หนังสือด่วนที่สุด ประกาศ “เปิดเทอม” 1 พฤศจิกายน #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

https://www.komchadluek.net/news/480603

26 ส.ค. 2564

การเปิดเรียนของสถานศึกษาระหว่างวันที่ 1 ก.ย.- 10 ต.ค.ให้จัดรูปแบบการ เรียนการสอนแบบ On Air/On Line/On hand และ On Demand เพื่อความปลอดภัยของครู นักเรียน และผู้ปกครอง ระบุ ตั้งแต่ 1 พ.ย. “เปิดเทอม” จัดการเรียนการสอนเต็มรูปแบบ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า  นายพลชัย ชุมปัญญา ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบึงกาฬ ได้มีหนังสือด่วนที่สุด เกี่ยวกับการเปิดเทอม เรื่อง การปรับเปลี่ยนการจัดการเรียนการสอนของสถานศึกษา ภาคเรียนที่1ปีการศึกษา 2564 ถึงผู้อำนวยการโรงเรียนทุกแห่งในสังกัด ในพื้นที่จังหวัดบึงกาฬ  มีเนื้อหาดังนี้

ด่วนที่สุด

ที่ ศธ .๔๒๗๔๒ส๙๘

สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบึงกาฬ

๕๑๑ หมู่ที่ ๗ ถนนชาญสินธุ์ ตำบลวิศิษฐ์

อำเภอเมืองบึงกาฬ จังหวัดบึงกาฬ ๓๘๐๐๐

๒๕ สิงหาคม ๒๕๖๔

เรื่อง การปรับเปลี่ยนการจัดการเรียนการสอนของสถานศึกษา ภาคเรียนที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๖๔ ในพื้นที่จังหวัดบึงกาฬ

เรียน ผู้อำนวยการโรงเรียนทุกแห่ง ในสังกัด

อ้างถึง ๑. หนังสือสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบึงกาฬ ด่วนที่สุด ที่ ศ5 o๔๒๗๔/๒๔๑๒ ลงวันที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๖๔

๒. หนังสือสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบึงกาฬ ด่วนที่สุด ที่ ศ5 -๔๒๗๔/๒๕๕๒ ลงวันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๖๔

สิ่งที่ส่งมาด้วย หนังสือสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดบึงกาฬ ที่ ศธ ๑๒๑๒๕/ว ๙๔๐ ลงวันที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๕๖๔

เนื่องด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒0๑๙ (COVID-19) ผู้ติดเชื้อ

รายใหม่ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทั้งระดับประเทศและระดับจังหวัดบึงกาฬ อีกทั้งจังหวัดบึงกาฬได้กำหนดให้แต่ละ

อำเภอใช้สถานที่เป็นโรงพยาบาลสนามตามลำดับ คือ (๑) โรงแรมหรือรีสอร์ท (๒) สถานศึกษา (๓) วัด โดยคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดบึงกาฬได้พิจารณาในคราวประชุมเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม ๒๕๖๔ ณ ห้องประชุมภูทอก ชั้น ๒ ศาลากลางจังหวัดบึงกาฬ มีมติเห็นชอบให้สำนักงานศึกษาธิการจังหวัดบึงกาฬสามารถตัดสินใจ

ในการปรับเปลี่ยนการจัดการเรียนการสอนของสถานศึกษาในพื้นที่จังหวัดบึงกาฬ ประจำภาคเรียนที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๖๔ ดังนี้

๑. การเปิดเรียนของสถานศึกษาระหว่างวันที่ ๑ กันยายน – ๑๐ ตุลาคม ๒๕๖๔ ให้จัดรูปแบบการเรียนการสอนแบบ On Air/On Line/On hand และ On Demand เพื่อความปลอดภัยของครู, บุคลากรทางการศึกษานักเรียน และผู้ปกครองนักเรียน

๒. การเปิดเรียนของสถานศึกษา ตั้งแต่วันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ เป็นต้นไป ให้จัดรูปแบบการ เรียนการสอนแบบเต็มรูป (On Site) หรือรูปแบบอื่นที่เหมาะสมกับบริบทของสถานศึกษา เพื่อความปลอดภัยของครู, บุคลากร, นักเรียน และผู้ปกครอง

จึงเรียนมาเพื่อทราบและถือปฏิบัติ

ขอแสดงความนับถือ

(นายพลชัย ชุมปัญญา)

ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบึงกาฬ

กลุ่มส่งเสริมการจัดการศึกษา

โทรศัพท์ ๐๔๒-๔๙๑๒๔๗ ต่อ ๑๔

โทรสาร ๐๔๒-๔๙๑๓๔๕

(จนท. เสนอ รัมพณีนิล : ๑๘ o๔๖๓ ๙๔๕๓)

ทั้งนี้การเปิดเทอม ของแต่ละเขตพื้นที่การศึกษาเป็นอำนาจหน้าที่ที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.)กระทรวงศึกษาธิการ ได้เปิดช่องให้อำนาจที่สามารถดำเนินการได้ ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19

NR ม.มหิดลติดอาวุธนักรบเส้นด้าย คืนศักดิ์ศรีคุณค่าให้ “คนเคยป่วย” #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

https://www.komchadluek.net/news/480507

25 ส.ค. 2564

NR ม.มหิดล คืนศักดิ์ศรีคุณค่า มนุษย์จิตอาสาโควิด-19 จัดอบรมออนไลน์ให้ “คนเคยป่วย”ได้เป็นจิตอาสาเพื่อช่วยเหลือผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยโควิด-19

ไม่มีใครจะเข้าใจผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยโควิด-19 ได้ดีเท่ากับผู้ที่เคยเป็นผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยโควิด-19 ซึ่งหายจากโรคแล้ว  หรือ“คนเคยป่วย”

คงน่าเสียดายหากประสบการณ์ที่เคยผ่านช่วงเวลาแห่งความยากลำบากดังกล่าวด้วยจิตใจที่เข้มแข็ง ของบุคคลเหล่านี้ จะปล่อยผ่านไปให้เป็นเพียงแค่ความทรงจำ หากไม่ได้นำมาแปรเปลี่ยนเป็นพลังส่งต่อวิธีการเรียนรู้ที่จะอยู่กับโรคโควิด-19 และเป็นกำลังใจให้แก่ผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยรายใหม่ต่อไป

รองศาสตราจารย์ ดร.พูลสุข เจนพานิชย์ วิสุทธิพันธ์ ผู้อำนวยการโรงเรียนพยาบาลรามาธิบดี คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี (NR) มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า เมื่อเร็วๆ นี้ เป็นครั้งแรกที่โรงเรียนพยาบาลรามาธิบดี คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี (NR) มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ร่วมกับ จิตอาสากลุ่มเส้นด้าย จัดโครงการ “ติดอาวุธนักรบเส้นด้าย” อบรมออนไลน์ให้แก่ผู้ที่เคยเป็นผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยโควิด-19 ซึ่งหายจากโรคแล้วหรือ “คนเคยป่วย”ได้เป็นจิตอาสาเพื่อช่วยเหลือผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยโควิด-19 

ใน Community Isolation หรือพื้นที่กักโรคตามชุมชนต่างๆ ตามมาตรการกระทรวงสาธารณสุข ที่ให้ชุมชนได้ใช้ศูนย์รวมทางสังคม เช่น โรงเรียน วัด และสถานที่ราชการต่างๆ

เป็นที่ๆ ชุมชนสามารถช่วยเหลือดูแลตัวเองอย่างยั่งยืนตามเป้าหมาย SDGs แห่งสหประชาชาติ ข้อที่ 11 ซึ่งว่าด้วยเมืองและชุมชนที่ยั่งยืน (Sustainable Cities and Communities) ต่อไป ในยามที่โรงพยาบาลส่วนใหญ่ของประเทศประสบปัญหาผู้ป่วยโควิด-19 มีจำนวนมากจนไม่สามารถรับผู้ป่วยเพิ่ม

“บ่อยครั้งเรามักจะได้ยินข่าวว่า “คนเคยป่วย”หรือผู้ที่เคยเป็นผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยโควิด-19 แม้จะหายจากโรคแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้รับการยอมรับจากสังคม เนื่องจากขาดความรู้ความเข้าใจที่มีต่อโรคโควิด-19 ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ผู้ที่เคยเป็นผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยโควิด-19  ซึ่งหายจากโรคแล้ว จะมีภูมิต้านทานต่อโรค และจะไม่แพร่กระจายสู่ผู้อื่น” รองศาสตราจารย์ ดร.พูลสุข กล่าว

รองศาสตราจารย์ ดร.พูลสุข กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ยังมีประสบการณ์ที่สามารถบอกเล่าให้ผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยโควิด-19 รายใหม่ให้ทราบได้ว่าควรจะดูแลตัวเองอย่างไร ซึ่งการได้มาทำหน้าที่จิตอาสาจะทำให้ผู้เคยติดเชื้อและผู้ป่วยโควิด-19 ซึ่งหายจากโรคแล้วเหล่านี้หรือ“คนเคยป่วย”เกิดความรู้สึกมีคุณค่ามากยิ่งขึ้น 

“แต่อย่างไรก็ดี เนื่องจากโรคโควิด-19 ที่กำลังแพร่ระบาดอยู่ในขณะนี้มีหลายสายพันธุ์ จึงยังคงต้องมีการป้องกันอย่างเหมาะสมเพื่อไม่ให้เกิดการติดเชื้อและป่วยอีก” รองศาสตราจารย์ ดร.พูลสุข กล่าว

ซึ่งในการอบรมออนไลน์โครงการ “ติดอาวุธนักรบเส้นด้าย” ได้มีการจัดส่งเครื่องมืออุปกรณ์ที่จำเป็นในการเรียนรู้เพื่อช่วยเหลือผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยโควิด-19 แบบมีส่วนร่วม เช่น เครื่องวัดอุณหภูมิ และเครื่องวัดระดับออกซิเจนในเลือด เพื่อทดลองใช้ประกอบการสาธิตวิธีการใช้ทางออนไลน์

นอกจากนี้ ยังได้แนะนำถึงวิธีการจัดการสิ่งแวดล้อม และทำอย่างไรให้สามารถช่วยเหลือผู้ป่วยโควิด-19 ได้โดยที่ตัวเองไม่ติดเชื้อ

