรเราไม่ว่ากันอยู่แล้ว (หัวเราะ) ผมเคยโกนหนวดเหมือนกันนะ ตอนนั้นไปถ่ายโฆษณาของจีน แล้วเขาก็บอกว่าโกนหนวดได้ไหม เราก็เลยโกน แต่ว่าตอนนั้นเราก็ติดถ่ายอยู่อีกหลายเรื่อง ก็เลยต้องซื้อหนวดปลอมมาแปะ

หนวดเรียกทรัพย์

ช่วยให้เราสามารถใช้ทำงานจนทุกวันนี้ เขาก็บอกว่าดีนะ พอมีหนวดแล้วดูดีกว่าตอนที่ไม่มีหนวด (หัวเราะ) เราก็จัดการเล็มให้มันเข้ารูปสวยงามอยู่เสมอ ดูแลไป

นอกจากนักแสดงมีงานบันเทิงด้านอื่นที่สนใจไหม

คงไม่ทำอย่างอื่นแล้วครับ เพราะเราไม่ใช่คนที่มีความรู้อะไรมากมาย คนที่จะมาทำงานตรงนี้ จะต้องมีความรู้ มีศักยภาพอะไรมากมาย และต้องเข้าใจ ต้องสั่งคนได้ ถ้าเป็นผู้จัดหรือว่าผู้กำกับก็ไม่เอา ลำบากไป เป็นนักแสดงดีกว่าครับ เพราะว่าเรามีงานอย่างอื่นด้วย มีธุรกิจของเราที่ทำคือเป็นรายได้หลัก ที่เราใช้เลี้ยงตัวเองและเลี้ยงดูครอบครัวได้ ผมดูแลบริษัทคนเดียว ไม่ได้หุ้นกับใคร ต้องนำเข้ามาเองเพราะที่เมืองไทยไม่มี การทำงานเราใช้โทรศัพท์ในการสั่งของ แล้วพอของมาบางทีเราก็ไปส่งเองถ้ามีเวลา คือการที่เราไปส่งเองนี่ดีตรงที่เราจะได้เห็นลูกค้าด้วย พอลูกค้าเห็นเราก็ อ้าว! ถ่ายรูปหน่อยได้เครดิตอีก ซึ่งถือว่าดีครับ มีหลายๆ ครั้งที่เป็นแบบนี้นี่ก็เพิ่งไปมานะ ก่อนที่เราจะมานั่งคุยกัน ลูกค้าก็ให้การต้อนรับที่ดี ไม่เจอกันนานเลยนะอะไรแบบนี้ และเราก็จะได้คุยงานกับลูกค้าเองได้ด้วย

งานแสดงต่อยอดไปสู่ธุรกิจ

ไม่เคยมีคนมาทักแล้วมาด่าว่าไม่ชอบในการแสดงเลยนะครับ (หัวเราะ) คือก็ไม่รู้เหมือนกัน หรือว่าคนดูเขาจะถูกใจ พอเจอใครเราก็พูดคุยทักทายยิ้มแย้มแจ่มใสกับเขา อารมณ์ดีไม่เครียด การแสดงเราถือว่าเป็นการต่อยอดให้กับธุรกิจ คือเราทำควบคู่กันมานานแล้ว ถ้าวันหนึ่งงานแสดงเราไม่มี ก็ยังมีธุรกิจนี้รองรับอยู่ และทำให้เราไม่เบื่อด้วย เพราะว่าผมเป็นคนที่ชอบค้าขายอยู่แล้ว ผมทำธุรกิจนี้มาเกือบยี่สิบปีแล้ว พอๆ กับเป็นนักแสดง ลูกค้าส่วนใหญ่ก็จะเป็นนิคมอุตสาหกรรมต่างๆ คนในวงการบันเทิงไม่มีครับ เพราะว่าเขาไม่ค่อยได้ทำธุรกิจแบบนี้กัน ลูกๆ เขาก็คงไม่ได้มาทำตรงนี้หรอก คือก็แยกๆ กันไปตามแต่ที่เขาจะชอบ แต่ถ้าผมเป็นอะไรไปเขาก็ต้องมาทำอยู่แล้ว มาช่วยกันดูแลลูกค้าต่อไป เพราะว่างานเหล่านี้คือเราต้องสั่งของต่อเนื่องของหมดเขาก็สั่งต่อ เราไม่ต้องทำอะไรมาก ดูแลให้เขาดีๆ

จากหนุ่มนักเรียนนอกสู่งานแสดง

(หัวเราะ) เพื่อนๆ เขายังไม่อยากจะเชื่อกันเลยว่าเราจะเข้ามาตรงนี้ มาดังได้ยังไง มาเป็นคนของประชาชนได้ยังไง คือคนเรานะ เดินไปข้างหน้า เรายังไม่รู้เลยนะว่าจะเป็นยังไง มันสามารถที่จะไปได้เรื่อย ต่อยอด เพียงแต่เราทำให้มันดีก็แล้วกัน ซื่อสัตย์ต่อเขา ทั้งต่อคนดู และต่อลูกค้าที่เราทำธุรกิจด้วย

ความในใจถึง “อาฉลอง ภักดีวิจิตร”

คุณอาฉลอง ตอนแรกก็ได้ยินแต่ชื่อเสียง เคยดูหนังของท่านบ้างตอนที่อยู่เมืองนอก เขาเอาไปฉาย พอท่านมาชวนไปร่วมแสดงด้วย เราก็รู้สึกยินดีและเป็นเกียรติมาก ต้องทำให้ดีที่สุด แล้วคุณอาเป็นคนที่ผสมผสานการทำงานแบบคนรุ่นเก่ากับรุ่นใหม่ เข้ากันได้ดี ซึ่งผมชอบนะ และให้ประสบการณ์จากของเก่าและเสริมวิสัยทัศน์ใหม่ๆ มาสอนเรา และนักแสดงทีมงานที่อยู่เบื้องหลังทุกคน ถึงแม้ว่าจะดุไปหน่อย (หัวเราะ) แต่ก็ดุด้วยความจริงใจ ดุด้วยความรัก พอเลิกงานแล้วก็ปกติ เป็นคนที่ไม่มีอารมณ์แค้นคือดีมากครับ และให้ประสบการณ์ที่ดีกับผมมาก ไม่มีผู้กำกับคนไหนหรอก ที่จะมาบอกว่าหันมาตรงนี้ แล้วมือไปอย่างนี้นะ ต้องพูดแบบนี้แล้วค่อยหันมากล้องนี้นะ แต่อาหลองทำ และละเอียดมาก ทำให้เรากลายเป็นหลานโปรด แต่ตอนนี้ไม่รู้โปรดหรือเปล่า(หัวเราะ)เพราะหลานท่านเยอะขึ้น นักแสดงในวงการมีเยอะ

ความในใจถึงแฟนๆ

ถ้าเจอกันที่ไหนก็ทักทายพูดคุยถ่ายรูปกันเป็นที่ระลึกนะครับ แล้วก็ให้การสนับสนุนผมไปเรื่อยๆ จะทำผลงานออกมาให้ดีที่สุด ไม่ดุเหมือนในละครแน่นอน ตัวจริงใจดีมากครับ สนุกสนานอารมณ์ดี อาจจะมีบ้างที่เวลาหน้านิ่งๆ แล้วคนจะมองว่าดุ เลยไม่กล้าเข้ามาคุยแต่ไม่ใช่เลยครับ เข้ามาทักทายกันได้ ถ่ายรูปได้จริงๆ และฝากละครด้วยตอนนี้ก็มีทั้งที่ถ่ายจบไปแล้ว“เชิงชายชาญ, สารวัตรใหญ่, MyHero ตอน เส้นสนกลรัก” และที่ยังถ่ายทำอยู่ก็มี “สัมปทานหัวใจ,เล็บครุฑ, พ่อตาปืนโต”

และนี่ก็คืออีกแง่มุมชีวิตของดาวร้ายในตำนาน “ตู่-พงศนารถ วินศิริ” ที่คนไทยคุ้นตากับใบหน้าเปื้อนหนวด ซึ่งหากจะบอกว่าเป็นหนวดเรียกงานเรียกทรัพย์ก็คงจะไม่ผิด

กุหลาบสีเงิน

Star Retro : แดง อารมณ์ดี กับวิถีความสุขที่ลงตัว

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/entertain/307934

Star Retro : แดง อารมณ์ดี   กับวิถีความสุขที่ลงตัว

Star Retro : แดง อารมณ์ดี กับวิถีความสุขที่ลงตัว

วันอาทิตย์ ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2560, 06.00 น.

วนเวียนอยู่ในวงการบันเทิงมานานกว่า 30 ปี แดง อารมณ์ดี หรือ อิทธิพัทธ์ อักษรนันทน์ เจ้าของวดีเด็ดจากโฆษณา “ทำไมคุณถึงไม่นั่ง, ก็ลมมันเย็น” ผลงานที่ทำให้แฟนๆ จดจำเขาได้เป็นอย่างดี ซึ่งตอนนี้ นอกจากงานแสดงที่ไม่ถี่เหมือนแต่ก่อน แดง อารมณ์ดี ยังผันมารับหน้าที่พ่อค้าเต็มตัว ลงทุน ลงแรงปลุกปั้นทำธุรกิจของตัวเองอย่างจริงจัง เรียกว่า..กว่าจะยืนหยัดและมีชีวิตที่ลงตัวแบบวันนี้ได้ ต้องผ่านบททดสอบมามากมาย

ย้อนรอยคนดังในอดีต

เริ่มแรกก่อนเข้าวงการผมทำงานอยู่ที่ธนาคารกรุงเทพ ทำพวกเคลียร์ริ่งเช็ค แล้วก็ไปเจอคุณเป็ด เชิญยิ้ม พูดคุยกันถูกคอ จนได้ตั้งคณะตลกด้วยกัน ชื่อ “4 ทะเล้น” สมัยก่อนโน้น เราก็อาศัยกล้าพูด และเราเป็นตลกคณะแรกที่กล้าใส่สูทแสดงตลก ซึ่งพอใส่แบบนั้น ก็เลยโดนโห่ หาว่าตลกอวดรวย แต่เราก็ไม่ย่อท้อ แล้วเราก็อาศัยว่าตามดู เด๋อ ดู๋ ดี๋ แล้วก็เอามาดัดแปลง แล้วก็เอามาเขียนบท ซ้อมกันที่บ้าน ตอนนั้นเช่าบ้านอยู่ซอยองครักษ์ด้วยกัน ก็ใช้วิธีการซ้อมแบบ เอาเด็กๆ ข้างบ้านมานั่งดู แจกไอติมคนละแท่ง ถ้าเด็กชอบหัวเราะ โอเคจดมุขนั้นไว้ใช้ เอามุขนี้ไปเล่น ชีวิตตอนนั้น คือ กลางวันก็ทำงานธนาคาร กลางคืนก็ไปเล่นตลก

ชีวิตพลิกผันจนต้องหยุดเล่นตลก

ผู้ใหญ่ในธนาคารเรียกไปคุยว่าเป็นพนักงานส่งเช็ค เคลียร์เช็ค กลางคืนคุณนอนดึก แล้วเช้ามาทำงานจะมีปัญหาไหม ก็เลยตัดสินใจย้ายกลับไปอยู่ราชบุรี ทำธนาคารอย่างเดียว เลิกเล่นตลกไป แต่พอเลิกไปปีเดียวมั้ง ผู้ใหญ่ของธนาคารก็ส่งเสริมตลก ส่งเสริมศิลปิน ซะงั้น ซึ่งเราหยุดไปแล้ว (หัวเราะ) ตอนนั้นผมทำตลกอยู่ 10 ปี ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขและรักมาก สมัยนั้นถ้าเป็นคนมีความคิดนะ เก็บเงินรวยแล้ว แต่ผมไม่ได้เก็บ (หัวเราะร่วน)

เลี้ยงชีพด้วยการเป็นนายหน้าค้าที่

เป็นความบังเอิญครับ ผมไปทำงานธนาคารที่ราชบุรี โชคดีได้เจอแม่บ้านซาอุฯ เขาถามว่าพอ จะรู้จักใครที่อยากซื้อที่บ้างไหม เป็นที่ติดถนน ประมาณ 60 กว่าไร่ อยากจะขาย แล้วหลังจากนั้นไม่กี่วัน ก็มีคนถามผมว่ามีใครจะขายที่ไหมแถวนี้ เจ้านายเขาอยากได้ที่ประมาณ 60-70 ไร่ โอ้โห…แจ๊กพอตเลย ผมก็เลยจับชนกัน คนซื้อกับคนขาย ส่วนผมก็เอาแค่เปอร์เซ็นต์ไม่มีการบวก แล้วตั้งแต่นั้นมาก็เป็นที่รู้จักในหมู่คนอยากซื้อที่ และเป็นยุคที่การซื้อ-ขายที่ดินบูมมาก ตอนนั้นจำได้ผมขายตั้งแต่ 10 ไร่ จนถึง 700 ไร่ เป็นที่ตำนานเลยนะ อยู่ที่จอมบึง ทำให้ออกจากงานธนาคาร มาหาเลี้ยงชีพตัวเองจากการค้าที่ เป็นนายหน้า แต่พอซื้อไว้ขายเองเจ๊ง! ครับ(หัวเราะ) โดนโกงตั้งแต่นายอำเภอจนถึง เจ้าหน้าที่ที่ดินเลยล่ะ ชีวิตเลยขึ้นๆ ลงๆ ก็สู้ต่อไป

เข้าสู่งานในวงการบันเทิง

ละครเรื่องแรกที่เล่น คือ “เสรีไทย” ของ กันตนา ตอนนั้นเพื่อนชวนมาทำ เขารู้จักผู้จัดและเราก็เล่นตลกอยู่แล้ว เขารู้ว่าเล่นได้ ก็เลยชวนมาเล่น แล้วก็มี “ไผ่ลอดกอ” ผมเริ่มมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักตอนเล่นโฆษณา “บะหมี่จัง” แล้วก็ดังสุดๆ กับ โฆษณา “ยาบรรเทาริดสีดวง ตราปลามังกร” ประโยคที่ว่า “ทำไมคุณถึงไม่นั่ง,ก็ลมมันเย็น” แล้วก็มีเล่นละคร ซึ่งส่วนใหญ่บทก็จะเล่นเป็นตัวร้ายเกือบทุกเรื่อง มีบทดีเรื่องเดียวคือ “โลกทั้งใบให้นายคนเดียว” นอกนั้นร้ายตลอดไม่เคยดีเลย (หัวเราะ) แต่ต้องขอบคุณนะที่ทุกคนยังนึกถึงเรา และมีความภูมิใจตรงที่ว่าเขาไม่ผิดหวัง ให้เราเล่นบทร้ายเราก็เต็มที่ แต่ผมโมโหตัวเองอยู่อย่างหนึ่ง คือบทยาวแค่ไหนผมไม่กลัวนะ แต่ถ้ามีชื่อคนปุ๊บจำไม่เคยได้ (หัวเราะ) แปลกมาก อย่างตัวผมเองก็ไม่ค่อยมีคนรู้จักชื่อจริงๆ ก็จะเรียก ลมมันเย็น พี่หน้าหมู แล้วแต่เขาจะเรียก แล้วชื่อแดง ก็ไม่ใช่ชื่อจริงๆ ผมด้วยนะ แปลกดี

ชีวิตครอบครัว

ชีวิตจริงก็ขึ้นๆ ลงๆ บางครั้งก็เหลือ 50 บาท ทั้งตัว บางครั้งก็มี 20,000-30,000 ไม่แน่นอน ชีวิตเราก็อยู่ที่เรา ผมอดได้นะ แต่ลูกไม่อยากให้อดมาถึงวันนี้เขาก็ไม่เดือดร้อนเราแล้ว อย่างภรรยาผมเขาเป็นข้าราชการก็มีเงินเดือนของเขา เราไม่เบียดเบียนเขา ลูกๆ ทั้ง 3 คน ก็ดูแลตัวเองได้ไม่ห่วงแล้วครับ ลูกชายคนโตทำธุรกิจส่วนตัว คนกลางก็คุมคอมพิวเตอร์อยู่บริษัทแห่งหนึ่ง ส่วนน้องจิ๊บ (กุลธิดาฐ์ อักษรนันทน์) ก็จบปริญญาโททำงานในวงการนี่แหละครับ

อัพเดทชีวิตปัจจุบัน กับธุรกิจที่กำลังไปได้สวย

ตอนนี้ผมมาทำธุรกิจส่วนตัวเป็นผลิตภัณฑ์ที่ชื่อว่า GLOWDY PEELING GEL ซึ่งมีลูกสาวน้องจิ๊บ กำลังเริ่มเข้ามาสานต่อ เป็นผลิตภัณฑ์ที่จะช่วยลบรอยด่างดำ รอยฝ้า รอยกะ สิว หน้าไม่มัน แต่ที่แน่ๆ ชัดๆ ขัดรักแร้ทำให้กลิ่นตัวหาย แต่ตัวผลิตภัณฑ์เองไม่มีกลิ่นนะ เพราะว่าเราไม่ได้ใส่สารเคมีอะไรเลย ลองมาเองหมดเลย เพราะเราจะทำอะไรก็ต้องใช้เองก่อนอยู่แล้วเป็นธรรมดา หน้าผมเมื่อก่อนทั้งฝ้า ทั้งกะ ก่อนถ่ายละคร ช่างแต่งหน้าจะบ่นมาก เพราะเป็นฝ้า ก็ต้องโบะแป้งหนา พอเข้าฉากทั้งไฟทั้งอะไรก็โดนผู้กำกับว่า (หัวเราะ) หน้าลอยแต่ตอนนี้ไม่มีปัญหาครับ

เหตุที่เริ่มจับธุรกิจนี้

รู้จักกับผู้ผลิตที่เป็นคนไต้หวัน คุยถูกคอกัน คือเขาเห็นผมเป็นฝ้าขี่มอเตอร์ไซค์ หน้าดำ เขาก็เลยบอกว่าคุณแดงเอาอันนี้ไปใช้ดูสิ ปรากฏว่าพอมาใช้ก็หน้าใสขึ้น แล้วเขาจะกลับประเทศเขา ก็เลยให้สูตรเรามา ตอนแรกก็รับเข้ามาขายก่อน แต่พอเขาให้สูตรมา เราก็มาลองจ้างโรงงานทำให้ ก็ประสบความสำเร็จกับการขายมา15 ปีแล้ว เมื่อก่อนเคยทำธุรกิจมาหลายอย่างนะ แต่ไม่ประสบความสำเร็จแบบนี้ ตอนนี้ก็เลยทำอันนี้ สนุกสนานขายไปทำไป

ขายเองทำเอง ไม่คิดเปิดกิจการใหญ่โต

ผมออกไปขายเองทุกที่ ออกไปประชาสัมพันธ์ตามตลาดนัด โรงพยาบาล ได้พูดได้คุยกับคน จะได้ไม่เป็นอัลไซเมอร์ (หัวเราะ) เพราะใกล้จะ 37 ปีแล้ว (อีก 37 ปีจะ ครบ 100) มีความสุขตรงที่ลูกค้าบอกว่าของอาใช้ดีนะ แล้วมาขอรับไปขาย นี่แหละความสุข ซึ่งเดิมเป็นแค่ผลิตภัณฑ์ตัวเดิม อาดีสมุนไพร สมุนไพรเพื่อสุขภาพผิว แต่ลูกสาวน้องจิ๊บเขาบอกว่าพ่อของพ่อนะเชย แพ็กเกตก็ไม่สวยทำแพ็กเกตใหม่ เพิ่มคุณภาพเข้าไปด้วย ใส่คอลลาเจน ใส่หอยทาก ก็ออกมาก็เป็น GLOWDY PEELING GEL ซึ่งเพิ่งเสร็จมาประมาณสองเดือนครับ ตอนนี้ก็เลยพยายามทำให้คนรู้จักกับผลิตภัณฑ์ของเรา ไม่ได้ขายแพงครับ เอาแค่อยู่ได้มีความสุขที่ลูกค้ากลับมาแล้วชอบ เอาไปขายต่อผมไม่ได้ทำเยอะมากมายอะไร ทำเท่าที่เราพอจะจ่ายตังค์ได้ไหว ถ้าใครอยากรับไปขายก็โทร.มาได้ครับเบอร์ผมโดยตรงเลย โทร.086-445-6956ส่วนที่ขายประจำเลย ทุกวันเสาร์ วันอาทิตย์ ผมจะอยู่ที่ตลาดน้ำบางน้ำผึ้ง พระประแดง และกำลังจะมีไปเปิดที่ตลาดน้ำพันท้ายนรสิงห์ ผลิตภัณฑ์ตัวเดิม นี่ติดตลาดแล้ว ตัวใหม่ลูกค้ายังไม่รู้จัก ก็ต้องทำให้เขารู้จัก แล้วผมก็ไม่มีความรู้เรื่องโซลเชียล ลูกก็สอนจนเลิกสอนไปแล้ว (ยิ้ม)

ติดใจงานขาย

สนุกครับ เพราะผมก็ชอบพูดคุยกับคนอื่น จริงๆ หาเรื่องออกจากบ้าน (หัวเราะ) เพราะอยู่บ้านเหงานะ เหมือนเราไม่มีค่า ถึงจะทำงานบ้าน ก็ไม่ใช่เรื่องที่ภูมิใจอะไร แต่ถ้าได้ออกไปขายของพบปะผู้คน มีคนทักทาย ก็ดีใจที่มีคนจำได้ รู้จักเรา ถึงแม้ตอนนี้จะห่างเหินไปบ้างแต่ก็ยังมีผลงานละครถ่ายทำอยู่ครับ เรื่อง “บุษบาเปื้อนฝุ่น” ช่อง 8 กับ “หน่วยลับสลับเลิฟ” ช่อง 3 แต่ตอนนี้จะว่าไปธุรกิจค้าขายไม่ค่อยคล่องตัวนะ ยังไงก็ขอบพระคุณผู้จัดละครหลายๆ คนที่ยังคิดถึงเราอยู่ แต่ก็มีบางท่านที่เข้าใจผิดไปว่าผมเลิกเล่นละครแล้ว จริงๆยังไม่เลิกนะครับ คือก็มีงานนะ ไม่ว่าจะผลิตโฆษณา ทำสารคดี ให้กับสมาคมวางแผนครอบครัว ทำเองโปรดักชั่นเอง ก็มีเรื่อยๆ ไม่หวือหวา ผมยังรับเล่นทุกเรื่องทุกบท ติดต่อกันเข้ามาได้ครับ (ยิ้ม)

ความภาคภูมิใจในวันนี้

ความภาคภูมิใจของเราคือไม่โกงใคร ไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน ไม่มีกินไม่เป็นไร (หัวเราะร่วน) อย่างน้อยก็มีอะไรดีๆ ที่เสนอให้กับคนที่รู้จักเราบ้าง พอใจและมีความสุขในแบบพอเพียง แค่นี้ของเรา ไม่ต้องดิ้นรนหาอะไรที่ใหญ่โตหรูหรา ไม่อยากได้ อยากมี ขอแค่อยู่แบบทุกวันนี้ สบายๆ ลูกเมียไม่เดือดร้อนไม่สร้างปัญหาให้ใคร เราก็แก่แล้วเนอะ บางทีลูกก็บอกว่า พ่อหยุดเถอะ แก่แล้ว เดี๋ยวเหนื่อย ไอ้เราก็บอกไม่เป็นไร แล้วเงินก็ไม่ต้องเอามาให้ แค่ไม่ขอพอแล้วล่ะ (หัวเราะ) ไม่ได้เดือดร้อนอะไร มีความสุขที่ได้ไปขายของพูดคุยกับลูกค้าครับ

สุขภาพร่างกาย

เมื่อก่อนมีปัญหาเข้าโรงพยาบาลคือน้ำท่วมปอด เป็นโรคหัวใจ ห้ามกินเค็ม ตอนนี้ก็อยู่ได้ เช็คตัวเองได้ตลอด เดินเหวี่ยงแขนทุกวันให้ได้สัก 500-1,000 ครั้ง ออกกำลังกายดูแลตัวเอง กินจืดกับเปรี้ยว ไม่กินหวานกินเค็ม กินแต่ผัก ตอนนี้สุขภาพก็แข็งแรงดีครับ

นับเป็นบุคคลตัวอย่าง ของการ “สนุกกับงาน” ไม่ว่าจะทำอะไร ทำอย่างมีความสุข ผลที่ได้คือ สุขสันต์ทั้งกายใจ สมชื่อ “แดง อารมณ์ดี”

Star Retro : ‘อ้น-รติพงษ์’ เบนเข็มชีวิต วาดฝัน ผันเป็นผู้กำกับ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/entertain/306672

Star Retro : ‘อ้น-รติพงษ์’ เบนเข็มชีวิต วาดฝัน ผันเป็นผู้กำกับ

Star Retro : ‘อ้น-รติพงษ์’ เบนเข็มชีวิต วาดฝัน ผันเป็นผู้กำกับ

วันอาทิตย์ ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2560, 06.00 น.

