“รมช.ศธ.” เปิดโครงการล้านเมล็ดพันธุ์ ศธ.ฯ เฉลิมพระเกียรติ “สมเด็จพระพันปีหลวง” #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

https://www.komchadluek.net/news/edu-health/478533

” รมช.ศธ.” เปิดโครงการล้านเมล็ดพันธุ์ ศธ.ฯ เฉลิมพระเกียรติ”สมเด็จพระพันปีหลวง”

12 สิงหาคม 2564 – 19:15 น.

เฉลิมพระเกียรติ “สมเด็จพระพันปีหลวง” รมช.ศธ. น้อมนำชาว กศน.ทั่วประเทศรวมใจปลูกฟ้าทะลายโจร-มอบต้นกล้าพร้อมคู่มือ ชวนประชาชนปลูกเพื่อแม่-ใช้เป็นยาในครัวเรือน สู้โควิด-19

วันที่ 12 สิงหาคม 2564 นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ(รมช.ศธ.) เป็นประธานเปิดโครงการ “ล้านเมล็ดพันธุ์ ศธ. ห่วงใย ต้านภัยโควิด” เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง

" รมช.ศธ." เปิดโครงการล้านเมล็ดพันธุ์ ศธ.ฯ เฉลิมพระเกียรติ"สมเด็จพระพันปีหลวง"

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง :

ผู้กำกับดัง รวย 4 พันล้าน แต่ไม่ขอให้เงินแม่ เพราะจำคำดูถูกวัยเด็ก

“น้ำชา ชีรณัฐ” โพสต์ซึ้งถึงแม่ ไม่มีแม่ไม่มีวันนี้

ถึง”แม่ตู่ นันทิดา”จากลูกสาว”เพลง ชนม์ทิดา”บอกรักวันแม่ ด้วยภาพอดีต

ผ่านระบบถ่ายทอดสด (Live) ทางเฟซบุ๊ก “ETV Channel” และปลูกต้นกล้าฟ้าทะลายโจรต้นแรกในกระทรวงศึกษาธิการ ณ บริเวณศูนย์การเรียนรู้วังจันทรเกษม พร้อมกับ กศน.ทั่วประเทศ

โดยมี นายกมล รอดคล้าย ที่ปรึกษา รมช.ศธ. นายพะโยม ชิณวงศ์ ประธานคณะทำงาน รมช.ศธ. นายสุภัทร จำปาทอง ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ นายวรัท พฤกษาทวีกุล เลขาธิการ กศน. และบุคลากร เข้าร่วมงาน

จากนั้น นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดกรวยกระทงดอกไม้ พร้อมกล่าวอาเศียรวาทสดุดี วันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง 12 สิงหาคม 2564 และลงนามถวายพระพรชัยมงคล เพื่อแสดงความจงรักภักดี

" รมช.ศธ." เปิดโครงการล้านเมล็ดพันธุ์ ศธ.ฯ เฉลิมพระเกียรติ"สมเด็จพระพันปีหลวง"

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า  รมช.ศึกษาธิการ ได้มอบต้นกล้าฟ้าทะลายโจรแก่ผู้บริหารฝ่ายการเมืองและผู้บริหาร ศธ. และถือฤกษ์ดีปลูกฟ้าทะลายโจรในพื้นที่กระทรวงศึกษาธิการ ณ บริเวณหน้าศูนย์การเรียนรู้วังจันทรเกษม พร้อม ๆ กับชาว กศน.ทั่วประเทศ ที่ได้รับเมล็ดพันธุ์จากโครงการล้านเมล็ดพันธุ์ ศธ. ห่วงใย ต้านภัยโควิด ร่วมใจปลูกฟ้าทะลายโจรทั่วประเทศ ทั้งในพื้นที่สำนักงาน บริเวณบ้านพัก หรือพื้นที่ที่มีความเหมาะสม

" รมช.ศธ." เปิดโครงการล้านเมล็ดพันธุ์ ศธ.ฯ เฉลิมพระเกียรติ"สมเด็จพระพันปีหลวง"

ต่อมา รมช.ศึกษาธิการ และคณะ เดินทางไปยังสถานีกลางบางซื่อ เขตจตุจักร กรุงเทพฯ เพื่อมอบต้นกล้าฟ้าทะลายโจร และคู่มือการปลูกฟ้าทะลายโจร ให้กับผู้ที่มาฉีดวัคซีนโควิด-19 จำนวนกว่า 90 ต้น ได้นำไปปลูกเพื่อใช้ประโยชน์ทางยาภายในครัวเรือน

“มช. ผนึกกำลัง มทร.อีสาน” พัฒนาพื้นที่ภาคเหนือ-อีสาน ด้านเทคโนฯ #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

https://www.komchadluek.net/news/edu-health/478405

“มช. ผนึกกำลัง มทร.อีสาน” พัฒนาพื้นที่ภาคเหนือ-อีสาน ด้านเทคโนฯ

11 สิงหาคม 2564 – 21:38 น.

สองสถาบันอุดมศึกษา “มช. ผนึกกำลัง มทร.อีสาน” พัฒนาพื้นที่ภาคเหนือ-อีสาน ด้านเทคโนโลยีฯ ข้าว กัญชง กัญชา ระบบราง ในฐานะ “มหาวิทยาลัยท้องถิ่น”

ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย นายกสภามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน ได้ร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการระหว่างมหาวิทยาลัยเชียงใหม่และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน (มทร.อีสาน) ผ่านระบบออนไลน์ (Zoom Meeting)

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง:

นักวิจัย มวล.พัฒนา “กล้าเชื้อผงปลาส้ม” ทำให้ผลิตปลาส้มได้ทุกฤดูกาล

ด่วน ขั้นตอนจ่ายเงิน”เยียวยานักเรียน 2,000 บาท”และช่วงวันโอนเงินเช็กที่นี่

“ลดค่าเล่าเรียน” 2,000 บาท รอสำนักงบฯจัดสรร “รมว.ศธ.”คาดได้31ส.ค.นี้

โดยรองศาสตราจารย์ ดร.โฆษิต ศรีภูธร รักษาราชการแทนอธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน และ ศาสตราจารย์คลินิก นายแพทย์นิเวศน์ นันทจิต อธิการบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่(มช.) ร่วมลงนาม และได้รับเกียรติจากศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์อาวุธ ศรีศุกรี อุปนายกสภามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และ ดร.สรจักร เกษมสุวรรณ อุปนายกสภามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน เป็นพยานในพิธีลงนามความร่วมมือ

ศ.พิเศษ ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย นายกสภามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน (มทร.อีสาน) กล่าวว่า การลงนามความร่วมมือในวันนี้ สอดคล้องกับทิศทาง และอนาคตของการพัฒนาประเทศที่สำคัญ อย่างน้อย 2 ประการ

ประการแรก คือการพัฒนาด้านการศึกษา วิชาการและวิจัยร่วมกันในระดับอุดมศึกษา เพื่อการนำเอาองค์ความรู้ เทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ในเชิงพื้นที่ จากพืชเศรษฐกิจที่กำลังเป็นประเด็นทางยุทธศาสตร์ในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ เช่น ข้าว กัญชา เป็นต้น

เชื่อมโยงองค์ความรู้ ฐานทรัพยากรมนุษย์และธรรมชาติ และความร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดระหว่างสถาบันอุดมศึกษา เพื่อให้เกิดเป็นพลังในการวิจัย พัฒนา และการต่อยอดองค์ความรู้และนวัตกรรมไปสู่สิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาและไปสู่การผลิตในเชิงพาณิชย์ เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อการพัฒนาประเทศ และ

ประการที่สอง คือ สาขาที่ทั้งสองมหาวิทยาลัยจะร่วมมือกันล้วนเป็นสาขาความร่วมมือที่ตอบโจทย์การพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนในปัจจุบัน และจะทวีความสำคัญเพิ่มมากขึ้นในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นความร่วมมือด้านการวิจัยนวัตกรรมการปลูกและพัฒนาพืชสมุนไพรท้องถิ่น เช่น กัญชา กัญชง และพืชสมุนไพรไทยชนิดต่าง ๆ

ซึ่งมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสานมีคณะทรัพยากรธรรมชาติและโรงพยาบาลแพทย์แผนไทยเป็นฐานของสมุนไพรหลายร้อยชนิด และในสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 เราก็ได้เห็นประโยชน์และคุณค่าของพืชสมุนไพรไทยในการรักษาพยาบาลและต่อสู้กับโรคระบาดที่แพร่กระจายไปทั่วโลกอย่างชัดเจน

ในขณะเดียวกัน ในหลายกรณี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ก็มีความก้าวหน้าทางด้านการวิจัยและนวัตกรรมทางการแพทย์ และเภสัชศาสตร์ ที่สามารถต่อยอดการวิจัยพัฒนาสมุนไพรให้เป็นผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ เวชสำอาง การป้องกันโรคระบาด และอื่น ๆ ในเชิงพาณิชย์ได้เป็นอย่างดี

ซึ่งมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสานมีคณะทรัพยากรธรรมชาติและโรงพยาบาลแพทย์แผนไทยเป็นฐานของสมุนไพรหลายร้อยชนิด และในสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 เราก็ได้เห็นประโยชน์และคุณค่าของพืชสมุนไพรไทยในการรักษาพยาบาลและต่อสู้กับโรคระบาดที่แพร่กระจายไปทั่วโลกอย่างชัดเจน

ในขณะเดียวกัน ในหลายกรณี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ก็มีความก้าวหน้าทางด้านการวิจัยและนวัตกรรมทางการแพทย์ และเภสัชศาสตร์ ที่สามารถต่อยอดการวิจัยพัฒนาสมุนไพรให้เป็นผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ เวชสำอาง การป้องกันโรคระบาด และอื่น ๆ ในเชิงพาณิชย์ได้เป็นอย่างดี

