“ม.มหิดล” แนะวิธีใช้ชุดตรวจ Antigen Test Kit แบบง่ายๆ ด้วยตัวเอง #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

https://www.komchadluek.net/news/edu-health/478071

“ม.มหิดล” แนะวิธีใช้ชุดตรวจ Antigen Test Kit แบบง่ายๆ ด้วยตัวเอง

9 สิงหาคม 2564 – 20:30 น.

ม.มหิดล แนะวิธีใช้ชุดตรวจ COVID-19 พร้อมเรียนรุ้วิธีการแปลผลตรวจ เบื้องต้นด้วยตัวเอง ข้อควรระวังต้องตรวจซ้ำ เป็นระยะอาจจะทุก 3 – 5 วัน จนครบเวลากักตัว

ตามที่ได้มีประกาศจากกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งเผยแพร่ในราชกิจจานุเบกษา ให้ประชาชนสามารถใช้ชุดตรวจ Antigen Test Kit (ATK) ด้วยตัวเอง เพื่อให้สามารถวินิจฉัย รักษา และป้องกันที่เหมาะสมโดยเร็ว ทำให้เกิดความต้องการอุปกรณ์ดังกล่าวมาใช้ทดสอบด้วยตัวเองอย่างแพร่หลายนั้น

เมื่อเร็วๆ นี้ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้จัดเสวนาออนไลน์แนะวิธีใช้ชุดตรวจ COVID-19 เบื้องต้นด้วยตัวเอง โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีความเสี่ยงสูงในการสัมผัสต่อโรค ย้ำให้กำจัดชุดตรวจที่ใช้แล้วด้วยจิตสำนึกที่รับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม

ดร.ทนพ.เมธี ศรีประพันธ์ อาจารย์นักเทคนิคการแพทย์ ประจำภาควิชาจุลชีววิทยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้กล่าวถึงวิธีการตรวจยืนยันการติดโรค COVID-19 ในปัจจุบันว่า ยังคงเป็นวิธี RT-PCR ซึ่งข้อดีของการใช้ชุดตรวจ Antigen Test Kit (ATK) ตรวจคัดกรอง COVID-19 ที่ประชาชนทั่วไปสามารถหาซื้อมาตรวจได้ด้วยตัวเองนั้น คือ จะช่วยในการแยก หรือคัดกรองผู้ที่มีผลบวกเบื้องต้น หรือกลุ่มเสี่ยงให้เข้ารับการรักษา หรือดูแลในระบบสาธารณสุขให้เร็วขึ้น

ทั้งนี้ หากผู้ตรวจมีความจำเป็นต้องใช้หลักฐานการตรวจที่รับรองโดยแพทย์ จะต้องไปตรวจในโรงพยาบาล หรือสถานพยาบาลเท่านั้น ซึ่งสำหรับผู้ที่ยังไม่มีความเสี่ยงก็ไม่จำเป็นที่จะต้องตรวจ และหากจำเป็นต้องตรวจเมื่อเป็นกลุ่มเสี่ยง

ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการรับรองจาก สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และซื้อจากสถานพยาบาล คลินิกเวชกรรม คลินิกเทคนิคการแพทย์ และร้านยาที่มีเภสัชกรคอยให้คำปรึกษาเท่านั้น ไม่ควรหาซื้อเองผ่านทางออนไลน์ ตลาดนัด หรือผู้ที่ไม่ใช่บุคลากรทางการแพทย์

ซึ่งตามเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDGs) แห่งสหประชาชาติ ข้อที่ 6 ที่ว่าด้วยน้ำและระบบสุขาภิบาลสะอาด (Clean Water and Sanitation) ควรใช้ชุดตรวจ COVID-19 ด้วยจิตสำนึกที่รับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม เพื่อลดการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสก่อโรค COVID-19

โดยผู้ตรวจจะต้องใช้ความระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง ตั้งแต่การเลือกชุดตรวจที่ผ่านการรับรองคุณภาพ การเก็บและเตรียมตัวอย่างตรวจ การใช้งานชุดตรวจ การอ่านและแปลผล รวมถึงการกำจัดชุดตรวจที่ใช้งานแล้ว

ซึ่งการเก็บตัวอย่างตรวจ ไม่ว่าจะเป็นการแหย่จมูก (swab) โดยใช้ก้านสำลีที่ให้มากับชุดตรวจ สอดเข้าไปในรูจมูกเพื่อเก็บตัวอย่าง หรือการเก็บตัวอย่างตรวจโดยใช้น้ำลาย รวมถึงการดำเนินการตรวจนั้น ควรทำด้วยตัวเอง ในพื้นที่ที่แยกจากบริเวณอื่น และควรทำตามขั้นตอน

หรือคำแนะนำในเอกสารประกอบชุดตรวจ หรือ VDO Clip ของชุดตรวจแต่ละยี่ห้อ ซึ่งสามารถสแกนได้จาก QR Code ที่แนบมากับผลิตภัณฑ์อย่างเคร่งครัด ซึ่งการเพิ่มหรือลดขั้นตอนเอง อาจทำให้ผลการตรวจผิดพลาดได้ ภายหลังการตรวจและอ่านผลแล้วให้ทิ้งชุดตรวจ รวมถึงอุปกรณ์ทั้งหมดในถุงพลาสติกที่มีน้ำยาฆ่าเชื้อ

โดยควรซ้อนถุง 2 ชั้น และรัดปากถุงให้แน่นก่อนทิ้ง รวมถึงเขียนข้อความติดไว้ด้วยว่า “ชุดตรวจ COVID-19 ใส่น้ำยาแล้ว” จากนั้น จึงนำไปทิ้งในถังขยะติดเชื้อ (ถังสีแดง) เพื่อไม่ให้เป็นอันตรายต่อผู้อื่น แต่ถ้าไม่มี สามารถอนุโลมให้ใส่ถังขยะทั่วไปได้

ส่วนวิธีการแปลผลตรวจนั้นก็สามารถศึกษาจาก VDO Clip ได้เช่นเดียวกัน ซึ่งผลการตรวจที่เป็นบวกจะมีแถบสีขึ้นทั้งที่ C และ T ในขณะที่ผลการตรวจที่เป็นลบจะมีแถบสีขึ้นที่ C ด้านเดียว

นอกจากนี้ ในกลุ่มผู้มีความเสี่ยงสูงหากตรวจแล้วได้ผลลบ ให้เว้นช่วงและรักษาระยะห่าง รวมถึงกักตัวเป็นระยะเวลา 14 วัน นับจากวันที่มีความเสี่ยง หรือสัมผัสผู้ติดเชื้อ 

นอกจากนี้ จะต้องตรวจซ้ำเป็นระยะๆ เช่น ทุก 3 – 5 วัน จนครบเวลากักตัว อย่างไรก็ตามหากผลตรวจขึ้นแถบสีที่ T ด้านเดียว หรือไม่มีแถบสีใดขึ้นเลย จะไม่สามารถอ่านและแปลผลได้ ต้องตรวจซ้ำ หรือเปลี่ยนชุดตรวจใหม่

ชุดตรวจ ATK สำหรับตรวจคัดกรองด้วยตัวเองมีจำหน่ายที่ สถานปฏิบัติการเภสัชชุมชน คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ถนนศรีอยุธยา กรุงเทพฯ เปิดทำการทุกวันจันทร์ พุธ และศุกร์ ตั้งแต่เวลา 09.00 – 15.00 น. สอบถามรายละเอียดได้ที่โทร.0-2644-4609

“วิศวะจุฬาฯ” คิดค้นเครื่องแบ่งบรรจุวัคซีนอัตโนมัติ ลดภาระงานด่านหน้า #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

https://www.komchadluek.net/news/edu-health/478045

“วิศวะจุฬาฯ” คิดค้นเครื่องแบ่งบรรจุวัคซีนอัตโนมัติ ลดภาระงานด่านหน้า

9 สิงหาคม 2564 – 19:20 น.