รองศาสตราจารย์ ดร.พูลสุข เจนพานิชย์ วิสุทธิพันธ์ ได้กล่าวถึงกรณีเมื่อพบผู้ป่วย COVID-19 นอนหมดสติอยู่ข้างทางว่า ไม่ควรผลีผลามเข้าไปช่วยเหลือโดยไม่ได้สวมชุดป้องกัน ควรสังเกตการเคลื่อนไหวของหน้าอกผู้ป่วยว่ายังหายใจอยู่หรือไม่ แล้วรีบโทรเรียก 1669 เพื่อให้มีการช่วยเหลือด้วยอุปกรณ์ที่เหมาะสม และส่งต่อให้เร็วที่สุด

ต่อจากการจัดฝึกอบรมออนไลน์โครงการ “ติดอาวุธนักรบเส้นด้าย” นี้ จะได้มีการขยายผลสู่การดูแลผู้ป่วย COVID-19 ในกลุ่มสีเหลืองเข้มที่ต้องคอยประเมินอาการ ก่อนส่งต่อให้เข้ารับการปรึกษาอาการจากทีมแพทย์ และส่งต่อโรงพยาบาลในกรณีฉุกเฉินต่อไป

“ม.วลัยลักษณ์” วิจัยมังคุด-ส้มแขก สู่ผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพเชิงพาณิชย์ #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

https://www.komchadluek.net/news/480420

25 ส.ค. 2564

ทีม “ม.วลัยลักษณ์”จับมือจุฬาฯ วิจัยเซรั่มจากสารสกัดเปลือกมังคุดและส้มแขก ที่มีฤทธิ์ในการลดริ้วรอย ฝ้า กระ จุดด่างดำ และยับยั้งแบคทีเรียสาเหตุของการเกิดสิวเพิ่มมูลค่าผลไม้เมืองคอน

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.มรกต ชาตาธิคุณ อาจารย์ประจำสำนักวิชาสหเวชศาสตร์ สาขาเทคนิคการแพทย์และสมาชิกศูนย์ความเป็นเลิศด้าน Innovation and Health Products มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์(มวล.) หรือ  ม.วลัยลักษณ์ เปิดเผยว่า ตนและทีมนักวิจัยจาก ม.วลัยลักษณ์และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ร่วมกันศึกษาวิจัยฤทธิ์ของสารสกัดจากเปลือกส้มแขกในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช

โดยผลจากการศึกษาวิจัย พบว่า สารสกัดจากเปลือกส้มแขกที่สกัดด้วยน้ำมีปริมาณ ฟีนอลิกและฟลาโวนอยด์สูง มีฤทธิ์ในการยับยั้งการสร้างอนุมูลอิสระและเอนไซม์ไทโรซิเนสซึ่งเป็นเอนไซม์หลักในการสร้างเมลานินในผิวหนังชั้นนอกสุด สาเหตุของการเกิดฝ้า กระ และจุดด่างดำบนผิวหนัง

"ม.วลัยลักษณ์" วิจัยมังคุด-ส้มแขก สู่ผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพเชิงพาณิชย์“ม.วลัยลักษณ์” วิจัยมังคุด-ส้มแขก สู่ผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพเชิงพาณิชย์

และยังมีฤทธิ์ยับยั้ง เมลานินในเซลล์เมลาโนไซต์ชนิด B16F10 ที่ถูกกระตุ้นด้วยฮอร์โมนเมลาโนไซต์สติมูเลติง ซึ่งผลงานวิจัยชิ้นนี้ได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร Pharmacognosy Journal ปี 2020

ส่วนผลการวิจัยในเปลือกมังคุดพบว่า มีปริมาณฟีนอลิกและฟลาโวนอยด์สูง ซึ่งประกอบด้วย สารแซนโทนและสารแทนนินเป็นองค์ประกอบหลัก มีฤทธิ์ในการต้านสารอนุมูลอิสระสาเหตุของการเกิดริ้วรอยและยับยั้งแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดสิวได้

ดังนั้นทีมนักวิจัยจึงได้นำสารสกัดจากผลไม้ทั้งสองชนิดนี้มาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์นาโนอิมัลชันที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดูดซึมเข้าสู่ผิวหนัง โดยไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อผิว 

"ม.วลัยลักษณ์" วิจัยมังคุด-ส้มแขก สู่ผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพเชิงพาณิชย์“ม.วลัยลักษณ์” วิจัยมังคุด-ส้มแขก สู่ผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพเชิงพาณิชย์

ที่สำคัญได้ผ่านการรับรองจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังและการทดสอบการระคายเคืองจากอาสาสมัครจำนวน 24 คน และผลงานชิ้นนี้ได้รับรางวัลเหรียญเงินจาก ผลงานประดิษฐ์และนวัตกรรมสายอุดมศึกษาปี 2563 จากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติด้วย

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.มรกต กล่าวอีกว่า จากนั้นทีมนักวิจัยได้นำสารสกัดจากเปลือกมังคุดและส้มแขกมาพัฒนาต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์มาส์กหน้า โดยใช้เทคโนโลยีนาโนอิมัลชันและเซรั่ม (Nora serum) ที่มีคุณสมบัติในการลดริ้วรอย ฝ้า กระ จุดด่างดำ เพิ่มความชุ่มชื่นให้แก่ผิว ลดปัญหาผิวที่เกิดจากการสะสมของสารเคมี โดยไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์และพาราเบน

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.มรกต กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะเดียวกันตนได้เป็นที่ปรึกษาให้กับทีม Mora bright ซึ่งมีสมาชิกในทีม ได้แก่

1) นายพิทักษ์สิทธิ์ ทรัพย์เจริญ 2) นางสาวพัชราภรณ์ พรมลัทธิ์ 3) นายอิทธิ คงแก้วและ 4) นางสาวอาทิตยา เพชรรัตน์ นักศึกษาสาขาเทคนิคการแพทย์ สำนักวิชาสหเวชศาสตร์ ม.วลัยลักษณ์ ซึ่งนักศึกษาได้เป็นตัวแทนในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ต้นแบบมาส์กหน้าในโครงการ Startup Prototype Showcases of the Entrepreneurial university และคว้ารางวัลชนะเลิศ ทุนสนับสนุนผลิตภัณฑ์ต้นแบบ จากโครงการ Walailak Enterpreneurial Ecosystem Development 2020 จากผลิตภัณฑ์เซรั่ม อีกด้วย

“ผลงานวิจัยดังกล่าวได้รับทุนสนับสนุนงานวิจัยประเภทบุคคลภายใน ม.วลัยลักษณ์ และทุนสนับสนุนพัฒนาผลิตภัณฑ์ต้นแบบจาก Startup Prototype Showcases of the Entrepreneurial university และ Walailak Enterpreneurial Ecosystem Development 2020 ซึ่งดิฉันและทีมนักวิจัยประกอบด้วย รองศาสตราจารย์ ดร.จิตรบรรจง ตั้งปอง คณบดีสำนักวิชาสหเวชศาสตร์ มวล. และนักศึกษาทีม Mora bright รวมถึงได้รับความร่วมมือจากผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อัญชลี เฉียบฉลาด อาจารย์ประจำคณะสหเวชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและนายแพทย์ชนัทธ์ กำธรรัตน์ อาจารย์ประจำคณะแพทยศาสตร์ สาขาตจวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกันค้นคว้าวิจัยจนได้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยเพิ่มมูลค่าให้งานวิจัยไปสู่ผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพ ในเชิงพาณิชย์ 

"ม.วลัยลักษณ์" วิจัยมังคุด-ส้มแขก สู่ผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพเชิงพาณิชย์“ม.วลัยลักษณ์” วิจัยมังคุด-ส้มแขก สู่ผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพเชิงพาณิชย์

และยังเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับมังคุดและส้มแขกที่ผลผลิตราคาตกต่ำในบางฤดูกาล และการนำเอาสารสกัดจากเปลือกมังคุดที่มักถูกทิ้งไปอย่างไร้ค่ามาพัฒนาต่อยอดให้เป็นผลิตภัณฑ์บำรุงผิวจากสารสกัดจากธรรมชาติที่ปลอดภัยและได้แจ้งจดทะเบียนกับ อย. เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดหรือสั่งซื้อผลิตภัณฑ์ได้ที่ Facebook มอรา ไบร์ท (Mora Bright)” ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.มรกต กล่าวในตอนท้าย

เชิดชู “ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ” เป็นนักวิทยาศาสตร์การแพทย์เกียรติยศ ประจำปี 2564 #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

https://www.komchadluek.net/news/480413

25 ส.ค. 2564

กว่า40ปีที่ทุ่มเท และอุทิศตนศึกษาวิจัยด้านไวรัสวิทยาอย่างต่อเนื่อง มูลนิธิกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เชิดชู “ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ” เป็นนักวิทยาศาสตร์การแพทย์เกียรติยศ ประจำปี 2564 มีผลงานทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ที่นำไปสู่การดูแลรักษาและป้องกันโรคเป็นที่ประจักษ์

วันที่ 25 สิงหาคม 2564 นายแพทย์สถาพร วงษ์เจริญ ประธานกรรมการมูลนิธิกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เปิดเผยผู้ได้รับรางวัลนักวิทยาศาสตร์การแพทย์เกียรติยศ ประจำปี 2564 ว่า มูลนิธิกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้คัดเลือกบุคคลซึ่งเป็นผู้สร้างหรือริเริ่มงาน และอุทิศตนเพื่อประโยชน์ต่อวงการวิทยาศาสตร์การแพทย์

โดยมีผลงานที่มีประโยชน์ต่อการแพทย์และการสาธารณสุขของประเทศไทยอันเป็นที่ประจักษ์ เป็นผู้มีคุณธรรม จริยธรรม เป็นแบบอย่างให้แก่บุคคลในวงการวิทยาศาสตร์การแพทย์และบุคคลทั่วไป เพื่อรับรางวัลนักวิทยาศาสตร์การแพทย์เกียรติยศ 