ศาสตราจารย์คลินิก นายแพทย์นิเวศน์ นันทจิต อธิการบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่  เปิดเผยว่า การลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการระหว่างมหาวิทยาลัยเชียงใหม่กับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน ในวันนี้ถือเป็นทิศทางที่ดีในการร่วมกันนำองค์ความรู้ เทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้เชิงพื้นที่ทั้งภาคเหนือและภาคอีสาน

โดยมุ่งเน้นไปที่เทคโนโลยีทางด้านข้าว การจัดการขยะ การปลูกและพัฒนาสายพันธุ์พืชสมุนไพรพื้นถิ่น รวมถึงกัญชง กัญชา และระบบราง ความร่วมมือในการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีตามความเชี่ยวชาญของทั้งสองฝ่าย และด้านการพัฒนาศักยภาพบุคลากรระหว่างมหาวิทยาลัยครับ

รองศาสตราจารย์ ดร.โฆษิต ศรีภูธร รักษาราชการแทนอธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน (มทร.อีสาน) เปิดเผยว่า มทร.อีสาน ในฐานะเป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 1 ในกลุ่มมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล ภายใต้กรอบนโยบายของสภามหาวิทยาลัย

โดยศาสตราจารย์พิเศษ ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย นายกสภามหาวิทยาลัย ที่มอบหมายให้ มทร.อีสาน ขับเคลื่อนด้านการจัดการเรียนการสอนผลิตบัญฑิตนักปฎิบัติ ให้ตอบโจทย์กลุ่มสถานประกอบการ ควบคู่ไปกับการพัฒนางานวิจัย สิ่งประดิษฐ์และเทคโนโลยีด้านนวัตกรรมและส่งเสริมการศึกษาและการกินดีอยู่ดีของคนอีสานซึ่งเป็นที่ตั้งของ มทร.อีสาน

การลงนามความร่วมมือในครั้งนี้ร่วมกับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เรามีเป้าหมายร่วมกันในการนำองค์ความรู้ เทคโนโลยี และการวิจัยต่างๆ ที่ มทร.อีสาน และ มช.มีความแข็งแกร่งของแต่ละแห่งอยู่แล้ว มาพัฒนาภาคอีสาน และภาคเหนือร่วมกัน ในฐานะเป็นมหาวิทยาลัยท้องถิ่น

โดยเบื้องต้นได้มีการผสานความร่วมมือในการพัฒนาข้าวสายพันธุ์ต่าง ๆ การจัดการขยะ การปลูกและพัฒนาสายพันธุ์พืชสมุนไพรพื้นถิ่น รวมถึง กัญชง กัญชา เพื่อประโยชน์ทางการแพทย์แผนไทยและการสาธารณสุข และนำไปสู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์และการแปรรูปพืชสมุนไพรเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ ผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ เวชสำอาง และผลิตภัณฑ์อื่นที่สามารถนำไปผลิตเพื่อจำหน่ายในเชิงพาณิชย์ได้

"มช. ผนึกกำลัง มทร.อีสาน"  พัฒนาพื้นที่ภาคเหนือ-อีสาน ด้านเทคโนฯ

รวมถึงความร่วมมือทางด้านระบบราง เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในระบบขนส่งทางรางและความปลอดภัยในการบริการเดินรถไฟ พร้อมยกระดับมาตรฐานอุตสาหกรรมชิ้นส่วนและผลิตภัณฑ์ระบบรางให้เป็นไปตามมาตรฐานระบบรางของประเทศและมาตรฐานสากล

“เพื่อเพิ่มขีดความสามารถด้านการทดสอบวิเคราะห์ระบบรางและเทคโนโลยีต่างๆ ที่เกี่ยวกับระบบรางมาประยุกต์ใช้เชิงพื้นที่ รวมถึงการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีจากความเชี่ยวชาญทั้งฝ่าย มทร.อีสาน และมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และปัจจัยสำคัญอีกอย่างหนึ่งคือการพัฒนาศักยภาพบุคลากรร่วมกันครับ รศ.ดร.โฆษิต กล่าวตอนท้าย

“ม.มหิดล” เตือนไม่ควรให้เด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี “เล่นเซิร์ฟสเก็ต” #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

https://www.komchadluek.net/news/edu-health/478371

“ม.มหิดล” เตือนไม่ควรให้เด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี “เล่นเซิร์ฟสเก็ต”

11 สิงหาคม 2564 – 18:25 น.

ปิดเทอมเด็กอยู่ติดบ้าน หลังโควิด-19 ต้องเร่งเยียวยาจิตใจ-ร่างกาย “นพ.อดิศักดิ์” เผยพบเด็กและวัยรุ่นเกิดอุบัติเหตุจากกิจกรรมที่ชอบ เตือนผู้ปกครองไม่ควรให้เด็กต่ำกว่า 5 ปี “เล่นเซิร์ฟสเก็ต”

ในขณะที่โลกกำลังตกอยู่ในภาวะวิกฤติแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 จนต้อง Work From Home มีการสั่งปิดสนามเด็กเล่น สนามกีฬา แต่กระแสนิยมการเล่นเซิร์ฟสเก็ต (Surfskate) กลับกำลังแพร่หลายไปทั่วโลก เช่นเดียวกับในเด็กและวัยรุ่นไทย จนเป็นที่น่าวิตกถึงเรื่องความปลอดภัยและการบาดเจ็บที่อาจเกิดขึ้นได้โดยไม่คาดฝัน

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง :

“ม.มหิดล” แนะวิธีใช้ชุดตรวจ Antigen Test Kit แบบง่ายๆ ด้วยตัวเอง

นักเคมี ม.มหิดล แนะอย่ากลัว “สารเคมี” แต่ควรเรียนรู้อยู่กับสารเคมี

โรงเรียนชีวิต”เด็กป.5″ หยุดเรียนเพราะโควิด-19 แต่จบหลักสูตรขับรถแบ็คโฮ

รองศาสตราจารย์ นายแพทย์อดิศักดิ์ ผลิตผลการพิมพ์ ผู้อำนวยการสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว และหัวหน้าศูนย์วิจัยเพื่อสร้างเสริมความปลอดภัยและป้องกันการบาดเจ็บในเด็ก (CSIP) ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ได้กล่าวถึง โรคภัยไข้เจ็บที่เกิดในเด็กและวัยรุ่นว่า จริงๆ แล้วระหว่าง เจ็บ กับ ไข้ พบว่าเด็กและวัยรุ่นเสียชีวิตด้วยเรื่อง เจ็บ มากกว่า

ซึ่งในที่นี้ หมายถึง “การบาดเจ็บ” ที่เกิดขึ้นจากอุบัติเหตุและความรุนแรง หากขาดการดูแลและเฝ้าระวังอย่างเหมาะสม

สำหรับ “ไข้” นั้นหมายถึง การป่วยไข้ด้วยโรคต่างๆ ซึ่งรวมไปถึงเรื่องการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ที่แม้เด็กอาจไม่มีอาการรุนแรงเท่าผู้ใหญ่ แต่อาจเป็นพาหะ หรือส่งต่อเชื้อไปยังผู้สูงวัย และสมาชิกในครอบครัวที่มีสุขภาพไม่แข็งแรงได้

การเล่นเซิร์ฟสเก็ตที่กำลังเป็นที่นิยมอยู่ในขณะนี้ โดยมากเป็นการเล่นซึ่งนำไปสู่การบาดเจ็บ ไม่เหมาะสำหรับเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 5 ขวบ เพราะยังไม่สามารถทรงตัวในอุปกรณ์ที่เคลื่อนไหวนี้ได้

เนื่องจากการประสานงานของกล้ามเนื้อและสมองซึ่งนำไปสู่การรักษาสมดุลของร่างกายในการควบคุมอุปกรณ์เคลื่อนที่ด้วยความเร็วนั้นยังพัฒนาได้ไม่เต็มที่

ส่วนเด็กที่มีอายุเกิน 5 ปีขึ้นไปเล่นได้ แต่จะต้องคอยดูแลอย่างใกล้ชิด เพื่อไม่ให้เกิดอาการบาดเจ็บ หรืออุบัติเหตุจากการเล่นโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่จะต้องกักตัวอยู่แต่ในบ้าน ไม่ควรเล่นเซิร์ฟสเก็ตในบ้านที่มีพื้นที่จำกัด ซึ่งอาจทำให้เกิดอันตรายโดยไม่คาดฝันได้

ข้อดีของการเล่นเซิร์ฟสเก็ต นอกจากได้ออกกำลังกาย ฝึกกล้ามเนื้อ และการทรงตัวแล้ว ยังช่วยให้เด็กๆ ได้ฝึกทักษะ EF (Executive Functions) ในการมุ่งสู่เป้าหมาย โดยตั้งใจไว้ว่าจะต้องเล่นให้เป็นให้ได้ แล้วเริ่มต้นฝึกเป็นขั้นตอน ยอมเริ่มจากขั้นตอนง่ายๆ มีผู้ดูแล ฟังคนสอน จำ และนำมาใช้จริง ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ และสุขใจจากการบรรลุเป้าหมายในการฝึกเป็นระยะๆ จากท่าง่ายๆ จนประสบความสำเร็จในท่ายากๆ

นอกจากนี้ ควรฝึกให้เด็กรู้จักรับผิดชอบทั้งต่อตัวเอง คือ สวมอุปกรณ์ป้องกัน เช่น หมวกกันกระแทก สนับเข่า และสนับศอก ฯลฯ ทุกครั้ง และรับผิดชอบต่อผู้อื่น โดยจะต้องไม่ออกไปเล่นเซิร์ฟสเก็ตบนท้องถนน หรือที่รถวิ่ง

