“ส.ป.ก.” สืบสานพระราชปณิธาน “การปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม” #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

https://www.komchadluek.net/news/agricultural/476340

“ส.ป.ก.” สืบสานพระราชปณิธาน “การปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม”

28 กรกฎาคม 2564 – 16:58 น.

ส.ป.ก. สืบสานพระราชปณิธาน “การปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม” ในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 28 กรกฎาคม 2564

สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) สืบสานพระราชปณิธาณ “การปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม” เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว 28 กรกฎาคม 2564 

นายวิณะโรจน์ ทรัพย์ส่งสุข เลขาธิการสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) เปิดเผยว่า ส.ป.ก. จัดทำ โครงการจัดทำป้ายแนวเขตที่ดินพระราชทาน มีวัตถุประสงค์เพื่อจัดทำป้ายแนวเขตที่ดินพระราชทาน สร้างการ
มีส่วนร่วมของประชาชนในการปกป้องคุ้มครองที่ดิน

โดย ส.ป.ก. เริ่มนำร่องในพื้นที่ตำบลมหาสวัสดิ์ อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม เนื้อที่ 1,000 – 2 – 53 ไร่ และ ส.ป.ก. มีแผนดำเนินการให้ครอบคลุมทั้ง 5 จังหวัดที่ได้รับพระราชทานที่ดินต่อไป”  

สำหรับที่ดินพระราชทานนั้นในปี พ.ศ. 2518 พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ได้พระราชทาน ที่ดินทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ 51,967 ไร่เศษ โดย ส.ป.ก. นำมาปฏิรูปที่ดินเป็นครั้งแรกของประเทศไทย

และในปี พ.ศ. 2520 พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงเสด็จพระราชดำเนินพระราชทานเอกสารสิทธิการเช่าที่ดินให้แก่เกษตรกรด้วยพระองค์เอง

"ส.ป.ก." สืบสานพระราชปณิธาน "การปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม"

เลขาธิการ ส.ป.ก. ยังกล่าวอีกว่า ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้มอบนโยบายและแนวทางการปฏิรูปที่ดินบนที่ดินพระราชทาน เนื่องจากเป็น “ผืนดินที่มีความสำคัญ” ที่ต้องรักษาและสร้างประโยชน์สุขให้แก่เกษตรกร

“โครงการที่สองเป็นโครงการปลูกต้นไม้เนื่องในโอกาสมหามงคลวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จ
พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยโครงการนี้ ส.ป.ก. ร่วมกับชุมชน เกษตรกร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมใจปลูกต้นไม้ประเภทพันธุ์ไม้ท้องถิ่น พันธุ์ไม้หายาก/ใกล้สูญพันธุ์ และไม้เศรษฐกิจ

อาทิ ต้นรวงผึ้ง ต้นตะเคียนทอง สัก พะยุง ยางนา ประดู่ป่า ไม้แดง มะขามป้อม มะม่วงน้ำตาลเตา ฯลฯ ในพื้นที่โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ 11 โครงการ 15 จังหวัด ได้แก่ กาญจนบุรี ฉะเชิงเทรา นครนายก นครปฐม ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา น่าน สระแก้ว ปราจีนบุรี เชียงใหม่ พะเยา ลำพูน สกลนคร อุบลราชธานี และนครศรีธรรมราช เพื่อสืบสานแนวพระราชดำริด้านการอนุรักษ์ ฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ และเป็นการรณรงค์เพิ่มพื้นที่สีเขียวในเขตปฏิรูปที่ดิน และพื้นที่โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ” เลขาธิการ ส.ป.ก. กล่าว

นายวิณะโรจน์ กล่าวต่อว่า “โครงการต่อมาคือ โครงการสารจาก ส.ป.ก. ถึง เกษตรกรในผืนดินพระราชทาน เป็นการจัดทำสื่อประชาสัมพันธ์ถึงเกษตรกรในที่ดินพระราชทาน 3,423 ครอบครัว ในจังหวัดฉะเชิงเทรา นครนายก นครปฐม ปทุมธานี และพระนครศรีอยุธยา เพื่อสร้างการรับรู้ ถึงพระมหากรุณาธิคุณของสถาบันพระมหากษัตริย์ด้านการปฏิรูปที่ดิน และสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนในการคุ้มครองที่ดิน ส.ป.ก. โดยน้อมนำพระบรมราโชบายการปฏิรูปที่ดิน 9 ข้อ ที่จะพัฒนาพื้นที่ พัฒนาอาชีพ ความรู้ ให้แก่เกษตรกรให้สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ อยู่ดี และมีความสุขในที่ดิน ส.ป.ก. ไว้สืบต่อไปชั่วลูกชั่วหลาน” 

นอกจากนั้น ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Covid – 19) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ให้ความสำคัญกับการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าว ส.ป.ก. ได้ตอบรับนโยบายโดยจัดทำ โครงการปลูกผักสวนครัวระยะสั้นสู้วิกฤติโควิด – 19 งบประมาณทั้งสิ้น 1,702,910 บาท 

เพื่อช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกรในพื้นที่โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ 29 จังหวัด 1,507 ราย เพื่อลดผลกระทบจากสถานการณ์โควิด – 19 โดยน้อมนำแนวปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงด้วยการปลูกผักสวนครัว ให้เกษตรกรมีอาหารบริโภคเพียงพอ ช่วยลดค่าใช้จ่ายในครัวเรือน มีเหลือแบ่งปันภายในชุมชน และจำหน่ายสร้างรายได้ให้แก่ครอบครัว

โดยสนับสนุนปัจจัยการผลิต เมล็ดพันธุ์พืชผักสวนครัวพันธุ์ดี ที่มีอายุสั้น สามารถเก็บเกี่ยวให้ผลผลิตได้ภายในระยะสั้น ได้แก่ ผักบุ้ง ผักกาด คะน้า กวางตุ้ง ถั่วฝักยาว แตงกวา พริกขี้หนู เป็นต้น 

“ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID – 19 ) ที่แพร่ระบาดกระจายหลายพื้นที่ แต่เรายังคงแสดงออกถึงความจงรัก ภักดี และสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ได้ตลอดเวลาครับ” เลขาธิการ ส.ป.ก. กล่าวทิ้งท้าย

6 ฐานเรียนรู้ ที่ธนาคารอาหารชุมชน “เกษตรวิชญา” #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

https://www.komchadluek.net/news/agricultural/476264

6 ฐานเรียนรู้ ที่ธนาคารอาหารชุมชน”เกษตรวิชญา”

28 กรกฎาคม 2564 – 08:57 น.

6 ฐานเรียนรู้ ที่ธนาคารอาหารชุมชน “เกษตรวิชญา” สืบสานพัฒนาตามพระราชดำริ “ในหลวงรัชกาลที่ 10” เพื่อสุขแห่งพสกนิกร

ภายในพื้นที่ 123 ไร่ ของโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ“เกษตรวิชญา” บ้านกองแหะ หมู่ที่ 4 ต.โป่งแยง อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ คือ พื้นที่ดำเนินการภายใต้โครงการ ธนาคารอาหารชุมชน ที่มีสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมหรือ ส.ป.ก. เป็นหน่วยงานหลักในการบริหารจัดการ มาตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2546

ถือเป็นอีกหนึ่งการทำงานเพื่อสนองพระราชดำริแห่งการพัฒนาของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่วันนี้ได้ประสบความสำเร็จ สามารถสร้างประโยชน์ให้กับประชาชนได้ตามวัตถุประสงค์

6 ฐานเรียนรู้ ที่ธนาคารอาหารชุมชน"เกษตรวิชญา"

ดร.วิณะโรจน์ ทรัพย์ส่งสุข เลขาธิการ ส.ป.ก.