นักแสดงหนุ่มลูกหม้อจากค่ายดีด้า “อ้น-รติพงษ์ ภู่มาลี” ที่เคยแจ้งเกิดเป็นพลุแตกจากละครเรื่อง“พลับพลึงสีชมพู” เมื่อกว่า 18 ปีก่อน วันนี้เขาเป็นอยู่อย่างไร สตาร์เรโทรขอพาไปร่วมค้นมุมมองชีวิต จากเบื้องหน้า สานต่อสู่งานเบื้องหลังในวงการบันเทิง

กับวันนี้ของ “อ้น-รติพงษ์”

ชีวิตช่วงนี้ส่วนมากก็จะอยู่ที่กองถ่ายครับ ทำงานเบื้องหลัง เป็นผู้ช่วยผู้กำกับฯ ในละครเรื่อง “เพชรร้อยรัก”กับ “พ่อมดเจ้าเสน่ห์” ผมเพิ่งเริ่มมาจับงานเบื้องหลัง คือเจ้านายให้โอกาสครับ “พี่ลอร์ด” (สยม สังวริบุตร) อยากให้มาลองทำงานเบื้องหลังดูจะได้เรียนรู้การถ่ายทำด้วย จากที่เบื้องหน้าเราเคยอยู่เราก็จะรู้จักการทำงานอีกแบบนึง มันก็คือนักแสดงอ่านบทมาแล้วก็ทำการบ้านของตัวเอง รับผิดชอบหน้าที่ ทำการแสดงบทที่ตัวเองได้รับ แล้วก็จบ แต่พอมาอยู่เบื้องหลัง ก็จะเป็นอีกแบบนึงซึ่งจะไม่ใช่รับผิดชอบแค่ตัวเองคนเดียวแล้ว แต่นี่คือเราจะต้องมาอ่านทั้งหมด หมายความว่าเราต้องมาตีคาแร็กเตอร์ของแต่ละตัวละคร แล้วในละครแต่ละเรื่อง ตัวละครเยอะมาก ทั้งพระเอก-นางเอก ตัวร้ายตัวยิบย่อยลงไปอีก แม้กระทั่งนักแสดงสมทบ เราก็ต้องรู้ว่าความเป็นมาของแต่ละคนเป็นยังไง ถ้าเราไม่รู้ตรงนี้กระจ่างเราก็ไม่สามารถที่จะมาช่วยในตำแหน่งนี้ได้ ถ้าตัวละครเขาเล่นไปผิดทาง เราก็ต้องไปกำชับเขาในเรื่องแอ๊กติ้ง เรื่องการแสดงของเขา และบรีฟว่าตัวละครนี้เป็นยังไง ตอนนี้ก็เรียกว่าคิวแน่นทั้ง 7 วันเลยครับ แต่ถ้าวันไหนไม่ได้ถ่าย ก็จะมีประชุม สนุกนะครับ ได้เรียนรู้หลายรูปแบบดี ได้เรียนรู้การทำงานของพี่ๆแต่ละคน คือการที่เราอยู่ในกองมันเป็นคนละมุม ถ้าเราอยู่ตำแหน่งดาราเราก็จะมองแค่มุมนี้ ซึ่งการทำงานของทีมงานเหนื่อยมากๆ สมมติว่าดาราคิวมา 8 โมง ถ่ายเสร็จบ่ายๆ เขาก็กลับ แต่ถ้าเราอยู่เบื้องหลัง เช้าเราก็ต้องมาแต่เช้า แล้วเราอยู่ตรงนี้ เราเหมือนเป็นพี่เป็นน้อง งานเสร็จแล้วเราจะกลับก่อนก็ไม่ได้ ต้องกลับไล่เลี่ยกัน หรือกลับพร้อมกองเลิกเลยมีวันนึงไปถ่ายพ่อมดเจ้าเสน่ห์ที่ดาดฟ้า ผมก็มองภาพทีมงาน แบกกล้องขึ้นไปบนดาดฟ้า รู้สึกว่าเขาทำงานกันหนักหน่วงมาก ผมก็เลยกลับพร้อมเขาเลย ช่วยขนช่วยหิ้วอะไรได้ก็จะช่วย

ปรับโหมดจากเบื้องหน้าสู่งานเบื้องหลัง

ปรับเรื่องเวลาตื่นนอนก่อนเลยครับ ด้วยความที่ผมเป็นคนที่นอนดึก พอนอนดึกแล้วตื่นเช้าจะรู้สึกเลยว่าร่างกายมันไม่ไหว เลยจะเปลี่ยนการนอน ถ้าวันไหนอยากตื่นมาทำงานแฮปปี้ จะต้องเข้านอนก่อนเที่ยงคืน หรือว่าก่อนสี่ทุ่ม แล้วก็ตื่นตีสี่ตีห้า ก็จะรู้สึกว่าร่างกายไม่มีปัญหา แต่ก็มีบ้างที่นอนดึก เราก็ค่อยๆ ปรับ เริ่มสนุกในการทำงาน ได้ประสบการณ์ใหม่ๆ กับชีวิต ได้ความรู้ผมเป็นคนชอบหาความรู้ใหม่ๆ ชอบเก็บอะไรที่เป็นความรู้ ส่วนความรู้ที่เราได้เก็บเกี่ยวมาตอนที่เป็นนักแสดง เราก็นำมาถ่ายทอดให้กับน้องๆ เป็นไกด์ไลน์ให้น้องๆ ซึ่งน้องๆ เขาก็ทราบครับว่าเป็นนักแสดงมาก่อน เขาก็จะฟังจะเข้าใจในสิ่งที่เราอธิบาย คือบางครั้งเขาอ่านบทมาเขาไม่ได้ตีแตก ถ้าดาราเก่งๆ เราไม่ต้องไปบอกเขาเลยนะ เขาเล่นมาเราดูภาพให้มันสวยงามพอ แต่ถ้าเป็นน้องๆ ใหม่ๆ อาจจะต้องมีแนะนำนิดนึง

เป้าหมายที่วาดฝันไว้

ถ้ามีโอกาสก็คงสักตั้งนึงครับ กับการเป็นผู้กำกับ เพราะเจ้านายก็บอกไว้แล้วครับว่าให้มาศึกษาตรงนี้ก่อน เพราะไม่อย่างนั้นมันยากเหมือนกันนะ เราต้องเรียนรู้เรื่องการทำงานด้วย มันไม่ใช่แค่เราจะเก่งทฤษฎีแน่นปึ๊ก แต่มันมีอะไรหลายอย่าง มีทีมงาน มีพี่ๆ น้องๆ ที่เราต้องเรียนรู้ ใครยังไงนิสัยใจคอเป็นยังไง เพราะเราต้องทำงานร่วมกับคนอีกหลายคน เรียกว่าเราต้องเข้าใจหัวอกซึ่งกันและกัน การอยู่ร่วมกันมันต้องมีน้ำใจ ผมว่ามันสำคัญกว่าที่เราจะไปใช้พลังอำนาจ ถ้าการทำงานทุกคนแฮปปี้ทีมงานแฮปปี้ภาพที่ออกมามันก็จะแฮปปี้มีความสุขด้วย กองก็จะมีความสุข ผมมองอย่างนั้นนะ

ย้อนวันวานก้าวแรกในวงการบันเทิง

ผมเข้าวงการมาตอนอายุ 19-20 คือกำลังวัยรุ่น แล้วตอนนี้ 38 แล้ว ก็ประมาณ 20 ปีได้แล้วครับ เริ่มแรกเลยคือเข้ามาประกวดดัชชี่ปี 1998 (ยิ้ม) โอ้โห! เป็นไงล่ะ นานเลยใช่ไหมครับ จนบางครั้งคนงงว่าเราเป็นดัชชี่ด้วยเหรอ เพื่อนร่วมรุ่นผมหายไปหมดแล้วนะ จำได้ไหมขิง-ทัศนพรรณ, จุ๊บแจง-อารีย์สรวง, ตั้ม-รณสดมภ์,ลม วาโย ผมได้ที่ 3 ดัชชี่ ซึ่งเพื่อนร่วมรุ่นก็แทบไม่อยู่ในวงการกันแล้วครับ ตอนที่ประกวดดัชชี่ก็ไม่รู้นะว่าชีวิตนำพาไปยังไง ผมเป็นคนที่ไม่ได้ไขว่คว้าเรื่องการประกวดอะไรเลย จังหวะเหมือนว่าพี่ๆ หลายคนชวนไปมั้งครับ เราก็เลยอ่ะลองดูก็ได้ แล้วพอได้เข้ามาด้วยความบังเอิญหรือโชคชะตาจากเด็กต่างจังหวัดคนนึง ผมอยู่สมุทรสาคร การดำเนินชีวิตของผมก็คือเหมือนเด็กชาวบ้านทั่วไป แค่ได้ออกไปรายงานหน้าชั้นเรียนก็ตื่นเต้นแล้วพูดอะไรไม่ออก แต่ว่านี่เราต้องมาแสดงต่อหน้าคนตั้งมากมาย ตอนที่มาเล่นละครเรื่องแรกกับทางดีด้าก็เทคไปประมาณยี่สิบสามสิบเทคเลยมั้ง ละครเรื่องแรกคือ “พลับพลึงสีชมพู” แล้ว “อั้ม” (พัชราภา ไชยเชื้อ) เก่งแล้วแต่ว่าผมนี่คือใหม่มาก เจออั้มก็ตื่นแล้วครับเจอคนสวยเข้าไป ทั้งทีมงานกล้องไฟทุกอย่างมันทำให้เราตื่นเต้นเข้าไปอีกหลายเปอร์เซ็นเลย ไม่เคยมีประสบการณ์ทางการแสดง
มาก่อนมาแบบใหม่ๆ ก็เล่นเลยรู้สึกว่าจะมี “พี่เอ๋-กษมา” เป็นแอ๊กติ้งโค้ชให้เขาก็คงจะระอาเหมือนกัน (หัวเราะ) ในความที่เราไม่เข้าใจละครเรายังจับใจความอะไรไม่ได้เลย บวกกับความตื่นเต้นมันก็เลยทำให้เราลืมทุกอย่าง เรื่องแอ๊กติ้งนี่มันยากเหลือเกินเคยไปพูดกับแม่ แต่แม่ก็บอกมาคำนึงว่ามันไม่มีอะไรที่ง่ายสำหรับใครหรอก ถึงมันจะยากแต่ถ้าเราผ่านมันไปได้เราก็จะผ่านมันได้

ภาพสะท้อนให้นึกถึงวันนั้น

ผมเข้าใจเลยครับ พอได้เห็นภาพน้องๆ สมัยนี้แล้วนึกย้อนไปในวันนั้นที่เรายังไม่รู้อะไรยังเล่นไม่ได้เราแทบจะไปนั่งอยู่ในใจของเขาเลยว่าอาการมันเกิดจากอะไร ยังบอกกับน้องๆเลยว่าเวลาอยู่ในกองให้พยายามคุยกันนะสร้างความสัมพันสร้างมิตรภาพให้มีความคุ้นเคย พอเราไม่มีความกดดันมีความคุ้นเคยอาการประหม่ามันจะลดลง แล้วทุกอย่างจะง่ายขึ้น เรียกว่าเอาประสบการณ์ตรงของเรามาแชร์ให้น้องๆ

กำลังใจสำคัญที่ไม่เคยลืม

จะเรียกว่าผมแจ้งเกิดจากละครเรื่อง “พลับพลึงสีชมพู” เลยก็ว่าได้ครับ คือเรตติ้ง 25-27 คงจะหาไม่ได้แล้วในตอนนี้ ความรู้สึกของผมคือภูมิใจมาก แต่เราก็ไม่รู้ว่าผมดังเหรอ (หัวเราะ) ผมไม่รู้จริงๆ แต่สิ่งที่ผมรู้ก็คือตอนที่ผมไปรายการ 07 โชว์ คือผมมานั่งนึกแล้วก็อยากจะขอบคุณ คือผมไปรายการแล้วเขาจะมี 3 ทีม แล้วเวลาคะแนนโหวตกันมาผมไม่เคยตกรอบเลย ผมรู้สึกดีใจมาถึงทุกวันนี้นะเราไม่รู้จะบอกเขายังไง อยากขอบคุณจากใจเลยว่านี่คือแฟนคลับเราสมัยก่อนนะที่เขาดูจริงใจ บอกไม่ถูกมันคงเหมือนแฟนคลับสมัยนี้มั้งครับ เพียงแต่ว่าสมัยนั้นมันไม่มีสื่อโซเชียลที่เราไม่สามารถไปบอกเขาได้ไปตอบเขาในไอจีได้ แต่ที่ผมรู้คือมีจดหมายมาที่บริษัทเป็นสามสี่หมื่นฉบับ ประมาณ 4 กระสอบก็ตอบไปบ้างบางคนก็ยังไม่ได้ตอบและพยายามอัดรูปเซ็นข้างหลังรูปแล้วก็ส่งไปให้เป็นหนึ่งความอิ่มเอมใจที่สมัยนี้คงหาไม่ได้แล้ว

จากละครปัจจุบัน สู่ละครพื้นบ้าน จักรๆ วงศ์ๆ

หลังจากนั้นก็เล่นละครมาเรื่อยๆ และมีโอกาสได้เล่นละครจักรๆ วงศ์ๆหรือละครพื้นบ้านนั่นเองครับมีเรื่อง อุทัยเทวี, ดาบเจ็ดสีมณีเจ็ดแสง, เกราะกายสิทธิ์ เล่นอยู่ประมาณ 4-5 เรื่องครับ ก็ต้องปรับตัวปรับโหมดจากละครปัจจุบันมาสู้ละครแบบจักรๆวงศ์ๆ ในช่วงแรกนะครับ แต่พอเราอินเข้าไปแล้วคำราชาศัพท์ต่างๆ มันก็มาเอง ไม่ได้มีปัญหาอะไร มันจะเข้าไปในสมองเอง แต่ถ้าเราท่องมันจะยากมาก มันเป็นอะไรที่แปลกเหมือนกันนะครับสำหรับการแสดง คือถ้าเรายิ่งท่องมันก็จะยิ่งยาก แต่ถ้าเราเข้าใจมันก็จะมาเอง

ผลงานที่ประทับใจ

ผมชอบทุกเรื่องเลยครับ แล้วก็จะชอบซีนหนักๆซีนอารมณ์ “สวรรค์สร้าง” ก็ชอบนะดูกดดันดี อันนั้นเล่นเป็นพี่ชายของ “มิน” (พีชญา วัฒนามนตรี) แล้วเราก็ต้องฆ่าตัวตาย ได้แสดงแววตาได้กดดันตัวเอง แต่บทที่เล่นยากสำหรับผมคือบทตลก คือเราจะเล่นยังไงให้คนตลก บางคนเล่นเราฟังยังไม่ขำเลย เรารู้สึกว่ามันเฟคก็เลยรู้สึกว่าเล่นบทตลกนี่มันยากถ้าเราไม่อินหรือว่าไม่มีจังหวะจะโคนจริงๆ

ด้วยวิถีที่เป็นไป กับบทบาทที่เปลี่ยน

อาจจะมีช่วงที่หายหน้าหายตาไปบ้าง แล้วก็ได้มีโอกาสไปเล่นของช่องจ๊ะทิงจาบ้าง และก็หาที่เที่ยวให้ตัวเองผมว่ามันก็เป็นอย่างนี้นะ จะเรียกว่าวัฏจักรก็จะไกลไป คล้ายๆ ว่ามันต้องเป็นไปตามนี้อยู่แล้ว อยู่ที่ว่าอายุเท่านี้จะบทไหน ถ้าอายุเท่านี้จะไปเป็นพระเอกก็เป็นได้นะ ต้องขึ้นอยู่กับเนื้อเรื่อง พออายุเปลี่ยนไป ก็ต้องเล่นไปตามวัย เล่นเป็นพ่อ เป็นปู่ก็ยังได้ (ยิ้ม) ตอนนี้มันไม่มีปัญหาแล้วครับในการที่จะเปลี่ยนบทบาท แต่ขอให้ทำแล้วมีความสุขก็พอ ผมคิดแค่นั้น ผมไม่ได้นึกท้อกับตรงนี้นะ คือถ้าไม่มีงาน เราก็อยู่บ้านอยู่กับเพื่อนได้เจอเพื่อน ไม่ได้ทำธุรกิจอะไรรองรับ คือที่บ้านจะมีที่ดินให้เขาเช่านิดหน่อยเท่านั้นเอง ผมก็เล่นละครกับทางดีด้านี่แหละครับ อยู่กับพี่ลอร์ดมาจนเรียกว่าเป็นลูกหม้อ (หัวเราะ) ให้ไปไหนก็คงไม่ไปแล้วครับ อยู่กับเจ้านายดีกว่า มีอะไรก็ช่วยๆ กันดีกว่า เราก็เก็บเกี่ยวประสบการณ์มาเยอะนะครับ ยิ่งมาทำเบื้องหลังเรายิ่งรู้หลายๆ มุมในการทำงาน รู้ว่าการทำละครจะทำยังไงให้มันสนุก เป็นความรู้ที่หาอ่านในหนังสือไม่ได้ ในหนังสือเราอาจจะได้แค่ทฤษฎี แต่ในกองเราได้ทั้งปฏิบัติและได้อะไรอีกมากมายที่เราได้เก็บเกี่ยวเอง เพราะว่าผู้กำกับแต่ละคนก็มีเทคนิคในการทำงานที่ต่างกัน ผู้กำกับเก่งทุกคนแหละครับ แต่อาจจะเก่งกันคนละด้าน ผมก็พยายามจะเอาจุดเด่นของแต่ละคนมารวบรวมไว้

กับชีวิตโสดในแบบชิลๆ

อยู่แบบนี้สบายดีครับ (ยิ้ม) คือก็มีคนคุยด้วยแหละ คนเราอยู่คนเดียวไม่ได้อยู่แล้ว แต่ว่ายังไม่ถึงขั้นจะสร้างครอบครัว คือก็มีเหงาบ้าง แล้วเราก็ไปหาเพื่อนฝูงเที่ยวเตร่ตามประสาของเราไป อีกอย่างแม่ก็ไม่ได้ขออะไร แม่จะชิลมาก แม่เป็นคนไม่ค่อยพูด แต่กลับบ้านไปข้าวนี่รอเลยนะ แม่รู้ว่าเราชอบกินอะไร ก็จะทำกับข้าวไว้รอผมกลัวจะอ้วนไม่กินข้าวแม่ก็ห่วงหุงข้าวไว้ให้ตลอด กลางคืนรอเรากลับมากิน ส่วนมากแม่เขาจะไม่พูดครับรู้ใจอย่างเดียว ไม่ได้ขออะไรด้วย เรื่องความรักเรื่องแฟนหรือเรื่องคอยตามห่วงว่ากลับบ้านกี่โมงอะไรยังไงไม่เลย เราโตแล้ว แต่แค่บอกบ้าง ถ้าเราไปไกลๆ คือจะว่าผมเลือกเยอะไหมเหรอ ผมคิดว่าถ้าเราทำอะไรแล้วเรามีความสุขเราก็ทำดีกว่า อย่าง ณ วันนี้เราก็มีความสุขกับการทำงานเบื้องหลังของเราที่กำลังเริ่มต้นจริงๆ เหมือนผมจะโลกส่วนตัวสูงนะ (หัวเราะ) อย่างเวลาที่ได้หยุดงานผมก็จะไปเที่ยวกลางทะเลเลย ช่วงที่เล่นละครหนักๆ เวลาปิดกล้องทีผมไปทะเล 7 วัน อยู่กลางทะเลตกปลา ไดหมึก อาจจะเพราะความเป็นส่วนตัวสูงมั้งเลยยังไม่มีใคร คือเดี๋ยวถ้าพูดอะไรไม่ถูกใจกันจะกลายเป็นทะเลาะเปล่าๆดังนั้นอยู่เป็นเพื่อนๆ คอยดูแลกันดีกว่าไม่ต้องอะไรมากมายให้ต้องคอยตามคอยรายงานกัน

หลากหลายบุคคลที่มิอาจลืม

ผมก็ต้องขอบคุณทั้งทางดัชชี่บอย ขอบคุณทั้งพี่ลอร์ด ซึ่งมาแรกๆ นี่ผมก็ไม่รู้ว่าพี่ลอร์ดคือเจ้าของบริษัท คือพี่ลอร์ดมาเทสหน้ากล้องผมก็นึกว่าพี่ลอร์ดเป็นตากล้อง (หัวเราะ) ด้วยความที่เราไม่รู้จักใครเลยจริงๆ สมัยก่อนไม่มีใคร พอเทสหน้ากล้องเสร็จก็ผ่านจนมาถึงวันเซ็นสัญญาและได้เล่นละครก็อ้าว นี่เจ้านายเราเหรอ ก็ตกใจเลยครับ ตื่นเต้นด้วย วันนั้นแม่ก็ไปด้วย ก็อ้าวนี่คือพี่ลอร์ดเหรอ ก็ต้องขอบคุณครับ ความจริงมีเยอะนคนที่ผมต้องขอบคุณ เพราะมีพี่หลายๆ คนที่อยู่ในวงการที่เราเข้ามาเล่นแล้วเขาก็แนะนำเราก็ได้วิชา ขอบคุณผู้กำกับหลายๆ คน ที่บทไหนที่เรายังไม่เข้าใจในช่วงนั้นก็ได้สอนเราแล้วเราก็เก็บเอามา ตอนนี้มันก็อยู่ในตัวผมแล้วสำหรับวิชาต่างๆ พอผมมาอยู่ตรงนี้ผมก็ต้องเอาวิชาไปถ่ายทอดให้กับรุ่นน้องถ่ายทอดให้กับนักแสดงได้

ความในใจที่อยากจะบอก

ยังคงมีแฟนๆ จดจำได้ครับมีคนเข้ามาทักทายเสมอ ส่วนมากจะทักจาก “พลับพลึงสีชมพู” และจากหนังเจ้าเขาก็จำได้ และเวลาละครออกใหม่ๆ ล่าสุดผู้พันสมุทร จากเรื่อง “นักรบตาปีศาจ” ก็ยังโดนทักอยู่ นี่ขนาดว่าเราเล่นรับเชิญแค่นิดหน่อยนะ ก็อยากขอบคุณจะเรียกว่าแฟนคลับได้ไหมนะ (ยิ้ม) อยากขอบคุณย้อนไปเมื่อ 20 ปีที่แล้วเลย บางครั้งเราก็ไม่รู้ว่าการที่เขาปลื้มเราเป็นยังไง แต่ว่าเวลาที่ผมไปรายการ 07 โชว์แล้วเขากดส่ง SMS กันเข้ามาให้คะแนนเราตลอด นั่นคือเขาปลื้มเรามากเลยนะก็รู้สึกดีอยากขอบคุณทุกคนตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันเลยครับที่ยังน่ารักกับผมเสมอมาชื่นชมในตัวผม ซึ่งผมก็จะทำงานเบื้องหลังที่กำลังเริ่มทำตรงนี้ออกมาให้ดีที่สุดส่วนงานเบื้องหน้าถ้ามีโอกาสก็จะกลับมาเล่นเรื่อยๆ และขอขอบคุณผู้ใหญ่ทางช่อง 7 ถ้าเป็นสมัยนั้นก็คงต้องขอบคุณ “คุณแดง” (สุรางค์ เปรมปรีดิ์) ครับที่ให้โอกาสผมได้มาอยู่ตรงนี้ ผมว่ามันเป็นสิ่งอัศจรรย์มากสำหรับเด็กคนนึงที่อยู่ต่างจังหวัดแล้วได้เข้ามาเรียนรู้ตรงนี้

นับเป็นข่าวดีสำหรับวงการบันเทิง ที่จะมีบุคลากรผู้อยู่เบื้องหลังและสรรค์สร้างผลงานดีๆ ออกมาให้แฟนๆ ได้ชมกัน

กุหลาบสีเงิน

Star Retro : บทพิสูจน์ศิลปินตัวจริง ‘อิน บูโดกัน’ เบรกมีลูก ขอรับทรัพย์ก่อน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/entertain/305261

Star Retro : บทพิสูจน์ศิลปินตัวจริง ‘อิน บูโดกัน’ เบรกมีลูก ขอรับทรัพย์ก่อน

Star Retro : บทพิสูจน์ศิลปินตัวจริง ‘อิน บูโดกัน’ เบรกมีลูก ขอรับทรัพย์ก่อน

วันอาทิตย์ ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560, 06.00 น.

อิน บูโดกัน หรือ ณัฐรินภรณ์ ยืนยง นักร้องมากความสามารถที่ผ่านชีวิตมาหลากหลายรูปแบบทั้งดีและร้ายปะปนกันไป ซึ่งทุกเหตุการณ์ล้วนสอนให้อินแข็งแกร่งมุ่งมั่นเพื่อทำงานดนตรีที่รักอย่างจริงจังและตั้งใจ จนวันนี้ผลงานเหล่านั้นก็พิสูจน์บทบาทของอินในฐานะศิลปินตัวจริงได้อย่างสวยงาม… มีโอกาสเจออินที่มาพร้อมกับผลงานใหม่สุดฮือฮา STAR RETRO จึงต้องขออัพเดทความเป็นมากันสักหน่อย

ลุกขึ้นมาสลัดผ้าถ่ายแบบ!!