เครื่องแบ่งและบรรจุวัคซีนอัตโนมัติ ดูดและบรรจุ “วัคซีนแอสตราเซเนกา” ลงเข็มฉีดยาได้อย่างแม่นยำ รวดเร็ว ปลอดภัย ทีมวิจัย “วิศวะจุฬาฯ” เผย ช่วยเพิ่มจำนวนผู้ได้รับวัคซีนอีก 20 %

การกระจายวัคซีนสู่ประชาชนจำนวนมากอย่างทั่วถึงเป็นปัญหาใหญ่ที่ต้องเร่งดำเนินการเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ให้เร็วที่สุด แต่ด้วยข้อจำกัดหลายประการ ทั้งรูปแบบของวัคซีนแอสตรา เซเนกา ที่ต้องมีการแบ่งใส่เข็มฉีดวัคซีนให้แต่ละคนในปริมาณเท่าๆ กัน

อีกทั้งบุคลากรการแพทย์ที่ต้องรับหน้าที่ฉีดวัคซีนให้ประชาชนเป็นจำนวนมากในแต่ละวัน เหล่านี้เป็นโจทย์ที่ทางคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ ขบคิดหาทางออกและได้พัฒนาเครื่องแบ่งบรรจุวัคซีนอัตโนมัติ (Automated Vaccine) ที่มีความแม่นยำ ในการแบ่งวัคซีน ช่วยเพิ่มปริมาณผู้รับวัคซีนได้อีก 20 % และแบ่งเบาความเหนื่อยล้าของบุคลากรการแพทย์

“นี่เป็นนวัตกรรมของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยที่ตอบโจทย์ความจำเป็นและนโยบายเร่งด่วน ในโครงการฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมถึงประชาชนให้ได้มากที่สุด นวัตกรรมนี้ช่วยลดการสูญเสียวัคซีน ซึ่งนำไปฉีดให้คนได้เพิ่มขึ้น ช่วยทำให้การใช้วัคซีนของประเทศไทยมีความคุ้มค่าและมีประสิทธิผลอย่างแท้จริง”

ศาสตราจารย์ นพ.ดร.นรินทร์ หิรัญสุทธิกุล  รองอธิการบดี ด้านการติดตามและประเมินผลยุทธศาสตร์ แผนการงบประมาณ และสุขภาวะ และประธานโครงการจัดบริการฉีดวัคซีนป้องกัน โควิด-19 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (CU VP) กล่าวถึงความสำคัญของนวัตกรรมนี้ต่อสถานการณ์ปัจจุบันกำเนิดแนวคิดเครื่องแบ่งบรรจุวัคซีนอัตโนมัติ (Automated Vaccine)

"วิศวะจุฬาฯ" คิดค้นเครื่องแบ่งบรรจุวัคซีนอัตโนมัติ ลดภาระงานด่านหน้า

นโยบายของกระทรวงสาธารณสุขกำหนดให้ “แอสตราเซเนกา” เป็นวัคซีนหลักของประเทศ ซึ่งจะมีการนำมาใช้ฉีดประชาชนชาวไทยจำนวน 61 ล้านโดส โดยบุคลากรการแพทย์เป็นผู้ฉีด แอสตราเซนเนกาเป็นวัคซีนประเภท multiple dose คือหนึ่งขวดบรรจุ 10 โดส หรือฉีดได้ 10 คน

แต่ทางบริษัทผู้ผลิตวัคซีน เติมปริมาตรวัคซีนให้เป็น 13 โดสในแต่ละขวด เนื่องจากแต่ละรอบที่บุคลากรการแพทย์ดูดวัคซีนขึ้นมาจะมีการสูญเสียวัคซีน จึงทำให้ใส่ส่วนเกินมา ซึ่งปริมาณส่วนที่เพิ่มเข้ามานี้เป็นโอกาสในการกระจายวัคซีนเพิ่มขึ้น

ดังนั้น ที่ผ่านมากระทรวงสาธารณสุขจึงได้มีการจัดฝึกบุคลากรการแพทย์จากสถาบันบำราศนราดูรให้ดูดวัคซีนออกจากขวดให้ได้มากกว่า 10 โดส ซึ่งบางครั้งก็ได้ 11-12 โดส ไม่แน่นอน

“ในฐานะที่เราอยู่ในคณะวิศวกรรมศาสตร์ซึ่งประดิษฐ์นวัตกรรมอยู่แล้ว เราเห็นว่าเรื่องนี้เครื่องจักรกลสามารถทำงานแทนมนุษย์ได้ เราจึงประดิษฐ์เครื่องที่ดึงวัคซีนออกมาจากขวดได้เป็นจำนวน 12 โดสอย่างเม่นยำ ทำให้แต่ละขวด สามารถฉีดวัคซีนได้ 12 คน นอกจากนี้ ในแต่ละเข็มจะมีปริมาณวัคซีนที่ถูกต้องเท่ากันด้วย”

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.จุฑามาศ รัตนวราภรณ์ ประธานหลักสูตรวิศวกรรมชีวเวช คณะวิศวกรรมศาสตร์ ผู้พัฒนาเครื่องแบ่งบรรจุวัคซีนอัตโนมัติ ร่วมกับอาจารย์ศรันย์ กีรติหัตถยากร สำนักบริหารหลักสูตรวิศวกรรมนานาชาติ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ กล่าว

"วิศวะจุฬาฯ" คิดค้นเครื่องแบ่งบรรจุวัคซีนอัตโนมัติ ลดภาระงานด่านหน้า

“ปัจจุบันวัคซีนมีจำนวนจำกัด การที่เราสามารถเพิ่มการฉีดวัคซีนได้ 20 % ตรงนี้มีคุณประโยชน์กับประเทศชาติมาก” ผศ.ดร.จุฑามาศ กล่าวเน้นหลักการทำงานของเครื่องแบ่งบรรจุวัคซีนอัตโนมัติ

คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ ร่วมมือกับกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข และภาคเอกชนหลายแห่ง ผลิตและพัฒนาเครื่องแบ่งบรรจุวัคซีนด้วยระบบอัตโนมัติ ให้มีความปลอดภัย ปลอดการปนเปื้อน และมีประสิทธิภาพสูงสุด ที่สำคัญใช้งานง่ายโดยมีเจ้าหน้าที่ควบคุมเครื่องเพียงคนเดียวเท่านั้นและไม่จำเป็นต้องเป็นการแพทย์

“เจ้าหน้าที่จะเตรียมเข็มฉีดยาวางไว้บนแท่นจำนวน 12 หลอด จากนั้นนำขวดวัคซีนวางไว้ในจุดที่กำหนดบนสายพานหัวดูดสุญญากาศของเครื่องแบ่งจะดูดวัคซีนจำนวน 6.5 มิลลิลิตรออกจากขวดจนหมด มาใส่ไว้ในกระบอกไซริงค์ฉีดยาขนาด 10 มิลลิลิตร

ด้วยหลักการดูดของเหลวโดย Air Cushion วัคซีนจะไม่สัมผัสกับหัวดูดโดยตรงจึงหมดห่วงเรื่องการปนเปื้อน จากนั้นเครื่องจะแบ่งบรรจุวัคซีนลงเข็มฉีดยาตามจำนวนที่กำหนดไว้ คือ 0.5 มิลลิลิตรเท่ากันทั้ง 12 หลอด และมีการเปลี่ยน ตัวเข็มและกระบอกไซริงค์ทุกครั้ง ปลอดภัยไม่ปนเปื้อนแน่นอน” ผศ.ดร.จุฑามาศ อธิบายกระบวนการทำงานของเครื่องแบ่งบรรจุวัคซีนอัตโนมัติ

“เครื่องทำงานแบบระบบสายพาน ทำให้แบ่งบรรจุวัคซีนลงหลอดฉีดยาได้อย่างต่อเนื่องรวดเร็ว ใช้เวลาประมาณ 4 นาที จากนั้นปิดหลอดด้วยเข็มฉีดยา และนำมาเก็บใส่ถาดบรรจุวัคซีนเพื่อนำไปฉีดได้ทันที ซึ่งตรงนี้ช่วยแบ่งเบาภาระเจ้าหน้าที่บุคลากรการแพทย์ด่านหน้าในการดูดวัคซีนออกจากขวดได้มาก ลดเวลาทำงานในส่วนนี้ เพิ่มโอกาสให้ผู้รับฉีดวัคซีนเพิ่มขึ้น 20% ในหนึ่งวันสามารถเพิ่มการฉีดได้ถึง 1,700 โดส”

ผศ.ดร.จุฑามาศ กล่าวว่าหลักการทำงานของเครื่องแบ่งบรรจุวัคซีนอัตโนมัติสามารถนำไปประยุกต์ ตั้งค่าใช้กับการแบ่งบรรจุวัคซีนทางเลือกอื่นๆ ที่มาในรูปแบบ multiple dose ได้เช่นเดียวกัน

"วิศวะจุฬาฯ" คิดค้นเครื่องแบ่งบรรจุวัคซีนอัตโนมัติ ลดภาระงานด่านหน้า

ปัจจุบัน เครื่องแบ่งบรรจุวัคซีนอัตโนมัติต้นแบบมีการนำร่องใช้งานจริงแล้วที่ศูนย์บริการวัคซีน จุฬาฯ ซึ่งขั้นต่อไป ผศ.ดร.จุฑามาศ เผยว่าได้เตรียมแผนการผลิตอีกจำนวน 100 เครื่องเพื่อจัดสรรกระจายไปยังจุดฉีดวัคซีนใหญ่ๆ ที่มีปริมาณการฉีดวัคซีนมากกว่า 1,000 โดสต่อวัน เช่น จุดฉีดวัคซีนที่สถานีกลางบางซื่อ หรือโรงพยาบาลประจำจังหวัดต่างๆ