ดร.วิณะโรจน์ ทรัพย์ส่งสุข เลขาธิการ ส.ป.ก. กล่าวว่า ด้วยน้ำพระราชหฤทัยที่ทรงรักและห่วงใยในความเป็นอยู่ของพสกนิกร รวมทั้งสภาพแวดล้อมที่เสื่อมโทรมที่เกิดขึ้นในพื้นที่แห่งนี้

พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว  จึงทรงพระราชทานที่ดินส่วนพระองค์บริเวณบ้านกองแหะจำนวน 1,350 ไร่ให้กับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อจัดทำเป็นศูนย์ฝึกอบรม และวิจัยพัฒนาการเกษตรให้เหมาะสมกับพื้นที่

6 ฐานเรียนรู้ ที่ธนาคารอาหารชุมชน"เกษตรวิชญา"

มัคคุเทศน์น้อยจากโรงเรียนบ้านกองแหะ พร้อมนำเยี่ยมฐานเรียนรู้

รวมทั้งการฟื้นฟูและอนุรักษ์สภาพแวดล้อมให้เกิดระบบนิเวศที่สมบูรณ์เป็นแหล่งผลิตอาหารธรรมชาติและมีการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน

6 ฐานเรียนรู้ ที่ธนาคารอาหารชุมชน"เกษตรวิชญา"

เรียนรู้ท่ามกลางธรรมชาติของธนาคารอาหารชุมชนกับฐานการเรียนรู้ของ ส.ป.ก.

อีกทั้งยังทรงมีพระมหากรุณาธิคุณ ฯ พระราชทานชื่อศูนย์แห่งนี้ว่า”เกษตรวิชญา”ที่แปลว่า ปราชญ์แห่งการเกษตร

“จากที่พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีประราชปณิธานที่มุ่งมั่นในการสืบสาน รักษาและต่อยอดโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร

6 ฐานเรียนรู้ ที่ธนาคารอาหารชุมชน"เกษตรวิชญา"

ส.ป.ก.จึงได้น้อมนำแนวพระราชดำริต่าง ๆ มาใช้เป็นหลักในการดำเนินงานและถ่ายทอดเป็นองค์ความรู้ไปสู่ผู้สนใจทั้งเกษตรกรในพื้นที่เขตปฏิรูปที่ดินและประชาชนจากจังหวัดต่าง ๆ  ด้วยการพัฒนาพื้นที่ของธนาคารอาหารชุมชนให้เป็นฐานการเรียนรู้ทั้งเพื่อการอนุรักษ์ฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและการสร้างแหล่งอาหาร จำนวน 6 ฐานเรียนรู้” ดร.วิณะโรจน์ กล่าว

6 ฐานเรียนรู้ ที่ธนาคารอาหารชุมชน"เกษตรวิชญา"

  พืชหัวในฐานการเรียนรู้“ธนาคารพืชหัว คู่ครัววิถีไทย”

สำหรับฐานเรียนรู้ทั้ง 6 ฐานภายในธนาคารอาหารชุมชนที่มีระยะทางกว่า 1.5 กิโลเมตรนั้น ประกอบด้วย

6 ฐานเรียนรู้ ที่ธนาคารอาหารชุมชน"เกษตรวิชญา"

ฐานการเรียนรู้ที่ 1 “รักษ์ไม้พื้นบ้าน สืบสานพระราชปณิธาน” โดย ดร.วิณะโรจน์ กล่าวว่า ด้วยมีเป้าหมายเพื่อให้ประชาชนตระหนักรู้คุณค่าจากการได้ใช้ประโยชน์จากป่าที่ปลูกอย่างยั่งยืน ฐานการเรียนรู้นี้ เป็นฐานที่รวบรวมพันธุ์ไม้ 3 อย่างในพื้นที่เพื่ออนุรักษ์และสืบสานพันธุ์ไม้พื้นถิ่นโดยการรวบรวมชื่อพันธุ์ไม้ในพื้นที่ลักษณะไม้ 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง

“ทั้งนี้ด้วยพระปรีชาญาณของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงแนะนำการปลูกป่าเชิงผสมผสานด้านเกษตรวนศาสตร์และเศรษฐกิจสังคม ซึ่งเป็นวิธีปลูกป่าแบบเบ็ดเสร็จ การปลูกไม้ 3 อย่าง ได้แก่ 1) ไม้ใช้สอยและไม้เศรษฐกิจ 2) ไม้อาหารหรือไม้กินได้ 3) ไม้ฟืนเชื้อเพลิง

ประโยชน์ 4 อย่าง ได้แก่ 1) ไม้เศรษฐกิจปลูกไว้สร้างที่อยู่อาศัย ใช้สอยโดยตรงและจำหน่าย 2) ปลูกพืชเกษตรเพื่อการกินและสมุนไพร 3) ปลูกไม้เป็นพลังงาน เช่น ไม้ฟืน และไม้ไผ่ เป็นต้น  และ 4) ประโยชน์ต่อระบบนิเวศน์ช่วยอนุรักษ์ดินและต้นน้ำลำธาร สร้างความสมบูรณ์และก่อให้เกิดความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่ป่า

เลขาธิการ ส.ป.ก. ยังได้ให้ข้อแนะนำเพิ่มเติมอีกว่า สำหรับชนิดพันธุ์ไม้ที่เหมาะสมแก่การใช้ปลูกนั้น ขอให้เน้นพันธุ์ไม้พื้นถิ่นเพราะเจริญติบโตได้ดีเหมาะสมกับสภาพพื้นที่และเป็นที่รู้จักของประชาชนในท้องถิ่นเป็นอย่างดี  

ขณะที่วิธีการปลูกให้ปลูกเสริมในลักษณะธรรมชาติ ไม่จับต้นไม้เข้าแถวเพราะเมื่อต้นไม้โตขึ้นจะมีสภาพเป็นป่าตามธรรมชาติ

ฐานการเรียนรู้ที่ 2 “บริหารจัดการน้ำ ตามศาสตร์พระราชา” เลขาธิการ ส.ป.ก. ชี้แจงว่า ฐานการเรียนรู้นี้ ได้นำเสนอเกี่ยวกับระบบ “ประปาภูเขา” เป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นเพื่อการจัดการทรัพยากรน้ำในพื้นที่โครงการเกษตรวิชญา ซึ่งสามารถกักเก็บและนำน้ำไปใช้ประโยชน์ผ่านระบบท่อส่งน้ำ กระจายครอบคลุมพื้นที่โครงการ

อีกทั้งการสร้างความตระหนักถึงการใช้น้ำอย่างรู้คุณค่าแก่เกษตรกรและชุมชน ส่งผลให้พื้นที่ป่าได้รับการอนุรักษ์ ฟื้นฟูระบบนิเวศและชุมชนมีน้ำใช้อย่างเพียงพอตลอดทั้งปี มีแหล่งอาหารธรรมชาติสร้างสมดุล ให้คนอยู่ร่วมกับป่าอย่างยั่งยืน

ฐานการเรียนรู้ที่ 3 “ต่อยอดพฤกษ์พนา คุณค่าพันธุ์ไผ่” โดยมีการให้ความรู้เกี่ยวกับ ไผ่ พืชเมืองร้อน แต่ก็สามารถเจริญเติบโตได้ในทุกทวีป ซึ่งดร.วิณะโรจน์ กล่าวว่า ประเทศไทยสำรวจพบไผ่มากกว่า 72 ชนิด กระจายตามภูมิภาคต่าง ๆ