รวมทั้งจะต้องระมัดระวังไม่ให้ไปชนผู้สัญจรรอบข้างด้วย ซึ่งพื้นที่ที่เหมาะสมจะต้องเป็นพื้นที่กว้าง และปลอดภัย โดยยังควรต้องรักษาระยะห่างด้วยการสลับกันเล่น

ซึ่งสถานการณ์วิกฤติโควิด-19 ที่ผ่านมาทำให้เด็กๆ ไม่ได้ไปโรงเรียน ไม่ได้ออกไปพบกลุ่มเพื่อน ต้องเผชิญกับความเครียด ไปจนถึงความสูญเสีย ฯลฯ ระยะหลังช่วงวิกฤติโควิด-19  จึงควรต้องหาทางฟื้นฟูเยียวยา เสริมทักษะ เพิ่มพูนความสามารถในการเรียนรู้ ตลอดจนร่วมสร้างชุมชนที่ปลอดภัย เพื่อป้องกันที่จะไม่ให้ส่งผลกระทบต่อเด็กต่อไปในอนาคต

“เรียนออนไลน์” แพะรับบาปวงการศึกษาไทย ยุคโควิด-19 #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

https://www.komchadluek.net/news/edu-health/478359

“เรียนออนไลน์” แพะรับบาปวงการศึกษาไทย ยุคโควิด-19

11 สิงหาคม 2564 – 17:25 น.

“เดี๋ยวมันก็ผ่านไป” เพราะประโยคนี้ หรือไม่ ทำให้ “การเรียนออนไลน์” ไม่ประสบความสำเร็จ  บทวิเคราะห์ โดยชัยวัฒน์ ปานนิล

การเรียนการสอนรูปแบบออนไลน์ กำลังเป็นแพะวงการศึกษาไทย ในสถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)โควิด-19  เพราะตลอดระยะเวลา ที่มีการระบาดของ โควิด-19 ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาไหน

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง : 

สพฐ. อนุญาต ให้ใช้ “สถานศึกษา” เป็นโรงพยาบาลสนามรับผู้ป่วยโควิด-19

“เรียนออนไลน์”พบทั้งครูและนักเรียนร้อยละ 50 ไม่พร้อม

“รมว.ศธ.” ตื่นรู้ สั่งสำรวจชีวิตครู-นักเรียน “เรียนออนไลน์”ช่วงโควิด19

สิ่งที่ต้องมาก่อนเสมอ คือ การปิดสถานศึกษา แม้ว่าจะได้รับผลกระทบหรือไม่ก็ตาม จนกระทั่งในการระบาดระลอกที่ 3 มีความชัดเจนว่า ส่งผลต่อการจัดการเรียนการสอนอย่างชัดเจน มีการปิดสถานศึกษาเป็นวงกว้าง และยาวนาน

มีบุคคลสำคัญของวงการศึกษา รวมทั้งผู้บริหารระสูงของกระทรวงศึกษาธิการ มากล่าวต่อสาธารณะว่า อาจจะมีการหยุดเรียนยาวทั้งปี หรือปีนี้อาจจะไม่ได้มาโรงเรียนเลย จนกระทั่งมีนักวิชาการการศึกษา เสนอ ยาแรง ถึงขั้น หยุดเรียนเป็นเวลา 1 ปี

เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม ศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ นักวิชาการด้านการศึกษา เปิดเผยว่า จากที่หลายฝ่ายคาดการณ์ว่าจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือโควิด-19 อาจจะส่งผลกระทบให้นักเรียนอาจต้อง “เรียนออนไลน์” อย่างน้อย 1-2 ปีนั้น มองว่าอาจเกิดขึ้นได้จริง

แต่ขณะนี้ปัญหาใหญ่ของการ“เรียนออนไลน์” คือ เด็กทั่วประเทศโดด“เรียนออนไลน์” กว่า 20% ทำให้เห็นว่าการ”เรียนออนไลน์” ทำให้เด็กเครียดจนต้องโดดเรียน ดังนั้น ถ้ายังจะต้อง“เรียนออนไลน์” ต่ออีก 1 ปี คิดว่าการศึกษาไทยน่าเป็นห่วงอย่างมาก ทั้งในเชิงคุณภาพ ความถดถอยทางการศึกษา และสุขภาพจิตของเด็กที่เป็นผู้เรียน

ศ.ดร.สมพงษ์ ระบุว่า ระบบการศึกษาไทยเป็นระบบอนุรักษ์นิยม ที่ติดกรอบ ติดระเบียบไปหมด บวกกับความกลัวการแพร่ระบาดขอเชื้อโควิด-19 ทำให้ระบบการศึกษาหดตัว ถดถอย จึงกลายเป็นความกลัวเกินเหตุ ทำให้การจัดการศึกษาไม่ตอบสนองกับปัญหาที่เกิดขึ้นจริง สถานศึกษาต้องปรับการเรียนการสอนตาม 5 รูปแบบที่ ศธ.กำหนด คือ On-site, On-air, On-demand, On-line และ On-hand แทนการสอบปกติแทบทั้งหมด

(อ้างอิง จาก https://www.matichon.co.th/education/news_2873877)

การเรียนการสอนในรูปแบบออนไลน์  หรือ“เรียนออนไลน์” ไม่ได้ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง เพียงแต่ไม่ประสบความสำเร็จตามที่สังคมคาดหวัง เมื่อเรามองไปที่โรงเรียน ซึ่งเป็นหน่วยจัดการเรียนการสอนในรูปแบบออนไลน์ จริงๆ จะสามารถวิเคราะห์ ได้ว่า การที่การเรียนการสอนในรูปแบบออนไลน์ ไม่เป็นไปตามที่สังคมคาดหวัง เพราะอะไร

อาจเป็นเพราะวิสัยทัศน์ ของผู้บริหารที่มองว่า โควิด-19 “เดี๋ยวมันก็ผ่านไป” ทำให้ขาดการวางแผนในระยะยาวที่เป็นระบบ แถมยังยึดติดในระเบียบเดิมๆ ไม่มีการปรับเปลี่ยน ไม่มีการเปลี่ยนแปลง มองว่า การระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 เป็นเพียงสถานการณ์ระยะสั้น “ เดี๋ยวมันก็ผ่านไป” เราต้องอดทน ผ่านมันไปด้วยกัน

 เมื่อเป็นเช่นนั้น ในระดับปฏิบัติมีหลายแห่งที่เกียร์ว่าง รอโรงเรียนเปิดเรียนแล้วสอนในชั้นเรียนเป็นการชดเชยให้กับเด็ก อย่างที่เคยทำในการระบาดระลอกแรก จะเห็นได้จากการที่ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) ไม่ยอมปรับเปลี่ยนแม้กระทั่ง วันปิด-เปิด ของแต่ละภาคเรียน ในปีการศึกษา 2564

ความไม่ชัดเจนในการสั่งการและวิธีปฏิบัติ เป็นอีกหนึ่งปัญหา ที่ทำให้การจัดการเรียนการสอน ของสถานศึกษาในสถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ล้มเหลว การที่กระทรวงศึกษาธิการมองว่า ปัญหาโควิด-19 เป็นปัญหาระดับพื้นที่ ที่มีความแตกต่างกัน มีบริบทที่ไม่เหมือนกัน

จึงมอบอำนาจการตัดสินใจในการวางแผนดำเนินการและแก้ปัญหา ไว้กับผู้อำนวยโรงเรียน ภายใต้การอนุมัติของ ศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ระดับจังหวัด (ศบค.จังหวัด) 

และการกำกับติดตามของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา(สพท.) ส่งผลให้การดำเนินการแต่ละพื้นที่แตกต่างกัน บางที่ปิดเรียนยาว บางพื้นที่ก็ยังเปิดเรียนตามปกติ จึงจะส่งผลต่อนักเรียนที่ต้องศึกษาต่อในระดับสูงขึ้นไป อาจจะจบเรียนไม่พร้อมกัน ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาที่หลายคนชอบพูดถึงกัน

ความไม่พร้อมของครูผู้สอนและนักเรียนในหลายๆ ด้าน จำแนกจาก ระดับชั้นในการจัดการเรียนการสอน ระดับปฐมวัย(อนุบาล1-อนุบาล 3) และระดับชั้นประถมศึกษา ป. 1 – ป. 3 ไม่พร้อมอย่างยิ่งสำหรับการเรียนการสอนในรูปแบบออนไลน์ หากเรียนได้จำเป็นต้องมีผู้ปกครองช่วยเหลือดูแลเป็นพิเศษ ก็จะเป็นปัญหาต่อเนื่องไปอีก 

ระดับประถมศึกษาตอนปลาย ถึงมัธยมศึกษาตอนต้น พอเรียนได้ แต่ก็จะมีปัญหาในเรื่องของ อุปกรณ์การเรียน อยากบอกให้ทราบว่า ในปีการศึกษานี้ โรงเรียนยังแจกสมุด ดินสอ ให้กับนักเรียนอยู่สำหรับงบสื่อการเรียนการสอน ซึ่งน่าจะปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ได้แล้ว

นอกจากปัญหาด้านอุปกรณ์แล้ว ยังมีปัญหา เรื่อง อินเตอร์เน็ต ค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่เพิ่มมา และด้วยวัยของเด็ก ทำให้มีความยากที่จะตั้งใจเรียน เหมือนกับการเรียนในชั้นเรียน

