Star Retro : ค้นความเป็น PAUSE ผ่านร้อน-ฝน-หนาว มากว่า 20 ปี

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/entertain/282131

Star Retro : ค้นความเป็น PAUSE ผ่านร้อน-ฝน-หนาว มากว่า 20 ปี

Star Retro : ค้นความเป็น PAUSE ผ่านร้อน-ฝน-หนาว มากว่า 20 ปี

วันอาทิตย์ ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2560, 06.00 น.

ไม่ใช่เรื่องง่ายกับการเป็นตำนาน และยิ่งยากกว่า เมื่อได้ชื่อว่าเคยตกยุค!? แต่วันนี้ วง PAUSE (พอส) ได้โอกาสกลับมายืนแถวหน้าอีกครั้ง ด้วยขุมกำลังของ เอ-พลกฤษณ์ วิริยานุภาพ (กีตาร์), นอ-นรเทพ มาแสง (เบส), บอส-นิรุจ เดชบุญ(กลอง) และน้องใหม่ เฟ้นท์-ประภาพ ตันเจริญ (ร้องนำ) ที่หลายคนอึ้งกับความเหมือน โจ้-อัมรินทร์ เหลืองบริบูรณ์ (อดีตนักร้องนำที่เสียชีวิต) ทั้งบุคลิกหน้าตาและเสียงร้อง อะไรทำให้ความเป็น PAUSE ยืนหยัด วันนี้เราได้โอกาสจับพวกเขามาค้นใจ

ชีวิตนอกกรอบ จากการเป็น PAUSE

เฟ้นท์ : ของผมตอนนี้ไม่มีครับ งานอื่นออกหมดแล้ว (เสียงพี่ๆ แซว : เดี๋ยวออกจากวง ก็อยู่ยากสิ!! /ระเบิดเสียงหัวเราะกันทั้งวง) ก่อนหน้านี้ผมเคยทำงานเบื้องหลังด้านอัดเสียง พากย์หนัง เกี่ยวกับซาวนด์ออนฟิล์มครับพอมาร้องเพลง ก็พักงานตรงนั้นไปก่อน

เอ : ผมสอนดนตรี สอนกีตาร์ อยู่ที่ SCA Superstar Academy ครับ ส่วนเด็กโต ปวช. มหาวิทยาลัย ผมสอนให้กับที่มหาวิทยาลัยสยาม สองสถาบันนี้เขาเชื่อมโยงกันอยู่ สอนมาประมาณ 3 ปีได้แล้วครับ เด็กๆ ก็เหมือนลูกๆ หลานๆ มีหลายวัย แล้วอย่างเด็กประถม ที่เขาไม่ทันรุ่นพวกเรา พอเขารู้ว่าเราจะออกซิงเกิ้ล เขาบอกว่าถ้าเพลงครูขึ้น JOOX อันดับหนึ่ง เดี๋ยวพวกผมจะไปดูคอนเสิร์ต และต้องเป็นเพลงเร็วด้วยนะ คือเขาอาจจะมองว่าเราเก่าแล้ว หรือเพลงช้าซะเยอะ ซึ่งผมเองก็รู้กระแสเพลงใหม่ๆ จากเด็กๆ นี่แหละครับ เพราะผมจะสอนตามใจเขา ชอบเพลงไหนบอกมา เดี๋ยวสอนตามนั้น (นอเสริมว่า :คือลักษณะธรรมชาติของวงเรา เพลงเร็วมันไม่ไปกับเรา เราก็พยายามทำเพลงเร็วมาตลอด ซึ่งก็มี แต่ไม่ดัง) คนฟังจะคาดหวังเพลงซึ้งซะมากกว่า เพราะเราได้รับการยอมรับจากเพลงแบบนั้น (นอ: เราก็อยากทำเพลงเร็วนะครับ ไม่รู้นักร้องเขาจะไหวรึเปล่า?)

นอ : ผมพยายามทำหลายอย่างครับ เพราะอาชีพแบบเรา ถ้าไม่บริหารจัดการให้ดี ก็จะอยู่ไม่ได้ เพราะไม่เหมือนงานบริษัทที่มีคนบอกว่าให้ทำอะไร ของเราคิดเอง แล้วก็ทำเอง นอกจากทำวงพอส ผมก็ทำวงเครสเซนโด้ด้วย แล้วก็ทำโปรดิวซ์อยู่ในค่ายมีเรคคอร์ด ก่อนหน้านี้ผมเคยสอนดนตรีที่ มศว ประสานมิตร กับรับพูดแนะแนวตามมหาวิทยาลัย ส่วนใหญ่ก็จะเป็นหัวข้อ จบดนตรีแล้วทำงานอะไร เพราะบางทีคนไม่รู้ ไม่เหมือนอาชีพทั่วไป ที่ลงหนังสือพิมพ์รับวุฒินี้ ชัดเจน แล้วผมอยู่ประสานมิตร ก็จะมีรุ่นพี่รุ่นน้องที่ไปประจำตามที่ต่างๆ เชิญไปพูดบ้าง อย่าง ม.นเรศวร, ม.พิษณุโลก, ม.มหาสารคาม หรืออย่างเอแบคก็มี คือไปเป็นวิทยากรรับเชิญ แล้วก็เคยเป็นอาจารย์พิเศษอยู่ที่มหาวิทยาลัยพายัพ เชียงใหม่ เมื่อประมาณ 3-4 ปีที่แล้ว ตอนนั้นงานดนตรีก็บางๆ ไปเลย ช่วงเครสเซนโด้ชุด Four Days หลังจากนั้นปีที่แล้ว ผมก็ยังสอนที่ มศว ประสานมิตร อยู่ เป็นอาจารย์พิเศษ แต่พองานวงเริ่มจะหนาขึ้น ไปสอนไม่ได้ ก็ให้อาจารย์คนอื่นมาเป็นแทน (กลับมายึดงานเพลงเป็นหลัก?) ใช่ครับ คิดไม่น่าจะเป็นหลักได้แล้ว ก็กลับมาเป็นหลักได้อีก(หัวเราะ)

บอส : ผมแบ่งตัวเองเป็น 3 ภาค ภาคที่เป็นศิลปินกับ 2 วง คือพอส กับเครสเซนโด ก็งานหนึ่งละ และงานที่ 2 ถ้ามีเวลาเหลือ ก็จะไปเล่นดนตรีกลางคืนกับวงเพื่อนๆ อีกวงหนึ่ง ประจำในร้านอาหาร ชื่อวง พิ้งค์แพนด้า (แพนด้าสีชมพู) เพื่อนเขาตั้งขึ้นมา เล่นประจำที่ร้านแถวทาวน์อินทาวน์ เป็นร้านแบบเมมเบอร์คลับ คือถ้าไม่มีงานจากทาง วงพอส-วงเครสเซนโด้ ก็จะไปเล่น และภาคสุดท้ายคือเป็น ภาคของผู้จัดการวง ก็คือเราเปิดบริษัทไว้รับงานของวงพอส และเครสเซนโด้ด้วย แล้วบริษัทไม่มีพนักงานครับ มีผมคนเดียวที่เป็นคนจัดการ คือรับผิดชอบทำทุกอย่าง งานเอกสาร นัดคิว ดิวเงิน จ่ายเงินสมาชิก จริงๆ ก็กะจะจ้างพนักงาน แต่งานเราไม่ได้เยอะอะไร (นอ : เฟ้นท์ว่างมากเลยนะ) ไม่เป็นไร เอามันมาทำ กลัวจะแย่กว่าเดิม ทำเองคนเดียวดีกว่า คือถึงจะเป็นอาชีพที่ไม่ค่อยเข้าพวกกับนักดนตรีอย่างเรา ก็ลองทำดู ปวดหัวดี เอ้ย! สนุกดีครับ(หัวเราะ) เราเพิ่งจะมาตกลงเปิดบริษัทกันเมื่อไม่นาน เพราะปีที่แล้ว แต่ละคนโดนภาษีเพิ่มเติมกันไปเยอะ เลยคิดเปิดเป็นรูปบริษัทมารองรับดีกว่า (นอ :ถ้าปีก่อนหน้านั้น จัดอยู่ในรูปของยากจนครับ อย่าได้คิดเปิดบริษัทกันเลย เพราะไม่ได้มีงานมากมายขนาดนี้)

เมื่อ “เฟ้นท์” ก้าวเข้ามาปลุกชีวิตวง PAUSE

นอ: เดิมมีแต่เรื่องซึมเศร้า สำหรับผมนะครับ เวลาพูดถึงพอส จะเป็นเรื่องของอดีต ผ่านไปแล้ว เราก็คิดถึงกัน แต่ว่ามาเล่นด้วยกันไม่ได้ เพราะไม่ได้มีกิจกรรมร่วมกัน นานๆ เจอกับเอที กับบอสที มาเจอกันทีก็ไม่ได้สุขอะไรเท่าไหร่ แต่ ณ ปัจจุบันเหมือนเราทำวงใหม่เลย แต่ว่ามีเพื่อนเก่าๆ มาเล่นด้วยกัน แล้วก็มีเฟ้นท์มาร้องนำ ผมว่าถ้าเปรียบเป็นหนังสือ ก็เหมือนกับพอสที่มีโจ้เป็นหนังสือภาคแรก ตอนนี้เรากำลังเขียนหนังสือเล่มที่ 2 เหมือนต่อเนื่องกัน แต่ความรู้สึกผมว่าไม่ต่างอะไรกับตอนเราเป็นวัยรุ่นครับ

เอ : เราเป็นคนเดิมครับ แต่ว่าการเล่นดนตรีในยุคนี้กับยุคก่อน ทุกคนมีประสบการณ์มากขึ้น ก็เลยเล่นกันไม่หมือนเดิม ครั้งแรกๆ ที่กลับมาเล่นด้วยกันก็รู้สึกสนุก ตื่นเต้น แล้วยิ่งเป็น บอสกับ นอ ที่คุ้นเสียงกันอยู่แล้วผมไปเล่นกับคนอื่นมาบ้างพอสมควร พอมาเป็น 2 คนนี้ซึ่งกลั่นกรองสิ่งที่ใหม่ๆ เจ๋งๆ มา แค่เฉพาะดนตรีก็ดีอยู่แล้วยิ่งพอมีเฟ้นท์เพิ่มขึ้นมาเป็นส่วนเชื่อมโยงกับคนฟังได้อีก ทำให้เราได้รับความสนใจอีกครั้ง และเวลาที่นอยากฟังเพลงเก่าๆ ที่โจ้เคยร้อง เฟ้นท์เขาก็ร้องได้ดี ทุกคนยอมรับ ในความคิดผม เฟ้นท์อาจจะไม่ได้เหมือนโจ้ซะทุกอย่างไป แต่ก็มีส่วนที่เขาทำแล้วคล้าย ซึ่งนั่นก็ทำให้ทุกคนยอมรับ และเราได้สนุกทุกครั้งที่ออกไปเล่น ได้กลับมาสู่ชีวิตความเป็นพอสอีกครั้ง

นอ : จะว่าเหมือนก็เหมือน จะว่าไม่เหมือนมันก็ไม่เชิง เพราะว่าผมตอนนี้ กับผมเมื่อ 20 ปีมันก็คนละคน ผมจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเราคิดอะไรกันตอนนั้น เหมือนที่เอบอกเราผ่านอะไรมาเยอะ ผมไปอยู่วงอื่นนานกว่าอยู่วงพอสด้วยซ้ำไป แต่เราก็กลับมารวมกันใหม่ อย่างเฟ้นท์เข้ามา ถ้าจะยกความดี ก็ต้องยกความเก่งให้กับคนที่สเกาท์และดึงเขามา คือคนเราหน้าตาเหมือนมันพยายามไม่ได้หรอก แต่เสียงมันเป็นเรื่องของการได้รับแรงบันดาลใจมาเป็นรุ่นๆ เมื่อคนสเกาท์หามาได้ดี ก็ทำให้พอสสามารถจะเห็นภาพลางๆ ของเมื่อก่อนได้ ส่วนที่เรากลับมารวมกันใหม่ ปัจจุบันผม 3 คน อายุ 40 กว่ากันแล้ว การที่เราจะมาทำกิจกรรมร่วมกัน มันก็ต้องเป็นเรื่องของอาชีพแล้ว ไม่ใช่การมาทุ่มเทเหมือนสมัยเมื่อ 20 กว่า ที่เราไม่รู้อะไร อย่างวันนี้บอสมีลูกแล้ว ผมก็กำลังจะ (บอส : มีลูก? / หัวเราะ) กำลังจะทำโน่นทำนี่ เพราะฉะนั้นก็ต้องมีรายได้มาเสริม ไม่งั้นวงเราก็คงเดินหน้าไปไม่ได้

เฟ้นท์ : (ความกดดันของการมาเป็นน้องเล็ก มีช่วงลำบากไหม?) (บอส : ช่วงนี้แหละ) (หัวเราะ) มีแค่ช่วงตอนแรกๆ ครับ (พี่ๆ เขารับน้องยังไง?) ไม่มีครับ พี่เขาน่ารักทุกคน (เอ : ใครบอกไม่มี เป็นเด็กยกน้ำแข็งครับเข้าเซเว่นก็คนอื่นไม่ลง ให้เฟ้นท์ลงไปซื้อ) (นอ : ผมเพิ่งเขียนบทความลงแฟนเพจตัวเองไม่นานว่า ไม่ใช่เพื่อนรุ่นเดียวกัน กอดคอกันมา มันมีช่องว่างอายุค่อนข้างห่าง อย่างผม 40 กว่า เฟ้นท์เพิ่ง 20 กว่า เพราะฉะนั้นข้อดีมี คือการที่มีรุ่น จะเป็นระบบของการทำงานได้ มีกฎเกณฑ์ได้ ดุด่ากันได้ และผู้ใหญ่ทำตัวเหลวไหล อายเด็กก็ไม่ได้ ก็ดีอย่างหนึ่ง คือการเป็นเพื่อนกัน ผมก็เคยทำวงแบบนั้น เฮไหนเฮนั่น ลงเหวก็ลงด้วยกันหมดเลย ไม่มีใครดึงใครได้แต่ตอนนี้เราได้ทั้งการทำงานเป็นระบบ และได้ความเป็นเพื่อนด้วยครับ) ตอนแรกที่เข้ามามีกระแสในเฟซบุ๊คผมก็ตามอ่าน แต่หลังๆ ก็ปลง ด้วยความที่พวกพี่ๆ ทั้ง 3 คนเขาดี เขาไม่ทำให้เรากดดัน เป็นพี่ที่น่ารักทุกคนครับซึ่งทุกครั้งก่อนที่ผมจะขึ้นร้องเพลง ผมจะจุดธูปบอกพี่โจ้ตลอดครับ (เอ : บอกว่าไงนะ พี่โจ้ไม่เกิดละ ผมเกิดแทน) (บอส : พี่โจ้ครับ ผมขอสัญญาว่าผมจะทำให้ทุกคนลืมพี่ให้ได้ / ระเบิดเสียงหัวเราะกันชุดใหญ่) ไม่มีครับ ไม่มี (หัวเราะ) พอมาถึงวันนี้ หลายๆ อย่างดีขึ้นเยอะครับ ตั้งแต่ออกเพลงใหม่กระแสพลิกเลย

นอ : ผมเคยบอกเขาเรื่องกระแส ว่าตอนนั้นที่เราทำพอส แล้วโจ้อายุเท่าเนี้ย เท่ากับเฟ้นท์ตอนนี้ ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะยอมรับโจ้ เขาก็โดนด่า ไอ้ฟู ไม่เอา มีเป็นเรื่องปกติแรกๆ โจ้ก็ไม่มีใครยอมรับเหมือนกัน เพราะฉะนั้นเฟ้นท์ต้องผ่านตรงนี้ไปให้ได้ อันนี้เป็นการให้กำลังใจ ประเภทดุด่าก็มีครับ เฮ้ย! จะมารูปร่างลักษณะเหมือนอย่างเดียวไม่ได้ นายก็ต้องเก่งด้วย โจ้มันเก่งนะเว้ย ก็ต้องมีพัฒนาการกันไปครับ อย่างพวกผมเองก็ต้องปรับตัวให้ทันยุคทันสมัยด้วย

กิจกรรมของ PAUSE ในวันว่าง

นอ : กำลังจะพยายามทำหลายๆ อย่างครับเตะบอล และอย่างอื่นด้วย เพราะเราเพิ่งรวมกันได้ปีกว่า เลยยังอยู่ในช่วงค่อยๆ หากิจกรรมร่วมกัน

เอ : เชียร์บอลรอบดึก (หัวเราะ) เวลาเล่นต่างจังหวัด พอเสร็จจากการเล่น จะมีถ่ายทอดบอลในทีวี. เราก็จะรวมตัวกัน กินน้ำส้ม ดูบอล(หัวเราะ)

นอ : ผมว่ากิจกรรมของวงเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะเราไม่ได้มีหน้าที่เล่นดนตรีอย่างเดียว เรามีหน้าที่เอาชีวิตมาผูกกันด้วย ก็ต้องพยายามสร้างกิจกรรมร่วมกันอย่างไปต่างจังหวัดก็ฉลองกันนิดๆ หน่อยๆ อย่างตอนนั้นไปเล่นที่บุรีรัมย์ ก็ไปดูบอลด้วยกัน เขามีแมทช์พิเศษพอดีครับ (พูดถึงฟุตบอลเชียร์ทีมไหนกันบ้าง?) (บอส : ของผมสเปอร์ส / อาร์เซนอล) (เฟ้นท์ : อาร์เซนอล)(เอ : ของผมเชียงใหม่ FC แชมป์แน่ / เสียงฮือฮาขึ้นมาทันที) แต่ก่อนผมชอบ เอเวอร์ตัน ตอนนี้ก็ยังชอบอยู่ครับ หาคนชอบได้น้อยมาก ในเมืองไทย รู้สึกจะมีพี่กนก กับเรย์ แมคโดนัลด์ เท่าที่รู้ครับ อย่างตอนนี้ ทีมบุรีรัมย์ ก็คล้ายๆ สีน้ำเงินเหมือนกัน ตราสัญลักษณ์ก็มีปราสาทคล้ายๆ กันก็เชียร์ทีมไทยด้วยครับ (บอส : ส่วนใหญ่พวกผมก็ดูบอลไทยด้วยครับ) (เอ : ถ้าโจ้… โจ้เชียร์ลิเวอร์พูล ที่จำได้นะครับ)

กีฬากับการดูแลสุขภาพ

บอส : ผมไปฟิตเนสประจำครับ (นอ : ไปทำอะไรครับ?) ไปเวทบ้าง คาดิโอ้ (เอ: เอาจริงๆ) จริงๆ ครับ แล้วก็มีไปวิ่งในสวน

นอ : ผมฟิตเนสเป็นประจำอยู่แล้วครับ ถ้าว่างไม่มีงานอะไรก็ไป และก็มีเตะบอลบ้าง

เฟ้นท์ : ของผม จันทร์-อังคาร เตะบอล พุธ ว่ายน้ำ พฤหัสฯวิ่ง (นอ : ไม่เห็นมีซ้อมร้องเพลงเลย?) ฟิตปอดครับ บริหารปอด (เอ : ลักษณะจะว่างทุกวันนะ) (นอ : กำลังจะจัดฟุตบอลกระชับมิตรครับ หาเวลาลงอยู่ พอส กับ เครสเซนโด้ เล่นสนุกๆ)

เอ : ก็มีไปเตะบอลครับ แต่ว่าหยุดไปพักหนึ่ง แล้วก็วิ่ง ปั่นจักรยาน พายเรือ เล่นเรือใบ แต่ตอนหลังไม่ได้ไปครับ วิ่งอย่างเดียวก็หมดแรงแล้ว พาแม่ไปสวนหลวง ร.9 ทุกเช้า ก็เลยได้วิ่งทุกวัน

แนวทางของ PAUSE กับซิงเกิ้ลใหม่

นอ : แนวดนตรีก็จะเป็นเพลงป๊อปครับ เพราะเป็นแนวนี้มาตั้งแต่ต้น มีพื้นฐานดนตรีติด Funky มานิดๆฟังแล้วแบบนี้ใช่พอส เนื้อหาก็ไปในแง่บวก ไม่มีแง่ลบ อกหักรักคุดกันมากมายเท่าไหร่ ไม่มีดาร์กไซต์ ดนตรีสนุกๆ ไม่เร็วมาก เมื่อก่อนเอจะเป็นคนแต่งเนื้อ เขียนเนื้อเยอะมาก 80% ของเพลงทั้งหมด แต่ตอนนี้เป็นเรื่องของการเล่นดนตรีมากกว่า หน้าที่แต่งเนื้อก็เป็นของ คุณฟองเบียร์ (ปฏิเวธ อุทัยเฉลิม) บ้าง คุณบอย-ตรัย มาช่วยบ้าง

เอ : คุณฟองเบียร์ เป็นคนสำคัญที่ทำให้พวกเรากลับมา เขาเป็นคนที่สนใจพวกเรา ไม่งั้นค่ายอื่นก็ไม่สนใจเราและเขาก็เป็นนักแต่งเพลงมือทอง ได้รับรางวัลมาสองปีซ้อนใครๆ ก็อยากให้เขาเขียน มีภาษาที่โยงใยกับคนรุ่นใหม่ได้ดีเชื่อมือกันครับ

นอ : แกนในการทำงานหลักยังเป็นพวกเรา 4 คนอยู่ครับ แต่องค์ประกอบที่เป็นไปตามยุคสมัย ซาวนด์เอนจีเนียร์นักดนตรีสนับสนุน เป็นคนยุคใหม่หมดแล้ว คนที่มิกซ์เสียงให้พอส ก็ได้น้องคนใหม่มามิกซ์ให้ ซึ่งก็เป็นรุ่นลูกหลานของคนเดิม คนที่มาเล่นคีย์บอร์ดก็เป็นนักดนตรีเจเนอเรชั่นใหม่คือผมก็ได้อินสปายเรชั่นจากคนรุ่นใหม่ในเรื่องนี้เหมือนกัน ซึ่งแกนหลักของพวกเราก็ต้องบอกเขาว่าอยากได้แบบนี้ เขาก็ไปแปลในมุมของเขา ก็เลยกลายเป็น พอส ในยุคใหม่ ผมรู้สึกแบบนั้น ถ้าเป็นแบบเดิมเลยผมก็จนใจไม่รู้จะเอาบุคลากรมาจากไหน ก็ต้องเป็นไปตามยุคสมัย พอส เองก็ไม่ได้ แค่เดินอยู่แค่เรา 4 คน ก็ต้องมีองค์ประกอบเยอะกว่านั้น

เอ : ยังไงดนตรีก็เป็นโลโก้ เป็นลายเซ็นของพอส คือ เบส กอง กีตาร์ แล้วก็มี ร้องนำ

บอส : ยุคนี้ถ้าเราจะทำเป็นอัลบั้มก็คงไม่คุ้ม ก็เป็นในแง่ของธุรกิจที่ต้องปรับเปลี่ยนตามยุคสมัย เราอยากทำก็จริง แต่ด้วยระบบทุนนิยมเราไม่สามารถทำได้ แต่ในอนาคตถ้ามีโอกาสที่จะทำได้ ก็อยากรวมอัลบั้มครับ (นอ : เป็นลักษณะทำเพื่อความสุขทางใจมากกว่าครับ เพราะพฤติกรรมคนฟังเปลี่ยนไปแล้ว)

ชีวิตครอบครัว

(ทุกสายตาหันไปทางบอสเป็นทางเดียว)

บอส: ที่ดูเป็นหลักเป็นฐานหน่อย ก็คงเป็นผม เพราะว่ามีลูกแล้ว มีครอบครัวเป็นเรื่องเป็นราว ตอนนี้ลูกชายผมย่าง 13 ปีแล้วครับ อยู่ ม.1 ชื่อน้องบีเจ ย่อมาจาก บอส จูเนียร์ คุณแม่เขาเป็นนักร้อง ผมเป็นมือกลอง เขาก็มีแววทางด้านนี้ให้เห็นเหมือนกันนะ อย่างเวลาร้องเพลงสัดส่วนตรง ร้องเพลงไม่เพี้ยน ได้ยินเสียงไหนมา ร้องเสียงนั้นตามถูกต้อง ตีกลองได้ตามจังหวะ สัดส่วนที่ดี แต่เราไม่ได้บังคับเขา ตอนนี้เขาอยากทำอะไรก็ปล่อยเขาไปก่อน ช่วงนี้เราก็ดูๆ พยายามสังเกตว่าเขาจะมุ่งหรือชอบไปทางไหน จะได้ปูทางถูก ตอนนี้เริ่มให้เรียนพิเศษ ศิลปะ กีฬา อยากให้ลองทุกอย่าง แล้วเราก็สนับสนุนเขาให้ถูกทาง เคยถามว่าอยากเป็นอะไร เขาบอกว่าอยากเป็นโปรแกรมเมอร์ ก็ไม่รู้โตมาความคิดจะเปลี่ยนไหม ต้องดูอีกทีตอนมัธยมปลาย แม่เขาจะเป็นฝ่ายคุมวินัย ส่วนผมค่อนข้างจะใจดีครับ (และยังใจดีเผื่อแผ่มาถึง ทีมข่าวบันเทิงแนวหน้านำเค้กบราวนี่ฝีมือศรีภรรยา มาฝากกัน ใครอยากลิ้มรส ติดต่อได้ที่ LINE : PUMARMED /087-9224619)

นอ : ยังไม่มีใครมีครอบครัวครับ มีบอสคนเดียว

เอ : นอเขาใกล้ๆแล้วครับ ใกล้จะชอบผู้ชายแล้ว (หัวเราะ)

บอส : ส่วนเฟ้นท์เป็นตัวรับแขก รับแอดเฟรนด์ในแฟนเพจนี่มีแต่สาวๆ ทั้งนั้นเลย

(เฟ้นท์ยิ้มรับพร้อมหัวเราะร่า)

ความเป็น PAUSE ที่อยากส่งถึงแฟนๆ

เอ : ก็อยากให้ทั้งแฟนๆ รุ่นเก่า แล้วก็น้องๆ รุ่นใหม่ผมชอบเรียกว่า ลูกๆ หลานๆ แล้วล่ะ ให้ลองติดตามนักร้องใหม่ของเรา ก็ดีใจครับ ที่เห็นหลายๆ คนกลับมา และก็มีรุ่นใหม่เพิ่มขึ้น

นอ: ผมรู้สึกขอบคุณโอกาสมาตลอด เพราะผมมีความเชื่อก่อนหน้านี้ ว่าผมตกยุคไปแล้ว คือนักดนตรีที่เกิดมาพร้อมเรา เขาไปทำอย่างอื่นกันหมดแล้ว ก็ไม่คิดว่าเราจะกลับมาเป็นวงอีกครั้ง ตอนอายุขนาดนี้ จึงอยากขอบคุณโอกาสที่ทำให้เราได้กลับมารวมตัวกันอีกที สำหรับแฟนเพลงผมพยายามจะทำให้ดีที่สุด ใครชอบ พอส เวอร์ชั่นแรกๆ ผมก็จนใจเหมือนกัน ผมไม่สามารถเอากลับมาให้ได้ จะให้ไปเป็นนอตอนอายุ 20 กว่า ผมก็ทำไม่ได้เหมือนกัน คือเราเปลี่ยนกันไปตามยุคสมัย ตอนนี้เรามีนักร้องมานำเสนอ และพวกเรา 3 คนก็ยังทำงานอยู่เหมือนเดิม รู้สึกดีทุกครั้งเวลามีคนมาทักทาย เหมือนเป็นภาพซ้ำที่คนอายุ 30-40มาแนะนำตัวกันหลังเวที พี่นอจำผมได้ไหม ผมจำไม่ได้หรอก แต่มาแนะนำ ผมก็จำได้นะ ยังยินดีทุกครั้งครับที่มีคนมาทัก

บอส : หลักๆ เลยต้องขอบคุณแฟนเพลงเก่าๆ ที่ยังติดตามเรามาตลอด ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้เราไม่ได้มีวี่แววว่าจะกลับมา แต่เขาก็ยังให้การสนับสนุน คอยติดตามพวกเราอยู่ตลอด ถามว่าเราจะกลับมากันไหม ซึ่งตอนนั้นเราก็ให้คำตอบไม่ได้ แต่เขาก็ยังสนับสนุนให้แรงเชียร์มาตลอด จนวันนี้เรามาทำกันใหม่ น้องๆ พวกนั้นก็ดีใจ ส่งสารกลับมาขอบคุณพวกเรา ที่กลับมาทำงานให้พวกเขาได้ฟังอีกครั้งหนึ่งซึ่งเราก็ขอขอบคุณทุกคนทั้งแฟนเพลงเก่าและใหม่ ขอบคุณพี่โจ้ด้วย ในการกระทำของเขา ที่ทำให้คนรักเขา และยังส่งผลมาถึงพวกเราที่ได้ทำงานกันต่อในตอนนี้

เฟ้นท์: ขอบคุณครับ ขอบคุณพี่ๆ ครับ (หัวเราะร่วน)ขอบคุณทุกคนครับที่ให้โอกาส และยิ่งต้องขอบคุณคนที่เคยว่าเรา แต่ตอนนี้เขายอมรับเรา ก็ต้องขอบคุณครับ (เคยคิดอยากเป็นศิลปินเดี่ยวไหม?) ตอนแรกผมทำเพลงกับเพื่อนมาก่อนครับ ผมก็ไม่คิดหรอกว่าวันหนึ่งจะได้มาร้องกับพี่ๆ เพราะเขาเป็นวงที่เราชื่นชอบมาตั้งแต่สมัยมัธยมวันหนึ่งได้มาร้องกับพี่ๆ เขาก็ดีใจครับ (ส่งยิ้มหวาน)

นับเป็นความผสมผสาน ของ 4 หนุ่ม 4 บุคลิก ที่อยู่ด้วยแล้วสนุกสนาน และเร็วๆ นี้ นอ ก็กำลังจะเริ่มงานใหม่ของเขาอีกหนึ่งทาง คือการเป็นนักเขียน หนังสือเล่มแรกเป็นการหยิบเรื่องราวของเขากับวงพอสมาบอกเล่า เขาบอกว่าองค์ประกอบของวงการธุรกิจดนตรี ต้องมีสามองค์ประกอบใหญ่ๆ วงจรถึงจะดำเนินไปได้ คือ 1)ศิลปิน 2)ผู้ลงทุนหรือผู้สนับสนุน 3)คนฟัง และตอนนี้เขาก็ได้คำตอบว่าการทำหนังสือครบสามองค์ประกอบแล้ว จึงเริ่มเดินหน้า เป็น “นายไปรษณีย์” แบบจริงจัง หลังจากที่รำพันในเฟซบุ๊คส่วนตัว นรเทพ มาแสง มาพักใหญ่

และนี่คือความเป็นมาของหนึ่งวงตำนาน“PAUSE” ที่ผ่านร้อน-ฝน-หนาว มากว่า 20 ปี!!

