“ลดค่าเทอม“ร้อยละ50-70 ดีไหม ถามครูโอ๊ะ-ครูเหน่ง เมื่อไม่มีการเรียนการสอน #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

https://www.komchadluek.net/news/481030

29 ส.ค. 2564

พ่อแม่ผู้ปกครองเดือดร้อนหนัก พักค่าเทอมหรือ”ลดค่าเทอม”ดีไหม เมื่อข้อเท็จจริง ไม่มีการเรียนการสอน เพื่อความเป็นธรรมกับผู้เรียนและประชาชน

ต้องยอมรับความจริงร่วมกันก่อนว่า  การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบต่อการเรียนการสอนของนักเรียน นิสิต นักศึกษา แต่ที่เป็นปัญหาและน่าเป็นห่วง คือนักเรียนในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) 

เด็กนักเรียนตั้งแต่ชั้นอนุบาล ถึงชั้นม.6 รวมถึงการอาชีวะศึกษา ระดับปวช. และปวส. โดยเฉพาะนักเรียนในชนบทห่างไกลเทคโนโลยีเพื่อการศึกษาเข้าไปไม่ถึง

ประกอบกับการเลื่อนปิด-เปิดเทอม ภาคเรียนที่1 / 2564 จากเดิม 16 พฤษภาคม ออกเป็น 1 มิถุนายน และเลื่อนอีกครั้งเป็น 14 มิถุนายน แต่เพราะพิษโควิด-19 สถานศึกษาเปิดเรียนแบบเต็มรูปแบบได้ไม่ถึงครึ่ง เมื่อเกิดการระบาดระลอกใหม่ จำนวนสถานศึกษาที่เปิดสอนจริงๆ ลดเหลือแค่ 2,000 โรงเรียน จากทั้งหมด 34,887 แห่ง

“ครูเหน่ง” ตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ(รมว.ศธ.) และ “ครูโอ๊ะ” ดร.กนกวรรณ วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ(รมช.ศธ.)  รู้หรือไม่ว่าสถานศึกษาไม่สามารถเปิดเรียนได้

เมื่อทั้งคุณครูและนักเรียนหลายพื้นที่กลายเป็นผู้ป่วยโควิด-19 การเรียน การสอนเต็มรูปแบบจึงไม่มีอยู่จริง

“ครูเหน่ง-ครูโอ๊ะ” รู้ไหม การเรียนการสอนในสถานศึกษาไม่มีอยู่จริง เมื่อเด็กต้องหยุดเรียนอยู่บ้านกับพ่อแม่ผู้ปกครองซึ่งตกงานขาดรายได้มาเลี้ยงครอบครัว แต่ลูกต้องเรียนออนไลน์ ต้องมีอุปกรณ์ในการเรียนออนไลน์ อย่างน้อยคือมือถือ อินเทอร์เน็ต ฯลฯ

ในทางปฏิบัติต้นทุนการศึกษาของนักเรียน ในภาคเรียนที่ 1 / 2564  พ่อแม่ผู้ปกครองเป็นคนแบกรับค่าใช้จ่าย เมื่อลูกจำเป็นต้องเรียนออนไลน์อยู่ที่บ้าน แต่ค่าเทอมโรงเรียนเอกชนยังให้จ่ายเท่าเดิม

และยังมีกระแสออกมาว่าจะหักเงินเยียวยานักเรียนที่ได้รับการจัดสรรคนละ 2,000 บาท  เอาไว้เป็นค่าเทอมกรณีมีนักเรียนยังไม่จ่ายค่าเล่าเรียนภาคเรียนที่ 1/ 2564 หรือที่จ่ายค่าเล่าเรียนแล้ว แต่จ่ายไม่ครบ ก็จะอาศัยช่องโหว่นี้ยึดเงินแทนที่จะส่งให้ผู้ปกครอง

ดูเหมือน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ รู้ทันกลลวงของผู้บริหารโรงเรียน ถึงได้ออกโรงกำชับ “ห้ามเด็ดขาด” ฮุบเงินเยียวยานักเรียนคนละ 2,000 บาท

เมื่อการเรียนการสอนไม่มีเกิดขึ้นจริง  และภาระตกที่พ่อแม่ผู้ปกครอง ทางออกที่เป็นธรรมกับประชาชน  รัฐบาลควรลดค่าเทอม ร้อยละ50-70 เมื่อไม่มีการเรียนการสอนในสถานศึกษาจริง

ถาม”ครูโอ๊ะ-ครูเหน่ง”เมื่อไม่มีการเรียน การสอน ในสถานศึกษาจริง ควร“ลดค่าเทอม“ ร้อยละ50-70 ดีไหม

ม.มหิดลต่อลมหายใจเศรษฐกิจชาติส่งเสริม “ผู้สูงวัย” สู่การเป็นผู้ประกอบการ #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

https://www.komchadluek.net/news/480983

29 ส.ค. 2564

แรงงานของคนหนุ่มสาว อาจไม่เพียงพอต่อการทำให้เศรษฐกิจชาติฟื้นตัว “ม.มหิดล” เผยกลุ่มผู้บริโภคสูงวัยนับวันเติบโต การเตรียมความพร้อมให้ “ผู้สูงวัย” ด้วยกันเองได้เป็นผู้ประกอบการอาจจะตอบโจทย์ความมั่นคงและยั่งยืน

ตามเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDGs) แห่งสหประชาชาติ ข้อที่ 8 ซึ่งว่าด้วยการส่งเสริมการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน (Decent Work And Economic Growth) ในโลกยุคปัจจุบัน ที่ขับเคลื่อนด้วยกลไกทางเศรษฐกิจ และการก้าวสู่สังคมผู้สูงวัยอย่างเต็มรูปแบบ 

ลำพังแรงงานของคนหนุ่มสาวอาจไม่เพียงพอต่อการทำให้เศรษฐกิจชาติเกิดความมั่นคงและยั่งยืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงวิกฤติ โควิด-19 พบกุญแจสำคัญในการตอบโจทย์กลุ่มผู้บริโภคสูงวัย คือ การเตรียมความพร้อมให้ผู้สูงวัยด้วยกันเองได้มีโอกาสลุกขึ้นมาเป็นผู้ประกอบการ

อาจารย์ ดร.สุเทพ นิ่มสาย หัวหน้าสาขาการจัดการและกลยุทธ์ (Management and Strategy) และสาขาการจัดการธุรกิจอาหาร (Food Business Management) วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล (CMMU) กล่าวในฐานะหัวหน้าทีมผู้สอนรายวิชาอบรมออนไลน์ “ผู้ประกอบการและนวัตกรรมสำหรับธุรกิจผู้สูงวัย” (Entrepreneurship And Innovation For Aging Business) ทางระบบ MUx ของมหาวิทยาลัยมหิดล

ว่า วิทยาลัยการจัดการ ม.มหิดล (CMMU) ไม่ได้มุ่งเน้นการเรียนการสอนเพื่อพัฒนานักบริหารและผู้ประกอบการที่มุ่งหวังผลกำไรแต่เพียงอย่างเดียว แต่จะพยายามส่งเสริมให้มีทักษะการเป็นนักบริหารและผู้ประกอบการที่มีมุมมองที่มุ่งเน้นการพัฒนาธุรกิจแบบยั่งยืน และส่งผลดีต่อสังคมและชุมชน ซึ่งต้องอาศัยการพึ่งพาตนเองเพื่อให้สามารถอยู่รอดได้ตามสภาพเศรษฐกิจและสังคม 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุค Next Normal ที่เปลี่ยนแปลง และการที่นับวันยิ่งมีสัดส่วนของประชากรผู้สูงวัยมากขึ้น จึงไม่อาจมองข้ามการขยายตลาดแรงงานสู่กลุ่มประชากรผู้สูงวัย ซึ่งการส่งเสริมให้ผู้สูงวัยได้ก้าวสู่การเป็นผู้ประกอบการจะเป็นการตอบโจทย์ที่ตอบสนองความต้องการของผู้สูงวัยด้วยกันเองได้ดีที่สุด

โดยปัจจัยพื้นฐานที่จะทำให้ประสบความสำเร็จในการเป็นผู้ประกอบการ คือ การที่จะต้องทำธุรกิจที่ต้องขับเคลื่อนด้วยข้อมูล (Build Data-Driven Culture) “รู้เขา” “รู้เรา” และ “เข้าใจตลาด” อย่างแท้จริง