และในพื้นที่ธนาคารอาหารชุมชน“เกษตรวิชญา” พบไผ่ถึง 8 ชนิด คือ ไผ่หวาน ไผ่หก ไผ่ขาง ไผ่ไร่ ไผ่รวก ไผ่เลี้ยง ไผ่บง ไผ่ข้าวหลาม วันนี้ชาวบ้านกองแหะ สามารถใช้ประโยชน์จากไผ่ โดยนำมาใช้เป็นอาหาร สร้างที่อยู่อาศัย เครื่องมือเครื่องใช้ต่าง ๆ เป็นแหล่งเรียนรู้ รวมถึงการสร้างรายได้ 

ฐานการเรียนรู้ที่ 4 “สมุนไพรถิ่นไทย ประโยชน์มากหลากหลาย” ที่เน้นการถ่ายทอดองค์ความรู้เกี่ยวกับพืชสมุนไพรพื้นบ้านซึ่งในพื้นที่ธนาคารอาหารชุมชน “เกษตรวิชญา” มีสมุนไพรพื้นบ้านอยู่มากทั้งสมุนไพรประเภทต้น เช่น กระท้อน ขนุน ขี้เหล็ก ขลู่ แคป่า สมุนไพรประเภทเถา-เครือ เช่น มะระขี้นก พริกไทย

สมุนไพรประเภทผัก เช่น กะเพรา ผักแพว พริกขี้หนู ชะอม ผักกูด สมุนไพรหญ้า เช่น ขลู่ หญ้าแฝก และสมุนไพรประเภทหัว-เหง้า เช่น กระเทียม กระชาย กลอย ขมิ้นชัน ขิง ข่า ไพล

ฐานการเรียนรู้ที่ 5 “ชะลอน้ำด้วยฝาย สราญใจถ้วนทั่ว” โดยในพื้นที่ธนาคารอาหารชุมชน ส.ป.ก.ได้มีการจัดสร้างฝายขึ้นเพื่อให้เกิดการเรียนรู้จากของจริง โดยการสร้างฝายกั้นน้ำนั้น ส่วนใหญ่จะถูกสร้างบริเวณลำห้วย ลำธารขนาดเล็กในช่วงต้นน้ำช่วยคงความชุ่มชื้นได้เป็นเวลานาน สามารถเก็บกักน้ำไว้ใช้ในช่วงฤดูแล้งได้เป็นอย่างดี

แถมยังช่วยเก็บกักตะกอนได้อีกด้วย สร้างประโยชน์ต่อสิ่งมีชีวิตในพื้นที่มากมาย เช่น แมลง สัตว์ป่า พืชพันธุ์นานาชนิด ทำให้เกิดความหลากหลายทางชีวภาพ

ฐานการเรียนรู้ที่ 6 “ธนาคารพืชหัว คู่ครัววิถีไทย” เป็นการนำเสนอความรู้ที่เกี่ยวกับพืชหัว เพื่อให้ทราบถึงชนิดของพืชหัว เช่น ชนิดของพืชหัว แบ่งออกเป็น พืชหัวที่เกิดจากกาบใบ  เช่นหอมหัวแดง หอมหัวใหญ่ กระเทียม ใช้รับประทานเป็นผักและเป็นพืชสมุนไพร หัวที่เกิดจากเหง้า เช่น แห้ว และหัวที่เกิดจากราก  เช่น มันสำปะหลัง มันแกว เป็นต้น

ในวันนี้ ธนาคารอาหารชุมชน “เกษตรวิชญา” จึงเป็นทั้งแหล่งอาหารของคนในพื้นที่ และแหล่งความรู้ที่เปิดกว้างให้ทุกคนได้เข้ามาศึกษาเรียนรู้ผ่านฐานเรียนรู้ที่ ส.ป.ก.ได้ดำเนินการจัดทำขึ้น เพื่อนำไปสู่ชีวิตที่ดีขึ้นตามพระราชดำริของในหลวงรัชกาลที่ 10 ที่ทรงมุ่งเน้นการบำบัดทุกข์ บำรุงสุขให้แก่พสกนิกรของพระองค์ และพัฒนาประเทศให้เจริญก้าวหน้า มั่นคง ตลอดไป

“น้ำผึ้งเดือนห้า” จากป่าชายเลน สุดยอดผลิตภัณฑ์แปลงใหญ่ “ผึ้งบ้านไหนหนัง” กระบี่ #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

https://www.komchadluek.net/news/agricultural/476162

“น้ำผึ้งเดือนห้า”จากป่าชายเลน สุดยอดผลิตภัณฑ์แปลงใหญ่”ผึ้งบ้านไหนหนัง” กระบี่  

27 กรกฎาคม 2564 – 14:12 น.

“น้ำผึ้งเดือนห้า”จากป่าชายเลน สุดยอดผลิตภัณฑ์แปลงใหญ่”ผึ้งบ้านไหนหนัง” จังหวัดกระบี่  


“ผึ้ง”เป็นแมลงมหัศจรรย์ทั้งในเรื่องการช่วยผสมเกสรเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตของพืชและคุณประโยชน์ของผลิตภัณฑ์จากผึ้งที่เป็นอาหารเพื่อสุขภาพ

ช่วงเวลาที่ผ่านมา”ผึ้ง”จำนวนมากตายเพราะสารเคมีกำจัดแมลงศัตรูพืช ผนวกกับจำนวนพื้นที่ป่าลดลง กรมส่งเสริมการเกษตรได้ส่งเสริมให้เกษตรกรรวมกลุ่มเลี้ยงผึ้งในรูปแบบแปลงใหญ่ ร่วมกันปกป้องผึ้ง

"น้ำผึ้งเดือนห้า"จากป่าชายเลน สุดยอดผลิตภัณฑ์แปลงใหญ่"ผึ้งบ้านไหนหนัง" กระบี่  
"น้ำผึ้งเดือนห้า"จากป่าชายเลน สุดยอดผลิตภัณฑ์แปลงใหญ่"ผึ้งบ้านไหนหนัง" กระบี่  

นายสุพิท จิตรภักดี ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมและพัฒนาการเกษตรที่ 5 จังหวัดสงขลา เปิดเผยว่าปัจจุบันทั่วประเทศมีแปลงใหญ่ผึ้งจำนวน 76 แปลง แยกเป็นผึ้งพันธุ์ 9 แปลง และผึ้งโพรง 67 แปลง ในภาคใต้เองมีแปลงใหญ่ผึ้งมากถึง 62 แปลง เป็นแปลงใหญ่ผึ้งโพรงทั้งหมด กระจายอยู่ในจังหวัดต่างๆ รวม 10 จังหวัด

"น้ำผึ้งเดือนห้า"จากป่าชายเลน สุดยอดผลิตภัณฑ์แปลงใหญ่"ผึ้งบ้านไหนหนัง" กระบี่  

ตัวอย่างแปลงใหญ่ผึ้งบ้านไหนหนัง ตำบลเขาคราม อำเภอเมืองกระบี่ จังหวัดกระบี่ เป็นกลุ่มที่เข้มแข็ง และกิจกรรมสอดคล้องกับวิถีชีวิตของชุมชน แต่เดิมนั้นเกิดจากการรวมกลุ่มของเกษตรกรที่ต้องการอนุรักษ์ทรัพยากรชายฝั่ง โดยมีป่าชายเลนที่ต้องดูแลประมาณ 3,500 ไร่

และเห็นว่าการเลี้ยงผึ้งโพรงก็ต้องอาศัยความอุดมสมบูรณ์ของป่าเป็นแหล่งอาหาร จึงได้ทำกิจกรรมเลี้ยงผึ้งโพรงขึ้น โดยได้รับความร่วมมือจาก MAP ซึ่งเป็นองค์กรเอกชนระหว่างประเทศที่ดูแลสนับสนุนกลุ่มอนุรักษ์ป่าชายเลน และยังให้การสนับสนุนกิจกรรมอื่น ๆ ของกลุ่มด้วย