กุหลายสีเงิน

Star Retro : ‘ไกรลาศ เกรียงไกร’ ไม่ยึดติดยศศักดิ์ รับได้ทุกบทบาท

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/entertain/280865

Star Retro : ‘ไกรลาศ เกรียงไกร’ ไม่ยึดติดยศศักดิ์ รับได้ทุกบทบาท

Star Retro : ‘ไกรลาศ เกรียงไกร’ ไม่ยึดติดยศศักดิ์ รับได้ทุกบทบาท

วันอาทิตย์ ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2560, 06.00 น.

ไกรลาศ เกรียงไกร มีภาพจำของแฟนละครส่วนใหญ่ ในบทบาทของ คนสวน คนขับรถ หรือแม้แต่คนใช้ ทั้งที่ในชีวิตจริง เขาคือ ผู้พันอี๊ด หรือ พันโทไกรลาศน์ ยวงใย นายทหารในวัย 67 ปี กับระยะเวลาเกือบ 40 ปี ในวงการบันเทิง เขาเป็นอยู่อย่างไร STAR RETRO จะพาไปเจาะลึกกันค่ะ

ก้าวสู่งานบนแผ่นฟิล์ม

ตอนนั้นอายุ 28 ปี ก็ต้องพูดตรงๆ ว่ารับราชการทหารอยู่ แล้วไปเจอว่าเขาจะเปิดหนังเรื่องใหม่ เรื่อง “เทพธิดาบาร์ 21” เป็นภาพยนตร์ไทยแนวมิวสิเคิลที่ออกฉายในปี พ.ศ.2521 กำกับโดย ยุทธนา มุกดาสนิท ผมก็ชวนเพื่อนไปสมัคร เผื่อได้ค่าเหล้า(หัวเราะ) ปรากฏว่าเราติดอยู่ในกลุ่ม 30 คนแล้วบุคลิกเราก็ได้ตรงตามตัวนำในเรื่องที่เขาต้องการ ผมเล่นเป็น คำสิงห์ หนุ่มบ้านนอกเข้ามากรุงเทพฯ ก็ได้บทนั้นมา เรียกว่าเข้าตากรรมการ หม่อมน้อย (หม่อมหลวงพันธุ์เทวนพ เทวกุล) คุณหง่าว(ยุทธนา มุกดาสนิท) ก็มาฝึกการแสดงขั้นพื้นฐานให้ทุกอย่าง

เส้นทางชีวิตผกผัน

ผมไม่ได้คิดหรอกว่าจากวันนั้นจะส่งผลให้ตัวเรามาได้ดีขนาดนี้ เนื่องจากว่าพอหนังฉายแล้ว เขาก็ส่งหนังเรื่องนี้เข้าประกวดด้วย ผมก็ได้รางวัลตุ๊กตาทองสาขานักแสดงประกอบชายยอดเยี่ยม ประจำปีพ.ศ. 2521 จากเรื่อง “เทพธิดาบาร์ 21” ส่วนพี่แดง(จันทรา ชัยนาม) ก็ได้รางวัลนักแสดงนำหญิงหนังได้รางวัล แต่ทำเงินไม่ได้ (หัวเราะ) หลังจากนั้นไฟว์สตาร์ก็ส่งเราใหญ่เลย มีหนังมีอะไรให้เล่น ก็ทำควบคู่กับการเป็นทหาร แล้วอีกรางวัลแห่งความภูมิใจคือเมื่อปีพ.ศ. 2529 ไปเล่นหนังเรื่อง “คำสิงห์”ของอาจารย์บรรจง โกศัลวัฒน์ เป็นผู้กำกับ ก็ได้รางวัล Asian Pacific Film Festival เป็นรางวัล Best Supporting Actor ก็ได้รางวัลมาสองครั้งซึ่งครั้งนี้ไม่ค่อยมีคนได้รู้เท่าไหร่

งานแสดงเริ่มกระทบงานประจำ

คิวถ่ายหนังเยอะขึ้นเรื่อยๆ ก็คิดแล้วว่า เฮ้ย..เราจะไหวไหม ก็คุยปรึกษากับนักแสดงรุ่นพี่เขาก็บอกว่าจะไปลาออกทำไม แล้วก็ไปเจอพี่ยุวดี ไทยหิรัญ เขาก็บอกว่าถ้าไม่มีงานแสดง ก็เป็นข้าราชการมีเงินเดือนนะ คนอื่นเขาไม่มีแบบเรานะ ก็คิดได้ทำตามที่หลายๆ คนแนะนำมา กลับมาย้อนคิดไปตอนนั้นที่จะลาออกก็คิดว่าโชคดีที่เชื่อผู้ใหญ่นะ เพราะงานการแสดง วงการบันเทิงก็ไม่แน่นอนมาง่ายไปง่าย ช่วงนั้นผมก็ทำควบคู่กันไป เรื่องคิวก็ขอกองถ่ายเป็นเสาร์-อาทิตย์ ดูช่วงเวลาที่เราพอจะได้หรือถ้าอันไหนจำเป็นต้องลางาน ก็ลางานประจำหาวิธีที่จะเอาตัวรอดให้ได้ เหมือนเป็นการเหยียบเรือสองแคมมาตลอด (หัวเราะ) ก็อยู่ตั้งแต่นายสิบจนเกษียณได้ยศพันโท

จากอยากลอง กลายเป็นรัก

ยอมรับว่าจากตอนแรกที่คิดแสดง เพราะอยากได้ค่าเหล้า แค่นั้นจริงๆ กลายเป็นว่าไปๆ มาๆ ชอบนะการแสดง ทุกอย่างกลายเป็นธรรมชาติการแสดงก็เหมือนการเล่นเป็นตัวเราเองธรรมดานี่แหละ ทำท่าทางไปตามบทบาทคาแร็กเตอร์ในแต่ละเรื่องที่ได้รับ เราไม่ได้เลียนแบบ หรือทำตามใครอยู่ที่การศึกษาบท ถึงทำให้เราได้รางวัลแรกในชีวิตตรงนั้นมา อย่างที่บอก เคยคิดจะลาออกจากงานราชงาน เพราะช่วงนั้นมีงานการแสดงเข้ามาเยอะมากจนตอนนี้ผมพูดได้เลยว่า ทุกวันนี้อยู่ได้เพราะเงินจากการเล่นหนังเล่นละคร ที่ช่วยให้เราตั้งตัวได้

ผลงานประทับใจ

หนังเรื่องแรก “เทพธิดาบาร์ 21” ประทับใจมาก ที่เราสามารถเล่นเรื่องแรกแล้วทำให้คนดู กรรมการที่เขาส่งไปประกวด เห็นถึงความใหม่ของเราแล้วเล่นได้ขนาดนี้ ถือว่าภูมิใจมาก แจ้งเกิดให้เราเลยไม่น่าเชื่อเลยว่าเปลี่ยนชีวิตเราไปอีกแบบเลย ส่วนละครที่ชอบคือเรื่อง “แม่เอิบ” ปี 2528 ช่อง 5 เป็นของกันตนา กำกับโดย ฉลวย ศรีรัตนา

เล่นทุกช่องรับทุกบทบาท

คือก็มีคนเคยถามว่าผ่านการแสดงมากี่เรื่อง ผมก็จะตอบเสมอว่าเป็นร้อยกว่าเรื่อง เท่าที่จำได้ อย่างตอนนี้ที่จำได้ ถ่ายทำอยู่ก็มี สายธารหัวใจช่อง 3, หลงไฟ จีเอ็มเอ็ม 25, นเรศวรภาค 3ช่อง โมโน 29, Princess Hours รักวุ่นๆ เจ้าหญิงจอมจุ้น ทรูโฟร์ยู ช่อง 24 มีเรื่อยๆ มาตลอดเพราะเราไม่ได้รับบทหลัก เป็นรับเชิญบ้าง

บุคลิกช่วยสร้างคุณค่า

คาแร็กเตอร์แบบเราไม่ค่อยเหมือนใคร บุคลิกแบบนี้ที่ต้องเล่นเป็น ไอ้หนุ่มบ้านนอก คนรับใช้ คนสวน ขับรถ มันก็ต้องเรา บทแบบนี้ก็จะได้เปรียบคนอื่น เพราะมีเกือบทุกเรื่อง ถ้าจะให้ผมไปเล่นบทอาเสี่ยใหญ่ๆ คงไม่ใช่ หน้าอย่างเราก็คงต้องอย่างงี้ตลอดแหละ ผมก็ไม่ได้น้อยใจอะไรนะ ผมโอเคได้ตังค์ (หัวเราะร่วน)

กฎเหล็กในการเลือกรับบท

ไม่เลือกครับ ซึ่งแรกๆ ตอนเข้ามาใหม่ๆ ทางคุณยุทธนา ทางทีมงานเขาก็จะแนะนำว่า คุณจะรับงานอะไรต้องดูนะ บทเป็นอย่างไร แต่ผมมาคิดเองได้พักหนึ่งว่าใครคนไหนที่เขาเข้ามาติดต่อเราให้ไปเล่นบทไหน บทนั้นต้องสำคัญนะ ถึงจะมีบทน้อย รับเชิญ หรืออะไรก็ตาม แสดงว่าเขาคิดมาก่อนแล้วล่ะว่าบทนี้สำคัญ ไม่งั้นเขาเอาใครก็ได้มาเล่น ไม่เห็นต้องเลือกเรา ฉะนั้นก็เลยพิจารณาตัวเองว่า เรามีความสำคัญสิเขาถึงต้องการเรา ไม่งั้นเขาก็ไม่เรียกมา ผมคิดในแง่ตัวเอง ผมก็เลยรับหมดทุกอย่าง ยิ่งทีมงานเก่าๆ พอเขาเอ่ยขอร้องให้เรามาเล่นก็ยิ่งต้องไป ช่วยทุกเรื่อง เต็มที่ทุกบทบาท

40 ปีกับความสุขในวงการบันเทิง

เราอยู่ด้วยความสนุกสนานครับ ถ้าเข้าใจกันและยอมรับว่าสภาพคนนี้เป็นแบบนี้นะ ก็ต้องทำใจ รู้ด้วยตัวเอง ตัดสินใจด้วยตัวเอง มีสิ่งที่ต้องระวังคือควบคุมสติและสมาธิ เพราะผมเป็นคนค่อนข้างใจร้อน ก็ต้องข่มใจตัวเองให้ได้ เพราะถ้าเกิดเรื่องก็มีแต่เสียกับเสีย ก็ต้องระวัง ทำใจ

สถานะเหยียบเรือสองแคม

เราทำควบคู่กันไป ก็ยอมรับนะว่าเรามีงานในวงการบันเทิงควบกับงานราชการทุกอย่างก็ส่งเสริมตัวเรา ในวงการข้าราชการไปไหนก็จะมีคนทักทาย เฮ้ย..คนนี้เป็นดารานักแสดง ติดต่องานที่ไหนก็มีชื่อเสียงค่อนข้างจะเป็นภาพลักษณ์ที่ดีให้กับหน่วยงานที่เราอยู่ พอมาในกลุ่มเพื่อนวงการแสดงก็จะมีแนะนำว่าคนนี้เป็นทหารด้วยนะ รับราชการด้วยนะ ทำให้เราเป็นที่รู้จักทั้งสองฝ่าย

ตำแหน่งหน้าที่ในทางราชการ

ผมเริ่มจากเป็นนักเรียนนายสิบทหารบก หลักสูตรสองปี รุ่นที่ 1 ปี 2511 ส่วนแรกเริ่มเลยก็จะเป็นตำแหน่งผู้ช่วยครูเกี่ยวกับด้านวิชาการต่างๆ จัดเตรียมตำรา พิมพ์ตำรา มีสอนเล็กน้อยเกี่ยวกับการเรียนลูกคิด ขยับขึ้นมาก็เป็นบริหารการเงินอยู่ที่กองพันทหารปืนใหญ่ที่ 713 จังหวัดลพบุรี ดูแลเรื่องการเงิน แล้วกลับมาเป็นผู้บังคับหมวดกองร้อยนักเรียนนายสิบ กองพันนักเรียน โรงเรียนทหารการเงินจากนั้นก็ขึ้นเป็นผู้บังคับกองร้อยนักเรียนนายสิบ แล้วก็เป็นรองผู้บังคับกองพัน แล้วก็ตำแหน่งสุดท้าย
ก็ไปเป็นหัวหน้าแผนกธุรการ กรมสารบรรณทหารบกผมเออรี่รีไทร์ก่อนกำหนดไปเมื่อตอนปี พ.ศ. 2552 ตอนนี้ก็เป็นข้าราชการบำนาญ แล้วก็รับเล่นละครไปเรื่อยๆ เท่าที่มีคนจ้างครับ

ชีวิตครอบครัว

ผมมีลูกสาวคนเดียว ส่งเขาจนจบปริญญาโทก็จากอาชีพตรงนี้แหละ ตอนนี้มีหลานกำลังน่ารักมากเป็นคุณตาแล้วครับ เลี้ยงเด็กก็เหนื่อยเหมือนกันนะ (หัวเราะ) เพราะเราก็ไม่ได้อายุน้อยๆ ปีนี้ 67 ปีแล้ว เด็กเดี๋ยวนี้แข็งแรง ลูกสาวเลี้ยงหลานตามนโยบายของคุณหมอทุกประการ กินนมแม่อย่างเดียว อุ้มไม่ไหวแล้ว แถมซนด้วย ช่วยกันเลี้ยงกับภรรยา หรือวันไหนว่างก็ช่วยธุรกิจเสริมของลูกสาว เขาเปิดเช่าชุดไทยกลุ่ม สำหรับเพื่อนเจ้าสาว เพื่อนเจ้าบ่าวผมก็มีหน้าที่ช่วยส่งของเก็บคืน นิดหน่อย

บั้นปลายชีวิต

ผมคงอยู่วงการบันเทิงรับงานแสดงไปเรื่อยๆจนกว่าเขาจะเลิกจ้าง แล้วก็อยากฝากถึงทีมงานผู้จัดให้หันมาดูคนเก่าแก่ เอาให้เขากลับมาได้มีบทบาทการแสดงบ้าง ตราบใดที่คุณลืมเขาไป เขาตกงาน ที่พูดแบบนี้ก็เพราะกลัวตัวเองถูกลืมเหมือนกัน (หัวเราะ) เพราะเราเห็นบทเรียนมาแล้วว่ามีหลายคนที่ถูกหลงลืมไป ก็เลยกลัวว่ารุ่นเราจะโดนบ้างไหม ก็ฝากฝังกันไว้ครับ

เทคนิคอยู่ให้นานและเป็นที่รัก

คติของผมจะง่าย ทำตัวง่ายๆ ไม่ถือยศถือศักดิ์เป็นตัวของเราเอง เป็นคนธรรมดาทั่วๆ ไป ผมจะเป็นคนไม่ค่อยเรื่องมาก ทำตัวให้ดีกับกองถ่าย มาถึงให้ทันเวลานัดหมาย ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าเราก็ได้รับการอบรมมาดีจากหม่อมน้อย คุณยุทธนา เขาบอกเลยนะว่า ต้องมาถึงกองถ่ายก่อน แล้วบวกกับความเป็นทหารเก่าของเราก็ต้องมีระเบียบวินัย เลยทำให้เราอยู่รอดมาได้จนถึงทุกวันนี้

นี่คือบทพิสูจน์ของการเป็น “นักแสดงมืออาชีพ” ไม่ว่าจะเล่นบทไหน ก็สามารถแจ้งเกิดให้ตัวเองได้อย่างน่าภาคภูมิ

Star Retro : ‘หนึ่ง-มาฬิศร์’ อดีตที่เคยพลาด คือประสบการณ์ที่ทำให้แกร่ง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/entertain/279682

Star Retro : ‘หนึ่ง-มาฬิศร์’ อดีตที่เคยพลาด คือประสบการณ์ที่ทำให้แกร่ง

Star Retro : ‘หนึ่ง-มาฬิศร์’ อดีตที่เคยพลาด คือประสบการณ์ที่ทำให้แกร่ง

วันอาทิตย์ ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2560, 06.00 น.

เห็นหน้าค่าตาแล้ว เชื่อว่าแฟนละครพื้นบ้านไทยไม่มีใครไม่รู้จัก “หนึ่ง-มาฬิศร์ เชยโสภณ” พระเอกละครจักรๆ วงศ์ๆ ที่ยังคงเป็นที่จดจำของคนส่วนใหญ่ ครั้งหนึ่งเส้นทางชีวิตของเขาเคยเดินข้ามถนนผิดเลนไปวันนี้เขาจึงตั้งใจกลับมาสู้ใหม่ เพื่อสานต่องานเบื้องหลังที่รัก

บทบาทเบื้องหน้า ที่ลดลง

เป็นไปตามวัฏจักรครับ งานเบื้องหน้าน้อยลง เพราะว่าด้วยปัจจัยหลายอย่าง คือเราก็ทำงานประจำอยู่เบื้องหลังด้วย เวลาที่จะมาเล่นละครถ่ายละครจึงต้องดูว่าชนกับงานกองหรือเปล่า ถ้าจะไปรับเล่นละครก็ต้องบอกเจ้านายนิดนึง (หัวเราะ) ว่าช่วงนี้ขอไปเล่นบ้างนะ เจ้านายก็คือคุณวุธ (อัษฎาวุธ เหลืองสุนทร) ซึ่งเป็นเพื่อนในวงการนี่แหละครับ แต่ว่าเราเข้ามาก่อนเขาแป๊บนึง
แล้วก็มาเจอกันในเรื่อง “มงกุฎดอกส้ม” เล่นด้วยกันแล้วก็กลายเป็นว่าสนิทสนมเป็นเพื่อนกัน โตมาด้วยกันไปเลย (หัวเราะ) ตอนแรกต่างคนก็ต่างทำงาน ต่างใช้ชีวิตของตัวเองกันไป เขาก็ไปมีครอบครัว จนกระทั่งเราไปทำอาชีพอื่น ไปเป็น บก.หนังสือ อยู่มาวันนึงก็เจอเขาในเฟซบุ๊ค เลยได้คุยกันว่าเป็นยังไงบ้าง ถ้ามีงานอะไรก็บอกนะ เขาก็คิดว่าเราทำงานให้กับอีกบริษัทนึงอยู่ เราก็บอกว่าตอนนี้ว่าง เป็นฟรีแลนซ์ หนังสือที่เราเป็น บก.ก็ปิดไปแล้ว เขาเข้าใจผิดมาโดยตลอด แล้วเขาก็บอกว่ามีละครอยู่เรื่องนึงที่เขาเปิดกล้องถ่ายทำไปแล้วล่ะ คือเรื่อง “รักคุณเท่าช้าง” พอดีมันมีบทแทรกขึ้นมา เป็นพ่อของเด็กคนนึงในเรื่อง เขาก็ถามว่ารับไหม คือเล่นเป็นพ่อนะ เราก็คือปูนนี้แล้ว (หัวเราะ) จะอะไรก็โอเค แล้วพอเราไปถ่ายตรงนั้น ก็บังเอิญว่ามีน้องคนนึงในทีมเขาติดงาน และลาออกไป ทางวุธก็เลยถามว่าเราสนใจทำเบื้องหลังไหม ผมก็โอเคสนใจ

ตำแหน่งแรกในฐานะคนเบื้องหลัง

ทั่วไปเลยครับ แล้วแต่เขาจะให้เราช่วยทำอะไร หลักๆ คือเขาอยากให้เราอยู่กับนักแสดง เพราะว่า
นักแสดงส่วนใหญ่เป็นนักแสดงใหม่ ให้เราช่วยโค้ชให้กับน้องๆ ด้วย เป็นสะพานเชื่อมระหว่างรุ่นเก่ากับรุ่นใหม่ เพราะว่าเรารุ่นกลาง ณ ตอนนั้นเราก็รู้สึกว่าเราทำได้นะกับงานเบื้องหลัง แต่ตอนแรกก็รู้สึกนิดนึงว่าเราเป็นนักแสดง มากองถ่ายเสร็จก็กลับ แต่นี่คือเรามาเช้าและเลิกพร้อมกอง ก็คิดว่าตัวเองจะไหวหรือเปล่า แต่ก็ไหวครับก็ทำได้ สนุกไปกับมัน และมีอย่างอื่นให้ทำ เช่นได้มีโอกาสเขียนบท ซึ่งเมื่อก่อนเราก็เคยเขียนการ์ตูนให้กับจ๊ะทิงจา ก็เลยเหมือนได้มาปัดฝุ่น ดังนั้นพอมีคนถามว่าทำอะไรที่บริษัทดูมันดี ก็จะบอกว่าแล้วแต่เขาจะให้ทำอะไร (ยิ้ม) เราเป็นตัวซัพพอร์ทเขาหมดเลย

การทำงานกับเพื่อน

เราไม่ได้คิดว่าเขาเป็นเพื่อน แต่มองเขาเป็นเจ้านาย แม้ว่าเราจะสนิทสนมกัน แต่เราก็ต้องให้เกียรติเขา ไม่ใช่ว่าเดินเข้าไปเย้..เฮฮากัน มันก็ไม่ใช่ คือมันก็หมวกคนละใบเท่านั้นเอง แต่ความเป็นเพื่อนมันก็เหมือนเดิมเพียงแต่ว่าอยู่ในกองอยู่ในระหว่างการทำงานในหน้าที่ตำแหน่งที่เป็นลูกน้องเราก็ต้องให้เกียรติเขา ในฐานะที่เขาเป็นเจ้านายเรา เหมือนเมื่อก่อนตอนที่ “ป้าแดง” (สุรางค์ เปรมปรีดิ์) อยู่ช่อง 7 เขาเป็นป้าก็ใช่ แต่ว่าเราก็ต้องให้เกียรติในฐานะที่เขาเป็นนายจ้างเราเวลาทำงาน แต่ว่าเวลาเจอกันทั่วไปตามงานญาติพี่น้อง เขาก็เป็นอีกสถานะหนึ่ง มันต้องแยกให้ได้ ก็ไม่ได้ลำบากใจ ตั้งแต่ที่เข้ามาทำที่ดูมันดีก็ช่วยงานเบื้องหลังทุกเรื่อง ที่ทำเต็มตัวก็คือเรื่อง “เพลิงตะวัน” ต่อมาก็ “นางฟ้าเปื้อนฝุ่น” แล้วก็“เล่ห์รักยาใจ” งานแสดงก็มีที่ติดต่อเข้ามาบ้าง แต่ก็รับแบบยาวๆ ไม่ได้นะครับ จะต้องเป็นแบบสั้นๆ ยังวิ่งไปวิ่งมาลาดหลุมแก้วบ้าง ถ้าไม่ได้ติดกองไปต่างจังหวัด ด้วยความที่หน้าที่เราในกองถ่าย ต้องมาอยู่ตลอดถ้าวันไหนเราไม่ได้มีงาน เราก็ไปได้ แต่ถ้าวันไหนมีงานแล้วเราจะขอลาไปรับจ๊อบบ้าง วุธเขาก็ไม่ได้ว่าอะไร คือเขาก็เข้าใจว่านักแสดงรายได้มันค่อนข้างเป็นยังไงส่วนรายได้เบื้องหลังก็เป็นอีกแบบนึง คือเป็นเงินเดือนที่เราได้รับทุกเดือน ถึงจะมีงานไม่มีงานเราก็ได้ ส่วนรายได้นักแสดงเราก็ไปเสริมกัน

งานเบื้องหลังในฝัน

จริงๆ มีคนทาบทามมานานแล้วเหมือนกันครับว่าให้ไปกำกับฯ แต่ถ้าถามใจจริงๆ เราไม่ได้อยากเป็นผู้กำกับ แต่ถ้าเกิดต้องทำ สมมุติอนาคตวุธเขาเปิดละคร 3 เรื่อง แล้วอยากจะให้เราช่วย ตรงนั้นก็โอเค แต่ถ้าถามว่าเป็นความฝันที่แบบวันนึงฉันจะขึ้นไปนั่งเก้าอี้ตัวนั้น ไปเป็นผู้กำกับ คือผมเฉยๆ นะ เพราะว่าสมัยเรียนเราก็เรียนละครมา ก็ได้วิชาตรงนั้นไปแล้ว ถ้าให้เลือกจริงๆ อยากเขียนบทมากกว่า เพราะว่าเรารู้สึกถนัดกับการอยู่กับตัวเองมานาน ถ้าเป็นแค่แอ๊กติ้งโค้ชก็โอเค ก็คือทำงานที่จะฝึกสอนนักแสดง เพื่อที่ไปให้ผู้กำกับใช้งานต่อ แต่การเป็นผู้กำกับมันคือภาระอันยิ่งใหญ่ ผมเป็นคนที่มีความถนัดทางขีดเขียนเป็นปกติอยู่แล้ว ถ้าคนรู้จักจะรู้ น่าจะเป็นทางที่เราถนัดจะไปได้ ส่วนใหญ่ที่เขียนมาเป็นแนวคอเมดี้แต่ว่าผมเองรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนดราม่า (หัวเราะ)

ก้าวแรกทางการแสดง

ทีแรกก็ไม่ได้อยากเข้ามาในวงการนะที่เรียนที่ธรรมศาสตร์มีละครเวทีก็เรียนไป เพราะว่าอยากจะสนุกแต่ว่าพอเรียนจะจบก็มีโอกาสได้เล่นละครทีวี เราก็คิดว่าเขาคงจะให้เราเล่นแค่ปีสองปีแหละ เหมือนมาหาประสบการณ์ ละครเรื่องแรกที่เล่นคือ “คุณหญิงนอกทำเนียบ” เป็นเรื่องแรกที่ออนแอร์ แต่เรื่องแรกที่ติดต่อมาคือ “ลอดลายมังกร” ซึ่งเป็นละครฟอร์มใหญ่และดาราเยอะ ก็เลยจะใช้เวลาในการถ่ายทำนานหน่อย