และผู้ที่ได้รับรางวัลนักวิทยาศาสตร์การแพทย์เกียรติยศ ประจำปี พ.ศ.2564 คือ ศาสตราจารย์นายแพทย์ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งท่านเป็นผู้อุทิศตนในการศึกษาวิจัยด้านไวรัสวิทยาอย่างต่อเนื่องยาวนานโดยมีผลงานทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ที่นำไปสู่การดูแล รักษาและป้องกันโรคที่เป็นปัญหาสาธารณสุขจำนวนมาก

สำหรับผลงานเด่นที่ผ่านมาของ “ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ” อาทิ เป็นผู้บุกเบิกงานวิจัยทางด้านไวรัสตับอักเสบในประเทศไทย ทำการศึกษาตั้งแต่อณูชีววิทยาไวรัสตับอักเสบ ระบาดวิทยา อาการทางคลินิก การรักษา และป้องกันด้วยวัคซีน เป็นรากฐานของการให้วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบในประเทศไทย ทำให้อุบัติการณ์ของไวรัสตับอักเสบบีลดลงอย่างมาก

เชิดชู “ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ” เป็นนักวิทยาศาสตร์การแพทย์เกียรติยศ ประจำปี 2564เชิดชู “ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ” เป็นนักวิทยาศาสตร์การแพทย์เกียรติยศ ประจำปี 2564

การศึกษาทางด้านวิทยาศาสตร์พื้นฐาน การตรวจวินิจฉัยโรคทางอณูชีววิทยา และแนวทางการรักษา โดยเฉพาะโรคไวรัสอุบัติใหม่และอุบัติซ้ำ เช่น โรคไข้หวัดนก โรคไข้หวัดใหญ่ โรคทางเดินหายใจชนิดต่างๆ ที่เกิดจากไวรัส โรคท้องเสียที่เกิดจากไวรัส

โรคมือเท้าปาก โรคที่นำโดยยุงและแมลง ได้แก่ ไข้เลือดออก ไข้ไวรัสชิก้า ไข้ปวดข้อยุงลาย มีผลงานต่อเนื่องที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยอย่างมาก

นอกจากนี้ “ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ” ยังได้ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข และสถาบันวัคซีนนานาชาติ ทำการศึกษาการให้วัคซีนป้องกัน HPV เพียงโดสเดียว ที่จังหวัดอุดรธานีและบุรีรัมย์ โดยทางศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก เป็นผู้รับผิดชอบการตรวจทางห้องปฏิบัติการ

จากการระบาดของโรคโควิด-19 ตั้งแต่ปลายปี พ. ศ. 2562 และเข้าสู่ประเทศไทย ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2563 มาจนถึงปัจจุบัน ทางศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ได้ทำการศึกษาพันธุกรรมอย่างต่อเนื่อง พัฒนาการตรวจวินิจฉัยสายพันธุ์ได้อย่างรวดเร็ว

รวมทั้งการตรวจในระบบภูมิต้านทาน และการศึกษาเกี่ยวกับวัคซีน ปรับวิธีการใช้ให้เหมาะสมสำหรับประเทศไทยตามทรัพยากรที่มีอยู่ให้ได้ประโยชน์สูงสุด

เชิดชู “ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ” เป็นนักวิทยาศาสตร์การแพทย์เกียรติยศ ประจำปี 2564เชิดชู “ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ” เป็นนักวิทยาศาสตร์การแพทย์เกียรติยศ ประจำปี 2564

ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ

“ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ เป็นนักวิทยาศาสตร์และนักวิจัย ที่ได้อุทิศตนให้กับการศึกษาวิจัยด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์อย่างจริงจังและต่อเนื่องเป็นเวลายาวนานกว่า 40 ปี นอกจากนี้ท่านยังมีความซื่อสัตย์ อดทน และกตัญญู ทำงานเพื่อประโยชน์ส่วนรวม

ทำให้เป็นที่รักใคร่ของเพื่อนร่วมงาน เป็นผู้ใช้ชีวิตแบบสมถะ ดำรงไว้ซึ่งจริยธรรมของนักวิจัย อีกทั้งยังเป็นผู้ที่เปี่ยมด้วยความรู้ที่ทันสมัยต่อเหตุการณ์ และเป็นที่เคารพรักของลูกศิษย์จำนวนมาก”ประธานกรรมการมูลนิธิกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าว

GJ ม.มหิดล จัด “ถุงยังชีพ” ให้ผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยกักโรคที่บ้าน #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

https://www.komchadluek.net/news/480403

25 ส.ค. 2564

ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ม.มหิดล สนองรับมาตรการ Home Isolation จัด“ถุงยังชีพ”ให้ผู้ติดเชื้อ และผู้ป่วยโควิด-19 กักโรคที่บ้าน

ท่ามกลางวิกฤติโรคโควิด-19 ที่กลับมาแพร่ระบาดจนทำให้ปัจจุบันพบว่าโรงพยาบาลส่วนใหญ่เตียงเต็ม จนไม่สามารถรับผู้ป่วยเพิ่ม

“Home Isolation” หรือการกักโรคที่บ้าน เพื่อเฝ้าสังเกตอาการและดูแลตัวเองสำหรับผู้ติดเชื้อที่ยังไม่แสดงอาการ หรือผู้ป่วยที่มีอาการยังไม่มาก จึงเป็นทางเลือกที่จำเป็นที่สุดในยามนี้

เช่นเดียวกับที่ ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล (GJ) มหาวิทยาลัยมหิดล ตำบลศาลายา จังหวัดนครปฐม ซึ่งได้มีการปรับเปลี่ยนครั้งใหญ่ ทั้งบุคลากร อุปกรณ์ และสถานที่เพื่อรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าว

GJ ม.มหิดล จัด “ถุงยังชีพ” ให้ผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยกักโรคที่บ้านGJ ม.มหิดล จัด “ถุงยังชีพ” ให้ผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยกักโรคที่บ้าน

รศ.นพ.ธีระ กลลดาเรืองไกร

รองศาสตราจารย์ นายแพทย์ธีระ กลลดาเรืองไกร ผู้อำนวยการศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล (GJ) มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ปัจจุบันศูนย์การแพทย์ฯ ได้สนองรับนโยบาย Home Isolation จากกระทรวงสาธารณสุข ให้ผู้ติดเชื้อที่ยังไม่แสดงอาการ หรือผู้ป่วยอาการน้อยที่มีสถานที่พักห่างจากศูนย์การแพทย์ฯ ไม่เกิน 10 กิโลเมตร ทำการ Home Isolation กักโรคที่บ้าน เพื่อเฝ้าสังเกตอาการและดูแลตัวเอง 

โดยได้จัด “ถุงยังชีพ” ซึ่งประกอบด้วยอุปกรณ์ที่จำเป็น อาทิ เครื่องวัดอุณหภูมิ เครื่องวัดระดับออกซิเจนในเลือด ยาที่จำเป็น และอาหารปรุงสำเร็จ พร้อมทีมแพทย์และพยาบาลคอยโทรศัพท์ติดตามสอบถามอาการ และให้คำแนะนำตลอดระยะเวลา 14 วัน

GJ ม.มหิดล จัด “ถุงยังชีพ” ให้ผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยกักโรคที่บ้านGJ ม.มหิดล จัด “ถุงยังชีพ” ให้ผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยกักโรคที่บ้าน

GJมหิดล แจก “ถุงยังชีพ”

แม้ในส่วนของชุมชน ทางศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล (GJ) มหาวิทยาลัยมหิดล จะไม่ได้เข้าไปปฏิบัติหน้าที่โดยตรง แต่ก็ได้มีบทบาทสำคัญในการเป็นศูนย์อำนวยการหลักที่คอยเตรียมพร้อม

ทั้งในด้านบุคลากร ซึ่งทำหน้าที่ดูแลผู้ป่วย โรคโควิด-19 เมื่อมีการส่งต่อกรณีฉุกเฉิน การจัดเตรียมอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่สำคัญ เช่น เครื่องช่วยหายใจ ซึ่งได้มีการจัดซื้อเตรียมพร้อมไว้แล้วตั้งแต่ก่อนช่วงโรคโควิด-19 กลับมาระบาดอีกครั้ง

นอกจากนี้ยังได้มีการปรับห้องฉุกเฉิน หรือ Emergency Room บางส่วนมาจัดทำเป็นห้อง Negative Pressure Room หรือห้องปลอดเชื้อความดันลบอย่างเต็มรูปแบบ

รวมทั้งได้รับการสนับสนุนจากวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ จัดทำ “Negative Pressure Cabinet” เพื่อใช้ในการตรวจผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยโรคโควิด-19

ซึ่งประกอบด้วยโครงท่อ PVC สวมคลุมด้วยพลาสติกกั้นอย่างหนา โดยเป็นโครงที่มีเลขกำกับบนทุกชิ้นส่วน สามารถถอดเก็บและสามารถนำมาใช้ใหม่ได้ในทุกสถานการณ์ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ซึ่งจะเป็นการช่วยลดโลกร้อนจากปัญหาการเพิ่มขยะได้อีกด้วย

รองศาสตราจารย์ นายแพทย์ธีระ แนะนำว่าถึงผู้ติดเชื้อที่ยังไม่แสดงอาการ หรือผู้ป่วยที่มีอาการน้อยซึ่งจะต้องทำ Home Isolation ที่บ้านของตัวเองว่า ควรเตรียมห้องนอน และห้องน้ำที่ไม่ปะปนกับผู้อื่น หรือมีการทำความสะอาดฆ่าเชื้อ ตลอดจนเว้นระยะห่างที่เหมาะสมจากบุคคลอื่นในบ้าน

รวมทั้งคอยตรวจเช็คอุณหภูมิร่างกายให้ไม่เกิน 37.5 องศาเซลเซียส และระดับออกซิเจนในเลือดให้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 95 ซึ่งสามารถโทรศัพท์ปรึกษาอาการได้กับทางทีมแพทย์และพยาบาลของศูนย์การแพทย์ฯ