คืออันนี้เป็นงานนะ พี่น็อต แม็กซิม ต้องการ Portfolio เพื่อเสนอลูกค้าต่างชาติ เขาต้องการผู้หญิงเจ้าเนื้อ พี่น็อตเขามีคอนเนคชั่นกับต่างชาติ นึกใครไม่ออก แล้วเราเคยเล่นละครด้วยกัน ก็เลยไปถ่ายให้ ถ้าฝรั่งชอบ เราก็โชคดี ถ้าไม่ชอบก็ไม่เป็นไร ก็มี Portfolio เป็นของตัวเองจริงๆ งานนี้คืออินไปทำงาน ไม่ได้อยู่ดีๆ นึกจะถ่ายก็ถ่าย พี่น็อตคิดโปรเจ็คต์ขึ้นมาว่า น็อต Portrait สร้างเพจขึ้นมาเป็น KNOT Krittin มีเอมมี่ แม็กซิม เป็นคนแรก แต่ของอินอยู่ในนางแบบเจ้าเนื้อ ที่จะไปเสนอให้โมเดลลิ่งเมืองนอก เผื่อเขามาหยิบเราไปใช้ กระแสฟีตแบ๊กที่เข้ามา มีหมดค่ะ คนเจ้าเนื้อก็ชม คนหุ่นดีที่ไม่อยากเห็นอะไรแบบนี้ก็ด่า เป็นเรื่องปกติ นานาจิตตัง

งานประจำของอินในวันนี้

สอนร้องเพลงให้ บริษัท ชูใจ เรคคอร์ด ของน้องกอล์ฟ ฟักกลิ้ง ฮีโร่ ก็เป็นครูประจำบริษัทนี้ไปแล้ว และเป็นครูประจำอยู่ที่ บริษัท 103 Centigrade ซึ่งเป็นบริษัทที่รับแสดงสด รับโชว์ รับจัดคอนเสิร์ต เขาก็จะมีศิลปินในมือเขา อินก็ไปเป็นเทรนเนอร์ แล้วก็สอนทั่วไป ใครอยากติว ล่าสุด พี่พิง ลำพระเพลิง ซึ่งพี่พิงอินเป็นครูสอนร้องเพลงเขาเป็นคนแรกเลยนะ วันก่อนพี่พิงโทร.มาบอกว่า ครูมีเวลาว่างไหม เพราะว่าพี่พิงจะต้องทำหนังใหม่ซึ่งต้องร้องเพลงด้วย แล้วให้อินไปติวให้ นี่คืองานประจำของอิน รู้ไหมว่าตอนแรกอินตัดสินใจเลิกเล่นดนตรีกลางคืนไปแล้วนะ สุดท้ายก็ทนไม่ได้ เพราะมันไม่ได้ซ้อม ไม่ได้ฝึก ไม่ได้ใช้ ซึ่งอาชีพนักดนตรีต้องได้ใช้ จะได้บริหารตัวเอง ก็เลยรับปกติ แล้วก็จะมีเล่นดนตรีตามร้านอาหารด้วย ประจำอยู่ 3 ที่ คือ แซ่บอินดี้ สาขา 1 (ทุกวันพุธ), แซ่บอินดี้ สาขา 2 (ทุกวันอังคาร), Water Side เลียบด่วนรามอินทรา (ทุกวันพุธ) และ ร้านกินปูซีฟู้ด ถนนประชาอุทิศซอย 90 (ทุกวันอาทิตย์) นอกจากนี้ล่าสุดอินก็รับเล่นละครด้วย

ย้อนวันวานจุดเริ่มต้นคนรักดนตรี

อินเรียนเอกดนตรีอยู่แล้ว ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา ตอนนั้นก็แบกกีตาร์สกินเฮดไปที่บริษัทโพลีแกรมไทยแลนด์ ซึ่งปิดตัวไปแล้วตอนนี้ เราเล่นดนตรีตามผับ เล่นดนตรีตามร้านอาหาร ตระเวนเล่นดนตรีมาเรื่อยๆ ตั้งแต่จบมหาวิทยาลัย แล้วก็รู้จักกับแก๊ง บูโดกัน ตอนอายุ 23 อินได้ออกเทปครั้งแรกตอนอายุ 25 ถือว่าเป็นเบญจเพศดี

ประทับใจอะไรใน บูโดกัน

ความเป็นเพื่อนของพวกเราที่ร่วมงานกัน แล้วเหมือนเราได้อยู่บ้านเดียวกัน อยู่หอเดียวกันเป็นเวลานานๆ เหมือนเพื่อนโรงเรียน เพื่อนมหาวิทยาลัยรวมตัวกันเพื่อทำงานร่วมกัน แล้วพวกเราได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันตลอด กิน นอน และอีกอันหนึ่งที่สำคัญคือเราแชร์ปัญหาปรึกษากันทุกเรื่องนี่ถือเป็นเรื่องที่ดี ไม่ว่าจะเรื่องเงินทอง นิสัยส่วนตัว แต่เราไม่มีปัญหาเรื่องแย่งผู้ชายกันนะ (หัวเราะร่วน)นอกนั้นพวกเรามีปัญหาเผชิญมันมาด้วยกันหมดทุกอย่างจริงๆ ก็เลยไม่มีเรื่องที่จะต้องทะเลาะกันแล้ว พอวันที่ไม่ได้รับงานด้วยกัน ทุกคนต่างก็มีความฝันเป็นของตัวเองใครอยากไปทำอะไรก็แยกย้ายกันไปประมาณ 8 ปี

กลับมารวมตัวกันใหม่อีกครั้ง

ปีนี้เข้าปีที่ 3 ก็มีการเปลี่ยนสมาชิกในวงคนหนึ่งคือพี่น้อง (ทัศนีย์ ขจรโยธิน) มือเบส แกทำงานต่างประเทศก็จะมีสัญญาตามประเทศต่างๆ แกก็ไม่สามารถกลับมาเล่นกับเราได้ ตอนนี้ก็เลยมี น้องออย มือเบสคนใหม่เข้ามา แล้วตอนนี้วงเราก็ไม่ได้มีสังกัด เราเปิดบริษัททำกันเอง แล้วเดี๋ยวนี้เปลี่ยนไปก็คือ เรามี Channel Youtube เรามีออฟฟิเชียลของเราเอง ซึ่งไม่เหมือนเมื่อก่อน อินก็เพิ่งเรียนรู้ว่าระบบเปลี่ยนแล้วนะเราไม่ต้องเพิ่งค่ายเพลงแล้ว เราทำกันเองชื่อบริษัท บูโดกัน 2017 ทำเองทุกอย่าง ไม่เหนื่อยเลยนะ เพราะเราไม่รีบ เรื่อยๆ ไม่ดีโละ ดีเก็บไว้ รอโอกาส ค่อยๆ ทำไป เราไม่ได้อยู่ภายใต้ของระบบธุรกิจแล้ว เราทำกันเป็นศิลปะจริงๆ เราทำด้วยความรักเป็นจิตวิญญาณของเรา อยากมีผลงานที่ดีเป็นของตัวเอง เมื่อไหร่ถึงโอกาสเวลาเหมาะสมก็ค่อยเผยแพร่ เพลงใหม่ของวงตอนนี้ยังไม่มีออกมาให้ฟังกันนะ แต่มีคอนเสิร์ตตลอด เดือนละงานถือว่าสวยหรูสำหรับพวกเราแล้ว แต่เพลงแฟนๆ ก็ต้องรอก่อนนะ สำหรับเพลงใหม่ของวง บูโดกัน ส่วนตัวอินเองก็มีไปร้องเพลงโฆษณา เพลงประกอบละคร ที่ไม่ใช่ในนามวง บูโดกัน ก็จะได้ยินเสียงอินอยู่เรื่อยๆ ซึ่งเพลงในนามวง บูโดกัน บอกเลยว่าปีหน้ามีแน่นอน

เตรียมปล่อยเพลงใหม่เอาใจแฟนเพลง

ปี 2561 มีแน่นอนค่ะ เป็นแนวเพลงสไตล์ บูโดกันนี่แหละ คิดบวก แล้วก็จะมีเพลงหนึ่งที่แบบว่าเศร้าน้ำตาไหลเลยล่ะ ทำกันเองหมดเลย เพียงแต่ว่าการเขียนเนื้อร้องก็ให้คนที่เขาเขียนเก่งๆ เขียนให้เนอะ เราไม่ถนัดจริงๆ เมโลดี้ อิน แป้ง (รัชดาภา รัชตะวรรณ) คิดเอง ออเร้นท์ เพลงทั้งหมดอยู่ที่น้องออย มือเบส ก็ให้คนเก่งๆ เขียนให้ พวกเราไม่มีหัวทางเนื้อเพลง (หัวเราะร่วน) มิวสิกวีดีโอก็จะตามๆ กันมา ถ่ายทำกันเองนี่แหละค่ะ คือยุคสมัยนี้เปลี่ยนไปเยอะนะ อินว่า เรามีกล้องตัวหนึ่งคุณภาพดีๆ ก็ทำได้แล้ว เรามีโปรแกรมตัดต่อ เราก็ทำกันได้แล้ว ไม่ต้องพึ่งโปรดักชั่นใหญ่ๆ แล้วล่ะ เพราะเราก็ไม่ได้มีต้นทุนสูงอะไรขนาดนั้น ทำกันเอง เป็นผลบวกทางจิตใจเรา สนุก มีความสุขในการทำงานที่เรารัก ตอนนี้มีแล้ว 4 เพลงก็กะว่าจะปล่อยทีละซิงเกิ้ลเรื่อยๆ ถ้ามีคนชอบงานเราก็ถือว่าเราโชคดี เป็นรางวัลชีวิต แต่ถ้าไม่ชอบก็ไม่เป็นไร เราผ่านพ้นขีดตรงนั้นมาหมดแล้ว แล้วทุกคนในวงก็ไม่ได้รีบเร่งอะไร เพราะมีงานประจำทำกันทุกคน ว่างปุ๊บค่อยมาเจอกัน จอยกันทำงานเพลง เราไม่ต้องล็อกเวลาว่าจะต้องเจอกันวันนี้ทำอันนั้นนะไม่ต้อง

งานหนักไม่กลัว กลัวไม่ได้ทำงานมากกว่า

เราไม่ได้มีงานทำเป็นพนักงานประจำ ฉะนั้นงานอะไรที่เราพอจะทำได้ทำไหวเราต้องทำ ที่ใช่ตัวเรา หรืออะไรที่ท้าทายเราก็ต้องลอง แล้วอีกอย่างฟรีแลนซ์อย่างเราได้เงินเยอะจริง แต่เราก็ต้องหัดเก็บด้วย เราต้องบริหารจัดการดีๆ เพราะเราต้องใช้เงินตรงส่วนนี้ในยามฉุกเฉิน

กับบทบาทอาจารย์สอนร้องเพลง

อินเริ่มสอนเป็นครูสอนดนตรีมาตั้งแต่ปี 2535 ที่โรงเรียนม่านแก้วการดนตรี แล้วก็เป็นมาโดยตลอดจนถึงทุกวันนี้ ก็ถือว่าเป็นครูดนตรีฟรีแลนซ์ค่ะ เพราะเคยเปิดโรงเรียนนะแต่ไม่ประสบความสำเร็จก็เลยไม่เอาดีกว่า วิ่งสอนเอา ใครอยากจะให้ไปสอนก็ไปถ้าเวลาตรงกันล่าสุดก็สอน น้องอาร์ต-พศุตม์ และรายต่อไปก็อย่างที่บอก พี่พิง ลำพระเพลิง (ยิ้ม)

สิ่งที่ยากที่สุดในการเป็นครู

คือการสานฝันให้ลูกศิษย์ การใช้จิตวิทยาในการเรียนการสอนเป็นเรื่องที่ยากเพราะว่าเด็กแต่ละคนมีพื้นฐานครอบครัวต่างกัน มีอุปนิสัยต่างกัน เราจะเหนื่อยใจมากกว่า เช่นว่าเด็กคนนี้ฉลาดมากแต่สมาธิสั้น เราจะต้องทำยังไงดี หรือ ถ้าเด็กคนนี้เก่งมากแต่ไม่กล้าแสดงออกเลยก็แตกต่างกันไปซึ่งทำให้ตัวครูเองต้องศึกษาเกี่ยวกับตัวเด็ก ไม่ใช่ว่าเราสอนเด็กอย่างเดียวนะ เด็กแต่ละคนก็สอนเรากลับว่า เราต้องทำการบ้านอะไรส่งเขา เราต้องไปค้นคว้าวิจัยอะไรเกี่ยวกับตัวเขา ยากมากจริงๆ ต่างจากร้องเพลงที่เป็นตัวเรา การตีความอารมณ์แบบไหนก็ถ่ายทอดไปเป็นบทเพลง แต่การที่ต้องดูแลเด็ก ส่งเสริมเด็กสอนเด็ก เป็นเรื่องที่ยาก

เมื่อเปรียบชีวิตเป็นบทเพลงที่โดนใจ

อินชอบเพลงทะเลใจ ชอบมาก ชอบความหมาย เป็นการเปรียบเทียบ เปรียบเปรยชีวิตคนได้ดีมาก เวลาที่เราท้อ อินเป็นคนประเภทที่ขี้ท้อเหมือนกันนะแต่ไม่ถอย คือท้อจิตท้อใจนอนร้องไห้ก็มี หรืออย่างเพลง อย่าหยุดยั้งคือบางทีเราเหนื่อย พูดไปบางทีตอนนี้ก็อยู่ยากนะทำอะไรก็ยากด้วย ก็ต้องพึ่งธรรมะ

ธรรมะ กับ ดนตรี สอนอะไร

เห็นอินเป็นแบบนี้นะ ก่อนออกจากบ้านก็จะนั่งสมาธิ สวดมนต์ แผ่ส่วนกุศล คนเรามองภายนอกไม่ได้นะเราไม่รู้หรอกว่าจิตใจเขาเป็นยังไงเขาประพฤติอะไรมา แล้วทำไมเวลาทำความดีต้องมานั่งบอกคนอื่นเหรอ ไม่ต้องเราก็ทำไป คนอื่นจะมาตัดสินตัวเราไม่ได้ ตัวเรานี่แหละที่ต้องตัดสินการกระทำของตัวเราเอง ถือศีล 5 ให้ได้ถ้ามนุษย์เราถือศีล 5 ให้ได้โลกนี้จะน่าอยู่มากๆ ทำให้ได้เถอะแต่มันก็ยากนะ เห็นอินร่าเริงบ้าบอแบบนี้ก็มีมุมสงบสายธรรมะเหมือนกัน ธรรมะ กับ ดนตรี พอคู่กันแล้วสอนให้อินใจเย็นขึ้นเยอะเลยนะ เมื่อก่อนนะตายเป็นตาย หุนหันพลันแล่น สู้ยิบตา ไม่ยอม แต่พอเราโตขึ้นก็ยิ่งรู้ยิ่งเห็นก็เลยเข้าใจ ทำให้บางครั้งเรามองเรื่องเครียดเป็นเรื่องตลกไปเลยนะ ธรรมะสอนให้เราทิ้งปล่อยวาง ทำไมต้องเก็บคำพูดของทุกคนมาทำให้เราเป็นทุกข์เหนื่อยเปล่าๆ และเราก็อย่าไปทำให้ใครเป็นทุกข์ไม่ว่าจะกายวาจาใจก็อย่าทุกอย่างเป็นธรรมชาติ และอินรู้สึกว่ามีบุญอย่างหนึ่งคือ ตั้งแต่ ป.4 อินได้เรียนกับหลวงพ่อฤาษีลิงดำ เรียนนั่งกรรมฐาน แล้วก็ทำมาตลอด ก็มีช่วงดังๆ ร่าเริงเกินไปก็ไม่ได้ฝึกบ้าง อินไม่ได้บอกว่าอินเก่งนะ ก็แพ้ภัยตัวเองนับไม่ถ้วนก็มี แต่พอฉุกคิดวนกลับมาก็ทำให้เราปล่อยวางสบายใจ กินอิ่มนอนหลับ ไม่ต้องไปทำบุญที่ไหน ทำกับพ่อแม่ญาติ พี่น้อง ให้ดีที่สุดก่อนแล้วค่อยออกไปให้คนอื่น

ชีวิตหลังแต่งงาน

แฮปปี้มีความสุข ก็ได้ธรรมะนี่แหละ เพราะว่าจริงๆ แล้วสามีเป็นคนธัมมะธัมโม เขาบอกว่า หนู พ่อแม่เรายังไม่มีความสุข ญาติพี่น้องเรายังลำบาก ทำไมเราจะต้องไปช่วยคนอื่นล่ะ ช่วยได้นะ แต่ต้องในปริมาณที่พอดีไม่เดือดร้อน พอเพียง สามีเป็นเพื่อนรุ่นพี่นักดนตรีเขาเป็นคนที่ไม่ค่อยพูด อินก็พูดตั้งแต่ตื่นนอน ไปเรื่อยๆ คนนั้นก็นิ่งฟัง หัวเราะขำ เขาเป็นคนที่ชอบอะไรตลกๆอยู่แล้วไง เขาถึงได้เลือกเรา อยู่ด้วยแล้วแฮปปี้ เขาใจดี เขาสุภาพ เขาเป็นคนเรียบร้อย

แพลนมีลูกไว้อย่างไร

จริงๆ ตอนนี้ต้องปั้มลูกนะที่ลงรูปอัลตราซาวนด์ในไอจีไป ว่ามีไข่ 4 ฟองพร้อมให้สามีทำการบ้าน แต่เผอิญไปแคสติ้งตัวละครตัวหนึ่ง แล้วปรากฏว่าได้เล่น ก็เลยต้องคุมกำเนิดไปอีก 8 เดือน เพื่อไปถ่ายละคร ก็เลยคุยกับสามีว่าขอก่อนแล้วกัน เพราะเขาอยากมีลูกมาก แล้วเขาอยากได้เด็กผู้หญิง

วางแผนชีวิตต่อจากนี้ไป

มีงานเข้ามาก็ดีใจมากๆ แล้วค่ะ ทำได้ก็ทำให้สุดๆ เต็มที่เขาจะได้ไม่ด่าลับหลัง แต่ถ้างานไหนคิดว่าทำไม่ได้ก็ไม่ต้องรับ เป็นคนแบบนี้นะอย่าไปวางอะไรมากทำชีวิตให้มีความสุข อยู่กับวันนี้ให้ดีที่สุด พอเพียงเหมือนในหลวงรัชกาลที่ ๙ สอนไว้พอแล้วค่ะ

ปั้นปลายชีวิต

เดี๋ยวกลับไปกรีดยางที่กระบี่ คุณแม่เป็นคนกระบี่ คุณพ่อเป็นคนฉะเชิงเทราแต่อินมีที่ดินอยู่ที่กระบี่กับประจวบคีรีขันธ์เออไปทำเกษรพอเพียงกันไหม บางทีก็เบื่อน่ะ แต่พอจะทิ้งๆ ไปตั้งหลักอยู่ต่างจังหวัดแล้วที่ไร งานเข้า ฮัลโหลทำนั่นทำนี่หน่อยก็อยู่ในแวดวงการเพลง วงการบันเทิงตลอด ไม่เคยห่างหาย ถ้ช่วงไหนไม่เห็นก็อยู่เบื้องหลังเป็นแบ๊กอัพ แต่อินว่าอย่างหนึ่งที่สอนเราก็คือเพราะเราคิดดีแล้วก็ทำดีสักวันหนึ่งความดีก็ต้องออกมา ความจริงก็เหมือนกัน โกหกซ่อนเร้นปิดไม่มิดหรอก เราเป็นแบบนี้ ตรงๆ พูดจาโผงผาง ก็เป็นแบบนี้มาตลอด ก็อยู่มาถึงวันนี้เข้าสู่ปีที่ 18 แล้วในวงการ ก็มีดังบ้างไม่ดังบ้างก็ไม่ซีเรียสเป็นปกติชีวิตมนุษย์

มุมมองต่อวงการเพลงสมัยใหม่

เราเคารพในงานทุกชิ้นงานเพราะว่าถูกกลั่นกรองมาจากสมองและหัวใจ แต่มีอย่างหนึ่งที่อยากจะพูดคือสิ่งที่น่ารักที่สุดของคนไทยเราคือ มารยาท วัฒนธรรม ฝรั่งเขา เซไฮ คนไทย สวัสดี ยกมือไหว้ น่ารักนะ เตือนเด็กรุ่นใหม่ไว้แล้วกัน ในความเป็นอินเตอร์เนชั่นแนลขอให้มีความเป็นไทยอยู่ในตัวตนนิดหนึ่ง ส่วนเรื่องงานก็เต็มที่ เลือกอะไรที่ดีๆ มาปรับใช้ คงไว้ซึ่งธรรมเนียมไทยก็จะดีมาก ดีใจกับน้องๆ รุ่นใหม่ๆ ที่เก่ง โลกทัศน์กว้างไกล

เทคนิคการดูแลสุขภาพให้แข็งแรง

ช่วงนี้ก็มีดูแลนิดหนึ่งเพื่อปั้มลูกอย่างที่บอกว่างเป็นวิ่งตอนนี้ สำหรับคนที่อ้วนอยากลดน้ำหนักเลยนะอย่างเดียว ใจ ถ้าใจได้สบายมาก ระเบียบวินัย ด้วยสำคัญ อย่ากินยาลดความอ้วนเด็ดขาด อินเคยกินนะลองแล้ว ร้องเพลงไม่ได้ ปากแห้ง ใจสั่น ไม่เอาเลิกๆ สุดท้ายมานั่งคิดด้วยตรรกะว่า ชีวิตเราต้องการอะไรว่ะ มีความสุขเหรอ ถ้าผอมสวยแล้วมีความสุขไหม ไม่มีก็ไม่เอานะ เตือนสาวๆ ค่ะลดความอ้วนเพื่อสุขภาพไม่ให้ป่วยพอแล้ว อย่าไปหวังว่าลดแล้วจะสวยนะ เพราะคนเราสวยที่ใจ สวยที่ความคิด ฉะนั้นอยากให้ทุกคนลดความอ้วนเพื่อสุขภาพ เรื่องสวยแล้วตามมา อินทำเพราะอยากมีลูก อยากมีแรงทำงาน ขอทำอีกสักสิบปีก็จะไปทำเกษตรพอเพียงแล้วอย่างที่บอก (หัวเราะ)

ฝากผลงาน

ตอนนี้ บูโดกัน ยังไม่มีเพลงใหม่ออกมาให้แฟนเพลงได้ฟังนะคะ แต่ว่าเร็วๆ นี้ปีหน้ามีแน่นอน แต่ช่วงเดือนไหนไม่รู้ เพราะอินไม่ได้กำหนด ถ้ามีจังหวะดี เพลงดี ในความคิดของเราก็มีออกมาให้ฟัง ส่วนวงเรา บูโดกัน ก็ยังรับงานจ้างปกติอยู่นะคะ คอนเสิร์ตเล็กๆ น้อยๆ เราพร้อมไปให้เต็มที่กับทุกงาน ช่องทางติดต่อ บูโดกันออฟฟิเชียล เฟซบุ๊ค ยูทูบ ตามดูผลงานพวกเราได้ค่ะ

เป็นสาวห้าวคิดบวกพลังเยอะจริงๆ สำหรับ อิน บูโดกัน บอกเลยงานนี้แฟนเพลงเตรียมโหลดเตรียมแชร์กันเต็มที่ ให้สมกับที่แฟนเพลงรอคอยมากว่า 8 ปี

กุหลาบสีเงิน

Star Retro : โอ้-เสกสรรค์ ปานประทีป มุ่งทำงานที่รัก ด้วยจิตวิญญาณของศิลปิน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/entertain/303946

Star Retro : โอ้-เสกสรรค์ ปานประทีป มุ่งทำงานที่รัก ด้วยจิตวิญญาณของศิลปิน

Star Retro : โอ้-เสกสรรค์ ปานประทีป มุ่งทำงานที่รัก ด้วยจิตวิญญาณของศิลปิน

วันเสาร์ ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560, 14.54 น.