โดยจะต้องเข้าใจก่อนว่าปัจจุบันผู้บริโภคมีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมไปอย่างมาก โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงวัยมีแนวโน้มการใช้ชีวิตที่แตกต่างกันออกไปตามสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลง “รู้เขา” คือ จะต้องเข้าใจกลุ่มเป้าหมายว่า เป็นผู้สูงวัยที่มีการใช้ชีวิต (Life Style) อยู่ในกลุ่มใด ซึ่งปัจจุบันพบโดยทั่วไปใน 3 แบบแบ่งตามลักษณะทางสังคมและสุขภาวะ คือ 

ผู้สูงวัยแบบ “ติดบ้าน” “ติดเตียง” และ “ติดสังคม” แล้วให้มาพิจารณา “รู้เรา” หรือปัจจัยความพร้อมทางเศรษฐกิจ ประสบการณ์ความเชี่ยวชาญ และปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องของตัวผู้ประกอบการเอง รวมทั้งจะต้อง “เข้าใจตลาด” โดยศึกษาได้จากแนวโน้มความสนใจของผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมาย

แนวโน้มการประกอบการ หรือธุรกิจที่น่าจับตาของผู้สูงวัยในปัจจุบัน ได้แก่ การประกอบการ หรือธุรกิจที่มีความเฉพาะด้าน อาทิ ด้านอาหาร ด้านที่อยู่อาศัย และด้านสุขภาวะ 

นอกจากนี้ ยังมีการประกอบการ หรือธุรกิจที่น่าสนใจรองลงมา อาทิ ด้านการท่องเที่ยว และด้านการเงิน ซึ่งจากข้อมูลการสำรวจที่ผ่านมา เป็นที่น่าสังเกตว่าผู้สูงวัยส่วนใหญ่มีแนวโน้มที่จะเป็นโสด และพักอาศัยอยู่คนเดียว ดังนั้นรูปแบบในการอยู่อาศัยจึงเปลี่ยนไปจากเดิม จึงจำเป็นที่จะต้องมีการวางกลยุทธ์ทางธุรกิจให้เหมาะสม และตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่

เพื่อการเตรียมความพร้อมสู่การเป็นผู้ประกอบการสำหรับธุรกิจผู้สูงวัยที่ยั่งยืน จำเป็นต้องมีการสร้างเครือข่าย และเพิ่มพูนทักษะต่างๆ ที่จำเป็นต่อการประกอบการในโลกยุคปัจจุบันอยู่เสมอ

โดย ม.มหิดล ได้เปิดอบรมออนไลน์เพื่อการเรียนรู้ทักษะที่จำเป็นต่างๆ ในการดำรงชีพ และประกอบวิชาชีพที่ทันสมัยในระบบ MUx ซึ่งได้เปิดกว้างให้ประชาชนโดยทั่วไปสามารถลงทะเบียนเพื่อเข้ารับการอบรมออนไลน์พร้อมรับประกาศนียบัตรได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ทาง http://mux.mahidol.ac.th

ประกาศผลการคัดเลือกรางวัล “สื่อสร้างสรรค์”คุณธรรมอวอร์ด ปี 2563 #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

https://www.komchadluek.net/news/480806

27 ส.ค. 2564

ประกาศผลการคัดเลือกรางวัล “สื่อสร้างสรรค์”คุณธรรมอวอร์ด ปี 2563 มุ่งเน้นให้ผู้รับรู้สื่อมีพฤติกรรมด้านคุณธรรม หรือวิถีวัฒนธรรมที่ดีงามของสังคมไทย จำนวน 9 ประเภท

วันที่ 27 ส.ค.64 ศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) และ กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ กระทรวงวัฒนธรรม จัดงานประกาศผลรางวัลโครงการสื่อสร้างสรรค์คุณธรรมอวอร์ด ปี 2563 (Moral Media Awards 2020)

ประกาศผลการคัดเลือกรางวัล “สื่อสร้างสรรค์"คุณธรรมอวอร์ด ปี 2563ประกาศผลการคัดเลือกรางวัล “สื่อสร้างสรรค์”คุณธรรมอวอร์ด ปี 2563

โดยมีนายอิทธิพล คุณปลื้ม รมว.วัฒนธรรมเป็นประธานมอบรางวัลและโล่เกียรติคุณ พร้อมด้วยรศ.นพ.สุริยเดว ทรีปาตี ผู้อำนวยการศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) และ ดร.ธนกร ศรีสุขใส ผู้จัดการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์

โดยจัดขึ้นในรูปแบบ Virtual Live ผ่านเฟซบุ๊กเพจศูนย์คุณธรรม Moral Center Thailand และเฟซบุ๊กกองทุนฯในงานสมัชชาคุณธรรมแห่งชาติครั้งที่ 11

นายอิทธิพล คุณปลื้ม รมว.วัฒนธรรม กล่าวว่า ขอขอบคุณหน่วยงานที่ได้ร่วมกันจัดทำ และขอแสดงความยินดีกับผู้ที่ได้รับรางวัล ที่ทำให้เกิดการส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรมในวงกว้าง เพื่อให้สังคมได้รับสื่อที่มีคุณภาพ จะได้เป็นแรงบันดาลใจในการผลิตสื่อที่ดีมีคุณภาพในปีต่อ ๆ ไป

ประกาศผลการคัดเลือกรางวัล “สื่อสร้างสรรค์"คุณธรรมอวอร์ด ปี 2563ประกาศผลการคัดเลือกรางวัล “สื่อสร้างสรรค์”คุณธรรมอวอร์ด ปี 2563

รศ.นพ.สุริยเดว ทรีปาตี ผอ.ศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) กล่าวว่า ศูนย์คุณธรรมฯและ กองทุนพัฒนาสื่อฯ คณะกรรมการปฎิรูปด้านวัฒนธรรม กีฬา แรงงาน และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ กระทรวงวัฒนธรรม ได้จัดทำโครงการนี้ขึ้นเป็นปีแรก มุ่งเน้นให้ผู้รับรู้สื่อมีพฤติกรรมด้านคุณธรรม หรือวิถีวัฒนธรรมที่ดีงามของสังคมไทย จำนวน 9 ประเภท

ประกาศผลการคัดเลือกรางวัล “สื่อสร้างสรรค์"คุณธรรมอวอร์ด ปี 2563ประกาศผลการคัดเลือกรางวัล “สื่อสร้างสรรค์”คุณธรรมอวอร์ด ปี 2563

โดยมีผู้ส่งผลงานเข้าร่วมมากถึง 315 ผลงาน แบ่งเป็น ประเภทละคร 25 ผลงาน ภาพยนตร์ 18 ผลงาน คลิปวิดีโอสั้นที่เผยแพร่ทางโซเซียลมีเดีย 93 ผลงาน โฆษณา 27 ผลงาน บทเพลง 25 ผลงาน รายการวิทยุ 6 ผลงาน รายการโทรทัศน์ 38 ผลงาน สื่อสิ่งพิมพ์ 47 ผลงาน และสื่อดิจิทัล 36 ผลงาน
  

สำหรับหลักเกณฑ์การคัดเลือก ได้แก่

1.เป็นสื่อสร้างสรรค์คุณธรรม ที่มีเนื้อหาแง่มุมด้านคุณธรรมหรือสื่อสารเพื่อกระตุ้นจิตสำนึกด้านคุณธรรม

2.เผยแพร่ในสื่อช่องทางต่างๆ แล้วภายในปี 2562 – 2563

3.เป็นสื่อที่ไม่ขัดต่อศีลธรรม ไม่สื่อถึงการยุยง ปลุกปั่น และไม่มีความเกี่ยวข้องกับการเมืองโดยตรง

และ 4.เกณฑ์อื่น ๆ ให้เป็นไปตามมติของคณะทำงาน
 

ดร.ธนกร ศรีสุขใส ผจก.พัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ กล่าวว่า กองทุนฯมีวัตถุประสงค์รณรงค์ส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ เราอยากเห็นการใช้สื่อเพื่อส่งเสริมสิ่งที่ดีงาม เป็นความดีของคนในสังคมและทำให้ได้รับการขยายผลสู่สาธารณชนต่อไป