"น้ำผึ้งเดือนห้า"จากป่าชายเลน สุดยอดผลิตภัณฑ์แปลงใหญ่"ผึ้งบ้านไหนหนัง" กระบี่  

ต่อมาในปี 2557 กลุ่มมีความเข้มแข็งมากขึ้น จึงได้จดทะเบียนวิสาหกิจชุมชนในชื่อ “วิสาหกิจชุมชนเลี้ยงผึ้งบ้านไหนหนัง” สร้างรายได้จากการจำหน่ายน้ำผึ้งได้พอสมควร ในปี 2562 สำนักงานเกษตรอำเภอเมืองกระบี่ได้ส่งเสริมให้ตั้งเป็นแปลงใหญ่ 

"น้ำผึ้งเดือนห้า"จากป่าชายเลน สุดยอดผลิตภัณฑ์แปลงใหญ่"ผึ้งบ้านไหนหนัง" กระบี่  

มีสมาชิก 31 ราย ผึ้งจำนวน 800 ลัง ปีนี้เป็นปีที่ 3 มีการพัฒนาทั้ง 5 ด้านของแปลงใหญ่ โดยลดต้นทุนและเพิ่มผลผลิตได้ 25% พัฒนาคุณภาพเข้าสู่การรับรองมาตรฐาน อย. มีเครือข่ายตลาดรองรับแน่นอน บริหารจัดการกลุ่มโดยเกื้อกูลธรรมชาติและวิถีชุมชน และส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงเกษตรเป็นการต่อยอดความยั่งยืนของกลุ่ม 

นายสุธีร์ ปานขวัญ ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนเลี้ยงผึ้งโพรงบ้านไหนหนัง กล่าวว่า การเลี้ยงผึ้งโพรงของกลุ่มแปลกแหวกแนวไม่เหมือนใคร ใช้วิธีการล่อผึ้งโพรงป่าตามธรรมชาติให้เข้ามาอยู่ในรังที่เตรียมไว้ แล้วปล่อยให้ผึ้งหากินเองแบบธรรมชาติ เหมือนกับอยู่ในป่า ทำให้ได้น้ำผึ้งคุณภาพดี มีสรรพคุณทางยาเหมือนเก็บจากในป่า

และที่สำคัญเป็นการอนุรักษ์พันธุ์ผึ้งโพรงไปในตัวด้วย การเลี้ยงผึ้ง 1 รัง สามารถเก็บน้ำผึ้งได้กว่า 10 ขวด ขายขวดละ 400-500 บาท ได้เงินราว 4,000-5,000 บาท/ปี ครั้งแรกที่ลงทุนทำรังผึ้งใช้งบประมาณเพียง 400-500 บาทเท่านั้น

หลังจากนั้น ปีถัดไปก็ไม่มีต้นทุนเลยได้กำไรล้วน ๆ เพราะไม่ต้องไปให้อาหาร ไม่ต้องดูแล แค่ป้องกันมด และตัวต่อไม่ให้รบกวน ผลผลิตจะจำหน่ายเป็นน้ำผึ้งสด 75% โดย 40% จำหน่ายให้กับโรงแรม มาริออสและโรงแรมในเครืออนันตรา (เกาะสมุย) โดยทำ MOU ร่วมกัน และอีก 60% จำหน่ายผ่านตลาดออนไลน์ ตลาดทั่วไปในประเทศและงานแสดงสินค้าผลผลิต 25% นำมาแปรรูปเป็น สบู่น้ำผึ้ง ยาสระผม ครีมนวด จำหน่ายขวดละ 50 บาท และขนมต่างๆ อมยิ้ม เป็นต้น

ด้านการพัฒนาคุณภาพ มีการผลิตน้ำผึ้งคุณภาพและปลอดภัยตามมาตรฐานของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) น้ำผึ้งที่นี่มีคุณภาพสูงโดยเฉพาะน้ำผึ้งเดือนห้าจากป่าชายเลน ซึ่งเป็นแหล่งอาหารเฉพาะ มีการเพิ่มพื้นที่ปลูกป่าชายเลนและไม้ดอก เพื่อเป็นแหล่งอาหารให้ผึ้ง และส่งเสริมการเลี้ยงชันโรง ทั้งนี้กลุ่มมีแผนสร้างโรงเรือนในการบรรจุน้ำผึ้ง โดยใช้งบประมาณ 300,000 บาท 

แต่ไม่ต้องการกู้เงินจากแหล่งทุนต่าง ๆ จึงจำเป็นต้องใช้เวลาในการระดมทุนในกลุ่มสมาชิกมีมติให้เก็บเงิน 20% ของรายได้จากการจำหน่ายผลผลิต เข้าสมทบให้กับกลุ่มโดยจัดสรรเป็น 2 ส่วน คือใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนของกลุ่ม 10% และใช้ในกิจกรรมอนุรักษ์ป่าชายเลน 10% และแปลงใหญ่ผึ้งโพรงบ้านไหนหนังยังเป็นเครือข่ายศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร (ศพก.) อำเภอเมืองกระบี่ โดยเป็น“ศูนย์เรียนรู้ด้านแมลงเศรษฐกิจ” มีเกษตรกรและบุคคลทั่วไปทั้งในและนอกจังหวัดกระบี่เข้ามาศึกษาเรียนรู้เป็นจำนวนมาก 

“กรมการข้าว” เร่งเพิ่มศักยภาพการผลิต “เมล็ดพันธุ์ข้าว” ให้เพียงพอ ตั้งเป้าผลิตให้ได้ 152,000 ตัน/ปี #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

https://www.komchadluek.net/news/agricultural/476151

“กรมการข้าว”เร่งเพิ่มศักยภาพการผลิต”เมล็ดพันธุ์ข้าว”ให้เพียงพอ ตั้งเป้าผลิตให้ได้ 152,000 ตัน/ปี 

27 กรกฎาคม 2564 – 12:45 น.

“กรมการข้าว”เร่งเพิ่มศักยภาพการผลิต”เมล็ดพันธุ์ข้าว”ให้เพียงพอ ตั้งเป้าผลิตให้ได้ 152,000 ตัน/ปี 

นายณัฏฐกิตติ์ ของทิพย์ รองอธิบดีกรมการข้าว เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่ยังคงระบาดต่อเนื่องและรุนแรงเป็นปีที่ 2 และยังไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าจะคลี่คลายลงเมื่อใด ได้ส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตและระบบเศรษฐกิจของประเทศอย่างหนักหน่วงและกว้างขวาง ซึ่งพี่น้องชาวนาไทยก็ได้รับผลกระทบจากวิกฤตการณ์ในครั้งนี้ด้วยเช่นกัน

กรมการข้าวจึงตระหนักต่อปัญหาที่พี่น้องชาวนากำลังเผชิญโดยฉพาะเรื่องของความต้องการเมล็ดพันธุ์ดีที่ยังไม่เพียงพอ

"กรมการข้าว"เร่งเพิ่มศักยภาพการผลิต"เมล็ดพันธุ์ข้าว"ให้เพียงพอ ตั้งเป้าผลิตให้ได้ 152,000 ตัน/ปี 

 นายณัฏฐกิตติ์ ของทิพย์ รองอธิบดีกรมการข้าว

โดยในปัจจุบันประเทศไทยมีพื้นที่ปลูกข้าวประมาณ 70 ล้านไร่ มีความต้องการใช้เมล็ดพันธุ์ข้าวพันธุ์ดีเพาะปลูกปีละประมาณ 1,364,800 ตัน

"กรมการข้าว"เร่งเพิ่มศักยภาพการผลิต"เมล็ดพันธุ์ข้าว"ให้เพียงพอ ตั้งเป้าผลิตให้ได้ 152,000 ตัน/ปี 