ความไม่พร้อมของผู้ปกครอง ครอบครัวไทย สมัยใหม่ เป็นครอบครัวเดียว อยู่กัน 2-5 คน พ่อ แม่ ลูก ในเมื่อพ่อ แม่ ต้องทำงานหาเลี้ยงครอบครัว ก็ไม่สามารถที่จะดูแลลูกๆ ให้เข้า”เรียนออนไลน์” ได้ทุกชั่วโมง ทำให้เกิดปัญหา นักเรียนไม่เข้าเรียนออนไลน์

สุดท้าย คือ ความไม่พร้อมของรูปแบบการเรียนการสอนออนไลน์ ด้วยความคิดที่ว่า “เดี๋ยวมันก็ผ่านไป” ทำให้ครูนำรูปแบบการเรียนการสอนในชั้นเรียนตามปกติมาใช้กับการเรียนการสอนแบบออนไลน์

ครูอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ แล้วสอนนักเรียนเหมือนอยู่หน้ากระดานดำ นักเรียนเรียนที่บ้านแล้วคิดว่าอยู่ในห้องเรียน ไม่เหมือนก็แค่ไม่ได้ใส่ชุดนักเรียน ซึ่งก็มีในเห็นมาแล้วในช่วงแรกๆ ที่ให้นักเรียนใส่ชุดนักเรียน นั่งเรียนออนไลน์ เมื่อแนวคิดไม่เปลี่ยน วิธีการไม่เปลี่ยน ผลลัพธ์ที่ได้ก็คงไม่เปลี่ยน

“ถ้าระเบียบ ทำให้ประชาชนต้องตาย เพราะไม่มีที่กักตัว โปรดจงก้าวข้ามระเบียบนั้น แล้วบอกว่า ต้องทำ เพราะผมเป็นคนสั่งเอง ให้มันรู้ไปว่าระเบียบ กับ ความตายอะไรสำคัญกว่า” นายวีระศักดิ์ วิจิตร์แสงศรี ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร เคยกล่าวไว้ กระทรวงศึกษาธิการก็อยากได้คนกล่าวเช่นนี้เหมือนกัน

ก้าวข้ามกฎระเบียบ สร้างความเปลี่ยนแปลง เพื่ออนาคตของเด็กไทย ยังไม่สายที่จะลงมือทำดีกว่าบอกแค่ว่า “เดี๋ยวมันก็ผ่านไป”

ด่วน ขั้นตอนจ่ายเงิน “เยียวยานักเรียน 2,000 บาท” และช่วงวันโอนเงินเช็กที่นี่ #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

https://www.komchadluek.net/news/edu-health/478334

ด่วน ขั้นตอนจ่ายเงิน”เยียวยานักเรียน 2,000 บาท”และช่วงวันโอนเงินเช็กที่นี่

11 สิงหาคม 2564 – 15:25 น.

ด่วน รับเงิน “เยียวยานักเรียน 2,000 บาท” เช็กที่นี่ ขั้นตอนจ่ายเงิน และช่วงวันโอนเงิน เมื่อก.คลัง โอนถึงเขตพื้นที่ฯ ภายใน 3 วันทำการผู้ปกครองต้องได้รับเงินทันที “คมชัดลึกออนไลน์” มีรายละเอียดมานำเสนอ

พลันที่คณะรัฐมนตรี(ครม.)ได้มีมติเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2564 เพียงชั่วข้ามคืนเท่านั้น เกิดกระแสความสนใจของประชาชนพ่อแม่และผู้ปกครองนักเรียน กรณีเงิน “เยียวยานักเรียน 2,000 บาท” ตามที่ครม.เห็นชอบมาตรการให้ความช่วยเหลือบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ของกระทรวงศึกษาธิการ

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง :

“ครม.”เคาะลดภาระค่าเรียน”นักเรียน-นักศึกษา” วงเงิน 32,000 ล้านบาท

“ลดค่าเล่าเรียน” 2,000 บาท รอสำนักงบฯจัดสรร “รมว.ศธ.”คาดได้31ส.ค.นี้

ด่วน “ตรวจสอบสิทธิ์เยียวยานักเรียน” รับ 2,000 ทั้งไทยและต่างชาติ เช็คเลย

กระแสความสนใจของประชาชนผู้ปกครองนักเรียน กรณีเงิน “เยียวยานักเรียน 2,000 บาท” ตามที่คณะรัฐมนตรี หรือ ครม. มีมติเห็นชอบมาตรการให้ความช่วยเหลือบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ของกระทรวงศึกษาธิการเด็กนักเรียนระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ทุกสังกัด รวมทั้งระดับการศึกษา ปวช./ปวส. รับเงินคนละ 2,000 บาท

เฉพาะนักเรียนในส่วนของกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.) ตามที่ครม.มีมติเห็นชอบโครงการให้ความช่วยเหลือบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) มาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายในการเรียนรู้

โดยให้ความช่วยเหลือนักเรียน นักศึกษาที่กำลังศึกษาอยู่ในสถานศึกษาสังกัด ศธ.ทั้งภาครัฐและเอกชน และสถานศึกษานอกสังกัด ศธ.ในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ชั้นอนุบาล-ม.6 และระดับอาชีวศึกษา ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) และประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) ในอัตรา 2,000 บาทต่อคน

วันรุ่งขึ้น นางสาวตรีนุช  เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกธิการ(รมว.ศธ.) ได้มอบหมายให้ ดร.สุภัทร  จำปาทอง ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ(รมว.ศธ.) เป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการทั้งหมดเกี่ยวกับเงิน “เยียวยานักเรียน 2,000 บาท”

ในส่วนของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.)นั้น นายอัมพร พินะสา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(เลขาธิการกพฐ.)ได้ออกคำสั่งด่วนที่สุด ที่ศธ. 04006 /ว 2487 เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2564 เรื่องแนวทางการดำเนินงานตามโครงการช่วยเหลือบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาในช่วงสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019(COVIC-19) ไปถึงผู้อำนวยการเขตพื้นที่การศึกษาทุกเขต/ผู้อำนวยการสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ ทั้งประเทศ

เนื้อหาสาระของคำสั่งด่วนที่สุด ที่ศธ. 04006 /ว 2487 อ้างถึงมติครม.เมื่อวันที่3 สิงหาคม 2564 ตามที่ปรากฏ และในการนี้เพื่อสร้างความเข้าใจและเตรียมความพร้อมในการขอรับจัดสรรงบประมาณตามโครงการให้ความช่วยเหลือบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาในช่วงสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019(COVIC-19) และให้การดำเนินงานเป็นไปในทิศทางเดียวกัน มีประสิทธิภาพ และตรวจสอบได้

ขอให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา และสถานศึกษาทราบและดำเนินการ ดังนี้

1.สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา และหน่วยเบิกจ่ายดำเนินการ ดังนี้

1.1 เปิดบัญชีเงินฝากธนาคารไว้กับธนาคารที่เป็นรัฐวิสาหกิจหนึ่งบัญชี ชื่อบัญชี “ชื่อหน่วยงาน (โครงการเงินกู้เพื่อแก้ไขปัญหาCOVIC-19) เพื่อรองรับเงิน ที่่ขอเบิกจากบัญชีเงินฝากกระทรวงการคลัง สำหรับเตรียมดำเนินการตามโครงการดังกล่าวทันที

1.2 ตรวจสอบข้อมูลนักเรียน ผู้ปกครอง รายละเอียดเกี่ยวกับธนาคารที่ผู้ปกครองประสงค์จะให้โอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากธนาคาร ที่โรงเรียนจัดส่งให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ให้ถูกต้องและครบถ้วน

ด่วน ขั้นตอนจ่ายเงิน"เยียวยานักเรียน 2,000 บาท"และช่วงวันโอนเงินเช็กที่นี่

ตัวอย่างหน้าสมุดบัญชีธนาคาร และบัตรประชาชนผู้ปกครองและบัตรประชาชนนักเรียน ต้องอยู่ในหน้าเดียวกัน

2. สถานศึกษาดำเนินการ ดังนี้

2.1 สถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ตรวจสอบข้อมูลการยืนยันตัวตนนักเรียน จากระบบนักเรียนรายบุคคล (DMC) ณ วันที่  25 มิถุนายน 2564

สำหรับสถานศึกษาสังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ ตรวจสอบข้อมูลการยืนยันตัวตนนักเรียนจากระบบ SET  วันที่ 25 มิถุนายน 2564

ด่วน ขั้นตอนจ่ายเงิน"เยียวยานักเรียน 2,000 บาท"และช่วงวันโอนเงินเช็กที่นี่

ตัวอย่าง รายละเอียดการโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากธนาคารของผู้ปกครอง

2.2 จัดทำข้อมูลรายละเอียดบัญชีธนาคารผู้ปกครอง(ชื่อธนาคาร ชื่อบัญชีเงินฝากธนาคาร เลขที่บัญชีเงินฝากธนาคาร) หรือบัญชีธนาคารนักเรียนกรณีผู้ปกครองไม่มีบัญชีเงินฝากธนาคาร เพื่อขอรับความช่วยเหลือตามโครงการดังกล่าว พร้อมตรวจสอบข้อมูลให้ครบถ้วน ถูกต้อง และจัดส่งให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา เพื่อเตรียมรองรับการจัดสรรงบประมาณตามโครงการดังกล่าวโดนด่วน

“หากสำนักงานงบประมาณ จัดทำรายละเอียดและจัดสรรเงินมาให้ ศธ.แล้ว จากนั้น ศธ.จะตรวจสอบข้อมูล เพื่อจัดสรรเงินงบประมาณลงไปที่สถานศึกษาต่อไปคาดว่าภายในวันที่ 31 สิงหาคม หรือต้นเดือนกันยายนนี้ สถานศึกษาจะได้รับเงิน และทำการโอนเงินเยียวยา 2,000 บาท ให้นักเรียนและผู้ปกครองต่อไป” นางสาวตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ(รมว.ศธ.)กล่าวให้คำมั่น

ที่มาข้อมูล :  กระทรวงศึกษาธิการ

นักวิจัย มวล.พัฒนา “กล้าเชื้อผงปลาส้ม” ทำให้ผลิตปลาส้มได้ทุกฤดูกาล #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

https://www.komchadluek.net/news/edu-health/478261

นักวิจัย มวล.พัฒนา “กล้าเชื้อผงปลาส้ม” ทำให้ผลิตปลาส้มได้ทุกฤดูกาล

10 สิงหาคม 2564 – 22:08 น.

นักวิจัยมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ คิดค้นกล้าเชื้อผงปลาส้ม เพื่อผลิตปลาส้มที่มีคุณภาพคงที่ ลดระยะเวลาการผลิต ปลอดภัยต่อผู้บริโภค และช่วยผู้ประกอบการสามารถผลิตปลาส้มได้ในทุกฤดูกาล

รองศาสตราจารย์ ดร.มณฑล เลิศคณาวนิชกุล นักวิจัยและอาจารย์ประจำสำนักวิชาสหเวชศาสตร์ ม.วลัยลักษณ์ เปิดเผยว่า ปลาส้มเป็นสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) ประเภทผลิตภัณฑ์อาหารหมักที่ประชาชนนิยมบริโภคในทุกภูมิภาคของประเทศไทย

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง :

“ฉีดวัคซีน” AstraZeneca ให้แก่บุคลากรม.วลัยลักษณ์ เริ่มลอตแรก 950 โดส

นักวิจัย ม.วลัยลักษณ์คิดค้นสูตรอาหารเลี้ยงด้วงสาคู ให้มีกรดไขมันโอเมก้า-3 สูงกว่าน้ำมันปลา

‘ม.วลัยลักษณ์’วิจัยยกระดับน้ำมันปาล์มดิบ จากเกรดอาหารสัตว์เป็นเกรดเวชสำอาง

แต่ผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์ปลาส้มยังใช้การหมักแบบพื้นบ้าน (TraditionFermented) จึงมักพบปัญหาเรื่องการควบคุมคุณภาพของผลิตภัณฑ์ ซึ่งเกิดการปนเปื้อนของเชื้อจุลินทรีย์และสารเคมีที่อาจเกิดอันตรายต่อผู้บริโภค รวมถึงระยะเวลาการหมักผลิตภัณฑ์ และรสชาติยังไม่คงที่ ส่งผลให้ผู้ประกอบการไม่สามารถขอการรับรองตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชนได้

ดังนั้นเพื่อหาแนวทางการรักษาคุณภาพของการผลิตปลาส้มให้คงที่สม่ำเสมอ ทีมนักวิจัยของสำนักวิชาสหเวชศาสตร์ จึงได้ร่วมกันคิดค้นกล้าเชื้อผงสำหรับผลิตปลาส้มขึ้น ด้วยการใช้กล้าเชื้อผงของแบคทีเรียแลคติก แทนการคัดเลือกจุลินทรีย์จากธรรมชาติที่มีปะปนมากับวัตถุดิบที่นำมาใช้ในการผลิตปลาส้ม

นักวิจัย มวล.พัฒนา "กล้าเชื้อผงปลาส้ม" ทำให้ผลิตปลาส้มได้ทุกฤดูกาล

เพื่อทำให้เกิดปลาส้มที่มีคุณภาพคงที่ ลดระยะเวลาการผลิต ลดการปนเปื้อนของเชื้อโรค เกิดความน่าเชื่อถือต่อผู้บริโภคและเป็นที่ต้องการของตลาดมากยิ่งขึ้น ที่สำคัญคัญเพื่อให้สามารถยกระดับไปสู่ตลาดต่างประเทศได้ในอนาคต

รองศาสตราจารย์ ดร.มณฑล กล่าวถึงวิธีการผลิตผงกล้าเชื้อปลาส้มว่า เริ่มจากการเลี้ยงแบคทีเรียแลคติก ซึ่งแยกได้จากปลาส้ม คือ แลคโตบาซิลลัส ซาลิวาเรียส (Lactobacillus salivarius) หรือ ลิวโคนอสต็อค มีเซ็นเทอรอยเดส (Leuconostoc mesenterodies) ในอาหารเลี้ยงเชื้อเหลว ดีแมน-โรโกซ่า-ชาร์ป (de Mann-Rogosa-Sharpe) ที่อุณหภูมิ 35-37 องศาเซลเซียส เป็นระยะเวลา 4-6 วัน

กระตุ้นให้เชื้อมีการเจริญเติบโตคงที่ และปั่นแยกเอาส่วนของตะกอนเชื้อมาใช้เตรียมเป็นกล้าเชื้อผงบนวัสดุยึดเกาะ 2 ชนิด คือ แป้งข้าวเจ้าและแป้งข้าวเหนียว และได้เป็นกล้าเชื้อผงปลาส้มออกมา

รองศาสตราจารย์ ดร.มณฑล กล่าวต่อไปอีกว่า กล้าเชื้อที่ผลิตออกมาสามารถผลิตได้หลายรูปแบบ ทั้งแบบผง ของเหลว หรือแบบเม็ด แต่ที่นิยมใช้เป็นกล้าเชื้อผง เนื่องจากสะดวกในการขนส่งและง่ายต่อการใช้งาน สามารถนำมาใช้เป็นกล้าเชื้อการหมักเพื่อควบคุมกระบวนการผลิต และคุณภาพของผลิตภัณฑ์ได้

ซึ่งกล้าเชื้อผงนอกเหนือจะนำไปใช้ผลิตปลาส้มแล้ว ยังสามารถนำไปประยุกต์ใช้เป็นหัวเชื้อตั้งต้นในกระบวนการหมักเพื่อถนอมอาหารชนิดอื่นได้ เช่น น้ำนมหมัก น้ำผลไม้โพรไบโอติก เป็นต้น ที่สำคัญยังช่วยผู้ประกอบการสามารถผลิตปลาส้มได้ตลอดทั้งปี สามารถยกระดับไปสู่ตลาดต่างประเทศต่อไป

นักวิจัย มวล.พัฒนา "กล้าเชื้อผงปลาส้ม" ทำให้ผลิตปลาส้มได้ทุกฤดูกาล

“มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ใช้องค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีส่งเสริมผลิตสินค้าภายในประเทศ โดยมุ่งเน้นการพัฒนาและยกระดับคุณภาพการผลิต OTOP นำไปสู่การสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันและขยายศักยภาพทางการค้า รวมถึงความปลอดภัยของผู้บริโภค ซึ่งการพัฒนาผลิตภัณฑ์กล้าเชื้อผงปลาส้ม 

นักวิจัย มวล.พัฒนา "กล้าเชื้อผงปลาส้ม" ทำให้ผลิตปลาส้มได้ทุกฤดูกาล

กล้าเชื้อผงปลาส้ม

นอกจากจะเป็นการช่วยเหลือผู้ประกอบการแล้ว ยังทำให้เกิดการบูรณาการการวิจัย การเรียนการสอน การบริการวิชาการ และยังใช้เป็นตัวอย่างให้กับนักศึกษาในการเรียนการสอน และได้ฝึกปฎิบัติจริงกับผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ในชุมชนได้อีกช่องทางหนึ่งที่สำคัญคือสามารถพัฒนาให้เกิดกลุ่มนักวิจัยขึ้นได้ในชุมชนแบบยั่งยืน” รองศาสตราจารย์ ดร.มณฑล กล่าว

“องค์กรครู” เรียกร้องผ่าน “รมว.ศธ.” เร่งช่วยเหลือ “ครูเตรียมตกงาน” #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

https://www.komchadluek.net/news/edu-health/478255

“องค์กรครู” เรียกร้องผ่าน “รมว.ศธ.” เร่งช่วยเหลือ “ครูเตรียมตกงาน”

10 สิงหาคม 2564 – 21:05 น.

กระทรวงศึกษาฯอย่าเป็นต้นเหตุสร้างปัญหาให้สังคม ในภาวะวิกฤติโควิด19  แนะเกลี่ยงบที่ไม่จำเป็นอุ้ม “ครูเตรียมตกงาน” ระบุการปรับเกณฑ์ใหม่ กระทบจำนวนครูมัธยมลด 20-30 คนต่อแห่ง อนาคตเสี่ยงครูขาดแคลน

คืบหน้า “ครูเตรียมตกงาน” อันเนื่องมาจากหนังสือคำสั่งเมื่อวันที่ 21 เมษายน 2564 สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ได้แจ้งให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ทราบและปฏิบัติ ตาม หนังสือ ที่ ศธ 04010/ว39 เรื่อง การดำเนินการ การจ้างบุคลากรวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์โครงการพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษา กิจกรรมครูคลังสมอง

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง :

“ครูเตรียมตกงาน” เมื่อสพฐ. เห็นชอบให้สิ้นสุดโครงการ   

อีก 20 วัน “ครูเตรียมตกงาน” 8 ปี บนเส้นทางสู่ครูไร้ตำแหน่ง

“รมว.ศธ.” ตื่นรู้ สั่งสำรวจชีวิตครู-นักเรียน “เรียนออนไลน์”ช่วงโควิด19

เนื้อหาในหนังสือราชการดังกล่าว ใจความว่า ตามที่ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน มีนโยบายในการยกระดับคุณภาพการศึกษา วิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ในโรงเรียนประถมศึกษา โรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา โรงเรียนมัธยมศึกษา ขนาดกลางและเล็ก ที่ประสบปัญหาการขาดแคลนครูวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์

 ตามหนังสือฉบับดังกล่าว จะไม่มีการจัดสรรงบประมาณสำหรับการจ้างบุคลากรวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ โครงการพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษา อีกต่อไป