“หากมีสติ ไม่ประมาท และคอยดูแลตัวเองอย่างถูกต้องและเหมาะสม แม้โรคโควิด-19 จะกลับมาระบาดอีกกี่ครั้ง ก็จะสามารถปรับตัวได้ไม่ยาก เนื่องจากผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยโรคโควิด-19 มีเป็นจำนวนมาก อุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ทาง ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล (GJ) มหาวิทยาลัยมหิดล ได้จัดไว้ให้ในถุงยังชีพ จึงมีไม่เพียงพอ และเนื่องจากไม่สามารถเบิกจ่ายได้ในทันที จึงจำเป็นต้องมีการระดมทุนจัดซื้อจากผู้บริจาค โดยสามารถแสดงความจำนงได้ทาง FB: ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล” รองศาสตราจารย์ นายแพทย์ธีระ กล่าวทิ้งท้าย

“NIA” เปิดแผน บ่มเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งการเป็นสตาร์ทอัพรุ่นใหม่ #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

https://www.komchadluek.net/news/480397

“NIA” เปิดแผน บ่มเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งการเป็นสตาร์ทอัพรุ่นใหม่

25 ส.ค. 2564

“NIA” เปิดแผน บ่มเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งการเป็นสตาร์ทอัพรุ่นใหม่ เสริมความคิดสร้างสรรค์สู่ทักษะของการเป็นผู้ประกอบการ

สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA ร่วมกับ 40 มหาวิทยาลัยทั่วประเทศ เดินหน้าจัดกิจกรรม Startup Thailand League 2021 เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนนิสิต นักศึกษาทั่วประเทศให้สามารถเข้าถึงองค์ความรู้ในการสร้างธุรกิจสตาร์ทอัพ

"NIA" เปิดแผน บ่มเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งการเป็นสตาร์ทอัพรุ่นใหม่

ตลอดจนทรัพยากรที่จะส่งเสริมการพัฒนาธุรกิจนวัตกรรมจากความคิดสร้างสรรค์ นำไปสู่การเป็นผู้ประกอบการสตาร์ทอัพได้ในอนาคต

ซึ่งจะประกอบด้วย 2 กิจกรรมหลัก ได้แก่ 1) การอบรม Coaching Camp ภายใต้ระบบพี่เลี้ยง (Mentor) เพื่อสร้างความเข้าใจในการพัฒนาธุรกิจนวัตกรรมของสตาร์ทอัพ

และ 2) กิจกรรม Pitching Startup Thailand League เป็นการประกวดแข่งขันไอเดียแผนงานธุรกิจสตาร์ทอัพของนิสิต นักศึกษา ทั้งในระดับภูมิภาคและระดับประเทศ
 

"NIA" เปิดแผน บ่มเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งการเป็นสตาร์ทอัพรุ่นใหม่

ดร. พันธุ์อาจ ชัยรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรรม (องค์การมหาชน)หรือ NIA  กล่าวว่า NIA ได้รับมอบหมายจากกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ให้เป็นหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อนระบบนิเวศสตาร์ทอัพของไทย (Thailand Startup Ecosystem) ตั้งแต่ปี 2559

ซึ่งหนึ่งในแผนการส่งเสริมสตาร์ทอัพของประเทศคือการเพิ่มบทบาทสถาบันการศึกษาในการสร้างความตระหนักและบ่มเพาะสตาร์ทอัพรวมทั้งถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยีให้แก่นิสิตนักศึกษา

เพื่อให้สถาบันการศึกษาเป็นแหล่งสร้างสรรค์ความคิดและนวัตกรรม โดยพยายามผลักดันให้สถาบันการศึกษาที่มีศักยภาพเปลี่ยนแปลงไปสู่การเป็นมหาวิทยาลัยแห่งการประกอบการ(Entrepreneurial Universities)

"NIA" เปิดแผน บ่มเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งการเป็นสตาร์ทอัพรุ่นใหม่

และได้ร่วมกับ 40 มหาวิทยาลัยเครือข่าย ดำเนินโครงการ “Startup Thailand League” ขึ้นตั้งแต่ปี 2560 เพื่อเป็นกลไกหนึ่งในการบูรณาการการทำงานร่วมกันของภาครัฐ สถาบันการศึกษา และภาคเอกชน ในการสร้างระบบนิเวศและสภาพแวดล้อมที่จะจุดประกายและส่งเสริมการเติบโตของสตาร์ทอัพรุ่นใหม่

"NIA" เปิดแผน บ่มเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งการเป็นสตาร์ทอัพรุ่นใหม่

รวมทั้งก่อให้เกิดสังคมแห่งผู้ประกอบการรุ่นใหม่ที่สามารถเข้าถึงทรัพยากรที่จะส่งเสริมและพัฒนาธุรกิจจากความคิดสร้างสรรค์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมได้ พร้อมเป็นกลไกหลักในการขับ
เคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศในอนาคต 

Startup Thailand League เป็นโปรแกรมบ่มเพาะและเร่งสร้างเมล็ดพันธุ์เถ้าแก่น้อย เพื่อเตรียมความพร้อมสู่การเป็นสตาร์ทอัพรุ่นใหม่ในภาคธุรกิจ หรือเป็นพนักงานที่มีคุณภาพของบริษัทเอกชน

ซึ่งตลอด 5 ปีของการดำเนินกิจกรรมมีนักศึกษาเข้าร่วมกว่า 70,000 คน จาก 40 มหาวิทยาลัยทั่วประเทศทั้งรัฐและเอกชน โดยได้รับเงินสนับสนุนในการพัฒนาผลงานนวัตกรรมทั้งสิ้นกว่า 1,350 ทีม

ทั้งนี้ สามารถต่อยอดจัดตั้งเป็นบริษัทและปัจจุบันยังดำเนินธุรกิจอยู่มากกว่า40 บริษัทก่อให้เกิดรายได้รวมต่อปีมากกว่า 400ล้านบาท (เฉลี่ย 10 ล้านบาทต่อปีต่อบริษัท)

นอกจากนี้ยังทำให้เกิดการกระจายตัวของสตาร์ทอัพไปยังภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วประเทศ เกิดการกระจายรายได้ออกสู่ภูมิภาค รวมถึงเกิด
การจ้างงานและสร้างความมั่นคงให้กับชุมชนได้มากขึ้นอีกด้วย 

นอกจากการพัฒนาศักยภาพของคนรุ่นใหม่แล้ว กิจกรรมนี้ยังมีส่วนสำคัญในการส่งเสริมและพัฒนาระบบนิเวศวิสาหกิจเริ่มต้น เช่น การเกิดสังคมแห่งผู้ประกอบการสตาร์ทอัพรุ่นใหม่ใน 40 มหาวิทยาลัย

การสร้างเครือข่าย StartupThailand League(FacebookGroup)ซึ่งเป็นพื้นที่รวมตัวสร้างเครือข่ายพลังสตาร์ทอัพรุ่นใหม่ทั่วประเทศ สำหรับการแชร์ไอเดียแลกเปลี่ยนประสบการณ์หาโอกาสใหม่ทางธุรกิจ หาพาร์ทเนอร์ แลกเปลี่ยนข้อมูลธุรกิจสตาร์ทอัพ

โดยปัจจุบันมีสมาชิกจำนวน 2,240 คน พื้นที่ Co-Working Space ในมหาวิทยาลัย กองทุนสนับสนุนนักศึกษาในบางมหาวิทยาลัย อีกทั้งยังเกิดการลงทุนจากบริษัททั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็ก และการทำงานระหว่างมหาวิทยาลัย

เช่นหลักสูตรการเรียนการสอน การแลกเปลี่ยนเรียนรู้การพัฒนานักศึกษาระหว่างมหาวิทยาลัย รวมทั้งมีส่วนสร้างกระแสความตื่นตัวในธุรกิจ “สตาร์ทอัพ” ที่เป็นความสนใจของกลุ่มนักลงทุนรุ่นใหม่ 

 ดร.พันธุ์อาจ กล่าวเสริมถึงการจัดกิจกรรมในปีนี้ว่า“ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส Covid-19 ทำให้หลายกิจกรรมต้องปรับรูปแบบเป็นออนไลน์

ซึ่งพบว่านิสิต/นักศึกษาส่งแนวคิดและแผนธุรกิจสตาร์ทอัพในกลุ่ม Health Tech มากขึ้นกว่าทุกปี และมาเป็นอันดับต้น ๆ สะท้อนให้เห็นว่านิสิต/นักศึกษาสามารถใช้วิกฤติเพื่อสร้างโอกาสในการสร้างสรรค์ผลงานในการเริ่มต้นธุรกิจได้

ทั้งนี้ NIA จะจัดกิจกรรมแสดงผลงาน/ผลิตภัณฑ์ต้นแบบจาก “IDEA สู่ Prototype” ที่ได้รับการคัดเลือกจำนวน 200 ผลงาน เพื่อสร้างโอกาสสำคัญในการนำเสนอแนวคิดและแสดงผลงานต่อกลุ่มนักลงทุน ภาคเอกชน และผู้สนใจธุรกิจสตาร์ทอัพ

รวมทั้งจะมีการแข่งขันระดับประเทศครั้งสุดท้ายในช่วงปลายปีนี้ เพื่อค้นหาสุดยอด Startup Thailand League ประจำปี 2021 โดยบริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จะได้สนับสนุน Cloud Voucher แก่นิสิต/นักศึกษาที่ชนะเลิศระดับประเทศ รวมเป็นรางวัลกว่า 36,000 USDหรือประมาณ 1,200,000 บาท

ดร.พันธุ์อาจ ย้ำว่า “เวทีการแข่งขัน Startup Thailand League ระดับมหาวิทยาลัย ไม่เพียงเป็นพื้นที่จุดประกายและส่งเสริมการเติบโตของสตาร์ทอัพให้ก้าวสู่การเป็นสตาร์ทอัพที่มีศักยภาพ ตอบโจทย์ภาคธุรกิจมากขึ้น แต่ยังสอดรับกับนิสิต/นักศึกษาที่เพิ่งจบใหม่และอาจว่างงานในช่วงวิกฤตโควิด-19 นี้

โดยจะทำให้เยาวชนรุ่นใหม่มีโอกาสเรียนรู้อีกทางเลือกหนึ่งของการเป็นผู้ประกอบการที่ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมขับเคลื่อนเศรษฐกิจและเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศ นอกเหนือจากการเข้าทำงานในองค์กรธุรกิจขนาดใหญ่