แต่ในขณะเดียวกันกรมการข้าว รวมไปถึงสหกรณ์การเกษตร ศูนย์ข้าวชุมชนและภาคเอกชนร่วมกันจะสามารถผลิตเมล็ดพันธุ์ดีได้ประมาณ 537,000 ตัน จำแนกเป็น กรมการข้าว 95,000 ตัน สหกรณ์การเกษตร 30,000 ตัน ศูนย์ข้าวชุมชน 112,000 ตัน และภาคเอกชน 300,000 ตันหรือประมาณ 40% ของปริมาณเมล็ดพันธุ์ดีต้องการใช้ในการยกระดับคุณภาพและปริมาณการผลิตข้าวของประเทศไทย

ถึงแม้ต่อมา”กรมการข้าว”จะได้รับงบประมาณเงินกู้เพื่อใช้ดำเนินการเพิ่มศักยภาพการผลิตและปรับปรุงเครื่องจักรอุปกรณ์ปรับปรุงสภาพเมล็ดพันธุ์ข้าวของศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวไป จนสามารถแก้ไขปัญหาการขาดแคลนเมล็ดพันธุ์ได้ส่วนหนึ่งจากเดิมที่เคยมีกำลังการผลิต 85,000–95,000 ตัน/ปี เป็น 120,000 ตัน/ปี

"กรมการข้าว"เร่งเพิ่มศักยภาพการผลิต"เมล็ดพันธุ์ข้าว"ให้เพียงพอ ตั้งเป้าผลิตให้ได้ 152,000 ตัน/ปี 

รองอธิบดีกรมการข้าว กล่าวต่อไปว่า เพื่อเป็นการเพิ่มศักยภาพการผลิตเมล็ดพันธุ์ดีให้ให้กับพี่น้องชาวนา กรมการข้าวจึงเสนอของบประมาณเพื่อดำเนินงานโครงการเพิ่มศักยภาพการผลิตและประสิทธิภาพการบริหารจัดการเมล็ดพันธุ์ข้าวขึ้นเพื่อรองรับเป้าหมายการผลิตเมื่อดำเนินการโครงการเดิมเสร็จสิ้น 120,000 ตัน/ปี และเพิ่มกำลังการผลิตอีก 32,000 ตัน/ปี รวมเป็น 152,000 ตัน/ปี

"กรมการข้าว"เร่งเพิ่มศักยภาพการผลิต"เมล็ดพันธุ์ข้าว"ให้เพียงพอ ตั้งเป้าผลิตให้ได้ 152,000 ตัน/ปี 

ซึ่งจะก่อให้เกิดอาชีพผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวให้กรมการข้าว จำนวน 4,400 ราย กระตุ้นการจ้างแรงงานภาคการเกษตรในชุมชน สนับสนุนและส่งเสริมการใช้เมล็ดพันธุ์ข้าวคุณภาพดีเข้าไปในระบบการผลิตและกระจายเมล็ดพันธุ์ ยกระดับ ปริมาณและคุณภาพผลผลิตข้าวของประเทศ

"กรมการข้าว"เร่งเพิ่มศักยภาพการผลิต"เมล็ดพันธุ์ข้าว"ให้เพียงพอ ตั้งเป้าผลิตให้ได้ 152,000 ตัน/ปี 

โดยมีเป้าหมายที่จะดำเนินการคือการเพิ่มศักยภาพโรงงานปรับปรุงสภาพเมล็ดพันธุ์โดยการจัดซื้อเครื่องจักรและอุปกรณ์ ปรับปรุงสภาพเมล็ดพันธุ์ข้าว เพื่อทดแทนของเดิมที่มีอายุการใช้งานมานานและประสิทธิภาพการทำงานต่ำ ไม่สอดคล้องกับความต้องการใช้เมล็ดพันธุ์ปัจจุบันจำนวน 9 ชุด

และจะเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการเมล็ดพันธุ์ข้าว โดยการก่อสร้างอาคารโรงเก็บเมล็ดพันธุ์ ปรับอากาศพร้อมครุภัณฑ์ประกอบ จำนวน 15 แห่ง สำหรับใช้เก็บรักษาเมล็ดพันธุ์ข้าวระยะยาวเพื่อรองรับสถานการณ์ฉุกเฉิน เช่น การเกิดโรคและศัตรูข้าวระบาด ภัยพิบัติทางธรรมชาติ การผันผวนของความต้องการ พันธุ์ข้าว ราคาข้าวเปลือก เศรษฐกิจครัวเรือนและสำรองไว้เพื่อความมั่นคงทางด้านอาหารของประเทศ

สำหรับแผนการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวที่ร่วมมือกันจากทุกภาคส่วน มีกระบวนการเริ่มจากกรมการข้าว โดยกองวิจัยและพัฒนาข้าวเป็นผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์คัดและเมล็ดพันธุ์หลัก กองเมล็ดพันธุ์ข้าวรับข้าวพันธุ์หลักจากกองวิจัยและพัฒนาข้าวมาผลิตเป็นเมล็ดพันธุ์ขยาย

และหลังจากนั้นสมาคมผู้รวบรวม ศูนย์ข้าวชุมชน สหกรณ์ เป็นผู้รับเมล็ดพันธุ์ขยายต่อไป ซึ่งหากพบความเสียหายของเมล็ดพันธุ์ข้าวผู้แทนจำหน่ายให้ชาวนา จะต้องแสดงหลักฐานบาร์โค้ดที่มาของเมล็ดพันธุ์ข้าวให้ชัดเจน เพื่อให้สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ รองอธิบดีกรมการข้าว กล่าว

ธนาคารอาหารชุมชน “เกษตรวิชญา” แหล่งอาหารและเครื่องใช้ ที่เบิกถอนได้ตลอดปี การพัฒนาตามพระราชดำริ เพื่อสุขแห่งพสกนิกร #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

https://www.komchadluek.net/news/agricultural/476134

ธนาคารอาหารชุมชน “เกษตรวิชญา”  แหล่งอาหารและเครื่องใช้ ที่เบิกถอนได้ตลอดปี  การพัฒนาตามพระราชดำริ เพื่อสุขแห่งพสกนิกร

27 กรกฎาคม 2564 – 11:09 น.

ธนาคารอาหารชุมชน “เกษตรวิชญา”  แหล่งอาหารและเครื่องใช้ ที่เบิกถอนได้ตลอดปี  การพัฒนาตามพระราชดำริ เพื่อสุขแห่งพสกนิกร

“เกษตรวิชญา”ที่หมายถึงปราชญ์แห่งการเกษตรคือชื่อของศูนย์เรียนรู้ด้านการเกษตร ตั้งอยู่ที่บ้านกองแหะ ตำบลโป่งแยง อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ เป็นหนึ่งในโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว

ที่วันนี้ได้ก่อเกิดประโยชน์อย่างมหาศาลแก่ประชาชนในพื้นที่ในการยกระดับคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นกว่าเมื่อครั้งในอดีต 

ธนาคารอาหารชุมชน "เกษตรวิชญา"  แหล่งอาหารและเครื่องใช้ ที่เบิกถอนได้ตลอดปี  การพัฒนาตามพระราชดำริ เพื่อสุขแห่งพสกนิกร

ปฐมบทแห่งการพัฒนาตามพระราชดำริเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2544 พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวในขณะนั้นทรงดำรงพระอิสริยยศสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ได้เสด็จพระราชดำเนินเป็นการส่วนพระองค์มายังพื้นที่บ้านกองแหะ

และทรงมีพระราชดำริให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสำรวจและวางแผนการใช้ที่ดิน รวมทั้งการพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อให้ได้แนวทางหรือวิธีการที่เหมาะสมต่อการเกษตรเลือกพืชปลูกให้เหมาะสม กำหนดแนวทางการใช้ประโยชน์ที่ดิน เพื่อการอนุรักษ์และใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน

ธนาคารอาหารชุมชน "เกษตรวิชญา"  แหล่งอาหารและเครื่องใช้ ที่เบิกถอนได้ตลอดปี  การพัฒนาตามพระราชดำริ เพื่อสุขแห่งพสกนิกร

จากความร่วมมือในการพัฒนาเพื่อสนองพระราชดำริโดยมีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นหนึ่งในหน่วยงานหลัก ได้ดำเนินการพัฒนาพื้นที่ในลักษณะของคลินิกเกษตรเพื่อเผยแพร่ผลงานวิจัยและเทคโนโลยีการเกษตรจากศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ในรูปแบบศูนย์บริการและถ่ายทอดเทคโนโลยีชุมชน เป็นศูนย์ฝึกอบรม และวิจัยพัฒนาการเกษตรให้เหมาะสมกับพื้นที่

รวมทั้งการฟื้นฟูและอนุรักษ์สภาพแวดล้อมให้เกิดระบบนิเวศที่สมบูรณ์ เป็นแหล่งผลิตอาหารธรรมชาติ และมีการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืนโดยในการนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้มอบหมายให้สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม(ส.ป.ก.)พัฒนาพื้นที่จำนวน 123 ไร่ ในปี พ.ศ. 2546  ภายใต้โครงการธนาคารอาหารชุมชน ตามวัตถุประสงค์ของโครงการเกษตรวิชญา 

ธนาคารอาหารชุมชน "เกษตรวิชญา"  แหล่งอาหารและเครื่องใช้ ที่เบิกถอนได้ตลอดปี  การพัฒนาตามพระราชดำริ เพื่อสุขแห่งพสกนิกร

ดร.วิณะโรจน์ ทรัพย์ส่งสุข เลขาธิการ ส.ป.ก. กล่าวว่า นับมาถึงวันนี้เป็นเวลารวม 18 ปี ที่ ส.ป.ก. ได้ดำเนินการพัฒนาโดยเน้นหลักของการมีส่วนร่วม

และในปี พ.ศ. 2561 ส.ป.ก. ได้ขับเคลื่อนงานในรูปแบบ4 ประสาน คือ ส.ป.ก. โดยสำนักงานการปฏิรูปที่ดินจังหวัดเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ โรงเรียนบ้านกองแหะและชุมชนบ้านกองแหะ ดำเนินงานสนองพระราชดำริด้วยความมุ่งมั่นและทุ่มเทในการดำเนินโครงการธนาคารอาหารชุมชน โดยน้อมนำแนวพระราชดำริของในหลวงรัชกาลที่ 9 มาเป็นหลักคิด

ธนาคารอาหารชุมชน "เกษตรวิชญา"  แหล่งอาหารและเครื่องใช้ ที่เบิกถอนได้ตลอดปี  การพัฒนาตามพระราชดำริ เพื่อสุขแห่งพสกนิกร

และแนวทางในการดำเนินการ เช่น การปลูกป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง คือ ไม้ใช้สอย ไม้กินได้ ไม้ผล พืชอาหาร และพืชสมุนไพร จนประสบความสำเร็จ สามารถสร้างประโยชน์ให้กับประชาชนในพื้นที่ได้ตามวัตถุประสงค์และเป้าหมายของโครงการเกษตรวิชญา

“นอกจากฟื้นฟูพืชพันธุ์ที่มีอยู่เดิม ส.ป.ก.ยังสนับสนุนองค์ความรู้และปัจจัยการผลิตต่าง ๆ เพื่อให้ราษฎรบ้านกองแหะได้มีการเพาะพันธุ์ไม้เศรษฐกิจต่าง ๆ เช่น ไผ่ สตรอเบอรี่ และอื่น ๆ เพิ่มเติม เพื่อเป็นการสร้างความหลากหลายในการผลิตทั้งเพื่อการบริโภคในครัวเรือนและการสร้างรายได้ ที่เน้นตามนโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในเรื่องของตลาดนำการผลิต” เลขาธิการ ส.ป.ก. กล่าว

จากความทุ่มเทดำเนินการวันนี้ ธนาคารอาหารชุมชน ได้ช่วยให้ราษฎรของบ้านกองแหะ มีแหล่งอาหารจากป่า มีวัตถุดิบจากธรรมชาติเพื่อนำมาใช้เป็นเครื่องมือใช้สอยประเภทต่าง ๆ ที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตและการประกอบอาชีพตลอดปี ทั้ง 12 เดือน 

“จากการดำเนินงานของ ส.ป.ก. ภายใต้โครงการธนาคารอาหารชุมชน ได้ช่วยให้เกษตรกรมีแหล่งอาหารทางธรรมชาติของชุมชน (Food Bank) และเกษตรกรได้เรียนรู้วิธีการใช้ประโยชน์จากพืชสมุนไพรในการรักษาโรคและบำรุงร่างกาย อีกทั้งเกษตรกรได้นำพันธุ์ไม้ พันธุ์พืชสมุนไพรในธนาคารอาหารชุมชน ไปขยายพันธุ์เพาะปลูกใช้ในครัวเรือนของตนเอง” ดร.วิณะโรจน์ กล่าว

ธนาคารอาหารชุมชน "เกษตรวิชญา"  แหล่งอาหารและเครื่องใช้ ที่เบิกถอนได้ตลอดปี  การพัฒนาตามพระราชดำริ เพื่อสุขแห่งพสกนิกร

สำหรับประโยชน์ที่เกิดขึ้นจากธนาคารอาหารชุมชนนั้น ดร.วิณะโรจน์ กล่าวโดยสรุปว่า ราษฎรบ้านกองแหะ สามารถใช้ประโยชน์จากพืชพันธุ์ไม้ที่เติบโตในพื้นที่โครงการ ประกอบด้วยไม้ไผ่ชนิดต่าง ๆ โดยในช่วงเดือนธันวาคมถึงกุมภาพันธ์ จะสามารถตัดไผ่ข้าวหลามมาใช้ประโยชน์เพื่อทำข้าวหลามไว้เพื่อการบริโภค

ขณะที่เดือนตุลาคมถึงเดือนกุมภาพันธ์ จะมีไผ่บงให้เก็บมาใช้ประโยชน์ในการจักตอกเพื่อการเกษตร ขณะที่ไผ่หวาน ไผ่ไร่ ไผ่ซาง และไผ่หก จะมีให้ใช้ประโยชน์กับภาคการเกษตรของราษฎรแต่ละคนได้ตลอดทั้งปี  

นอกจากนี้ยังมีแหล่งพลังงานเพื่อใช้ในครัวเรือนอันประกอบด้วยฟืนและกิ่งไม้แห้ง จะมีให้สามารถรวบรวมได้มากในช่วงเดือนมีนาคมถึงพฤษภาคมของทุกปี ราษฎรบ้านกองแหะจะนำมาใช้ประโยชน์เพื่อการหุงต้มในครัวเรือน

ด้านอาหารจากธนาคารอาหารชุมชน จะประกอบด้วยพืชพันธุ์ธรรมชาติที่หลากหลาย และที่สำคัญปลอดภัยจากสารเคมี ด้วยเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติตลอดทั้งปีทั้งพืชผัก และพืชสมุนไพรท้องถิ่น อาทิ ชะอม มะเขือพวง ผักเผ็ด ผักกูด หัวปลี รวมถึงสาหร่ายน้ำจืด หรือที่ภาษาถิ่นเรียกว่า เทาน้ำ เป็นต้น
แต่ที่เป็นของขึ้นชื่อ คือ หน่อไม้และเห็ดป่าชนิดต่าง ๆ ที่เป็นทั้งอาหารและรายได้ จะมีให้ราษฎรบ้านกองแหะได้เก็บมากในช่วงเดือนกันยายนถึงพฤศจิกายนของทุกปี และที่ขาดไม่ได้ถือเป็นอาหารยอดนิยม ปีหนึ่งมีช่วงเดียว คือ ช่วงเดือนกันยายนถึงพฤศจิกายน นั่นคือ หนอนไม้ไผ่หรือรถด่วน อาหารสุดอร่อยของหลาย ๆคน