ถูกจับตามองในฐานะหลานคุณแดง

คนก็มองอย่างนั้น ว่าเราเป็นหลาน แต่ว่าเราก็เฉยๆ คือนอกจากเขาเป็นป้าแล้ว เขาก็ยังเป็นเจ้านายเราเขาให้งานเรา เราก็ต้องทำงานตามนั้น วันแรกที่เดินเข้าไปในกองถ่าย คนก็ซุบซิบพูดคุยกันเหมือนกันนะ แต่เราก็ไม่ได้รับสิทธิพิเศษอะไร เราก็กินข้าวกองปกติ คือเราก็ไม่ได้อะไรนะ แต่หมายถึงว่าทีมงานเขาก็คงอยากจะรู้ว่าคนนี้เป็นใคร เป็นมายังไง มันก็ยิ่งทำให้เราทำตัวธรรมดาที่สุด เพราะว่ายิ่งเขาด่า เขาคงไม่ได้ด่าเราคนเดียวเขาจะพ่วงไปถึงป้าด้วย เราก็ต้องทำตัวให้ง่ายที่สุดกินอะไรก็กิน อย่างที่บอกว่าไม่ได้คิดว่าจะเข้ามาจริงจังถือเป็นประสบการณ์ แต่ที่ไหนได้อยู่มา 25 ปีแล้ว ครึ่งชีวิตเราไปแล้ว ก็ตกใจเหมือนกันนะ (หัวเราะ) ตอนแรกเข้ามาขำๆ ด้วยนะ กะว่าสักปีสองปีเล่นขำๆ แป๊บเดียวก็ 25 ปี มันก็จะมีช่วงพีคมาก ปีนั้นไม่ได้พักเลย บางปีก็ว่างไปเลย ละครมีแค่เรื่องเดียว มีขึ้นและลงสลับกันไป

เริ่มมุ่งมั่นกับการแสดง

ผ่านมาสัก 2 ปี ตอนนั้นถ่ายเรื่อง “สะพานข้ามดาว” กับ “พี่ดู๋-สัญญา” และ “หน่อย-บุษกร” เราก็ได้คุยกับหน่อยซึ่งเขาเป็นรุ่นน้องเราที่ธรรมศาสตร์ ก็คุยกันว่าเราเรียนจบมา 2 ปีแล้วนะ ยังไม่ได้ไปสมัครงานอะไรเลย หรือว่าเตรียมตัวไปเรียนไหนเลย ก็เลยมานั่งคิดว่าอ้าว..นี่มันอาชีพเรานี่หว่า ก็เริ่มรู้สึกว่าเราคงต้องซีเรียสกับมันมากกว่านี้แล้วล่ะ ตอนแรกที่เล่นเราก็จะชิลๆประเดี๋ยวประด๋าว เก็บเกี่ยวประสบการณ์แล้วก็คงไปเรียนต่อ หรือว่าไปสมัครงานเอเจนซี่อะไรก็ว่าไป

จากละครหลังข่าวสู่ละครพื้นบ้าน

ละครกลางคืนไม่เคยเล่นเป็นพระเอกครับ แต่ว่าจะเล่นละครจักรๆ วงศ์ๆ หรือว่าละครพื้นบ้าน คือหลังจากที่เล่นละครปกติมาสัก 3 ปี ด้วยความที่เราก็เล่นดาราวิดีโอลาดหลุมแก้ว และมีเพื่อนที่เรียนด้วยกัน เขาไปเป็นผู้ช่วยผู้กำกับที่กองหนังเจ้า เราก็ได้ไปเยี่ยมเพื่อนที่โรงถ่าย ไปยืนดูเขาถ่าย เลยทำให้นึกถึงตอนเด็กๆที่เราโตมากับละครที่เหาะเหินเดินอากาศ เขาก็แซวว่าอยากเล่นเหรอ เราก็บอกว่าอยากเล่นสิ คือพูดจริงๆ เลยเพราะว่าเราก็ถือว่ามันเป็นการแสดงเหมือนที่เราดูหนังยอดมนุษย์ แล้วเราก็อยากจะเป็นแบบนั้นบ้าง ก็แซวกันไปมาอยู่นานเหมือนกัน จนเรื่องถึงหูผู้ใหญ่ แต่เขาก็มองว่าเหมือนเป็นการย้อนศรหรือเปล่า เพราะว่าส่วนมากเขาจะเล่นหนังเจ้า แล้วค่อยได้เล่นละครกลางคืน เราเล่นกลางคืนดีๆอยู่แล้ว ทำไมต้องอยากมาเล่นแบบนี้แล้วพอดีว่า “คุณลุงหรั่ง-ไพรัช” วางตัวไว้ให้ลงเรื่อง “มโหสถชาดก” เราก็ตัดสินใจรับเล่นเลย คือเป็นเรื่องที่ดีมากนะ เลยเป็นเรื่องแรกของละครจักรวงศ์ที่เล่นแล้วก็ต่อด้วย “พระเวสสันดร” ซึ่งตอนนั้นคนดูก็งงเหมือนกันว่าเราก็เล่นได้นะ คือก่อนหน้านี้ภรรยาลุงหรั่งเคยทักว่าเราหน้าโบราณ ถ้าแต่งเครื่องแล้วใส่อะไรที่เป็นพีเรียดน่าจะดูดี พอมาแต่งตัวเป็นหนังเจ้าก็ยิ่งเหมาะ ด้วยความที่เราหน้าโบราณด้วยมั้ง ก็เลยเข้ากับละครจักรวงศ์ (หัวเราะ) ก็ได้เล่นเป็นพระเอกอยู่ประมาณ 7-8 เรื่อง จนทุกคนมีความรู้สึกว่าเปิดมาทำไมเจอแต่หน้ามาฬิศร์ตลอดเลย เหมือนได้ช่วยดันน้องๆ นางเอกละครเจ้าในตอนนั้นด้วย แล้วพอขยับบทบาทขึ้น ก็ยังมีได้เล่นเรื่อยๆอยู่

ช่วงชีวิตที่เจอเรื่องหนักอึ้ง

ไม่รู้นะ อนาคตอาจจะมียิ่งกว่านี้ก็ได้นะครับ แต่ตอนนั้นผมถือว่าเป็นเรื่องที่ดีที่เกิดขึ้นสำหรับผม ผมรู้สึกว่าถ้ามันไม่เกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้นในชีวิต เราในวันนี้อาจจะแย่ยิ่งไปกว่านั้นก็ได้ เพราะฉะนั้นเกิดขึ้นกับเราก็ทำให้เราได้เรียนรู้ จากชีวิตที่ทุกอย่างอยู่สุขสบายมาโดยตลอด แต่แล้ววันนึงพอลำบาก มันก็รับไม่ได้ ก็เลยเลือกทางเดินผิด (พลาดพลั้งไปกับยาเสพติด) เพราะฉะนั้นเราก็ได้เรียนรู้ไปกับมัน เป็นประสบการณ์ที่มีค่าครั้งนึงในชีวิต บางคนอาจจะมองว่ามันคือ แผลเป็น ซึ่งทำให้หน้าฉันไม่สวย ดูสิหน้าฉันต้องมีรอยบาดแผล แต่ผมมองมันเป็นสิ่งที่เตือนสติเราได้ตลอดเวลา ว่าอย่าพลาดอีกความเสียใจเดียวถ้าพ่อแม่อยู่ ณ ตอนนั้น ก็คงจะเป็นเรื่องที่เราทำให้พ่อแม่เสียใจ คืออาจจะเป็นที่เราทำให้คนที่เรารักเสียใจ แต่ว่าไม่ได้รู้สึกถึงขั้นว่าชื่อเสียงที่มีมาทั้งหลายมันเสียไป ผมไม่เคยคิดถึงตรงนั้น และผมก็ไม่ได้คิดว่าเราเป็นดาราดังหรือว่าจะมีคนรู้จัก ไม่เคยคิดว่าทุกคนต้องรู้จักเรา ก็เลยไม่ได้รู้สึกสูญเสียเรื่องของชื่อเสียง แต่อาจจะทำให้คนรอบข้างเสียใจ คนที่รักเรา คนที่เป็นเจ้านาย คนที่ให้โอกาสเราต้องผิดหวังก็รู้สึกตรงนั้นมากกว่า

กำลังใจที่สำคัญ

ถ้าเอาความรู้สึกตัวเองคือไม่นานเลย สติกลับมาเร็วมาก คือพร้อมเผชิญทุกอย่างที่เกิดขึ้น พอสติมาปุ๊บ มันเจออะไร เจอใครพูดอะไร เราก็จะเฉยๆ ออกไปซื้อข้าว ทำตัวปกติที่สุด กำลังใจก็ได้จากคนรอบตัวนี่แหละครับ คนรอบตัวที่ดีนะ เพราะว่าคนรอบตัวที่ไม่ดีก็มีเหมือนกัน ที่ต่อหน้าเราอย่าง ลับหลังอีกอย่างส่วนคนรอบตัวที่ดีคือญาติพี่น้องเพื่อนฝูงที่รักเรา ทุกคนยื่นมือเข้ามาช่วย แม้ว่าเขาจะอยู่ไกล หายไปตั้งนานแล้ว ก็ยังติดต่อกลับมา หรือว่าไปนั่งกินข้าวก็มีน้องเด็กเสิร์ฟเขียนข้อความใส่กระดาษทิชชู่เอามาให้ ว่าหนูเป็นกำลังใจให้พี่นะคะ คุณย่าคุณยายเดินเจอกันก็มีเข้ามาให้กำลังใจกันมาหลายแบบ ทั้งที่เขาไม่ได้รู้จักเราเป็นการส่วนตัวนะ แค่รู้จักเราผ่านทีวี มันก็เป็นสิ่งที่ทำให้เรากลับมาได้เร็วขึ้นและมันก็เปิดโลกอีกโลกนึงให้เราด้วย คือมีคนติดต่อให้เขียนหนังสือ หลังจากนั้นก็ได้เป็นบก. ได้ทำในสิ่งที่เรารักด้วย คือความฝันตอนเด็กๆ คืออยากเป็น บก.หนังสือ เพราะเราเป็นคนชอบอ่าน มันก็เป็นสิ่งที่เราได้ทำในสิ่งที่เราชอบ สนุก ได้เจอตากล้อง เจอทีมแฟชั่น เจอน้องนักแสดง คือที่เราทำเป็นหนังสือแจกตามมหาวิทยาลัย คนที่จะขึ้นปกก็จะเป็นนักแสดงที่ยังเรียนอยู่ แล้วเสื้อผ้าก็ออกแบบโดยเด็กที่เรียนแฟชั่นที่ไปได้รางวัลมา ดังนั้นมันก็จะเป็นแนวน้ำดีหมด

ไม่ยึดติดกับบทบาท

ช่วงนั้นก็มีแบน 2 ปีหลังจากนั้นก็มีละครเข้ามาเป็นหนังเจ้านี่แหละครับ ก่อนหน้านั้นบทพ่อเราก็เล่นอยู่แล้ว คือเรื่องที่ 2 “พระเวสสันดร” ก็เป็นพ่อแล้วนะ เพราะฉะนั้นเราก็ไม่ได้ติดว่าจะต้องเป็นตัวอะไร พอบทพ่อเข้ามา เราก็เฉยๆ เป็นไปตามวัย เราเห็นวัฏจักรนี้อยู่แล้วผู้หญิงตัวที่เล่นกับเราเล่นเป็นแม่มาก่อนหน้าเราตั้งหลายปีเรามีความรู้สึกว่าเราเรียนละครมา เราเล่นเป็นตัวอะไรก็ได้ หน้าที่ของนักแสดงคือเราต้องทำตัวเหมือนน้ำที่เขาจะเอาไปใส่ในบรรจุภัณฑ์ไหนก็ต้องเป็นไปตามนั้น เราก็เลยไม่ได้ยึดติด มันก็ต้องเลือกว่าได้ทำงานในสิ่งที่เรารัก คือยังได้แสดงอยู่ กับการที่เลือกจะไม่แสดงให้คนจำภาพเป็นพระเอกไปตลอด มันก็เป็นชอยส์สำหรับชีวิต ไม่มีอะไรถูกผิด

สิ่งที่ได้รับจากวงการนี้

ผ่านมา 25 ปี ถือว่าให้ชีวิตได้เลยนะครับ คือเราก็อยู่ได้ด้วยการดำรงชีวิตจากอาชีพนี้เป็นหลักให้มิตรภาพเพื่อนฝูง ถ้าไม่มีเพื่อนฝูง ป่านนี้เราก็คงจะนั่งอยู่บ้านตบยุงรอว่าจะมีใครเรียกไหม อย่างน้อยก็ยังมีเพื่อนที่ให้โอกาสเรา มาทำงานกองถ่าย ประสบการณ์อะไรที่เรามีมาได้ใช้ประโยชน์กับคนอื่นๆ ทุกวันนี้ก็ไปเรียนแอ๊กติ้งเพิ่ม เพื่อใช้ในการเขียนบทด้วย บางคนจะมองว่าทำไมเราต้องไปเรียน เราก็ใช้จากประสบการณ์ที่เรามีมาสิ ก็ใช่ ประสบการณ์มันส่วนหนึ่ง แต่ว่าถ้าเกิดเรามีหลักการมีวิธีการที่มันมากกว่าประสบการณ์ มันก็น่าจะเป็นประโยชน์มากกว่า

กับวันนี้ที่เป็นไป

ทุกวันนี้มีความสุขตามอัตภาพครับ คือเราก็ผ่านยุคพีคของเรามาแล้ว เห็นแล้วว่าเวลาขึ้นสูงๆ เป็นยังไง เวลาลงต่ำเป็นยังไง ดังนั้นอยู่ตรงกลางสบายสุด ชีวิตสูงสุดเราก็ผ่านมาแล้วมีชื่อเสียง ทุกวันนี้เล่นละครอย่างน้อยก็คือได้ทำในสิ่งที่เรารัก เพราะฉะนั้นไม่คาดหวังชื่อเสียงว่าจะต้องเล่นแล้วคนพูดถึงกันทั่วบ้านทั่วเมือง ถ้ามีก็ดี แต่ถ้าไม่มีก็ไม่เป็นไร เราสนุกสนานกับการได้เป็นตัวละครตัวนั้น เราก็ทำ วันว่างถ้าไม่ได้ทำงาน ก็จะออกกำลังกาย ดูหนังอ่านหนังสือ อยู่คนเดียวได้ เป็นคนอยู่คนเดียวมาตั้งแต่เด็กแล้ว เพราะว่ากินข้าวก็อ่านหนังสือไปด้วย จนแม่บ่นว่ากินให้เสร็จก่อนแล้วค่อยไปอ่านเป็นคนที่ติดหนังสือมากกว่าจะกินข้าวหมดชาม คือนาน ทุกวันนี้ยิ่งมีมือถือไอแพดก็เปิดไปสิ อยู่คนดียวชินแล้วนะ ไม่รู้ว่าอันไหนมาก่อนกันระหว่างโลกส่วนตัวสูง กับชินกับการอยู่คนเดียว เพราะจะทำอะไรก็ตัดสินใจได้เลยไม่ต้องรอใคร วันนึงอยากไปเที่ยวต่างจังหวัดก็เก็บของขึ้นรถขับไปได้เลย แล้วพอทำอย่างนี้จนชิน มันก็จะมีคนมาอยู่ด้วยยากแล้ว คือทั้งเขาและเราจะรู้สึกว่าทำอะไรมันจะต้องคิดมากขึ้น ตอนเด็กเคยคิดอยากจะมีลูก เพราะเป็นคนรักเด็ก แต่ว่าพอถึงตอนนี้ ยิ่งเห็นสังคมสมัยนี้แล้ว รู้สึกดีใจนะที่เราไม่มีลูกเพื่อนบางคนเพิ่งจะมีลูกแล้วกว่าลูกจะโตอีกละ จะอยู่ดูลูกไปได้อีกกี่ปี มันก็ห่วงเขานะครับ

ท้ายนี้ผมต้องขอบคุณนะครับสำหรับคนที่ติดตามกันมา แล้วเดี๋ยวนี้โลกเราเทคโนโลยีทันสมัยในเฟซบุ๊คในไอจีก็ตามมาพอสมควร ได้พูดคุยกันบ้าง ขอบคุณที่ยังจำกันได้ คือเราอาจจะเป็นช่วงที่เด็กๆ ยุคที่ดูละครเราโตกันแล้ว ก็จะเจอบ่อยมาก มีเข้ามาทักทายว่าเราเป็นไอดอลเขานะ ก็รู้สึกดีใจ เพราะตอนเด็กๆ เราก็เคยมีคนที่เป็นไอดอล เพราะมีพวกเขาเราถึงมีวันนี้ ทำให้เรารู้สึกดีใจ มีคนเข้ามาทักมาขอถ่ายรูปเราก็ยินดี (ยิ้ม)

กุหลาบสีเงิน

Star Retro : อดีตดาวร้ายหนวดงาม ‘ขวด-วรานันท์ ยูสานนท์’ คนเบื้องหลัง ดีกรีโปรดักชั่นระดับประเทศ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/entertain/278448

Star Retro : อดีตดาวร้ายหนวดงาม ‘ขวด-วรานันท์ ยูสานนท์’ คนเบื้องหลัง ดีกรีโปรดักชั่นระดับประเทศ

Star Retro : อดีตดาวร้ายหนวดงาม ‘ขวด-วรานันท์ ยูสานนท์’ คนเบื้องหลัง ดีกรีโปรดักชั่นระดับประเทศ

วันอาทิตย์ ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2560, 06.00 น.

จากคนเบื้องหลังที่รักในงานศิลป์ ก้าวสู่งานเบื้องหน้า ด้วยจังหวะและความไม่ตั้งใจ แต่นั่นกลับทำให้ “ขวด-วรานันท์ ยูสานนท์” แจ้งเกิดในฐานะนักแสดง วันนี้เขาหวนคืนสู่งานเบื้องหน้าอีกครั้ง พร้อมงานเบื้องหลังที่รัก กับลุคเดิมที่แฟนๆ คุ้นเคย

“สามสิบปีผ่านไปแล้วครับที่อยู่ในวงการบันเทิง ทั้งเล่นละคร แล้วก็งานเบื้องหลังต่างๆ ตอนที่เล่นละครเต็มตัวเรื่องแรก “ห้องหุ่น”ปีพ.ศ. 2532 ยังอายุแค่ยี่สิบกว่าเองแต่ว่าก่อนหน้านี้ก็จะมีละครสั้นอะไรเยอะแยะเลย รวมทั้งมิวสิกวีดีโอแต่ถ้าพูดถึงงานชิ้นแรกก็คงจะเป็นมิวสิกวีดีโอของ “พี่ปั่น”(ไพบูลย์เกียรติ เขียวแก้ว) หลังจากนั้นชีวิตก็เริ่มเข้ามาในวงการ”

ก่อนที่จะเข้ามาสัมผัสวงการบันทิง

จริงๆ ผมมาสายอาร์ตนะครับ เรียนมัณฑนศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากร เรียนดีไซน์อินทีเรีย ที่เป็นจุดเริ่มต้นคือมีเพื่อนคนนึงเขาทำที่คีตา เอนเตอร์เทนเม้นท์ เขาทำเรื่องของโปรดักชั่นสเตจ อยู่กับ “พี่จิก” (ประภาส ชลศรานนท์)เราก็เลยได้เข้ามาสู่วงการบันเทิง คือเริ่มเข้ามาจากการทำพร็อพ ทำฉาก จัดคอนเสิร์ต แล้วก็ไปอยู่กับ “พี่เก้ง”(จิระ มะลิกุล) ทำโปรดักชั่น ทำฉาก ทำพร็อพ ให้พี่เก้งอยู่พักนึง แล้วพี่เก้งก็จับมาเล่นมิวสิกเพลง “รักยืนยง” เขาเห็นผมที่หน้าเวทีขณะที่กำลังเตรียมงาน เขาก็บอกว่าให้มาแคสให้หน่อย มีงานเอ็มวี เราก็ไม่เอาไม่ชอบการแสดงเรากลัวว่าเราจะไปทำอะไรให้เป็นที่ไม่พอใจเขา แล้วจะเสียงานเปล่าๆ แต่พี่เก้งเขาก็ไม่ยอม แล้วพอไปนะก็ไม่ได้แคส เล่นเลย เอ้า..เล่นเลยก็เล่น คือสมัยก่อนไม่ค่อยมีโมเดลลิ่งไม่ค่อยมีคนที่จะมาแคสติ้ง สายงานการแสดง สำหรับตัวผมเองก็ยังมีปัญหากับทางครอบครัวเลยคือเหมือนกับว่าเป็นอาชีพเต้นกินรำกิน เขาไม่ได้นิยมชื่นชม เราก็ไม่ได้คิดมาก เพราะว่ามันก็บังเอิญมากับสายศิลป์ที่เราเรียนด้วย ซึ่งเราสามารถทำควบคู่กันมาได้ และผมก็ทำมาตลอด เรื่องการแสดงก็ทำไป แต่ว่าจริงๆแล้วตัวเองทำโปรดักชั่น ทำรายการโทรทัศน์ คอนเสิร์ต อีเวนท์ ทำละครกับ “พี่หลุยส์” (สยาม สังวริบุตร) คือทำเยอะ ก็เรียกว่าอยู่ในสายงานนี้มาตลอดชีวิตครับ

กับความสำเร็จในวันนั้น

ตอนนั้นโอ้โห! คือไม่นึกว่าจะงานเยอะขนาดนั้น ทำทุกอย่าง เจอ “พี่ตา” (ปัญญา นิรันดร์กุล) เขายังทักเลย เพราะว่าผมไปเล่นหนังเรื่อง “เกิดอีกทีต้องมีเธอ”แล้วไปออกรายการเป็นดารารับเชิญใน “ชิงร้อยชิงล้าน”พี่ตายังแซวเลยว่าสรุปขวดทำอะไร(หัวเราะ) คือเขาก็จะรู้จักคุ้นเคยเราในงานเบื้องหลัง แต่เราก็มามีบทบาทเบื้องหน้าอีกมากมาย เราก็บอกเขาไปว่าเราทำทุกอย่างไม่เลือกอยู่แล้วจะให้แสดงก็ได้ ให้ไปออกแบบทำเบื้องหลัง เราก็ทำได้หมด แต่ก็ยังไม่ได้ชอบการแสดงสักเท่าไหร่นะครับ คือเข้าใจนะว่ามันทำให้เรามีชื่อเสียงโอเคมันก็เป็นผลดีในแง่ของตัวเรา แต่ให้ไปเปรียบเทียบกับนักแสดงอาชีพที่เขามีความสามารถจริงๆ เราทำไม่ได้ระดับนั้นหรอก แต่บังเอิญคาแร็กเตอร์เราที่ช่วงหลังๆเราก็ไว้หนวดดูอาร์ตๆ คนที่เขากำลังหาคนไว้หนวดไว้เคราตอนนั้นมีน้อยมากเลยนะ เราก็เลยได้ไปลง “ห้องหุ่น” เพราะไว้หนวดไว้เครานี่แหละ

จับทั้งงานเบื้องหน้าและเบื้องหลังคู่กันไป

เชื่อไหม..ผมเล่น “ห้องหุ่น” ด้วยความที่ถ่ายไปออนแอร์ไปตลอด เลยไม่รู้ฟีดแบ๊กว่าเป็นยังไง จนวันสุดท้ายที่เขาถ่าย เรียกว่าเป็นละครที่เรตติ้งถล่มทลายมาก เป็นละครที่น่ากลัว คือหลอนมาก ผมเล่นเองยังกลัวเลย “ห้องหุ่น” ถือว่าเป็นละครที่แจ้งเกิดทางการแสดงของผมเลยก็ว่าได้ หลังจากนั้นก็มีมาเรื่อยๆเล่นไปจนงงตัวเองเหมือนกัน เล่นจนมันกลายเป็นฮอบบี้เพราะว่างานประจำเราก็มีอยู่ คือเปิดบริษัทเอง ก็เริ่มรับงาน ทำอีเวนท์ทั่วประเทศ เปิดตัวโครงการสินค้าและทำคอนเสิร์ตกับ “พี่แอ๊ด คาราบาว” อยู่หลายปีพอสมควร และไปทำมิวสิกวีดีโอเป็นร้อยๆ เพลงเลยครับ ดังนั้นก็เลยจะไม่ค่อยได้เห็นงานเบื้องหน้าเท่าไหร่ เพราะอย่างที่บอกว่าสายงานนั้นสมัยก่อนไม่ได้มีคนเข้ามามากขนาดนี้ ทุกคนก็เลยมาลงที่เรามาก งานเบื้องหลังเด่นๆ เช่นของยามาฮ่าที่เขาจัดทั้งของไทยและเกาหลี และศิลปินแกรมมี่เบอร์หลักๆ เช่น บอดี้สแลม,เสก โลโซ แล้วพอดีมีการเปลี่ยนแปลงนิดหน่อยช่วงหลังผมก็ออกมาทำของผมเอง งานเบื้องหลังนี่ทำมานานแล้วครับ ตั้งแต่ปี 2528 ผมเรียนศิลปากร ปี 3 ก็เริ่มออกมาทำงานแล้ว จนอาจารย์เขาไม่ค่อยจะพอใจเท่าไหร่แต่ผมมองว่ามันคือโอกาส เรียนไปยังไงเราก็ต้องมาทำงาน เราก็ได้อะไรเยอะมากกับสามสิบปีที่ผ่านมา แต่เสียดายตรงที่ว่าผมไม่ได้กำหนดจุดยืนที่จะเอามาเป็นธุรกิจธุรกรรมที่ตัวเองจะเอามาใช้เป็นงานประจำ คือทำเยอะและอาจจะเกินไปก็ได้ เราไม่ได้ไปตีกรอบว่าเราจะทำอะไรเป็นหลักในชีวิต ทำหลายอย่างเกิน มันก็เลยวนเป็นก้อนกลมๆ

กลับมาสานต่องานเบื้องหลังที่ตัวเองรัก

ในปัจจุบันผมยังไม่ได้มีธุรกิจอะไรรองรับตัวเองอย่างเป็นทางการ แต่ว่าตอนนี้ก็กลับมาอยู่ในสายโปรดักชั่นอีกครั้ง อยู่ในส่วนของงานผลิต ซึ่งตรงนี้น่าจะเป็นอะไรที่สอดคล้องนะเพราะว่าเราทำมาตลอดชีวิตแล้ว กลับมาทำเบื้องหลัง และตอนนี้ก็ทำเรื่อง “นางบาป”กับทาง “น้าโหน่ง”(วีระชัย รุ่งเรือง) ซึ่งเราก็ทำด้วยกันมานานหลายสิบปี ตั้งแต่สมัยอยู่ดาราวิดีโอ ก็มาเป็นโปรดักชั่นดีไซเนอร์ แต่จริงๆ ก็ไม่ได้ซีเรียสอะไรมากหรอกนะครับ คือน้าโหน่งเขาอยากจะให้มาเป็นทีมผู้กำกับ เป็นทีมที่ปรึกษา เพราะว่างานนี้มันมีรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องอาร์ตค่อนข้างสูงนะด้วยความที่เป็นละครพีเรียดที่ผสมกับยุคปัจจุบันที่เกี่ยวเชื่อมกัน เขาก็เลยอยากให้เข้ามาช่วยคุม แต่ว่าก็โดนให้เล่นด้วยแล้วนะ (หัวเราะ) คืออยู่ตรงนี้มันก็เลี่ยงไม่ได้ ก็ช่วยๆ กันไป

งานเบื้องหน้าที่มีบ้างประปราย

ที่ผ่านมาไม่ได้รับงานแสดงมากนัก รู้สึกเหมือนกลัวการแสดง เพราะว่าเป็นคนที่เครียด แล้วบางทีเข้าไปอยู่หน้ากองแล้วรับแรงกดดันเยอะ คือส่วนใหญ่เราก็ต้องเล่นเป็นตัวร้าย เราจะทำหน้ายังไงแสดงยังไง แต่พอหลังๆ การแสดงมันถูกพัฒนาแล้ว น้องๆ ที่เข้าวงการกันเขาไปเรียนการแสดงมา เขามีแบบแผนในการเล่น เราก็เลยมีความรู้สึกว่าเราเองไม่ได้เดินมาทางสายงานแสดงโดยตรง เราโดนหยิบมาโดยไม่ได้ตั้งใจ เรื่องการแสดงผมมองว่าคนที่จะมาเป็นนักแสดงเขาต้องมีนอกจากความพร้อมแล้ว เขาต้องมีความสามารถจริงๆ ถึงจะเป็นนักแสดงที่ดีได้ เราก็เล่นได้มีความสามารถ แต่ว่ากลัวแรงกดดันเ เราทำงานเบื้องหลังด้วยเราก็เลยจะไปห่วงว่าตรงนั้นตรงนี้มันจะดีไหม ซึ่งจริงๆการเป็นนักแสดงที่ดีเราไม่ต้องคิดหรอก ทำในสิ่งที่คุณเข้าใจและทำไปเลย