ถือว่าเป็นอีกหนึ่งศิลปินที่แฟนเพลงคุ้นเสียงกันเป็นอย่างดี สำหรับ โอ้-เสกสรรค์ ปานประทีป เจ้าของเพลงดัง “ใจให้ไป” ที่ไม่ว่าจะยุคสมัยไหนก็ต้องรู้จัก และร้องตามกันได้ ล่าสุด โอ้-เสกสรรค์ จับไมค์อีกครั้งในรูปแบบ ลุยเอง ทำเพลงอิสระไม่มีค่ายคลอดเพลงใหม่ด้วยความทุ่มเทในทุกๆ กระบวนการอย่างจริงจังและตั้งใจ ที่สำคัญเนื้อหาของเพลงถ่ายทอดจากประสบการณ์ตรงของเขาอย่างสุดซึ้ง

งานหลักในปัจจุบัน

ตอนนี้ออกมาทำค่ายเพลงตัวเองประมาณ 3-4 ปีแล้วครับ คือเป็นช่วงเวลาที่ทำงานเพลงอะไรก็ลำบากแล้วนะครับ ไม่ว่าจะค่ายใหญ่ค่ายเล็ก ผมเลยคิดว่าเราขอออกมาลุยทำเอง แกรมมี่ก็เป็นบ้านเกิด ค่ายที่มีพระคุณ ทุกวันนี้ก็ขอบคุณเขาเสมอ และผมมองว่าวงการเพลงก็ทรงตัว ทำไปแล้วก็เท่าตัวนะ ก็ออกมาทำเองซะเลย สิ่งที่จะเสียก็เรื่องที่เราต้องเหนื่อยมากขึ้นในการโปรโมทและทำเองทุกอย่าง แต่ก็ไม่เป็นไรอยู่กับสิ่งที่เรารัก

โอกาสมีเสมอ ถ้าไม่หยุดคิดหยุดทำ

ผมรู้สึกว่าสมัยนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อน โอกาสประสบความสำเร็จมีได้ทุกคน ไม่ว่าจะอยู่ค่ายเล็กค่ายใหญ่ซึ่งคุณต้องทำงานหนักขึ้น อย่างมีบางค่ายที่ผมรู้เขาปล่อยศิลปินใหม่ ปล่อยเพลงใหม่ทุกอาทิตย์ ไม่รู้ล่ะบางเพลงอาจจะไม่ประสบความสำเร็จ แต่การปล่อยเพลงใหม่ทุกอาทิตย์ เดือนหนึ่งก็ 4 เพลง ปีหนึ่งก็ 40-50กว่าเพลง ซึ่งมีโอกาสที่เพลงจะเกิดได้ แล้วถ้าเกิดดังตูมขึ้นมาเพลงหนึ่ง เพลงนั้นอาจจะมียอดวิวเป็น 10 ล้าน 100 ล้าน รายได้ก็เข้าค่าย รวมทั้งโฆษณายอดวิวที่สูงทุกอย่างเป็นไปได้หมด แต่ถ้าคุณไม่ทำเลย ไม่ขยัน มองว่าเฮ้ย…ขาลง อย่าไปทำเลยดีกว่า มัวแต่ท้อใจ ก็จะได้เท่านั้น ฉะนั้นก็ต้องทำ ก้มหน้าก้มตาทำไปเถอะ ทำออกไปให้ดีที่สุด

งานเพลงคือชีวิตและจิตใจ

ใช่เลย ถูกต้องที่สุด เราเกิดมาเพื่อสิ่งนี้ คนที่เป็นศิลปินจริงๆ คือการทำสิ่งนั้นด้วยจิตวิญญาณ แล้วก็อยากที่จะทำและผลิตงานออกไปเรื่อยๆ โดยไม่คิด สำคัญว่าจะต้องมีอะไรตอบแทนกลับมา เช่นเดียวกันกับคนวาดรูป เราจะเห็นว่าเดี๋ยวนี้นักวาดเยอะมาก บางทีเขาก็นั่งเขียนรูปวาดทุกวัน เขาก็ไม่รู้หรอกว่ารูปนี้ในช่วงชีวิตเขาจะขายออกหรือเปล่า ไม่รู้เลย บางรูปคนวาดตายไปแล้วภาพนั้นก็ยังขายได้ก็มี แล้วทำไมเขาถึงทำล่ะ ก็เพราะว่านี่คือจิตวิญญาณของเขา มันคือสิ่งที่เขาจะต้องทำต่อไป เพราะเขารู้ว่าเขาเกิดมาเพื่อสิ่งนี้ เขาเรียนรู้ฝึกฝนมาเพื่อสิ่งนี้ ทำไมล่ะในเมื่อมันไม่มีคนซื้อภาพเขา หรือไม่มีคนฟังเพลง แล้วคุณจะต้องทิ้งกีตาร์ ทิ้งพู่กัน แล้วไปขายก๋วยเตี๋ยวเหรอ คุณใจง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่าคุณไม่ได้รักสิ่งนั้นจริงๆ แล้วล่ะ คุณอาจจะต้องการแค่เงินเพื่อประทังชีวิตเท่านั้นพอ มองว่าเป็นสิ่งที่เลี้ยงชีพเฉยๆ ก็โอเคไม่ใช่ ก็ไม่เป็นไร ก็ตอบโจทย์ของเขาไป และประเด็นคือเราทำงานให้ดีเถอะครับ งานดีจะอยู่ได้ยาวนานอยู่ที่ความตั้งใจจริงๆ ไม่ว่าจะงานเพลงป๊อปเพลงตลาด เพลงสไตล์ไหนก็แล้วแต่ มันมีคุณค่าในตัวของมันเอง ถ้าเราตั้งใจทำออกมาให้ดี

ไม่เคยท้อเวลาทำเพลง

ไม่เคยท้อเลย เพราะอยู่กับมันมาตลอดชีวิต แต่ก็มีบ้างที่มีความรู้สึก แต่ก็พยายามมองให้ออกว่าเราอยู่ตรงนี้เพราะอะไร เราอย่าไปเคยตัวกับระบบเก่าๆ อย่างเมื่อก่อนศิลปินเก่าจะเคยตัวมากว่า ค่ายจะเป็นคนทำให้ ค่ายจะต้องดูแลทุกอย่าง มีรถตู้มารับมาส่งไปโปรโมท เดี๋ยวค่ายจะจัดแจงให้ทุกอย่างเลย คุณมีหน้าที่แค่ร้องเพลงเป็นศิลปินเท่านั้นพอ สมัยนี้คุณเป็นอย่างนั้นไม่ได้แล้ว คุณคิดว่าคุณเซ็นสัญญากับค่ายแล้วทุกอย่างจบไม่ใช่ คุณจะต้องช่วยตัวเองด้วย คือต้องมีความเป็นศิลปินในตัวคุณเองด้วย ไม่ต้องสร้างภาพ ทำให้คนดูเห็นสิว่าคุณมีดีจริงๆ นะ ไม่ใช่ค่ายเป็นคนสร้างให้คุณ แฟนคลับแฟนเพลงจะชอบคุณที่อะไร ฉะนั้นสิ่งที่คุณต้องเป็นก็คือว่า คุณต้องเป็นตัวของตัวเอง คุณทำงานคุณมีค่ายหรือไม่มีค่ายคุณก็ต้องทำงานหนัก ต้องมีวิธีที่จะพรีเซ็นต์ตัวเองออกไป ครีเอทตัวเองให้คนเขาเข้าหาเราได้มากขึ้น รู้จักเรามากขึ้น แล้วยิ่งสมัยนี้ศิลปินเยอะมากเลยนะ เพราะฉะนั้นคุณก็ต้องไปแข็งกับคนอีกมากมาย ผมถึงบอกว่าทุกวันนี้เป็นศิลปินไม่ได้เหมือนสมัยก่อนที่คุณเซ็นสัญญากับค่ายแล้วค่ายจัดการให้ทุกอย่าง ทุกวันนี้คุณต้องช่วยตัวเองมากๆ (เน้นเสียง) ทางที่จะประสบความสำเร็จมีอยู่แล้ว เพียงแค่ต้องเหนื่อยหนักหน่อยที่ต้องไปแข่งกับศิลปินอีกมากมายแล้วก็อีกหลายๆ ที่ชัดเจน ฝีมือจริงๆ ของคุณถึงจะเป็นตัวจริง

ยิ่งแปลกยิ่งดี

ผมคิดถึงเรื่องนี้มานานแล้วนะ เพราะมีคนบอกว่าต่อไปเดี๋ยววงการเพลงจะกลายเป็นยุคทองของกลุ่มเล็ก ซึ่งพวกเขามีพลังมาก ยิ่งยุคนี้เป็นยุคของโซเชียล ยุคของเด็กรุ่นใหม่ เจนเนอเรชั่นใหม่ๆ เขาอยากจะดูอะไรเขาจะเลือกดูเองไม่ต้องมาบอก หรืออย่าไปยัดเหยียดว่าจะต้องดูอันนี้นะ ฉะนั้นเขาก็จะเลือก และไปหาอะไรที่ตรงกับความชอบจริตของเขา พอเขาฟังแล้วชอบเจองานดี ถูกใจ เขาก็จะไปบอกต่อๆ กันในโลกโซเชียลจากกลุ่มเล็กกลายเป็นกลุ่มใหญ่ได้ จริงๆ ก็แอบอิจฉาเหมือนกันนะว่าสมัยนั้นเราไม่มีโซเชียล เพลงที่เราปล่อยไปเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้วยังไม่มียูทูบ ผมยังเคยคิดเล่นๆ เลยว่าเอ๊ะตอนนั้นถ้ามียูทูบเพลงเราจะสักกี่ล้านวิวน่ะ (หัวเราะ) แล้วจะมีฐานแฟนเพลงของเราที่ฟังเรา มากดมาตามเราในหน้าแฟนเพจเยอะมากๆ แต่ตอนนี้ไม่ทันแล้วไงเรามาทีหลัง ช้าไปก็ต้องมานั่งตาม เริ่มใหม่เหมือนกัน

เสน่ห์ในยุคก่อน ที่หวนคิดถึง

ผมว่าข้อดีมีทั้งยุคเก่ายุคใหม่หรือยุคปัจจุบัน เพราะผมเป็นคนมองทุกอย่าง 360 องศา ทุกอย่างมีข้อดีข้อเสีย ข้อดีของยุคสมัยก่อนคือ เป็นยุคเทปยุคเริ่มต้นของซีดียุคที่ยังทำอัลบั้มเต็มกันอยู่ แล้วเรารู้สึกว่าการทำอัลบั้มเต็มมีคุณค่าอย่างหนึ่งก็คือว่า ได้แสดงตัวตนของศิลปินจริงๆ ว่าศิลปินเขาคิดอะไร โดยเฉพาะศิลปินที่เขาทำงานเอง แต่งเพลงเองหมด ก็ทำให้คนรู้ว่าผมพยายามจะสื่อสารอะไรกับแฟนเพลง บางทีฟังเพลงเดียวที่เป็นซิงเกิ้ลอาจจะยังไม่รู้ว่าคืออะไร แต่ถ้าฟังอัลบั้มก็จะรู้ตัวตนของศิลปินมากขึ้น แล้วก็ด้วยความที่สมัยนั้นก็ยังไม่มีเพลงเยอะเหมือนสมัยนี้และยังไม่มีโซเชียล แล้วคนฟังเพลงสมัยนั้นฟังกันทั้งอัลบั้ม สมมุติเราปล่อยโปรโมททีละซิงเกิ้ลก็จริง แต่เวลาเปิดให้ฟังต้องฟังเพลงทั้งอัลบั้มฟังจนฝังเข้าไปอยู่ในหัว เปิดปกเทปมาอ่านเนื้อตามมีคุณค่ามาเลยนะ บางคนก็เอามาดูเลยว่าใครเป็นคนแต่งดูเครดิต สมัยนี้มีน้อยมาซึ่งน่าสงสารคนเบื้องหลังมาก แต่ก็โอเคก็ไม่เป็นไร นี่แหละคือความไม่เหมือนสมัยก่อน

วงการเพลงที่ว่าแย่ จริงๆ ไม่ได้แย่

คนทุกวันนี้ฟังเพลงเยอะขึ้นกว่าคนสมัยก่อน เพราะเราเข้าถึงเพลงได้ง่ายขึ้น ถ้าอย่างงั้นก็หมายความว่าตลาดใหญ่ขึ้นใช่ไหม อย่างเมื่อก่อนเมื่อ 5 ปีที่แล้วเราไม่มียูทูบให้ฟังเพลงฟรี เราจะฟังเพลงก็ต้องเก็บตังค์เพื่อไปซื้อซีดีศิลปินที่เราชอบ เพราะฉะนั้นเดือนหนึ่งเราซื้ออัลบั้มได้ 2 อัลบั้ม เราก็จะมีโอกาสฟังแค่ 2 ศิลปินที่เราไปซื้อมา ซึ่งเดือนหนึ่งศิลปินก็ออกหลายอัลบั้มอยู่นะช่วงนั้นเราก็ไม่มีโอกาสได้ฟังใช่ไหม ศิลปินนั้นก็หมดโอกาสเข้าถึงคุณ สมัยนี้เราจะฟังแค่ไหนก็ได้เพราะเราไม่ต้องไปเก็บตังค์เพื่อซื้อซีดี (หัวเราะ) ก็เปิดโอกาสให้คนฟังเข้าถึงมากขึ้น เฉลี่ยกันมากขึ้นด้วย อาจจะไม่ลึกซึ้งแต่ก็เฉลี่ยกันมากขึ้น ตลาดใหญ่ขึ้นก็เป็นอีกหนึ่งกำลังใจ เพียงแต่ว่าในแง่ธุรกิจอาจจะมีเครื่องมืออะไรบางอย่างเท่านั้นเอง

เพลงฮิตติดลมบน

อย่างเพลง “ใจให้ไป” ล่าสุดมีคนมาทักนะว่าเออคลื่นนี้ก็ยังเปิดอยู่นะ (ยิ้ม) ก็ดีนะ เวลาคนมาทักแบบนี้ทำให้ผมคิดว่า เฮ้ย.. ทำไมคนยังคิดถึงเพลงนี้ นี่ผ่านมา 15 ปีแล้วนะ ทำไมยังมีคนฟัง คลื่นวิทยุยังเปิดเพลงนี้อยู่ ก็เพราะว่าสมัยนั้นเราฟังกันมาเป็นปีไง มันฝังหัวเราอยู่ทั้งในความคิดความรู้สึกเลยทำให้คนคิดถึงเพลงในยุคนั้น ไม่ใช่เฉพาะเพลงของผม ศิลปินและเพลงของศิลปินคนอื่นๆ แฟนเพลงก็คิดถึงนะ แม้จะผ่านเวลามานานแล้วก็ตาม

มองอนาคตเพลงในปัจุบัน

แอบคิดนะ ไม่รู้อนาคตอีก 10 ปีข้างหน้าจะเป็นอย่างไร คือ เพลงที่ดังมากที่สุดเลยตอนนี้ ถ้าผ่านไปอีก 15 ปี จะเหมือนเพลงสมัยก่อนหรือเปล่า เพราะสมัยนี้เราฟังเพลงกันเร็วมาก แล้วเพลงก็จะอยู่ได้ประมาณ2-3 เดือน เพลงใหม่ก็มาแล้ว อีกอย่างเด็กรุ่นใหม่เขาฟังเพลงเขาไม่ได้ฟังเพลงอย่างเดียวเขาทำกิจกรรมอย่างอื่น เล่นโซเชียล ถ่ายรูป คอมเม้นต์ โพสเฟซบุ๊ค โน่นนี่นั่น ฉะนั้นเขาไม่มีสมาธิกับการฟังเพลงให้เขาหัว บางทีก็ฟังยังไม่ทันจบเพลงด้วยซ้ำไป เพราฉะนั้นเหมือนเพลงผ่านหูเขาแล้วก็ผ่านไปไม่ซึมซับยังไม่ทันได้ผูกความรู้สึกกับเพลงเลย ผมเลยมองว่าอนาคตไม่รู้ว่าแวลูของเพลงจะไปต่อได้ถึงอีก 10 ปี หรือ 15 ปีข้างหน้า ยังไม่ฟันธงว่ามันคืออะไร

ทุกเพลงคือลูก

เพลงใหม่ออกกันได้ทุกวัน ตามฟังกันไม่ทัน ศิลปินใหม่ก็เยอะ นักร้องจากการประกวดรายการร้องเพลงก็มีเยอะ เด็กรุ่นใหม่ที่ทำเพลงออกมาก็เยอะ ขนาดศิลปินเก่าอย่างผมก็ยังทำก็ต้องสู้ต่อไป ทวีคูณกันไปเรื่อยๆ แต่ก็ไม่เป็นไรหรอกและไม่กลัวอะไรด้วย เราทำเองเพราะเรารักและสนองตัวเราเอง ไม่ได้ทำเพลงเพื่อว่า เฮ้ยเราอยากมีเพลงดังอีกสักหนึ่งเพลงเพื่อเราจะได้อะไร แต่ก็ไม่รู้ครับบอกไม่ได้ เพราะวันที่ทำเพลง ใจให้ไป ไม่เคยคิดว่าจะดัง ก็ทำงานไป แต่กลายเป็นว่าสะดุดคนหมู่มากเขาชอบ เช่นเดียวกัน ทุกวันนี้ก็เราก็ทำไปถ้าไม่มีเพลงไหนไม่โดนก็ไม่เสียใจ ก็เท่ากับว่าเราภูมิใจในงานของเรา ถือว่าเราทำงานศิลปะชิ้นหนึ่งออกไปดีๆ บนโลกนี้ แล้วก็มีคนได้ฟังมากน้อยไม่รู้ แต่มีคนได้ฟัง แค่นั้นแหละ แล้วได้หันกลับมามองก็ภูมิใจว่าเราได้ทำ เราไม่ได้ขายวิญญาณนะเราทำด้วยความที่ว่าเรารักมันและอยากทำให้ออกมาให้ดีที่สุด ทุกเพลงคือลูกของเรา

คุณค่าในตัวเพลง

ผมว่า เพลง เป็นการบันทึกชีวิตส่วนตัวของเรา ถ้าเพลงที่เราได้แต่งเอง เป็นการบันทึกช่วงเวลานั้นๆ เราก็จะได้รู้ว่าเพลงนี้แต่งเพราะอะไร นั่นแหละ นึกถึงความผูกพันในเวลานั้นๆ เวลาไปเล่นบนคอนเสิร์ตก็จะพูดให้คนฟังว่าเพลงนี้มาจากไหน เพราะทุกเพลงมีที่ไปที่มาเสมอ

อิทธิพลโลกโซเชียลต่อการฟังเพลง

เพลงหลายๆ เพลงที่ดังในทุกวันนี้ ผมเชื่อว่าเกิดจากการแชร์ เฟซบุ๊ค ยูทูบ บางเพลงปล่อยไป 2 ปีแล้วอยู่ดีๆ กลายเป็นดังมาก ยอดวิวเป็น 100 ล้านวิว ก็อย่างที่บอก ต้องกลับไปจุดเริ่มว่าเราก็ต้องก้มหน้าก้มตาทำเลย อย่าไปท้อ ปล่อยไปแล้วไม่มีใครฟัง ไม่มีใครดูเลย เลิกทำดีกว่าไม่ใช่ ก็ทำต่อไปเดี๋ยวก็ถูกเปิดขึ้นมาอย่าง “เดอะทอยส์” (The Toys) ผมเคยไปดูเขาตั้งแต่ยังไม่ได้ขนาดนี้ไปดูเขาเล่นกีตาร์ ซึ่งเขาเล่นเก่งมาก แล้วผมก็ไม่เคยรู้ว่าเขามีเพลงด้วยนะ ก็ไปดูจากคลิปที่เขาโชว์ โซโล่กีตาร์ เก่งมาก เขาได้แชมป์ แล้วพอมาได้ฟังเพลงเขาอีกทีก็ เอ้าคนนี้นี่ที่เราเคยเข้าไปดูคลิปที่เขาเล่นกีตาร์ ฉะนั้นเรานั่งทำสิ่งที่เรารักให้ดีที่สุดผลดีๆ ตามมาแน่นอนไม่ว่าจะอาชีพไหนก็แล้วแต่ ไม่ต้องเที่ยวไปว่าคนโน้นคนนี้ เดี๋ยวนี้ดูเฟซบุ๊ค เห็นในไทม์ไลน์เยอะ ก็อย่าไปสนใจเลยนะมองผ่านๆ ทำใจให้เป็นการ นิ่งๆ ก้มหน้าก้มตาทำในสิ่งที่เราทำออกไปให้ดีที่สุด เสียเวลามากนะที่เราจะต้องคอยไปนั่งมองว่าคนโน้นคนนี้ไม่ดี เสียสุขภาพจิต ที่ทำสำคัญโซเชียลปัจจุบันทำให้โลกเรามีคนขี้อิจฉาเยอะขึ้นมีคนอยากรู้อยากเห็นมากขึ้น ทำให้เรื่องส่วนตัวไม่เป็นเรื่องส่วนตัวอีกต่อไป โซเชียลทำลายกำแพงพวกนี้หมดเลย แต่ในแง่มุมดีก็มีเป็นช่องทางในการโปรโมทผมก็ใช้ช่องทางในเฟซบุ๊ครวบรวมคนที่ชอบเราจริงๆเข้ามาติดตามงานเราได้ ซึ่งเป็นช่องทางไม่กี่ช่องทางในโซเชียลที่เราสามารถจะบอกแฟนเพลงได้เวลามีเพลงใหม่หรืออะไร ถ้าผมเลิกเล่นเฟซบุ๊คหรือยูทูบก็ไม่มีทางที่คนจะรู้เลย อันนี้ก็คือข้อดีมากๆ นี่คือข้อดีที่เร็วมากเลย

เพลงใหม่ที่แต่งจากประสบการณ์ตรง

คือคนเรา เวลาที่เรารักหรือเรารู้ว่าเรามีสิ่งหนึ่งที่คิดว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิต เราจะกลัวที่จะสูญเสียสิ่งนั้นไป ผมว่าเป็นทุกคนนะครับ บางทีไม่ใช่เรื่องแฟนอย่างเดียวก็ได้นะ บางครั้งเป็นเรื่องของพ่อ-แม่ของเราก็ได้ บางครั้งเป็นคนที่มีพระคุณต่อเราหรือครอบครัว แน่นอนเลยผมเชื่อว่าหลายๆ คนต้องมีความรู้สึกนี้ ฉะนั้นพอมีลูกมีครอบครัวปุ๊บจะรู้เลยว่า รักตัวเองขึ้นมาทันที จริงๆ ไม่ได้รักตัวเองเพราะว่ารักตัวเอง รักเพราะว่าอยากจะมีชีวิตอยู่กับลูกตัวเอง จากที่เมื่อก่อนเคยเหลวไหลกินเหล้า สูบบุหรี่ บางคนละได้เลย เพราะฉะนั้นเพลงนี้เกิดจากการที่ผมมีครอบครัว คือตอนนี้ผมมีลูกสาว 3 ขวบและมีในท้องอีกคนหนึ่งลูกชาย ทำให้รู้ว่าเออเราเจออะไรมาเยอะผ่านเรื่องราวมามากมายก็รู้ว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตเราคือสิ่งนี้แหละ ผมก็เลยคิดว่าเพลงนี้แหละคือเพลงสำหรับครอบครัวของเรา เพลงที่เขียนขึ้นมาเพื่ออธิบายตัวเรา The Best Thing (That Ever Happened To Me) อารมณ์เพลง เนื้อหาเป็นความรู้สึกกลัว ไม่อยากสูญเสียคนรักไป ถ้าวันหนึ่งเกิดเหตุการณ์อะไรที่คาดคิดขึ้นมาจริงๆ เราจะได้รู้ว่าจะต้องใช้เวลานี้ให้ดีที่สุด บอกรักดูแลคนที่เรารักให้ได้มากที่สุด ก่อนที่จะไปถึงวันที่เราต้องจากกันไม่ว่าจะจากกันด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ ผมเชื่อว่าหลายๆ คนมีอารมณ์นี้แน่นอน

ฝากติดตามผลงาน

เพลงใหม่นี้ The Best Thing (That Ever Happened To Me) หาฟังกันได้ครับ หลักๆ เลยคือยูทูบ และผมกำลังจะทำแคมเปญเชิญชวนคนมาแชร์อะไรดีๆ ก็ต้องติดตาม อาจจะทำเป็นมิวสิกวีดีโอน่ารักๆ ออกมา แต่ว่าถ้าใครอยากเป็นเจ้าของเพลงนี้ต้องไปดาวน์โหลด เพลงนี้เกิดจากโครงการหนึ่งชื่อว่า zongger เว็บไซต์ http://www.zongger.com ที่นี่คือเปิดโอกาสให้ศิลปินที่ทำงานเองเอางานตัวเองที่มีเดโม่แล้วเอาไปโพสต์ให้คนฟัง อาจจะเป็นแค่สั้นๆ เป็นตัวอย่างเพลง แล้วคนที่เข้ามาฟัง ถ้าเขาอยากจะฟังเพลงเต็มที่เป็นมาสเตอร์สำเร็จแล้ว เขาสามารถเข้าไปร่วมสนับสนุนได้ คือเขาสามารถที่จะไป Sign In เพื่อสนับสนุนเพลงนั้นหรือศิลปินนั้นๆ โดยการลงเงินเข้าไป เป้าหมายคือแค่หนึ่งหมื่นบาทเท่านั้น ถามว่าทำเพลงได้ไหม ไม่ได้หรอกครับไม่พอกับทุกอย่าง แต่อย่างน้อยก็ช่วยศิลปินได้ เป็นจุดเริ่มต้น ช่วยจุดประกายให้เพลงนี้ไปต่อได้ บางครั้งเรามีเดโม่อยู่แต่ไม่มีทุนในการไปต่อซึ่งตรงนี้ช่วยได้เขาอาจะมีช้อยให้เลือกว่าจะสนับสนุนเท่าไหร่ตั้งแต่100 บาทเป็นต้นไปถึง 1,000 บาท แต่ยอดไม่ได้สูงมาก พอครบตามจำนวน 10,000 บาท ศิลปินก็มีกำลังใจที่จะไปทำงานต่อให้เสร็จเป็นมาสเตอร์ พอครบปุ๊บระบบหลังจาก 7 วันก็จะทำมาสเตอร์ ไม่เกิด 2 อาทิตย์เต็มที่ก็ได้ฟังมาสเตอร์ ก็อยากเชิญชวนทั้งศิลปินที่มีงานเป็นของตัวเองก็เข้าไปดูได้ คนที่มีใจสนับสนุนศิลปินที่ชื่นชอบก็เข้าไปตามดูได้มีงานดีๆ ให้เราดู แล้วพอทำสำเร็จเราก็จะได้มาสเตอร์ไปฟังด้วย

เพลงสอนให้ห่วงใย และเข้าใจรักที่แท้

บางทีผมก็นั่งคิดเหมือนกันนะว่า สมมุติถ้าเกิดเราสูญเสียคนรักไปแบบไม่มีวันกลับ ถ้าเกิดว่าเรายังไม่ทันได้ดูแลเขาให้ดีแล้วเสียเขาไปล่ะ เพราะฉะนั้นเราก็จะรู้สึกเสียดายภายหลัง แต่ถ้าระลึกได้ว่าวันนี้เขายังอยู่กับเรา แล้วให้สิ่งที่ดีที่สุดกับเขา เพราะเขาก็คือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเรา เพลง The Best Thing (That Ever Happened To Me) นี่แหละที่เตือนใจว่าอย่าลืมว่าเรามีใคร จริงๆ แล้วการที่เรามีสิ่งที่ดีที่สุดคือความโชคดีระดับหนึ่ง แต่สิ่งที่สำคัญไปกว่านั้นคือการดูแลเขาให้ดีที่สุด ผมบอกเลยนะว่าผมเรียนรู้ด้วยประสบการณ์เสมอเพราะว่าเราเคยสูญเสีย ความรัก พลาดพลั้งสูญเสียคนที่เรารัก ประสบการณ์ส่วนตัวสอนเราหมดครับ แล้วก็กลับมานั่งดูเสมอว่าอืม คนที่เราสูญเสียไปเรามาระลึกรู้ได้ว่าเขาคือคนที่ดีมากๆ แล้วมันเกิดจากอะไรล่ะ ก็ส่วนหนึ่งเพราะเราไม่ได้ดูแลเขาให้ดีที่สุดไงล่ะ ไม่ว่าสาเหตุจะมาจากอะไรก็แล้วแต่ ถ้าเราดูแลคนที่เรารักได้ดีที่สุดมันก็อาจจะไม่เกิดการสูญเสียก็ได้ อันนี้จากเป็นนะ จากตายก็คนละเรื่องกัน มันทำให้รู้ว่าการได้มาซึ่งสิ่งที่เรารักมันง่ายกว่าการดูแล เพราะการดูแลเป็นเรื่องที่ยากมาก ต้องใช้พลังและความใส่ใจมากๆ ก็อยากจะบอกว่าดูแลคนที่เรารักให้ดีที่สุด เพราะไม่รู้ว่าเขาจะอยู่กับเราได้นานแค่ไหน แค่วันนี้เราขอดูแลเขาให้ดีที่สุดก็พอ ไม่ว่าจะพ่อ แม่ แฟน หรือจะเป็นใครก็ตาม

มีประสบการณ์ตรงแบบนี้นี่เอง เพลงของ โอ้- เสกสรรค์ จึงลึกซึ้งกินใจทั้งเนื้อหาและอารมณ์ เพราะทุกเพลงมีเรื่องราว ถึงทำให้เพลงนั้นน่าจดจำ

กุหลาบสีเงิน

Star Retro : วงจันทร์ ไพโรจน์ ชีวิตอาจไม่ลิงโลด แต่ยังคงจับไมค์โลดแล่น

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/entertain/302603

Star Retro : วงจันทร์ ไพโรจน์ ชีวิตอาจไม่ลิงโลด แต่ยังคงจับไมค์โลดแล่น

Star Retro : วงจันทร์ ไพโรจน์ ชีวิตอาจไม่ลิงโลด แต่ยังคงจับไมค์โลดแล่น

วันอาทิตย์ ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560, 06.00 น.