นอกจากนี้ ยังเล็งโอกาสการส่งออกนวัตกรรม ไปยังประเทศเพื่อนบ้านที่มีการใช้วัคซีนคล้ายๆ กันกับประเทศไทย ซึ่งอยู่ระหว่างหารือและรอความชัดเจนจากกระทรวงสาธารณสุข

ทั้งนี้ เครื่องแบ่งบรรจุวัคซีนอัตโนมัติยังสามารถต่อยอดใช้การวัคซีนชนิด mRNA ชนิดอื่น เช่น วัคซีนไฟเซอร์ ซึ่งทีมวิจัยกำลังพัฒนาโดยใช้หลักการเดียวกันโดยมีการปรับเปลี่ยนในบางชิ้นส่วนเท่านั้น

อีก 20 วัน “ครูเตรียมตกงาน” 8 ปี บนเส้นทางสู่ครูไร้ตำแหน่ง #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

https://www.komchadluek.net/news/edu-health/478022

อีก 20 วัน “ครูเตรียมตกงาน” 8 ปี บนเส้นทางสู่ครูไร้ตำแหน่ง

9 สิงหาคม 2564 – 16:40 น.

ตามสัญญาจ้าง มีการจ้างงานเพียง 10 เดือน ใน 1 ปี เมื่อสพฐ.ออกหนังสือถึงเขตพื้นที่การศึกษา สั่งสัญาณให้ “ครูเตรียมตกงาน” ได้ทันทีเมื่อสิ้นสุดโครงการ

ข่าวร้ายไม่แพ้โควิด-19 เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2564 สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) ได้แจ้งให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ทราบและปฏิบัติ ตาม หนังสือ ที่ ศธ 04010/ว39

เรื่อง การดำเนินการ การจ้างบุคลากรวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์โครงการพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษา กิจกรรมครูคลังสมอง เนื้อหาในหนังสือราชการดังกล่าว ใจความว่า..

ตามที่ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน มีนโยบายในการยกระดับคุณภาพการศึกษา วิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ในโรงเรียนประถมศึกษา โรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา โรงเรียนมัธยมศึกษา ขนาดกลางและเล็ก ที่ประสบปัญหาการขาดแคลนครูวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ (ครู วิทย์-คณิต)

ตามหนังสือฉบับดังกล่าว จะไม่มีการจัดสรรงบประมาณสำหรับการจ้างบุคลากรวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ โครงการพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษา อีกต่อไป

นับเป็นข่าวร้ายกว่าที่มากับข่าวร้าย ในสถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ไม่ว่าเสียงเรียกร้องจะถูกส่งต่อกันไปมากขนาดไหน เสียงเล็กๆ นี้ก็คงไม่ได้ถูกส่งไปถึงผู้มีอำนาจแต่อย่างใด

มีเพียงความเงียบ และความว่างเปล่า ไร้ตำตอบ มีแต่คำถาม เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง รอวันสิ้นสุดสัญญาเลิกจ้าง”ครูวิทย์-คณิต”

แต่ในความเป็นจริง ทราบหรือไม่ว่า ครู วิทย์-คณิต 1,964 ราย จะต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ ในวันที่ 31 สิงหาคม 2564 นี้ เนื่องในสัญญาจ้าง มีการจ้างงานเพียง 10 เดือน ใน 1 ปี

ทำให้ ครู วิทย์-คณิต ลูกจ้างที่เคยปฏิบัติงานในฐานะ ครู มายาวนานกว่า 8 ปี ต้อง ตกงานทันที นับจากวันนี้ เหลือ เวลา เพียง 20 วันเท่านั้น

ในขณะที่ ครู วิทย์-คณิต 1,964 ราย ยังคงปฏิบัติหน้าที่ที่โรงเรียนอย่างเข้มแข็ง แม้จะท้อแท้และสิ้นหวัง เนื่องจากในทุกๆ วันของการปฏิบัติงานต้องมีบันทึกรายงาน ต่อผู้บังคับบัญชา เพื่อเบิกจ่ายเงินเดือน ดังนั้นแม้จะสิ้นหวังอย่างไร ก็ยังคงต้องทำงาน เพื่อเงินเดือนๆ สุดท้าย ของระยะเวลา 8 ปี ที่ยาวนาน

ครูหลายคนมีครอบครัว บางคนใช้เวลาในช่วงที่ผ่านมา สร้างครอบครัว ลงหลักปักฐาน ในพื้นที่ที่ตนเองปฏิบัติงาน มีเพื่อนรวมงานที่ใกล้ชิด มีความคุ้นเคยกับบุคคลและสิ่งแวดล้อมอย่างยาวนาน สิ่งเหล่านั้นคงต้องสิ้นสุดลง

ลาก่อน สำหรับตำแหน่ง ‘ครู’ แม้จะต้องจากไปอย่างไร้คนเหลียวแล แต่ประสบการณ์ที่ผ่านมา 8 ปี มันเลิกไม่ได้แล้ว สำหรับความเป็น ‘ครู’ แม้จะเป็นครูไร้ตำแหน่งก็ยอม

สาธิตจุฬาฯ เผยเคล็ดลับปั้น “นวัตกร” รุ่นเยาว์หลังคว้า 9 รางวัลระดับโลก #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

https://www.komchadluek.net/news/edu-health/478017

สาธิตจุฬาฯ เผยเคล็ดลับปั้น “นวัตกร” รุ่นเยาว์หลังคว้า 9 รางวัลระดับโลก

9 สิงหาคม 2564 – 16:15 น.

แจ้งเกิด “นวัตกร” สาธิตจุฬาฯ คว้า 6 เหรียญทอง และ 3 เหรียญเงิน จากงานประกวดนวัตกรรมและสิ่งประดิษฐ์นานาชาติ ที่สาธารณรัฐโปแลนด์ บทพิสูจน์ทิศทางการพัฒนาคนแห่งอนาคต

เด็กเป็น “นวัตกร” โดยธรรมชาติ หากได้รับการปลูกฝังอุปนิสัยและส่งเสริมความคิดเชิงนวัตกรรม พวกเขาจะเปล่งศักยภาพสร้างสรรค์นวัตกรรมที่เปลี่ยนโลกได้ ดังที่นักเรียนระดับประถมศึกษาจากโรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ทำให้ประเทศไทยภาคภูมิใจมาแล้วจากการคว้ารางวัล 6 เหรียญทอง และ 3 เหรียญเงิน จากงานประกวดนวัตกรรมและสิ่งประดิษฐ์นานาชาติ E-NNOVATE 2021 International Innovation Show ณ สาธารณรัฐโปแลนด์ ที่จะแข่งแบบออนไลน์เมื่อเดือนมิถุนายน 2564

ชิ้นงานแห่งความสำเร็จที่ทำให้หลายคนต้องทึ่ง อาทิ ปากกาต่อต้านโรคระบาด ระบบห้องน้ำอัจฉริยะระเบิดความสนุกสำหรับชีวิตวิถีใหม่ ชุดหมอนลดการนอนกรนเพื่อปรับสมดุลให้การนอนหลับมีคุณภาพและปลอดภัยที่สุด ชุดอุปกรณ์ช่วยออกกำลังกายในผู้ป่วยติดเตียง ชุดฝึกสมองและกระตุ้นพัฒนากล้ามเนื้อมือสำหรับผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองและเด็กออทิสติก ฯลฯ (คลิกดูเพิ่มเติมที่ https://www.chula.ac.th/news/48422/ )

กว่า 7 ปี นับตั้งแต่การก่อตั้งศูนย์นวัตกรรมโรงเรียนสาธิตจุฬาฯ ฝ่ายประถมศึกษา นักเรียนรุ่นแล้วรุ่นเล่าได้นำเสนอนวัตกรรมเข้าแข่งขันในเวทีระดับโลกหลายประเทศและได้รับรางวัลกลับมาทุกปี

โดยเฉพาะปีนี้นับเป็นปีที่ส่งผลงานของนักเรียนเข้าร่วมการแข่งขันมากที่สุด ทั้งๆ ที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ส่งผลให้มีการปรับเปลี่ยนการเรียนการสอนเป็นแบบออนไลน์