สิ่งที่ทำให้ยิ้มได้

ยังคงมีแฟนๆ จดจำทักทายเราบ้าง เวลาไปไหนมาไหน คือจะเป็นรุ่น 40 อัพ เราก็รู้สึกดี ก็ต้องขอบคุณเขานะครับ โดยเฉพาะพี่ป้าน้าอาทั้งหลาย จำได้นะเล่นห้องหุ่น เราก็บอกว่านานแล้วนะครับ เราก็คุยกับเขาดีๆรู้สึกดีเสมอครับ แสดงว่าเราต้องเป็นที่ประทับใจเขาและนี่คือกระแสที่ตอบกลับมา คือตอนนั้นเราไม่ได้ดูเราก็ไม่รู้ว่าเราเล่นดีหรือเปล่า บทบาททางการแสดงของผมส่วนใหญ่จะยืนหยัดด้วยบทร้าย แรกๆ เล่นเป็นคนดีนะ ห้องหุ่นนี่เป็นคนดี ตี๋ใหญ่ก็เล่นเป็นตำรวจ แต่หลังจากนั้นอีกไม่นานบทร้ายก็เข้ามาเพียบโดนยิงกระหน่ำ เลือดเอฟเฟกต์โดนตลอดเลย เราก็เลยเหนื่อยพอสมควร เพราะว่าดาวร้ายของทุกเรื่องก็จะต้องมีจุดจบที่ไม่ค่อยจะดีนัก

คุณพ่อของลูกๆ ทั้ง 4 คน

ผมมีลูก 4 คน คล้อย, เคียว, คิ้ว และ คราม อย่างน้องคิ้วนี่เขาก็มีงานในวงการมากมายครับ ล่าสุดก็เล่นหนังเรื่อง “สยามสแควร์” เขาเข้าวงการของเขาเองไปแคสงานเล่นโฆษณาเอง ทุกวันนี้เราก็เลยสบายไม่ได้ให้ตังค์ลูกใช้ (ยิ้ม) ลูกกลับเป็นฝ่ายให้พ่อด้วยซ้ำ ก็โอเคนะ เราก็บอกเขาไปว่ามันก็เป็นงาน ก็ทำในส่วนของเขาให้เต็มที่ คือเขาเรียนที่ มศว ก็เรียนมาสายนี้โดยตรง เราก็เห็นด้วย เรามองว่ามันเป็นงานได้แล้วนะสมัยก่อนเราอาจจะมองว่าเป็นแค่พาร์ทไทม์ ทำได้ช่วงนึงจะเลี้ยงชีพทำเป็นอาชีพได้ไหม มันอาจจะตอบยากแต่ว่าทุกวันนี้มันโอเคเลยตัวผมเองแยกออกมาจากภรรยา และมาเปิดบริษัทเอง รับทำอีเวนท์ แต่ว่าช่วงนี้ยังเบรกอยู่ด้วยสถานการณ์และด้วยเศรษฐกิจตอนนี้ครับ

เป้าหมายที่วางไว้

อยากทำธุรกิจนี้แหละ ทำโปรดักชั่นเฮาส์ คือเราชอบที่จะสร้างสรรค์ ส่วนเรื่องที่ว่าการเป็นนักแสดงเราก็อย่าเพิ่งไปตามล่ามันนักเลย ตอนนี้นักแสดงก็เยอะเหลือเกิน แต่ก็ไม่เป็นไร คือเราทำงานเบื้องหลังมาเยอะเป็นผู้กำกับรายการมาหลายรายการ กำกับการผลิตหลายรูปแบบ แต่การกำกับละครยังไม่เคยทำ คือละครรายละเอียดมันเยอะ คงยังไม่ได้ทำในตอนนี้ครับคือ 30 ปีที่ผ่านมา เราอาจจะเพลินกับชีวิตไปหน่อย ลืมที่จะปักหมุดว่าจะเอาอะไรเป็นกิจจะให้ตัวเอง เราไสนุกกับมันหมดทุกอย่าง เพราะว่ามันสนุกไปหมด แต่มันกลายเป็นว่าจับฉ่าย เราก็เลยไม่มีเป้าหมาย ถ้าเราทำโปรดักชั่นเฮาส์เป็นเรื่องเป็นราวไปเลยตั้งแต่สมัยก่อน หรือเป็นผู้จัดละครทำรายการโทรทัศน์ไปเลยก็คงจะดี พอไปทำนั่นนิดนี่หน่อยแล้วสุดท้ายพอทุกอย่างมันหยุด ทีนี้ก็ไม่ได้แล้ว ตอนนี้เลยกำลังจะมองโปรดักชั่นเฮาส์ เพราะว่าผมชอบ งานมันได้ครีเอทีพคิดเปลี่ยนแปลงเรื่อยๆ งานละครนี่ก็สนุกนะทุกครั้งที่ได้ทำก็มีความเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

ผลงานที่ภาคภูมิใจ

ตอนที่ทำกับพี่แอ๊ด คาราบาว เราถือว่าได้ทำฟอร์มยักษ์นะทำมิวสิกฟิล์ม ตอนที่พี่แอ๊ดเขาทวงคืนทับหลังนารายณ์ นั่นเป็นโปรเจกต์ที่พี่แอ๊ดมอบหมายให้เราทำมิวสิกวิดีโอ แล้วเราก็เสนอไปเพราะว่างานมันใหญ่ ก็เลยขอโปรดักชั่นเป็นฟิล์ม ได้พี่เก้งมาเป็นตากล้องให้ แล้วเราก็เป็นคนคิดงานนั้น ประทับใจมากครับ เราไม่นึกว่าจะมีโอกาสได้ทำ แต่ก็มีอีกเยอะสำหรับงานที่เราภาคภูมิใจ การเปิดตัวต่างๆ ก็ประทับใจหมด เพราะเป็นการเปิดตัวที่แรง เราก็ต้องขอบคุณลูกค้าด้วยที่ให้โอกาสเราทำตามความฝันเรา เคยไปจัดงานเปิดตัวยามาฮ่าเอ็กซ์วันของ ซิลลี่ฟูลส์ ที่เซ็นทรัลเวิลด์แล้วเราก็เอาดาวร้ายเพื่อนๆเราไปโรยตัวเปิดตัวจากยอดตึก ซึ่งเป็นอะไรที่สมัยนี้ทำไม่ได้แล้ว มันไม่จำเป็นที่จะต้องไปทำขนาดนั้น และอีกงานก็คืองานคอนเสิร์ตอีสานเขียวของพี่แอ๊ด ที่สนามกีฬากองทัพบก พอเสร็จงานนี่คือผมดีใจตัวลอยเลยนะ เพราะว่าคนแน่นสนามกีฬา ศิลปินมาเยอะมาก คือได้ร่วมทำโปรเจกต์ใหญ่ๆ กับพี่แอ๊ดหลายครั้ง และรวมๆแล้วผมก็ทำมาเป็นพันๆงาน ส่วนงานละครที่ประทับใจ ก็ประทับใจทุกเรื่อง เพราะเหมือนว่าเราได้เป็นส่วนหนึ่งในโปรเจกต์สำคัญๆ “ห้องหุ่น” นี่ไม่ต้องพูดถึงเลย คือที่สุดแล้ว “ฉก. เสือดำ” ของ “พี่ต๊ะ” (นิรัตติศัย กัลย์จาฤก)ก็ประทับใจ หนังเรื่อง “เกิดอีกทีต้องมีเธอ” ก็ประทับใจแต่เสียดายที่เราไม่ได้พูดเท่านั้นเอง (ยิ้ม) คือเขาไม่ให้พูดเพราะว่าเราเล่นเป็นตัวที่มาดูดวิญญาณนางเอกส่วนงานมิวสิกวีดีโอต่างๆ ก็ประทับใจเช่นกัน

ความในใจถึงแฟนๆ

เราก็ยังอยู่กันต่อไปนะครับ เดี๋ยวก็จะมีงานไปเรื่อยๆ และยังอยากจะกลับมาทำงานการผลิตอยู่ ส่วนเรื่องการแสดงพอเรากลับเข้ามาตอนนี้ก็เริ่มๆ มีแล้วนะครับ พอหน้าเราเริ่มโผล่ไปโผล่มาก็จะมีคนติดต่อเข้ามาแล้ว เจอกันก็ทักทายได้ครับ ขอบคุณที่ยังจดจำกันได้ ฝากติดตามละครเรื่อง “นางบาป” ทางช่อง 3 ด้วย กำลังถ่ายทำอยู่ มาเล่นเป็นพ่อของนางเอกในเรื่อง แต่เรื่องที่ว่าจะไปเดินเป็นนักแสดงหลักค่อยว่ากันอีกทีครับ

และนี่คือ “ขวด-วรานันท์ ยูสานนท์” เขาไม่ใช่แค่นักแสดงมากฝีมือ แต่ยังเป็น คนเบื้องหลังที่หาตัวจับยากของ วงการบันเทิงไทย

 

กุหลาบสีเงิน

Star Retro : ‘แจ๊บ-เพ็ญเพ็ชร’ 25 ปี กับอาชีพที่รักและเลือก

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/entertain/277254

Star Retro : ‘แจ๊บ-เพ็ญเพ็ชร’ 25 ปี กับอาชีพที่รักและเลือก

Star Retro : ‘แจ๊บ-เพ็ญเพ็ชร’ 25 ปี กับอาชีพที่รักและเลือก

วันอาทิตย์ ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2560, 06.00 น.

จากเด็กหนุ่มพูดน้อยขี้อาย แต่เพราะได้รับแรงสนับสนุนและผลักดันจากคุณแม่ จึงทำให้ “แจ๊บ-เพ็ญเพ็ชร เพ็ญกุล”ได้เข้ามาโลดแล่นในวงการบันเทิง… 25 ปีกับเส้นทางสายนี้ เขาต้องพบเจอกับอะไรบ้าง สตาร์เรโทรขอพาทุกท่านไปร่วมค้นวันวานสุดประทับใจของหนุ่มแจ๊บ และครอบครัว ตัว จ. ที่สุดแสนจะอบอุ่น

“สำหรับงานละครตอนนี้ที่กำลังออนแอร์อยู่ก็มีเรื่อง Princess hours Thailand รักวุ่นๆ เจ้าหญิงจอมจุ้น, ละครคน ส่วนเรื่อง ชั่วโมงต้องมนต์ ถ่ายจบไปแล้ว มาตุภูมิหัวใจ, แหวนดอกไม้ กำลังถ่ายทำอยู่รุ่นนี้งานจะเยอะหน่อย(หัวเราะ) รับได้เยอะ จริงๆ ตอนนี้มีลูก ก็เลยต้องใช้ตังค์เยอะ ค่าเทอมลูกน่ากลัวมาก งานเพิ่งจะมาเยอะ ช่วง 2-3 ปีนี้ครับ ตั้งแต่ทีวี.เปลี่ยนเป็นดิจิตอล มีช่องเกิดใหม่เยอะ งานก็เลยเยอะตามมาด้วย เลยดีสำหรับนักแสดง แต่เราก็มีเลือกงานนะ ดูบทแล้วก็ตัวผู้จัด รวมทั้งช่องด้วย อย่างเรื่อง Princess hours ทางช่องทรูโฟร์ยู ก็เป็นบทบาทใหม่ที่ไม่เคยเล่น เป็นละครที่รีเมคมาจากเกาหลี เป็นเรื่องคอเมดี้รักใสๆ ของเจ้าชาย แต่ว่าก็จะมีช่วงดราม่าบ้าง ผมเล่นเป็นพ่อของเจ้าชาย คือเป็นพระราชาที่ค่อนข้างซีเรียส ผลักดันอยากให้เจ้าชายขึ้นมาเป็นรัชทายาท แต่ว่ามันจะมีเรื่องราวภายในบ้านเมือง และในขณะที่ลูกก็ไม่อยากเป็น ก็จะมาในลุคที่นิ่งๆ เป็นผู้ใหญ่ที่มองกว้างจนลืมมองรายละเอียดของครอบครัว ทำให้มีปัญหากับลูก เรื่องนี้เสื้อผ้าก็จะอลังการมาก เพราะว่าเป็นเรื่องราวของเมืองสมมติ เป็นอีกลุคนึงที่ไม่เคยเล่น และเราต้องมีมาดตลอดเวลา ผมต้องไปดูรูปราชวงศ์เก่าๆ ไม่ว่าจะเป็นของไทยหรือว่าต่างประเทศ ดูวิธีการนั่งการพูดจาว่าจะประมาณไหน”

เมื่อต้องขยับสถานะบทบาท

ของตัวผมไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องนี้เลยนะครับ เพราะว่าตอนที่เป็นพระเอกอยู่ ก็รับพระรอง เป็นตัวร้ายด้วย มันสลับกันอย่างนี้ตลอดเวลา ก็เลยไม่ได้รู้สึกว่าเราติดอยู่กับตรงนี้ว่าเป็นพระเอกอย่างเดียว เราเป็นเหมือนนักแสดงทั่วไป คือใครจ้างเรามา แล้วบทดีเราก็เล่น เล่นเป็นคุณพ่อก่อนชีวิตจริงจะเป็นคุณพ่อก็มีหลายเรื่องเหมือนกันความรู้สึกตอนนั้นก็มีแอบเคอะเขินบ้าง อุ้มลูกไม่ค่อยจะเป็น แต่ว่าเดี๋ยวนี้คล่องเลย (หัวเราะ) เริ่มเข้าใจความรู้สึกของคนเป็นพ่อเป็นแม่แล้วว่าเราห่วงลูกหวงลูกยังไง ก็เคยมีเล่นเรื่องนึงเป็นคุณพ่อหวงลูก เราก็จะยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ ทำไมไม่ปล่อยเขาบ้าง แต่ว่าพอเรามีลูกเองโอ้โห!หวงลูกมาก คือยิ่งกว่าในละครเสียอีก

ข้อตกลงกับภรรยา

เขาไม่ยุ่งเรื่องงานเลยนะครับ รับตังค์อย่างเดียว(หัวเราะ) แต่ว่าเรามีลิมิตของเราเอง คือเราก็ตั้งไว้ว่าถ้าเป็นอีโรติกแบบที่เคยเล่นมาอย่าง “ชั่วฟ้าดินสลาย” ก็คงไม่รับแล้วคือเกรงใจภรรยาและลูก เพราะอีกหน่อยลูกมาดูงานพ่อ มันก็อาจจะดูไม่ดี แต่ถ้าบทบาทที่มีเลิฟซีนอะไรนิดหน่อยก็ยังโอเค แล้วภรรยาผม เขาเคยพูดครับว่าเวลาเราอยู่บ้านกับในละครไม่เห็นพูดเหมือนกันเลย เปลี่ยนเสียงเปลี่ยนบุคลิกได้ยังไง เราก็บอกเขาว่านี่แหละการแสดง เขาก็เลยเข้าใจ อย่างที่ผ่านมา “เขี้ยวราชสีห์” ลูกกลัวไม่กล้าดูพ่อเล่นละคร เพราะว่าพ่อจะดูดุมากเป็นหัวหน้าใหญ่สั่งฆ่าคนนั้นคนนี้

วางอนาคตให้กับลูก

ตอนนี้ก็มีลูกสาวคนเดียว “น้องจาดา” 4 ขวบกว่าเขาก็เริ่มพอจะรู้แล้วว่าพ่อเป็นดารานักแสดง คือเขาก็เห็นเราในทีวี.อยู่ แต่ก็ยังไม่รู้ว่าคืออะไร เกิดมาก็เห็น คงจะอีกสักพัก เขาถึงจะเข้าใจ แต่ที่บ้านก็จะไม่ค่อยได้ให้เขาดูละครเท่าไหร่ จะให้ดูการ์ตูนช่องสำหรับเด็กมากกว่า ตอนนี้ยังดูไม่ออกว่าเขาจะมีแววเหมือนพ่อหรือเปล่า แต่ว่าเขาก็ซนครับ อนาคตเรื่องอาชีพให้เขาเลือกเอง แต่เขาจะชอบทำเลียนแบบพ่อ เขาติดพ่อ จะพูดครับด้วยนะ ตอนแรกก็กลุ้มใจเหมือนกัน เพราะว่าเขาไม่เล่นตุ๊กตา จะเล่นไดโนเสาร์กับพวกแมลง เอามาวางแกล้งให้ป้าตกใจแต่หลังๆ เริ่มมาใส่ชุดที่เหมือนเจ้าหญิง ชอบใส่กระโปรงมากขึ้น พอดีว่าเขาไปโรงเรียนด้วยแหละครับ มีเพื่อนสนิทเขาคนนึงอยู่หมู่บ้านเดียวกัน แล้วเพื่อนจะชอบใส่กระโปรงใส่รองเท้าที่เป็นผู้หญิงๆ เขาก็เลยอยากใส่ตามเพื่อนบ้าง

ชีวิตเปลี่ยนหลังมีครอบครัว

เปลี่ยนเยอะเลยนะครับ ตอนแต่งงานก็เปลี่ยนพฤติกรรมชีวิตหมดเลย แล้วยิ่งมีลูกนี่ยิ่งเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือเลย เลิกเที่ยวเลิกเตร็ดเตร่ ทำงานแล้วก็กลับบ้าน (เปลี่ยนเองหรือภรรยาขอ) เราเปลี่ยนเองครับพอมาถึงจุดนึง เราก็มองว่าเราเต็มที่มาเยอะแล้ว ร่างกายก็ทรุดโทรม ต้องประหยัดเซฟพลังงานไว้ดีกว่า แต่ก่อนเที่ยวยันตีสองตีสามแล้วตื่นเช้าไปทำงานทุกวัน แต่เดี๋ยวนี้ไม่ไหวแล้ว นอนเที่ยงคืนตื่นเจ็ดโมงนี่ก็ยากแล้ว

ย้อนเส้นทางความรัก

กับ “จูน” (ภรรยา) คือเขาเป็นเพื่อนของน้องเพื่อนไปเจอเขาที่ร้านอาหาร เราก็ปิ๊งเลย ตอนแรกเพื่อนจะแนะนำน้องสาวเขาให้ก่อน แต่เราเจอคนนี้ เราก็ขอเบอร์และจีบเลย เปลี่ยนเป้าหมายทันที จูนคือสเปกเลยครับ เหมือนรักแรกพบ สเปกเราก็คือเขาหุ่นดีสวย พอจีบไปก็รู้ว่าเขาเป็นคนจิตใจดี ไม่คิดร้ายกับใคร แล้วเป็นคนที่ไม่ค่อยเหมือนผู้หญิง จะบอยๆ หน่อย ไม่จุกจิกไม่จู้จี้ ไม่ตาม บางทีเราต้องเป็นคนโทร.หาเขาว่าทำอะไรอยู่ เพราะว่าเขาไม่เคยตามเราเลย คือตามหน่อยก็ได้นะ ตอนที่คบกันแรกๆ เราก็ยังไม่ได้เปลี่ยนตัวเอง ยังชวนกันเที่ยวเฮฮาอยู่ เขาเป็นคู่ดริงค์เลยครับ เป็นคู่ที่พาไปเที่ยวได้ แต่พอมีลูกก็เปลี่ยนกันเลยทั้งสองคนตัวเขาเองก็เปลี่ยน ไม่เที่ยวแบบนั้นแล้ว เราก็คือจะมาเที่ยวกับลูกแทน เวลาเราจะไปเที่ยวไหนก็จะคิดเผื่อลูกว่าตรงนี้เขาจะไปได้ไหม ลำบากไหมพอเราพาเขาไปด้วยเขาก็แฮปปี้

คุณพ่อในแบบของแจ๊บ

ที่บ้านลูกจะกลัวเราที่สุด จะดุเพราะว่าเวลาเล่นกับเขา เราก็จะจริงจัง แล้วถ้าเขาทำอะไรผิดเราก็จะบอกเขาให้หยุด อย่าทำอีกนะ พอเขาไม่เชื่อ เราก็จะดุ พอเสียงเปลี่ยน เขาจะรู้แล้ว ก็จะจ๋อยๆ แล้วพยักหน้ากับพ่อและเล่นต่อ ไม่ได้ไปดุย้ำๆ เพราะไม่งั้นจะกลายเป็นขี้บ่น ส่วนแม่เขาไม่รู้ว่าเขาดุยังไง คือดุแล้วลูกไม่ค่อยฟัง (หัวเราะ) กลายเป็นแม่ขี้บ่น แล้วเวลาเราบ่น แม่ก็จะกลัวแทนลูกอีก มันจะต้องมีคนบอกให้เขาทำสักคนครับ ไม่งั้นเขาก็จะไม่เชื่อ

กับชีวิตในวงการบันเทิง

อยู่วงการมาถ้าจริงๆจังๆ นับจากหนังเรื่องแรกก็ประมาณ 25 ปีแล้ว แต่ถ้านับโฆษณาตัวแรกนี่คือตั้งแต่ 4 ขวบเลย เริ่มเล่นหนังเรื่องแรกตอนนั้นอายุ 18 ตอนนี้ก็ 43 แล้ว(หัวเราะ) จริงๆ ไม่เคยคิดว่าจะมาเป็นนักแสดงเลยนะครับ แต่ว่าจะชอบดูหนังและคุณแม่เป็นคนปลูกฝังเพราะว่าคุณแม่เป็นคนที่ชอบดูหนังมาก ก็จะชวนกันออกไปดูหนังทุกวันศุกร์ บางทีดูทั้งวันศุกร์วันเสาร์เลย สมัยก่อนจะมีโรงหนังอยู่แถวพระโขนง ซึ่งจะเป็นหนังควบ คือฉาย 2 เรื่อง ดูทั้งหนังจีนหนังไทยหนังฝรั่ง บางทีก็จะเป็นซัพไทย เด็กๆ เราก็อ่านไม่ค่อยทัน พอโตหน่อยก็เริ่มอ่านทัน เริ่มเข้าใจว่านี่คือหนังฮอลีวู้ด นี่หนังจีน ดูตลอด และเช่าวีดีโอมาดูที่บ้านอีก แล้วพอดูไปหนักๆ เราก็เริ่มมีดาราที่เราชื่นชอบชื่นชม และเราจะจดจำวิธีการเล่นของเขา พอเขาเปลี่ยนเรื่องเล่น เราก็ดูเขาว่าเขาเล่นอีกแบบนะ ก็เริ่มสนใจการแสดงนิดๆ หน่อยๆ ไม่ได้อะไร แต่ว่าช่วงแรกที่ได้มาเล่นก็เอาเทคนิคของนักแสดงเหล่านั้นมาใช้บ้าง และมาปรับให้เป็นของเรา แต่แรกถือว่าการแสดงเรายังไม่ค่อยเป็นเลยด้วยความที่เราเป็นคนนิ่งๆ ถ้าจะเล่นให้มันอินเข้ากับบุคลิกมันก็จะมาเป็นห้วงๆ คือช่วงที่มีอารมณ์เยอะ เล่นเยอะๆอารมณ์มันก็จะมา แต่ว่าช่วงที่ปกติ มันจะไม่ค่อยออก เราจะเกร็งๆ นึกไม่ออกว่าเราต้องเล่นแบบไหน ก็ยังดีได้ครูหลายคนที่มช่วยตรงนี้ คนแรกที่อยากจะบอกเลยที่ทำให้เรามีสมาธิให้เราโฟกัสกับการแสดงก็คือ“หม่อมน้อย” (หม่อมหลวงพันธุ์เทวนพ เทวกุล) ผมมีโอกาสได้ไปเรียนกับหม่อมน้อย คือหม่อมเรียกไปเล่นเรื่อง “สี่แผ่นดิน” บทก็ไม่เยอะมากแต่ก็เหมือนเป็นการเริ่มจุดประกาย ก่อนหน้านี้เราไม่ได้มีหลักในการเล่นแบบนี้ตั้งแต่ได้ไปเล่นกับหม่อมมา งานเราก็ดีมาตลอด พอกลับไปดูงานเรารู้สึกว่าเราดูมีสมาธิ ก็รู้สึกภูมิใจกับงานที่ทำมาตลอดว่างานเราดีขึ้นเรื่อยๆ

กับเพื่อนนักแสดงรุ่นเดียวกัน

ทุกวันนี้ก็ยังมีติดต่อพูดคุยหรือว่าแซวกันบ้างตามอินสตาแกรม เวลาเจอกันก็เหมือนเดิม เราเป็นเพื่อนกันตอนเด็ก รู้กันหมดแล้วว่าแต่ละคนเป็นยังไง ก็เลยไม่ค่อยมีกำแพงเท่าไหร่ เข้าไปก็คุยได้เลยอย่าง “นัท มีเรีย, แอน ทองประสม” ก็ได้ร่วมงานกันบ่อยผมเล่นละครเยอะกว่าหนัง ทุกวันนี้เวลาไปโชว์ตัวหรือว่าเจอแฟนละครที่มาจากทางอีสาน แต่จะอายุเยอะหน่อยนะ (ยิ้ม) เขาก็จะเรียก “เอี้ยง” จากเรื่อง “ชิงช้าชาลี” ที่เล่นคู่กับ แอน ซึ่งเป็นละครเรื่องแรกและยังได้พูดภาษาอีสานด้วย เป็นละครแค่สิบกว่าตอนช่อง 7 เหมือนจะทำมาคั่นเวลาเพราะว่าจะมีละครฟอร์มใหญ่ต่อ แล้วละครดันเปรี้ยงขึ้นมา จำได้ว่าต้องมาถ่ายเพิ่มอีกสองสามตอนครับก็เหนื่อยเลยช่วงนั้น ถ่ายเลิกดึกกลับมาถ่ายเช้าอีกวัน สมัยก่อนจะมีบรรยากาศแบบถ่ายไปออนไป ก็ค่อนข้างเหนื่อยครับ แล้วเราก็ไม่ค่อยชินด้วย

ผลงานชิ้นนี้คือที่สุดในใจ

ประทับใจละครเรื่อง “บุญชู” เป็นละครที่ออกอากาศทางช่อง 5 ตอนเย็น ซึ่งเรตติ้งตอนนั้นก็ถือว่าดีนะครับ ที่ประทับใจมากๆก็คือบุญชู เป็นตัวละครที่เราชอบมาก เราเป็นแฟนคลับบุญชู เลยดูทุกภาค ชอบ “พี่หนุ่ม-สันติสุข” เล่นเรื่องนี้มาก “อาบัณฑิต ฤทธิ์ถกล”เรียกไปแคสเราจำบุคลิกจำไดอะล็อกบุญชูแทบจะได้เลย เราก็เลยได้เล่น คือคนก็งงว่าทำไมเป็นอย่างนี้ สรุปก็คือมันเลยไม่ค่อยเป็นบุญชูเท่าไหร่ เพราะว่าเราจำแพทเทิร์นพี่หนุ่มไว้ และด้วยความที่เราติดเล่นละครอีกเรื่องนึง มันก็เลยจะตัดผมอะไรไม่ได้ ก็เลยเป็นบุญชูดูบูติกหน่อย ดูไม่ค่อยเป็นชาวบ้าน อีกอย่างผิวเราขาวด้วย จำได้เลยมีฉากในท้องนา อาบอกว่าบุญชูเดินมาสว่างเลย ดูกรุงเทพฯมาก แต่พูดเหน่อนะ ก็เป็นตัวละครที่ชอบมาก เพราะเราฝันไว้เป็นตัวละครที่เป็นฮีโร่ของเราเลย พูดเหน่อได้ก็เพราะดูบุญชูนี่แหละครับ และไอดอลทางการแสดงของผมก็คือพี่หนุ่ม เรามีโอกาสได้ร่วมงานได้เจอกันบ่อย แต่ว่าไม่เคยบอกเขานะ แอบชื่นชมดีกว่า (หัวเราะ) และแอบดูการแสดงเวลาที่พี่หนุ่มเล่น อย่างล่าสุดเราเล่น “ขมิ้นกับปูน”กับ “ละครคน” ก็สนุกดีพี่หนุ่มเล่นมันดีครับ

อีกหนึ่งบทบาทที่อยากจะเล่น

เล่นมาเกือบหมดแล้วนะครับ มันอาจจะมีรายละเอียดขึ้นมาอีกนิดนึงคืออาจจะเป็นคนโรคจิตเป็นร้ายแบบโรคจิต ซึ่งยังไม่เคยเล่นแบบนี้ เล่นแค่ร้ายเฉยๆ เรารู้สึกว่าคนที่เป็นโรคจิตถ้าเราได้แสดง มันน่าจะลึกกว่าการเล่นร้ายอีก เพราะว่าเราต้องเล่นไปถึงจิตข้างใน ซึ่งก็น่าจะสนุกดีและนอกเหนือจากการเป็นนักแสดงแล้ว ความตั้งใจตั้งแต่แรกเลย คืออยากจะลองเขียนบท แต่เราก็ยังไม่มีเวลาที่จะมานั่งลงเขียน พล็อตเรื่องน่ะมีแล้ว แต่ว่าเราไม่ได้เรียนด้านนี้มา ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นตรงไหน กะว่าจะเขียนเป็นหนังสือ แล้วให้คนมาอะแดปต์ที่อยากจะเขียน เพราะว่าเราก็ผ่านมาแล้วหลายบทบาท เลยมีเรื่องที่เรานึกอยากจะทำ แล้วเราก็มีตัวละครที่เรานึกไว้ เราอยากให้มีตัวละครแบบนี้ในเรื่อง แต่ยังไม่เคยมีใครทำเลยอยากจะทำออกมาเป็นหนังครับ แต่เดี๋ยวว่างๆ จะลองเขียนดู และอีกอย่างคือ คนเขียนบท ในบ้านเราน้อยมากอยากให้น้องๆ รุ่นใหม่ลองดู อาชีพตรงนี้ เพราะว่าอีกหน่อยน่าจะเปิดกว้างขึ้น ค่าตัวเริ่มเยอะด้วยนะงานเยอะด้วย ยิ่งเขียนดีๆ นี่งานเต็มแลย

ณ วันนี้

ก็จะยังรับงานแสดงต่อไปเรื่อยๆ ถือว่าเป็นอาชีพของเราแล้วล่ะทำมาถึง 25 ปี แล้วก็ยังมีคนจ้างเราอยู่ จะพยายามตั้งใจคอนเซนเทรสกับมัน ถือเป็นอาชีพหลัก คงจะหนีจากตรงนี้ไม่ได้ เราชอบเรารักที่จะเป็นนักแสดงด้วยนะครับ มันมีอะไรให้ทำเยอะ พอเล่นๆ
ไปเราก็สนุกกับงาน ไม่ได้มองว่าจะทำอาชีพอื่นเลยเรามองแค่ตรงนี้อย่างเดียว ยังดีที่ยังมีคนจ้างอยู่ จ้างจนตอนนี้รับไม่ไหวแล้ว (หัวเราะ) ต้องขอโทษเพราะว่าคิวมันเต็มแล้วจริงๆ และก็เกรงใจคนที่เรารับไว้ก่อนด้วย ไม่อยากให้งานที่เรารับแล้วเสีย บางเรื่องเลยจำเป็นที่จะต้องปฏิเสธไป เราเองถือว่าโชคดีมากที่มีผู้ใหญ่ยังเอ็นดูอยู่ ต้องยอมรับว่าช่วงแรกๆ เราก็ยังเละๆ เทะๆ เหมือนกัน เล่นก็ไม่ค่อยได้ไม่ค่อยรักษาเวลา ขอบคุณที่ทำให้เราผ่านช่วงนั้นมาได้ พอผ่านช่วงนั้นมาเราก็รับผิดชอบมากขึ้น พอดีขึ้น งานเลยยังคงอยู่ได้

“อยากฝากน้องๆ ว่าการแข่งขันตอนนี้มันสูงมากดังนั้นถ้าเราได้งานมาตรงนี้แล้วต้องรับผิดชอบกับมันเยอะๆตั้งใจทำงานนะครับ ถึงแม้บางคนจะยังเรียนอยู่ก็อยากให้คิดว่าเราทำงานเป็นรายได้ให้เรา และเราสร้างรายได้ให้กับคนอื่นด้วย ดังนั้นเราต้องมีความรับผิดชอบสูงนิดนึงตั้งใจให้เต็มที่เพราะว่ามันสามารถยึดเป็นอาชีพได้”

กุหลาบสีเงิน

Star Retro : เปิดตำราชีวิต คุณแม่สุดแนว ‘อ้อม-ศานันทินี ชิลเลอร์’

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/entertain/275985

Star Retro : เปิดตำราชีวิต คุณแม่สุดแนว ‘อ้อม-ศานันทินี ชิลเลอร์’

Star Retro : เปิดตำราชีวิต คุณแม่สุดแนว ‘อ้อม-ศานันทินี ชิลเลอร์’

วันอาทิตย์ ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2560, 06.00 น.