จากชื่อเสียงอันโด่งดังในอดีตด้านผลงานเพลงทำให้ วงจันทร์ ไพโรจน์ มีงานอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งในวัย 84 ปี เธอยังคงไม่หยุดออนทัวร์ กับการขึ้นเวทีคอนเสิร์ต แม้ชีวิตจะลำบาก เธอก็เดินหน้าต่อสู้ ด้วยหัวใจที่เข้มแข็ง แถมยังแบ่งบันให้กับผู้อื่นโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน อะไรทำให้เธอเลือกเส้นทางนี้ สตาร์เรโทรฉบับนี้จะพาไปเจาะลึกตำนานผู้หญิงแกร่ง วงจันทร์ ไพโรจน์

ความเป็นไปในปัจจุบัน

ตอนนี้ไม่มีงานประจำค่ะ ก็รอว่าใครเขาจะให้ไปร้องเพลงบ้าง แล้วก็ทำละครบ้าง ทุกอย่างเท่าที่เราทำได้ บางคนอยากช่วย เขาก็ให้ไปทำอาหารบ้าง เพราะที่ผ่านมาแม่ก็เคยทำร้านอาหาร ไม่เคยลำบาก แต่ทุกอย่างไม่สมดังที่เราเคยตั้งใจไว้ เราคิดว่าเมื่อเราอายุขนาดนี้แล้วควรจะมีเงินก้อนใหญ่ๆ สักก้อนหนึ่ง ซึ่งไม่ต้องให้เดือดร้อนใคร อย่างเวลานี้ที่แม่ไปร้องเพลงบ้างได้รับเชิญก็ไป พลังเสียงก็อาจจะไม่ได้ดีเท่าเมื่อก่อน เราตั้งใจว่าจะร้องให้ดี ทำให้ดี แต่มันไม่ได้ดั่งที่ใจคิดตอนนี้มีภาระที่ต้องรับผิดชอบดูแลคือคุณพ่อ หรือ สามีน่ะค่ะ ที่อายุ 82 ปี เขาไม่สบาย ป่วยอยู่ แล้วก็ลูกชายวัย 52 ปี ก็ป่วยด้วย ดูแลกันไปเรื่อยๆ ค่ะ

กำลังใจในการทำงานและใช้ชีวิต

กำลังใจจากตัวเองดีที่สุดค่ะ (หัวเราะ) แม่จะมีอยู่อย่างหนึ่งคือจะไม่ขอใคร ไม่ขอร้อง ไม่อยากจะให้ใครเดือดร้อนเพราะเรา ต้องช่วยตัวเองก่อน แล้วต้องช่วยให้ได้ ถ้าไม่ได้ก็ไม่เคยเอ่ยปากขอใครนะคะ เพราะเราคิดว่าตัวเองต้องทำได้ ตัวเองต้องช่วยตัวให้ได้ ตลอดชีวิตมาไม่เคยขอ ต้องช่วยตัวเองให้ได้ คือแม่ก็คิดเองของแม่นะว่า ยังไงเราก็ยังทำได้นะมือเรายังดี สมองเรายังมี ขอแค่ให้คนเห็นความสำคัญว่าเรายังทำงานได้ เราจะทำให้สุดชีวิตเลย แค่มีคนเอ่ยปากชวน หรือว่าจ้างก็ทำเต็มที่ให้ทุกงานค่ะ

โอกาสจากพี่น้องพ้องเพื่อนที่หยิบยื่นให้

อย่างละครเพลงการกุศลเรื่อง “ฉันไม่ใช่ผู้วิเศษ…กว่าจะถึงวันนี้มอบไว้แทนคุณแผ่นดิน” ที่เพิ่งแสดงไปทางน้องดาวใจ ไพจิตร ขอให้แม่มาทำงานตรงนี้ แล้วก็มาช่วยเขียนบท ช่วยกำกับ แล้วก็มีน้องกล้วย แล้วก็ลูกคุณแจ็ค ช่วยด้วย ทุกคนมาทำงานร่วมกัน ก็จะไม่ขอเปล่าๆ ต้องมีการทำงานแลกดีกว่า เรามีความสุขกว่า ภูมิใจด้วย ถึงแม้จะเหนื่อยก็ไม่หวั่น และนอกจากนี้ก็มีอีกหลายโครงการค่ะที่รออยู่ พอจบตรงนี้ก็ต้องทำต่อๆ ก็มีทั้งละคร คอนเสิร์ต ก็จะเป็นรวมศิลปิน แล้วก็นักร้องที่เชิญมา ซึ่งเพลงแม่จะเป็นคนระบุออกไปเลยว่าเพลงไหนบ้าง บางเพลงบางท่านก็เกิดไม่ทัน ก็ต้องช่วยอธิบาย คือวางโครงของคอนเสิร์ตว่าจะเป็นแบบนี้ แล้วแม่ก็ต้องขอขอบคุณประชาชน แฟนเพลงที่ยังสงสาร (หัวเราะ) รัก และคิดถึง มานั่งดูเรา ทุกครั้ง ทำไม่เคยผิดหวัง คนก็เต็มทุกรอบทุกครั้งที่ทำงาน

ถึงลำบากแต่ไม่หยุดช่วยเหลือผู้อื่น

เพราะแม่ก็ยังมีเพื่อนที่ลำบากกว่าแม่ไงคะ คนที่แย่กว่าแม่ก็ยังมี เพื่อนแม่แย่กว่าแม่ตั้งหลายคน แม่ยังออกไปร้องเพลงได้ ทำงานได้ เพื่อนแม่ที่อยู่กับบ้านแล้วทำไม่ได้ เขาแย่กว่าแม่อีก แม่ทำได้ก็ทำ แล้วเอามาแบ่งกันดีกว่า ก็ช่วยมาตลอด ตั้งแต่ทำโรงแรม เป็นเจ้าของร้านสมัยโน้น คือถ้าพูดไปก็จะคล้ายๆ ว่าอวด ว่าตัวเองช่วยคนโน้นคนนี้แต่ไม่ใช่ ก่อนจะทำงานอะไรก็แล้วแต่แม่คิดว่าแม่ทำคนเดียวไม่ได้ นอกจากจะมีเพื่อนๆ มาช่วยกันเขาก็มีส่วนมาทำให้ร้านแม่มีคนรู้จัก เกื้อหนุนกัน เป็นมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว แม่จะเป็นยังงี้อยู่แล้ว

ช่วยโดยไม่หวังผลตอบแทน

เวลาแม่ช่วยเพื่อนหรือให้อะไรเพื่อน แม่ไม่ค่อยให้ใครรู้ เวลาที่แม่มีเงินปุ๊บ ทุกครั้งที่แม่จัดคอนเสิร์ตแม่จะกันเงินไว้ทุกครั้งเลย สามหมื่นถึงห้าหมื่นบาท เพื่อนฝูงเดือดร้อนปุ๊บ แม่ก็จะมีใส่ซองให้ หรือไปเยี่ยมเพื่อน เอาไปให้ทุกครั้ง แบ่งๆ กันไป แม่อยากทำเพื่อช่วยเพื่อนแม่ที่เขาไม่ได้มีกำลัง มีหนทางแบบแม่ เพื่อนแม่บางคนก็ถูกลืมไปแล้วด้วย บางทีการที่เขาได้เงินจากเรา แล้วเราไม่พูดอะไรเลย ภูมิใจกว่าที่เราไปพูดแล้วเขามีปมด้อยก็เลยเลือกที่จะไม่พูด เวลาจะช่วยใครเราไม่ต้องพูดว่าเราจะช่วยคนโน้นคนนี้ ช่วยก็ช่วย ใจเราสำคัญสุด

ย้อนวันวาน เส้นทางจับไมค์

เข้าสู่เส้นทางดนตรีตั้งแต่อายุ 12 ปีค่ะ เป็นนาฏศิลป์ อัศวินการละคร เพราะบ้านอยู่ตรงข้ามวังอัศวิน ก็เป็นนาฏศิลป์มาก่อน ตอนหลังก็เล่นละครเวที แล้วก็ประกวดร้องเพลง แล้วพอได้ปุ๊บก็เลยได้มาเป็นนักร้อง พอตอนอายุ 14-15 ก็บันทึกเพลง “กลางดง” แล้วก็เพลง “ราตรีเจ้าเอ๋ย” หลังจากนั้นก็ร้องเพลงมาตลอด จนกระทั่งดังและหันมาเริ่มทำร้านอาหาร เป็นโรงแรม ซึ่งตอนนี้ก็ไม่ได้ทำแล้ว เพราะช่วงหนึ่งทำๆ ไปแล้วถามตัวเองว่า ถ้าเผื่อต่อไปใครทำต่อ ลูกก็ไม่ได้ทำด้วย เพราะไม่ชอบ การทำร้านอาหารแม่ก็มองแล้วว่า ทำๆ ไปแล้วก็จะถึงจุดอิ่มตัว แล้วเราก็จะเริ่มเบื่อๆ ก็หยุดไป

ชีวิตต้องสู้ตั้งแต่จำความได้

คุณพ่อแท้ๆ เสียตั้งแต่ตนเอง 10 ขวบ แม่เกิดมาไม่เคยเห็นหน้าคุณแม่ ส่วนคุณพ่อเลี้ยงคือน้าชายเมื่อก่อนชื่อ ดวงจันทร์ แต่คุณพ่อที่เลี้ยงมาเปลี่ยนเพื่อให้คล้องกับท่านเป็น วงจันทร์ เพราะคุณพ่อชื่อ สมวงศ์ ตอนเด็กๆ ก็ใฝ่ฝันอยากจะเป็นนักร้อง จนได้เป็นนักร้องสมใจ แต่คุณทวดไม่อยากให้เป็นนักร้อง เพราะเป็นห่วง ปู่ย่าตายายพ่อแม่ก็ไม่ได้สนับสนุน ต้องแอบ ต้องหนีไป แม่เองก็แอบทำเหมือนกัน ซึ่แม่ก็คิดว่าร้องเพลงไปด้วย เรียนไปด้วย หาตังค์ส่งตัวเองเรียนหนังสือ ไม่ได้เดือดร้อนใคร ความอยากที่จะมีอะไรเป็นของตัวเอง สมัยก่อนแม่ซื้อทองเป็นกระป๋องเลยนะ เงินที่ได้จากร้องเพลงก็เอาไปซื้อทอง ยังไม่รู้จักการฝากออมสิน ก็ซื้อเก็บไว้สลึงสองสลึงตอนนี้ก็เหลือบ้างนิดหน่อย (หัวเราะร่วน)

ความแข็งแกร่งที่ได้มา

คือมันฝังอยู่ในหัวใจค่ะ เราต้องทำได้น่ะ ความขยันสำคัญที่สุด ไม่ท้อแท้ จริงจัง แล้วทุกอย่างก็จะสำเร็จ มีบ่อยที่แม่เองก็ท้อแท้แต่บางครั้งทำไปแล้วก็ย้อนกลับมาทำให้เราเสียใจก็มี แต่เราก็จะไม่เก็บเอาไว้นะ ช่างมันเถอะผ่านไปๆ ชีวิตที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบตั้งแต่สิบขวบ ถ้าเล่าไปก็เหมือนโม้ ตอนที่เราดังก็มีทั้งดีและไม่ดีเข้ามา ทำให้เราไขว้เขวไปบ้าง เราก็ต้องอยู่ของเราให้ได้ มีพี่น้อง4 คน ทุกคนก็ได้เรียนหนังสือหมด แต่แม่ได้เรียนน้อยกว่าเพื่อน แต่ก็ตะเกียกตะกายหาเงินเรียนเอง ตอนหลังไปเรียนภาคค่ำ สุดท้ายได้วุฒิการศึกษา ม.6

งานเพลงหล่อเลี้ยงชีวิต

ตอนแรกเคยคิดจะลาวงการเพลงเลยนะคะ ตั้งใจลาเลยล่ะ แต่ว่าก็ผิดหวัง ในลักษณะที่ว่า สมัยที่แม่เคยทำร้านอาหาร แล้วร้านของแม่ก็คนแน่นมากๆ ไม่มีโต๊ะจะนั่ง มีเป็นร้อยโต๊ะ แล้วตอนนั้นครูเพลงท่านก็เขียนเพลงมา คือตอนที่เราเจริญรุ่งเรือง ครูก็อยากให้ร้องให้ ทำเพลงมาให้ ก็ไม่มีเวลาไปร้องให้ แต่ถ้าครูเอาเพลงมา แม่ก็ซื้อไว้ตลอดนะ จนกระทั่งแม่ได้ทำรวบรวมเป็นอัลบั้มประมาณ 120 กว่าเพลง ทำ 12 อัลบั้ม แม่ซื้อตั้งแต่สามพันบาท จนกระทั่งถึงสองหมื่นบาท ซื้อไว้เยอะมากๆจนไม่รู้ว่าเอาสัญญาไปไว้ที่ไหน (หัวเราะ) ก็ซื้อกับครูเพลงทุกคน เพราะความผูกพันที่ทำให้เราก้าวขึ้นมาเป็นนักร้องได้จนถึงทุกวันนี้ และที่เราทำอะไรได้ทุกวันนี้ก็เพราะชื่อเสียงจาก วงจันทร์ ไพโรจน์ เราถึงหากินได้ เราก็อยากตอบแทนบุญคุณครูไม่ว่าครูท่านไหนมา ไม่เคยปฏิเสธ รับไว้หมด เร็วช้าแล้วแต่จังหวะ

เลี้ยงลูกบุญธรรม 13 คน

เลี้ยงเพราะเราเคยขาดพ่อ ขาดแม่ เราอยากชดเชยตรงนี้ที่เราเคยพลาด ไม่เคยมีพ่อมีแม่ ก็เป็นเด็กของคนในร้านอาหาร เขามีปัญหาแม่ก็ช่วยเหลือเขา เลี้ยงจนโต ส่งเสียเรียนหนังสือ ผลที่แม่ได้รับในวันนี้คือเด็กที่แม่เลี้ยงมาส่งเสียดูแลแม่ แต่ตอนนี้ที่มาดูแลแม่ได้แบบแน่นอนชัวร์ มี 4 คน มาจากอเมริกาก็ต้องเอาตังค์มาให้ ทุกเดือนเขาจะให้แม่ เขาจะเรียกแม่ว่า พี่ ก่อนจะทำร้านอาหารมีปัญหามาก่อน บ้านอยู่ใกล้ๆ กันกับเด็กที่เขาลำบาก พ่อแม่เขาเลิกกัน ก็มีหลายคน ก็เลยคิดว่าเปิดร้านอาหารดีกว่า จุนเจือให้เขา จริงๆ ตอนนี้มีคนที่พร้อมจะรับเราไปอยู่ด้วยที่อเมริกานะคะ เตรียมตัวแล้วด้วยแต่สามีไม่สบายก่อน

ความรุ่งโรจน์เมื่ออดีต

ตอนนั้นตอบจดหมายแฟนๆ ไม่ทัน จดหมายที่ได้รับเป็นปี๊บๆ สมัยก่อนไม่ได้มีโทรศัพท์เหมือนสมัยนี้ กว่าจะได้มีเวลาตอบสักฉบับ ก็ต้องหาเวลา พอตอบไม่ทัน อ่านไม่หมด ก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ช่วงนั้นหาเงินมาได้ก็เก็บนะคะแต่ภาระต่างๆ ก็เยอะตามขึ้นเหมือนกัน แล้วเราไม่ดูดายกับใครทั้งสิ้น ซื้อผ้ามาตัดกระโปรงก็อยากให้เพื่อนที่ยืนคู่กันสวยเหมือนแม่ ก็จะชอบแต่งตัว ไปงานตรงนี้ก็ต้องสวยไปด้วยกัน แม่เป็นคนแบบที่ต้องคบทุกคนให้ได้ สำคัญที่สุดคือไม่หักหลังใคร ไม่โกงใคร อันนี้สำคัญมาก และทำงานอะไรต้องจริงจังอย่าเหลาะแหละ

บทบาทครูเพลง

บางเพลงก็ไม่กล้าบอกใครเขานะคะว่า วงจันทร์ ไพโรจน์ เขียนฝากเขาขาย อย่างคุณสุรพล สมบัติเจริญ ก็ไปขายให้ ชื่อเพลง “กุหลาบเวียงพิงค์” คือเราไม่อยากให้คนรู้ว่าเราแต่ง เดี๋ยวครูบาอาจารย์ไม่เขียนเพลงให้แม่ร้องทำไงล่ะ (หัวเราะร่วน) แล้วเพลงที่เราทำออกไปจะดีหรือเปล่าไม่รู้ เราแต่งแล้วจะเป็นยังไง เขียนเพลงโดยใช้ทำนองจีนมาใส่เนื้อไทย มีเพลงดังหลายเพลง แม่ก็ทำได้ทุกอย่างในวงการเพลงนะคะ

ยังเดินสายทัวร์คอนเสิร์ต

คอนเสิร์ตก็ยังคงทัวร์ตลอด ขึ้นเหนือล่องใต้ไปตลอดค่ะ เดี๋ยววันที่ 12 พฤศจิกายนนี้ก็แสดงที่เชียงใหม่ เวลาไปทัวร์คอนเสิร์ตจะต้องไปพบปะแฟนๆ หน้าตาก็ต้องแต่งให้ดีๆ เพราะเขาขอถ่ายรูป แต่บางครั้งก็ขอโทษที่ว่าตอนยิ้มหลังๆ เริ่มไม่ไหว (หัวเราะ) อย่างตอนนี้แฟนๆ ก็ยังคงโทรศัพท์มาหาอยู่ตลอด นานแค่ไหนก็โทร.ถามสารทุกข์สุกดิบ ก็ได้คุย บางคนก็มีส่งของมาให้ที่บ้านมีข้าว หอม กระเทียม พริก ผ้านุ่ง กะปิ ส่งมาเพียบ คือชาวบ้านที่ติดตามชมเราไม่ว่าจะภาคไหนๆ ก็ส่งมาให้ตลอดไม่ได้ขาด ไปเล่นที่จังหวัดไหน ก็จะได้ของจากแฟนๆ กลับบ้านเป็นประจำ ดีใจนะคะ เราก็ไม่นึกว่าจะขนาดนี้ บางคนก็มองชื่นชมเราแค่มองก็รู้ว่าเขารักเราขนาดไหน เป็นความสุขความภูมิใจ ขอบคุณแฟนเพลง บางคนรุ่นพ่อรุ่นแม่ล้มหายตายจาก ก็ได้รุ่นลูกๆ เขาที่ชื่นชอบเอ็นดูเราต่อเนื่อง ช่วงนี้ก็มีงานเข้ามาเรื่อยๆ ค่ะ ถามว่าจะหยุดเมื่อไหร่ก็ตอบไม่ได้นะคะคงทำไปเรื่อยๆ (หัวเราะ) จนกว่าจะไม่ไหว ข้อสำคัญอยู่ที่ว่าน้องๆ แต่ละคนก็ไม่ลืมเราดึงเรามาร่วมงานด้วยเสมอ ดีใจและขอบคุณน้องๆ ที่ยังคิดถึงเรา อย่างคุณดาวใจ ไพจิตร จะเรียกใครก็ได้ที่เก่งกว่าเราตั้งเยอะแยะมีความสามารถ สวย เสียงดีกว่าเรา แต่ทำไมมาเลือกเรา

ผลงานเพลงที่ตรงเรื่องราวชีวิตของตัวเองมากที่สุด

ชอบหลายเพลงที่ครูเพลงแต่งให้นะ แต่จะเป็นแนวเศร้าๆ ช่วงที่รุ่งโรจน์ก็เหนื่อยจนไม่มีเวลาพักเสียงแต่ก็สนุกสนานนะคะ เวลาไปออกงานต่างๆ ได้คุยกับคนโน้นคนนี้ พบปะเพื่อนฝูงเก่าๆ ไม่โกรธใครจริงจังเมื่อก่อนเคยมีนะ ยี่สิบปีไม่พูดด้วยเลย แล้วบอกเลยว่าไม่ต้องพูดกับเรา เจอเราลืมไปเลยว่านี่คือ วงจันทร์เราต้องเดินคนละทางเลย แล้วก็บอกเขาให้รู้ตัวตรงๆ ด้วยเจอไม่ต้องทัก จนกระทั่งแม่จัดงานคอนเสิร์ตเป็นปีที่แม่จะยกโทษให้เพื่อน เพราะแม่ชอบคนจริงใจ ชอบคนไม่ขี้โกงแม่ เพราะเราเคยเจอแต่คนเอาเปรียบมา

สุขภาพร่างกาย

เริ่มมีอาการปวดเมื่อยตามอายุคน 84 ปีค่ะแต่ใจยังแข็งแรงนะคะ ขึ้นคอนเสิร์ตอีกสิบรอบก็ไหวแต่ก็กะท่อนกะแท่น (หัวเราะ) อยู่ที่ท่านผู้ฟังให้กำลังใจและมีศรัทธาในตัวแม่ เราก็ยังไหว เพราะนี่คือกำลังใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ให้เรามีแรงทำ ต้องสู้ ต้องไป ขอบใจที่ทุกคนเชื่อและมั่นใจเรา ทุกครั้งที่ไปงานไม่รู้จะขอบใจยังไงบางคนเข้ามากอด เข้ามาขอถ่ายรูป บางคนไม่เคยเห็นตัวจริงแม่ ก็ได้ยินแต่ชื่อ เพราะเมื่อก่อนไม่มีโซเชียลขนาดนี้แล้วเมื่อก่อนแม่ก็ไม่ค่อยออกไปไหนด้วย บางคนบอกฟังเพลงวงจันทร์ตลอด ไม่เคยเห็นตัวจริงเลย วันนี้จะมาร้องที่หาดใหญ่ ก็มารอเพื่อมาดูเรา มาฟังเพลง มาเจอตัวจริงเสียงจริง

แนะนำเยาวชนรุ่นใหม่

ลูกๆ หลานๆ มีความสามารถเก่งมาก สมัยแม่เด็กเมื่อเปรียบเทียบกับเด็กตอนนี้ เขาเก่งเหลือเกิน เก่งมากๆเด็กไทยเก่งมากๆ สมัยก่อนที่แม่เด่น เพราะเด็กสมัยก่อนเขาไม่กล้าแสดงออก สมัยนี้เด็กสามขวบก็รู้หมดแล้วเสียงต่ำเสียงสูง เพราะฉะนั้นก็ต้องปรบมือให้กับความเก่งของลูกๆ หลานๆ แต่แม่ก็อยากจะให้แต่ละคนที่ร้องเพลงใหม่ๆ หันมาฟังเพลงเก่าบ้าง แล้วมาช่วยกันอนุรักษ์ผลงานเพลงเก่าไว้ เพราะว่าครูบาอาจารย์ที่เขียนเพลงสมัยก่อน ท่านก็ล้มหายตายจากไป ร้องเพลงใหม่สักสิบเพลง แล้วลองหันมาร้องเพลงเก่าสักเพลงหนึ่งก็ยังดี เพื่ออนุรักษ์ผลงานเพลงเก่าๆ จะได้ไม่ให้หายไป หรือใครจะร้องเพลง หรือเอาเพลงใครไปร้องไม่ว่าจะนักร้องท่านไหนก็ตาม ร้องเพลงของใครก็แล้วแต่ ต้นฉบับเขาเป็นอย่างไร อยากให้คงไว้ซึ่งต้นฉบับบางท่านเอามาเปลี่ยนไปบ้าง ก็เสียดาย แต่ก็ไม่ว่ากันค่ะ

ทุกอย่างย่อมมีการเปลี่ยนแปลง แต่เราก็ต้องเลือกรับในสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสม เพราะแต่ละคนก็มีมุมมองที่แตกต่างกัน จะทำให้ถูกใจใครไปทั้งหมดคงยาก เพราะฉะนั้นสิ่งไหนดี ขอให้รักษาอนุรักษ์ไว้ให้เป็นมรดกตกทอดที่คนรุ่นหลังจะได้ศึกษาเรียนรู้และเข้าใจถึงแก่นแท้ของการเป็นศิลปินตัวจริงเสียงจริงอย่าง วงจันทร์ ไพโรจน์ ที่ยังครองใจแฟนเพลงมาโดยตลอดจนถึงทุกวันนี้

กุหลาบสีเงิน

Star Retro : ‘แทน-ฐิติ’ ดาวร้ายในจอ นอกจอ มีเสน่ห์ปลายจวัก เป็นอาชีพ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/entertain/301178

Star Retro : ‘แทน-ฐิติ’ ดาวร้ายในจอ นอกจอ มีเสน่ห์ปลายจวัก เป็นอาชีพ

Star Retro : ‘แทน-ฐิติ’ ดาวร้ายในจอ นอกจอ มีเสน่ห์ปลายจวัก เป็นอาชีพ

วันอาทิตย์ ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560, 06.00 น.