นั่นหมายถึง ครู วิทย์-คณิต 1,964 ราย จะต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ ในวันที่ 31 สิงหาคม 2564 นี้ เนื่องในสัญญาจ้าง มีการจ้างงานเพียง 10 เดือน ใน 1 ปี ทำให้ ลูกจ้างที่เคยปฏิบัติงานในฐานะ ครู มายาวนานกว่า 8 ปี ต้อง ตกงานทันที

เกี่ยวกับเรื่องนี้  ดร.รัชชัยย์ ศรสุวรรณ ประธานชมรมพิทักษ์สิทธิผู้บริหาร ครู และบุคลากรทางการศึกษา  และอดีตนายกสมาคมผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษาแห่งประเทศสมัยที่ 23-24 ให้สัมภาษณ์กับ “คมชัดลึกออนไลน์” ว่า เป็นข่าวร้ายที่มาพร้อมกับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่งตนได้ติตตามเรื่องนี้มาอย่างต่อเนื่อง คนเหล่านี้เป็นครูอัตราจ้าง เป็นลูกจ้างชั่วคราว เป็นครูวิทย์-คณิต

ครูเหล่านี้ได้รับเงินเดือนไม่ตรง ครูเหล่านี้ไม่ได้รับเงินเดือนตรงตามวุฒิการศึกษา ครูเหล่านี้รับเงินเดือนต่ำกว่าวุฒิการศึกษา

“ที่สำคัญครูอัตราจ้างเหล่านี้  ทำงานเท่ากับข้าราชการครู หรือบางคนทำงานหนักกว่าข้าราชการครู  สวัสดิการด้อยกว่าข้าราชการครูเป็น กลุ่มบุคคลที่ทรงคุณค่า มีความรู้ ความสามารถ เป็นคนที่เห็นใจ เป็นคุณครูคนหนึ่ง ที่มีจิตวิญญาณความเป็นครู สอนหนังสือ รักและผูกพันเด็กนักเเรียน เหล่านี้คือภาพที่ผมเห็น ทั้งในอดีตที่เคยเป็นผู้อำนวยการโรงเรียนและปัจจุบันภาพจำเหล่านี้ยังคงอยู่” ดร.รัชชัยย์ ระบุ

ดร.รัชชัยย์ ถามกลับสิ้นสุดโครงการเพราะบรรลุวัตถุประสงค์แล้ว ขอเรียกร้องให้เลขาธิการกพฐ.ชี้แจงเรื่องนี้กับสาธาราณะ อย่านำเเรื่องเหล่านี้มาเป็นข้ออ้างในการเลิกจ้างเท่านั้น นับเป็นข่าวร้ายกว่าที่มากับข่าวร้ายในสถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่ไม่ปกติ คนที่มีงานทำยังตกงาน และหางานยาก

“ผมจะทำหนังสือเรียนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ดูแลเอาใจครูให้มากกว่านี้ อย่าให้สังคมมองว่ากระทรวงศึกษาฯ กำลังกระทำซ้ำเติมปัญหาในสังคมในภาวะที่ยากลำบาก ครูจะไปหางานที่ไหนทำ เมื่อเด็กไม่ได้เรียนหนังสือ โรงเรียนไม่เปิด แต่กระทรวงศึกษาฯ สามารถเกลี่ยเงินงบประมาณครุภัณฑ์จัดซื้อจัดจ้างที่ไม่จำเป็นเหล่านี้มาจ้างครูเตรียมตกงาน อย่างน้อยครูเหล่านี้มีทักษะในการสอน ไม่ต้องมาเริ่มต้นใหม่” ดร.รัชชัยย์ กล่าว

ประธานชมรมพิทักษ์สิทธิผู้บริหาร ครู และบุคลากรทางการศึกษา  ตั้งข้อสังเกตว่าการที่สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา(ก.ค.ศ.) กำหนดปรับเกณฑ์ใหม่

ส่งผลให้โรงเรียนมัธยมศึกษาทั่วประเทศ ขาดอัตรากำลัง โดยเฉพาะโรงเรียนที่มีขนาดใหญ่อัตราครูจะหายไป 20-30 อัตรา เพราะถูกตัดออกเพราะเกณฑ์ใหม่ทำให้โรงเรียนมีครูเกิน แต่เกณฑ์เดิมครูไม่เกิน แต่โรงเรียนขนาดเล็กจะได้เปรียบ

“โควิดมาประชาชนทุกคนได้รับผลกระทบแน่นอน ทุกคนเดือดร้อน แต่รัฐบาล หรือกระทรวงศึกษาธิการไม่ควรเป็นต้นเหตุแห่งความเดือดร้อนของครู การเลิกจ้างครูวิทย์-คณิต ครูจะเอาอะไรกิน หากเลิกจ้างในภาวะปกติ ยังหางานได้

แต่ตอนนี้จะหางานที่ไหน ศธ.และ สพฐ. กำลังสร้างปัญหาสังคมขึ้นมาใม่ ผมขอถามทั้งรมว.ศธ. และเลขาธิการกพฐ. ได้เตรียมมาตรการเยียวยามารองรับครูเตรียมตกงาน ที่จะถูกเลิกจ้างมี่มากกว่า 2,000 คน เอาไว้หรือยัง” ดร.รัชชัยย์ กล่าวทิ้งท้าย

วิศวะ-ศิริราชฯ ม.มหิดล เปิดตัว “ใส่ใจ” แชทบอทเพื่อสุขภาพจิตคนไทย #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

https://www.komchadluek.net/news/edu-health/478181

วิศวะ-ศิริราชฯ ม.มหิดล เปิดตัว “ใส่ใจ” แชทบอทเพื่อสุขภาพจิตคนไทย

10 สิงหาคม 2564 – 16:55 น.

บริการ “ใส่ใจ” แชทบอททางสุขภาพจิตได้ทันที ตลอด 24 ชั่วโมง ผ่านเฟซบุ๊กทั้งในสมาร์ทโฟนและคอมพิวเตอร์ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

คนไทยและทั่วโลก กำลังเผชิญหน้ากับการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ส่งผลกระกระทบที่รุมเร้าทั้งทางสุขภาพกายและใจ วิถีการดำเนินชีวิตในสังคม การทำงาน การเรียน และเศรษฐกิจ

อีกทั้งอิทธิพลของกระแสข่าวสารที่ถาโถมหลั่งไหลในยุคโซเชียลมีเดีย มีส่วนทำให้คนไทยมีปัญหาสุขภาพจิตเพิ่มมากขึ้น เช่น โรคซึมเศร้า ความเครียด ความกังวล หรืออาจนำไปสู่การฆ่าตัวตาย

คณะวิศวะมหิดล ภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ ผนึกความร่วมมือกับ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดตัวนวัตกรรมแชทบอท “ใส่ใจ” (Psyjai) ที่สามารถพูดคุยกับทุกเพศวัย ก้าวล้ำด้วยเอ.ไอ.ช่วยประเมินสภาวะจิตใจและอารมณ์เบื้องต้น บรรเทาความเครียดด้วยหลักจิตวิทยา เปิดบริการแล้ววันนี้ให้เข้าถึงได้ง่ายในทุกที่ทุกเวลา ตลอด 24 ช.ม.

​ดร. กลกรณ์ วงศ์ภาติกะเสรี คณะวิศวกรรมศาสตร์ ภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ปัญหาโควิด-19 ในปัจจุบัน ก่อให้เกิดความเครียดวิตกกังวลได้หลายๆ ด้าน ตั้งแต่วัยเด็กไปจนถึงวัยผู้ใหญ่ ซึ่งความเครียดอาจแสดง ออกมาเป็นรูปแบบของการนอนไม่หลับ ไม่สามารถหาความสุขจากกิจกรรมในวันธรรมดาๆ ได้ ท้อแท้ รู้สึกว่าไม่สามารถเอาชนะความยากลำบากของตัวเองได้

รวมถึงความรู้สึกทุกข์ใจและซึมเศร้า รวมถึงการเสียความมั่นใจในตัวเอง รู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า เป็นต้น ทีมวิจัย จึงได้พัฒนา นวัตกรรมแชทบอท “ใส่ใจ” (Psyjai) ที่เป็นเสมือนเพื่อนคนหนึ่งที่มีความรู้ทางด้านจิตวิทยา สามารถพูดคุยกับผู้ใช้งานได้ทุกที่ ทุกเวลา และใช้งานง่าย

โดยทีมวิจัยมีวัตถุประสงค์ที่ต้องการดูแลคนไทยให้มีสุขภาพจิตที่ดี ผู้ใช้งานสามารถตระหนักรู้ถึงสภาวะอารมณ์ของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นความเครียด ความวิตกกังวล และภาวะซึมเศร้า และนำไปสู่การจัดการอารมณ์ได้อย่างเหมาะสม ช่วยลดความยากลำบากของประชาชนในการเข้าถึงบริการทางสุขภาพจิตในช่วงโควิด-19 ทั้งที่เป็นผลกระทบจากโควิด-19 หรือ ประเด็นปัญหาทั่วไป ช่วยให้คนไทยทุกเพศวัยสามารถดูแลสุขภาพจิตตนเองได้ทันท่วงที ป้องกันปัญหาดังกล่าวไม่ให้พัฒนาความรุนแรงขึ้น

วิศวะ-ศิริราชฯ ม.มหิดล เปิดตัว "ใส่ใจ" แชทบอทเพื่อสุขภาพจิตคนไทย

แชทบอท ใส่ใจ (Psyjai) นี้ให้บริการผ่านทางเฟสบุค โดยใช้ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI) วิเคราะห์อารมณ์จากเนื้อหาการพูดคุย และมีระบบจัดการการสนทนา (Dialogue Management) สำหรับส่งข้อความโต้ตอบให้สอดคล้องกับอารมณ์และประเด็นปัญหาที่ปัญญาประดิษฐ์วิเคราะห์หรือตรวจจับได้