“แต่ปัญหานี่เองคือโอกาส นักเรียนมีเวลาในการบ่มความคิดและพัฒนานวัตกรรมซึ่งหลายชิ้นก็ตอบโจทย์ความท้าทายของโลกในปัจจุบัน” อาจารย์จีระศักดิ์ จิตรโรจนรักษ์ ประธานศูนย์นวัตกรรมแห่งโรงเรียนสาธิตจุฬาฯ ฝ่ายประถมศึกษา ผู้เป็นลมใต้ปีกนวัตกรรุ่นเยาว์ทั้งหลายเผยเคล็ดลับการสร้างนวัตกร ที่ครูและผู้ปกครองสามารถนำไปใช้ดูแลเด็กๆ และนักเรียนของตนเองได้

โรงเรียนสาธิตแห่งศตวรรษที่ 21

อาจารย์จีระศักดิ์ เล่าถึงที่มาของการตั้งศูนย์นวัตกรรมขึ้นในโรงเรียนสาธิตจุฬาฯ ว่า “เพื่อเตรียมนักเรียนให้พร้อมรับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในศตวรรษที่ 21 ไม่ว่าจะเป็นความรู้และทักษะใหม่ๆ หรือวิชาชีพที่ไม่เคยมีมาก่อน รวมทั้งส่งเสริมทัศนะเชิงบวกต่อโลกและชีวิต ความคิดอ่านก้าวหน้าที่มองหาทางออกเป็นนิสัยและความเป็นไปได้อยู่เสมอ”

หัวใจสำคัญของการปั้นนวัตกรคือความเชื่อมั่นในศักยภาพของนักเรียนและครู และตระหนักถึงความ ต่างระหว่างนักเรียนแต่ละคน โดยศูนย์ฯ มีหน้าที่เสริมส่งความฝันของนักเรียนให้เป็นรูปธรรม ซึ่งรางวัลครั้งนี้ได้พิสูจน์แล้วว่าศูนย์ฯ และโรงเรียนสาธิตจุฬาฯ มาถูกทางแล้ว

“นวัตกรรมที่ได้รับรางวัลเป็นผลจากการปฏิรูปวิธีการเรียนรู้ โดยครูจะปล่อยให้นักเรียนเป็นคนเริ่ม ‘คิด’ กำหนดโจทย์เอง ครูเพียงคอย ‘ร่วมมือ’ ฟังการ ‘แก้’ โจทย์และแนะนักเรียนหาวิธีแก้โจทย์เองตามแต่จินตนาการของแต่ละคน

ซึ่งครูจะย้ำเสมอให้นักเรียนค้นหาวิธีการแก้โจทย์มากกว่าหนึ่งวิธีเสมอ ที่เหลือคือการ ‘สร้าง’ ชุดความรู้ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งขั้นตอนนี้ใช้เวลาค่อนข้างนานเพราะต้องสำรวจ รวบรวมข้อมูลที่มีเดิมมาวิเคราะห์เปรียบเทียบข้อดีข้อเสียกับวิธีที่ตัวเองพบโดยระวังการละเมิดลิขสิทธิ์คนอื่น” อาจารย์จีระศักดิ์ กล่าวถึงกุญแจสำคัญแห่งความสำเร็จ

กระบวนการเรียนรู้ในห้องเรียนใหม่จะเป็นไปตามขั้นตอน “คิด-ร่วมมือ-แก้-สร้าง” โดยพ่อแม่ผู้ปกครองและครูบาอาจารย์คอยทำหน้าที่สนับสนุนทรัพยากรแวดล้อม เช่น การประสานองค์กรเครือข่ายที่ทำงานเกี่ยวเนื่องกับนวัตกรรมที่นักเรียนกำลังศึกษา ดังที่ศูนย์ฯ เคยประสานไปยังคณะวิศวกรรมฯ จุฬาฯ เพื่อพัฒนาต้นแบบนวัตกรรมของนักเรียน

3 เทคนิค หรือ3ทริก ปั้นนวัตกรแห่งศตวรรษที่ 21

1.เชื่อ พ่อแม่ผู้ปกครองและครูต้อง “เชื่อ” ศักยภาพในตัวเด็กแม้ยังไม่เห็นวี่แววแห่งความสำเร็จก็ตาม โดยจำเป็นต้องอำนวยพื้นที่อิสระทางความคิดและเคารพการตัดสินใจของนักเรียน ยอมให้เด็กกล้าเริ่มต้นวิเคราะห์ปัญหาในแบบของตน และทดลองแก้โจทย์ด้วยตัวเอง เทคนิคนี้จะบ่มเพาะเด็ก ๆ ให้เริ่มมีนิสัยของนักวิเคราะห์ตั้งแต่ยังเยาว์

2.สนับสนุน  เปลี่ยนการสั่งและพร่ำสอนเป็นการหนุนเสริมโดยไม่ปล่อยนักเรียนต่อสู้ตามลำพัง เนื่องจากการคิดค้นนวัตกรรมต้องทำงานเป็นหมู่คณะ ครูและผู้ปกครอง ทุกคนล้วนเป็นสมาชิกใน “ทีม” ที่จะต้องร่วมกันสร้าง “พื้นที่ปลอดภัย” สำหรับการลองผิดลองถูกจนกว่าภารกิจจะสำเร็จลุล่วง

3.ผลักดัน  หลายเรื่องที่นักเรียนสนใจแต่ผู้ปกครองและครูไม่ถนัด ก็ต้องออกไปหา เครือข่ายผู้เชี่ยวชาญในแต่ละด้าน ซึ่งนับเป็นเรื่องสำคัญไม่น้อยกว่าเรื่องอื่นๆ หากนักเรียนได้รับแรงผลักดันจากมืออาชีพในเรื่องที่ตนกำลังศึกษา นวัตกรรมของเด็กก็จะยิ่งมีความเป็นไปได้ มีประสิทธิภาพ คุณภาพ และความสลับซับซ้อนของกลไกการทำงานเทียบชั้นมาตรฐานมืออาชีพเลยทีเดียว

เตรียมขยายผล ให้คำปรึกษาฟรี

จากความสำเร็จที่เกิดขึ้น ศูนย์นวัตกรรมพร้อมขยายแนวคิดและเพิ่มเพื่อนร่วมทางในการพัฒนาคนคุณภาพเพื่ออนาคตของชาติ

“ศูนย์ได้เตรียมให้ความช่วยเหลือแก่โรงเรียนที่สนใจปฏิรูปการเรียนรู้ตามแนวทางเดียวกัน ผู้สนใจติดต่อมายังศูนย์นวัตกรรมโรงเรียนสาธิตจุฬาฯ ได้ เรายินดีให้คำปรึกษาหรือประสานความช่วยเหลืออื่นๆ โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ” อ.จีระศักดิ์ กล่าวทิ้งท้าย

กศน.ห่วงใยร่วมต้านภัยโควิด-19 ปรับ “สถานศึกษา” เป็นรพ.สนาม #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

https://www.komchadluek.net/news/edu-health/477864

กศน.ห่วงใยร่วมต้านภัยโควิด -19 ปรับ “สถานศึกษา” เป็นรพ.สนาม

8 สิงหาคม 2564 – 16:40 น.

เกิดขึ้นแล้วพร้อมกัน  ทั้งโรงพยาบาลสนาม-ศูนย์พักคอย รองรับผู้ป่วยได้ ถึง 2,197 เตียง “เลขาธิการ กศน.” เล็งใช้ “สถานศึกษา” ขยายเพิ่มหากผู้ติดเชื้อยังไม่ลดลง

ดร.วรัท พฤกษาทวีกุล เลขาธิการ กศน. เปิดเผยว่า ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อ โคโรนา2019 หรือโควิด- 19ที่กำลังวิกฤต และส่งผลกระทบต่อสุขภาพและความปลอดภัยของประชาชน ซึ่ง ดร.กนกวรรณ วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะกำกับดูแลสำนักงาน กศน. ได้มอบหมายให้ กศน.เป็นหน่วยงานหลัก

ในการวางแนวทางมาตรการช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด -19ทาง กศน.จึงได้ขับเคลื่อนกิจกรรม “กศน.ห่วงใยร่วมต้านภัยโควิด -19”ขึ้น เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนตามพื้นที่ต่าง ๆ ในสถานการณ์วิกฤตนี้

เลขาธิการ กศน. กล่าวว่า ทั้งนี้ สำนักงาน กศน. ที่ได้รับการร้องขอจากท่านผู้ว่าราชการจังหวัดในการใช้สถานที่ของหน่วยงานในสังกัด กศน.เพื่อใช้เป็นโรงพยาบาลสนาม สถานที่กักตัว และศูนย์พักคอย ให้บริการแก่ประชาชนที่เป็นผู้ป่วยกักตัวดูอาการ