บทบาทหน้าจอที่ทุกคนคุ้นเคยเขาคือนักแสดงตัวร้ายยอดฝีมือ แต่หลังฉาก “แทน-ฐิติ พุ่มอ่อน” คือคุณพ่อสุดแนว ที่มีเสน่ห์ปลายจวักเป็นเลิศ สตาร์เรโทรสัปดาห์นี้จึงถือโอกาสนำทุกท่านไปบุกครัวบ้านดาวร้าย เพื่อค้นหาที่มาที่ไปของตำนานดาวร้ายคนนี้กัน

บทบาทหน้าที่ ณ วันนี้

หลักๆ ที่ทำอยู่คือเปิดร้านอาหารชื่อ “บ้านดาวร้าย” ครับ อยู่ในหมู่บ้านสัมมากร และใช้บ้านตัวเองเป็นร้าน เปิดมาได้สองปีแล้วครับ เป็นอาหารฮาลาล เนื่องจากว่าเราเป็นมุสลิม เริ่มจากที่ว่าเมื่อก่อนงานแสดงเริ่มน้อยลงแล้วเราก็มีไปออกบูธที่เขาให้ดาราไปออกโดยที่เราก็คิดผลิตภัณฑ์ขึ้นมาเป็นลูกชิ้นดาวร้าย ที่เป็นชื่อเสียงให้กับเรา ที่ตลาดนัดดาราช่อง 3 เราก็มาออกร้านตั้งแต่แรกๆ จนถึงปัจจุบันนี้เลยเราก็ใช้เป็นที่โปรโมทประกาศบอกข่าวเรื่องราวอย่างน้อยเขาก็เห็นหน้าเราเพื่อนฝูงในวงการก็ได้มาเจอกัน ทำลูกชิ้นอยู่ได้ประมาณหกถึงเจ็ดปีได้ครับ ออกบูธตามงานบ้างมีที่ประจำอยู่ที่เดอะพาซิโอ ลาดกระบัง

จุดเริ่มต้นของการเปิดร้านอาหาร

เราโตมากับร้านก๋วยเตี๋ยวที่บ้านพ่อแม่มีอาชีพขายก๋วยเตี๋ยว แต่มีชื่อเสียงครับ “โอ้โฮรสเด็ด” สมัยนั้นก็ถือว่าเป็นร้านที่มีชื่อเสียงอยู่ ประมาณสักสี่สิบปีย้อนลงไป ร้านจะอยู่แถวๆ คลองตันเป็นร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อรสเด็ด แล้วหลังจากนั้นเราก็หยุดขายไปประมาณสามสิบปี เข้ามาโลดแล่นในวงการบันเทิงกันเกือบทั้งบ้าน น้องๆ ก็มาเล่นเป็นพระเอกนางเอกตอนเด็กๆ เราก็เลยไม่ได้สานต่อกิจการตรงนั้น แต่สูตรก๋วยเตี๋ยวก็ยังอยู่กับคุณพ่อนะ จนพอผมมาเปิดร้านอาหารเองก็ยังไม่ได้คิดว่าจะเอาสูตรนั้นมาทำ คือเหมือนกับว่าเราโตมากับมันเราก็รู้สึกขยาดเจอทุกวันกินทุกวัน แต่ไปกินก๋วยเตี๋ยวเนื้อร้านไหนมันก็ไม่ถูกใจเหมือนร้านเรา เพราะว่าของเราคือจะไม่ใส่ผงชูรส พ่อก็จะดองพริกเองเป็นโอ่งๆจนตอนเปิดเราก็ไปได้สูตรก๋วยเตี๋ยวไก่จากกอง “ตะวันเดือด” ของ “พี่นก-ฉัตรชัย” มา ตอนนั้นถ่ายละครเรื่องอยู่ ซึ่งเราก็ได้กินแล้วมันอร่อยจริงๆ ถึงกับต้องเบิ้ลเป็นก๋วยเตี๋ยวไก่ต้มยำสูตรภาคกลาง เราก็เลยชอบแล้วแม่ครัวเขาก็หายไปจนมาเจอเขาอีกทีตอนไปถ่ายของกันตนาก็ดีใจมากคิดถึงก๋วยเตี๋ยวไก่เขามาก เขาก็เลยให้สูตรมา ผมเป็นคนชอบทำอาหารอยู่แล้ว เขาให้สูตรมาทำผมจดมาเลยและมาทำกินกันในบ้านเวลามีงานเลี้ยงหรือพบปะกันพี่น้องเพราะว่าผมครอบครัวใหญ่ทุกคนก็ติดใจเพื่อนฝูงทุกคนชอบหมดเลย เขาก็บอกว่าให้เอามาออกร้านสิแต่ผมมองว่าการที่จะมาออกร้านแต่ละครั้งมันจะยุ่งยากเพราะว่าวัตถุดิบและอุปกรณ์มันเยอะ ก็เลยตัดสินใจเป็นลูกชิ้น เพราะว่าเป็นสูตรของคุณป้าด้วย

ถึงเวลาเปิดตัวเมนูเด็ด

สูตรต้นตำรับของครอบครัว

ตอนแรกที่เปิดเราก็เอาก๋วยเตี๋ยวไก่มาชูเป็นก๋วยเตี๋ยวไก่บ้านดาวร้าย และมีสเต๊กที่ได้สูตรน้ำราดแบบไทยๆ ของเพื่อนคุณแม่มา และเราก็มีลูกชิ้น ผมทำแกงได้ก็จะมีแกงเนื้อฟักทองไข่เค็ม โรตีแกงเขียวหวาน บัวลอยไข่หวานสุตรดั้งเดิม เมนูจะเพิ่มเข้ามาเรื่อยๆ เราเอาเมนูเหล่านี้มารวมอยู่ในบ้านดาวร้ายที่เราถนัดที่เราทำได้ จนผ่านมาเกือบปีก๋วยเตี๋ยวเนื้อถึงเกิดขึ้นมาซึ่งตอนนี้มีก๋วยเตี๋ยวเนื้อโอ้โฮเข้ามาอยู่ในเมนูของร้านเราแล้วนะครับ ก็ได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี

ที่มาของคำว่า “ดาวร้าย”

คือตลอดอายุการทำงานในวงการบันเทิงส่วนใหญ่แล้วจะได้รับบทตัวร้าย ไม่รู้ว่ามันสะใจผู้กำกับ (หัวเราะ) หรือว่าเราแสดงออกมาแล้วถูกใจคนดู ตอนแรกที่จะเปิดร้านชื่อดาวร้ายมันก็แว่บไปแว่บมา แล้วเราก็เติมคำว่าบ้านเข้าไปไม่ใช้ว่าร้าน ใช้คำว่าบ้านเพราะว่ามันเป็นบ้านที่เราอยู่อาศัย ตกแต่งสไตล์เราบรรยากาศดีมีโซนสวน แล้วก็มีช้อปเพราะว่าเมื่อก่อนผมเคยขายเสื้อผ้าที่สวนจตุจักรสมัยยุคที่มีแมวมองมาทาบทาม เรามีแววในเรื่องเสื้อผ้าการแต่งตัวก็เลยเอาเสื้อผ้าที่เราใช้หรือว่าที่เราซื้อมาหมุนเวียนเปิดเป็นช้อปวินเทจในร้านซึ่งเป็นรถตู้ พยายามคิดให้มันมีอะไรก็ได้รับการตอบรับดีนะครับแฟนคลับเยอะอยู่ในกลุ่มมุสลิม กลุ่มวัยรุ่น หรือว่าแฟนๆที่เขาเคยตามเราชอบไสตล์การแต่งตัวของเราก็เลยเอาจุดนี้มาเป็นจุดขายด้วย คำว่าดาวร้ายมันก็มีกิมมิกของมันนะเราเหมือนกับหาโอกาสให้กับมัน ซึ่งลูกชิ้นดาวร้ายผมก็มีน้ำจิ้มนางเอกที่เราใช้มาตลอดและมันก็ได้ใจคนทาน คือปู่ผมเคยสอนว่าอาหารชิมก่อนเติมคำนี้มันเป็นกุศโลบาย คือคุณลองชิมก่อนไหมคุณยังไม่รู้เลยว่ารสชาติเขาเป็นยังไงไปเติมเขาแล้ว ใส่ความชอบของตัวเองเข้าไปโดยที่คุณยังไม่รู้เลยว่าบางทีรสชาติมันอาจจะถูกใจคุณก็ได้มันก็เหมือนการมองคน คุณรู้จักเขาคุณได้ยินชื่อเสียงเขาว่าเขาเป็นดาวร้ายตัวโกงแต่พอคุณได้มาสัมผัสตัวเราได้มากินอาหารรสชาติเรามาสัมผัสตัวตนของเราความคิดคุณก็จะเปลี่ยน มันเหมือนชิมก่อนเติมนั่นแหละครับปู่ผมสอนลูกหลานว่าทำอาหารก็ต้องทำให้สะอาดโรคภัยไข้เจ็บมันจะได้ไม่กลับมาหาเรา เราไม่ใส่ผงชูรสด้วยนะ สิ่งเหล่านี้ผมทำด้วยความตั้งใจ ส่วนใหญ่แล้วพอลูกค้าได้มาเจอได้มาพูดคุยเขาก็มีแต่รอยยิ้มกลับไป บางคนกลับชอบนะในชื่อดาวร้าย มันเป็นสองสิ่งที่ทั้งดีและไม่ดีมาอยู่ด้วยกัน ดาวคืออยู่สูงคำว่าร้ายก็อร่อยร้ายเลยมันก็เป็นอะไรที่ผมสามารถเล่นกับมันได้ สนุกกับมันไม่เคยคิดว่ามันเป็นจุดด้อยเลย

จากดารานักแสดงสู่อาชีพพ่อค้า

ผมรู้สึกว่ายังไงมันก็คืออาชีพที่มันบริสุทธิ์อาชีพนึงแล้วเราก็เติบโตมากับอาชีพนี้ เราเป็นลูกพ่อค้าแม่ค้าเราก็ไม่ได้รู้สึกว่าจะหนีอาชีพที่มันเป็นตัวตนเราไปทำไม จริงๆ ก็ไปลองมาหลายอย่างนะเครือข่ายนู่นนี่นั่นซึ่งก็ไม่ใช่ตัวเรา สุดท้ายเราก็กลับมาตายรังด้วยอาชีพพ่ออาชีพแม่และเราก็มีความภูมิใจกับมัน แม้กระทั่งกับงานแสดงงานละคร เงินที่เราได้มาพูดง่ายๆ มันหายไปไวมากได้มาเราใช้ไป รายได้หลักของผมในยุคหลังนี้จะมาจากอาชีพค้าขายมากกว่าแล้วเรารู้สึกว่าการค้าขายอาชีพมันบริสุทธิ์เงินที่เราได้มาเราเห็นอะไรในเม็ดเงินมากกว่า ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเงินที่น้อยกว่าเพราะว่าเราไม่ได้มาเป็นกอบเป็นกำแต่ว่าถ้าเราออกอีเว้นท์ดีๆ มันก็ได้ มันก็เป็นงานบริการการขายรสชาติการให้เขา เขาก็ตอบแทนเรามาเพียงแต่ว่าแลกเปลี่ยนด้วยเงินเท่านั้นเอง รู้สึกว่าเป็นอาชีพรากเหง้าของพวกเราที่ไม่ได้น่าดูถูกดูแคลนอะไร ผมรู้สึกภูมิใจกับมันนะส่วนนักแสดงก็เป็นอาชีพรับจ้าง เพียงแต่ว่านักแสดงจะพิเศษกว่าคนอื่นก็ไม่ได้รู้สึกว่าเรามาทำแล้วจะยังไง เรากลับรู้สึกว่าเราเป็นเหมือนแรงกระตุ้นอย่างเพื่อนนักแสดงด้วยกันหลายๆ คนที่เติบโตมาด้วยกันอยู่สูงกว่าเราแต่อยู่มาวันนึงต้องตกลงมา มันไม่ใช่เรื่องศักดิ์ศรี งานที่เขาต้องทำเลี้ยงชีพเขามันไม่มีก็ใช่ว่าเขาจะด้อยค่า อย่าง “โก้- นฤเบศร์” เขาก็มาปรึกษา เราก็ให้คำแนะนำและพอมีงานที่ไหนเราก็ไปด้วยกัน กลายเป็นว่าหลายๆ คนมองเราว่าเป็นต้นแบบ ผมถือว่าเป็นเจ้าแรกๆ เลยในการบุกเบิกขายของกิน

บทบาทหน้าจอน้อยลง แต่คุณภาพอัดแน่น

ยังมีงานแสดงเรื่อยๆ ครับ เพียงแต่ว่าบางทีไม่ได้เห็นผมในละคร คือผมไปเล่นหนังนอกหนังฝรั่งเศส โฆษณาที่ไปออนแอร์ต่างประเทศอีกมากมายที่เขามาใช้บ้านเราเป็นที่ถ่ายทำ ก็ไม่ได้หายไปไหนหรอกครับอย่างล่าสุดก็เพิ่งถ่ายละครของ “หนุ่ม-อรรถพร” เรื่อง “คู่ซี้
ผีมือปราบ” และมีรับเชิญของ “พี่นก-ฉัตรชัย” มีโฆษณาโตโยต้าชัวร์กับ “น้องแต้ว-ณฐพร” ส่วนเรื่องของร้านที่เปิดเราก็มีไว้เพื่อครอบครัวแล้วล่ะ เพราะว่าเรามีภรรยามีลูกที่ต้องดูแลถึงสี่คน เราก็ดูแลเขาไปเปิดร้านให้เขา อย่างน้อยๆ ก็ได้กินได้ใช้หมุนเวียนอยู่ในนี้ เป็นอาชีพที่ไม่ได้ไกลตัวเรา เราเคยทำเติบโตมากับมัน ลิ้นเรามีรสชาติอยู่และเป็นคนชอบทำอาหาร เราไม่ได้จบเชฟแต่มันอยู่ในสายเลือด รสชาติอาหารผมโอเคครับ ได้รับคำชมนะเข้าไปดูในเพจ “บ้านดาวร้าย” ได้เลยส่วนงานแสดงก็ไม่ได้รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเพราะทุกบทบาทที่ได้รับมา ณ ปัจจุบันก็ยังเป็นบทดีๆ เป็นตัวร้ายที่สำคัญประกบพระเอก เป็นตัวสร้างเรื่องเป็นตัวสำคัญ คือทุกคนที่เรียกผมไปเล่นเขารู้สึกว่าผมมีความสำคัญกับเรื่องนั้นๆ แล้วเราก็ยังคงคีฟมาตรฐานการแสดง ที่เป็นสไตล์ของเราเอาไว้ แม้แต่ผมไปเจอ “ชาคริต แย้มนาม” เข้าก็มาบอกเลยว่าผมคือไอดอลเขาเลย ก็ตกใจนะ คือเมื่อก่อนเราค่อนข้างจะมีสไตล์ที่ไม่เหมือนใครผมดีไซน์หมดแม้กระทั่งท่าตายก็คิดว่าเราจะนอนยังไง

ย้อนวันวานจุดเริ่มต้นของการเป็นนักแสดง

ไม่เคยคิดว่าจะเข้าวงการเลยเชื่อไหมครับ แต่ต้องบอกว่าผมเข้าวงการครั้งแรกตอนอายุแปดเดือน “อาท้วม ทรนง” เป็นคนชักนำเข้าสู่วงการ พ่อเล่าให้ฟังว่าอาท้วมพาไปถ่ายนมตรามะลิ มีรูปผมแปะอยู่ข้างกระป๋องนมตรามะลิที่ใช้เลี้ยงทารกจนผมเรียนอยู่ ป.4 ผมก็ยังเห็นรูปตัวเองอยู่ข้างกระป๋องนมอยู่เลย (ยิ้ม) ขายไปทั่วประเทศ ถ่ายกับ “คุณทอม เชื้อวิวัฒน์” ช่างภาพมือหนึ่งในสมัยนั้น หลังจากงานนั้นผมก็ไม่สบายหนักมากเพราะว่าในสตูแอร์มันเย็น พ่อเลยไม่ให้ถ่ายอีกเลยจนอายุสิบเก้าขายของอยู่ในสวนจตุจักร ก็มีพี่ที่เขามาเจอเลยชักนำเข้าวงการ แล้วก็ไม่เคยคิดว่าจะต้องมาเป็นดารา แต่ว่ามันมาด้วยความไม่ตั้งใจ ในตอนนั้นคิดอย่างเดียวว่าเราจะหาเงินอยากได้เงินผมเป็นลูกคนโตมีพี่น้อง 7 คน เราก็อยากที่จะเป็นกำลังให้ครอบครัว แต่ก็ไม่เคยคิดที่จะใช้วงการนี้มาหลอกใครหรือว่าทำอะไรเสื่อมเสีย ก็เลยเริ่มงานแรกด้วยการถ่ายแบบมอเตอร์ไซค์ ตอนนั้นมี “ปิ๊บ-รวิชญ์”“เบิร์ด-พิทยา ณ ระนอง” หลายคนบางคนไม่ได้อยู่ในวงการนี้แล้ว สิบเจ็ดสิบแปดคน แล้วก็มาเจอ“พี่อุ๋ย-นนทรีย์” ในหนังโฆษณามอเตอร์ไซค์ตัวนี้เขาเป็นผู้กำกับคนแรกของผมการถ่ายแบบโฆษณามันดีอย่างที่มันฝึกแอ๊กติ้งเราทำให้คาแร็กเตอร์เราเด่นชัดขึ้นเพราะว่าแต่ละงานเขาก็จะบรีพการแคส ซึ่งเมื่อก่อนแคสงานแทบทุกวัน และมักจะได้นะก็เป็นคนโฆษณามาตลอดหลังจากนั้นก็มาถ่ายมิวสิกวีโอของ “อี๊ด ฟุตบาท” แล้วก็ถ่ายมิวสิกอีกเยอะมาก ทั้งของ “ต่าย-เพ็ญพักตร์” “ยู่ยี่” “แหวน-ฐิติมา” “กัมปะนี” จนตอนหลังก็เข้ามาเล่นภาพยนตร์เรื่อง “เร็วกว่าใจไกลเกินฝัน” แล้วก็มาถ่าย“คู่แท้สองโลก” ก็เดินสายเล่นภาพยนตร์และเล่นตัวร้ายมาแทบจะตลอด ตอนนั้นยังไม่ได้มีหนวดมีเครา ที่เริ่มไว้เคราคือตอนที่ผมได้ไปเล่นหนังฮาลาลโลกของมูลนิธิมุสลิมเพื่อสันติ เรื่อง “ยูเทิร์น(U-TURN) จุดกลับใจ” รับบทเป็นโต๊ะอิหม่าม ซึ่งเล่นเป็นคนดีนะก็เป็นการพลิกบทบาทเหมือนกัน หลังจากนั้นก็เลยไว้หนวดเครามาและบังเอิญหน้ามันดูมีอะไร บวกกับการแต่งตัวของเราที่ออกจะฮิปสเตอร์หน่อยๆ ชอบแนววินเทจลุคมันก็เลยได้

เลือดศิลปินที่ถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น

การแสดงของผมในตอนนั้นจะบอกว่าจริงๆแล้วปู่ผมที่เป็นต้นตำรับอาหารท่านเคยเป็นจำอวด แล้วผมมาได้ทางแม่เพราะว่าแม่ผมเป็นลูกครึ่งฝรั่ง คุณตาเป็นฝรั่งเศส เราเลยมีหน้าตาที่มันอาจจะโดดเด่นขึ้นมาหน่อย คณะจำอวดของปู่ผมชื่อจิ๊มัดปะแด๊ะ แล้วปู่เคยประกวดได้ที่หนึ่ง ก็เลยรู้สึกว่าการแสดงของเรามันอาจจะถ่ายทอดมาโดยสายเลือด เรื่องความบ้าบิ่นในตัวที่มันมีอยู่เราก็ไม่ได้เคอะเขินอะไร แต่ความรู้เพิ่มเติมที่เรามาเก็บเกี่ยวระหว่างที่เราเป็นแสดง อ่านหนังสือบ้าง มีผู้ใหญ่ที่อาวุโสในวงการเขาแนะนำเราก็เก็บเกี่ยวและพัฒนาจนเป็นตัวเรา ซึ่งเราก็ชอบตั้งแต่แรกที่ได้ทำแล้วล่ะเพราะว่าได้ตังค์ด้วยมันเป็นอะไรที่ง่ายแค่เราใช้ตัวเองแสดงออกไปเท่านั้นเองก็เลยชอบมาตั้งแต่นั้น และมีงานมาตลอดก็คงไม่หนีไปไหนแล้วมั้งครับยึดอาชีพพ่อค้าขายอาหารเป็นหลัก ส่วนงานแสดงตอนนี้เป็นเสริมไปแล้ว จากเมื่อก่อนเป็นอาชีพหลัก

ผลงานสุดประทับใจ

ทุกวันนี้คนยังพูดถึงก็คือเรื่อง “ตี๋ใหญ่” เวอร์ชั่น “หนุ่ม-ศรราม” เพราะว่าเล่นเป็นลูกพี่ตี๋ใหญ่ทำให้เขากล้าสู้คน และล่าสุดเร็วๆ นี้ก็น่าจะเป็น “ชาติพยัคฆ์” ที่น่าภาคภูมิใจเพราะว่าเป็นเรื่องของชาติถึงแม้ว่าเราจะเล่นเป็นตัวร้าย แต่เราก็มีส่วนร่วม หลายเรื่องครับ และทุกงานที่ผมรับผมทำเต็มที่และผมมีความสุขกับมันภูมิใจกับทุกงานเมื่อเราทำเต็มที่แล้วเราก็ไม่รู้สึกเสียใจ มันก็มีบ้างแหละบางทีว่ามันน่าจะได้อีกนิดนึงนะ แต่เรารู้สึกว่าเราสนุกกับมันและภูมิใจกับงานของเรามาโดยตลอด เคยมีความคิดเบื่อวงการเหมือนกันนะครับ เคยคุยกับพี่อุ๋ยตอนที่เล่นหนังเรื่อง “ปืนใหญ่จอมสลัด” กับเขาว่าคงจะเป็นเรื่องสุดท้าย เขาก็บอกว่าพูดแบบนี้ไม่ได้นะเป็นนักแสดงเป็นคนสร้างความบันเทิงให้กับคนดู เราก็เลยเปลี่ยนใจใหม่ไม่เลิกก็ได้ งั้นเราก็เป็นของเราแบบนี้ (หัวเราะ) ก็เลยยังอยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้

คุณพ่อลูกดก

มีลูกชายสองคนลูกสาวสองคน คนโตอยู่ม.3 แล้วครับ คนเล็ก ป.3 มีปีเว้นปี แต่จริงๆ ผมเคยแต่งงานแล้วเลิกกันไปกับภรรยาที่เป็นนางแบบคือ “ปู-จีน่า” แล้วเราก็มีลูกด้วยกันคนนึงเราก็ให้เขาไปซึ่งลูกก็อยู่มหา’ลัยปี 2 แล้ว ผมเป็นคุณพ่อที่สบายๆ ใจดีกับลูกลูก ลูกมาอ้อนหน่อยผมก็ตามใจแล้วแม่เขาจะไม่ค่อยตามใจลูกเราเป็นลูกแม่ลูกคนโตเลี้ยงน้องมาหลายคนช่วยแม่มา แม่เขาเป็นคนที่รักลูกเท่ากัน เพียงแต่ว่าสไตล์ของแต่ละคนมันไม่เหมือนกันก็สนุกดีนะ การที่เราจะเป็นคุณพ่อยังไงที่จะให้ลูกๆ ได้รับความรักที่เท่าๆ กัน โดยผมรู้สึกว่าใครขาดไปแต่ละคนก็ต่างสไตล์ การเป็นคุณพ่อบางทีมันก็เป็นความรับผิดชอบการเป็นหัวหน้าครอบครัวมันก็ต้องเต็มที่อ่อนแอไม่ได้พ่อเคยบอกว่าลูกผู้ชายไม่ได้เป็นกันง่ายๆ คือ ก็จริงนะเดี๋ยวนี้ผู้ชายมีคุณภาพหาได้น้อยมาก เป็นผู้ชายแท้ก็น้อยอีก เราทำเขาขึ้นมาเป็นภาระแล้วก็ต้องทำให้ดีที่สุด

ความในใจฝากถึงแฟนๆ

มาอุดหนุนทักทายพูดคุยกันได้นะครับ ผลงานแสดงก็ยังมีอยู่ ลองติดตามดู หรือเข้ามาตามกันในเพจ“บ้านดาวร้าย” แล้วแวะมารับบรรยากาศ รับการต้อนรับจากผมเองโดยตรง แวะมาชิมอาหารสูตรดั้งเดิมที่ร้านได้ถ้าใครอยากจะดูไลฟ์สไตล์เรื่องแฟชั่นการแต่งตัวของผมก็เข้ามาฟอลโล่ไอจีกันได้ tan_m เวลาออกร้านไหนก็จะมีแจ้งในเพจ ตลาดนัดดาราก็จะมีทุกวันพฤหัส-ศุกร์สัปดาห์แรกของเดือน พบปะทักทายพูดคุยได้ครับ และคนที่ทำอาชีพเหมือนเราก็ต่อสู้นะครับเพราะว่าเศรษฐกิจถึงแม้ว่ามันจะตกต่ำไปบ้างแต่เราก็ต้องผ่านพ้นมันไปให้ได้ อยากให้อดทนและมีกำลังใจที่ดีกันไว้ครับ เป็นกำลังใจให้ทุกคนครับแม้กระทั่งตัวเอง (หัวเราะ)

เป็นการจบบทสนทนาที่เปื้อนไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ จากผู้ที่ถูกยกให้เป็น “ดาวร้าย” ของวงการบันเทิง “แทน-ฐิติ พุ่มอ่อน”

Star Retro : ‘ไก่-สุปราณี’ กับหน้าที่ ‘แม่’ ต่างวาระ!?