นอกจากพืชผัก สมุนไพรแล้ว ผลไม้จากป่า นับเป็นอีกประโยชน์ที่เกิดขึ้น เพราะในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงตุลาคม จะสามารถเก็บผลไม้แสนอร่อยอย่าง มะเม่า มะไฟ มะแฟน คอแลน บริโภคได้ตามต้องการ ขณะที่เดือนพฤศจิกายนถึงเดือนมกราคม จะมีผลมะขามป้อมให้เก็บทานได้อีกชนิด

ความอุดมสมบูรณ์แห่งป่า ได้นำมาซึ่งความสมบูรณ์แห่งอาหาร คือความสำเร็จจากการพัฒนาตามโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ โดย ส.ป.ก. ภายใต้ ธนาคารอาหารชุมชน“เกษตรวิชญา” ที่นำมาซึ่งความสุขให้กับพสกนิกรในพื้นที่อย่างยั่งยืน

“กรมทรัพยากรน้ำบาดาล” เปิดบันได 3 ขั้นสู่ “แปลงใหญ่” ใช้น้ำเพื่อการเกษตรยั่งยืน #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

https://www.komchadluek.net/news/agricultural/476009

“กรมทรัพยากรน้ำบาดาล”เปิดบันได3ขั้น สู่”แปลงใหญ่”ใช้น้ำเพื่อการเกษตรยั่งยืน

26 กรกฎาคม 2564 – 11:16 น.

“ที่ปรึกษาอธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาล” เผยเตรียมเดินหน้าต่อยอด”แปลงใหญ่น้ำบาดาล” เพื่อการเกษตรปีที่2 อีก 17 แห่งทั่วประเทศ หลังนำร่องโครงการต้นแบบ 6 แห่งในปีแรกพร้อมไต่บันได 3 ขั้นเพื่อก้าวสู่การใช้น้ำบาดาลเพื่อการเกษตรอย่างยั่งยืน

รศ.ดร.วิโรจ อิ่มพิทักษ์ ที่ปรึกษาอธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาล กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกล่าวในรายการ”เกษตรวาไรตี้” ในหัวข้อ”เจาะลึกน้ำบาดาลกับโมเดลสู่ความยั่งยืน” ออกอากาศทางสถานีวิทยุ ม.ก.

โดยระบุว่าผลกระทบจากภาวะโลกร้อนในปัจจุบันทำให้สภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงไปเป็นสาเหตุสำคัญทำให้เกิดวิกฤติภัยแล้ง ฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล ส่งผลทำให้ผลผลิตภาคการเกษตรเสียหายหรือไม่ได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย 

"กรมทรัพยากรน้ำบาดาล"เปิดบันได3ขั้น สู่"แปลงใหญ่"ใช้น้ำเพื่อการเกษตรยั่งยืน

รศ.ดร.วิโรจ อิ่มพิทักษ์ ที่ปรึกษาอธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาล

"กรมทรัพยากรน้ำบาดาล"เปิดบันได3ขั้น สู่"แปลงใหญ่"ใช้น้ำเพื่อการเกษตรยั่งยืน

“น้ำบาดาล”จึงเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่มนุษย์โลกควรจะนำขึ้นมาใช้ให้เกิดประโยชน์สุงสุด

จากข้อมูลกรมทรัพยากรน้ำบาดาลระบุปริมาณน้ำบนผิวโลก ปรากฎว่าในน้ำ 100% นั้นเป็นน้ำเค็มในมหาสมุทรถึง 97% มีน้ำจืดเพียง 3% เท่านั้น ซึ่งประกอบด้วย น้ำผิวดินและน้ำใต้ดินหรือที่เรียกว่าน้ำบาดาล   

รศ.ดร.วิโรจแจงรายละเอียดต่อว่า ในขณะนี้ประเทศไทยมีน้ำบาดาลสำรองอยู่ประมาณ 1,137,713 ล้านลูกบาศก์เมตรและสามารถนำชึ้นมาใช้ได้เพียง 45,386 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี ขณะที่ปริมาณที่นำขึ้นมาใช้จริงนั้นในปัจจุบันมีแค่ 14,741 ล้านลูกบาศก์เมตรเท่านั้น เพราะฉะนั้นปริมาณน้ำบาดาลยังมีอีกเหลือเฟือที่พร้อมนำขึ้นมาใช้ประโยชน์ โดยเฉพาะในภาคการเกษตร 

"กรมทรัพยากรน้ำบาดาล"เปิดบันได3ขั้น สู่"แปลงใหญ่"ใช้น้ำเพื่อการเกษตรยั่งยืน

 “เพราะนั้นมีความชัดเจนว่าน้ำบาดาลนับวันมีความสำคัญต่อคนไทยมากยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ แน่นอนว่าน้ำที่เอาขึ้นมาย่อมใช้ต้นทุนสูงกว่าน้ำผิวดิน ฉะนั้นเราจะทำอย่างไรให้การบริหารจัดการน้ำเกิดประโยชน์คุ้มค่าสูงสุดและมั่นคงยั่งยืน” 

ที่ปรึกษาอธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาล ยอมรับว่า ที่ผ่านมาภารกิจกรมทรัพยากรน้ำบาดาลเพียงแค่นำน้ำขึ้นมาจากใต้ดินก็จบ แต่ความจริงไม่ใช่เพราะจะต้องมีการเชื่อมโยงภาคีเครือข่ายต่อยอดการใช้น้ำ โดยการบูรณาการจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อให้น้ำทุกหยดที่นำขึ้นมาใช้ประโยชน์อย่างสูงสุด ซึ่งที่ผ่านมากรมทรัพยากรน้ำบาดาลได้ดำเนินการเพียงแค่บันไดขั้นแรกเท่านั้นคือการสูบน้ำขึ้นมาจากใต้ดิน  

"กรมทรัพยากรน้ำบาดาล"เปิดบันได3ขั้น สู่"แปลงใหญ่"ใช้น้ำเพื่อการเกษตรยั่งยืน

“ที่ผ่านมากรมทรัพยากรน้ำบาดาลนำน้ำขึ้นมาถือว่าภารกิจจบ แต่ความจริงมันยังไม่จบ มันต้องบริหารจัดการกระจายน้ำต่อไปโดยร่วมกับภาคีเครือข่ายแล้วก็ต้องขึ้นอยู่กับภูมิสังคมบริเวณนั้นด้วยว่าปลูกพืชอะไร พืชชนิดใด ทำการเกษตรแบบไหน มีระบบกระจายน้ำเป็นอย่างไรให้เป็นไปตามต้องการของเกษตรกร” 

 รศ.ดร.วิโรจ ยังกล่าวต่อไปว่า หลังจากที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้มีโครงการแปลงใหญ่น้ำบาดาลเพื่อการเกษตร โดยกรมทรัพยากรน้ำบาดาลเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับองค์กรภาคีเครือข่ายทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันการศึกษาและธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร(ธ.ก.ส.เข้ามาร่วมกันจัดทำโครงการนำร่องต้นแบบ )