แชทบอท “ใส่ใจ” ประกอบด้วย 2 ส่วน ได้แก่ 

1.ประเมินสภาวะอารมณ์ ได้แก่ อารมณ์เศร้า เครียด และวิตกกังวล ที่มีต่อภาวะการระบาดของไวรัสโควิด-19 ข่าวสารโซเชียลมีเดีย หรือจากผลกระทบต่ออาชีพการงาน การศึกษา การปรับตัวทางสังคม ภาระการดูแลสมาชิกในครอบครัว ทั้งนี้เพื่อสร้างภาวะตระหนักรู้ถึงความเสี่ยงของภาวะสุขภาพจิตในระยะเริ่มแรกที่สามารถให้การดูแลได้ง่าย

 2. ให้การดูแลประคับประคองอารมณ์ในระดับเบื้องต้น (Emotional Support) โดยอ้างอิงหลักการให้การดูแลจิตใจตามหลักจิตวิทยา โดยผู้ใช้งานสามารถพูดคุยกับแชทบอทได้ทุกที่ ทุกเวลา และมีการบ้านหรือแบบฝึกหัด (Homework) เพื่อกระตุ้นให้นำเนื้อหาที่พูดคุยไปปรับใช้จริง และผู้ใช้งานสามารถติดตามความก้าวหน้าของตนเองได้บนหน้าแสดงข้อมูล (Dashboard)

ส่วนวิธีใช้งาน สามารถเข้าไปใช้งานโดยเสิร์ชหาคำว่า “Psyjai” ในช่องค้นหา ของแอปพลิเคชันเฟซบุ๊ก หรือ http://www.facebook.com/psyjaibot/ หลังจากเข้ามาที่หน้าเฟซบุ๊กเพจใส่ใจแล้ว ก็สามารถกดปุ่ม “ส่งข้อความ” เพื่อเริ่มพูดคุยได้ทันที 

นอกจากนี้แชทบอท “ใส่ใจ” (Psyjai) ยังมีระบบให้ข้อมูลและคำแนะนำเกี่ยวกับการขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ สำหรับผู้ใช้งานที่มีความเสี่ยงที่จะฆ่าตัวตาย หรือทำร้ายตนเอง หรือมีภาวะอารมณ์ที่อยู่ในเกณฑ์เสี่ยง โดยเราให้ความสำคัญกับการเก็บรักษาความลับของผู้ใช้งานตามมาตรฐานสากล ทั้งในด้านคะแนนการประเมินสุขภาพจิต และเนื้อหาที่พูดคุย

รศ.พญ. สุดสบาย จุลกทัพพะ หัวหน้าภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ในปัจจุบันปัญหาด้านสุขภาพจิตมีความรุนแรงมากขึ้น พบได้ในคนทุกกลุ่มอายุ ในขณะที่ความสามารถในการเข้าถึงบริการทางสุขภาพจิตที่เป็นมาตรฐานนั้นมีอยู่อย่างจำกัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ที่ทั่วโลกต่างกำลังเจอวิกฤติการระบาดของไวรัสโควิด-19

จากสถิติของกรมสุขภาพจิต รายงานว่า เฉพาะช่วง ม.ค.2564 เดือนเดียว มีผู้ขอรับบริการโทรปรึกษาผ่านสายด่วนสุขภาพจิต 1323 เกี่ยวกับความเครียดจากโควิด-19 มีจำนวนสูงลิ่วถึง 1.8 แสนคน เปรียบเทียบกับทั้งปี 2563 มีจำนวนการโทรขอคำปรึกษาอยู่ที่ราว 7 แสนคน

ดังนั้น “ใส่ใจ” แชทบอทบริการทางสุขภาพจิต จึงตอบโจทย์ด้วยข้อดี คือเพิ่มประสิทธิภาพ ความรวดเร็วในการประเมินสุขภาพจิตเบื้องต้นด้วยตนเองอย่างถูกต้อง และสามารถรองรับผู้ใช้บริการได้เป็นจำนวนมาก สะดวกมากขึ้น ลดการเดินทางและลดความเสี่ยงในการติดเชื้อโควิดตามมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมอีกด้วย

วิศวะ-ศิริราชฯ ม.มหิดล เปิดตัว "ใส่ใจ" แชทบอทเพื่อสุขภาพจิตคนไทย

​พณิดา โยมะบุตร นักจิตวิทยาคลินิก คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ปัจจัยที่ทำให้เกิดความเจ็บป่วยทางจิตใจ แบ่งออกได้เป็น 2 ปัจจัย คือ

1. ปัจจัยทางด้านกายภาพ เช่น พันธุกรรม เพศ อายุ 2. ปัจจัยทางด้านจิตสังคม เช่น พื้นฐานทางจิตใจ อารมณ์ ทักษะการแก้ปัญหา สภาพแวดล้อม เป็นต้น ด้วยสถานการณ์โควิด-19 ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องยาวนาน กระทบการดำเนินชีวิตของคนในหลายๆ ด้าน ถือเป็นภาวะวิกฤติที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาสุขภาพจิต 

วิธีป้องกันสุขภาพจิตที่ดีที่สุดคือ หมั่นสำรวจภาวะอารมณ์และความคิดของตนเอง เรียนรู้และจัดการตั้งแต่เนิ่นๆ รวมถึงขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญเพื่อการดูแลที่เหมาะสม แต่ด้วยข้อจำกัดของจำนวนบุคลากรและการเข้าถึง ทำให้มีประชากรไทยจำนวนมากไม่ได้รับการดูแลด้านสุขภาพจิตจนปัญหารุนแรงขึ้นจนถึงระดับที่แก้ไขได้ยาก

ทีมวิจัยพัฒนาแชทบอท “ใส่ใจ” (Psyjai) โดยบูรณาการองค์ความรู้ทางจิตวิทยาคลินิกและจิตเวช ผสานเข้ากับเทคโนโลยีขั้นสูงเพื่อสร้างเครื่องมือเป็นบริการเพื่อสังคมที่เข้าถึงคนในวงกว้างได้ง่ายและลดช่องว่างดังกล่าว ซึ่งนอกจากจะช่วยส่งเสริมสุขภาพจิตของคนไทยแล้ว ยังเป็นการยกระดับการให้บริการสุขภาพจิตในประเทศไทยให้ก้าวไปกับโลกและไลฟ์สไตล์ยุคดิจิทัลอีกด้วย

ดังนั้น หากรู้สึกไม่สบายใจ เครียด หรือสงสัยว่าตนมีอาการซึมเศร้าหรือไม่ ก็สามารถเข้าถึงบริการ “ใส่ใจ” แชทบอททางสุขภาพจิตได้ทันที ตลอด 24 ชั่วโมง ผ่านเฟซบุ๊กทั้งในสมาร์ทโฟนและคอมพิวเตอร์ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

“ครัวปันอิ่ม” สู่ชุมชน 40 จุดทั่วกรุงเทพฯ สู่โควิด #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

https://www.komchadluek.net/news/edu-health/478192

“ครัวปันอิ่ม” สู่ชุมชน 40 จุดทั่วกรุงเทพฯ สู่โควิด

10 สิงหาคม 2564 – 16:48 น.

“ครัวปันอิ่ม” สู่ชุมชน 40 จุดทั่วกรุงเทพฯ สู่โควิด ประเดิมชุมชนชาวบางกอกน้อย ประชาชนสามารถมารับแจกอาหารคุณภาพได้แล้ว ที่ศูนย์พักคอย “รร.สุวรรณารามวิทยาคม”

เริ่มแล้วกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มูลนิธิ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช โรงพยาบาลศิริราช กองทัพเรือ โรงเรียนสุวรรณรามวิทยาคม ร่วมกับจิตอาสา บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ และ บริษัท ซีพี อินเตอร์เทรด จำกัด เปิดตัวโครงการ “ครัวปันอิ่ม ร้อยเรียงใจ สู้ภัยโควิด-19” ตั้งแต่วันที่ 9 สิงหาคม เป็นต้นไป

โดยประเดิมลงพื้นที่เขตบางกอกน้อย นำอาหารอุ่นร้อนพร้อมรับประทานเมนูกะเพรากุ้ง เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ กาแฟ ขนม และหน้ากากอนามัย ไปแจกจ่ายให้กับชาวชุมชน บุคลากรทางการแพทย์ และผู้ป่วยที่กักตัวที่กักตัวในชุมชน (Community Isolation) และในศูนย์พักคอย โรงเรียนสุวรรณรามวิทยาคม

"ครัวปันอิ่ม" สู่ชุมชน 40 จุดทั่วกรุงเทพฯ สู่โควิด

เพื่อแบ่งเบาภาระการจัดเตรียมอาหารของชุมชนและบรรเทาความเดือดร้อนในภาวะวิกฤต-19 โดยมี นายจงจัด จันทบ ผู้อำนวยการโรงเรียนสุวรรณารามวิทยาคม พร้อมด้วยผู้นำและตัวแทนจากชุมชนซอยสุดสาคร ชุมชนวัดรวกสุทธาราม ชุมชนวัดยาง และศูนย์พักคอย โรงเรียนสุวรรณารามวิทยาคม ร่วมรับมอบ