พักยาวงานแสดงเพื่อไปทำหน้าที่คุณแม่อย่างเต็มรูปแบบ สำหรับ “อ้อม-ศานันทินี ชิลเลอร์”เรามีโอกาสได้แวะทักทายเธอ พร้อมเยี่ยมชมธุรกิจของครอบครัว “ชิลเลอร์” ที่แว่วมาว่ากำลังดีวันดีคืน จึงไม่พลาดที่จะพูดคุยย้อนวันวานเรื่องราวชีวิตของเธอมาให้แฟนๆ ได้หายคิดถึงกัน

ตอนนี้ต้องเรียกว่าเป็นคุณแม่แบบฟูลไทม์ คือทำทุกอย่างที่เกี่ยวกับลูกและที่เพิ่มเติมมากกว่านั้นก็คือทำงานกับ “พี่แจ๊ค”(เกริก ชิลเลอร์) เป็นผลิตภัณฑ์ใส่ผมเป็นธุรกิจที่ทำร่วมกันสองคน นี่ก็เข้าปีที่ 2 แล้ว ก็ไปได้เรื่อยๆ ส่วนใหญ่จะเป็นลูกค้าเก่าๆ ที่เริ่มชอบกับผลิตภัณฑ์ของเรา ก็รู้สึกดีนะคะ เริ่มแรกของการทำธุรกิจมาจากพี่แจ๊ค คือเราพาลูกไปตัดผมที่ร้านแล้วรู้สึกว่าทำไมค่าตัดมันแพงจัง พี่แจ๊คเขาก็เลยลองตัดเองตัดให้เบี้ยวบ้าง เขาก็เริ่มศึกษาในยูทูบ และเขาก็ชอบ เลยไปเรียน หลังจากนั้นก็มาทำผลิตภัณฑ์ที่ตัวเองชอบ ตอนแรกก็จะเป็นแว๊กใส่ผมสำหรับผู้ชาย แล้วลูกค้าก็ชอบมากๆ เลยออกมาหลายผลิตภัณฑ์ เรามาจริงจังกับธุรกิจนี้กันเลย ก็สนุกดีค่ะ ได้แพ็กของให้ลูกค้า เขียนชื่อที่อยู่เองด้วย จะจำชื่อลูกค้าได้ เป็นธุรกิจที่ทำไปเรื่อยๆ เหมือนทำไว้ไห้กับลูกๆ แต่ก่อนหน้านั้นก็คือทำหน้าที่คุณแม่และรับงานประปราย ส่วนใหญ่จะเป็นงานอีเวนท์งานอะไรที่เกี่ยวกับครอบครัว จะรับละครไม่ได้เลย เพราะว่าที่บ้านเราไม่มีแม่บ้าน ไม่มีใครดูลูก อ้อมเลี้ยงลูกเอง ทำงานบ้านเอง ไม่อยากมีแม่บ้าน เพราะไม่งั้นเราก็จะสอนลูกไม่ได้ คืองานบ้านทุกอย่างเราก็ช่วยกันทำ พยายามจะให้วันเสาร์เป็นวันที่ทำความสะอาดด้วยกันทั้งครอบครัว นี่ไม่ได้ทำให้ดูดีนะคะ (ยิ้ม) แต่อยากให้มาเห็นสภาพเมื่อเช้ามาก ก่อนที่ทางแนวหน้าจะมาสัมภาษณ์ทุกคนนี่คือช่วยกัน เห็นกระจกไหมคะ อาจจะไม่ใสมาก นั่นคือฝีมือลูก เขาก็ยินดีที่จะช่วย นอกจากว่าเขามัวเล่นหรือว่าทำอะไรกันอยู่ เขาก็จะช้านิดนึง

ปลูกฝังเรื่องงานบ้านให้กับลูกๆ

ทำแบบนี้มานานแล้วค่ะ ลูกคนเล็กล้างจานเป็นตั้งแต่ 4 ขวบ เพราะว่าจานเขาเป็นพลาสติก กินเอง ล้างเอง เราก็จะสอนเขาแบบนี้ ไปบ้านยายก็ต้องทำเหมือนกัน ช่วยคุณยายซักผ้ารีดผ้าได้แล้วนะ ชิ้นเล็กๆเขาสามารถรีดได้ แต่เราก็ต้องดูด้วย ไม่ใช่ปล่อยเขาทำคนเดียว ตื่นมาเขาก็ต้องเก็บที่นอนเอง อ้อมก็ไม่รู้ว่าเขารู้สึกอึดอัดหรือยังไงไหม เพราะว่าเขาก็ไม่เคยพูด แล้วถ้าเขาไม่ทำอ้อมก็จะพูดเรื่อยๆ และอ้อมก็จะไม่ทำให้ ต้องใจแข็งค่ะ ก่อนหน้านี้เราก็มีแม่บ้าน แต่ว่าด้วยความที่ตัวเองทำอะไรเร็วมาก เลยคิดว่าทำเองดีกว่า และเกรงใจคุณป้าแม่บ้านเขาก็ไม่ไหวด้วย เราก็เลยทำเองซะเลย

สไตล์การเลี้ยงลูก

เป็นคนแนวๆ ไม่ได้ขี้หงุดหงิดไม่เคยหงุดหงิดกับลูกเลยค่ะ ดุบ้างก็มี แต่จะเป็นในเรื่องที่สมควรจะดุ อย่างเช่นเรื่องมารยาท เรื่องการเจอผู้ใหญ่ เราก็จะสอนด้วยความที่เขาเป็นลูกสาวเรา ก็เลยจะห่วงเขาในเรื่องความปลอดภัย เรื่องการคบเพื่อน แต่ว่าข้อดีคือลูกมีอะไรแล้วชอบเล่า เล่าทุกเรื่องเลย อาจจะช้านิดนึง แต่เขาก็เล่า ส่วนใหญ่จะเล่าให้อ้อมฟัง และอ้อมจะไม่คุยเรื่องลูกกับเพื่อนเลยนะ ไม่เม้าท์ลูก คือมันเป็นเรื่องในบ้านที่อ้อมต้องแก้ไขด้วยตัวเอง พ่อแม่สิบคนเลี้ยงลูกสิบแบบค่ะ แล้วอ้อมก็ไม่ชอบโชว์ด้วย อย่างในเรื่องของการเรียนลูก พ่อชอบโชว์ แต่อ้อมจะไม่ ลองสังเกตดูจากไอจีอ้อมได้เลยอย่างผลการเรียนของลูก เพราะอ้อมรู้สึกว่าบางทีมันก็จะเป็นผลกระทบกับบ้านอื่น เราก็ไม่รู้ไงว่าพ่อแม่คนอื่นเขาโหดมากน้อยแค่ไหน อ้อมรู้สึกว่าเราแข่งกับตัวเองดีที่สุด การเลี้ยงลูกอ้อมว่ามันไม่มีสูตรหรอกค่ะ คือจริงๆอ้อมก็ชอบคุยกับเพื่อนที่เขาทัศนคติดีๆ แล้วเราก็แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน แต่ว่าอ้อมคงจะเลี้ยงลูกอ้อมให้เหมือนกับลูกเขาคงเป็นไปไม่ได้ ลูกใครก็ลูกคนนั้นจริงๆ แต่ละคนก็ต่างมีมุมมองเป็นของตัวเอง มีเพื่อนอ้อมคนนึงถามว่าทำไมของเล่นลูกอ้อมถึงซื้อชิ้นเดียว แล้วอ้อมก็ถามว่าทำไมต้องซื้อสองชิ้นที่เหมือนกัน คือเราต้องการให้เข้าจอยกัน ไม่รู้นะ สำหรับบ้านอ้อมแล้ว การที่เขาได้แบ่งปันกันมันก็เป็นเรื่องที่ดี เหมือนฝึกให้เขารู้จักคำว่าแบ่งปัน ของเล่นเล่นแป๊บๆเขาก็เบื่อแล้ว ก็สอนให้เขาประหยัดด้วย เขาก็เข้าใจค่ะว่าของเล่นสำหรับบ้านนี้ ก็เฉพาะวันที่พิเศษนะไม่ได้ซื้ออะไรให้บ่อยๆ

3 สาว 3 สไตล์

ลูกคนโต “แซมมี่”(ภัคธีมา ชิลเลอร์) เขาจะไปทางศิลปินค่ะ ชอบดนตรี เล่นเปียโนได้ พอรู้โน้ตมันก็เป็นผลต่อการเล่นดนตรีอื่นๆ คือเขาก็เล่นอูคูเลเล่ ขิม จะเข้ แทบจะได้หมดเหมือนกันนะคะ ตอนนี้อายุ 14 เขาชอบและอยากเรียนรู้ด้วยตัวเขาเอง และตอนนี้กำลังหัดกีตาร์ คนกลาง “วินนี่” (สรณ์ศิริ ชิลเลอร์) อายุ 9 ขวบ เป็นคนที่ชอบประดิษฐ์ ชอบคิดทำกล่องเก็บของมีความคิดสร้างสรรค์ ส่วนคนเล็ก “บิวตี้” (ปภาดา ชิลเลอร์) 7 ขวบแล้ว จะเป็นแนวสนุกสนานชอบเล่นกีฬา แต่สามคนชอบเล่นกีฬาหมดเลย ตอนเย็นๆ จะเป็นเวลาที่เขาออกไปเล่นบาสกับพ่อเขา ทั้งสามคนไม่มีแววที่จะเป็นนักแสดงเหมือนพ่อแม่เลย ไม่ชอบเลย เขารู้สึกว่าการเป็นนักแสดงเหนื่อยเนาะ แล้วพ่อเขาเองก็เหมือนไม่อยากให้ลูกเข้าด้วยมั้งคะ คือเขาเคยบอกว่า เขาจะเสียใจมากถ้าใครมาเขียนข่าวลูกเขาแล้วก็ไม่ใช่เรื่องจริง โดยที่ไม่ถามเขาก่อน โดยที่ไม่เช็คก่อนว่าจริงไหม เขาจะโกรธมาก แซมมี่เขาเคยตามพ่อไปถ่ายละครตอนเล็กๆ แต่พ่อก็จะพาไปกองโหดๆ อย่าง “ธิดาวานร” ต้องเข้าป่า ไม่มีห้องน้ำจะเข้า เขาบอกทำไมพ่อเหนื่อยอย่างนี้ กว่าจะได้ตังค์ เขาเลยเข้าใจอาชีพนี้ว่าเป็นแบบนี้ เขาสงสารพ่อ พ่อจำบทได้ยังไง

ความรู้สึกของลูกๆ กับอาชีพของพ่อแม่

เวลามีคนเข้ามาทักทายคุณพ่อ แรกๆ เขาไม่คุ้นค่ะแซมมี่ลูกคนโตเขาจะไม่คุ้นเลย กับการที่พ่อแบบกำลังจะกินข้าว แล้วพ่อต้องมีคนมาทัก เขารู้สึกว่าเขาไม่ค่อยส่วนตัว แต่พ่อก็จะบอกว่านี่แหละคือคนที่เขารักพ่อ ต้องขอบคุณเขา เพราะเขาดูละครที่พ่อเล่นนะ เขาก็เริ่มเข้าใจและคิดหลังจากนั้นเขาก็ไม่ว่าอะไรอีกเลยค่ะ เขาเข้าใจ ทุกวันนี้เวลาใครจะมาขอถ่ายรูปกับพ่อ เขาก็จะคอยถือของและดันพ่อไป เขาก็เหมือนภูมิใจอยู่ลึกๆว่าพ่อเก่ง

พักงานแสดงยาว

สำหรับอ้อมเองงานแสดงอ้อมหยุดตั้งแต่แต่งงานเลยค่ะ ก็เหมือนปิดสวิตช์เลย เพราะว่าพี่แจ๊คเขาไม่อยากให้ถ่ายละคร คือเราก็ไม่มีพี่เลี้ยงด้วย แม่บ้านมีแต่เขาก็ไม่ได้มาช่วยเลี้ยงลูก อ้อมเลี้ยงลูกเอง และมีคุณแม่มาช่วยบ้างในช่วงแรกๆ เพราะต้องอยู่ไฟเดือนนึงแต่หลังจากนั้นก็เลี้ยงเอง เลยจำเป็นต้องปิดสวิตช์การแสดง 13 ปี เรื่องสุดท้ายที่เล่นคือ “ตะวันลับฟ้า” เป็นบทร้าย แล้วเพื่อนขำคนที่รู้จักอ้อมเขาจะขำ แต่คนที่ไม่รู้จักก็บอกว่าโอเคนะ เล่นร้ายได้ ส่วนใหญ่อ้อมจะมาทางสายนางแบบมากกว่าค่ะ

ย้อนวันวานก้าวแรกในวงการบันเทิง

งานแรกที่ทำในวงการคือเป็นนางแบบประกวดมิสแฟชั่นรีวิวรุ่นเดียวกับ “เก๋-ชลลดา” คือพี่สาวอ้อม(ศุภรานันท์ พันธ์ชูจิตร) เป็นรองนางสาวไทย แล้วก็รองมิสไทยแลนด์เวิลด์ด้วยนะคะ แล้วเขาเป็นคนที่มั่นใจในตัวเองมากๆ อ้อมเป็นลูกคนเล็กที่หน่อมแน้มนิดนึงเขาก็พาอ้อมไปถ่ายนู่นถ่ายนี่เป็นเพื่อน ไปนั่งรอ แต่อ้อมก็ไม่ได้ชอบ คือไปเป็นเพื่อนเฉยๆ เวลาใครเขาแซวก็เขินๆ แล้วอยู่ๆ พี่สาวก็ไปสมัครมิสแฟชั่นรีวิวให้ ตอนนั้นอายุ 14แต่ตัวสูงค่ะ หลังจากนั้นก็มีงานเดินแบบถ่ายแบบเรื่อยๆ ส่วนงานแสดงเริ่มต้นจากเรื่อง “ชายไม่จริงหญิงแท้” ของเอ็กแซ็กท์ แล้วก็เล่น “4 ไม้คาน” แล้วก็มาเล่นละครเวที ทำงานทุกวันเลยค่ะ มีถ่ายแบบเดินแบบเรื่อยๆ ชอบมาก ชอบเพราะว่าทำให้ตัวเองมั่นใจมากขึ้น จากอายๆเขินๆ ก็ดี รู้สึกว่าตัวเองมั่นใจมากขึ้น แม่ไม่เชื่อด้วยว่าเราจะทำได้ ทุกวันนี้เวลาไปไหว้แม่ แม่ยังบอกเลยว่าขอให้ลูกไม่หน่อมแน้มนะ เป็นคนขี้อายจริง แต่ว่าพออยู่บนแคทวอล์กแล้วเรารู้สึกสนุกกับการอยู่บนนั้นปรับตัวจากนางแบบสู่งานแสดง

ไม่ปรับเลยค่ะ ก็เป็นตัวเอง มีแต่คนบอกว่าอ้อมไม่เห็นเหมาะเป็นนักแสดงเลย เพราะว่าเป็นนักแสดงต้องแข็งกว่านี้ ไม่ใช่ว่าหน่อมแน้ม แต่ว่าจริงๆ แล้ว อ้อมเป็นคนรั่วๆ ถ้าสนิทกันจะรู้เลยว่าอ้อมเป็นตัวฮาในกลุ่มเพื่อน ชอบนึกอะไรที่คนอื่นเขาไม่คิด เคยมีพี่นักข่าวพูดเหมือนกันคืออ้อมเคยเล่นหนังกับ “พี่หนุ่ย-อำพล” เรื่อง “เสือโจรพันธุ์เสือ” แล้วเรื่องนั้นเป็นหนังเรื่องแรกของอ้อมพี่นักข่าวถามอะไรมาอ้อมก็จะตอบหมดเลย จนพี่เขาบอกว่าไม่ต้องตอบทุกเรื่องก็ได้นะ เอาบางเรื่อง รู้สึกว่าเขาจะถามเรื่องความรัก เรื่องคบกับพี่แจ๊ค เขาถามว่าคนนี้เขามาจีบเราไหม ถ้าคนอื่นเขาก็คงจะตอบว่าเปล่า แต่อ้อมตอบไปว่าดูๆกันอยู่ (หัวเราะ) พี่แจ๊คเป็นรุ่นพี่คนนึงที่เดินแบบด้วยกันในช่วงนั้น และเขาเข้าวงการหลังอ้อมนะเขาก็ตามไปดูอ้อมเล่นหนังจนผู้กำกับเห็น ก็เลยให้มาเล่นด้วย ได้เล่นหนังกับอ้อมเรื่อง “นางแบบ”

งานแสดงเป็นอีกหนึ่งงานที่ชอบ

การแสดงชอบเพราะว่ามีเพื่อนๆ พี่ๆ เยอะ ชอบบรรยากาศกองถ่าย ชอบทีมงาน อ้อมเป็นคนบ้านๆ อยู่แล้วมั้งคะ ก็เลยรู้สึกสนุก ไม่ได้รู้สึกว่าการนั่งกับพื้นดินมันอี๋หรือว่าอะไร รู้สึกมีความสุขกับการไปกองถ่าย ขับรถหลงตลอด ประทับใจทุกเรื่องที่เล่น เพราะเราก็เต็มที่ รู้สึกสนุกดี ไม่มีเรื่องไหนที่ชอบมากกว่าน้อยกว่า เพราะทุกเรื่องก็จะมีทีมงานใหม่ๆ รู้สึกว่าทุกคนพยายามจะสอน อ้อมก็ไม่ได้เล่นละครเก่งนะคะ แต่อ้อมพยายามทำให้มันโอเค ครั้งแรกที่เล่นตัวร้ายก็จะมีพี่หลายคนมาสอนกรี๊ด เพราะว่ากรี๊ดไม่เป็น (หัวเราะ) แล้วคนที่สอนก็จะเป็นพระเอกบ้าง พี่ผู้ชายในกองบ้าง ช่างไฟบ้าง แล้วทุกคนก็จะขำที่อ้อมกรี๊ดไม่เป็น ขำและเขินตัวเองมาก แต่จริงๆอ้อมชอบเล่นละครเวทีค่ะ เพราะว่าสนุกดี ละครเวทีสอนอะไรอ้อมได้เยอะมาก ได้เอามาใช้กับละครทีวีด้วย ละครเวทีคือการเรียนการแสดงเลยค่ะ อ้อมมีอาจารย์ที่คอยสอนคือ “พี่ลิง” สุวรรณดี จักราวุธ รู้สึกเป็นเกียรติมาก แต่จริงๆแล้วผู้กำกับทุกท่านเลยนะคะ แล้วพี่นักแสดงทุกคนที่คอยสอนคอยแนะในการแสดง อ้อมชอบเวลาที่อยู่บนเวที เวลาเล่นละครเวทีมากๆ คือมันสดแล้วมันก็ได้แก้ปัญหาเฉพาะหน้า บทก็ยาว รู้สึกว่าสนุกดี รอบหน้าจะเป็นยังไง รู้สึกดีมากรู้สึกว่าเราเอาชนะตัวเองได้

เมื่อถึงเวลาต้องเลือก

ชอบหมดเลยการแสดงและเดินแบบ แต่วันนึงที่ต้องหยุดทุกสิ่งอย่าง ทำใจยากมากค่ะ เพราะเป็นคนที่ชอบทำงาน ทุกวันนี้ก็ยังชอบทำงานอยู่ ถ้าวันนึงลูกโตกันหมดแล้ว ยังคิดเลยว่าเราต้องไม่มีคุณค่าแน่ๆ ในวันที่ไม่มีงานทำ ก็นอยด์เหมือนกัน คือวันนึงเราต้องเลือกระหว่างลูกกับงานที่ตัวเองรักมาก เราต้องเลือกเอาอย่างใดอย่างนึง แต่เราต้องเลือกที่เรารักมากที่สุด ก็คือครอบครัว ให้ลูกเติบโตมาในขณะที่อ้อมไม่ได้เห็นพัฒนาการของเขาเลย อ้อมก็ไม่เอา ที่หยุดไปก็คิดถึงมากเลย ตอนแรกมีละครติดต่อมาหลายเรื่องเลยค่ะแต่รับไม่ได้ ถ้าลูกโตหมดแล้วกลับไปเล่นก็ไม่มีใครคอยสอนการบ้านเขา ตัวเองตกเลข ก็ยังต้องมานั่งสอนเลขให้ลูก สอนลูกได้เพราะว่าเปิดยูทูบซ้ำไปซ้ำมาค่ะ คือมันเป็นการเอาชนะใจตัวเองด้วย เวลาที่ลูกจะสอบอ้อมมีหน้าที่ติว แต่จะปวดหัวว่าเราจะทำยังไงให้เขาเข้าใจมากๆ แล้วเอาไปทำข้อสอบได้

เพื่อนสนิทในวงการบันเทิง

ก็มีเจอะเจอเพื่อนๆ บ้างในไอจีเนี่ยแหละค่ะ การเปิดไอจีไม่ได้ต้องการยอดไลค์ แต่ว่าต้องการมาเจอเพื่อนเก่า แล้วก็ตามหาเพื่อนด้วยนะ เพื่อนสนิทในวงการคือ “อ้น-สราวุธ” เล่นละครเรื่อง “สะใภ้จ้าว” ด้วยกัน รู้จักกันมา 15 ปีเขาไม่เคยลืมอ้อมเลยนะ เขายังเป็นเพื่อนที่ดีสำหรับอ้อมเสมอ คุยกันทุกวันเลยค่ะ แต่ว่าเราก็จะมีระยะห่างกัน เพราะเราก็รู้ว่าเขาเองก็มีโลกส่วนตัวของเขา มีความสุขก็จะไม่ไปหา แต่เมื่อไหร่ที่รู้ว่าเขาทุกข์อ้อมก็จะโทร.หา เวลามีความสุขไม่ต้องคิดถึงเราก็ได้

กับชีวิตคู่

กับพี่แจ๊คเราคบกันมาก่อนประมาณ 8-9 ปี ก่อนที่จะมาเล่นละครอีกค่ะ จนถึงตอนนี้ก็แต่งงานมา 15 ปีแล้วค่ะ ไม่เคยปิดบังเรื่องความรักเลย (หัวเราะ) เพราะว่าเราก็ไม่ได้ทำอะไรเสียหาย คือเวลาที่เราจะคบใคร เราก็ต้องให้เกียรติเขานะ มีพี่คนนึงเคยบอกว่าเวลาอ้อมคบใครจะเริ่มจากร้อยเปอร์เซ็นต์เต็ม แล้วพอเวลาผิดหวังมันก็จะไม่ดี เขาเลยบอกว่าเวลาคบใครเราต้องเริ่มต้นจากศูนย์ไปเรื่อยๆให้คะแนนเขาไปเรื่อยๆ มันจะดีกว่า อ้อมไม่คิดว่าการมีแฟนแล้วจะทำให้เรตติ้งตก เราขายความสามารถ ไม่เป็นไรค่ะ คือคนเขาดูเราที่ผลงานเขาให้เกียรติมาดูอ้อม

ครอบครัวแนวๆ ที่ไม่เน้นวิชาการ

บางคนก็บอกว่าอ้อมดุน้อยเกินไป แต่อ้อมก็ไม่ค่อยได้ฟังอะไรนะคะ เพราะว่าอ้อมก็ค่อนข้างมั่นใจในการเลี้ยงของอ้อม คือสำหรับบ้านอ้อมนะ เน้นอีคิวมากกว่าไอคิว ถ้าเราสบายใจ ถ้าเรามีความสุข ไอคิวมันก็จะตามมาเอง อ้อมต้องการให้ลูกมีความสุขกับสิ่งรอบตัว กับเพื่อนของเขา กับทุกอย่างที่ได้ทำ หรือว่าวันนึงเขาต้องขับรถไป แล้วไปเจอคนที่อารมณ์แย่ที่สุดใส่เขา อ้อมก็อยากให้เขามีมุมมองที่ว่า เออ..ช่างมันไม่เป็นไร อยากให้เขาเป็นแนวนั้นเหมือนอ้อม และทุกวันนี้เขาก็เริ่มเป็นแล้วค่ะ เขามองเป็นเรื่องขำๆ 3 คนนี้เป็นเด็กฮาหมดเลยนะ เห็นในสมุดพกที่ครูเขียนมาคือ เป็นที่รักของครูและเพื่อนๆ แค่นี้อ้อมก็ดีใจแล้วค่ะ

นับเป็นอีกหนึ่งเทคนิคการเลี้ยงลูกของคุณแม่คนบันเทิง ที่อาจจะไม่เหมือนใคร และสำหรับแฟนละครของสาวอ้อมก็คงต้องรอลุ้นกันต่อไป ว่าเธอจะได้รับไฟเขียวจากคุณสามีให้มาเล่นละครอีกเมื่อไหร่

กุหลาบเงิน

Star Retro : ‘เจี๊ยบ’ วัชระ ปานเอี่ยม สุขเต็มเปี่ยม กับชีวิตที่ออกแบบเอง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/entertain/274730

Star Retro : ‘เจี๊ยบ’ วัชระ ปานเอี่ยม สุขเต็มเปี่ยม กับชีวิตที่ออกแบบเอง

Star Retro : ‘เจี๊ยบ’ วัชระ ปานเอี่ยม สุขเต็มเปี่ยม กับชีวิตที่ออกแบบเอง

วันอาทิตย์ ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2560, 06.00 น.