ผลการคัดเลือกสื่อสร้างสรรค์คุณธรรมอวอร์ด ปี 2563 ทั้ง 9 ประเภท มีดังนี้

1.ประเภทละคร จำนวน 3 ผลงาน ได้แก่ ปลายจวัก โดย สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส, ทองเอก หมอยา ท่าโฉลง โดยสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3, วัยแสบสาแหรกขาด โครงการ 2 โดย สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3

2.ประเภทภาพยนตร์ จำนวน 3 ผลงาน ได้แก่ Mother Gamer เกมเมอร์เกมแม่ โดย บริษัท สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด, รักนะซุปซุป โดย บริษัท มณวิจิตร เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด, หัวใจทองคำ โดย บริษัท สยามแพนโดร่า จำกัด

3.ประเภทคลิปวิดีโอสั้นที่เผยแพร่ทางโซเชียลมีเดีย จำนวน 3 ผลงาน ได้แก่ จนแต่มีน้ำใจ โดย กุลิ ฟิล์ม, ท่านจงมีน้ำใจต่อกัน โดย บางรัก ชาแนล, Blood Hero กลุ่มฮีโร่ หลั่งเลือดจากชมรมผู้บริจาคโลหิต ๑๐๐ ครั้ง สภากาชาด โดยเพจมนุษย์ต่างวัย 

4.ประเภทโฆษณา จำนวน 3 ผลงาน ได้แก่ ไฟ-ฟ้า by TMB / เด็กธรรมดา…คือสิ่งที่สวยงาม โดย ธ.ทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) , คุณเคย bully ใครหรือเปล่า? | ความสุขประเทศไทย โดย ความสุขประเทศไทยและธนาคารจิตอาสา, โปรโมชั่นที่ดีที่สุด | Air Asia โดย JourneyD/ บริษัท ไทยแอร์เอเชีย จำกัด

5.ประเภทบทเพลง จำนวน 3 ผลงาน ได้แก่ แสงศรัทธา โดย ส่วนประชาสัมพันธ์ ม.แม่ฟ้าหลวง, ด้วยใจรัก โดย นายวีระ มนตรีวงษ์, เชิญอริยมรรค จากโครงการสามเณร ปลูกปัญญาธรรม โดย หน่วยงานทรูปลูกปัญญา บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)

6.ประเภทรายการวิทยุ จำนวน 3 ผลงาน ได้แก่ รายการ GIVE NEVER STOP มอบอุปกรณ์ช่วยชีวิต โดย บริษัท วิไลเซ็นเตอร์แอนด์ซันส์ จำกัด ผู้ผลิตรายการข่าวจราจร สวพ.FM91 และผู้สนับสนุน รายการ บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน), รายการห้องรับเเขก สวีทเอฟเอ็ม โดย FM 89.5 MHz., รายการสโมสรวัฒนธรรม โดย สถานีวิทยุกระจายเสียง ม.ธรรมศาสตร์ AM981 KHz 

7.ประเภทรายการโทรทัศน์ จำนวน 3 ผลงาน โดยมีการจัดอันดับรางวัล ดังนี้ รางวัลชนะเลิศ ได้แก่ รายการสามเณรปลูกปัญญาธรรม ปี 8 จากโครงการสามเณร ปลูกปัญญาธรรม โดย หน่วยงานทรูปลูกปัญญา บริษัท ทรูคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)

 รองฯอันดับ 1 รายการชัวร์ก่อนแชร์ โดยศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์ สำนักข่าวไทย อสมท, รองฯอันดับ 2 รายการท้าให้อ่าน The Reading Hero โดย สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส

8.ประเภทสื่อสิ่งพิมพ์ จำนวน 3 ผลงาน โดยมีการจัดอันดับรางวัล ดังนี้ ชนะเลิศ ได้แก่ หนังสือ Water Wide Web พายเรือเก็บขยะ 7 ประเทศ ผู้แต่ง ปริญญา เทวานฤมิตรกุล จากสำนักพิมพ์บ้านหนังสือ, รองฯอันดับ 1 หนังสือ เด็กชายชาวดง ผู้แต่ง มาลา คำจันทร์ จากสำนักพิมพ์ กรู๊ฟ พับลิชชิ่ง จำกัด, รองฯอันดับ 2 หนังสือ หอมกลิ่นความดี ผู้แต่ง ประสาร มฤคพิทักษ์ จากสำนักพิมพ์ศยาม และ

9.ประเภทสื่อดิจิทัล จำนวน 3 ผลงาน ได้แก่ สารคดี หัวใจตื่นรู้ โดย มูลนิธิสหธรรมิกชน, ธรรมlife โดย มูลนิธิหอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ, เปิดใจ – แพลตฟอร์มที่จะช่วยให้ครูเข้าถึงหัวใจวัยรุ่นได้มากกว่าที่เคย โดย บริษัท มายด์เซ็ทเมคเกอร์ จำกัด

“สจล.” เปิด ศูนย์ โฮม ไอโซเลชัน พระจอมเกล้าลาดกระบัง #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

https://www.komchadluek.net/news/480804

27 ส.ค. 2564

สุชัชวีร์ เผย ศูนย์ โฮม ไอโซเลชัน เน้นดูแลผู้ป่วยเขตลาดกระบัง พร้อมดึงมือแพทย์จากรพ.พระจอมเกล้าเจ้าคุณทหาร และคลินิกเวชกรรม “สจล.” สำหรับผู้ป่วยสีเขียว ย้ำ6แนวทางดูแลตนเองที่บ้าน

วันที่  27 สิงหาคม2564 ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ อธิการบดี สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.)เปิดเผยว่า เปิดเผยว่า จากสถิติผู้ติดเชื้อสะสมและต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลมีจำนวนเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งสวนทางกับจำนวนเตียงที่มีรองรับในปัจจุบัน สจล. โดย คลินิกเวชกรรม สจล. คณะแพทยศาสตร์ และโรงพยาบาลพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหาร (KMCH) จึงเดินหน้าโครงการ 

ดูแลผู้ติดเชื้อโควิด-19ที่เข้าระบบการดูแลที่บ้าน” (Home IsolationKMITL Clinic) ประจำปีงบประมาณ2564เพื่อดูแลผู้ติดเชื้อหรือผู้ป่วยกลุ่มสีเขียว ที่มีผลตรวจAntigen Test Kit (ATK)เป็นผลบวก และกักตัวรักษาที่บ้าน (Home Isolation)ที่มุ่งให้การช่วยเหลือนักศึกษา บุคลากร เจ้าหน้าที่ ตลอดจนประชาชนบริเวณใกล้เคียงสถาบันฯ

โดยมีบุคลากรทางการแพทย์คลินิกเวชกรรม สจล. สังกัดคณะแพทยศาสตร์ และ โรงพยาบาลพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารร่วมประเมินอาการ และให้การรักษา ตลอดจนให้คำแนะนำหรือส่งต่อทั้งนี้ สจล. ได้เปิดให้บริการดังกล่าวตั้งแต่เดือนสิงหาคม2564

“สจล.” เปิด ศูนย์ โฮม ไอโซเลชัน พระจอมเกล้าลาดกระบัง“สจล.” เปิด ศูนย์ โฮม ไอโซเลชัน พระจอมเกล้าลาดกระบัง

รศ.นพ.ประเสริฐ ตรีวิจิตรศิลป์

รศ.นพ.ประเสริฐ ตรีวิจิตรศิลป์ รองอธิการบดีฝ่ายการแพทย์และเทคโนโลยีสุขภาพ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) และ ผู้อํานวยการโรงพยาบาลพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหาร (KMCH)กล่าวเสริมว่าสำหรับผู้ป่วยที่ประสงค์ขอรับบริการสามารถลงทะเบียนเข้าระบบHome Isolationได้ ผ่านสายด่วนสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)1330โดยในกรณีที่ผู้ป่วยสีเขียวพักอาศัยในพื้นที่ใกล้เคียงสถาบันฯ ระบบของ สปสช. จะดำเนินการจับคู่กับคลินิกเวชกรรม สจล.