โครงการ “ครัวปันอิ่ม ร้อยเรียงความดี สู้ภัยโควิด-19” เป็นการผนึกกำลังของเครือเจริญโภคภัณฑ์ ร่วมกับพันธมิตรทุกภาคส่วนกว่า 100 องค์กร ทั้งมูลนิธิ กลุ่มจิตอาสา ภาคประชาสังคม และองค์กรเอกชน เพื่อแจกข้าวกล่องปรุงสุกพร้อมทาน 2 ล้านกล่องสู่ชุมชนใน 40 จุดทั่วกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ซึ่งเขตบางกอกน้อย ได้แก่ ชุมชนซอยสุดสาคร ชุมชนวัดรวกสุทธาธรรม ชุมชนวัดยาง และศูนย์พักคอย รร.สุวรรณารามวิทยาคม เป็นหนึ่งในพื้นที่ที่ซีพีเอฟ ร่วมกับ พันธมิตร ดูแลรับผิดชอบ

นายจงจัด จันทบ ผู้อำนวยการ โรงเรียนสุวรรณารามวิทยาคม กล่าวว่า ขอขอบคุณผู้ใหญ่ใจดีทุกภาคส่วนที่เข้ามาสนับสนุนการจัดตั้งศูนย์พักคอยฯ แห่งนี้ โดยเฉพาะเครือซีพี-ซีพีเอฟ ที่ช่วยเหลือสังคมในทุกวิกฤต โดยนำอาหารคุณภาพปลอดภัย น้ำดื่ม และครุภัณฑ์ทางการแพทย์ ในโครงการ “ครัวปันอิ่ม” มามอบให้ และยังแบ่งปันความอิ่มอร่อยต่อไปถึงพี่น้องที่ติดเชื้อและกักตัวอยู่ที่บ้านด้วย

"ครัวปันอิ่ม" สู่ชุมชน 40 จุดทั่วกรุงเทพฯ สู่โควิด

ด้าน นายทองสุข วิสัยแสง รองประธานชุมชนวัดสุวรรณาราม (บ้านบุ)​ กล่าวว่า ชุมชนนี้มีประชากรค่อนข้างหนาแน่น จำนวน 800 ครัวเรือน กว่า 2,000 คน และเป็นชุมชนที่มีตลาดสด จึงมีแรงงานต่างด้าวเข้ามาทำงานและอาศัยอยู่ รู้สึกดีใจที่ได้รับการดูแลและมีกองหนุนจาก “ครัวปันอิ่ม”​ส่งตรงถึงชุมชน ให้ทั้งผู้ป่วยโควิดที่กักตัวที่บ้านได้เข้าถึงอาหารอย่างเพียงพอ ซึ่งมีส่วนช่วยป้องกันการแพร่กระจายเชื้อในชุมชนได้เป็นอย่างดี

ขณะที่ นายประพัฒน์ จันทร์ทอง ประธานชุมชนวัดพระยาทำ อรุณอัมรินทร์ 5 กล่าวว่า ชุมชนมีผู้ติดเชื้อที่ในชุมชน 11 คน เข้าพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล 3 คน และอีก 8 คนกักตัวในศูนย์พักคอยวัดพระยาทำ ซึ่งดัดแปลงจากศาลาการเปรียญมาเป็นที่กักตัวแบบ Community Isolation การได้รับอาหารจากครัวปันอิ่ม ช่วยลดภาระการจัดหาข้าวปลาอาหารให้ชาวชุมชนได้อิ่มท้องทุกมื้อ

นางเพยาว์ ไชยพันธุ์ เลขาธิการคณะกรรมการชุมชนวัดรวกสุทธาธรรม ถ.จรัลสนิทวงศ์ 33 กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ชาวบ้านในชุมชนระดมเงินและสรรพกำลังจัดหาอาหารการกิน รวมทั้งสมุนไพรให้กับผู้ติดเชื้อทุกวันอยู่แล้ว รู้สึกดีใจที่มีผู้ใหญ่ใจดี ทำโครงการ “ครัวปันอิ่ม”​ เข้ามาช่วยเหลือผู้กักตัว และคนตกงานไม่มีรายได้ ช่วยบรรเทาความยากลำบากในภาวะวิกฤตได้มาก

"ครัวปันอิ่ม" สู่ชุมชน 40 จุดทั่วกรุงเทพฯ สู่โควิด

ก่อนหน้านี้ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.เกษตรและสหกรณ์ ผู้บริหารมูลนิธิ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช รศ.นพ.วิศิษฎ์ วามวาณิชย์ ผู้อำนวยการ รพ.ศิริราช กองทัพเรือ และนายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร ซีพีเอฟ ได้มาเยี่ยมชมการจัดตั้งศูนย์พักคอย รร.สุวรรณารามวิทยาคม เขตบางกอกน้อย ที่เปิดรองรับผู้ติดเชื้อในชุมชนโดยรอบ จำนวน 120 เตียง เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิดในกรุงเทพฯ และเคียงข้างคนไทยก้าวผ่านวิกฤตโควิดไปด้วยกัน

กว่า 600 อปท.”ตั้งชุมชน” ดูแลผู้ป่วยโควิดเปิดโฮมสเตย์-วัดเป็นที่กักตัว #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

https://www.komchadluek.net/news/edu-health/478076

กว่า 600 อปท.”ตั้งชุมชน” ดูแลผู้ป่วยโควิดเปิดโฮมสเตย์-วัดเป็นที่กักตัว

9 สิงหาคม 2564 – 21:25 น.

ท้องถิ่นตื่นตัวกว่า 600 อปท. มีมาตรการรองรับผ่านเครือข่ายร่วมสร้างชุมชนท้องถิ่นน่าอยู่ “ตั้งชุมชน”ดูแลเพื่อจำกัดวงการระบาดเชื้อโควิด-19 ทั้งส่วนที่จะนำเข้ามาและในส่วนที่จะนำออกไป

ดร.ประกาศิต กายะสิทธิ์ รองผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) รักษาการผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนสุขภาวะชุมชน สสส. กล่าวว่า สสส. ได้จัดประชุมเชิงปฏิบัติการปรับแผนปฏิบัติการเพื่อรับมือการระบาดของโควิด-19ร่วมกับภาคีเครือข่ายร่วมสร้างชุมชนท้องถิ่นน่าอยู่ ซึ่งมีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.)เข้าร่วมกว่า 600 แห่ง รวม 2,268 คน ผ่านทางระบบออนไลน์ เพื่อรับมือสถานการณ์การระบาดของโควิด-19

เนื่องจากในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลอยู่ในขั้นวิกฤต ส่งผลให้ประชาชนส่วนหนึ่งเดินทางกลับภูมิลำเนา ดังนั้น ชุมชนท้องถิ่นจึงต้องเตรียมความพร้อมและมีมาตรการรองรับ ที่ผ่านมาเครือข่ายร่วมสร้างชุมชนท้องถิ่นน่าอยู่ มีความเข้มแข็งและได้รับการยอมรับเป็นอย่างมากในการปรับตัวให้สอดรับกับสถานการณ์ที่รวดเร็ว สามารถปรับแผนปฏิบัติงานในพื้นที่ได้เป็นอย่างดี

ดร.ประกาศิต กล่าวต่อว่า สำหรับการเตรียมความพร้อมและการรับมือกับวิกฤตการระบาดของเชื้อโควิด-19 ในระลอกนี้ แผนสุขภาวะชุมชนร่วมกับศูนย์วิจัยและพัฒนาระบบสุขภาพชุมชน (ศวช.) คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น และศูนย์สนับสนุนวิชาการเพื่อการจัดการเครือข่าย (ศวภ.) ได้ออกแบบชุดกิจกรรมเพื่อการควบคุมโควิด-19ใน5ประเด็นคือ

1.ติดตามข้อมูลคนเข้าออก/ผู้ติดเชื้อ/กลุ่มเสี่ยง2.การสื่อสารกระบวนการ ได้แก่ การรายงานตัว และการรับวัคซีน 3.การดูแลตนเองในระบบชุมชนให้กับผู้ที่ติดเชื้อโควิด-19 ในชุมชน (Community Isolation)ซึ่งประกอบไปด้วย

สถานกักกันโรคท้องที่ (Local Quarantine / Home Quarantine)และระบบการดูแลที่บ้าน (Home Isolation) 4.การสนับสนุน รับ-ส่งตัว และ5.การฟื้นฟูด้านต่างๆ ในทุกมิติ

นายสมพร ใช้บางยาง ประธานเครือข่ายร่วมสร้างชุมชนท้องถิ่นน่าอยู่ กล่าวว่า การระบาดของโควิด-19 ในครั้งนี้ ทำให้ท้องถิ่นมีประสบการณ์การรับมือกับการระบาดที่แตกต่างกันไป บางพื้นที่มีการระบาดค่อนข้างกว้างขว้างและเกิดคลัสเตอร์ใหม่ๆ ท้องถิ่นจึงต้องวางมาตรการจำกัดวงการระบาด

ทั้งการคัดกรองคนเข้าออกพื้นที่อย่างเข้มงวด มีการเตรียมสถานที่สำหรับกักตัวผู้ที่มีความเสี่ยงสูง การส่งต่อผู้ป่วยติดเชื้อไปยังโรงพยาบาล รวมถึงการบริหารจัดการวัคซีนให้กับประชาชนในพื้นที่ 

แต่ที่มีเหมือนกันทุกพื้นที่ คือความร่วมมือกันในการพัฒนาศักยภาพในการจัดการปัญหาผ่านความร่วมมือของ 4 องค์กรหลัก ประกอบด้วย องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ท้องที่ คือกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน องค์กรชุมชนหรือภาคประชาสังคม และหน่วยงานรัฐในพื้นที่ ซึ่งทุกพื้นที่ต้องรับมือกับสถานการณ์อย่างจริงจังและเข้มงวด เพื่อจำกัดวงการระบาดทั้งในส่วนที่จะนำเข้ามาและในส่วนที่จะนำออกไป