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/entertain/296308

Star Retro : ‘ไก่-สุปราณี’ กับหน้าที่ ‘แม่’ ต่างวาระ!?

Star Retro : ‘ไก่-สุปราณี’ กับหน้าที่ ‘แม่’ ต่างวาระ!?

วันอาทิตย์ ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2560, 06.00 น.

คิวแน่นไม่แพ้นักแสดงนำ ต้องยกให้ “ไก่-สุปราณีเจริญผล” ผู้สวมบทบาท “คุณแม่” ในละครไทยหลายต่อหลายเรื่อง หลากหลายคาแร็กเตอร์ที่ได้รับการันตีได้ด้วยฝีมือและความรักที่เธอมีให้กับอาชีพนักแสดง แต่มากไปกว่านั้น เธอยังเป็น คุณแม่ในชีวิตจริง ให้กับลูกชายวัย 13 ปีอีกด้วย

บทบาท ณ ปัจจุบัน

อาชีพหลักที่เป็นมานานแล้ว ก็คือ นักแสดงค่ะ นานจนไม่รู้ว่าจะไปทำอะไร(หัวเราะ) ตอนนี้มีถ่ายละครอยู่เรื่อยๆ ค่ะ ที่เพิ่งปิดกล้องไปก็คือ “มือปราบข้าวสารเสก,เด็ดปีกนางฟ้า, เงาอาถรรพ์” ที่กำลังถ่ายทำอยู่ก็มีเรื่อง “นางร้าย, ข้ามสีทันดร” มีละครเข้ามาเรื่อยๆ ซึ่งช่วงหลังก็หันมารับบทแม่แบบเต็มตัว คือเล่นเป็นแม่นางเอก แม่พระเอก และส่วนมากมักจะได้รับบทเป็นคุณแม่ที่แสนดีเรียบร้อย แต่ตอนหลังเริ่มมีให้เปลี่ยนบทบาทมากขึ้นหน่อย มีให้เริ่มเป็นแม่แบบไม่ร้ายมาก แต่ก็ไม่ได้เรียบร้อย คืออาจจะหวงลูก ขีดเส้นทางชีวิตให้เขา มีบทบาทที่หลากหลายมากขึ้นให้เรารับ อีกหนึ่งหน้าที่ก็คือถ้าวันไหนไม่ได้ทำงาน ไม่ได้ไปถ่ายละคร ก็จะรับ-ส่งลูกเองค่ะ ด้วยความที่บทเราเล่นเป็นแม่ เราก็ไม่ได้ถ่ายทุกวัน บางทีเรื่องหนึ่งสามสี่คิวจบ แต่ก็มีคิวซ้อนกันบ้าง เพราะนักแสดงที่รับบทแม่ รุ่นๆเราอาจจะมีไม่กี่คน แต่จะบอกว่าพอมารับบทคุณแม่แล้วงานเยอะกว่าตอนสาวนะ (หัวเราะ) ซึ่งไก่เล่นเป็นแม่ของ “น้องแมท ภีรนีย์” มากที่สุด ไม่ต่ำกว่าสามเรื่องค่ะ เจอกันยังแซวกันเลยว่านี่เราเป็นแม่ลูกกันอีกแล้วเหรอ

ชีวิตครอบครัว

ไก่แต่งงานเมื่อสิบห้าปีที่แล้ว ตอนนั้นยังเป็นนักแสดงอยู่ค่ะ ยังรับงานแสดงอยู่ แล้วพอชีวิตเราเปลี่ยนผันไปมีครอบครัว ก็ยังมีงานอยู่เรื่อยๆ พอสักสองปีหลังจากแต่งงานก็ท้อง เลยหยุดไปคลอดลูก เลี้ยงลูกดูแลลูก จนเขาอายุได้ประมาณสามขวบ หลังจากนั้นก็ได้กลับมาเล่นละครโดยได้เริ่มบทแม่เลยเต็มตัวในเรื่อง “จำเลยรัก” เล่นเป็นแม่ “น้องแอฟ-ทักษอร”

ความรู้สึกแรกในการสวมบทบาทแม่

เป็นไปตามบทบาทที่ได้รับมาค่ะ อ่านบทไป เราก็เล่นไปตามฟิล ไม่ได้ปรับอะไรมาก เพราะเราก็มีลูกแล้ว อารมณ์ความเป็นคุณแม่คือเรามาเต็ม ส่วนตัวเราก็รู้จักกับ “น้องแอฟ” อยู่แล้ว และทีมของ “พี่จิ๋มมยุรฉัตร” เราก็สนิทสนมกัน ร่วมงานกันมาตลอด ก็เลยไม่ต้องปรับอะไรมาก แต่อาจจะมีปรับในเรื่องของการแสดง เพราะว่าเราหายไปนานหลายปี มันก็มีติดขัดไปบ้าง ถือเป็นการเปิดตัวรับบทแม่ครั้งแรก ซึ่งตอนที่ทางออฟฟิศของพี่จิ๋มโทร.มา ไก่ก็ยังถามอยู่ว่า มันโอเคแล้วเหรอที่เราจะเล่นเป็นแม่ คือไก่ไม่ได้รู้สึกว่าเราแก่พอที่จะเล่นเป็นแม่ได้แล้วหรือเปล่านะคะ แต่ไก่มีความรู้สึกว่าในวัยและในช่วงเวลาตอนนั้นเป็นช่วงของเราแล้วใช่ไหม เพราะว่า 2-3 ปีนั้น เราหายไป เราก็ไม่ได้รู้ไม่ได้ดูละคร เขาก็บอกว่าได้แล้ว พี่ไก่มาเล่นเลยแล้วเดี๋ยวจะยาว และก็จริง เพราะว่าตั้งแต่นั้นมาจนตอนนี้ก็น่าจะเกือบสิบปีแล้วที่รับบทแม่ เพราะตอนนี้ลูกไก่ก็ 12 จะ 13 ขวบแล้วค่ะ

วันที่ต้องเลือกระหว่างงานกับลูก

ปกติเป็นคนที่ทำงานตลอด ทำงานจนชิน คือถ้าท้องมีลูกก็คิดว่าเลี้ยงลูกสักปี แล้วค่อยกลับมาทำงาน แต่จริงๆ แล้วมันไม่ได้ พอถึงเวลาจริงๆ หาพี่เลี้ยงที่จะมาเลี้ยงลูกให้ก็ไม่ได้ มันไม่ใช่ง่ายนะ ก็เลยตัดสินใจเลี้ยงลูกเองดีกว่า เลี้ยงไปจนเพลิน กลายเป็น 2-3 ปีเลยค่ะ จนเขาเข้าอนุบาลหนึ่งเลย ตอนแรกตั้งใจว่าจะแค่ปีเดียว แล้วกลับมาทำงาน แต่พอไม่ได้ปุ๊บเราก็ไม่ได้มานั่งนับนั่งคิดแล้ว คือรอจนกว่าจะพร้อม คิดแค่ว่าเลี้ยงเขา เตรียมให้เขาเข้าโรงเรียนอนุบาลไป จนทางออฟฟิศพี่จิ๋มโทร.มาว่ามีละคร ไก่ก็เลยตัดสินใจรับและกลับมารับงานแสดงอีกครั้ง

มุมมองของสามีและลูก

กับสามี “คุณป๊อป” เราคบกันมาตั้งยี่สิบห้าปีรวมตอนนี้นะคะ เพราะฉะนั้นกว่าเราจะแต่งงานกันก็เป็นสิบกว่าปีซึ่งเขาเข้าใจชีวิต เข้าใจในการทำงานของเราพอแต่งงานแล้ว ก็ยังคงทำงานแบบเดิมต่อมาอีก (หัวเราะ) คือเขารู้จักเราว่าเราทำอาชีพนี้ เขารู้จักเพื่อนเราคนทำงานในวงการหลายๆ คน เขาก็รู้จัก เขาก็ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นปัญหา แล้วยิ่งกลับมารับบทเป็นแม่ ไม่ได้งานแน่นอะไร ไม่ได้รู้สึกว่าชีวิตเราต้องขาดความเป็นส่วนตัว หรือไม่มีเวลาให้ครอบครัว สามีเขาก็ทำธุรกิจของเขาไป แล้วเราก็มีลูกด้วยกันแค่คนเดียวค่ะ“น้องขุนพล” ตอนนี้อายุ 12 จะ 13 แล้วค่ะ (แววทางการแสดง?) จริงๆเขาเป็นเด็กที่ชอบเรื่องพวกนี้นะคะ แต่เราก็ไม่ได้สนับสนุนอะไร อยู่โรงเรียนเขาก็จะมีกิจกรรม มีไปเล่นละครเวทีอะไรของเขา ซึ่งเขาชอบค่ะ ชอบทำกิจกรรมมาก แต่เรายังไม่ได้สนับสนุน เพราะมันเป็นช่วงเวลาเรียน ก็ให้เขาเรียนไป คนเราถ้ามันใช่ก็ใช่ไก่คิดแบบนี้ และถ้าวันหนึ่งเขาเดินมาบอกเราว่าอยากเล่นละคร ก็ไม่ได้ว่าอะไรนะ เพราะว่าอาชีพเราออกจะดูดี(ยิ้ม) ถ้าเขาชอบก็ไม่ได้ห้าม เพียงแต่ดูช่วงเวลาและช่วงนี้เขายังเด็ก ก็เรียนไปก่อน อยากให้เรียนซึ่งเขาแฮปปี้กับการที่แม่มาอยู่ตรงนี้ค่ะ เขาภูมิใจในตัวแม่ ชอบมาก เขาชอบในสายอาชีพของแม่

สิ่งที่เป็นห่วงในตัวลูกชาย

ตอนนี้เขาชอบเตะบอลมาก บาสก็เล่นที่โรงเรียน ช่วงวัยรุ่นก็ใกล้เข้ามาแล้ว เราก็ห่วงเป็นธรรมดา หวังว่าเราเลี้ยงเขาอย่างใกล้ชิด คุณพ่อเขาก็ช่วยดูแล ดังนั้นเขาก็จะได้ใกล้ชิดกับพ่อแม่ ซึ่งไก่เป็นคนดุนะ เวลาเลี้ยงลูก คุณพ่อดูเหมือนไม่ดุ แต่จริงๆ ก็ดุทั้งคู่ค่ะ เรื่องระเบียบวินัยเด็กสมัยนี้ คือตอนที่เรายังเด็ก เราก็สามารถช่วยเหลือตัวเองได้เร็ว ช่วยที่บ้าน แต่เด็กสมัยนี้สบาย เรื่อยๆ ตัวเขาเราบอกว่าเราไม่ขออะไรเลยนะขอแค่ให้เขาช่วยเหลือตัวเองให้ได้ ไม่ต้องเดือดร้อนใคร และตั้งใจเรียนหนังสือ กิจกรรมอะไรเราก็สนับสนุนเต็มที่ ชอบเตะบอลก็ไป เสาร์-อาทิตย์ คือเขาเต็มที่กับการเตะฟุตบอลมาก

ย้อนวันวานเส้นทางบันเทิง

ไก่เริ่มเข้าวงการด้วยการเป็นนางแบบค่ะถ่ายโฆษณา ถ่ายแฟชั่นอยู่ประมาณ 2-3 ปี แล้วที่เข้ามาเล่นละครกับทางช่อง 3 ก็เพราะ “แม่ก้อย-ทาริกา” ซึ่งแม่ก้อยเห็นเราจากหนังสือ ก็เลยติดต่อให้มาลองเล่นละคร เล่นเป็นพี่น้องกันกับ “พี่บี-วรรณิศา” แต่ต้องขอโทษค่ะ จำชื่อเรื่องไม่ได้ซะแล้ว หลังจากนั้นก็มาเล่นเรื่อง “ทรายล้อมมุก” เป็นพี่น้องกันกับ “พี่บุ๋ม-รัญญา” เล่นละครเรื่องแรกตอนปี 2532 แล้วก็เล่นมาเรื่อยๆ ได้ไปเล่นกับทางกันตนาหลายเรื่อง อย่างเรื่อง “ทายาทอสูร” แล้วก็เรื่อง “บ้านผีเพี้ยน” ซึ่งเป็นละครตอนเย็น เป็นชีวิตวัยนักศึกษา เล่นคู่กับ “โอ๋-ไอศูรย์” ส่วนงานนางแบบถ่ายแบบถ่ายโฆษณาก็จะมีเยอะมากนะคะพอมาเล่นละครเราก็ชอบ แต่จริงๆ แล้วไม่เคยคิดเลยว่าจะมาทำงานในวงการ สมัยเด็กๆ จะเล่นขายของ เล่นเป็นนางพยาบาล ไม่ได้คิดว่าจะต้องมาเป็นอย่างนี้เลย ไม่ได้ตั้งเป้าเลยค่ะ แล้วพอดีว่ามีโมเดลลิ่งมาเห็นแล้วชวนไปถ่ายโฆษณา หลังจากนั้นพี่ช่างแต่งหน้าก็มีให้เบอร์หนังสือไป เราก็เลยมีงานถ่ายแบบมาเรื่อยๆ สมัยนั้นงานถ่ายแบบมีทุกวัน ในยุคของเราถือว่างานถ่ายแบบเฟื่องฟูมาก เพื่อนร่วมรุ่นก็มี “แอน-สิเรียม”, “นาตาชา คอฟแมน”

ผลงานที่ประทับใจ

จริงๆ ชอบทุกเรื่องนะคะ “ทรายล้อมมุก” ก็เป็นที่รู้จัก คนจำได้ว่าเราเล่นเป็นมุกที่นิสัยไม่ดี “ทายาทอสูร” คนก็รู้จักเยอะ แล้วพอมาในยุคหลัง เรื่องที่ค่อนข้างท้าทายสำหรับเราเลยก็น่าจะเป็นเรื่อง “ร้อยป่าไว้ด้วยรัก” ของ “พี่คิง-สมจริง” ที่เริ่มมีฤทธิ์มีเดช เพราะว่าเป็นเมียหลวง สามีไปมีเมียน้อย เราก็เลยมีพัฒนาการความร้ายมากขึ้น เพราะว่าโดยคาแร็กเตอร์ส่วนตัว เท่าที่คุยกับผู้จัดฯ ส่วนมากเขาก็มักจะวางให้เราเป็นแบบเรียบๆ และเป็นคาแร็กเตอร์ที่เราเล่นมา สร้างมาจนคนเชื่อ บางครั้งแอบพูดเล่นๆ ว่ามันอาจจะไม่ใช่ก็ได้นะ (หัวเราะ) พี่คิงก็จัดให้เลย เป็นการเปิดตัวว่าเราสามารถเล่นเป็นคุณแม่ที่เหวี่ยงวีนได้นะคะ หลังจากนั้นก็มีมาเรื่อย ที่คนเริ่มเห็น อาจจะไม่ถึงกับร้ายจัด แต่ว่าก็มีพัฒนาการทางการแสดงมากขึ้น และจริงๆก็ประทับใจทุกเรื่องที่เล่นมานะคะ เพราะว่าแต่ละเรื่อง จะมีบทบาทให้เราเล่น แม้บางเรื่องจะแค่รับเชิญ แต่เราก็มีความสำคัญมาก

อีกหนึ่งความภาคภูมิใจในฐานะนักแสดงชาวไทย

ได้มีโอกาสไปเล่นเป็นแม่ของ “ลีมินโฮ” ในซีรี่ส์เกาหลีเรื่อง “ซิตี้ฮันเตอร์” ตอนแรกก็งงนะว่าใช่เหรอ ติดต่อฉันเหรอ มีจริงหรือเปล่า แล้วไก่ไม่รู้จักลีมินโฮ (ยิ้ม) เชยหรือเปล่า(หัวเราะ) น้องก็บอกว่า F4 เกาหลีไง เล่นไปเลย คุยกันจนกระทั่งเขายกกองมาถ่ายทำที่เมืองไทย และโปรดิวเซอร์เขาเคาะแล้วว่าเป็นเรา ทางโปรดักชั่นเฮาส์จากบ้านเรา ส่งรูปไก่ไป เป็นรูปจากละครและเหมือนกับว่าโปรดักชั่นเฮาส์เขาเคาะแล้วว่าเอาคนนี้นะ เขาก็พยายามคุยกับเรา แต่เราก็งงว่าใช่หรือเปล่า ทำไมต้องเป็นเรา ดาราเมืองไทยมีตั้งมากมาย ผลสุดท้ายกองมาถ่ายแล้วที่บ้านนกอินทรีย์ ไก่ก็ไปดูถึงนั่นเลยนะว่าจริงหรือเปล่า แล้วปรากฏว่าจริง กองใหญ่โตมาก ก็โอเคค่ะ ได้ไปถ่ายไปอยู่ที่สังขระบุรี 5 วัน และได้ไปถ่ายที่เกาหลีด้วย

ร่วมงานกับทีมงานเกาหลี

งานเขาเป็นงานชิ้นใหญ่มาก ยิ่งมาเมืองไทยเขาใช้ทีมงานแบบดับเบิลเลยค่ะ เหมือนกับว่าทุกส่วนในทุกหน้าที่ของกองเมืองไทย เขาก็เอาทุกหน้าที่เป็นคนไทยมาช่วยซัพพอร์ต แล้วมืออาชีพมาก ยิ่งลีมินโฮหันไปเมื่อไหร่ คือทำไมหล่อตลอดเวลา(หัวเราะ) แล้วเราได้เล่นเป็นแม่ ซึ่งเลี้ยงดูเขามาตั้งแต่เด็ก เหมือนเป็นแม่นมเขา แต่เวลาในกอง เราก็แค่เซย์ฮัลโหลค่ะไม่ได้คุยอะไรกันมากมาย ด้วยต่างคนต่างชาติคนละภาษา แต่ไก่ก็รู้สึกว่าเขาสมแล้วที่เป็นซุป’ตาร์เกาหลี เราเองในฐานะนักแสดงคนไทยที่ได้ร่วมงานกับเกาหลีในครั้งนี้ก็รู้สึกดีใจและตื่นเต้นมาก ถือว่าได้มีโอกาสไปทำงานกับทีมที่เราก็รู้อยู่แล้วว่า หนัง-ซีรี่ส์เขาดังแค่ไหน เป็นครั้งแรกครั้งเดียว ซึ่งก็รออยู่นะคะหวังว่าจะมีมาอีก

จากความเคยชิน กลายเป็นอาชีพ

ไก่คงแสดงไปเรื่อยๆ ค่ะ ดูสิ..ไอดอลเรา“มี๊-พิศมัย” ก็ยังทำอยู่เลย มี๊เก่งมากนะคะ เพราะไก่เล่นละครกับมี๊ เราเดินทางไปด้วยกันบ่อย ไก่รู้สึกว่ามี๊คล่องกว่าไก่อีก ขึ้นรถไปด้วยกันอย่านึกว่ามี๊จะหลับนะคะ ไม่มีค่ะ ดูทางให้สุดฤทธิ์เลย เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวามี๊บอกทุกอย่าง คล่องมาก มี๊อายุขนาดนี้ยังคล่องอยู่เลยเราอายุแค่สี่สิบกว่าเอง เราก็ต้องทำไปเรื่อยๆ ถ้าทุกคนยังยินดีและต้อนรับเราอยู่ คืออาชีพเรา ที่ทำมาตลอด จะ 30 ปีแล้วนะคะ ถ้าไม่ได้เป็นนักแสดงก็นึกไม่ออกเหมือนกันว่าเราจะไปทำอาชีพอะไร หรือปัจจุบันจะทำอาชีพอย่างอื่น ไก่ยังคิดไม่ออกเลยว่าจะทำอะไร มันชินจนกลืนมาเป็นอาชีพไปแล้วค่ะ มีงานเราก็ทำไป มีน้อยก็ทำน้อย และอยู่บ้านเลี้ยงลูกไป ไม่ได้คิดอะไรมากค่ะ

เคล็ดลับการยืนหยัดในวงการ

ที่มีงานเรื่อยๆ อาจจะเป็นคาแร็กเตอร์ที่ตรงกับเรา เพราะเดี๋ยวนี้ผู้จัดละคร เขาก็ต้องดูแล้วดูอีก ว่าใช่ไม่ใช่ งานละครการแข่งขันสูงมาก แต่สำหรับตัวเรา ก็ต้องมีวินัยในการทำงาน นัดกี่โมงบางทีเราไปถึงก่อนด้วยซ้ำ เราต้องตรงต่อเวลา ต้องมีความอดทน คือไม่ใช่ถ่ายเราเสร็จแล้วจะต้องเสร็จเลย เพราะในกองมันมีหลายซีน ดาราตั้งหลายคน เราก็ต้องรู้จักรอ จะมาอารมณ์เสียก็ไม่ได้นะ อาชีพนักแสดง เราถูกซื้อเวลามาแล้ว เหมือนที่มี๊เคยพูดไว้ มี๊อยู่ทั้งวัน ให้รอมี๊ยังไม่บ่นเลย รู้สึกว่านี่คือคนที่อยู่ในอาชีพนี้จริงๆ ไก่ก็รู้สึกว่าเราเป็นแบบนั้น เพราะเราไม่เคยรู้สึกว่าจะหงุดหงิดที่ต้องมารอ เรารู้สึกว่าเราชิลๆ แม้ว่าตอนเช้าเราจะถ่ายเสร็จแล้ว และเขาให้รอมาถ่ายอีกทีหลังเที่ยงรอยาวเลยนะ เราก็รอได้ เพราะวันทำงานคือวันที่เราจะไม่มีนัดใดๆ ถ้าเรารู้ว่าเราต้องอยู่ทั้งวัน และเราก็ต้องรู้จักอ่านบท ทำการบ้าน เตรียมตัวเราให้พร้อม จะได้ไม่เป็นปัญหาของกองถ่าย ซึ่งตรงนี้น่าจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ไก่ยังคงมีงานอยู่จนถึงทุกวันนี้ค่ะ

สุดท้ายไก่ก็อยากจะขอบคุณแฟนๆ ทุกท่านนะคะ ที่ยังให้การสนับสนุนไก่ด้วยดีเสมอมา ก็จะพยายามสร้างสรรค์ผลงานออกมาให้ดี เจอะเจอกันก็เข้ามาทักทายได้ค่ะ ยินดีมากๆ

และนี่คือ อีกหนึ่งคนบันเทิงคุณภาพที่การันตีด้วยความสามารถเฉพาะตัว “ไก่-สุปราณี เจริญผล”

กุหลาบสีเงิน

Star Retro : ‘แหม่ม-เนรัญญา’ นักเขียนสาวสุดสตรอง ตัวแทนผู้หญิงยุคใหม่

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/entertain/295042

Star Retro : ‘แหม่ม-เนรัญญา’ นักเขียนสาวสุดสตรอง ตัวแทนผู้หญิงยุคใหม่

Star Retro : ‘แหม่ม-เนรัญญา’ นักเขียนสาวสุดสตรอง ตัวแทนผู้หญิงยุคใหม่

วันอาทิตย์ ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2560, 06.00 น.