ทั้งนี้ผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาจะต้องปฏิบัติตัวใน 6 แนวทางดังนี้

(1) แยกตัวอยู่ในพื้นที่ ห้ามออกจากที่พัก ห้ามผู้อื่นเข้าเยี่ยม และสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา

(2) เว้นระยะห่างขั้นต่ำ2เมตร กรณีมีผู้อาศัยร่วม (3) แยกของใช้ส่วนตัว

(4) แยกการทานอาหารร่วมกับผู้อื่น

(5) แยกซักเสื้อผ้ากับผู้อื่น และ

(6) แยกขยะมัดปากถุงให้แน่น

ทั้งนี้ ในขั้นตอนการจ่ายยา และอุปกรณ์เพื่อการรักษาขั้นพื้นฐานสำหรับผู้ป่วยแบบHome Isolationจะขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของบุคลากรทางการแพทย์ในการพิจารณารายบุคคล พร้อมทั้งจัดส่งไปยังบ้านของผู้ป่วยผ่าน มอเตอร์ไซค์รับจ้าง

ขณะที่เมนูข้าวกล่องที่จัดส่งไปร่วมด้วย ก็เป็นของร้านค้าในโรงอาหารของ สจล. ที่เข้าร่วมโครงการ อันเนื่องมาจากขาดแคลนรายได้ช่วงนี้

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโครงการ “ดูแลผู้ติดเชื้อโควิด-19ที่เข้าระบบการดูแลที่บ้าน” (Home IsolationKMITL Clinic)ติดต่อที่หมายเลขโทรศัพท์02-329-8143ได้ทุกวัน เวลา8.30 – 17.00น.ติดตามความเคลื่อนไหวกิจกรรมของ สจล. ได้ที่https://www.facebook.com/kmitlofficialและhttp://kmitl.ac.th

“หลักสูตรฐานสมรรถนะ” แนวคิดสวยหรู ดูดี ของเล่นใหม่ศธ. #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

https://www.komchadluek.net/news/480799

27 ส.ค. 2564

ผู้บริหารจะเอาแบบนี้ “หลักสูตรฐานสมรรถนะ” แต่ครูไม่มีส่วนร่วม สุดท้ายไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไร ทำให้ครูเสียเวลา เด็กเสียโอกาส การศึกษาไทยเวลาหมดไปกับการหลงทาง…. กมลทิพย์ ใบเงิน… รายงาน

ลำพังการรับมือจะจัดการเรียนการสอนอย่างไรให้นักเรียนมีคุณภาพ ในยุคการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 มาปีกว่า คุณครูค่อนประเทศก็ตกอยู่ใน “ความเครียด” ไม่ด้อยไปกว่าพ่อแม่ผู้ปกครอง ที่ตกงานขาดรายได้ แต่ “คุณครู” ยังต้องมารับรู้นโยบายเร่งด่วนจากกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.)ที่ต้องลงมือปฏิบัติทันที

ตามที่กระทรวงศึกษาธิการวางแผนนำ “หลักสูตรฐานสมรรถนะ” ไปใช้โดยเริ่มในปีการศึกษา 2565 จะมีกรอบการใช้ 3 ปีที่จะครบทุกโรงเรียนทั้งระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาในปีการศึกษา 2567 และคาดว่าจะจัดให้นำร่องทดลองใช้ “หลักสูตรฐานสมรรถนะ” ในเขตพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา ประมาณวันที่ 1 กันยายน 2564

หลักสูตรฐานสมรรถนะ คืออะไร  เป็นคำถามที่ “คุณครู” ส่วนมากตอบไม่ได้ รับรู้เพียงว่าเป็นนโยบายเร่งด่วนของ นางสาวตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ มีข้อสั่งการให้ดำเนินการ ท่ามกลางความไม่เห็นด้วยของ “องค์กรครู” และผู้ที่เกี่ยวข้องด้วยเหตุผลหลายประการ

นายไกรทอง กล้าแข็ง ประธานชมรมครูสังกัดกรุงเทพมหานครออนไลน์  ได้สะท้อนความไม่เห็นด้วยขององค์กรครู ในชมรมครูสังกัดกรุงเทพมหานครออนไลน์ที่มีสมาชิกจำนวนประมาณ 32,000 สมาชิก และแชร์ไปยังชมรมครูภูธรแห่งประเทศไทยที่มีสมาชิกจำนวนประมาณ 119,000 สมาชิก ปรากฏว่า ครูส่วนใหญ่ไม่ได้มีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นต่อการปรับปรุงหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ให้เป็น “หลักสูตรฐานสมรรถนะ” หรือมีส่วนร่วมอยู่ในระดับน้อยที่สุด

เข้าทำนองสุภาษิตไทย “คนคิดไม่ได้ทำ คนทำไม่ได้คิด ” ครูเป็นผู้สอนต้องใช้หลักสูตรใหม่ แต่กลับไม่มีส่วนร่วม ผิดกระบวนการออกหลักสูตร และเรียกร้องให้ นางสาวตรีนุช  เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการและผู้มีอำนาจเหนือกระทรวงศึกษาธิการ ได้โปรดทำการทบทวนในเรื่องนี้ด่วน 

ดูเหมือนว่า จนถึงวันนี้  ยังไม่มีความชัดเจนจากนักการเมืองฝ่ายบริหารที่รับผิดชอบกระทรวงศึกษาธิการ  รวมทั้งผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงศึกษาธิการ

เกี่ยวกับการจะนำ”หลักสูตรฐานสมรรถนะ” มาใช้ในเขตพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา นั้น  ศ.ดร.กนก วงษ์ตระหง่าน ที่ปรึกษาด้านการศึกษา ตั้งข้อสังเกตว่า แนวคิดหลักการสวยหรูดูดีมาก เป็นการปรับการเรียนการสอน ที่ผู้สอนหรือคุณครูไม่สอนนักเรียนให้มีความรู้เพียงอย่างเดียว

แต่การเรียนรู้ของนักเรียนต้องเป็นการเพิ่มขึดความสามารถในการทำงาน ในการแก้ไขปัญหาต่างๆในชีวิตประจำวันได้ดี

ศ.ดร.กนก  แจกแจงอีกว่า โลกของการทำงานและแก้ไขปัญหาไม่ใช้ความรู้วิชาเดียว แต่บูรณาการใช้หลายวิชา เช่น ต้องการให้นักเรียนค้าขายเป็น นักเรียนต้องเรียนรู้หลายวิชา

อาทิ 1.วิชาคณิตศาสตร์เพื่อคิดคำนวน 2.มีความรู้เรื่องสินค้าที่จะขาย เป็นสินค้าที่ลูกค้าหรือตลาดต้องการหรือไม่ 3.นักเรียนต้องเรียนวิชาบัญชีเพื่อให้มีความต้นทุนการผลิต กำไร ขาดทุน รายรับ รายจ่าย ฯลฯ จึงบอกได้ว่านักเรียนมีสมรรถนะทางด้านการค้าขาย แต่วิชาเรียนในอดีตสอนแยกส่วนไม่บูรณาการ

“แนวคิดและหลักการผมเห็นด้วยอย่างยิ่ง แต่คุณครูของเรามีความพร้อม มีความรู้ ความสามารถที่จะสอนหรือไม่ ผมถามกลับกระทรวงศึกษาธิการ นี่คือปัญหาใหญ่ รัฐมนตรีศึกษาฯเดินไปข้างหน้า แต่ต้องย้อนกลับมาสำรวจดูว่าฝ่ายปฏิบัติพร้อมที่จะเดินตามหรือไม่ ขอให้สติผู้บริหารศธ.ไว้ 2 ประการ ดังนี้”ศ.ดร.กนก วิพากษ์การนำหลักสูตรฐานสมรรถนะมาใช้ในระบบการศึกษาไทย

1.ศธ.อย่าตื่นเต้นแนวคิดใหม่จากต่างประเทศและเร่งรีบนำมาใช้กับการศึกษาประเทศไทย เพราะในอดีตเคยล้มเหลวมาแล้ว

2.ศธ.ควรกลับไปให้ความสำคัญกับการปูพื้นฐานความรู้แต่ละวิชาให้ถูกต้อง เช่น  วิชาคณิตศาสตร์ ภาษาไทย  วิทยาศาสตร์ สังคมศึกษา ฯลฯ สอนให้นักเรียนมีความรู้ รู้จักการคิดเป็น วิเคราะห์เป็น แก้ปัญหาเป็น เมื่อพื้นฐานแน่นแล้วสามารถบูรณาการแต่ละวิชาเพื่อนำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้จริง