นอกจากนี้ ในอนาคต NIA จะต่อยอดกิจกรรมเพื่อให้ตอบโจทย์การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศมากยิ่งขึ้น เช่น การเพิ่มเติมกิจกรรมที่เสริมสร้างความรู้ ความสามารถผ่านกิจกรรมอบรมบ่มเพาะ การส่งเสริมให้สามารถจัดตั้งบริษัทประกอบธุรกิจสตาร์ทอัพได้อย่างจริงจังเพิ่มมากขึ้น ฯลฯ

เพื่อสร้างทรายเม็ดใหม่เข้าสู่ระบบนิเวศของวิสาหกิจเริ่มต้นให้มากที่สุด และจะมุ่งเน้นให้นิสิต/นักศึกษาทำธุรกิจในนวัตกรรมเชิงลึก (Deep Tech) มากยิ่งขึ้น โดยมุ่งใน 5 เทคโนโลยี ได้แก่ MED TECH, AG TECH,FOOD TECH, SPACE TECH และ ARI TECH   

ชมรมครูสังกัดกรุงเทพฯ วอนศธ. ทบทวนใช้ “หลักสูตรฐานสมรรถนะ” #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

https://www.komchadluek.net/news/480333

ชมรมครูสังกัดกรุงเทพฯ วอนศธ.ทบทวนใช้ “หลักสูตรฐานสมรรถนะ”

24 ส.ค. 2564

งงมาก ศธ.ตั้งนักวิชาการเพียงไม่กี่คน ออกมาเป็น“หลักสูตรฐานสมรรถนะ” หวั่นหลักสูตรใหม่จะไม่สัมฤทธิ์ผล เหตุขาดการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบ

เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2564 นายไกรทอง กล้าแข็ง ประธานชมรมครูสังกัดกรุงเทพมหานครออนไลน์  เปิดเผย “คมชัดลึกออนไลน์” ถึงแถลงการณ์ของชมรมครูสังกัดกรุงเทพมหานครออนไลน์ ว่า 

ควรใช้แล้วหรือ “หลักสูตรฐานสมรรถนะ”

ตามที่กระทรวงศึกษาธิการวางแผนนำหลักสูตรฐานสมรรถนะไปใช้โดยเริ่มในปีการศึกษา 2565 ซี่งจะมีกรอบการใช้ 3 ปีที่จะครบทุกโรงเรียนทั้งระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาในปีการศึกษา 2567 และคาดว่าจะจัดให้นำร่องทดลองใช้หลักสูตรฐานสมรรถนะในเขตพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาประมาณวันที่ 1 กันยายน 2564 นั้น

ชมรมครูสังกัดกรุงเทพมหานครออนไลน์ ได้เห็นเสียงสะท้อนความไม่เห็นด้วยขององค์กรครูและผู้ที่เกี่ยวข้องด้วยเหตุผลหลายประการตามที่มีการนำเสนอข่าวทางสื่อออนไลน์

ในส่วนของชมรมครูสังกัดกรุงเทพมหานครออนไลน์ได้ทำการสอบถามผ่านทางออนไลน์โดยการโพสต์ผ่านชมรมครูสังกัดกรุงเทพมหานครออนไลน์ที่มีสมาชิกจำนวนประมาณ 32,000 สมาชิก และแชร์ไปยังชมรมครูภูธรแห่งประเทศไทยที่มีสมาชิกจำนวนประมาณ 119,000 สมาชิก เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2564 ว่า ครูได้มีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นต่อการปรับปรุงหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ให้เป็น “หลักสูตรฐานสมรรถนะ” อยู่ในระดับใด แม้จะมีผู้ตอบการสอบถามจำนวนไม่มาก แต่ส่วนใหญ่ระบุว่ามีส่วนร่วมอยู่ในระดับน้อยที่สุด

จากการมีส่วนร่วมในระดับที่น้อยที่สุด ทำให้ทางชมรมฯ มีความวิตกกังวลว่า การจะจัดให้นำร่องทดลองและจะมีการนำไปใช้ในปีการศึกษา 2565 นั้น เกรงว่าหลักสูตรฐานสมรรถนะจะไม่สัมฤทธิผลเท่าที่ควร เพราะกระบวนการมีส่วนร่วมตั้งแต่ต้นดูเหมือนจะขาดหายไป

อีกทั้งเมื่อพิจารณาจากคำสั่งกระทรวงศึกษาธิการที่ สพฐ.774/2564 เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการจัดทำและพัฒนา (ร่าง) หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช…(หลักสูตรฐานสมรรถนะ) ไม่ปรากฏรายชื่อของผู้ใช้หลักสูตรโดยตรง เช่น ครูและบุคลากรทางการศึกษาอยู่ร่วมเป็นคณะกรรมการในสัดส่วนที่มากพอ ซึ่งจะได้แสดงความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ต่อการจัดทำและพัฒนา (ร่าง) หลักสูตรดังกล่าวให้เกิดประโยชน์มากที่สุด

โดยชมรมฯ เห็นว่าการจัดทำและพัฒนา (ร่าง) หลักสูตร นอกจากจะต้องใช้รูปแบบของคณะกรรมการหรือที่เรียกว่ารูปแบบการบริหาร (The administrative model) แล้ว ควรจะผสมผสานรูปแบบคณะกรรมการกับรูปแบบการดำเนินการจากผู้ใช้และผู้เกี่ยวข้อง (The grass-root model) เพื่อให้เกิดกระบวนการมีส่วนร่วมในการจัดทำและพัฒนา (ร่าง) หลักสูตร ประกอบกับ George A. Beauchamp (1975: 164-168) ได้แสดงให้เห็นถึงการนำหลักสูตรไปใช้ว่าควรคำนึงถึงการจัดสภาพแวดล้อมของโรงเรียน

โดยมีครูเป็นผู้นำหลักสูตรไปใช้ซึ่งต้องแปลงหลักสูตรไปสู่การสอน โดยใช้หลักสูตรเป็นหลักในการพัฒนาวิธีการสอน อีกทั้งการนำหลักสูตรไปใช้ให้บรรลุผล ครูควรมีส่วนร่วมในการร่างหลักสูตร ผู้บริหารเห็นความสำคัญ สนับสนุนการดำเนินงานให้บรรลุเป้าหมาย

จากประเด็นทางวิชาการเมื่อเทียบกับข้อเท็จจริงที่ปรากฏขึ้น ทางชมรมครูสังกัดกรุงเทพมหานครออนไลน์ เห็นว่า

1) การจะจัดให้นำร่องทดลองควรจะจัดเมื่อสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ได้มีจำนวนลดลงมากแล้ว หรือควรจะจัดในสถานการณ์ที่มีความเป็นปกติ เพราะสภาพแวดล้อมของโรงเรียนจะเอื้ออำนวยต่อการทดลอง เมื่อนำหลักสูตรไปใช้จริงในสภาพการณ์ที่เป็นปกติจะสามารถทำให้การใช้หลักสูตรบรรลุเป้าหมายได้ ซึ่งแม้การบรรลุเป้าหมายของหลักสูตรหรือไม่จะมีปัจจัยอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องอีกมากก็ตาม แต่ควรจะรัดกุมตั้งแต่เริ่มต้น จึงควรเลื่อนเวลาในการทดลองออกไปก่อน ประการสำคัญอาจจะลดภาระครูได้ด้วยในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่จะทำให้การใช้หลักสูตรประสบผลสำเร็จหรือไม่

2) แม้คำสั่งการตั้งคณะกรรมการฯ ได้ดำเนินการไปแล้ว แต่หากมีการจัดรับฟังความคิดเห็นไม่ว่าจะในรูปแบบใดที่เปิดเผยได้ ก็จะเกิดความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น โดยสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ที่เกี่ยวข้องกับหลักสิทธิเสรีภาพและการดำเนินการใด ๆ ที่อาจต้องรับฟังเพราะมีผลกระทบต่อประชาชน

การดำเนินการตามสองข้อดังกล่าว จะส่งผลดีต่อกระทรวงศึกษาธิการและเป็นประโยชน์ต่อชาติด้านการปฏิรูปการศึกษาให้ประสบผลสำเร็จ โดยหลักสูตรจะเกิดความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น เกิดการสร้างแนวร่วมและแรงจูงใจ จะได้ไม่เป็นที่ตำหนิติติงเหมือนทุกคราวหรือไม่ว่า 

“คนคิดไม่ได้ทำ คนทำไม่ได้คิด” และในภาพรวมจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนที่ได้รับผลกระทบต่อการประกาศใช้หลักสูตร

ดังนั้น ชมรมครูสังกัดกรุงเทพมหานครออนไลน์ เชื่อว่าหลักสูตรต้องมีการปรับปรุงหรือปรับเปลี่ยนหรือยกเลิกและทำการร่างเพื่อใช้ใหม่ ก็ด้วยหลักสูตรมีความเป็นพลวัต แต่อาจไม่ใช่ ณ สถานการณ์เช่นนี้ จึงขอให้กระทรวงศึกษาธิการและผู้มีอำนาจเหนือกระทรวงศึกษาธิการ ได้โปรดทำการทบทวนในเรื่องนี้ จักขอขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง

นายไกรทอง  เผยอีกว่า  ก่อนจะประกาศใช้หลักสูตรฐานสมรรถนะ ขาดหัวใจสำคัญเพราะกระบวนการทุกขั้นตอนขาดการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนที่จะได้รับผลกระทบ อาทิ นักเรียน ครุและบุคลากรทางการศึกษา พ่อแม่ ผู้ปกครอง ประชาชน  ยิ่งครูเป็นผู้สอนต้องใช้หลักสูตรใหม่ แต่กลับไม่มีส่วนร่วม  ผิดกระบวนการออกหลักสุตร ที่ต้องมีการร่างหลักสูตรจากการประเมินจุดบกพร่องของหลักสูตรเดิมว่าควรจะปรับปรุงแก้ไขตรงไหน เมื่อร่างหลักสูตรเสร็จ ต้องรับฟังความเห็นทุกภาคส่วนในสังคม ก่อนจะทดลองและนำมาใช้จริ