“ซึ่งขณะนี้หน่วยงานของ กศน. ได้ให้การช่วยเหลือสนับสนุน โดยให้ใช้สถานที่ของ กศน. จัดตั้งเป็นโรงพยาบาลสนาม สถานที่กักตัว และศูนย์พักคอย ทั่วประเทศ”เลขาธิการ กศน. กล่าว

กศน.ห่วงใยร่วมต้านภัยโควิด -19 ปรับ "สถานศึกษา" เป็นรพ.สนาม

เลขาธิการ กศน. กล่าวอีกว่า โดยข้อมูล ณ วันที่ 2 สิงหาคม 2564 มีสถานศึกษาในสังกัด กศน.ที่จัดตั้งเป็นโรงพยาบาลสนาม สถานที่กักตัว และศูนย์พักคอย รวมทั้งสิ้น192แห่ง

กศน.ห่วงใยร่วมต้านภัยโควิด -19 ปรับ "สถานศึกษา" เป็นรพ.สนาม

ประกอบด้วย

1.โรงพยาบาลสนาม มี7จังหวัด10แห่ง จำนวน282เตียง

2.สถานที่กักตัว มี18จังหวัด106แห่ง จำนวน824เตียง

3.ศูนย์พักคอย มี17จังหวัด76แห่ง จำนวน1,091เตียง

รวมทั้งสิ้น มีเตียงที่สามารถรองรับได้ถึง2,197เตียง 

กศน.ห่วงใยร่วมต้านภัยโควิด -19 ปรับ "สถานศึกษา" เป็นรพ.สนาม

“ซึ่งถ้าสถานการณ์ยังไม่คลี่คลาย จำนวนผู้ติดเชื้อยังไม่ลดลง ก็อาจจะได้รับการร้องขอในการใช้สถานที่ของหน่วยงานในสังกัด กศน. เพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง ”ดร.วรัท กล่าวในที่สุด

ตลาดต้องการอีก 5 ปีขาดแคลนบุคลากรด้าน “ความปลอดภัยทางไซเบอร์” กว่าหมื่น #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

https://www.komchadluek.net/news/edu-health/477809

ตลาดต้องการอีก 5 ปีขาดแคลนบุคลากรด้าน “ความปลอดภัยทางไซเบอร์”กว่าหมื่น

8 สิงหาคม 2564 – 08:25 น.

“ม.เอเชียอาคเนย์” จับมือPalo Alto Networks ปั้นคนสู่ตลาดงานด้าน “ความปลอดภัยทางไซเบอร์” เพื่อร่วมพัฒนาบุคลากรเพื่อผลิตนักศึกษาด้านCybersecurity ออกไปทำงานได้จริง รองรับตลาดที่ขาดแคลน

มหาวิทยาลัยเอเชียอาคเนย์ (SAU)ลงนามความร่วมมือกับPalo Alto Networksผู้นำระบบNetwork Securityอันดับท็อปของโลกจากซิลิคอน วัลเลย์ มุ่งพัฒนานักศึกษาและบุคลากรสู่งานด้านCybersecurityระดับโลก

เกี่ยวกับเรื่องนี้ ดร.ธัชพล โปษยานนท์ ผู้อำนวยการบริษัท พาโล อัลโต เน็ตเวิร์ค ประเทศไทยและอินโดจีน กล่าวว่า การเซ็นสัญญาความร่วมมือกับ ม.เอเชียอาคเนย์ ในครั้งนี้ เป็นการพัฒนาศักยภาพให้กับนักศึกษาด้านCybersecurity หรือความมั่นคงหรือความปลอดภัยทางไซเบอร์ 

ลดความเสี่ยงจาการถูกโจมตีทางอินเทอร์เน็ตสำหรับองค์กร หรือการโจมตีทางไซเบอร์ที่มีต้นสูง และบุคลากรทางด้านนี้กำลังขาดแคลนอย่างมากทั้งปัจจุบัน และอนาคตในอีก5ปีข้างหน้าถึงกว่า10,000ตำแหน่ง 

ดังนั้นจึงต้องร่วมกันจากหลายภาคส่วนที่จะพัฒนาบุคลากรเพื่อผลิตนักศึกษาด้านCybersecurityให้ได้ 1,000 คนต่อปี โดยโครงการได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่มุ่งเน้นพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล รวมทั้งเรื่องของการพัฒนาศักยภาพแรงงานในด้านของดิจิทัลด้วย

ดร.ธัชพล กล่าวว่า การลงนามความร่วมมือในครั้งนี้มีอยู่4ประเด็นหลักที่สำคัญ ได้แก่ (1)การถ่ายทอดเทคโนโลยี โดยอบรมคณาจารย์เพื่อสร้างTrainerที่มีศักยภาพ (2)การจัดกิจกรรมร่วมกันกับทางมหาวิทยาลัยเพื่อสร้างความตื่นตัว ตระหนักรู้และความสนใจของนักศึกษา

(3)การพัฒนางานวิจัยและนวัตกรรมใหม่ๆ โดยเน้นทักษะการสร้างเครื่องมือปกป้องภัยด้านCybersecurityเช่นAI Machine Learning, IoT Securityสำหรับเซ็นเซอร์ใหม่ ๆ หรือการพัฒนาSmart Manufacturing Industry 4.0หรือCloud Securityรวมถึงงานวิจัยกับทางมหาวิทยาลัย เพื่อสร้างPlatformใหม่ๆ ให้กับประเทศไทย 

(4)การสร้างความตระหนักรู้ถึงภัยCyberโดยจัดWorkshopในเชิงเทคนิคให้กับนักศึกษา บุคลากร รวมถึงการจัดส่งนักศึกษาไปร่วมBootcampหรือHackatronกับผู้เชี่ยวชาญระดับแนวหน้าของไทยและระดับโลก

โดยทั้งพาโล อัลโต้ เน็ตเวิร์ค และมหาวิทยาลัยเอเชียอาคเนย์มีความตั้งใจร่วมกันอย่างยิ่งในการร่วมมือสร้างบุคลากรที่มีศักยภาพสู่สังคมและสู่ตลาดแรงงานของประเทศ

ด้านดร.ฉัททวุฒิ  พีชผล อธิการบดีมหาวิทยาลัยเอเชียอาคเนย์ กล่าวว่า ความร่วมมือกับPalo Alto Networksผู้นำด้านระบบCyber Securityในครั้งนี้ถือเป็นการนำหลักสูตรมาพัฒนาร่วมกันกับผู้เชี่ยวชาญตัวจริง เรื่องCybersecurityที่กำลังขาดแคลนบุคลากรด้านนี้เป็นจำนวนมาก เพื่อที่จะผลิตบุคลากรด้านCybersecurityที่ออกไปทำงานได้จริงซึ่งเป็นสิ่งที่ท้าทายและเป็นสิ่งที่เรามุ่งมั่นว่าเราจะต้องพัฒนาและทำให้ได้

ตลาดต้องการอีก 5 ปีขาดแคลนบุคลากรด้าน "ความปลอดภัยทางไซเบอร์"กว่าหมื่น

เซ็นสัญญาออนไลน์

“ความร่วมมือครั้งนี้เป็นก้าวสำคัญที่จะช่วยกันสร้างบุคลากรด้านCybersecurityที่มีคุณภาพ มีความสามารถ ทำงานได้จริง มีคุณธรรม และก้าวสู่งานที่มั่นคงต่อไปในอนาคต”ดร.ฉัททวุฒิ กล่าว

“ลดค่าเล่าเรียน” 2,000 บาท รอสำนักงบฯจัดสรร “รมว.ศธ.” คาดได้ 31 ส.ค. นี้ #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

https://www.komchadluek.net/news/edu-health/477597

“ลดค่าเล่าเรียน” 2,000 บาท รอสำนักงบฯจัดสรร “รมว.ศธ.”คาดได้31ส.ค.นี้

6 สิงหาคม 2564 – 20:05 น.