ย้อนวันวานสัปดาห์นี้ ได้โอกาสดีพูดคุยกับอดีตสมาชิก “ซูโม่สำอาง” จากโปรแกรมทีวี.ในตำนาน “เพชฌฆาตความเครียด” ซึ่งเคยสร้างเสียงหัวเราะให้กับทุกครัวเรือน จนวันนี้ทีมพิธีกรยุคนั้น กลายเป็นฟันเฟืองสำคัญของวงการบันเทิงไทย เช่นเดียวกับ เจี๊ยบ-วัชระ ปานเอี่ยม ที่ไม่เคยสงบเสงี่ยมในเรื่องของผลงาน ทุกย่างก้าวของเขา ยังคงสร้างสีสันและรอยยิ้มให้กับสังคมไทย

จุดเริ่มต้นบนถนนสายมายา

ช่วงที่ผมเรียนคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปีพ.ศ. 2521 ก็ได้เริ่มทำกิจกรรม เพราะในคณะมีละคร มีอะไรอยู่บ่อยๆ เพื่อนๆ ก็ผลักดัน หรือเขาหาใครไม่ได้ก็ไม่รู้นะ เลยมาขอร้องให้เราร้องเพลงให้หน่อย พอเรียนอยู่ปี 3 ก็ดันไปหลงใหลบันเทิง ทำทีวี. ทำละครเวทีที่คณะ แล้วผู้ใหญ่ไปดู ก็มาถามว่าใครเขียนบท ให้ออกมายืนข้างหน้า ผมก็เดินตามรุ่นพี่นักเขียนที่ชื่อว่า “จรัสพงษ์ สุรัสวดี” หรือ “ซูโม่ตู้” ออกมา ตอนนั้นผมเข้าเรียน พี่ตู้ก็เรียนจบพอดี ก็ค่อนข้างจะสนิทสนมกัน พี่ตู้ทำละครเวที พวกเราก็ไปเล่น เรียนรู้การทำละคร กำกับการแสดง เขียนบท จังหวะตลกต้องเป็นอย่างไร เป็นการทำละคร สถาปัตย์ฯ ที่เขาเรียก ตลกปัญญาชน ผมก็แยกไม่ออก ตรงไหนคือปัญญาชน เราแค่เล่นแล้วก็ขำเท่านั้นเอง

โอกาสทองเดินเข้าหา

ทางผู้ใหญ่ของเจเอสแอล เห็นผลงานการเขียนบทสมัยเรียนของผมครับ บวกกับได้โอกาสจากรุ่นพี่แนะนำ จนได้มาทำงานฟรีแลนซ์ที่เจเอสแอล เริ่มจากเขียนบททีวี.ทำไป พัฒนากันไปเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็น ประภาส ชลศรานนท์,วัชระ แวววุฒินันท์ ก็ทำทีวี.กันอยู่พักใหญ่ ผมก็เป็นฟรีแลนซ์อยู่ ทำโฆษณาด้วย มีงานตั้งแต่เรียนอยู่พ่อแม่ก็สงสัยว่าเรียนหนังสือหรือเปล่า บ้านก็ไม่ค่อยได้กลับ เนื่องจากไปค้างบ้านเพื่อนตลอด แต่ก็เรียนจบมาได้ตามหลักสูตรปกติครับ

ลองวิชาด้านงานสถาปนิก

ผมทำงานเป็นสถาปนิกอยู่พักหนึ่ง ประมาณ9 เดือน จำได้ว่าไปสั่งเขาทุบสิ่งที่สร้างผิดแบบมา สงสารเขามากตอนนั้น (หัวเราะ) คือก็ไปทำงานตามสิ่งที่เรียนมาเพราะเราไม่ได้วางแผนอะไรในชีวิต ทุกอย่างเป็นไปตามครรลอง เรียนจบปุ๊บ ก็มีรุ่นพี่ดึงตัวไปทำงาน งานโน้น งานนี้ งานนั้น ผมก็ไป แต่ผมเป็นคนที่เขียนใบสมัครงานไม่เป็นนะ จนกระทั่งวันนี้ก็ไม่เคย ตอนช่วงเป็นสถาปนิก ในขณะที่เราก็เขียนแบบวางแปลน พอยกกระดานเขียนแบบออก ก็จะเป็นงานเขียนบท แต่งเพลง อยู่ด้านใต้ตลอด ยังไงก็ทิ้งไม่ได้ หลังจากลาออกจากงานตรงนั้น ก็เพิ่งมารู้ว่าโต๊ะที่เรานั่งเขียนแบบอยู่นั้น คนที่เขาออกไปก่อนหน้า ก็ทำแบบนี้เหมือนกัน เขาชื่อ “ภิญโญ รู้ธรรม” ผมถึงได้ อ๋อ… โต๊ะนี้มีอาถรรพ์นี่เอง โอเครู้เรื่อง และอีกอย่างผมรู้สึกว่าเราทำงานสถาปัตย์ พอแล้วล่ะ งานสุดท้ายที่ได้ทำก็คือ ต่อเติมพระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์ จังหวัดนราธิวาส เป็นวังแยกส่วนออกมาของสมเด็จพระเทพรัตนฯ ได้ทำอะไรที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ เลยคิดว่าพอแล้วล่ะครับ

ผลงานที่ทำให้คนรู้จัก

การเป็นหนึ่งใน “ซูโม่สำอาง” ของรายการ “เพชฌฆาตความเครียด” โดยใช้ชื่อว่า “ซูโม่เจี๊ยบ” ครับ ตอนนั้นพี่ตู้เขียนบทมา แล้วแกไม่มาเล่น ผมก็ต้องเข้าไปเล่นแทน แล้วคนก็จำได้ ด้วยเอกลักษณ์ที่บ้าบอของเราจากรายการนี้

จากเบื้องหลังสู่เบื้องหน้า

ตอนรายการ “เพชฌฆาตความเครียด” ชัดเจนที่สุด แล้วก็ทำไปจนหมดมุก ไม่รู้จะหาอะไรมาเล่นแล้ว แต่โชคดีที่ผู้ใหญ่ที่เป็นผู้กำกับฯท่านหนึ่ง ชวนไปเล่นหนัง เรื่อง “คู่วุ่นวัยหวาน” กำกับโดยคุณ “บัณฑิต ฤทธิ์ถกล”พอเล่นหนัง คนก็รู้จักมากขึ้น เพราะคุ้นเคยกันแล้วจากรายการ “เพชฌฆาตความเครียด” ซึ่งการมาเล่นหนังทำให้เราได้เรียนรู้เพิ่มเติมเยอะมาก ในศาสตร์ที่เราไม่เคยรู้มาก่อน พอได้มาร่วมงานกับพี่บัณฑิต ผมก็ไปบอกเขาเลยว่า “ผมขออย่างหนึ่งได้ไหมพี่ ผมขอเรียนรู้เบื้องหลังด้วยได้ไหม?” แกแฮปปี้มาก เหมือนแกก็อยากถ่ายทอดวิชาความรู้ให้คนอื่นได้เอาไปพัฒนาต่ออยู่แล้ว ผมไปขอเรียนเรื่อง กำกับ ถ่ายภาพ เขียนบท จัดแสง ทำฉาก ไปเรียนรู้ทุกอย่าง ขนาดวันไหนไม่มีซีน ผมก็ยังไปกอง ก็ไปดูว่าเขาทำอะไร เพราะเป็นเรื่องที่สร้างขึ้นมา ไม่ใช่สารคดีมีเรื่องอยู่ แล้วถ่ายเลย หนังต้องจัดเตรียมทุกอย่างขึ้นมา ให้เกิดภาพ ตามคนเขียนบทและผู้กำกับ ถือเป็นประโยชน์มากๆ ตรงนี้เราไม่ต้องไปลงเรียนใหม่ในมหาวิทยาลัย เพราะอันนี้ได้ปฏิบัติจริงหลังจากนั้นถ้าเป็นหนังของคุณบัณฑิต ก็จะมีชื่อ เจี๊ยบ- วัชระ อยู่ด้วยเกือบทุกเรื่อง

ไม่ใช่แค่รายการทีวี. หรือหนัง แต่ยังจับงานเพลงด้วย

งานเพลงเหมือนทำเป็นงานอดิเรกครับ ไม่ใช่นักร้องอาชีพ เรารวมตัวกันตั้งวง ไม่ใช่วงที่ร้องตามที่ต่างๆ แล้วมาออกอัลบั้ม วงของเราแต่ละคนมีอาชีพประจำของตัวเอง เราแค่มารวมตัวกันเฉพาะกิจ เพื่อออกอัลบั้ม เป็นกลุ่มคนที่มีเรื่องคุยกัน อย่าง “จิก-ประภาส” เขาก็ทำรายการทีวี.อยู่ แต่ก็สนุกกับการทำเพลงด้วย ก็เลยเกิดเป็นวง “เฉลียง” ผมร้องกับพี่เล็ก “สมชาย ศักดิกุล”เปิดตัวมาปุ๊บปรากฏว่า เนื้อเพลงแบบนี้ นักร้องแบบนี้ เสียงแบบนี้ ดนตรีแบบนี้ คนฟัง..งง (หัวเราะ) แล้ว “เฉลียง” ก็หายไป 4 ปี คือเราได้สนุกกับการทำเพลง ไม่ดังไม่เป็นไร เราก็ไปทำทีวี. เกมโชว์ ต่างๆ กันไป จนกระทั่งมาตั้งบริษัท “คีตา” เริ่มมีวัตถุดิบ มีนักร้อง มีการประกวดทำกันมาเรื่อยๆ จนผู้ใหญ่เห็น แล้วก็ทำงานด้านโปรดักชั่นดนตรีกัน เบื้องหน้าก็ยังทำตามที่มีคนว่าจ้าง เพราะเราเป็นฟรีแลนซ์ แล้วก็เริ่มมีละครเข้ามา ทำให้งานด้านการแสดงของผมบูมขึ้น

วันที่ตัดสินใจมีครอบครัว

ฮอร์โมนสูบฉีดเองครับ ไม่รู้เหมือนกัน(หัวเราะร่วน) ก่อนหน้านั้นผมมีคนคุยมาเรื่อยๆ แต่ไม่ได้จีบมั่วไปหมดนะ ศึกษาดูกันไปทีละคน จนตัดสินใจว่าฉันจะไม่ไขว่คว้าแล้วนะ กลายเป็นเจอทันทีเลย ตอนนั้นช่วงปีพ.ศ. 2531 คบกัน 4 ปี แล้วก็แต่งงานกันปี 2535 คุณแหม่ม-ลัดดาวัลย์ (ภรรยา) เป็นคนนอกวงการครับ ไปเจอกันตอนที่ไปเที่ยว เวลาอกหักมีปัญหาก็จะไปที่ร้านที่เขาทำงาน ไปนั่งจ้องหน้าเขาบ้างอะไรบ้าง แต่เขาเคยบอกว่าก่อนที่จะเจอผม เขาเคยฝันเห็นผมมาก่อนนะอันนี้เขาไปเล่าให้เพื่อนฟัง ว่าฝันเห็นซูโม่เจี๊ยบ คือเขารู้จักผมในฐานะดารามาก่อน ผมยังแซวเลยว่า ถ้ารู้ว่าฝันเห็นเราก่อน จะแต่งเลย ไม่ต้องรอให้ถึง 4 ปีหรอก(หัวเราะ)

เมื่อเข้าสู่สถานะสามี-ภรรยา

ผมเป็นคนที่ค่อนข้างเข้าใจอะไรได้เร็ว เรียนรู้เร็วจดจำอะไรได้ค่อนข้างดี ฉะนั้นเรื่องพวกนี้ไม่ต้องมานั่งตั้งหลัก เป็นเรื่องธรรมชาติ ผู้หญิง ผู้ชาย อยู่ด้วยกันรักกัน มีเพศสัมพันธ์กัน มีลูก เป็นไปตามขั้นตอนเป๊ะพอลูกโตก็ต้องดูแลกัน ไม่เคยวางแผนว่าจะมีกี่คนแต่งงานกันไป 4 ปี ก็ยังไม่มีลูก จนกระทั่งคิดแล้วว่าจะทำอย่างไร เลี้ยงหมากันไหม เท่านั้นแหละ ลูกมาเลยคนโตผู้ชาย “เพลง” เพลงเอก ปานเอี่ยม เกิดปี 2539 ตอนนี้เขาเรียนที่ ม.ศิลปากร ด้านดุริยางค์ คนเล็กลูกสาว “น้องขวัญ” เพลงขวัญ เกิดพ.ศ. 2542 กำลังเรียนการละคร คณะศิลปกรรม ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ … ผมก็ไม่คิดว่าเขาจะมาด้านนี้กันหมดเลย เพราะเคยให้ลูกๆ เล่นดนตรี เอาเครื่องดนตรีไปกองไว้ใกล้ๆ เขา แต่เขาก็ไม่สนใจ ไม่จับเลย จนกระทั่งตอนนี้ พ่อซื้อเครื่องดนตรีอะไรมา เอาไปเล่นหมดเลย เขาเลือกของเขาเอง ผมบอกก่อนเลยว่า ลูกเรียนอะไรก็ได้นะ ที่ลูกมีความสุข เพราะการเรียนเป็นแค่พื้นฐาน หลังจากนั้นจะประกอบอาชีพอะไร เลือกเอา อย่างพ่อจบสถาปัตย์ฯ ตอนนี้พ่อไม่ได้เขียนแบบแม้แต่เส้นเดียว แต่ทุกอย่างที่เรียนมาและเอามาใช้ก็คือ การเขียนแบบชีวิตเลย เอาวิชาออกแบบมาไว้ในหัวตลอดเวลา คือเราใช้สิ่งที่เรียนมาแอพพลายหมดเลย

ชีวิตเรียบง่าย บนพื้นฐานของความเข้าใจ

ตอนขอแต่งงานก็พูดด้วยกันเลยนะว่า ฉันรักเธอเธอรักฉันไหม ฉะนั้นแล้วก็ต้องยอมรับกันและกัน แต่ไม่ต้องเปลี่ยนตัวเองนะ ไม่ต้องเปลี่ยนตัวเองมาให้ฉันชอบ หรือให้ฉันเปลี่ยนตัวเองไปในแบบที่เธอชอบ เราเป็นยังไงตั้งแต่ต้น ทุกวันนี้ก็ยังเป็นแบบนั้น ฉะนั้นผมก็จะเป็นคุณพ่อที่ค่อนข้างดุนะ ลูกก็จะกลัว จะคุยอะไรก็ต้องเอาเหตุผลมาคุยกัน พ่อจะพูดในฐานะคนที่มีประสบการณ์มากกว่า ไม่ใช่ในฐานะที่พูดแล้วลูกต้องทำตาม ถ้าเหตุผลพ่อดีกว่า เหตุผลลูกเก็บไว้ก่อนนะ ทำอันนี้ก่อน มีบางอันที่ความคิดอาจจะไม่ตรงกัน เราก็ให้เขาลองทำดูก่อนถ้าเฟลเมื่อไหร่ ค่อยกลับมาแก้ไข คือเราก็เห็นอยู่แล้วว่าเป็นรอยเท้าเก่าที่เราเคยผ่านมา ถ้าเขาอยากเดินอยากลอง ก็ปล่อยให้เขาเรียนรู้ด้วยตัวเอง แล้วเราค่อยมาปลอบมาแก้ไขกัน

ไม่มีคำว่า “ที่สุด” สำหรับเจี๊ยบ-วัชระ

ผมเป็นมนุษย์ที่ไม่เคยมีคำว่าที่สุด เอามาจากพี่แจ้ (ดนุพล แก้วกาญจน์) เลยนะ แจ้นี่เพื่อนรุ่นเดียวกันมาครับ เขามี “ที่สุดของแจ้” เออ..เจ๋งนะ แล้วก็มี “ที่สุดของที่สุดของแจ้” ห๊ะ!? เป็นไปได้ด้วยเหรอ มีที่สุดของที่สุดไปเรื่อยๆ? สำหรับผม ไม่มีอะไรที่สุดครับ พอที่สุดปุ๊บเราหยุดละ มันสุดไปแล้วนี่ จบแล้ว เพราะฉะนั้นผมไม่มีที่สุดครับ ทำไปเรื่อยๆ ด้วยองค์ประกอบเท่าที่มี Fit For Today เหมาะสม ณ โอกาสนั้น เวลานั้น วัตถุดิบแบบนี้ ทำอันนี้ได้แค่นี้ ถ้าพูดเป็นหนัง ก็เหมือนสตาร์วอร์เกิด episode 4 ก่อนเลย เพราะ ณ วันนั้น ทำได้แค่นี้ แต่เขาก็ทำตังค์ แล้วหลังจากนั้นก็ทำสลับ episodeไล่ไปเรื่อยๆ คือแล้วแต่ว่าเหมาะสมสำหรับกาลเวลาไหนเท่านั้นเองครับ

สิ่งที่อยากทำ แต่ยังไม่มีโอกาส

ผมเห็นใครทำอะไร ก็อยากทำไปด้วยหมด เห็น “เกี๊ยง” (เกียรติศักดิ์ เวทีวุฒาจารย์) วาดรูปในหลวงรัชกาลที่ 9 ผมก็ยังอยากวาดเลย แต่อย่างว่า ผมก็ขี้เกียจอีก ต้องมีอารมณ์ในการนั่งวาด เป็นคนที่จะทำอะไรแล้วมักถามตัวเองว่า จะทำไปทำไม? วาดรูปนี้ ก็มีคนวาดแล้ว รูปเดียวกันเลย เพราะฉะนั้นจะวาดไปทำไม

หลักเกณฑ์ในการรับงาน

ทำไปก่อน รักงานที่ตัวเองทำ ไม่รักไม่ทำและไม่รับเลยด้วยซ้ำ แต่ถ้าถามว่างานไหนชอบกว่ากัน ตอบไม่ได้เลย ชอบทุกงาน เลยปล่อย แบบอะไรมาใหม่ก็ดู อาจจะใช้ความรู้สึกตัวเองเป็นที่ตั้งด้วย ซึ่งเป็นเหตุผลที่ไปคุยกับใครแล้วเขาก็เข้าใจนะ ผมเป็นคนที่พูดรู้เรื่อง “อันนี้ไม่ดีนะ อันที่ดีคืออันนี้” เรามีข้อแนะนำให้ไม่ได้เป็นมนุษย์ออริจินัลไอเดีย แต่ผมสามารถจับนั่นชนนี่ ที่มีตัวตนอยู่แล้วเอามาผูกรวมกันได้ ไม่รู้เคยฟัง “นิทานหิ่งห้อย” ที่ผมเคยเล่าบนเวทีคอนเสิร์ตไหมทุกอย่างมันมีอยู่แล้ว เพียงแต่จับเอามาแล้ว อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมกับตรงนั้นไหม เหมือนกับละคร เขาทำกันมาหมดแล้วแหละ ผมก็ดึงเอาอันโน้นมา เอาเหตุการณ์นั้นมา แล้วมารวมผนวกกัน เกิดเป็นอันใหม่ ถามว่าเป็นนวัตกรรมไหม ก็ไม่นะ ไม่มีอะไรที่คิดใหม่เลย เพียงแค่เป็นคนจับแพะชนแกะมากกว่า เลือกสรร แล้วสร้างสรรค์สิ่งที่มีอยู่ให้เกิดเป็นของที่ดูเหมือนใหม่

ผลงานขึ้นหิ้ง

ผมไม่ค่อยได้ยกว่าอันไหนคือที่สุด เวลาทำงานก็ทำไปด้วยความสนุกสนาน ถึงแม้จะเครียด เดทไลน์ใกล้แล้วจี้ตูดมาตลอดก็ตาม พอเสร็จปั๊บก็โล่ง ถามว่าพอเสร็จ อันนี้ดีสุด เพอร์เฟกท์สุดไหม ก็ไม่นะ เฉยๆ เสร็จงานนี้ก็ต่องานใหม่ไปเรื่อยๆ เพราะองค์ประกอบเยอะมากๆ ในการที่จะมาบอกว่างานอันนั้นดีหรือไม่ดี งานรางวัลก็ได้นะ รางวัลสุพรรณหงส์ทองคำ ปี 2529 นักแสดงประกอบชายยอดเยี่ยม จากหนัง “คู่วุ่นวัยหวาน” สมัยคุณหญิงจินตนา ยศสุนทร เป็นกรรมการ ผมแฮปปี้นะ เราก็แสดงเต็มที่กับบทที่ได้รับพอมีคนมอบรางวัลให้ เราก็ดีใจ ภูมิใจ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกแบบนี้ไปตลอด เราก็ต้องเรียนรู้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อย่างผลงานด้านเพลงก็เคยได้รางวัลกับเพลง “ใจเย็นน้องชาย”ทำมิวสิกวีดีโอ ได้รางวัลโทรทัศน์ทองคำ พอประกาศว่าได้ก็เฮ ดีใจกันตรงนั้น เสร็จก็เฉยๆ ทำงาน ผลิตผลงานกันต่อไปครับ

วางอนาคตให้กับตนเอง

ตอนนี้ผมอายุ 57 ปี ก็อยากจะให้ลูกทำมาหากินได้ด้วยตัวเอง ผมไปอ่านคำของในหลวงรัชกาลที่ 9เรื่องความพอเพียง ก็เข้าใจว่าเราไม่ต้องการอะไรแล้วล่ะชีวิตก็คงมีแค่นี้ ไม่รู้จะฟุ้งเฟ้อทำไม บั้นปลายอาจจะไปทำสวน ขายเห็ด ในที่ทางของครอบครัวที่จังหวัดสมุทรสงคราม เพราะพ่อ-แม่ ญาติๆ อยู่ที่นั่นครับ

หน้าที่รับผิดชอบในปัจจุบัน

ตอนนี้ผมเป็นนักจัดรายการอยู่ที่คลื่น สทร. FM 106 ช่วงเวลา 05.30-07.00 น. ทำทุกวันจันทร์-เสาร์ ถามว่าเป็นอาชีพไหม ก็คงไม่เชิง เพราะตอนนี้มีรายการเดียว ทำมา 2 ปีแล้ว เป็นของบริษัท เวิลด์ ไวด์ มีเดีย เป็นรายการเหมือนภูมิภาคข่าว เอาข่าวจากหนังสือพิมพ์ ออนไลน์ โลกโซเชียล มาเล่า เหมือนเราเป็น บก. เองด้วยอ่านข่าวที่เป็นเชิงบวก เพราะเราเองรู้สึกว่าถ้าเจอเรื่องหดหู่ตั้งแต่เช้า ก็จะหดหู่ไปทั้งวัน แต่ถ้าเรื่องไหนที่เป็นเรื่องใหญ่เกิดขึ้น เป็นที่พูดถึงในโลกโซเชียล เราก็จะเลือกมาพูดให้ฟัง อัพเดทสถานการณ์ให้กับผู้ฟังครับ แล้วก็รับผิดชอบงานขาจร อีเว้นท์ ร้องเพลงอัดเสียงโฆษณา ก็ยังใช้ความเป็นตัวตนด้วยเอกลักษณ์ของเสียงที่ไม่เหมือนใคร และก็มีงานกำกับฯละครเวที “ขอพบในฝัน สุนทราภรณ์ เดอะมิวสิคัล” ครั้งที่ 6 สิ่งนี้ก็ไม่ใช่นวัตกรรมใหม่อะไร แต่ที่จะได้เห็นกันในละครเวทีเรื่องนี้คือการเอาเพลงสุนทราภรณ์มาจัดเรียงอย่างมีระบบทางอารมณ์ อยากให้ทุกคนมามีความสุข และสนุกไปกับเนื้อหาของละครครับ

ผู้กำกับฯ ที่หลายคนคิดว่าดุ น่ากลัว แต่เมื่อได้ทำความรู้จัก กับตัวตนที่แท้จริงของ “เจี๊ยบ-วัชระ ปานเอี่ยม” เพื่อนร่วมงานต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า..น่ารัก!!

กุหลาบสีเงิน

Star Retro :‘นีโน่-เมทนี’ ชีวิตนี้ ไม่เคยเหงา

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/entertain/273528

Star Retro :‘นีโน่-เมทนี’ ชีวิตนี้ ไม่เคยเหงา

Star Retro :‘นีโน่-เมทนี’ ชีวิตนี้ ไม่เคยเหงา

วันอาทิตย์ ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2560, 06.00 น.

ภายใต้รอยยิ้มและเสียงหัวเราะ ชีวิตได้บ่มเพาะเรื่องราวไว้หลากหลาย เช่นเดียวกับผลงานที่ “นีโน่-เมทนี บุรณศิริ” รังสรรค์ไว้มากมาย “สตาร์เรโทร” สัปดาห์นี้จึงขอพาไปค้นใจ หนุ่มอารมณ์ดีมากความสามารถ กับ 30 ปีของการเวียนว่ายในวังวนแห่งโลกมายา!! และกับหน้าที่ใหม่ในฐานะ “ผู้จัดละครทีวี.”