“ผมงงมาก ตั้งนักวิชาการไม่กี่คน  ครูมาจากไหนก็ไม่รู้ มีประสพการณ์สอน หรือประสพความสำเร็จในวิชาชีพครูหรือไม่  อยู่ๆมาบอกจะนำมาใช้ เป็นการปรับเปลี่ยน ที่ไม่รู้ว่าใครได้ประโยชน์ แต่ที่แน่นอนนักเรียน พ่อแม่ผู้ปกครองกำลังเดือดร้อนจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ”นายไกรทอง กล่าวทิ้งท้าย

“สทป.” ร่วมกับ ม.บูรพา จัดค่ายวิทย์จรวดประดิษฐ์ครั้งที่ 10 #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

https://www.komchadluek.net/news/480317

“สทป.” ร่วมกับ ม.บูรพา จัดค่ายวิทย์จรวดประดิษฐ์ครั้งที่10

24 ส.ค. 2564

2 หน่วยงาน “สทป.”-ม.บูรพา เสริมแกร่งเทคฯ อวกาศไทย จุดประกายเด็ก “นิวเจน” 17 ทีม จากภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วประเทศ สู่มือโปรด้านวิศวกรรมอวกาศ

สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ (สทป.) ร่วมกับ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา (มบ.)ผนึกกำลังบูรณาการความรู้ จัดกิจกรรมค่ายวิทยาศาสตร์จรวดประดิษฐ์ ประจำปี 2564 ครั้งที่ 10 ขึ้นเป็นครั้งแรกของภาคตะวันออก การจัดกิจกรรมในครั้งนี้เกิดขึ้นได้ด้วยความร่วมแรงร่วมใจของ 2 หน่วยงาน

โดยมี พลอากาศเอก ดร.ปรีชา ประดับมุข ผู้อำนวยการสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ (ผอ.สปท.) และผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ณยศ คุรุกิจโกศล คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ ม.บูรพา ให้การสนับสนุนการจัดกิจกรรม ค่ายวิทยาศาสตร์จรวดประดิษฐ์ ประจำปี 2564 ครั้งที่ 10 ในครั้งนี้

เพื่อร่วมกันเผยแพร่ความรู้สู่ประชาสังคม จุดประกายความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ให้กับเยาวชน ให้ก้าวไปสู่การเป็นนักวิจัย นักวิทยาศาสตร์ และเป็นบุคลากรที่มีคุณค่าเพื่อขับเคลื่อนประเทศไปสู่การพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่สร้างสรรค์ให้กับประเทศต่อไปในอนาคต

พลอากาศเอก ดร.ปรีชา ประดับมุข ผู้อำนวยการสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ กล่าวว่าองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีจรวด เป็นเทคโนโลยีหลักและเป็นจุดกำเนิดของ สทป. เป็นสิ่งน่าสนใจสำหรับเยาวชน  อีกทั้งมีลักษณะเป็นสหวิทยาการ เกี่ยวข้องกับวิชาต่าง ๆ ที่เยาวชนกำลังศึกษาอยู่ในชั้นมัธยมศึกษา

ในต่างประเทศ มีการจัดกิจกรรมจรวดประดิษฐ์ หรือ Model Rocket สำหรับเยาวชนกันมาเป็นเวลานานแล้ว แต่ในประเทศไทยประชาชนทั่วไปยังไม่สามารถดำเนินกิจกรรมนี้ได้เอง 

สทป. จึงอยู่ในฐานะที่เหมาะสม ที่จะริเริ่มจัดกิจกรรม ซึ่งจะนำเทคโนโลยีจรวดมาช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้เยาวชนเกิดความสนใจในวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี

"สทป." ร่วมกับ ม.บูรพา จัดค่ายวิทย์จรวดประดิษฐ์ครั้งที่10

กิจกรรมค่ายวิทยาศาสตร์จรวดประดิษฐ์ เป็นกิจกรรมความรับผิดชอบต่อสังคมของสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศที่ได้มีการริเริ่มจัดกิจกรรมตั้งแต่ปี 2555 ทั้งในส่วนกลาง และส่วนภูมิภาค

ที่ผ่านมา สทป.เดินทางไปจัดกิจกรรมทั้งภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้ และในปี 2564 นี้ ได้จัดกิจกรรมขึ้นเป็นครั้งที่ 10 โดยในครั้งนี้ได้ขยายโอกาสให้แก่เยาวชนภาคตะวันออกเป็นครั้งแรก ซึ่งได้รับความร่วมมืออย่างดีจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ ม.บูรพา ในการร่วมจัดกิจกรรม 

“และขอแสดงความยินดีกับเยาวชนทั้ง 17 ทีม จากภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วประเทศ ที่ได้มีโอกาสเข้าร่วมกิจกรรมและได้รับการถ่ายทอดองค์ความรู้จากเทคโนโลยีชั้นสูง ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจากผู้มีประสบการณ์ตรง แม้กิจกรรมในครั้งนี้จะเป็นการเรียนรู้ที่ต้องศึกษาด้วยตนเองจากสื่อการสอนออนไลน์ โดยมีพี่เลี้ยงช่วยให้คำแนะนำให้กับเยาวชนในแต่ละทีม ซึ่งทุกทีมแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของตนเอง ในการศึกษา เรียนรู้ และประดิษฐ์จรวดได้เป็นอย่างดี” ผอ.สทป. กล่าว

ซึ่งความพิเศษของกิจกรรมในครั้งนี้ คือเยาวชนได้มีโอกาสนำความรู้ที่ได้รับจากภาคทฤษฎี มาลงมือปฏิบัติ ทั้งการออกแบบโดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยคำนวณ ควบคู่ไปกับการใช้หลักการทางวิศวกรรมออกแบบจรวดที่ต้องนำไปยิงจริง โดยจรวดที่น้อง ๆ เยาวชนออกแบบมาจะต้องประสบพบเจอกับสภาพแวดล้อมที่ รุนแรงไม่แพ้สภาพที่อุปกรณ์ในอุตสาหกรรมการบินและอวกาศจริง ๆ จะต้องประสบ ทั้งความเร่งหรือแรง G ที่มหาศาล การสั่นสะเทือน แรงช็อคจากการระเบิด อุณหภูมิสูงนับพันองศา ฯลฯ

"สทป." ร่วมกับ ม.บูรพา จัดค่ายวิทย์จรวดประดิษฐ์ครั้งที่10

จรวดจะต้องทนได้และทำภารกิจได้สำเร็จ เมื่อได้แบบจรวดมาแล้ว ต้องลงมือสร้างเอง ออกแบบให้สวยงาม แล้วจึงนำไปทดสอบตามกระบวนการ ก่อนนำไปยิงแข่งขัน

ถึงแม้จะมีสถานการณ์การแพร่ระบาดของของโรคโควิด-19 ทำให้เยาวชนไม่สามารถมารวมตัวกันได้ แต่สทป.ก็ไม่หยุดให้โอกาสในการเรียนรู้และพัฒนา ยังคงมุ่งมั่นในการพัฒนาเยาวชนในรูปแบบใหม่

“และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะเป็นส่วนเล็ก ๆ ในการจุดประกายความคิด ให้เยาวชนมีความคิดริเริ่มเพื่อเป็นนักวิจัยรุ่นใหม่ต่อไปในอนาคต”ผอ.สทป.กล่าว

ด้านผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ณยศ คุรุกิจโกศล กล่าวว่า ในนามของคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา ซึ่งเป็นผู้ร่วมดำเนินการจัดค่ายในครั้งนี้ ขอแสดงความยินดีกับทั้ง 17 ทีมที่ได้เข้ารอบและได้ก้าวผ่านความท้าทายนานับประการ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่จะต้องทำการอบรมออนไลน์ การปรึกษาพูดคุยกับพี่เลี้ยงผ่านช่องทางแบบ new normal ในสถานการณ์โรคโควิด-19 

แต่ทุกทีมก็สามารถทำได้ดีและมีการนำเอาวิชาความรู้ที่มีอยู่เดิมมาผนวกกับความรู้ประสบการณ์ของพี่เลี้ยง มาพัฒนาจนออกมาเป็นจรวดประดิษฐ์ขึ้นมาได้ ซึ่งถือว่าเป็นประสบการณ์ในชีวิตที่มีค่าในการที่ได้นำมาความรู้ทางวิทยาศาสตร์มาทำให้เกิดเป็นสิ่งประดิษฐ์จริง สรรสร้างเป็นนวัตกรรมที่นำให้โลกมีการพัฒนาก้าวหน้า 

เทคโนโลยีอวกาศและจรวดไม่ใช่แค่การส่งจรวดขึ้นไปสู่อวกาศเพียงเท่านั้น  แต่ยังมีเทคโนโลยีที่เกี่ยวเนื่องอีกมากมาย มีศาสตร์ทางวิศวกรรมและวิทยาศาสตร์ที่เกิดขึ้นมาจากเทคโนโลยีจรวด ไม่ว่าจะเป็นวัสดุศาสตร์ขั้นสูง การคิดค้นวัสดุใหม่ที่สามารถระบายความร้อนได้ดี ทนการเสียดสี

หรือมีความแข็งแรงที่มากพอที่จะป้องกันตัวจรวดของเราให้รอดพ้นจากผลกระทบภายนอก ในช่วงเวลาของการส่งจรวดขึ้นไป รวมถึงระบบการขับเคลื่อนมอเตอร์ พวกดินขับ หรือสารเคมีเหล่านี้เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งทั้งสิ้น

อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าค่ายจรวดในครั้งนี้เป็นจุดสำคัญจุดหนึ่งในชีวิตที่จะสร้างแรงบันดาลใจ เยาวชนที่ผ่านค่ายนี้แล้วรักในทางศาสตร์วิศวกรรม รักในศาสตร์ทางเทคโนโลยีอวกาศ อยากให้ต่อยอดได้หาความรู้เพิ่มเติมต่อไป ประเทศไทยของเรายังขาดวิศวกร นักวิทยาศาสตร์ที่มีความชำนาญทางด้านเทคโนโลยีอวกาศอยู่เป็นอันมาก เพราะฉะนั้นใครที่มีความสนใจในด้านนี้ อย่าทิ้ง อยากจะให้ได้ศึกษาต่อเนื่องไป 