“ครูเหน่ง” ตั้งปลัดศธ. เร่งเดินหน้าจ่ายเงินเยียวยา “ลดค่าเล่าเรียน” นักเรียนและผู้ปกครอง  คาด 31 ส.ค.- ต้นก.ย.นี้ ผู้ปกครองและนักเรียน นักศึกษา ได้เงิน 2,000 บาท

มติคณะรัฐมนตรี(ครม.)เมื่อวันอังคารที่ 3 สิงหาคม ที่ผ่านมา เรียกได้ว่า “ครูเหน่ง” นางสาวตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ(รมว.ศธ.) ได้ฐานคะแนนเสียงจากพ่อแม่ผู้ปกครองของนักเรียนไม่น้อย

เมื่อมติครม.เห็นชอบในหลักการ ด้วยการออกมาตรการเยียวยานักเรียน ลดค่าเล่าเรียน 2,000 บาทและเยียวยาผู้ปกครอง 2,000 บาท ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด-19 

ล่าสุด มีความคืบหน้าในเรื่องนี้ จากนางสาวตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ(รมว.ศธ.) ว่า ครม.เห็นชอบให้ความช่วยเหลือด้านการศึกษา ลดภาระค่าเล่าเรียนของนักเรียน นักศึกษา ที่กำลังเล่าเรียนทั้งสถานศึกษาของรัฐบาล และสถานศึกษาเอกชน 

ทั้งที่ได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐ และไม่ได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐ ในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.)ในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ตั้งแต่ชั้นอนุบาลถึงม.6 และอาชีวศึกษา ในภาคเรียนที่ 1 / 2564

ลดค่าเล่าเรียนระดับขั้นพื้นฐาน  ในอัตรา 2,000 บาทต่อคน กระทรวงศึกษาธิการ จะจ่ายผ่านสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.)มายังเขตพื้นที่การศึกษา จากนั้นเขตพื้นที่การศึกษาจ่ายผ่านโรงเรียนหรือสถานศึกษา และให้สถานศึกษาจ่ายตรงให้นักเรียน นักศึกษา หรือผู้ปกครอง ครอบคลุม 11 ล้านคน วงเงิน 21,600 ล้านบาท “นางสาวตรีนุช ระบุ

ส่วนความคืบหน้าว่าการลดค่าเล่าเรียน และเยียวยาผู้ปกครอง จะได้รับเมื่อไหร่นั้น น.ส.ตรีนุช  แจกแจงว่า  ขณะนี้สำนักงบประมาณอยู่ระหว่างดำเนินการตรวจสอบรายละเอียดเพื่อทำการจัดสรรเงินให้กระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.) ซึ่งตนมอบหมายให้นายสุภัทร จำปาทอง ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ(ปลัด ศธ.) ไปดำเนินการเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด

“หากสำนักงานงบประมาณ จัดทำรายละเอียดและจัดสรรเงินมาให้ ศธ.แล้ว จากนั้น ศธ.จะตรวจสอบข้อมูล เพื่อจัดสรรเงินงบประมาณลงไปที่สถานศึกษาต่อไป คาดว่าภายในวันที่ 31 สิงหาคม หรือต้นเดือนกันยายนนี้ สถานศึกษาจะได้รับเงิน และทำการโอนเงินเยียวยา 2,000 บาท ให้นักเรียนและผู้ปกครองต่อไป”รมว.ศธ.ระบุ

รมว.ศธ. กล่าวถึงการจ่ายเงินเพื่อลดค่าเล่าเรียนให้นักเรียน นักศึกษาและผู้ปกครองนั้นว่า  พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้กำชับมาว่า ศธ.ต้องเร่งดำเนินการลดความเดือดร้อนของนักเรียน และผู้ปกครองให้เร็วที่สุด

“ดังนั้นการจ่ายเงิน จะต้องจะรวดเร็วด้วย ซึ่งศธ.ได้คิดหาวิธีการที่จัดส่งเงินให้รวดเร็วที่สุด โดยพบว่าหากจ่ายเงินตามฐานข้อมูลการจ่ายเงินอุดหนุนรายหัวของนักเรียนที่ ศธ. มีข้อมูลอยู่ จะสามารถนำส่งเงินให้สถานศึกษาได้เร็วที่สุด”รมว.ศธ.กล่าว

“ครูเตรียมตกงาน” เมื่อสพฐ. เห็นชอบให้สิ้นสุดโครงการ #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

https://www.komchadluek.net/news/edu-health/477438

“ครูเตรียมตกงาน” เมื่อสพฐ. เห็นชอบให้สิ้นสุดโครงการ

5 สิงหาคม 2564 – 18:10 น.

ช็อกยิ่งกว่าติดโควิด เมื่อสพฐ. เห็นชอบสิ้นสุดโครงการฯ 30 ก.ย.64 สำหรับการจ้างบุคลากรวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ โครงการพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษา กิจกรรมครูคลังสมอง นั่นหมายถึง “ครูเตรียมตกงาน”

ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ผ่านมา บุคลากรในกระทรวงศึกษาธิการมีความเสี่ยง ในการปฏิบัติงาน ไม่น้อยกว่าข้าราชการอื่น จำเป็นต้องปิดสถานศึกษา ปรับรูปแบบการเรียนการสอน ครูต้องเดินออกจากโรงเรียนไปสอนนักเรียนถึงบ้าน

แต่ในขณะนี้มีบุคลากรกลุ่มหนึ่งที่ร่วมฝ่าฟันช่วงเวลาที่ยากลำบากมาด้วยกัน กำลังจะถูกให้ออกจากงาน หรือ เตรียมตกงาน เพราะสิ้นสุดโครงการ แต่ก็มีบุคลากรบางกระทรวงที่ถูกปรับเปลี่ยนสถานะให้บรรจุเป็นข้าราชการเพราะสถานการณ์ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 จำนวนหลายหมื่นคน มันยุติธรรมหรือไม่สำหรับบุคลากรเหล่านั้น

จากเหตุการณ์ เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2564 ได้มีการแชร์หนังสือราชการจาก สพฐ. ถึง สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา โดยหนังสือ ศธ 04010/ว39 เรื่อง การดำเนินการ การจ้างบุคลากรวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ (ครูวิทย์-คณิต)โครงการพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษา กิจกรรมครูคลังสมอง

เนื้อหาในหนังสือราชการดังกล่าว ใจความว่า ตามที่ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน มีนโยบายในการยกระดับคุณภาพการศึกษา วิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ในโรงเรียนประถมศึกษา โรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา โรงเรียนมัธยมศึกษา ขนาดกลางและเล็ก ที่ประสบปัญหาการขาดแคลนครูวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ หรือครูวิทย์-คณิต

ซึ่งโครงการนี้เป็นโครงการต่อเนื่องและมีรอบระยะเวลาการจัดสรรงบประมาณเพื่อยกระดับ คุณภาพการศึกษาวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ ให้กับโรงเรียนที่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาคัดเลือก 3 ปี/รอบ (รอบที่ 1 ปีงบประมาณ 2556-2558 รอบที่ 2 ปีงบประมาณ 2559 – 2563 รอบที่ 3 ปีงบประมาณ 2562 – 2564

ขณะนี้การจ้างบุคลากรวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์โครงการพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษา กิจกรรมครูคลังสมอง จะสิ้นสุดการดำเนินโครงการและสิ้นสุดการจัดสรรงบประมาณดังกล่าว ในรอบที่ 3 ปีงบประมาณ 2564 ในวันที่ 30 กันยายน 2564 นั้น

ในการนี้ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) พิจารณาแล้วว่า โครงการดังกล่าว บรรลุวัตถุประสงค์ที่ต้องการตามงบประมาณและระยะเวลาที่กำหนด จึงเห็นชอบให้สิ้นสุดโครงการ และสิ้นสุดการจัดสรรงบประมาณสำหรับการจ้างบุคลากรวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์(ครูวิทย์-คณิต) โครงการพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษา กิจกรรมครูคลังสมอง ในรอบที่ 3 ปีงบประมาณ 2564 ในวันที่ 30 กันยายน 2564 และขอให้แจ้งโรงเรียนและบุคลากรในโครงการดังกล่าวทราบการสิ้นสุดโครงการฯ ต่อไป

พร้อมกับการตั้งคำถามหลายข้อ เช่น มีจัดตั้งโครงการ รอบที่ 4 หรือไม่ ปีงบประมาณ 2565 มีการตั้งงบนี้ไหม บุคลากรรับทราบมาก่อนหรือไม่ ในสัญญาระบุอย่างไร กี่ปี หน่วยงานมีการเตรียมการ เยียวยาอะไรได้บ้างหรือไม่ เป็นต้น

นับเป็นข่าวร้ายกว่าที่มากับข่าวร้าย ในสถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ไม่ทราบว่า นางสาวตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) ทราบหรือไม่ว่า บุคลกรเหล่านี้รับใช้กระทรวงศึกษาธิการมานานกว่า 8 ปี โดยไม่มีความก้าวหน้า ไม่มีความมั่นคง ไม่มีสวัสดิการรัฐใดๆ

นอกจากเงินผู้ประกันตน จากประกันสังคม ต้องปฏิบัติงานในพื้นที่กันดารและขาดแคลน และถูกย้ายเกือบทุกปีตามความเหมาะสม สุดท้ายสิ่งที่เขาได้รับกลับแตกต่างกับบุคลากรของกระทรวงศึกษาธิการ ที่ได้รับการบรรจุให้เป็นข้าราชการเหลือเกิน ทั้งที่ปฏิบัติงานในช่วงเวลาเดียวกัน

หากไม่มีการปรับเปลี่ยนหรือแก้ไขปัญหาใดๆ ค่อนข้างชัดเจนว่า “ครูเตรียมตกงาน” แม้ในสารบัญชีการบรรจุข้าราชการครู จะจัด “ครูวิทย์-คณิต” อยู่ในอันดับ4 ที่ต้องรับบรรจุเพราะขาดแคลน

แต่กระทรวงศึกษาธิการ ยุค “ตรีนุช เทียนทอง” ไม่มองแบบนั้น  เมื่อสพฐ.กำลังจะเลิกจ้างครูวิทย์-คณิต เกือบ 2,000 ราย ชนิดที่เรียกได้ว่าไร้การเยียวยา ไร้การดูแล ไม่แคร์ ไม่สนใจ

ไม่อยากให้น้องเครียด “พี่เอ้ สุชัชวีร์” กระชากลุคดิสรัปเตอร์เมืองไทย #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

https://www.komchadluek.net/news/edu-health/477277

ไม่อยากให้น้องเครียด “พี่เอ้ สุชัชวีร์” กระชากลุคดิสรัปเตอร์เมืองไทย

4 สิงหาคม 2564 – 18:28 น.