“คุณครูภายใต้วัฒนธรรมศธ. เมื่อบังคับให้ทำหลักสูตรฐานสมรรถนะ ครูก็ต้องเอาตัวรอด เน้นเขียนรายงาน การจดบันทึกให้ดี เมื่อผู้บริหารมาประเมินจะได้ผ่านที่เขียนไว้ แต่คุณภาพการศึกษาของนักเรียนไม่ดีขึ้น สุดท้ายไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไร    ทำให้ครูเสียเวลา เด็กเสียโอกาส แต่การจะให้ครูมายอมรับว่าไม่รู้เรื่องก็ไม่ได้ นี่คือของเล่นใหม่ศธ. มาอีกแล้ว เราหมดเวลากับการหลงทางมาตลอด การศึกษาไทยจึงไม่พัฒนาและไปไม่ถึงไหน” ศ.ดร.กนก ระบุ

ศ.ดร.กนก ตั้งข้อสังเกตว่า หากไทยเรียนรู้จากประเทศในกลุ่มเอเชีย อย่างเช่นการศึกษาของประเทศสิงคโปร์ และญี่ปุ่น เขาใช้เวลาในการปูพื้นฐานการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานและด้านอาชีวะศึกษา นานร่วม 20 ปี ที่เน้นภาษา ความีระเบียบวินัย ความรับผิดชอบต่อตัวเอง ต่อครอบครัว ต่อสังคม ฯลฯ เมื่อการศึกษาขั้นพื้นฐานแข็งแกร่งแล้วถึงมาให้ความสำคัญกับการศึกษาระดับอุดมศึกษา

” ผู้บริหารบอกจะเอาหลักสูตรฐานสมรรถนะแบบนี้นะ ครูตามไม่ทัน เพราะไม่ให้ครูได้มีส่วนร่วมในช่วงการร่างหลักสูตร ผมท้าเลยนะลองให้เลขาธิการกพฐ.มาสอนหลักสูตรฐานสมรรถนะนักเรียนมัธยมศึกษา เพื่อสร้างสมรรถลองมาสอนผมจะมานั่งเรียน ดูซิว่าเลขาธิการกพฐ.สอนเด็กแล้วทำได้ไหม”ศ.ดร.กนก ฝากให้คิด

“ม.รามคำแหง” เตรียมเปิด ศูนย์พักคอย ผู้ป่วยโควิด 1 กันยายนนี้ #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

https://www.komchadluek.net/news/480747

27 ส.ค. 2564

“ม.รามคำแหง” จับมือรพ.นพรัตนราชธานี และเครือซีพี เปิดศูนย์พักคอย สำหรับผู้ป่วยโควิด-19 เพื่อรองรับผู้ติดเชื้อที่รอเข้ารับการรักษาในระบบ เปิด 1 กันยายน นี้

วันที่  27  สิงหาคม 2564  ผู้ช่วยศาสตราจารย์วุฒิศักดิ์ ลาภเจริญทรัพย์ รักษาราชการแทนอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง (ม.รามคำแหง) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ยังมีผู้ติดเชื้อจำนวนมาก ที่รอเข้ารับการรักษาในระบบจากโรงพยาบาล ม.รามคำแหงจึงได้ประสานความร่วมมือกับภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐและเอกชน

ได้แก่ โรงพยาบาลนพรัตนราชธานี และบริษัทเครือเจริญโภคภัณฑ์ รวมทั้งสำนักงานเขตบางกะปิ ในการจัดตั้งศูนย์พักคอยสำหรับผู้ป่วยโควิด-19 (Community Isolation: CI) เพื่อช่วยดูแลรักษาในเบื้องต้นแก่ผู้ติดเชื้อที่รอเข้ารับการรักษาในระบบ 

"ม.รามคำแหง" เตรียมเปิด ศูนย์พักคอย ผู้ป่วยโควิด 1 กันยายนนี้“ม.รามคำแหง” เตรียมเปิด ศูนย์พักคอย ผู้ป่วยโควิด 1 กันยายนนี้

โดยใช้อาคารยิมเนเซียม 1 บริเวณใกล้ประตูทางออกด้านหลังม.รามคำแหง เป็นสถานที่ดำเนินการ ซึ่งสามารถรองรับผู้ป่วยได้ 170 เตียง และหากมีความจำเป็นที่จะต้องขยายเพิ่มเติม ทางม.รามคำแหง และภาคีเครือข่ายพร้อมจะดำเนินการต่อไป

ทั้งนี้ ได้รับการสนับสนุนจากบริษัทเครือเจริญโภคภัณฑ์ในการปรับปรุงด้านสถานที่ และสภาพแวดล้อมต่างๆ เพื่อให้มีความพร้อมในการเป็นศูนย์พักคอยสำหรับผู้ป่วยโควิด-19 ตามมาตรฐานของกระทรวงสาธารณสุข

และได้รับความร่วมมือจากโรงพยาบาลนพรัตนราชธานี ในการจัดทีมแพทย์- พยาบาล เพื่อดูแลรักษาและเฝ้าสังเกตอาการของผู้ติดเชื้อในศูนย์พักคอย

"ม.รามคำแหง" เตรียมเปิด ศูนย์พักคอย ผู้ป่วยโควิด 1 กันยายนนี้“ม.รามคำแหง” เตรียมเปิด ศูนย์พักคอย ผู้ป่วยโควิด 1 กันยายนนี้

ศูนย์พักคอย ม.รามคำแหง

โดยสำนักงานเขตบางกะปิ และโรงพยาบาลนพรัตนราชธานี จะเป็นผู้พิจารณากลั่นกรอง รายชื่อผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่จะเข้าพักรักษาตัว ณ ศูนย์พักคอย ม.รามคำแหง

อธิการบดี ม.รามคำแหง  กล่าวในตอนท้ายว่า ขอขอบคุณภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนที่ให้ความร่วมมือและสนับสนุนในทุกด้านอย่างดียิ่งจนทำให้ศูนย์พักคอย มหาวิทยาลัยรามคำแหง แล้วเสร็จในเวลาอันรวดเร็ว พร้อมจะเปิดบริการ ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2564 เป็นต้นไป 

โดย ศ.พิเศษ ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (รมว.อว.) จะเป็นประธานเปิดศูนย์พักคอย สำหรับผู้ป่วยโควิด-19 ที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง ในวันที่ 1 กันยายน 2564 เวลา 08.30 น.

พร้อมด้วย ดร.สาธิต ปิตุเดชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ที่จะมาร่วมงานและเยี่ยมชมการดำเนินงานของศูนย์พักคอยฯ ที่ม.รามคำแหงด้วย

หากปิดรร. ศ.ดร.กนก หวั่นเกิด “ความเหลื่อมล้ำ” เด็กเข้าไม่ถึงเทคโนโลยี #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

https://www.komchadluek.net/news/480726

27 ส.ค. 2564

หากต้องกลับไปสู่การเรียนออนไลน์ ศธ.จะรับมืออย่างไร ไม่ให้เกิด “ความเหลื่อมล้ำ” ในเด็กด้อยโอกาสที่เข้าไม่ถึงเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา

ศ.ดร.กนก วงษ์ตระหง่าน รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แสดงความเป็นห่วงต่อการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกสาม ที่ส่งผลต่อการศึกษาของเด็กไทยว่า ประเทศไทยเผชิญหน้ากับการออกอาละวาดของโควิด-19 มาแล้วหลายครั้ง

“ทุกครั้งเราแก้ปัญหาด้วยการปิดโรงเรียนหรือปิดสถานศึกษาให้ เด็กนักเรียนเรียนออนไลน์” ศ.ดร.กนก กล่าว

และแนวโน้มก็คงจะใช้วิธีปิดสถานศึกษา และให้เด็กนักเรียนเรียนออนไลน์นี้อีก หากยังควบคุมไม่อยู่

คำถามคือกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.)ได้แก้ปัญหาที่มีเสียงสะท้อนผ่านทั้งนักเรียน นักศึกษา และอาจารย์ เกี่ยวกับการเรียนออนไลน์หรือยัง

โดยเฉพาะปัญหาความเหลื่อมล้ำในเด็กที่เข้าไม่ถึงอุปกรณ์เทคโนโลยีเพื่อการศึกษา และอินเทอร์เน็ต ที่เป็นเครื่องมือหลักในการเรียนออนไลน์