อาชีพใหม่ “ผู้จัดละคร”

ผมเคยเป็นผู้จัดฯมาแล้วนะครับ แต่ส่วนใหญ่จะทำรายการทีวี. ละครไม่เคยมีอยู่ในหัวเลย ไม่คิดที่จะทำด้วย แต่เพราะ “หนิง” (ปณิตา ธรรมวัฒนะ) เป็นคนที่อยากทำละครมาก ก่อนที่เขาจะแต่งงานกับ “จิน”(จรินทร์ ธรรมวัฒนะ) ซึ่งจินเป็นน้องรักของผม เขาก็มาบอกว่าหนิงอยากทำละครผมก็บอกไปว่าผมทำได้ แต่ว่าจะต้องให้หนิงรับผิดชอบนะ เพราะรายละเอียดเยอะมาก เยอะกว่ารายการโทรทัศน์อีกร้อยเท่าพันเท่า และมันไม่ใช่ว่าทำวันเดียวจบ อย่างน้อยต้องหกเจ็ด เดือน เราจะต้องอยู่กับมัน และคลุกคลีกับมัน ซึ่งเราก็ไม่เคยคิดเลยว่าการเป็นผู้จัดละครมันจะเหนื่อยขนาดนี้ เหนื่อยจนร้องไห้ปณิตาร้องไห้เลย ไปไม่ถูกไม่รู้จะไปยังไงเราก็ได้แต่คอยให้กำลังใจกัน

ถ้าไม่ใช่หนิง ก็จะไม่ทำละคร

ตอนที่ทำรายการไม่เคยคิดเลยว่าจะมาทำละคร ถ้าไม่ใช่หนิงกับจินผมไม่ทำ คือจินตัวหาเรื่องเลย (หัวเราะ) หาเรื่องให้พี่กับเมีย จริงๆ แล้วจินไม่ได้อยากทำหรอก แต่ว่าเมียจินอยากทำ หนิงเขาก็บอกว่าลำพังเขาคนเดียวคนคงจะไม่เชื่อใจว่าจะทำได้ เพราะว่าเขายังเด็ก เราก็บอกว่าเขาไม่เด็กหรอก แต่ถ้าหนิงอยากทำ จะทำด้วยกันก็ทำ เรื่องแรกก็ซอฟท์ๆ วอร์มกันมา “มนต์รักเพลงผีบอก” ซึ่งก็คลำผิดคลำถูกกันมาเหมือนกัน เป็นละครเย็น แต่ก็ไม่ได้เสียหายอะไรได้รับคำชมทั้งจากสถานีแล้วก็ “มีเดีย สตูดิโอ” เพราะถือว่าเราตั้งใจแล้วเราทุ่มทุนให้กับสิ่งที่เขาให้มา จนมาถึงเรื่อง “พริ้ง คนเริงเมือง” ด้วยบทประพันธ์ที่เราก็บอกว่าเราเล่นไม่ได้นะเรื่องนี้เหนื่อยแน่นอน แต่ก็ยังต้องเล่นด้วยกันทั้งคู่ แล้วเฟอร์นิเจอร์ที่เอามาเข้าฉาก ยังไม่ได้คืนเลยนะ หายไปไหนหมดไม่รู้ ขนมาจากโกดัง ถมกันเข้าไปโล่งไม่ได้ ไม่สวยไม่เอา เราก็ไม่ยอม “บุ๋ม” (รัญญา ศิยานนท์) เองเราก็ไปดึงมาให้ช่วยกำกับ แล้วเราก็พูดตั้งแต่ต้นว่าเรื่องนี้ต้องบุ๋มเท่านั้น เพราะถ้าเป็นคนอื่นเราว่ามันไม่ขาด

แนวทางละครของ “นีโน่ บราเดอร์ส”

เราได้หมดนะ จริงๆ ผมชอบคอเมดี้ ผีเผออะไรก็อยากทำ แต่ว่าหนิงเขาชอบแซ่บๆ อย่างที่บอกว่าหนิงเป็นคนอยากทำ ถ้าเอาเรื่องที่หนิงไม่อยากทำ มันจะไม่สนุก เพราะฉะนั้นเราก็ต้องดูน้องเราด้วยว่าอยากทำเรื่องอะไร แต่ว่าหลังจากพริ้งแล้วเป็นเรื่องใหม่ก็จะยังแซ่บเหมือนเดิม แต่เรื่องถัดจากนั้นไปใจผมกับ “พี่สุ” (สุชีลา ธนภูวนัย) ซึ่งเป็นโปรดิวเซอร์ เราก็อยากทำผี เพราะว่าไม่เคยได้เล่นละครผีมาก่อน ไม่ได้เล่นก็ทำซะเลย และผมเป็นคนที่ชอบดูละครผี ชอบดูหนังผี เรามีความรู้สึกว่าทำไมละครผี มันไม่น่ากลัวคือมันต้องหลอน เราอยากให้ละครของค่ายเรามีหลากหลายครับ ถ้าแซ่บอย่างเดียวอาจจะเอียน

กับรายการโทรทัศน์ที่ผลิต

เริ่มทำรายรายการครั้งแรกให้กับช่อง 3ดิ แอดเวนเจอร์ เที่ยวกับลิง กินกับเจ้า Food Prince ช่องวัน รายการครัวอิเลค ซึ่งทำหลายรายการมาก แต่ว่าตอนนี้ไม่ได้ทำแล้ว พอเราต้องจ้างผลิตแล้วก็ให้น้อย มันก็ไม่ไหว เราไม่รู้จะทำให้ได้ไง คือพอเป็นดิจิตอล ก็จะชวนเรามาแบ่งไทม์แชร์ริ่ง เราไม่มีทีมขายก็ลำบากอีก เลยหยุด คือ ถ้าจ้างผลิตก็ต้องสมน้ำสมเนื้อให้เราอยู่ได้ ลูกน้องเราอยู่ได้ เพราะส่วนใหญ่ที่รับมาคือรับมาเลี้ยงลูกน้องทั้งนั้น ตอนนี้เลยหันมาทำละครดีกว่า รอให้ดิจิตอลอยู่ตัวซะก่อน สำหรับผมเองก็เลยรับงานพิธีกรอย่างเดียว ทำเบื้องหน้า ตอนนี้ก็มีอยู่หลายรายการอย่างมาสเตอร์คีย์ก็อยู่มาอย่างยาวนาน 23 ปี เปลี่ยนไปไม่รู้กี่รูปแบบแล้ว แต่ว่าก็อยู่ช่อง 3ตลอดนะ

กลายเป็นโลโก้ของรายการมาสเตอร์คีย์

เราไม่รู้จะเปลี่ยนยังไงแล้วครับ ก็อยู่กันมาขนาดนี้ แถมออกอากาศ 5 วันนะ นับชั่วโมงแล้ว โอ้โห! ตกใจว่าเราทำงานมาเยอะขนาดนี้เลยเหรอ ไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อยหรือไง ก็มีคิดอยู่ แต่ว่าก็โอเค เรามีความสุขที่เวลามีคนมาทัก หลายคนถามว่าพี่โน่ไม่กลัวการเสียความเป็นส่วนตัวเหรอ เลยบอกว่าถ้าคนไม่ทักนั่นล่ะน่ากลัว ถ้าคนทักไม่น่ากลัว คือถ้าคนไม่ทักแสดงว่าเขาไม่เอาเราแล้ว เขาเบื่อเราแล้ว

ชินกับการยืนจนลืมเหนื่อย

โอ้โห! วันก่อน “พี่ยิ่งยง”, “ตั๊ก-ศิริพร” มาออกรายการเทปพิเศษ แล้วเขาต้องยืนอยู่กับผมตลอดงาน พอเลิกถ่ายเสร็จ พี่ยิ่งยงกับตั๊กบอกเลยว่าพี่โน่ยืนได้ไง ก็ยืนตั้งแต่บ่ายโมงยันเที่ยงคืน หรือสี่ห้าทุ่ม มันกลายเป็นเรื่องปกติของเรา ซึ่งเป็นมานานมาก และตั้งแต่เป็นพิธีกรมาไม่เคยได้นั่งเลย มีได้นั่งอยู่ไม่กี่รายการ แต่นี่เพิ่งจะเปลี่ยนคือ รายการบัลลังก์เสียงทอง ที่เป็นรายการใหม่ของทีวีธันเดอร์ เราก็จะย้ายไปเป็นคนนั่งแล้ว เป็นคอมเมนเตเตอร์บ้าง ขอเขาเลย ไม่อยากเป็นพิธีกรแล้ว เบื่อ แต่ว่าจริงๆ มันก็ทิ้งไม่ได้หรอก คืออาชีพหลักๆ เราที่ถนัดที่สุดตอนนี้พูดง่ายๆ ก็คือพิธีกร นักแสดงเราก็ถนัด เล่นได้ ไม่ว่าจะเป็นบทไหน เราก็เล่นได้ทั้งนั้น แต่ว่าตรงนั้นต้องแล้วแต่คนจะจ้างหรือไม่จ้าง มันไม่มีความแน่นอน

อีกหนึ่งบทบาทที่รอการสัมผัส

เป็นมาแล้วทุกอย่างนะครับทั้ง นายแบบนักร้อง พิธีกร นักแสดง ผู้จัด ขาดอย่างเดียวคือผู้กำกับ ถามว่าอยากเป็นไหม ขอตอบเลยว่ายัง (ยิ้ม)หนิงบังคับจะตาย ว่าให้เป็นเถอะ เรื่องหน้านะกำกับ ยัง.. ยังไงก็ยังไม่เป็นครับ เพราะว่าการจะมาเป็นผู้กำกับ เราต้องรับผิดชอบเยอะ ถ้าเกิดเราทำ เรารู้ตัวเลยว่าเราจะต้องไปอยู่กับมัน ผูกพันกับมันขนาดไหน ไม่มีทางเลย ดูแล้วมันยากมากกับการทำงาน เพราะว่าการบ้านเยอะ และคนอย่างเรา ถ้าคิดจะทำมันต้องทำให้ดี มันรับผิดชอบมากกว่านักแสดงเยอะเป็นสิบเท่า เราต้องดูนักแสดงทุกตัว ดูทีมงานทุกคน แก้ปัญหาเฉพาะหน้า เลยขอเวลาก่อน แต่ถามถึงความอยากน่ะอยากเป็นอยู่แล้ว เพราะเป็นอาชีพที่เรายังไม่เคย กำกับรายการเราก็ทำมาแล้ว โปรดิวเซอร์เราเคยทำมาแล้ว เราก็ไม่กลัว แต่ถ้าเป็นไดเร็กเตอร์เป็นผู้กำกับจริงๆ เราไม่เคย ผมทำแน่นอนครับ แต่ขอเวลาเราหน่อย ถ้าเป็นทางของผมคอเมดี้ได้แน่ๆทุกอาชีพที่ทำมาก็คนละแบบหมดเลยนะครับ บอกไม่ได้ว่าไม่ชอบอันไหน แต่ร้องเพลงตอนนี้ไม่อยากเป็นอาชีพ อยากร้องเล่นมีความสุขกับการร้องเพลง

ความสำเร็จของเพลง “คนขี้เหงา”

มันเป็นเอ็นไตเติ้ลของละครเรื่อง “ความรักของคุณฉุย” เป็นละครที่ดังมากในสมัยนั้น “เอ-อนันต์” และ “แอน-สิเรียม” แต่เราเป็นพระเอก เอเป็นตัวนำเรื่อง คนก็จะคิดว่าเอเป็นพระเอกซึ่งตอนหลังเราได้เป็นแฟนกับนางเอก แล้วเพลงก็ดังสนั่นหวั่นไหว ดังมากจนผับใช้เป็นเพลงปิดผับ คือแทบทุกผับเลย พอจะปิดร้านก็จะเปิดเพลงนี้ และก็กลายเป็นเพลงประจำตัวผมไปเลย ปัจจุบันนี้ ผ่านมา 25-26 ปี คนก็ยังถามหาเวลาขึ้นเวที ก็ต้องให้ร้อง มันก็ภาคภูมิใจนะ คือถ้าเป็นคนรุ่นเรา เขาก็ยังฟังอยู่ คนที่แก่กว่าเราก็ฟัง เวลาไปไหนมาไหนก็จะขอ เด็กถามว่ารู้จักไหม คือมีคนเขาเอามาคอฟเวอร์ และมีอยู่วันหนึ่งไปร้องงานเพื่อนรุ่นน้องและเขาก็พาเด็กๆ มาในงาน เด็กก็กรี๊ดว่าพี่โน่ร้องเพลงนี้เป็นด้วย คือเขาไม่รู้ว่าเป็นเพลงเรา แต่คือเขาฟังคอฟเวอร์ของใครมาก็ไม่รู้ เราก็ขำๆ ไม่ได้ว่าอะไร (ยิ้ม) คือมันไม่ได้น่าอายหรอก เพราะว่าเด็กเขาก็ไม่ทันฟังเราจริงๆ

ชีวิตตอนนี้…เหงาไหม?

ไม่เหงาเลยครับ (ยิ้ม) มีทั้งงาน มีทั้งแมว มีทั้งหน้าที่ทุกอย่างที่ต้องทำในชีวิต ไม่มีเวลาให้เหงาเลย เดี๋ยวก็ไปหาคุณพ่อคุณแม่ ซึ่งท่านก็เริ่มแก่แล้ว ชีวิตมันว่างก็กลายเป็นว่าเรามีเวลาเข้าไปหาพ่อหาแม่เราเยอะขึ้น เพราะว่าเราไม่ได้อยู่บ้านเดียวกัน ซึ่งดีมากเลยนะคือเราก็เห็นอยู่แล้วว่าพ่อแม่เพื่อนก็เริ่มไปกันแล้วมันก็ถึงเวลาที่เราจะต้องทำใจเหมือนกัน และเราต้องใช้เวลาตรงนี้อยู่กับเขาให้มากที่สุด ลูกเราก็ไม่มีให้ต้องดูแล อยู่ตัวคนเดียวและก็มีแมว 7 ตัว นี่คือลูกทั้งหมด

ชีวิตหลังกลับมาโสดอีกครั้ง

ไม่มีความเปลี่ยนแปลงอะไรครับ มีแต่คนถาม คือผมว่าเหมือนก่อนแต่งแหละครับ แถมเราต้องระวังตัวมากกว่าก่อนแต่งอีก มันมีความรู้สึกว่าเราไม่อยากพลาด ไม่อยากผิด ไม่อยากมีอะไรอีกแล้ว และอายุมันก็เยอะแล้ว ความอยากความอะไรมันก็น้อยลงไปไอ้ที่จะไปเที่ยวตะแล๊ดแต๊ดก็ไม่ใช่แล้ว เพราะว่าไปมาหมดตั้งแต่หนุ่มแล้ว จะเอาอะไรตั้งแต่เลานจ์ ซ่อง อาบอบนวดไปมาตั้งแต่หนุ่ม บางคนบอกเขี้ยวเล็บไม่มีแล้วเหรอ ก็เออ..ไม่มีแล้วไม่ต้องมายุ่งกับฉัน(หัวเราะ) คือมันเบื่อแล้ว ไม่รู้ว่าจะไปไหน นานๆเพื่อนลากไป เราก็ไปกัน อย่างบาร์โฮสที่เป็นข่าวนั่น เพื่อนก็ลากไปนะ ไปกันทั้งแก๊งและเป็นผู้ใหญ่ทั้งนั้น ผู้ใหญ่กว่าเราอีก ไปก็ต้องกลับบ้านก่อน เพราะว่าเราเบื่อ แล้วก็เป็นข่าว ถึงบอกไงว่าไปไหนมันก็เป็นเรื่องเป็นราวได้หมด ถ้าอยากจะเป็น พอไม่ไปก็หาว่าเราเก็บใครไว้ที่บ้านหรือเปล่า

ปิดตัวเองเลยไหม

ไม่ปิดครับ ถ้ามันเจอ มันใช่ มันก็ใช่ แต่ว่าเราคือไม่ได้ขวนขวายหา เห็นคนที่สวยก็ว่าสวย แต่ถามว่าจะกล้าเข้าไปจีบเขาไหม ไม่กล้าเลย เหมือนกับเรามีบาดแผลของเราอยู่ในตัวอยู่แล้ว ถ้าเราเข้าไปแล้ว เขาปฏิเสธ ก็เหมือนไอ้หมาแก่ หรือว่าไอ้วัวแก่ตัวนึง ที่คิดจะมากินหญ้าอ่อน แก่ๆ ด้วยกันก็คงไม่จีบ เพราะโดยนิสัยก็ไม่มีทาง เพราะตอนเด็กเราก็มีแฟนเป็นคนแก่ พอหนุ่มๆ ก็เริ่มมีแฟนรุ่นใกล้กัน หรือเด็กกว่าพอแก่แล้ว ถ้ามีแฟนแก่กว่าอีก คงไม่ใช่เราแล้วแหละหรือเท่าๆ กันมันก็คงไม่ใช่ คงไม่มีอารมณ์ทางเพศ(หัวเราะ) เยอะขนาดนั้น มันก็ต้องเด็กแหละ แต่เด็กในที่นี้ไม่ใช่ว่าเด็ก 17-18 นะ เพราะถ้าเด็กขนาดนี้จะเริ่มคุยด้วยกันไม่รู้เรื่องแล้ว ขนาด 20 กว่ายังคุยไม่รู้เรื่องแล้วเลย ต้องอยู่ที่ประมาณสามสิบกว่าๆ มันอยู่ที่วุฒิภาวะ เพราะว่าวุฒิภาวะของเราก็เริ่มแล้วไงนี่ก็เกินครึ่งชีวิตแล้วด้วย เขี้ยวเล็บมันไม่มีถอดหรอก เสือมันโรยรา มันอ่อนแรง มันเหนื่อย แต่มันมีจังหวะ ถ้ามุมมันพลิกมันขบเลยนะ ประสบการณ์มันเยอะมันก็ยังไหว เพียงแต่ว่าส่วนใหญ่มันล้าแล้ว มันก็ไม่อยากสู้ ก็เลยเลี่ยงๆ

บั้นปลายชีวิตที่เป็นไป

ถึงไม่มีลูก ผมก็มีหลานๆ ไม่เป็นไรครับผมไม่ซีเรียสเลยเรื่องนี้ คือถ้ามีแล้วเลี้ยงไม่ดียิ่งวุ่นกันไปใหญ่เลย ตอนนี้เห็นหลานๆ เขาเป็นคนดีเราก็แฮปปี้ เท่านี้เลย อยากได้อะไรก็เอาไปเลย เราก็ใช้ของเรา ไม่ต้องมาห่วงว่าบั้นปลายจะไม่มีคนมาดู ถ้าเราไม่มีก็ไม่มีใครมาดูหรอก ถ้ามีเดี๋ยวหลานก็แย่งกันมาดู เพราะเขาก็รู้ว่าเราไม่มีลูก ยังไงก็ต้องให้เขา “นิลิน” (ลูกสาวหนิง) ได้หมดแหละ เพราะถือว่าเป็นหลานในไส้เหมือนกัน นี่วันก่อนพี่ชายปันปัน ป๋อมแป๋มก็เหมือนลูกเรา เพราะเป็นลูกเพื่อน เขาไปอังกฤษไม่ห้อยพระ เราก็ถอดพระจากคอแขวนให้เลย เมาอยู่ด้วยก็ถอดให้เขาไปเลย ทั้งสร้อยทองคำขาว ทั้งพระเลี่ยมทอง กลัวว่าเขาเดินทางไปไหนไกลๆ จะไม่ปลอดภัย ก็เลยต้องมีพระไว้ติดตัว คือจะเป็นอย่างนี้ ไม่รู้ว่าจะเก็บไว้เพื่ออะไร นาฬิกาสี่สิบกว่าเรือน ก็นั่งดูว่าเรามีไว้เพื่ออะไร เราใส่พร้อมกันได้ไหม ก็ให้หลานไป นี่อีกคนกำลังจะกลับจากออสเตรเลีย ก็บอกว่ามาเอานาฬิกาด้วย

วันสบายๆ สไตล์นีโน่

ถ้าอยู่เชียงใหม่ก็จะทำสวน ปลูกต้นไม้ ถ้าอยู่คอนโดก็จะดูซีรี่ส์ดูหนัง ดูเยอะมาก ที่ต้องดูเพราะว่าใช้ในงานของเรา เราดูว่าต่างประเทศเขาไปถึงไหนแล้วส่วนใหญ่จะดูฝรั่งและญี่ปุ่น ดูแนวหลากหลายครับ แล้วก็หลุดไปอีกแนว คืออินเดีย คือเขาเชย แต่ในความเชยของเขามันมีอะไรซ่อนอยู่ ที่กลับเชียงใหม่นี่ถ้าว่างก็จะไปอยู่กับต้นไม้ เพราะว่าตอนนี้ทำบริษัทเกี่ยวกับสารปรับปรุงดินมา นีโน่ซุปเปอร์ฮิวมิค ได้ออกไปสวนเกษตรไปอธิบายไปนั่งคุย มันก็กลายเป็นความสุขชอบอยู่กับธรรมชาติ เวลาเข้าป่าทีนี่ คือ เข้าแบบจริงจังมาก เดินเข้าป่า หลงไปเป็นวัน ชอบมากเป็นคนที่สุดโต่ง แต่ถ้าบางอย่างที่ไม่ไหวจริงๆ เราก็ไม่ทำนะ

กว่า 30 ปี ในวงการบันเทิง

ตั้งแต่ 2529 ก็ทำงานในวงการมาเรื่อยๆ แต่บอกได้เลยว่าไม่เบื่อ คือให้ไปทำอะไรก็ได้ ขาข้างหนึ่งก็ต้องอยู่วงการนี้แหละ แล้วเคยเห็นหลายคนบอกว่าไม่อยู่แล้ววงการนี้ ไม่เอาแล้ว เบื่อแล้ว ในที่สุดก็หนีไม่พ้น ก็กลับมาอยู่ดี เพราะฉะนั้นอย่าพูดว่าถ้าเกษียณแล้วจะไม่เล่นอีกแล้ว นี่ผมก็พยายามเอาคนเก่าๆ กลับมาเล่นละครอีกครั้ง เรื่องหน้าก็จะมี “โก้-นฤเบศร์” กลับมาเขาเป็นพระเอกเก่าช่อง 7 มีอีกหลายคนที่เราเริ่มเห็น ส่วน “โอ-วรุฒ” ต้องอยู่ที่เขา ว่าเลิกเหล้าได้หรือเปล่า ไม่ใช่ว่าเราไม่ช่วยนะไม่ต้องห่วงหรอก ยังไงก็ช่วย นี่ก็ไม่รู้จะช่วยยังไงแล้ว เวลามีงานพิธีกรเกษตรก็ยังคิดถึงเขานะ โอเขาทำงานเก่งมากนะ เราก็ให้โอกาสเขาแน่นอน

แม้ไม่ใช่อาชีพในฝัน แต่กลายเป็นอาชีพที่รัก

ไม่เคยอยู่ในหัวสมองเลยว่าจะเข้ามาทำงานในวงการบันเทิง คิดเอาไว้ว่าถ้าไม่เป็นนักโบราณคดี ก็จะเป็นข้าราชการ หรือเปิดร้านขายของเก่า เรื่องบันเทิงไม่เคยอยู่ในหัวเลย แต่เหมือนคนไม่อยากเป็น มันก็ได้เป็น และพอเป็นแล้วมันก็รักก็ชอบหนีไม่พ้น

ความในใจถึงแฟนๆ

ขอบคุณมากๆ ขอบคุณเสมอ ทุกครั้งที่มีอะไรก็จะให้การสนับสนุนหรือแม้กระทั่งบางครั้งที่พลาดพลั้งอะไรไป ก็ยังได้รับกำลังใจเสมอจากคนที่รักเรา ผมขอบคุณจากใจจริงๆ และสิ่งนี้เป็นกำลังใจว่าสิ่งที่เราทำมาคือสิ่งที่เราไม่ได้เสียอะไรเลย มีแต่ได้ ก็รักเสมอ ยินดีเสมอแล้วจะทำหน้าที่ตรงนี้ให้ดีที่สุดต่อๆ ไปครับ

Star Retro : คลาวเดีย จักรพันธุ์ ลงตัวทั้งงานแสดงที่รัก และรักครั้งใหม่

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/entertain/272403

Star Retro : คลาวเดีย จักรพันธุ์ ลงตัวทั้งงานแสดงที่รัก และรักครั้งใหม่

Star Retro : คลาวเดีย จักรพันธุ์ ลงตัวทั้งงานแสดงที่รัก และรักครั้งใหม่

วันอาทิตย์ ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2560, 06.00 น.

เป็นหนึ่งนักแสดงไอดอลจากยุค 90 ด้วยใบหน้าลูกครึ่งที่มาพร้อมความซุกซน และผมหยิกเป็นเอกลักษณ์ ทำให้ชื่อของ “คลาวเดีย จักรพันธุ์” เป็นที่รู้จักในวงกว้าง วันนี้เธอหวนคืนจออีกครั้งเลยได้โอกาสอัพเดทชีวิตกัน พร้อมค้นหัวใจ ที่แว่วว่ากำลังหวานหยดจนน่าอิจฉา!?

“เริ่มกลับมารับงานแสดงแล้วเมื่อสี่ห้าปีที่แล้วค่ะ มาเล่นเรื่องพิมมาลา เว้นไปอีกหลายปีก็เล่นเรื่องนางโชว์ ทางพีพีทีวี แล้วก็เว้นไปสักพัก กลับมาเล่นอีกในเรื่อง Princess Hours แต่ถ้าช่วงที่พักยาวก็คือไปแต่งงานแล้วก็หย่า หลังจากนั้นก็ไปอเมริกา แล้วพอกลับมาถึงได้เริ่มรับละครค่ะ ตอนที่แต่งงานไม่ได้รับงานแสดงเลย และที่ไปอเมริกาก็ไปๆ กลับๆ คนคงจะงงไม่รู้ว่าเราจะทำงานหรือว่าจะอยู่นี่หรืออยู่ไหน เลยไม่ได้รับ แต่พอกลับมาอยู่เมืองไทย ตอนนี้ก็เริ่มรับงานเต็มที่แล้วค่ะ”

l ยังคงคิดถึงงานแสดง

คิดถึงมาก นี่กลับมาก็มันมากเลยค่ะกำลังรอเปิดเรื่องต่อไปด้วย อยากทำงาน เพราะว่าสนุกค่ะเนื่องจากว่าเราเข้ามาสัมผัสวงการนี้ตั้งแต่อายุสิบเอ็ด ตั้งแต่เด็ก เราก็ทำงานด้านนี้มาตลอด เรียนศิลปกรรมเอกนาฏศิลป์ตะวันตก ซึ่งมันก็คล้ายกัน ชีวิตเราอยู่กับเรื่องพวกนี้ตลอดก็เลยรู้สึกว่าอยากกลับมาทำงานที่เรารักมาก

l ย้อนวันวานก้าวแรก

จริงๆ งานแรกเริ่มตั้งแต่ตอนเก้าขวบสิบขวบเลยค่ะ คือจะเป็นเด็กบัลเล่ต์ แล้วเขาก็อยากให้มีเด็กเต้นบัลเล่ต์ถือนมแลคตาซอย แล้วพออายุสิบเอ็ดก็ได้ถ่ายปกหนังสือกับ “แอนเดรีย สวอเรซ” หลังจากนั้นก็มีงานเดินแบบ และได้ถ่ายโฆษณาอีก พออายุสิบสองสิบสามก็ได้เล่นละครเรื่องแรกกับทางกันตนาเรื่อง “รักแปลกที่แตกต่าง” หลังจากนั้นก็ไปเล่นช่อง 3 เรื่อง “ไฟในทรวง” แล้วก็เล่นยาวเลยทั้งถ่ายแบบเดินแบบรับละครจนมาถึงช่วงยี่สิบต้นๆไม่เคยคิดว่าตัวเองจะได้มาเล่นละคร แต่ว่าเราก็ชอบดูละครชอบเต้น กล้าแสดงออก แล้วก็มีแมวมองมาติดต่อให้เราไปแคสโฆษณา คุณแม่ก็สนับสนุน พาไปได้บ้างไม่ได้บ้าง เราก็เล่นไป ละครเนี่ยเขาก็มาติดต่อหลังจากที่เดินแบบถ่ายโฆษณาแล้วนะคะ พอติดต่อมาคุณแม่ก็รับเลย ยุคนั้นเหมือนกับว่าลูกครึ่งมาแรงด้วย นักแสดงลูกครึ่งเยอะมาก

l บทบาทที่คนดูจดจำได้

คนจะจำเราได้จากหลายเรื่องนะคะ อย่างเรื่อง “รักแปลกที่แตกต่าง” เนื่องจากว่าเป็นละครของกันตนา ตอนเย็น แล้วมันยาวมาก ตอนนั้นเวลาไปไหนคนก็จะเรียกว่า “จีจี้” ซึ่งเป็นชื่อของนางเอกในเรื่อง ฟีดแบ๊กก็ดี หลังจากนั้นก็มาเล่นเรื่องไฟในทรวง, คือหัตถาครองพิภพ, เรือมนุษย์ เยอะค่ะและต้องบอกว่าการทำงานตอนนั้น คือเต็ม 7 วันเลยนะคะไปกองนั้นเจอตากล้องเจอทีมงานคนเดิมเจอผู้กำกับ รวมทั้งนักแสดงก็จะเจอกลุ่มเพื่อนวัยเดียวกันกับเรา เจอรุ่นพี่บ้างอย่าง พี่แอน ทองประสม, พี่ธัญญ่าแต่เขาจะเข้าวงการก่อนหนูนะ รวมทั้ง พี่แจ๊บ-เพ็ญเพชรด้วย ที่เข้ามาพร้อมๆกันเลยคือ แอนดริว เกร็กสันและเล่นหนังเรื่องแรกด้วยกันด้วย เรื่อง “กอง 501 ริมแดง” เล่นหนังก่อนเล่นละครอีกนี่เพิ่งนึกได้ (หัวเราะ) จริงๆ พี่บิลลี่ โอแกน เป็นคนเอาคลาวเดียมาเล่นหนังนะ แอนดริวกับคลาวเดียร่วมงานกันเรื่องแรก แล้วหลังจากนั้นก็ไม่เคยร่วมงานกันอีกเลย จนมาละครช่อง 3 เรื่อง “กรงเกียรติยศ” ก็จะเดินแบบถ่ายแบบเล่นละครไป เพื่อนนางแบบจะมี โย-ยศวดี ที่จะเข้ามาพร้อมกัน เราเป็นนางแบบรุ่นเด็กที่เมื่อก่อนไม่ค่อยมีด้วย เพราะว่าคนอื่นที่เป็นนักแสดงเขาไม่ค่อยได้เดินแบบ เราก็ไม่ได้สูงมากเหมือนโยนะคะ คือจัดเป็นนางแบบเซตเตี้ย แต่สมัยนี้ถ้าเตี้ยอย่างนี้ก็เดินแบบไม่ได้แล้ว (หัวเราะ)

l คาแร็กเตอร์ที่ทุกคนคุ้นตา

ผมหยิกหน้าฝรั่งแล้วก็น้ำเสียงที่เป็นเอกลักษณ์ (ยิ้ม) แต่ก็มักจะได้รับบทบาททางการแสดงที่แตกต่างกันไปนะคะ เป็นทอมก็เคยเล่น คนบ้าก็มี บทแรงๆ ก็เคยเล่น บทร้ายก็เล่น หรือเป็นนางเอกใสๆ คือจะเป็นคนที่เล่นบทฉีกมาก ถ้าเล่นเป็นนางเอกบางเรื่องก็จะเป็นนางเอกที่แรงหน่อย แต่บางเรื่องอย่าง “เรือมนุษย์” เราก็ไม่ได้เล่นเป็นนางเอก เล่นเป็นบทคนใช้ที่แรง เป็นเด็กที่ยั่วนายจ้าง บทสนุกค่ะ คือเราก็รับหลายรูปแบบ บทเรียบร้อยก็มีหลายเรื่อง อย่าง “คือหัตถาครองพิภพ” ก็เรียบร้อยร้องไห้ เวลาไปไหนมาไหนคนก็มักจะจำเราได้จากหลายๆ บทบาทเลยค่ะ แต่ว่าส่วนมากจะจำในความที่เป็นเรา ที่ผมหยิกแล้วก็เป็นพิธีกรด้วย เราไม่ได้เป็นนักแสดงอย่างเดียว คือเราเป็นทั้งนักแสดง นางแบบ พิธีกร ขาดอย่างเดียวคือนักร้องที่ไม่ได้เป็น