สุดอบอุ่น First Meet แบบ Social Distancing กับ งาน “ปฐมนิเทศออนไลน์ – Welcome to KMITL Family” พบอธิการบดี – คณบดีทุกคณะ/วิทยาลัย กล่าวต้อนรับน้อง ๆ เฟรชชี่ กว่า 6,000 คน ผ่านไลฟ์สตรีม @สจล.

เมื่อเอ่ยถึง “พระจอมเกล้าลาดกระบัง” สิ่งแรกน้อง ๆ “เฟรชชี่” หรือ “นักศึกษาใหม่” จะต้องได้เจอ คือ การรับน้องรถไฟ ประเพณีการรับน้องจาก สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) ที่เป็นเอกลักษณ์ของสถาบันฯ มากว่า 60 ปี

ไม่อยากให้น้องเครียด "พี่เอ้ สุชัชวีร์" กระชากลุคดิสรัปเตอร์เมืองไทย

โดยตั้งต้นปล่อยขบวนการเดินทาง ตั้งแต่สถานีหัวลำโพงและต่อเนื่องมายังปลายทางที่จุดจอดรถไฟสถานีพระจอมเกล้า โดยมีพี่ ๆ มาร่วมต้อนรับพร้อมสร้างเสียงหัวเราะและบรรยากาศให้อบอวลไปด้วยมิตรภาพและความอบอุ่นจากพี่สู่น้องรั้วแคแสด ซึ่งทำให้การเดินทางราว 55 นาทีนั้นสนุกสนานกว่าที่เคย

ไม่อยากให้น้องเครียด "พี่เอ้ สุชัชวีร์" กระชากลุคดิสรัปเตอร์เมืองไทย

แต่ในห้วง 1-2 ปีที่ผ่านมานี้ ความสัมพันธ์ระหว่างรุ่นพี่และรุ่นน้อง อาจจะไม่ได้ใกล้ชิดหรือกระทบไหล่ระหว่างกัน ด้วยข้อจำกัดของสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่จำเป็นต้อง เว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) เพื่อให้ความคิดถึงได้ทำงานและก่อตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเราได้พบกันอีกครั้งหลังการผ่อนคลายของสถานการณ์

ซึ่งปีนี้ อธิการบดี สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) “พี่เอ้” ศาสตราจารย์ ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์” จึงไม่รอช้าชักชวน อาจารย์ ผู้บริหาร และรุ่นพี่ สจล. มาร่วมส่งต่อความรักความห่วงใยแม้จะอยู่ห่างกัน เพื่อไม่ให้น้อง ๆ เครียด ผ่านการจัดกิจกรรม “ปฐมนิเทศออนไลน์ – Welcome to KMITL Family” ที่มาในคอนเซ็ปต์ “รักและห่วงใย ถึงตัวอยู่ไกล แต่ใจส่งถึงกัน” ถึงเฟรชชี่กว่า 6 พันคน

เปิดตัวกิจกรรมด้วยคลิปแอนิเมชัน ประเพณีการรับน้องรถไฟสุดคลาสสิก ต่อเนื่องด้วยการกล่าวต้อนรับจาก “คณบดี” จากทุกคณะและวิทยาลัย ทั้ง “ขอต้อนรับและส่งต่อความอบอุ่นถึงน้อง ๆ ผ่านจอนี้ อยากให้น้อง ๆ มองมหาวิทยาลัยเป็นเสมือนสนามเด็กเล่น ที่สามารถทดลองทำสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างเต็มที่เลยนะคะ”, “น้อง ๆ สามารถเรียกอาจารย์ทุกท่านที่นี่ ว่า “พี่” ได้เลยนะครับ ขอให้น้อง ๆ มีความสุขในการเรียน

โดยพี่ๆ ทุกคนที่นี่พร้อมให้คำปรึกษากับน้อง ๆ อย่างสนิทสนม”, “เราเตรียมพร้อมการเรียนการสอนในทุก ๆ ด้าน สบายใจได้เลยค่ะ”, “ทุกคณะ ทุกวิทยาลัย พร้อมต้อนรับนักศึกษาทุกคน หากมีคำถามสามารถติดต่อผ่าน Facebook คณะได้ครับ”

ไม่อยากให้น้องเครียด "พี่เอ้ สุชัชวีร์" กระชากลุคดิสรัปเตอร์เมืองไทย

ซึ่งกิจกรรมภายในงานก็เต็มไปด้วยความสนุกสนาน  และไฮไลท์กับโชว์สุดพิเศษ จากดิสรัปเตอร์เมืองไทย ที่ปีนี้ ฉีกกฎของความเป็นอธิการบดี อีกครั้งกับการทุ่มสุดตัว ร่วมเต้นสันทนาการแบบไม่กลัวเสียลุค ซึ่งน้อง ๆ เฟรชชี่ที่ร่วมกิจกรรมจากทางบ้านก็ไม่รอช้าร่วมโชว์สเตป Dance Battle กันสุดเหวี่ยง

 รวมไปถึงยังร่วม Featuring เพลง “ฝนตกไหม” กับ “นิลโลหิต” แร็ปเปอร์ชื่อดังที่เป็นทั้งศิษย์เก่าจากรั้ว สจล. และปัจจุบันกับการเป็นอาจารย์รับเชิญพิเศษในหลักสูตร “สุนทรียะเพลงแร็ป” (Rap Appreciation) ที่มาร่วมสอนตั้งแต่ความรู้พื้นฐานของการแร็ป การใช้ภาษาและฝึกแต่งเพลง การสอดแทรกมุมมองด้านวัฒนธรรมเข้าไปในบทเพลง ฯลฯ จนน้อง ๆ ในคลาสสามารถร่วมร้องหรือแต่งเพลงด้วยตนเองได้ 

ไม่อยากให้น้องเครียด "พี่เอ้ สุชัชวีร์" กระชากลุคดิสรัปเตอร์เมืองไทย

ด้าน “พี่เอ้” ศาสตราจารย์ ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ อธิการบดี สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) เปิดเผยว่า เพราะพี่เอ้เชื่อว่า ในสถานการณ์เช่นนี้ ที่เราต้องห่างกัน การจัดกิจกรรมเช่นนี้ จะช่วยลดความตึงเครียดสะสมของน้อง ๆ เฟรชชี่ ควบคู่กับการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างคณาจารย์ที่ให้ความรู้สึกที่มากกว่า ครูผู้สอน แต่เป็นเสมือนพี่หรือเพื่อนที่น้อง ๆ สามารถเข้ามาขอรับคำปรึกษาได้

ไม่อยากให้น้องเครียด "พี่เอ้ สุชัชวีร์" กระชากลุคดิสรัปเตอร์เมืองไทย

“พี่เอ้” ศาสตราจารย์ ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ อธิการบดีสจล.

รวมไปถึงการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างรุ่นพี่รุ่นน้อง ที่ถึงแม้จะไม่ได้เจอหรือทักทายกันซึ่งหน้า แต่การพบกันแบบ Social Distancing นี้ ก็ช่วยให้เราสามารถสนิทหรือทำความรู้จักกันได้ โดยไม่รู้สึกถึงข้อจำกัดของสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนี้

ไม่อยากให้น้องเครียด "พี่เอ้ สุชัชวีร์" กระชากลุคดิสรัปเตอร์เมืองไทย

อย่างไรก็ตาม ตลอดวาระการดำรงตำแหน่งเป็นอธิการบดี นับตั้งแต่ปี 2558 มุ่งเน้นการจัดกิจกรรมรับน้องอย่างสร้างสรรค์เพื่อให้เกิดความผ่อนคลาย ลดช่องว่างระหว่างวัยของคณาจารย์ รุ่นพี่ ที่มีต่อน้องเฟรชชี่ แต่ยังคงแฝงกลิ่นอายของประเพณีและจุดยืนของสถาบันฯ ในการเป็นรากฐานนวัตกรรม ร่วมด้วย

ไม่อยากให้น้องเครียด "พี่เอ้ สุชัชวีร์" กระชากลุคดิสรัปเตอร์เมืองไทย

ทั้งการแฝงตัวเองเป็นพี่เนียน การปรับลุคเป็นแร็ปเปอร์ หรือกระทั่งการแปลงโฉมคณะผู้บริหารเป็น Rock Star KMITL เปิดคอนเสิร์ต และปีนี้ก็ยังคงเดินหน้าสร้างมิติใหม่ของงานปฐมนิเทศนักศึกษาอย่างต่อเนื่อง

ไม่อยากให้น้องเครียด "พี่เอ้ สุชัชวีร์" กระชากลุคดิสรัปเตอร์เมืองไทย

น้อง ๆ นักศึกษาใหม่ รวมถึงนักศึกษาปัจจุบัน สามารถติดตามความเคลื่อนไหวของกิจกรรมและสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ได้ที่ สำนักงานกิจการนักศึกษาและศิษย์เก่าสัมพันธ์ http://www.facebook.com/KMITLstudentlife สำนักทะเบียนและประมวลผล http://www.facebook.com/reg.kmitl ติดตามความเคลื่อนไหวต่าง ๆ ของ สจล. ได้ที่ http://www.facebook.com/kmitlofficial หรือ https://www.kmitl.ac.th/

เรียนรู้ยุคดิจิทัล ม.มหิดล แนะปรับ “บทเรียน” ให้เล็กลง และเข้าใจง่าย #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

https://www.komchadluek.net/news/edu-health/477235

เรียนรู้ยุคดิจิทัล ม.มหิดล แนะปรับ “บทเรียน” ให้เล็กลง และเข้าใจง่าย

4 สิงหาคม 2564 – 14:05 น.

แนวโน้ม “บทเรียน” สอนนักศึกษา ไม่ควรอัดแน่นเนื้อหา ควรใช้อุปกรณ์ดิจิทัลที่ทันสมัย ผสมผสานโลกแห่งความเป็นจริงและความเสมือนจริงเข้าด้วยกัน นำเสนอผ่านคลิปง่ายๆ เป็นตัวช่วยผู้เรียนให้เข้าใจ

วันที่ 4 สิงหาคม ตรงกับ “วันสื่อสารแห่งชาติ” ที่จัดตั้งขึ้นเพื่อให้ประชาชนได้ตระหนักถึงความสำคัญของการสื่อสารซึ่งมีวิวัฒนาการมาตามลำดับ โดยได้รับการพัฒนาด้วยเทคโนโลยีแบบก้าวกระโดด

นับตั้งแต่มีการสร้างคอมพิวเตอร์และระบบอินเทอร์เน็ตขึ้นมา จนทำให้หลายสถาบันการศึกษาต้องเร่งการผลิตและพัฒนาบัณฑิตให้มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศขึ้นมารองรับดังเช่นปัจจุบัน

คณะเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) มหาวิทยาลัยมหิดล เป็นสถาบันอุดมศึกษาที่มีประสบการณ์ยาวนานกว่าทศวรรษในการผลิตบัณฑิตคุณภาพ ซึ่งสนองต่อเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDGs) แห่งสหประชาชาติในปัจจุบัน ได้แก่ ข้อที่ 4 ที่ว่าด้วยการศึกษาที่มีคุณภาพ (Quality Education)

รวมทั้งข้อที่ 9 ซึ่งว่าด้วยอุตสาหกรรม นวัตกรรม และโครงสร้างพื้นฐาน (Industry, Innovation and Infrastructure) ของประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโลกที่หมุนไปด้วยความก้าวหน้าอย่างไม่หยุดยั้งของเทคโนโลยีการสื่อสารเช่นปัจจุบัน ซึ่งหมายถึงโอกาสในการเข้าถึงโลกแห่งความรู้ที่ไม่มีขีดจำกัด

อาจารย์ ดร.พัฒนศักดิ์ มงคลวัฒน์ คณบดีคณะเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า เพื่อเตรียมความพร้อมให้แก่นักศึกษาของคณะฯ ให้สามารถจบออกไปเป็นบัณฑิตที่มีคุณภาพ คณะฯ จึงได้มุ่งพัฒนาบัณฑิตให้มีความเป็นเลิศ

ทั้งในด้านองค์ความรู้ (Knowledge) ประสบการณ์ (Experience) และการมีความคิดสร้างสรรค์ (Creativity) โดยเน้นการเรียนรู้แบบ Active Learner ที่มีผู้สอนคอยสร้างแรงบันดาลใจ (Inspiration) ให้นักศึกษามีความกระตือรือร้นใฝ่หาความรู้อยู่ตลอดเวลา

นอกจากนี้ คณะฯ ยังมีความพร้อมทั้งในด้านบุคลากร อุปกรณ์ และสถานที่ ในการที่จะส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้ในลักษณะดังกล่าว โดยได้ริเริ่มให้มี Smart Classroom ซึ่งมี Smart Interactive Board Display ที่ผู้เรียนและผู้สอนสามารถโต้ตอบ และเชื่อมต่ออุปกรณ์สื่อสารใน platform อื่นๆ ได้ในขณะเดียวกัน

อาจารย์ ดร.พัฒนศักดิ์  กล่าวต่อไปว่า การเรียนการสอนในปัจจุบันได้มีการใช้ปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI เพื่อช่วยในการเรียนการสอนให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ด้วยเทคโนโลยีที่สำคัญอื่นๆ ได้แก่ “Virtual Reality” หรือ การจำลองภาพให้เสมือนจริง และ “Augmented Reality” หรือ การใช้อุปกรณ์ดิจิทัลที่ทันสมัยต่างๆ มาช่วยในการผสมผสานโลกแห่งความเป็นจริงและความเสมือนจริงเข้าด้วยกัน

รวมทั้งการใช้เกม (Gamification) เพื่อช่วยในการเรียนรู้ ซึ่งก้าวต่อไป คณะเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) มหาวิทยาลัยมหิดล ได้รับการสนับสนุนจาก สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช) ด้วยทุนของหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข) บางส่วน

และการสนับสนุนจากผู้บริหารมหาวิทยาลัยมหิดล เพื่อจัดตั้ง “ศูนย์ปัญญาประดิษฐ์ของมหาวิทยาลัยมหิดล” (AI Mahidol University Center) ณ อาคารของคณะเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา เพื่อส่งเสริมการใช้เทคโนโลยี AI เพื่อประโยชน์ต่อนักศึกษา และบุคลากรของมหาวิทยาลัยมหิดล และประเทศชาติต่อไป

ซึ่งรูปแบบของสื่อการเรียนการสอนที่จะรองรับโลกที่มีข้อมูลข่าวสารมากมายไร้ขีดจำกัดเช่นปัจจุบัน อาจารย์ ดร.พัฒนศักดิ์  มองว่า ควรมีการจัดทำบทเรียนให้เล็กลง และเข้าใจง่าย เพื่อเพิ่มโอกาสในการเรียนรู้ให้กับผู้เรียนให้สามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้น และมากขึ้น

“นอกจากนี้ การเตรียมความพร้อมเยาวชนก่อนเข้าสู่วัยอุดมศึกษาในเรื่องพื้นฐานที่ดีของการสื่อสาร ซึ่งประกอบไปด้วยทักษะการพูด การอ่าน และการเขียนก็เป็นเรื่องที่สำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตั้งแต่ในวัยที่เริ่มรู้หนังสือ เนื่องจากหากขาดทักษะการพูด การอ่าน และการเขียนที่ดี จะไม่สามารถสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

ทั้งในการใช้ความคิดเชิงวิเคราะห์ และความคิดสร้างสรรค์ โดยจะเป็นทักษะที่ช่วยเพิ่มโอกาสในการเรียนรู้ให้กับตัวเองให้สามารถเข้าถึงสื่อต่างๆ เพื่อการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ต่อไปได้อีกด้วย และที่สำคัญ ความรู้ หรือความถนัดแต่เพียงด้านเดียวอาจไม่เพียงพอต่อการดำรงชีวิตให้อยู่รอดได้ในโลกยุคปัจจุบัน” ดร.พัฒนศักดิ์  กล่าวทิ้งท้าย