“ผมคิดว่ากระทรวงศึกษาธิการ ควรออกมาแถลงความชัดเจนเกี่ยวกับการเตรียมความพร้อม รวมถึงแนวทางแก้ปัญหา หากต้องกลับไปสู่การเรียนออนไลน์ ว่าจะรับมืออย่างไร ไม่ให้เกิดความเหลื่อมล้ำในเด็กที่เข้าไม่ถึงเทคโนโลยี

จะมีการจัดชั้นเรียนพิเศษเพื่อช่วยเด็กที่ไม่สามารถเรียนออนไลน์อย่างไร ที่สำคัญคือ การปิดโรงเรียน อาจส่งผลทางอ้อมที่ทำให้เด็กด้อยโอกาส ถูกกดดันให้ไปใช้แรงงานแทนการเรียน จนหลุดออกจากระบบการศึกษาเพิ่มขึ้น เป็นเรื่องที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการต้องทำการบ้านเพิ่มเติมในเรี่องนี้ด้วย” ศ.ดร.กนก กล่าว

ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 20 มกราคม  2564 ยูนิเซฟ ได้ออกแถลงการณ์ ห่วงเด็กได้รับผลกระทบจากการปิดโรงเรียนเพราะพิษโควิด-19 โดยให้ข้อมูลว่านักเรียน 1 ใน 3 เรียนทางไกลไม่ได้ เสี่ยงถูกทำร้าย และหลุดจากระบบการศึกษาเพิ่มขึ้น ซึ่งจากสถิติล่าสุดพบเด็กทั่วโลกออกจากระบบการศึกษาเพิ่มถึง 24 ล้านคน และเสนอว่าการปิดโรงเรียนควรเป็นทางเลือกสุดท้าย

เช็กสิทธิ์เงินเยียวยานักเรียน 2,000 บาท รร.รัฐบาล เอกชน ครบทุกขั้นตอนที่นี่ #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

https://www.komchadluek.net/news/478760

27 ส.ค. 2564

ผู้ปกครองนักเรียนทั้ง โรงเรียนของรัฐและเอกชน สามารถ”ตรวจสอบสิทธิ์” รับ”เงินเยียวยา” นักเรียนรายละ 2,000 บาท เพื่อบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษา ในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้แล้ว ตรวจสอบสิทธิ์ https://student.edudev.in.th/

ความคืบหน้าหลังคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบมาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ปกครองและนักเรียนด้านค่าใช้จ่ายทางด้านการศึกษา จำนวน 2,000 บาทต่อนักเรียน 1 คน ตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาล จนถึง ม.6

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง:

ระดับอาชีวศึกษา ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) และประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) ในกรอบวงเงิน 23,000 ล้านบาท เพื่อให้ความช่วยเหลือบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาให้แก่ผู้ปกครอง ในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19

ทั้งนี้ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ได้มีการเปิดตรวจสอบสิทธิตามโครงการดังกล่าวแล้ว

สำหรับ ขั้นตอนการตรวจสอบ ผ่านทางเว็บไซต์ https://student.edudev.in.th/ >> คลิกตรวจสอบ

เมื่อเข้าสู่เว็บไซต์แล้วให้กรอกข้อมูล ดังนี้

– กรอกเลขประจำตัวนักเรียน

– กรอกรหัสให้ตรงตามรูปที่กำหนด

– จากนั้นกดปุ่มค้นหาเพื่อตรวจสอบข้อมูล

ข้อมูลการมีตัวตน ณ วันที่ 25 มิ.ย. 2564 จากระบบนักเรียนรายบุคคล (Data Management Center: DMC) ศูนย์พัฒนาระบบข้อมูลทางการศึกษา สำนักนโยบายและแผนการศึกษาขั้นพื้นฐาน สพฐ.

ขณะที่ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) สามารถตรวจสอบได้โดยใช้รหัส G-Code ที่กระทรวงศึกษาธิการกำหนด สามารถขอทราบรหัส G-Code ได้ที่โรงเรียนที่นักเรียนศึกษาอยู่ สามารถตรวจสอบข้อมูลได้แล้ว บน ‘Application สช. On Mobile’ สามารถดาวน์โหลด ‘Application สช. On mobile’ ในระบบแอนดรอยด์ และระบบ iOS ดังนี้

– ระบบแอนดรอยด์ >> คลิกดาวน์โหลด

– ระบบ iOS  >> คลิกดาวน์โหลด

ทั้งนี้ วิธีการจ่ายเงินช่วยเหลือนี้ จะจ่ายผ่านสถานศึกษา และให้สถานศึกษาจ่ายตรงให้แก่นักเรียน นักศึกษา หรือผู้ปกครอง ในรูปแบบของเงินสด หรือนำเข้าบัญชีธนาคาร ประมาณ 11 ล้านคน วงเงินราว 21,600 ล้านบาท

คำแนะนำสำหรับการตรวจสอบข้อมูล
1. ข้อมูลทั้งหมดเป็นข้อมูลที่สถานศึกษารายงานและยืนยันรายชื่อนักเรียนที่มีตัวตนอยู่จริง ณ วันที่ 25 มิถุนายน 2564 ในระบบจัดเก็บข้อมูลนักเรียนรายบุคคล (Data Management Center: DMC)

2. หากนักเรียนมีการย้ายสถานศึกษาหลังวันที่ 25 มิถุนายน 2564 ให้ใช้ เลขประจำตัวประชาชน และ รหัสประจำตัวนักเรียน ของสถานศึกษาเดิม (สังกัด สพฐ. เท่านั้น) ในการตรวจสอบสิทธิ์

3. กรณีนักเรียนที่ตรวจสอบสิทธิ์และพบว่ามีสิทธิ์ และได้ย้ายสถานศึกษาแล้ว ท่านจะได้สิทธิ์ไปที่สถานศึกษาใหม่โดยสถานศึกษาจะรวบรวมและบริหารจัดการให้อีกครั้ง

เช็กสิทธิ์เงินเยียวยานักเรียน 2,000 บาท รร.รัฐบาล เอกชน ครบทุกขั้นตอนที่นี่เช็กสิทธิ์เงินเยียวยานักเรียน 2,000 บาท รร.รัฐบาล เอกชน ครบทุกขั้นตอนที่นี่

ตัวอย่างการตรวจสอบสิทธิ

4. กรณีที่นักเรียนอายุน้อยกว่า 3 ปี และมากกว่า 20 ปี หลังวันที่ 15 พฤษภาคม 2564 จะยังไม่ได้แสดงชื่อในรอบนี้ให้รอติดตามแนวทางจาก สพฐ. ต่อไป

5. กรณีพบชื่อ – นามสกุลไม่ถูกต้อง (ขาดเกิน ผิด) ให้แจ้งให้สถานศึกษาที่กำลังศึกษาทราบและเตรียมแก้ไขในการรายงานข้อมูล DMC ต่อไป และท่านก็จะยังได้รับสิทธิ์เมื่อสามารถแสดงตัวตนต่อสถานศึกษาที่กำลังศึกษาอยู่ได้

ทั้งนี้พ่อแม่ ผู้ปกครอง และนักเรียนสามารถตรวจสอบสิทธิ รับเงินเยียวยา 2,000 บาท ผ่านลิ้งนี้ได้ทันที >> คลิกตรวจสอบ

กูรูการตลาด จุฬาฯ เตือน “ผู้ประกอบการ” ธุรกิจ 3P อย่าทำ #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

https://www.komchadluek.net/news/480647

26 ส.ค. 2564

อาจารย์ด้านการตลาดจาก คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาฯ เตือน “ผู้ประกอบการ” ธุรกิจ อย่าทำ 3 สิ่งและอย่าเพิ่งถอดใจ วิกฤตโรคโควิด-19 ระลอกสี่จะผ่านไปอีกไม่นาน

ประเทศไทยเผชิญกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 มา 4 ระลอกแล้ว ซึ่งความรู้สึกของผู้คนที่ต้องเผชิญกับเรื่องราวในแต่ละระลอกนั้นแตกต่างกัน โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่อยู่ในแวดวงธุรกิจ