l กับความสำเร็จ ณ วันนั้น

ดีใจมากนะคะ ดีใจที่มีโอกาส ดีใจที่มีคุณแม่คอยสนับสนุน รู้สึกดีใจที่เราก็มีพื้นฐานคือเราก็เรียนเต้น เรียนเปียโนอะไรมาเยอะ มันก็อาจจะเป็นจุดที่ช่วยด้วย แล้วก็ต้องขอบคุณผู้ใหญ่ทุกคนที่ให้โอกาสในช่วงนั้น รู้สึกว่าเราได้มีโอกาสทำงานที่เรารักได้ในหลายๆ รูปแบบ คุณแม่เป็นคนที่ผลักดันลูกเต็มที่เมื่อก่อนไปไหนไปด้วยกันเลย พอเราเข้าวงการหนักๆคุณแม่ก็ไม่ทำงานแล้วค่ะ ตามลูกอย่างเดียวเลยผิดกับตอนนี้ที่ชวนไปไหนก็ไม่ไป แค่ชวนออกไปกินข้าวนอกบ้าน ยังต้องให้เข้าไปหาที่บ้าน แต่ท่านก็แข็งแรงดีค่ะแอ๊กทีฟอยู่ในบ้านตัวเอง

l สิ่งที่อยากจะทำในวงการบันเทิง

อยากกลับมาแสดงเต็มตัวนะ เริ่มกลับเข้ามารับงานแสดงแล้วค่ะ อยากจะฝากบอกผู้จัดว่ากลับมาแล้ว เล่นได้หลายบท สามารถรับได้หมด ส่วนงานเบื้องหลัง สนใจ แต่ว่าคงยังไม่ถึงเวลาคิดว่ากลับมาแสดงให้เต็มตัวก่อน ถ้างานเบื้องหลังจริงๆคลาวเดียชอบละครนะคะ แต่ว่ามันเป็นอะไรที่สเกลใหญ่และค่อนข้างยาก เมื่อก่อนเคยทำรายการแล้วเหมือนกันเป็นรายการเกี่ยวกับน้องหมา ก็สนุกดีนะ แต่ไม่ชอบตอนหาสปอนเซอร์ เหนื่อยมาก เพราะว่าเราไม่เคยทำงานด้านนี้มาก่อน ทำรายการอยู่สักพักเลยค่ะจะเป็นรายการที่ออกคู่กับหมาชิวาวาของคลาวเดียแต่ว่าเขาตายเราก็เศร้ามาก เลยหยุดทำไป เพราะว่านางเอกของรายการตายไป ตอนแรกคิดจะเอาตัวอื่นมาแทน แต่ว่ามันไม่เหมือนกัน เลยยุติไปค่ะ

l ความรู้สึกแรกกับการหวนคืนจอ

ตื่นเต้นมากกับฉากแรก วันแรกที่เข้าฉากจะตื่นเต้นจังเลย ไม่ได้ทำงานนาน แล้วมันจะงงๆ แต่พอวันที่สองมันก็เข้าที่ คือเราทำตรงนี้มาตั้งแต่เด็ก คำว่าเคาะสนิมอาจจะเป็นความตื่นเต้นที่เราต้องเคาะออกไป แต่เรื่องการแสดงเรายังได้อยู่นะ เพียงแต่เราไม่รู้ว่าสมัยใหม่มันเป็นยังไง การแสดงมันไม่มียุคมีสมัยหรอก แต่อย่างเรื่อง Princess Hours ก็ร้ายมาก คือปากแดงตลอดเวลา สนุกดีเรื่องนี้บทดี เล่นเป็นแม่ของ “สเตฟาน” (สายชล ปารเนียส) เป็นแม่เรื่องแรกที่ได้รับในชีวิตนี้ แต่ว่า “พี่เจี๊ยบ” (นภัสริญญ์พรหมพิลา) โปรดิวเซอร์ของเรื่องนี้บอกว่า ไม่ได้เป็นแม่ที่แต่งแก่อะไร แล้วถ้าบทดีเป็นตัวดำเนินเรื่องจะเป็นป้าเป็นน้าเป็นอา เราก็รับอยู่แล้ว เรื่องนี้ร้ายมาก ร้ายอยู่คนเดียว คือด้วยความที่ผู้หญิงคนนี้ต้องการอำนาจ เป็นคนที่ทะเยอทะยานมาก ต้องได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ ถึงฉันไม่ได้ลูก ฉันก็ต้องได้ รักตัวเองมากจนลืมมองลูกว่าจริงๆเขาต้องการอะไร มันเป็นความจริงที่ค่อนข้างแซด ก็สนุกดีค่ะ ถือเป็นบทบาทร้ายอีกหนึ่งที่ได้มีโอกาสมาเล่น

l ความเปลี่ยนแปลงของวงการที่สัมผัส

โดยอารมณ์ของการทำงานก็ยังเหมือนเดิม คือมีคนเยอะแยะมากมาย มีทีมกล้องทีมไฟหน้าผมทุกอย่างยังเหมือนเดิม เพียงแต่ว่าหลายอย่างมันเล็กลง เทคนิคมันดีขึ้น กล้องเล็กลง ทุกอย่างมันย่อส่วนลง โดยที่ยังทำงานเหมือนเดิม และคลาวเดียรู้สึกว่านักแสดงรุ่นใหม่ คือในเรื่องนี้นะ มีวินัยมาก คือก็แล้วแต่คนแหละ แต่อย่าง “แพตตี้” (อังศุมาลิน สิรภัทรศักดิ์เมธา) เป็นนางเอกที่น่ารักมาก มีวินัยมาก มาตรงต่อเวลา สมัยก่อนก็มีคนมาสายนะ แต่สมัยนี้ไม่ค่อยมี หรือว่าเด็กสมัยนี้มีวินัยมากขึ้น คลาวเดียไม่ค่อยแน่ใจ ต้องลองทำงานไปเรื่อยๆ ก่อน และอีกหนึ่งสิ่งที่สมัยก่อนไม่มีคือการเรียนการแสดง สมัยนี้มีเรียนมีเวิร์กช็อป (ยิ้ม) อย่างเรื่องนี้คลาวเดีย,ยุ้ย-ปัทมวรรณ, ต่าย-สายธาร นั่งงงจ้า (หัวเราะ) ว้ายตายแล้วคืออะไร แต่คือเราไม่ว่าเลยนะ แค่ตื่นเต้นเพราะว่าเราไม่เคยทำ การที่ต้องมานั่งอ่านบทต่อบท หรือว่าเรียนการแสดงกัน เราไม่เคย ร้องไห้ครั้งแรกในการแสดงกับ “รักแปลกที่แตกต่าง” ก็เรียนที่กอง ทุกอย่างหัดที่กองหมด เน้นประสบการณ์สอนเรา แต่ทุกวันนี้ไม่ใช่อย่างนั้นเลย ทุกเรื่องเขาต้องเรียนการแสดงกัน ตัวละครต้องมาเจอกันมาเวิร์กช็อปกันก่อน และไม่ใช่แค่ครั้งเดียวด้วย

l กว่าจะปล่อยวางกับคำว่านางเอก

เราก็รู้ตัวเองว่างานในวงการนี้มันไม่ได้แน่นอนอะไรค่ะ คือตอนนี้ต้องยอมรับว่าเราไม่ได้โด่งดังเหมือนสมัยก่อน เราอาจจะเป็นหนึ่งในนักแสดง ไม่ใช่ตัวเอกหรือนางเอกเหมือนสมัยก่อนแล้ว แต่ก็ไม่ได้มายด์ เพราะคนเราก็เป็นแบบนี้ และโชคดีที่คลาวเดียไม่ใช่คนที่ยึดติดมาก ตอนที่เป็นนางเอกก็ยังมาเล่นเป็นตัวร้ายเป็นตัวอื่นได้ สิ่งที่คลาวเดียอยู่คือชอบทำงาน ไม่ได้คิดว่าตัวเองจะเป็นดาราจะต้องดังมาก เราไม่เคยคิด คุณแม่ก็สอนมาอย่างนั้นอยู่แล้ว ให้เราคิดว่าเราคือคนทำงาน ช่างไฟเขาก็มีหน้าที่ของเขา ทุกคนมีหน้าที่ของตัวเองเพราะว่าทุกคนมาทำงาน พอมาถึงจุดนี้ แค่เรามีงานและมีบทที่ดีเราก็มีความสุขแล้ว โอเคตอนแรกอาจจะมีสะดุ้งนิดนึงว่าฉันต้องเล่นเป็นแม่แล้วเหรอ (ยิ้ม) คือสะดุ้งเบาๆ แต่ว่าก็ไม่ได้เป็นอะไรใหญ่โตบางคนเขาจำภาพเราอย่างนึง พอเขาเจอเราและรู้ว่าเราจะกลับมาเล่นละคร เขาก็ยังคิดว่ามาเล่นเป็นนางเอกอยู่ เราก็บอกว่าเล่นเป็นแม่แล้วค่ะ เขาก็บ่นใหญ่เลยว่าทำไมสวยๆ ชอบไปเป็นแม่กันแล้ว คืออารมณ์แฟนคลับ เราก็ขำดีค่ะ แต่เขาก็บอกว่าจะรอดูนะ คลาวเดียเองก็จะรับงานแสดงต่อไปเรื่อยๆ ไม่เบื่อนะ ตอนนี้คงรับไปก่อนที่จะแต่งงานแล้วก็มีลูก เพราะว่าถ้ามีลูกแล้ว คงจะเล่นไม่ได้ ตอนนี้จะเล่นไปให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ค่ะ

l กับความรักครั้งใหม่

รักครั้งใหม่กับหนุ่มพม่า แต่ว่าเขาเกิดที่นี่นะคะ เรียนนานาชาติที่นี่ด้วย แล้วก็ไปต่อที่อเมริกานี่คือสาเหตุที่คลาวเดียไปอยู่อเมริกา เพราะว่าไปอยู่กับแฟนคนนี้ คือพอเลิกกับสามีก็โสดอยู่เป็นปี กว่าจะเจอคนนี้ กว่าเขาจะยอมเซ็นใบหย่า ก็ 7-8 เดือน แต่แยกกันอยู่มานานแล้วค่ะ ไม่ค่อยมีใครรู้ พอเซ็นใบหย่าสัก3 เดือนก็เจอคนนี้พอดี ซึ่งแปลกมาก คือเขามาเมืองไทยแค่ปีละ 2 อาทิตย์ เพื่อที่จะมาเจอเพื่อนแล้วมาเจอเราเฉยเลย ก่อนที่เขาจะกลับอเมริกาเราก็คิดว่ามันน่าจะไม่เวิร์กหรอก เพราะว่าเขาอยู่อเมริกาแต่ปรากฏว่าเขาโทร.มาคุยวันละเป็นสิบชั่วโมงคุยกันอยู่ประมาณ 2-3 เดือน เขาจะส่งตั๋วมาให้เราบินตามไป แต่คือใครจะกล้าไปด้วย เราเพิ่งเจอกันจนในที่สุดเราก็ใจอ่อนยอมไป พอไปแล้ว ไม่อยากกลับจ้า กลับมาเมืองไทยแล้วบินไปใหม่อีก เอาหมาไปด้วย ก็เลยมีไปๆ มาๆ คือเขาทำงานที่นู่น แล้วก็อายุน้อยกว่า เด็กกว่าปีครึ่งค่ะ เขาไม่รู้ว่าเราเป็นดาราแต่ว่าเพื่อนในกลุ่มเขาเหมือน mutual friend แก๊งเพื่อนเขาเป็นเพื่อนนานาชาติที่คลาวเดียรู้จักเพราะว่าเรียนเต้นด้วยกัน เลยรู้จักเพื่อนสนิทของเขาหมด โลกมันกลมมาก และมันเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยยาก เราไลฟ์สไตล์ตรงกันด้วย โอเคเพื่อนเขาเราก็ชอบ เพื่อนเราเขาก็ชอบ เราสัมผัสในความรักที่เขามีให้เรา ตอนนี้เราก็รักเขามาก คือเขาเป็นคนดีค่ะจิตใจดีมาก ขยันทำงาน เก่งมาก และเขารักเราเราก็รักเขา เขาไม่แคร์ว่าเราจะมีอดีตยังไง ซึ่งเราก็เล่าให้เขาฟัง (ใกล้จะมีข่าวดี?) เขายังไม่มาขอเลยค่ะ(ยิ้ม) แต่เป็นแฟนกันมา 8 ปีแล้วนะคะ

l ทิ้งท้าย

อยากจะฝากให้ช่วยติดตามชม Princess Hours รักวุ่นๆ เจ้าหญิงจอมจุ้น ออกอากาศทุกวันจันทร์-อังคาร เวลา 2 ทุ่ม ทางทรูโฟร์ยูค่ะ อยากจะฝากผลงานนี้ไว้สำหรับแฟนๆที่รอคลาวเดียมาตั้งนาน ว่ายังไม่เล่นสักที ตอนนี้มีละครให้ดูแล้วนะคะ ส่วนใครที่ยังไม่รู้จักคลาวเดียน้องๆ เด็กๆ ติดตามพี่ได้ที่ไอจี @claudia_chakrabandhu ค่ะ หรือว่าเซิร์จดูในอินเตอร์เนตก็ได้ จะได้เห็นวันวานของพี่ (ยิ้ม)

 

กุหลาบสีเงิน

Star Retro : ‘รณ ฤทธิชัย’ กับความสุขใจ ในงานเกษตร

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/entertain/271181

Star Retro : ‘รณ ฤทธิชัย’ กับความสุขใจ ในงานเกษตร

Star Retro : ‘รณ ฤทธิชัย’ กับความสุขใจ ในงานเกษตร

วันอาทิตย์ ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2560, 06.00 น.

พักหลังมานี้ เรามักจะเห็นนักแสดงรุ่นใหญ่ รณ ฤทธิชัย หรือ ชำนาญ คานเขต หันไปเอาดีด้านการเมือง จนแทบไม่มีผลงานการแสดง แฟนๆ จึงเอ่ยถามกันมาเยอะว่า รณ ฤทธิชัย ในวัย 68 ปี ทำอะไรอยู่ที่ไหน!? สตาร์เรโทรสัปดาห์นี้ เสาะหาคำตอบมาให้ทราบกันค่ะ

งานหลักในปัจจุบัน

ตอนนี้ผมเป็นประชาชนเต็มขั้น คือ เป็นประชารัฐ ทำงานช่วยราชการ เป็นจิตอาสาไม่มีเงินเดือน ที่อยากทำเพราะว่า ตอนเป็นผู้แทนราษฎร เรามองเห็นปัญหาของพี่น้องประชาชนเกี่ยวกับเรื่องของน้ำ ซึ่งเกษตรกรต้องมีน้ำ ถ้าไม่มีน้ำ ก็ไม่สามารถประกอบอาชีพได้ เพราะน้ำคือปัจจัยหลัก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ พระองค์ท่านบอก น้ำคือชีวิต เพราะน้ำเกี่ยวกับคนทุกคน ตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตาย ตอนเป็นผู้แทนผมก็เน้นทำโครงการเรื่องน้ำให้ประชาชนในพื้นที่ส่วนรับผิดชอบ ในอำเภอต่างๆ ของจังหวัดยโสธร

จุดเริ่มต้นในวงการบันเทิง

ผมเรียนมหาวิทยาลัยเพื่อการศึกษาพลศึกษาที่สนามกีฬาแห่งชาติ วันหนึ่งไปซ้อมกีฬาที่โรงยิมมีคนไปเห็น เขาก็เลยชวนไปเล่นหนัง แล้วก็ได้ไปถ่ายหลังปกหนังสือ “จักรวาลปืน” รายสัปดาห์ ซึ่งตอนนั้นหนังสือจักรวาลปืนดังมาก เพราะมีนิยายเพชรพระอุมา ก็ตัดสินใจไปถ่าย พอไปถ่ายปุ๊บคนก็เริ่มรู้จัก แต่ยังไม่ได้เป็นนักแสดง เป็นแค่นายแบบ หลังจากนั้นอาจารย์สุวรรณี สุคนธา จะเปิดหนังสือ “ลลนา” ฉบับปฐมฤกษ์ แกก็มาชวนให้ไปถ่าย ซึ่งถ่ายแบบถอดเสื้อ ผมน่าจะเป็นคนแรกๆ ที่ถ่ายแบบนี้ พอหนังสือออกวางแผง ฮือฮามาก มีคนส่งจดหมายมาเยอะมาก เป็นพันๆ ฉบับ มีทั้งชมและติ พอหลังจากนั้นก็ได้มาเล่นหนังของอาไพรัช สังวริบุตร เล่นคู่กับรองนางสาวไทย วริศรา วชิราชัย ปี 2514 เล่นเป็นเจ้าของฟาร์ม ถ่ายที่ฟาร์มโชคชัย พอหนังทีวี.ออกอากาศก็มีคนติดต่อมาให้ไปเล่นเรื่อยๆ เริ่มมีชื่อเสียงขึ้น จนกระทั่งเล่นหนังเรื่องหนึ่งในปี 2516 แล้วมีเหตุการณ์ 14 ตุลา ทุกอย่างหยุดหมดเลย ผมก็เรียนจบพอดี เลยได้ออกไปอยู่ต่างจังหวัดที่บ้านเกิด คือ ยโสธร และเริ่มสนใจการเมืองอย่างจริงจัง

ดวงชะตาฟ้าลิขิต

อาจารย์คิด สุวรรณศร ประกาศลงหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ว่าขอให้ รณ ฤทธิชัย ติดต่อกลับที่เบอร์โทรศัพท์นี้นะ เพื่อนๆ เอาหนังสือพิมพ์ไปให้ดูในป่า ผมอ่านดูแล้วก็เฉยๆ ไม่ได้ติดต่อกลับ อีกประมาณสักเดือนกว่าๆ แกก็ลงตามอีกแล้วครั้งที่สอง ผมก็เลยคิดว่า เอ๊ะ..มีอะไรหรือเปล่าก็เลยโทร.กลับ แกบอกให้เข้ากรุงเทพฯ หน่อยได้ไหมมีเรื่องอยากคุยด้วย เขียนบทไว้ให้ตามคาแร็กเตอร์ที่เคยคลุกคลีด้วยกัน เรื่อง “คนกลางแดด” เป็นหนังเรียลิสติก เป็นแนวที่ไม่มีใครทำ ผมก็ขับรถปิกอัพสีเหลืองเข้ากรุงเทพฯ ไปหาแกทันที พอไปเจอแกก็เอาบทมาให้อ่าน เป็นเรื่องราวชีวิตของคนในสลัมซึ่งเป็นนักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชน ตรงกับอุดมการณ์แนวความคิดเรา ผมก็ตอบตกลงทำกับแก แล้วแกก็พาไปหาเสี่ยเจียง (สมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐ)คุยกันเรียบร้อยตกลงทำเรื่องนี้ ผมก็เป็นพระเอกช่วงนั้นเป็นช่วงเปลี่ยนแนวหนัง จะมีหนังประเภทนี้อยู่ประมาณ 3 เรื่อง คนกลางแดด, เมืองในหมอกและน้ำค้างหยดเดียว เป็นแนวเดียวกันหมดเลยข่าวออกมาดีมากเลย มีพระเอกเกิดใหม่ชื่อ รณ ฤทธิชัยแต่ปรากฏว่าหนังเจ๊งหมดเลยสามเรื่อง (หัวเราะร่วน) แต่ผมแจ้งเกิด หลังจากนั้นก็มีเรื่องอื่นๆ ตามมาผมก็จะรับเล่นทีละเรื่อง

แจ้งเกิดในหนัง “มือปืน”

คือใจผมชอบการเมืองมาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว ฉะนั้นการเมืองกับงานบันเทิงสองอย่างนี้จะไปด้วยกันตลอด ควบคู่กันไปในชีวิต ลงสมัครผู้แทนตอนปี 2521 สอบตกเลย ตอนแรกคิดว่าจะได้ เพราะคิดว่าหนังเรื่อง คนกลางแดด จะฉายแล้ว คนคงรู้จักเรา แต่กลายเป็นว่าหนังฉายหลังเลือกตั้ง (หัวเราะ) แล้วปี 2522, ปี 2526 ลงอีกก็สอบตกอีก เลยกลับมาเล่นหนัง และทำให้คนรู้จักมากขึ้นอีกกับเรื่อง “มือปืน” ซึ่งถือว่าโด่งดังมาก ตอนนั้นที่อียิปต์เขาจัดไคโร อียิปต์ ฟิล์ม เฟสติวัล เขาก็เจาะจงมาเลยให้ ท่านมุ้ย (หม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล) เอาเรื่องนี้ไปฉายโชว์ที่อียิปต์ ผมก็ไปด้วยในฐานะนักแสดง

สอบตกการเมือง แต่ได้รางวัลการแสดง

อย่างที่บอกผมทำควบคู่กันไป ทั้งงานวงการบันเทิง และงานทางการเมือง พอลงสมัครการเมืองสอบตกไป 6 ครั้ง แต่ก็ได้รางวัลทางการแสดงมาชดเชยการสอบตกนะ (หัวเราะ) ปี พ.ศ. 2528 ได้รางวัลพระราชทานพระสุรัสวดี นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม จากเรื่องครูสมศรี ปีพ.ศ. 2529 ได้รางวัลภาพยนตร์แห่งชาติ สุพรรณหงส์ นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม จากเรื่องครูสมศรี ปี พ.ศ. 2534 ได้รางวัลภาพยนตร์แห่งชาติ สุพรรณหงส์ นักแสดงประกอบชายยอดเยี่ยม จากเรื่องคนเลี้ยงช้าง รวมก็เล่นหนังประมาณ 50 กว่าเรื่อง แต่ที่เด่นๆ ทำชื่อเสียงให้เราก็จะเป็นหนังของท่านมุ้ย หนังของพี่เชิด ทรงศรี ส่วนหนังที่ผมทำเองก็มีเรื่อง “สัตว์สงคราม” เป็นเรื่องของจินตนาการ ผมเป็นคนเขียนบท เป็นผู้กำกับ เองหมดเลย ก็ถือว่าโอเค ไม่ขาดทุน ทำเรื่องเดียวเหนื่อยมาก ทั้งเล่น ทั้งเป็นนายทุนเอง ทำทุกอย่าง ก็สนุกดี แต่เหนื่อย ตั้งแต่นั้นมาก็บอกตัวเองไม่ทำแล้ว

เกือบได้โกอินเตอร์กับบทบู๊สายถนัด

มีหนังฮ่องกงเรื่องหนึ่งติดต่อมา เกี่ยวกับนักมวย อ่านบทเสร็จ ผมไม่รับ เพราะในเรื่องเล่นเป็นนักมวยแต่เราต้องเล่นเป็นคนที่แพ้ ผมก็ไม่ยอมสิซึ่งก็เสียดายนะ ถ้าเล่นเราก็ก้าวไปสู่อินเตอร์ได้แต่ว่าศักดิ์ศรีความเป็นนักมวยไทย ก็เลยปฏิเสธไป ตอนหลังก็มีหนังฮ่องกงที่เล่นคือ “ปล้นข้ามโลก”

เมื่อได้เป็นผู้แทนสมใจ

ผมเป็นผู้แทนปี 2538 ตอนนั้นเริ่มห่างจากวงการบันเทิงไปเลย ได้เป็นผู้แทนติดต่อกัน 5 สมัย อยู่ในสภาประมาณ 20 กว่าปี แต่ในขณะเดียวกัน ช่วงว่างก็ไปรับเชิญบ้าง อย่างในช่วงปี 2544 ก็กลับมาเล่นเรื่อง “สุริโยไท” เล่นเป็นกษัตริย์พม่า ในบทพระเจ้าแปร แล้วมี “ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาค 6 ตอน อวสานหงสา” และ “พันท้ายนรสิงห์” เรื่องล่าสุด

ความสุขจากการเป็นนักการเมือง

ผมเป็นผู้แทนมาตั้งแต่ปี 2518 จนกระทั่งตอนนี้ ตั้งปณิธานไว้ว่า จะเป็นผู้รับเหมา จะไม่ทำธุรกิจการเมือง จะเอาเวลาทั้งหมดที่มีอยู่ทุ่มเทในการแก้ไขปัญหาพี่น้องประชาชนโดย เฉพาะเรื่องน้ำ เพราะผมเป็นคนอีสาน ซึ่งพื้นที่ภาคอีสานเป็นพื้นที่ที่ทำเกษตรเพื่อเลี้ยงครอบครัวมาตั้งแต่โบราณ อาชีพส่วนใหญ่ก็ทำนา ถ้าขาดน้ำมันก็ไม่สามารถสร้างรายได้ตอนนี้ผมก็เลยทุ่มเทเวลาทั้งหมดศึกษาเกี่ยวกับเรื่องน้ำ เรื่องการที่จะหาเงินงบประมาณผลักดันมาขุดลอกคูคลอง ทำฝาย สร้างเขื่อน เอาน้ำเข้าไปสู่ไร่นา แม้จะไม่ได้เป็นผู้แทนก็ยังทำ เป็นประชารัฐ ที่เป็นประชาชนทำงานช่วยรัฐบาล การได้เห็นชาวบ้านมีชีวิตที่ดีขึ้น นี่คือความภาคภูมิใจที่เราได้ทำ

ชีวิตครอบครัวที่อบอุ่น

ทุกคนในบ้านเข้าใจทุกอย่าง มีลูกผู้ชาย2 คน โชคดีที่เขาไม่เป็นคนเที่ยว คนโตอายุ 30 แต่งงานมีครอบครัวแล้ว รอเลี้ยงหลาน (หัวเราะ) ส่วนคนเล็กห่างกับพี่คนโต 8 ปี ลูกหลง ส่งไปอยู่กับลุงที่แคนาดา เพราะผมเป็นคนที่เวลาไปต่างประเทศแล้วภาษาเราไม่เก่ง ฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง เจ็บใจ ก็เลยส่งลูกไปเรียนซะเลย ซึ่งก็จะจบปริญญาตรีปีหน้าแล้วครับ ลูกๆ ไม่สนใจการเมืองหรือวงการบันเทิงเลยครับ ซึ่งเราก็ไม่บังคับ

หนี้สินมีบ้าง แต่ไม่เครียด

คือผมไปเซ้งห้องไว้ คิดจะทำมาค้าขาย ปรากฏว่าไม่บูม ก็ต้องผ่อนจ่ายเดือนละสี่หมื่นกว่า เป็นห้องที่โบ้เบ้ ก็เปิดให้คนเช่าเดือนละหมื่น แต่เราต้องหาเงินไปจ่ายเดือนละประมาณ 37,000 เซ้งเขาไว้ 24 ปี ตอนนี้ก็เหลือประมาณ 3-4 ปีก็หมดละแต่ปัญหาตอนนี้คือไม่มีรายได้ ส่วนที่ยโสธรก็มีบ้าน แต่ไม่มีที่ดิน เมื่อก่อนเคยมีที่อยู่ 10 ไร่ แต่พอเลือกตั้งครั้งสุดท้าย มีหนี้ก็เลยขายหมดเลย เพื่อไปใช้หนี้แต่ก็ยังไม่หมด (หัวเราะร่วน)

อยากกลับมาเล่นหนังเล่นละครอีกไหม

ถ้าบทมาก็รับ แต่อยากเป็นคนดี ไม่อยากเป็นผู้ร้าย คือที่ผ่านมาก็เล่นหลายแบบ อย่างผู้ร้ายก็ไม่ได้ร้ายตรงๆ คือบทที่ทำให้เรามีคาแร็กเตอร์ที่จะเล่น ถ้ามีคนติดต่อมา ก็จะเล่นครับ

บั้นปลายชีวิต

วันหนึ่งถ้ากำลังเราหมดไป ก็คงต้องปล่อยให้คนอื่นเขาทำ เราจะทำงานให้กับประชาชนจนกว่าเราจะไม่มีแรง หรือถ้าพี่น้องประชาชนให้ความศรัทธาเราอยู่ หรือถ้าเลิกการเมืองก็คงไปทำไร่ทำนาเศรษฐกิจพอเพียง เอาแค่เราได้ออกกำลังกายพอ เรารู้วันเกิด แต่เราไม่รู้วันตาย

ฝากถึงนักแสดงยุคใหม่วัยใส

ทุกวันนี้มีโรงเรียนสอนแอ๊กติ้ง เด็กทุกวันนี้ได้เปรียบกว่าสมัยก่อน จะเล่นตัวไหนต้องศึกษาเอง แล้วตอนนี้คนเยอะ ถ้าเราไม่หมั่นฝึกฝน ไม่รักษากฎกติกา ระเบียบวินัย เงินอาจจะหาง่าย ชื่อเสียงก็ไปง่ายเหมือนกัน ฉะนั้นต้องหมั่นฝึกฝน เพื่อผลงานที่ออกมาจะได้เป็นที่ประทับใจคนดู

บอกเลยว่าไม่ใช่แค่อาชีพนักแสดงเท่านั้น ทุกอาชีพถ้าเราหมั่นฝึกฝนจนเป็นนิสัย รับรองว่าอนาคตไปได้ไกลแน่นอน

กุหลาบสีเงิน