ทางคณะวิศวกรรมศาสตร์ ม.บูรพา มีความยินดีต้อนรับเยาวชนทุกคน ทางคณะมีสาขาวิชาที่จำเป็นสำหรับวิศวกรรมอวกาศหรือเทคโนโลยีอวกาศ อย่างเช่น ทางวิศวกรรมเครื่องกล วิศวกรรมไฟฟ้า หรือวิศวกรรมเคมี หรือแม้แต่สาขาวิชาวิศวกรรมวัสดุขั้นสูง

นอกจากนี้ยังมีสาขาวิชาวิศวกรรมอุตสาหการ ที่เน้นไปทางการบริหารจัดการทางวิศวกรรม ซึ่งถือว่าเป็นศาสตร์สำคัญที่จะทำให้ จิ๊กซอว์ทุกตัวมาต่อร่วมกันได้ จะเห็นได้ว่าเทคโนโลยีอวกาศหรืออุตสาหกรรมอวกาศเป็นสาขาวิชาที่เป็นสหวิชาชีพ เป็นการผนวกเอาความรู้ความชำนาญหลากหลายด้านเข้ามาไว้ด้วยกัน เพื่อที่จะให้เราสามารถบรรลุเป้าหมายหลัก ในการท้าทายแรงโน้มถ่วงและทางด้านฟิสิกส์ที่จะทำให้สามารถส่งจรวดออกไปในระยะไกล 

“ดังนั้นเยาวชนที่สนใจจะเดินต่อในสายวิชาชีพนี้อยากจะให้ทุกคนตั้งใจเรียนในรายวิชาที่จำเป็น ลองสร้างความเข้มแข็งทางด้านคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ เคมี และสิ่งที่เรากำลังสร้างคือรากฐานที่มั่นคงที่ย่อมนำมาซึ่งพีระมิดสูงและแข็งแกร่ง สามารถยืนต่อต้านสภาพอากาศ ความท้าทายต่าง ๆ ไปได้ฉันใด ขอให้เยาวชนทุกคนสร้างความเข้มแข็งให้กับวิชาการซึ่งเป็นพื้นฐานที่สำคัญสำหรับการต่อยอดในอนาคตฉันนั้น”ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ณยศ กล่าว

สำหรับกิจกรรมค่ายวิทยาศาสตร์จรวดประดิษฐ์ ครั้งที่ 10 ประจำปี 2564 ที่จัดขึ้นในครั้งนี้ มีกลุ่มเป้าหมายเป็นเยาวชนที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5-6 สายวิทยาศาสตร์ – คณิตศาสตร์ ซึ่งมีความพิเศษที่ต่างจากทุกปีคือได้มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการจัดกิจกรรมให้เข้ากับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยได้ดำเนินกิจกรรมในรูปแบบออนไลน์ มีเยาวชนจำนวน 17 ทีม เข้าร่วมกิจกรรม ซึ่งทุกทีมต้องทำการเรียนรู้ด้วยตนเองผ่านสื่อการสอนออนไลน์

"สทป." ร่วมกับ ม.บูรพา จัดค่ายวิทย์จรวดประดิษฐ์ครั้งที่10

 จากนั้นทุกทีมจะนำเสนอแนวคิดการออกแบบจรวดในรูปแบบของ VDO Presentation และต้องนำเสนอแนวคิดผ่านระบบ Zoom Video Conference เพื่อให้คณะกรรมการพิจารณา 

โดยมีทีมที่ได้คะแนน Conceptual Design สูงสุดจำนวน 3 ทีม โดยได้รับรางวัล จำนวน 3 รางวัล ดังนี้

รางวัล Conceptual Design ความคิดสร้างสรรค์ ได้แก่ ทีม First Point Aries โรงเรียนกรุงเทพ คริสเตียนวิทยาลัย กทม.

รางวัล Conceptual Design การออกแบบตามทฤษฎี ได้แก่ ทีม Rocket with my friends โรงเรียนสระบุรีวิทยาคม จ.สระบุรี

รางวัล Presentation ยอดเยี่ยม ได้แก่ ทีม Emmalyn โรงเรียนวัดป่าประดู่ จ.ระยอง

โดยในการนำเสนอ ทุกทีมจะได้รับคำแนะนำจากกรรมการ เพื่อทำการประดิษฐ์จรวด เมื่อทุกทีมประดิษฐ์จรวดเรียบร้อยแล้วจะทำการโหวตจรวดที่ออกแบบได้โดนใจผู้ชมมากที่สุด ผ่านทาง Facebook Fanpage ค่ายวิทยาศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ

ซึ่งทีมที่ได้รับการกด Like มากที่สุด และได้รับรางวัล Popular Vote ไปครองได้แก่ ทีม Space Bar โรงเรียนพิษณุโลกพิทยาคม จ.พิษณุโลก มีคนกด Like จำนวนถึง 1,451 Like

ในส่วนของการทดสอบยิงจรวดประดิษฐ์ ทุกทีมจะต้องคิดวิธีในการส่งจรวดประดิษฐ์มาให้ทางคณะผู้จัด ซึ่งจรวดที่ส่งมานั้นจะต้องมีสภาพที่สมบูรณ์ พร้อมที่จะทำการยิงทดสอบมากที่สุด เพื่อที่นักวิจัย สทป. จะได้นำจรวดของน้อง ๆ ไปประกอบมอเตอร์ เพื่อทำการยิงทดสอบ

โดยทีมที่มีคะแนนมากที่สุดใน 3 อันดับ ที่สามารถคว้ารางวัลไปครอง ดังนี้

รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ได้แก่ ทีม Black Smith Guy โรงเรียนน้ำพองศึกษา จ.ขอนแก่น

รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ได้แก่ ทีม Jupiter โรงเรียนสุวรรณารามวิทยาคม กทม.

รางวัลชนะเลิศในปีนี้มีทีมที่สามารถทำคะแนนสูงสุดถึง 2 ทีม ได้แก่ทีม nine za โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ หอวัง นนทบุรี จ.นนทบุรี ทีม Skyrocket โรงเรียนองครักษ์ จ.นครนายก

ผ่านแผน 4ปี “มทร.สุวรรณภูมิ” ปั้นบัณฑิตเก่งไอที-มีทักษะ #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

https://www.komchadluek.net/news/480141

ผ่านแผน 4ปี “มทร.สุวรรณภูมิ” ปั้นบัณฑิตเก่งไอที-มีทักษะ

23 ส.ค. 2564

แผนการพัฒนากำลังคนด้านนวัตกรรม รับยุค New-Nomal “มทร.สุวรรณภูมิ” รองรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย เข้มข้นด้วยสหกิจศึกษาเรียนรู้คู่ลงมือปฏิบัติจริงในสถานประกอบการที่เป็นเครือข่าย เรียนจบทำงานได้ทันที มีคืนกำไรสู่ชุมชน

นายธีรพล ขุนเมือง อดีตอธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ(มทรส.) หรือ มทร.สุวรรณภูมิ  ในฐานะประธานคณะกรรมการสื่อสารและประชาสัมพันธ์ เปิดเผยว่า “คมชัดลึกออนไลน์” ว่าปัจจุบันโลกกำลังเผชิญกับโรคโควิด-19 ทำให้เห็นว่าประเทศไหนที่มีการพัฒนานวัตกรรมได้มากกว่า ย่อมได้เปรียบ 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศไทยต้องเดินหน้า เรื่องเศรษฐกิจนวัตกรรมเทคโนโลยีอย่างจริงจัง และรวดเร็วยิ่งขึ้น เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจในปัจจุบันรวมทั้ง ฟื้นฟูประเทศหลังจากสถานการณ์โควิด-19 ผ่านไป

“ซึ่งจุดสำคัญที่สุด คือการพัฒนากำลังคนให้มีความพร้อม มีองค์ความรู้และสามารถปฏิบัติงานได้จริงหลังจบจากรั้วมหาวิทยาลัย”กรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิม มทร.สุวรรณภูมิ กล่าว

โดย มทร.สุวรรณภูมิ ได้กำหนดยุทธศาสตร์ในเรื่องนี้ไว้อย่างต่อเนื่อง อาทิการพัฒนาคุณภาพบัณฑิตเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมแห่งอนาคตเป็นต้น

ทั้งนี้ เพื่อผลิตบัณฑิตนักปฏิบัติและกำลังคนที่มีความรู้ทางวิชาการและมีทักษะวิชาชีพอย่างมืออาชีพเข้าใจแนวคิดการพัฒนา นวัตกรรมและการเป็นผู้ประกอบการ

และเพื่อให้การดำเนินการบรรลุ เป้าหมายอย่างรวดเร็วได้มีการกำหนดแผนการพลิกโฉมมหาวิทยาลัยไว้ด้วยโดยมีจุดเน้น ทิศทางและเป้าหมายตามสาขาความเชี่ยวชาญ ของ มทร.สุวรรณภูมิ ภายใต้ “แผนพัฒนากำลังคนด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมรองรับอุตสาหกรรมแห่งอนาคต”พ.ศ 2566 -2570

ผ่านแผน 4ปี "มทร.สุวรรณภูมิ" ปั้นบัณฑิตเก่งไอที-มีทักษะ

นายธีรพล กล่าวเพิ่มเติมว่า สภามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลฯได้ให้ความเห็นชอบแผนพัฒนากำลังคนดังกล่าว เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2564 โดยมีจุดเน้นทางด้านการเรียน การสอน เพื่อผลิตกำลังคนด้านวิชาชีพและเทคโนโลยีชั้นสูงเพื่อรองรับอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ และการเป็นผู้ประกอบการ

ทั้งระดับปริญญา(Degree) และ ระดับประกาศนียบัตร(Non-degree)โดยมุ่งเน้น 3 ด้าน คือ 1.การใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ 2.เทคนิคยานยนต์สมัยใหม่และ3.หุ่นยนต์สมัยใหม่ และด้านเกษตรอัจฉริยะ การแปรรูปผลิตผลการเกษตรแบบปราณีต และแม่นยำ

ซึ่งมีศูนย์เชี่ยวชาญเพื่อผลิตกำลังคนทั้ง 3 ด้าน ควบคู่กับการให้บริการทางวิชาการร่วมกับเครือข่าย เช่น สถานประกอบการ เพื่อให้นักศึกษาได้ลงมือปฏิบัติงานจริงด้วย