ระลอกแรกของการระบาด ผู้ประกอบการหลายรายรู้สึก “ท้าทาย” เห็นโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ หรือช่องทางธุรกิจที่สร้างสรรค์ มาถึงระลอกสอง หลายคนเริ่ม “ตกใจ” แต่พอรับสภาพและไปต่อได้

เมื่อระลอกสามเข้ามา หลายคนเริ่ม “เหงื่อตก” สายป่านเริ่มสั้น ไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไป และยังไม่ทันจะคิดตก โควิด-19 ระลอกที่สี่ก็โถมเข้าใส่อย่างรุนแรงและรวดเร็ว ทำเอาผู้ประกอบการหลายคนรู้สึก “หมดแรง” และหลายราย “ยกธงขาว” ประกาศปิดตำนานทางธุรกิจอย่างถาวรไปหลายรายตามที่เป็นข่าวในช่วงที่ผ่านมา

“เราโต้คลื่นมา 4 ระลอกแล้ว หมดแรงไม่ได้ ขอให้มีแรงต่อไป กลั้นใจอีกนิด ดูประเทศต่างๆ ที่สถานการณ์โรคระบาดเริ่มคลี่คลาย ก็จะเห็นแสงสว่างปลายอุโมงค์” ผศ.ดร.เอกก์ ภทรธนกุล ผู้ช่วยอธิการบดี งานด้านสื่อสารองค์กร บริหารแบรนด์ และนิสิตเก่าสัมพันธ์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวให้กำลังใจผู้ประกอบการผ่านรายการ “Biz Genius” ตอน สิ่งที่ธุรกิจไม่ควรทำช่วงโควิดระลอกสี่ ทางสถานีวิทยุจุฬาฯ 101.5 FM เมื่อเร็วๆ นี้

ในสภาพเศรษฐกิจที่ซบเซา ผู้ประกอบการจำนวนไม่น้อยต่อสายป่านธุรกิจ คิดกลยุทธ์การแข่งขันด้วยวิธีการต่างๆ ซึ่งกลับกลายเป็นหลุมพรางที่อาจพาธุรกิจดิ่งเหว ผศ.ดร.เอกก์ จึงชี้ให้ผู้ประกอบการธุรกิจเห็น “กับดัก 3 ประการที่ธุรกิจห้ามทำ” หรือ 3 Pอย่าทำ หากอยากประคองธุรกิจให้อยู่ยืด อยู่ยาวผ่านวิกฤตโควิดระลอก 4 จนวันฟ้าหลังฝน

1.Price อย่ามุ่งแข่งขันตัดราคา ถ้าไม่อยากร่วงเร็ว

ในวันที่ธุรกิจเหมือนจะถึงทางตัน ทางออกยอดนิยมที่ผู้ประกอบการหลายรายเริ่มงัดออกมาใช้คือการแข่งกันเรื่องราคา ซึ่งเป็นอาวุธทางการตลาดที่รุนแรงที่สุด แต่ในช่วงวิกฤตเช่นนี้ ผศ.ดร.เอกก์ ประธานหลักสูตร Master in Branding and Marketing (MBM) ภาษาอังกฤษ คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวเตือนว่า “อย่ามุ่งแต่เรื่องราคา”

“แม้คู่แข่งจะตัดราคาเก่งแค่ไหนก็ตาม เราก็ไม่ควรมองที่ราคาเพียงอย่างเดียวแล้วตัดราคาสู้กับคู่แข่ง หากทำอย่างนั้น เราจะกระอักเลือดได้ อย่าติดกับดักเรื่องราคาเพราะราคาไม่ใช่ทั้งหมดของส่วนผสมทางการตลาด”

ส่วนผสมทางการตลาดยังมีเรื่องอื่นๆ ที่เรานำมาใช้พิจารณาปรับธุรกิจยามวิกฤตได้ ผศ.ดร.เอกก์ ยกตัวอย่าง 7P สำหรับการตลาดในธุรกิจบริการ ประกอบด้วยสินค้าและบริการ (Product) ราคา (Price) ช่องทางจัดจำหน่าย (Place) การส่งเสริมการตลาด (Promotion) บุคลากร ลูกค้า (People) กระบวนการ (Process) องค์ประกอบทางกายภาพที่ส่งเสริมประสบการณ์ให้กลุ่มเป้าหมาย (Physical evidence)

กูรูการตลาด จุฬาฯ เตือน “ผู้ประกอบการ" ธุรกิจ 3P อย่าทำกูรูการตลาด จุฬาฯ เตือน “ผู้ประกอบการ” ธุรกิจ 3P อย่าทำ

“ถ้าไม่ใช้เรื่องราคา เราก็อาจทำเรื่องส่วนผสมทางการตลาดอื่นๆ เช่น อาจจะแถมของ ทำกระบวนการให้ดี หรือทำลักษณะกายภาพให้มีพื้นที่น่าสนใจ ถ่ายรูปได้ ดึงดูดใจลูกค้า เป็นต้น สมมติว่าเราเปิดคลินิกฉีดโบท็อกซ์ แทนที่จะแข่งขันโดยการตัดราคา เราอาจจะทำโปรโมชันสำหรับเจ้าสาว แล้วตั้งราคาเหมือนเดิม เพียงเราเพิ่มคุณค่าให้กับสินค้าโดยมีกลุ่มเป้าหมายชัดเจน” ผศ.ดร.เอกก์ ยกตัวอย่างการใช้กลยุทธ์อื่นนอกจากเรื่องราคา

2.Postpone อย่าเอาเงินก่อน ผ่อนบริการทีหลัง เสี่ยงเสียลูกค้า

หลายธุรกิจเริ่มใช้วิธีการที่เรียกว่า Postpone เช่น การเสนอขายคอร์สการเรียน คอร์สเสริมความงาม หรือบัตรกำนัล (voucher) สำหรับใช้บริการ ที่นำเสนอมูลค่าในราคาที่เร้าใจให้ลูกค้าจ่ายเงินล่วงหน้า แล้วมาใช้บริการภายหลัง

“ตอนที่เราต้องการเงินเข้ามาหมุนเวียนในธุรกิจ เราก็ใช้วิธีการนี้เรียกเงินลูกค้าเข้ามาก่อน แต่เมื่อสถานการณ์คลี่คลายหรือเวลาผ่านไป พอลูกค้าเข้ามาใช้บริการ ผู้ประกอบการหลายรายไม่รู้สึกอยากให้บริการ เพราะลูกค้าซื้อคอร์สในราคาถูก เราต้องการรับลูกค้าที่จ่ายในราคาปกติมากกว่า เมื่อเรารู้สึกไม่เต็มที่กับการบริการ ลูกค้าก็ไม่พอใจ รู้สึกโดนโกง และอาจไปเขียนข้อความต่อว่าในโลกโซเซียล ทีนี้ก็พังกันหมด” ผศ.ดร.เอกก์ กล่าวสะท้อนเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับหลายธุรกิจที่ผ่านมา

“เรื่องนี้ต้องระมัดระวังให้ดี ถ้าเป็นไปได้ควรเลี่ยงไปใช้กลยุทธ์อื่นจะดีกว่า เพราะสุดท้ายผู้ประกอบการมักจะทำใจไม่ได้เองเมื่อลูกค้าที่ซื้อแพ็กเกจราคาถูกมาใช้บริการในเวลาที่ธุรกิจเปิดเป็นปกติแล้ว” ผศ.ดร. เอกก์ กล่าวเตือน

3.Psuedo อย่าละเมิดกฎหมาย

หลายธุรกิจได้รับผลกระทบโดยตรงจากมาตรการของรัฐที่จำกัดและควบคุมการระบาด เช่น ปิดสถานที่ให้บริการต่างๆ จำกัดจำนวนลูกค้าที่เข้ารับบริการ เป็นต้น ยิ่งการระบาดยืดเยื้อ การล็อกดาวน์ยาวนาน หลายรายเริ่มรู้สึกไม่ไหวและเลือกที่จะหลบ เลี่ยง และละเมิดกฎหมาย ยกตัวอย่าง ร้านสปาแอบเปิดให้ลูกค้าเข้าทางหลังร้าน มีการขายสุราใส่ขวดทึบ หรือเปิดร้านอาหารแบบเงียบๆ