เบื้องหน้าคือนักแสดงสาวจอมขโมยซีนในละครหลายต่อหลายเรื่อง แต่เบื้องหลัง “แหม่ม-เนรัญญา มะชะรา” คือผู้เขียนบทละครเจ้าของนามปากกา “ต้นรัก, คนเขียนเงา,เจ้าคำดี และ กำไลทอง” เมื่อได้โอกาส “ทีมข่าวบันเทิงแนวหน้า” จึงต้องขอทำความรู้จักตัวตนอีกด้านของหญิงเก่งคนนี้

หน้าที่ความรับผิดชอบ ณ วันนี้

งานหลักคือเป็นคุณแม่เลี้ยงลูกสาวสองคนค่ะก็ต้องตื่นมาดูแลเขาไปโรงเรียน คนโตชื่อ “น้องเพลง” ซึ่งเขาไปเอง แต่ว่าคนเล็ก “น้องภีม” เพิ่งเก้าขวบ เราต้องดูแลเยอะหน่อย ไปรับไปส่ง กว่าจะจบภารกิจในแต่ละวัน แล้วก็จะมีทำงานบ้าน บางอย่างที่สามีทำแทนไม่ได้พอทำงานบ้านเสร็จก็ค่อยมาเริ่มเขียนบทช่วงกลางวันแต่สักช่วงบ่ายสามต้องหยุดทุกอย่างเพื่อมารับลูกคนเล็ก รับลูกเสร็จก็หาอาหารให้เขา และจะมาจัดการเรื่องลูกทั้งสองคนเข้านอนเสร็จก็เขียนบทต่อรอบดึก ถ้าง่วงก็นอนเร็วหน่อย เที่ยงคืนตีหนึ่ง แต่ถ้ามันรีบหรือว่าเป็นช่วงติดพันก็จะยาวไปเลย แต่จะยาวแค่ไหน ตีห้าก็ต้องเบรกเพื่อไปจัดการเรื่องลูก จะวนไปแบบนี้ทุกวัน งานหลักก็เหมือนว่ามีสองงานเลยค่ะ คือเลี้ยงลูกแล้วก็เขียนบทละคร ใช้เวลาพอๆ กันเลยค่ะ ไม่ได้มีงานประจำที่ไหน แต่ก็จะมีผูกปิ่นโตกับบางที่คือมีหน้าที่รับผิดชอบประจำให้กับเขา อย่างเช่นที่ “มีเดีย สตูดิโอ” ซึ่งเราช่วยดูบท เป็นที่ปรึกษาออกไอเดีย

ทำงานเบื้องหน้าและเบื้องหลังควบคู่กันไป

เริ่มทำงานเบื้องหลังตั้งแต่ตอนที่เรียนมหาวิทยาลัยแล้วค่ะ เป็นครีเอทีฟทำสคริปต์แต่ว่าไม่เชิงเป็นละคร เราเรียนศิลปการละครมาจากอักษรจุฬาฯ และมีรับจ๊อบไปเล่นละครที่เป็นสารคดีบ้าง แล้วพอเรียนจบออกมาก็มีลูก คือแหม่มแต่งงานเร็ว เรียนจบก็ได้ทำงานในกองถ่าย เป็นผู้ช่วยผู้กำกับ วิ่งทำทุกย่าง ต่อบทนักแสดง สักพักก็ขยับขึ้นมาเขียนบท งานเขียนบทกับงานแสดงเริ่มมาพร้อมๆ กัน คือเราก็เล่นละครควบคู่ไปด้วย เป็นเอ็กซ์ตร้าด้วย แต่ถ้าเขียนบทละครแบบจริงจังจะมาทีหลัง เพราะเรารู้สึกว่าเราเป็นเป็ดเกินไป เดี๋ยวเล่น ทำกองถ่าย เป็นครีเอทีฟเป็นสเตจ แต่ยังไม่ได้ทำอะไรที่เป็นอาชีพ เราก็เลยคิดว่าอยากจะทำอะไรที่มันจริงจัง แต่ถ้าจะให้ไปเป็นพนักงานประจำก็ไม่ใช่จริต เลยไม่รู้ว่าจะไปทำอะไร จนกระทั่งวันนึงเหมือนชะตาลิขิตมาว่าให้เราลองมาจับงานเขียนบทช่วยพี่เขา พี่ที่เป็นเจ้าของบริษัทอีเว้นท์ที่จ้างเราเป็นฟรีแลนซ์ที่เราเคยเขียนสคริปต์รายการสคริปต์อีเว้นท์ พี่เขาก็คงจะเห็นศักยภาพค่ะก็เลยชักชวนให้เรามาช่วยเขียนบทละครโทรทัศน์

บทละครโทรทัศน์เรื่องแรกที่เขียน

เรื่อง “เจ้าสาวของอานนท์” เวอร์ชั่น “พี่จอนนี่ แอนโฟเน่” กับ “เชอรี่ ผุงประเสิร์ฐ” ออกอากาศทางช่อง 5 “อารุจน์ รณภพ” เป็นคนกำกับ ปี 2541 ที่เริ่มเขียนบทละคร เขียนร่วมกับ“พี่เจี๊ยบ-พิมพ์กมล ประเสริฐวงศ์” แล้วก็ใช้ชื่อเดิม ปิยะมาศ ก็มาเขียนแบบงงๆ เหมือนกันแต่โอเคด้วยความที่ไม่มีทฤษฎีอะไรที่ตายตัว และโชคดีที่เราเคยเรียนมาบ้างกับ “ครูโม-อาจารย์นลินี สีตะสุวรรณ”แล้วก็เรียนกับ “ครูช่าง-ชลประคัลภ์ จันทร์เรือง”ในด้านของการเขียน เลยเป็นการเอาความรู้ที่มันเลือนลาง(หัวเราะ) มาบวกกับว่าเราเป็นคนที่ชอบดูละครและช่วยงานในกองถ่ายอยู่ เราเห็นอะไรก็เอามาใช้หมดเลย เขียนๆไปไม่รู้หรอกว่าถูกหรือผิด รู้สึกว่ามันคือทางของเราเลย เพราะว่าหนึ่ง ได้อยู่กับที่ อยู่กับบ้านได้เลี้ยงลูกด้วย แต่ตอนมาพิมพ์บท ต้องไปพิมพ์ที่ออฟฟิศพี่เจี๊ยบ ถ่ายรูปลูกมาแปะไว้แล้วก็นั่งดูรูปลูกไปด้วยคิดถึงลูก

ช่วงเก็บเกี่ยวประสบการณ์

พอเขียน “เจ้าสาวของอานนท์” จบก็เบรกไปทำอีเว้นท์ และมีไปเป็นเซลส์เพราะเหมือนว่าเรายังไม่มีช่องทาง งานแสดงก็ยังไม่มีค่ะเพราะว่าเราเหมือนเพิ่งคลอดลูกมา แต่ว่าก็ได้เล่นเรื่อง “บ่วงดวงใจ” ของ“อาจิ๋ม มยุรฉัตร” ในตอนที่กำลังท้อง เป็นเรื่องที่สองที่ได้เล่นละครเป็นเรื่องเป็นราว เรื่องแรกคือ “ดาวเรือง” เล่นละครเรื่องที่สองยังไม่ทันจบก็ท้องซะก่อน พอท้องเสร็จก็เบรกละครไปคลอด แล้วเริ่มเขียนบท พี่จิ๋มก็ให้ทีมงานโทร.มาชวนให้ไปเล่นละครแต่เราจำเป็นต้องเลือกเราก็เลยเลือกเขียนบท แม้ว่าค่าตัวเราจะไม่ได้มาก แต่เราก็ได้ทุกตอน ถ้าเป็นนักแสดงไม่ได้ทุกตอน เราก็ต้องเลี้ยงลูกด้วย ก็เลยปฏิเสธไป หลังจากนั้นก็เลยไม่มีละครเข้ามาอีกเลย เว้นไปจนมีลูกคนที่สองเกือบสิบปี ถึงได้กลับมาเล่นละครอีกครั้ง แต่ระหว่างนั้นก็ได้เขียนบทเรื่อยๆ อยู่ค่ะ ได้ไปทำอีเว้นท์ ทำเกมโซนของ “พี่แหม่ม พิไลวรรณ” มีงานเขียนบทที่เป็นซีรี่ส์สั้นๆ ซิกคอม “รักหรรษาคาราโอเกะ, เทวดาสาธุ, เรไรลูกสาวป่า” ซึ่งเป็นการรวมตัวกับเพื่อน รวมทั้งเรื่อง “นางกรี๊ด” ก็ใช้ชื่อ “ตรียูงทอง”

งานเขียนเรื่องแรกที่ทำให้ค้นพบตัวเอง

จริงๆ ตอนนั้นก็ยังรวมตัวกับเพื่อนอยู่นะคะ เป็นช่วงที่น้ำท่วมหนักปี 2554 ซึ่งพอดีว่า “คุณแดง สุรางค์” มีดำริว่าอยากจะทำละครที่เป็นพล็อต คือเรื่อง “เส้นตายสลายโสด” ของ “พอดีคำ” เรากับเพื่อนก็ช่วยกันคิด ซึ่งเป็นเรื่องของผู้หญิงยุคนี้ เราสนุกกับมันมาก น้ำท่วมเราก็หนีน้ำไปนั่งเขียนอยู่ที่พัทยา เขียนไปถ่ายไปก็มีความสุข ไม่รู้สึกเครียดเลย เป็นเรื่องที่ทำให้เราค้นเจออะไรบางอย่างกับการเขียนบท คือเรื่องแบบนี้มันสอนกันไม่ได้ ทำให้เราเห็นทาง และมั่นใจในตัวเองมากขึ้น หลังจากนั้นก็ได้รับการพูดถึงและมีผู้จัดให้งานต่อ ก่อนหน้านั้นก็ต้องยอมรับว่างานเรามันไม่ได้เป็นที่พูดถึงไม่ค่อยเข้าตา ไม่ได้เป็นตัวเลือก แต่หลังจากนั้นก็ถูกแนะนำถูกเลือกถูกวางให้ได้งานต่อไปเรื่อยๆทั้งช่อง 7 และช่อง 3

เหมือนเป็นตัวแทนของผู้หญิง

ถ้าเป็นคาแร็กเตอร์ที่ผู้หญิงนำก็จะเป็นทางเรามากกว่า อาจจะดราม่าบ้าง โรแมนติก คอเมดี้บ้าง คือมันอาจจะเป็นประสบการณ์ส่วนตัวที่เรามอง เราเจอมา เราเองก็เจอผู้หญิงทุกประเภท เห็นมาทุกอย่าง ก็เลยได้เขียนเรื่อง “พริ้ง คนเริงเมือง” หรือแม้แต่เรื่องล่าสุดที่เขียนและพล็อตเอง “The Single Mom คุณแม่เลี้ยงเดี่ยวหัวใจฟรุ้งฟริ้ง” ก็เป็นตัวละครที่ครั้งนึงเสี้ยวนึงเราเกือบจะเป็นซิงเกิ้ลมัม เพราะเราเข้าใจเราถึงพูดได้ และเราถึงจะให้ตัวละครตัวนี้พูดอะไรคิดอะไรอย่างเข้าใจมันจริงๆ ไม่ใช่การเซตอัพหรือมโนเอง ถ้าเราเข้าใจตัวละครจริงๆ เราจะสร้างมันได้อย่างเป็นธรรมชาติเป็นความจริง เพราะว่าคนที่ดูบางคนก็จะพูดว่าฉันเคยเป็นแบบนั้น คือไปสัมผัสความจริงของทุกคน ไม่ใช่เรื่องเฟคขึ้นมา

ผลงานการเขียนที่ผ่านมา

“เส้นตายสลายโสด,วิมานมะพร้าว” ซึ่งเป็นเรื่องที่สร้างคู่จิ้น “เชียร์-ธันวา” ด้วยความกรี๊ดกร๊าดของการสร้างคู่จิ้นก็สนุกสนานในการเขียนมาก แล้วก็มี “แผนร้ายพ่ายรัก, ก๊วนคานทองกับแก๊งพ่อปลาไหล, นางสาวทองสร้อยคุณแจ๋วหมายเลข 1, The Single Mom คุณแม่เลี้ยงเดี่ยวหัวใจฟรุ้งฟริ้ง, พริ้งคนเริงเมือง” แรงบันดาลใจในการเขียนส่วนใหญ่คือจะดูซีรี่ส์เกาหลีค่ะ ความฟินความจิ้นต้องดูเกาหลีนะ ฝรั่งก็จะเป็นอีกแบบนึง แต่เกาหลีด้วยความที่ชาติพันธุ์ใกล้กัน รสนิยมความชอบเลยไม่ต่างกัน ดูเอาอารมณ์ว่าเขาเล่ายังไงไม่ได้ไปก๊อบปี้มุขเขานะคะ เราดูแทนความรู้สึกที่เราเป็นคนดูว่าขนาดไหน เราถึงรู้สึกว่าเราถูกบิ้วท์ พอเราฟูลกับความฟินมันก็มาและจะไปกระตุ้นครีเอทีฟในหัวเรากับวัตถุดิบที่เราสะสมมาโดยอัตโนมัติเอง

ผลงานที่ประทับใจ

ชอบทุกเรื่อง แต่ที่สนุกมากเลยคือ “ก๊วนคานทองกับแก๊งพ่อปลาไหล” เพราะว่าโดยคาแร็กเตอร์ที่เซตอัพมามันไม่มีใครมาบล็อกและมันเป็นเรื่องที่ผู้จัดตามใจเรามาก ผู้กำกับก็ตามใจเรามาก นักแสดงก็ทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีมาก ทุกคนมืออาชีพ ประสบการณ์สูง ขณะที่เขียนก็ขำ ชอบ ฟินมากเราก็นึกภาพไป สนุกกับมัน แล้วก็จะดูละครที่ตัวเองเขียนทุกตอนทุกเรื่องไม่เคยพลาดดูเพื่อเช็คงานตัวเอง พอมาย้อนดู ตอนนี้ฉันเขียนอะไรเนี่ยอืดมาก เราไม่เข้าข้างตัวเองค่ะ ดูแล้วเราก็จะได้เอามาปรับกับเรื่องต่อๆไปที่เราเขียน เหมือนทำการบ้านเพื่อที่เรื่องต่อไปเราจะได้ไม่ทำ หรือบางเรื่องควรจะเพิ่ม ขยี้ๆ อีกหน่อยก็ดี บางเรื่องอาจจะไม่ประสบความสำเร็จเราก็ต้องมาหาว่าเพราะอะไร เราเล่าเข้าใจยากเหรอ ทำไม เราก็ต้องมาทำการบ้านของตัวเอง

กับอาชีพนี้ที่เลือกแล้ว

19 ปีกับการเขียนบท น่าจะเกือบ 40 เรื่องที่เขียนค่ะ ถือว่าอาชีพนักเขียนคืออาชีพของเรา นานเนอะ (หัวเราะ) ก็ควรจะหาตัวเองเจอได้แล้ว คิดว่าควรจะเป็นอาชีพเราตั้งแต่ 10 กว่าปีที่แล้วแล้วค่ะ ไม่เคยเปลี่ยนใจเลย ถึงแม้ว่าจะยังไม่มีงานมา เพราะว่าเราก็ไม่ได้อยู่เฉยๆ เราก็คิดพล็อตของเราไป คุยกับเพื่อนหรือมีอะไรให้ช่วยคิดช่วยเขียนมีมาแค่ตอนสองตอนก็เขียน ขอแค่ไม่ห่างหายไปจากมัน

จอมขโมยซีนในละครหลายๆ เรื่อง

อย่างที่บอกในตอนแรกนะคะ ว่าพอเราท้องลูกคนแรก ก็เบรกไป มาเล่นอีกทีหลังจากคลอดคนที่สองได้ประมาณเดือนกว่าคือเรื่อง “เทวดาสาธุ” ก็บอกเขาว่าเล่นได้ แต่ว่าอย่าให้ไปกระโดดวิ่งอะไรแล้วกัน คืองานแสดงมันสั้นๆ ได้เงินเลย แล้วก็ไวดี เราก็ไปเล่นเพื่อคลายเครียดปล่อยของ ไปหาประสบการณ์เผื่อได้มุมมองของผู้กำกับและทีมงานมาใช้ในการทำงานของเรา นั่นคือเหตุผลในการรับละครในช่วงหลังๆ แล้วคือไปหาข้อมูลแล้วได้เงินมีที่ไหน ได้เขียนบทเรื่อง “เทวดาสาธุ” หลังจากนั้นก็ไปเล่นละครเวทีและทำให้ได้เจอกับ “พี่เติม-ชนินทร” กับ “พี่คิง-สมจริง” ที่ไปดู พี่คิงก็เลยเอาเราไปเล่น “ปฐพีเล่ห์รัก” มักได้เล่นบทอะไรที่มากันแบบกลุ่มเพื่อนเม้าท์มอยสาวออฟฟิศอะไรประมาณนี้ ก็เลยมีงานเข้ามาเรื่อยๆจนกระทั่งพี่เติมเอาไปเล่น “แรงเงา” ก็เป็นการแจ้งเกิดอีกครั้งโดยที่ไม่ได้คิดอะไรเลย คือเราก็ไปสิงพี่เติมในการทำงาน แล้วพอเล่นบทเรามันดันออกมาเยอะคนก็รู้จักเล่นจบไปแล้วเราเองก็ยังรู้สึกเฉยๆ แต่ว่าไปไหนมาไหนคนจะจำได้ก็เข้ามาทักผ่านไปสี่ปีคนก็ยังจำเราได้ หลังจากนั้นก็มีละครติดต่อเข้ามาอีกเยอะมากแต่เราก็จำเป็นต้องปฏิเสธเพราะว่าเรายึดอาชีพเขียนบทแล้วเราก็รับไม่ไหวแต่พอเป็นของพี่เติมซึ่งโทร.มาเองเราก็ไม่อยากปฏิเสธก็เลยได้ไปเล่น “สะใภ้เจ้า” เราสี่สิบกว่าแล้วแต่ก็มักจะได้รับบทเป็นสาวอยู่แต่จริงๆ ไม่ไหวนะสังขารเรา แต่ไปๆมาๆก็ต้องเล่นอีกจนได้ “แรงเงา2” ก็มากันครบทีมเลยค่ะ เป็นแก๊งขโมยซีนทีมเดิมที่ต้องมี หลังจากนี้ก็คิดว่าจะไม่รับแล้วนอกจากทีมเดิมๆ ที่เราเคยทำงานด้วย แล้วก็เป็นบทที่ไม่เยอะ

กับความสำเร็จในวันนี้

ความรู้สึกแรกคือโชคดีที่ได้ทำงานที่ชอบที่รักและสามารถเลี้ยงดูครอบครัวได้ดี ไม่ได้ร่ำรวยอะไรหรอกแต่ว่าทุกคนอยู่รอดนี่คือความโชคดีนะเพราะว่าหลายคนพูดกับเราว่าทำงานมาจนป่านนี้แล้วเขายังไม่รู้เลยว่ามันคืองานที่เขารัก เขาจำเป็นต้องฝืนใจ บางคนทั้งชีวิตก็ไม่เจอซึ่งเราก็จะบอกว่าไม่มีอะไรเพอร์เฟกท์มันดูสบายจริงแต่ว่ามันก็ต้องแลกมาด้วยโรคภัยไข้เจ็บ ที่ควบคุมไม่ได้เช่นความเครียดเราบอกว่าเราไม่เครียด แต่โรคกระเพาะถามหา ไมเกรนขึ้นอันนี้ก็เป็นสิ่งที่ต้องแลก แต่เราก็ต้องมีสติที่จะต้องรู้ตัวว่าเรากำลังประสบปัญหาอะไรและต้องดูแลตัวเอง อันที่สองคือถามว่าประสบความสำเร็จไหมไม่อยากใช้คำนี้อยากใช้คำว่ามันสามารถพัฒนาตัวเองจนถึงขั้นที่เรียกว่ามีมาตรฐานพอทำให้ผู้จัดไว้วางใจที่จะมอบหมายงานให้ อะไรคือการประสบความสำเร็จมันวัดยากค่ะเพราะว่างานนี้เป็นงานที่ต้องวินๆ ระหว่างคนจ้างกับเรา เจอกันครึ่งทาง ความต้องการของผู้จัดซึ่งแน่นอนว่าเขาต้องมีโจทย์ในใจความชอบส่วนตัวสิ่งที่เขาอยากเห็นหรือเงื่อนไขโปรดักชั่น สิ่งที่เราจะเอาไปขายเขาคือความครีเอทีฟนักแสดงแต่ละคนจะมีบทบาทประมาณนี้นี่คือสิ่งที่เราคิดไปให้เขา ดังนั้นเราต้องเอาโจทย์ของเขากับเรามารวมกันแล้วก็เขียนออกมาและตอบโจทย์เขาฟินเราด้วย มันต้องไปด้วยกันนี่คือกระบวนการทำงาน แล้วพอไปสู่สายตาคนดูอะไรคือตัววัดบ้าง รสนิยมคนดูเรตติ้งหรือบางเรื่องเขียนทรมานมากไม่ใช่สิ่งมี่เราชอบเลยแต่คนดูกลับชอบ เรียกว่าประสบความสำเร็จไหม ประสบความสำเร็จในด้านไหน ทุกวันนี้เรายังต้องทำการบ้าน
อยู่นะเพราะเรายังไม่รู้สึกว่าประสบความสำเร็จ

มุมมองของลูกสาวที่มีต่ออาชีพของคุณแม่

ลูกบอกว่าสงสารแม่ (หัวเราะ) สติสติแม่ คือแม่จะเบลอ เขามีความสุขนะเขาดูละครที่แม่เขียนแล้วเขาก็จะขำ แต่เราจะให้เขาดูเฉพาะเรื่องที่เขาดูได้นะคะ เป็นแนวบวกๆ เขาก็จะขำอย่างล่าสุดคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว เขาก็บอกว่าอยากกินซาลาเปากัน แล้วชอบพี่ตี๋ชอบเด็ก เขาจะถามว่าแม่คิดตรงนี้ได้ยังไง ลูกคนคนเล็กเป็นเด็กที่รู้จักใช้ภาษาในการเล่าเรื่องบางทีเราก็ตกใจนะว่าเราอายุเท่าเขาเรายังเล่นกระโดดเชือกเป่ากบไม่รู้เรื่องอะไร เขาคือรู้จักพูด แต่มันก็ยังไม่ค่อยชัดเท่าไหร่คือเขาก็ยังอยากจะประดิษฐ์หุ่นยนต์อะไรของเขาไปเรื่อยส่วนคนโตเองก็ชอบอ่านหนังสือนิยายวัยรุ่น นิยายวาย แล้วก็ลองเขียนนิยายลงในเว็บเด็กดี แต่ไม่ยอมให้แม่อ่านบอกว่าเขิน คือทั้งสองคนได้อิทธิพลจากแม่ในเรื่องการอ่าน การเขียน และการใช้ภาษาและความครีเอทีฟเหมือนกันโตขึ้นเขาจะเป็นอะไรก็แล้วแต่เขา เราเลี้ยงลูกสบายๆ เอาเขาเป็นศูนย์กลาง เขาไม่อยากเรียนอะไรเราก็ไม่ห้าม แต่เขาจะต้องรับผิดชอบหน้าที่ของเขาถึงเวลาดุก็ดุบ้านระเบิด

มุมมองเกี่ยวกับคนเขียนบท ณ วันนี้

เป็นตำแหน่งที่เป็นจุดเริ่มต้นเป็นหัวใจของเรื่องแต่มักถูกปฏิบัติแบบไม่สำคัญ คือไม่ต้องให้คนดูมาพูดถึงเราหรอกเอาแค่คนที่ทำงานด้วยกัน มันอยู่ที่ทัศนคติของคนเขียนบทเองด้วยนะว่าเห็นว่าเป็นเรื่องซีเรียสหรือเปล่า หรือการวางบทบาทของตัวเอง และด้วยอายุงาน นักเขียนบางคนถูกจับมือให้เขียนซึ่งรู้สึกว่ามันผิดหน้าที่ผิดฟังก์ชั่น เราอยากได้อิสระในทางความคิดมากกว่านี้คือคุณฟังเราก่อนแล้วก็มาเจอกันมีเหตุผลมาคุยกันว่าไม่เอาตรงนี้เพราะอะไร เราต้องการการทำงานที่จะไปด้วยกันมีใจที่เปิดกันทั้งสองฝั่ง คนเขียนบทก็ต้องฟังผู้จัดฟังโปรดิวซ์ด้วยเพราะว่าเขาก็มีเงื่อนไขที่เขารับมา เรามีหน้าที่ที่จะเอามันมาปั่นๆ เป็นงานที่พอใจทั้งสองฝ่าย

เขาว่ากันว่านักเขียนกำลังขาดแคลน

จริงค่ะเพราะว่างานที่ออกมาแล้วทำให้ผู้จัดพอใจโดยที่เขาไม่เหนื่อยมาก คือเขาก็ต้องคิดนะว่าจ้างมาแล้วทำไมต้องมาช่วยคิดอีกอะไรทำนองนี้อาจจะมีปรับแก้บ้างแต่ไม่มาก ดังนั้นคนที่จะมาทำงานตอบโจทย์ผู้จัดแบบนี้มันยังมีไม่มากก็จะเป็นเด็กที่เพิ่งมาเขียน แล้วงานมันยังไม่คอมพรีทสักเท่าไหร่สำหรับผู้จัดดังนั้นงานมันก็จะตกมาอยู่กับคนเดิมๆ ที่งานได้มาตรฐานและใช้งานได้เลย ซึ่งแต่ละคนก็สามารถรับงานได้ไม่มาก อย่างเราได้มากไม่เกินสองเรื่องด้วยเงื่อนไขต่างๆ หรือบางคนได้เรื่องเดียวเท่านั้นทีละเรื่อง มันก็เลยเกิดการรอคิวกันเลยขาดแคลน และมันจะต้องใช้เวลาในการที่จะพัฒนาคนให้งานขึ้นมาได้รับมาตรฐาน

คุณสมบัติของการเป็นนักเขียน

หนึ่งเลยคืออีโก้มีได้นะแต่มีไว้สำหรับยืนยันเหตุผลในงานของตัวเอง แต่อย่าอีโก้กับการที่จะเปิดใจรับฟังผู้จัดหรือใครๆ ต้องน้อมรับความคิดเห็น ถ้าจะเถียงหรือไม่เอาไม่ฟังเขาก็ต้องมีเหตุผลที่คุณมั่นใจด้วยนะว่ามันเป็นกลางไม่ใช่ดันทุรังไปด้วยอีโก้ของตัวเอง ต้องปล่อยวางละวางตัวตนให้เยอะๆ แล้วคุณก็จะพบโลกใหม่มุมมองใหม่ๆ มีวิธีการทำงานที่จะช่วยพัฒนาตัวเองได้ดีขึ้น

สุดท้ายอยากจะฝากผลงานด้วยนะคะ ที่กำลังเขียนอยู่ก็มีเรื่อง “สกาวเดือน” และที่กำลังจะออนแอร์คือเรื่อง “สายธารหัวใจ” ทางช่อง 28 คือเรื่อง “บัลลังก์ดาว” เป็นทีมเราที่เขียนซึ่งเรารับหน้าที่ตรวจบท นี่คือผลงานในครึ่งปีหลังนี้ที่จะได้เห็นกันค่ะ


กุหลาบสีเงิน