ซึ่งมั่นใจว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ เป็นการเตรียมพร้อมรับกับทุกสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการเรียนการสอนผ่านระบบออนไลน์

มีการพัฒนาหลักสูตรเป็นการเรียนออนไลน์มากขึ้น บุคลากรใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการติดต่อสื่อสารและการประสานงานภายในหน่วยงาน และภายนอกหน่วยงาน

ผ่านแผน 4ปี "มทร.สุวรรณภูมิ" ปั้นบัณฑิตเก่งไอที-มีทักษะ

ตลอดจนมีการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีที่รวดเร็วทำให้กำลังคนในภาคอุตสาหกรรมและภาคอื่นๆ ต้องได้รับการพัฒนาให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง ด้วยการ Re-skill /Up-skill/New-skill อย่างต่อเนื่อง(การเรียนรู้ตลอดชีวิต)ซึ่งมหาวิทยาลัยจะต้องเป็นหน่วยหลักของประเทศ ในการสร้างคน คุณภาพ เพื่อให้มีการบริหารจัดการเตรียมความพร้อม เพื่อรองรับภัยพิบัติที่ไม่สามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้

“บัณฑิตของ มทร.สุวรรณภูมิ จะรองรับอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ เข้มข้นด้วยสหกิจศึกษา เรียนรู้คู่ลงมือปฏิบัติจริงในสถานประกอบการที่เป็นเครือข่าย เก่งไอที เก่งนวัตกรรม มีทักษะวิชาชีพ เมื่อเรียนจบทำงานได้ทันที ไม่ต้องเรียนรู้ใหม่ เพราะนักศึกษาฝึกปฏิบัติมาอย่างเชี่ยวชาญกับมืออาชีพ แต่ไม่ลืมความเป็นจิตสาธารณะ ต้องคืนกำไรสู่ชุมชน ด้วยการช่วยเหลือชุมชนที่อยู่รายรอบสถาบัน”กรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิ มทร.สุวรรณภูมิ กล่าวทิ้งท้าย

“เรียนออนไลน์” การบ้านท่วม ทำเด็กไทยเนือยนิ่งเพิ่มเป็น 14 ชั่วโมงต่อวัน #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

https://www.komchadluek.net/news/480017

“เรียนออนไลน์” การบ้านท่วม ทำเด็กไทยเนือยนิ่งเพิ่มเป็น 14ชั่วโมงต่อวัน

22 ส.ค. 2564

ผลสำรวจย้ำชัด “เรียนออนไลน์” เด็กปวดตา เครียด การบ้านท่วม นอนน้อย ขาดกิจกรรมทางกาย หมอเด็กห่วงกินอาหารตามใจ ทำให้เด็กอ้วน และเนือยนิ่งเพิ่ม แนะชวนเด็กทำงานบ้าน-เล่นกีฬา

ดร.นพ.ไพโรจน์ เสาน่วม ผู้ช่วยผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และผู้อำนวยการสำนักสร้างเสริมวิถีชีวิตสุขภาวะ สสส. กล่าวว่า เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 ส่งผลต่อการดำเนินชีวิตของทุกคนเป็นวงกว้าง รวมถึงการเรียนออนไลน์ของเด็กๆ

สสส. จึงร่วมกับศูนย์พัฒนาองค์ความรู้ด้านกิจกรรมทางกายประเทศไทย (TPAK) สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล จัดเสวนาออนไลน์“ทราบแล้วเปลี่ยน” แนวทางส่งเสริมสุขภาพเด็กในช่วงเรียนออนไลน์

ซึ่งข้อมูลการศึกษาของTPAKพบว่า เด็กไทยมีพฤติกรรมเนือยนิ่งมากว่า 13 ชั่วโมงต่อวัน ยิ่งในสถานการณ์โควิด-19พบว่า เด็กมีพฤติกรรมเนือยนิ่งเพิ่มขึ้นเป็น 14 ชั่วโมงต่อวัน เพราะส่วนใหญ่ต้องเรียนออนไลน์และนั่งอยู่หน้าจอทั้งวัน 

ขณะที่องค์การอนามัยโลกแนะนำให้เด็กต้องขยับร่างกาย 60 นาทีต่อวัน ทั้งนี้ 10 ปีที่ผ่านมาพบว่า เด็กไทยมีกิจกรรมทางกาย การเล่น หรือการเคลื่อนไหวร่างกายที่เพียงพอ เฉลี่ย 26%

แต่ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ตั้งแต่ปี 2563 สถานการณ์ดังกล่าวยิ่งน่าเป็นห่วงมากยิ่งขึ้น คือ เด็กไทยมีกิจกรรมทางกายที่เพียงพอลดลงเหลือเพียง17%

“การไม่ขยับร่างกาย หากไม่เริ่มปรับเปลี่ยนพฤติกรรมจะส่งผลต่อสุขภาพทั้งในระยะสั้น เเละในระยะยาวมีผลต่อการเรียนรู้เเละเจริญเติบโต เด็กอาจติดเป็นนิสัยในอนาคต

สสส. จึงแนะนำให้ในชั่วโมงเรียนการเรียนควรให้มีช่วงพักเพื่อเข้าห้องน้ำ หรือเปลี่ยนอิริยาบถ ได้เล่นผ่อนคลาย และเมื่อเลิกเรียน ควรมีกิจกรรมในบ้านร่วมกัน เช่น ทำงานบ้าน ออกกำลังกาย

หรือแม้แต่การเล่นของเด็กๆ ก็ช่วยเสริมสร้างร่างกาย จิตใจ และพัฒนาสมอง ถือเป็นโอกาสดีที่ครอบครัวจะสร้างปฏิสัมพันธ์ร่วมกัน ใกล้ชิดกันมากขึ้น

นอกจากนี้ สสส. กระทรวงศึกษาธิการเเละกระทรวงสาธารณสุข ได้ร่วมทำชุดความรู้ “คู่มือการจัดการโรงเรียน รับมือโควิด-19” ซึ่งขณะนี้มียอดดาวน์โหลดนับล้านครั้ง สามารถนำไปปรับใช้”ดร.นพ.ไพโรจน์ กล่าว

ผศ.ดร.ปิยวัฒน์ เกตุวงศา  หัวหน้าศูนย์พัฒนาองค์ความรู้ด้านกิจกรรมทางกายฯ กล่าวว่า จากการสำรวจข้อมูลผ่านระบบออนไลน์ เพื่อรวบรวมข้อมูลในประเด็นเกี่ยวกับพฤติกรรมและผลกระทบจากการเรียนออนไลน์ และการจัดการด้านสุขภาพ ของนักเรียนประถมศึกษาปีที่ 1ถึงปริญญาตรี ร่วมตอบแบบสำรวจทั้งหมด 243 คน เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา

พบ 8 อันดับสูงสุดของปัญหาที่นักเรียนประสบในช่วงการเรียนออนไลน์ ได้แก่

1.) มีอาการปวดตา/ตาอ่อนล้า/ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ/ปวดหลัง/ปวดคอและบ่าไหล่ และพฤติกรรมเนือยนิ่ง 79%

2.)เครียด วิตกกังวล 

โดยเฉพาะนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่6เตรียมศึกษาต่อระดับมัธยมศึกษาปีที่ 1 และมัธยมศึกษาปีที่ 6 เตรียมศึกษาต่อมหาวิทยาลัย เพราะกังวลว่าจะไม่มีโรงเรียนที่ดีรับเข้าเรียน74.9% 

3.จำนวนการบ้านมากขึ้น จนส่งผลกระทบต่อเวลาในการพักผ่อน/การนอนหลับในแต่ละวัน71.6%

4.มีความรู้สึกไม่อยากเรียน ร้อยละ 8.3%

5.ห่วงค่าใช้จ่ายที่เพิ่มมากขึ้น เช่น ค่าไฟ ค่าอินเทอร์เน็ต 66.3%

6.ขาดกิจกรรมทางกาย ออกกำลังกายน้อยลง 58%

7.สภาพแวดล้อมที่บ้านไม่เอื้ออำนวยทำให้ขาดสมาธิ57.2%

และ 8. รับประทานอาหารไม่ตรงเวลา 56%

ผศ.พญ. แก้วตา นพมณีจำรัสเลิศ รองผู้อำนวยการสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัวมหาวิทยาลัยมหิดล และกุมารแพทย์เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการและพฤติกรรมเด็กกล่าวว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นกับเด็กทั้งทางร่างกาย จิตใจ และสุขภาพของสมอง 

จากการเรียนออนไลน์พบว่า เด็กอยู่กับหน้าจอมากขึ้น ส่งผลกระทบต่อสายตาที่กะพริบตาน้อยลง ทำให้ตาแห้ง มีอาการปวดตา นั่งนาน จะปวดเมื่อยตัว 

ด้านพฤติกรรมสุขภาพส่งผลกระทบทั้งเรื่องการกิน การนอน สามารถกินได้ตลอดเวลา หากผู้ปกครองไม่ได้ใส่ใจเรื่องคุณภาพอาหาร อาจส่งผลให้เด็กเกิดภาวะอ้วนได้ ซึ่งหากเด็กอ้วนแล้วนะนำไปสู่การเกิดโรคหัวใจ ความดันโลหิต ไขมันในเลือดสูง 

ดังนั้น การแก้ไขปัญหาที่สำคัญคือ การมีปฏิสัมพันธ์ในครอบครัวต้องเป็นไปในเชิงบวก พ่อแม่ต้องจัดสรรเวลาทำกิจกรรมร่วมกับลูกในช่วงที่ลูกต้องเรียนออนไลน์ พ่อแม่ต้องทำงานที่บ้าน ความเข้มแข็งทางจิตใจของพ่อแม่ จะทำให้เด็กมีพลังในการลุกขึ้นสู้

ดังนั้นการพูดคุยสื่อสารกับเด็กจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เด็กเข้มแข็งและเติบโตไปได้ ส่วนของโรงเรียนควรมีนโยบายลดเวลาเรียน เพิ่มรูปแบบกิจกรรมเพื่อให้เด็กมีการเคลื่อนไหวมากขึ้น จัดตารางเรียนให้เหมาะจัดครูไปเยี่ยมบ้านนักเรียนในกรณีที่ผู้ปกครองของนักเรียนไม่มีเวลา