“เรื่องนี้ขออย่าได้ทำ” ผศ.ดร.เอกก์ สะกิดเตือน “นอกจากโทษการละเมิดกฎหมายจะสูงแล้ว มากกว่านั้นคือชื่อเสียงและความรับผิดชอบต่อสังคม ส่วนมากธุรกิจที่ละเมิดกฎหมายจะโดนจับ และทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงอย่างที่ได้ไม่คุ้มเสีย อย่าคิดว่ารู้กันแค่เรากับลูกค้าแล้วจะไม่เป็นอะไร เพราะส่วนมากคนที่แจ้งตำรวจไม่ใช่ลูกค้า แต่เป็นคู่แข่งของเรา นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นตลอด”

กูรูการตลาด จุฬาฯ เตือน “ผู้ประกอบการ" ธุรกิจ 3P อย่าทำกูรูการตลาด จุฬาฯ เตือน “ผู้ประกอบการ” ธุรกิจ 3P อย่าทำ

แม้การดำเนินการธุรกิจในช่วงโควิด-19 จะยากลำบากเพียงใด แต่ก็ไม่ควรพาธุรกิจลงไปในหลุมพราง “3P” หรือหากผู้ประกอบการคนใดถลำตัวลงไปแล้ว ก็ให้รีบขึ้นมาให้เร็วที่สุด

กูรูการตลาด จุฬาฯ เตือน “ผู้ประกอบการ" ธุรกิจ 3P อย่าทำกูรูการตลาด จุฬาฯ เตือน “ผู้ประกอบการ” ธุรกิจ 3P อย่าทำ

“ช่วงนี้นับเป็นห้วงเวลาท้าทาย ขอให้เราคิดหากลยุทธ์อื่นๆ ที่จะดึงดูดใจผู้บริโภค ซึ่งสามารถใช้ส่วนผสมทางการตลาด 7P เข้ามาช่วยเพื่อให้เรามองได้ครบและรอบด้าน และเมื่อเรามองครบทุกด้านแล้ว เชื่อว่าจะมีแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ในไม่ช้า” ผศ.ดร. เอกก์ กล่าวให้กำลังใจทิ้งท้าย

“ศ.ดร.กนก” แนะ 3 เรื่องจัดการศึกษายุคโควิด-19 ศธ.ต้องชัดเจน #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

https://www.komchadluek.net/news/480611

26 ส.ค. 2564

1 ปี มีเด็กกว่า 10 ล้านคนไม่ได้เรียนหนังสือ กระทบอนาคตและความมั่นคงของชาติ “ศ.ดร.กนก” แนะ 3 เรื่องจัดการศึกษายุคโควิด-19 ศธ.ต้องชัดเจน เร่งลงมือแก้ไขทันทียังไม่สาย

วันที่ 26 สิงหาคม 2564 การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 กระทบพลเมืองโลก ที่หนักสุดกระทบต่อการเรียนการสอนของเด็กและเยาวชนที่เป็นอนาคตของชาติ

หลายประเทศเลือกที่จะ“หยุดเรียน1ปี” เมื่อโควิด-19 ลดการแพร่ระบาดก็มาเปิดเรียน ขณะเดียวกันหลายประเทศเลือก“เรียนออนไลน์” ให้กับนักเรียนในประเทศนั้นๆ รวมถึงประเทศไทย มีทั้งเปิดเรียนเต็มรูปแบบ และเรียนออนไลน์

แต่โรคโควิด-19 อยู่กับประเทศไทยมานาน และส่งผลกระทบต่อนักเรียนและเยาวชนของชาติ เมื่อการเรียนออนไลน์เด็กเครียด การบ้านเยอะและยังเป็นการจัดการศึกษาที่ไม่ตอบโจทย์กับครอบครัวไทยทุกครัวเรือน  ล่าสุดมีความห่วงใยจากนักการศึกษาระดับชาติ ที่เฝ้ามองการขับเคลื่อนงานกระทรวงศึกษาธิการมาอย่างต่อเนื่อง 

ศ.ดร.กนก วงษ์ตระหง่าน รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ “คมชัดลึกออนไลน์” ถึงความห่วงใยต่ออนาคตเยาวชนไทย ท่ามกลางการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกใหม่ ว่า การจัดการศึกษายุคโควิด-19  มีความจำเป็นเร่งด่วนในระยะสั้น ต้องจัดการศึกษาในสถานการณ์โควิด-19ให้ได้คุณภาพและครอบคลุมให้มากที่สุด  

“กระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.) อย่าลืมว่าพ่อแม่ผู้ปกครองนักเรียน มีความพร้อมไม่เท่ากัน การเข้าถึงคุณภาพการศึกษาต้องยอมรับก่อนว่าไม่เท่ากัน แต่ทั้งหมดนี้เป็นหน้าที่ของกระทรวงศึกษาธิการ ทุกหน่วยงานที่รับผิดชอบการจัดการศึกษาของชาติ จะต้องลดการเสียโอกาสของผู้เรียน ซึ่งการจะทำได้ ศธ. ต้องมีความชัดเจนในเรื่องที่จะทำ 3 เรื่องดังนี้” ศ.ดร.กนก  กล่าว

1. เนื้อหาสาระหลักสูตรที่นักเรียนจำเป็นจะต้องรู้ ถือว่าเป็นเป้าหมายพื้นฐานสำคัญที่ศธ.ต้องทำให้ได้  ยกตัวอย่างเช่น เดิมเนื้อหาสาระที่ต้องเรียนในสถานการณ์ปกติมี 8 เรื่อง แต่สถานการณ์โควิด-19 อาจจะลดเหลือ 5 เรื่อง

2.วิธีการสอนของครู  ครูทบทวนการสอนนักเรียนภายใต้ข้อจำกัดของโควิด-19 การรักษาระยะห่างกรณีเปิดการสอนในห้องเรียน การเรียนทางไกลหรือเรียนออนไลน์  เหล่านี้ครูจะใช้วิธีการสอนอย่างไร ให้นักเรียนได้เข้าใจ เช่น การทำคลิปสอนง่ายๆ  การบรรยายของครูในสาระจำเป็นต้องรู้ อาจจะแขวนไว้ในเพจโรงเรียน เพจกระทรวงศึกษาฯ หรือช่องทางยูทูป ของศธ. ให้นักเรียนทุกคนได้เรียนรู้ รวมถึงการให้การบ้าน ที่เหมาะสม

3.จิตสำนึกของครู  ครูต้องเห็นใจในข้อจำกัดของนักเรียน พ่อแม่ผู้ปกครอง ที่มีความยากลำบากจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ครูต้องคิดช่วยเหลือพ่อแม่ผู้ปกครองให้มากที่สุด  ครูต้องเข้าถึงครอบครัวเด็กนักเรียน และเข้าใจนักเรียนว่านักเรียนอยากจะให้ครูช่วยอย่างไรบ้าง

“นี่คือระยะสั้น ที่ศธ.ควรระดมสมอง ทั้งสพฐ. ผอ.เขตพื้นที่การศึกษา  ผอ.รร. เพราะช่วงโควิด-19 เรามีงานทำมากขึ้นเป็นพิเศษ งานยากกว่าเดิม งานมากกว่าเดิม  และฝ่ายบริหารต้องเข้ามาช่วยเหลือ สนับสนุนฝ่ายปฏิบัติการสอน และช่วยแก้ไขปัญหาเหล่านี้ เพื่อให้การเรียนรู้ของเด็กนักเรียนเกิดความต่อเนื่อง” ศ.ดร.กนก กล่าว

ศ.ดร.กนก กล่าวอีกว่า ระวังอย่าใช้มาตรการช่วยเหลือแบบเดียวกันกับทุกโรงเรียน หรือกับเด็กทุกคน เพราะแต่โรงเรียน เด็กแต่ละชั้นเรียนไม่เหมือนกัน นี่คือความยากในการบริหารและการจัดการ แต่เป็นเรื่องที่กระทรวงศึกษาธิการ สพฐ. เขตพื้นที่การศึกษา สถานศึกษา ต้องทำ เพราะไม่เช่นนั้นเด็กนักเรียนจะเสียโอกาสไม่ได้เรียน ลองนึกสภาพเด็กนักเรียนรุ่นโควิด-19 จำนวนกว่า 10 ล้านคน ไม่ได้เรียนหนังสือเป็นเวลา 1 ปี จะส่งผลกระทบต่ออนาคตของประเทศไทยมากมายแค่ไหน