"กรมทรัพยากรน้ำบาดาล"เปิดบันได3ขั้น สู่"แปลงใหญ่"ใช้น้ำเพื่อการเกษตรยั่งยืน

ซึ่งปัจจุบันได้ดำเนินการไปแล้ว 6 แห่ง ได้แก่ กาญจนบุรี ลำพูน เพชรบูรณ์ ยโสธร เลยและสระแก้ว ปรากฎว่ามีเกษตรกรได้รับประโยชน์มากกว่า 300 รายมีพื้นที่ได้รับประโยชน์มากกว่า 3,000 ไร่ และมีปริมาณการใช้น้ำรวม 657,000 ลูกบาศก์เมตร ซึ่งเป็นไปตามนโยบายรัฐบาลที่ส่งเสริมให้เกษตรกรรวมกลุ่มเพื่อการทำเกษตรแปลงใหญ่และขณะนี้กำลังดำเนินการต่อยอดโครงการปีที่สองอีก 17 แห่งเพื่อให้ครอบคลุมพื้นที่การเกษตรของประเทศมากขึ้น

ที่ปรึกษาอธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาล ยังกล่าวถึงบันได 3 ขั้นโครงการแปลงใหญ่น้ำบาดาลเพื่อการเกษตร โดยขั้นแรกเป็นภารกิจของกรมทรัพยากรน้ำบาดาลที่ต้องนำน้ำขึ้นมาจากใต้ดิน จากนั้นไปสู่ขั้นที่สองมีการกระจายน้ำไปสู่แปลงปลูก

แต่เพื่อให้เกิดความคุ้มค่าและยั่งยืนโดยมีการตั้งกลุ่มผู้ใช้น้ำพร้อมปรับเปลี่ยนผู้ใช้น้ำเป็นผู้ผลิตร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เช่น อบต.เทศบาล ตลอดจนสถาบันการศึกษาที่จะเข้ามาร่วมบริหารจัดการน้ำและดูแลพัฒนาผลผลิตให้มีคุณภาพ เพื่อก้าวไปสู่บันไดขั้นที่สาม คือ การหาตลาดรองรับ 

“หลังจากที่ได้เข้ามาเป็นที่ปรึกษาโครงการเกษตรกรแปลงใหญ่น้ำเพื่อการเกษตรของกระทรวงทรัพย์ฯในปีแรกก็ได้ทำโครงการนำร่องต้นแบบขึ้น 6 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการประเมินผลโครงการและกำลังต่อยอดปีที่สองอีก 17แห่งตามภูมิสังคมที่ไม่เหมือนกันทั้งชนิดพืชที่ปลูกและสภาพน้ำจะต้องไปด้วยกัน อันนี้ก็เป็นหน้าที่ของกรมทรัพยากรน้ำบาดาลร่วมกับพี่น้องเกษตรกรในพื้นที่และภาคีเครือข่ายที่มาร่วมกันขับเคลื่อนเพื่อให้เกิดการใช้น้ำอย่างคุ้มค่าและยั่งยืน”รศ.ดร.วิโรจ ย้ำทิ้งท้าย  

“แปลงใหญ่ปาล์มน้ำมัน” ตำบลสมอทอง ปลื้ม รัฐช่วย “3 ล้าน” ยกระดับประสิทธิภาพการผลิต #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

https://www.komchadluek.net/news/agricultural/475944

“แปลงใหญ่ปาล์มน้ำมัน”ตำบลสมอทอง ปลื้ม รัฐช่วย” 3 ล้าน” ยกระดับประสิทธิภาพการผลิต

25 กรกฎาคม 2564 – 18:48 น.

“แปลงใหญ่ปาล์มน้ำมัน”ตำบลสมอทองปลื้ม รัฐช่วย “3 ล้าน” ยกระดับประสิทธิภาพการผลิต ลดต้นทุนการผลิตโดยการใช้ปุ๋ยตามค่าวิเคราะห์ดิน ผสมปุ๋ยและผลิตปุ๋ยหมักใช้เองและเพิ่มผลผลิตโดยติดตั้งระบบน้ำในแปลง

นายสุพิท จิตรภักดี ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมและพัฒนาการเกษตรที่ 5 จังหวัดสงขลา กล่าวว่า กรมส่งเสริมการเกษตร ได้รับมอบหมายจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในการจัดทำโครงการยกระดับแปลงใหญ่ด้วยเกษตรสมัยใหม่และเชื่อมโยงตลาดตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 15 ก.ย.63

"แปลงใหญ่ปาล์มน้ำมัน"ตำบลสมอทอง ปลื้ม รัฐช่วย" 3 ล้าน" ยกระดับประสิทธิภาพการผลิต

ภายใต้แผนงานหรือโครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพื่อให้เกษตรกรมีการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่มีความหลากหลาย มาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาศักยภาพความเข้มแข็งในการบริหารจัดการแปลงใหญ่ โดยใช้เทคโนโลยีนวัตกรรมสมัยใหม่ ต่อยอดด้านคุณภาพมาตรฐาน แปรรูปสร้างมูลค่าเพิ่มและเชื่อมโยงการตลาด การลดต้นทุนการผลิต รายได้เพิ่มขึ้นอย่างยั่งยืน

"แปลงใหญ่ปาล์มน้ำมัน"ตำบลสมอทอง ปลื้ม รัฐช่วย" 3 ล้าน" ยกระดับประสิทธิภาพการผลิต
"แปลงใหญ่ปาล์มน้ำมัน"ตำบลสมอทอง ปลื้ม รัฐช่วย" 3 ล้าน" ยกระดับประสิทธิภาพการผลิต

ในส่วนของภาคใต้มี 13 จังหวัดที่เข้าร่วมโครงการ(ยกเว้นจังหวัดภูเก็ต) แปลงใหญ่ด้านพืชในการดูแลของกรมส่งเสริมการเกษตร(ยกเว้นข้าว) เข้าร่วมโครงการ จำนวน 123 แปลง ขณะนี้สำนักงานเกษตรจังหวัดได้โอนเงินให้กลุ่มแปลงใหญ่ไปดำเนินงานตามแผนแล้วทุกกลุ่ม รวมจำนวน 336,923,517 บาท โดยได้เร่งรัดให้ทุกจังหวัดเบิกจ่ายเงินให้ทันตามกำหนดภายในวันที่ 30 กันยายน 2564 และให้เจ้าหน้าที่ติดตามแนะนำกลุ่มให้ปฏิบัติตามคู่มืออย่างเคร่งครัด

นายอาทิตย์ ธรรมโสภณ ประธานแปลงใหญ่ปาล์มน้ำมันตำบลสมอทอง อำเภอท่าชนะ จังหวัดสุราษฎร์ธานี เปิดเผยว่า กลุ่มของตนเองได้สมัครเข้าร่วมโครงการฯและได้รับงบประมาณสนับสนุนจากภาครัฐเกือบ 3 ล้านบาท เป็นแปลงใหญ่ที่จัดตั้งขึ้นเมื่อปี 2561 มีสมาชิก 162 ราย พื้นที่ 3,180 ไร่

"แปลงใหญ่ปาล์มน้ำมัน"ตำบลสมอทอง ปลื้ม รัฐช่วย" 3 ล้าน" ยกระดับประสิทธิภาพการผลิต

ปัจจุบันได้จดทะเบียนเป็นวิสาหกิจชุมชนและนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจำกัดเรียบร้อยแล้ว กลุ่มต้องการลดต้นทุนการผลิตโดยการใช้ปุ๋ยตามค่าวิเคราะห์ดิน ผสมปุ๋ยและผลิตปุ๋ยหมักใช้เองและเพิ่มผลผลิตโดยติดตั้งระบบน้ำในแปลง

"แปลงใหญ่ปาล์มน้ำมัน"ตำบลสมอทอง ปลื้ม รัฐช่วย" 3 ล้าน" ยกระดับประสิทธิภาพการผลิต

แต่เดิมนั้นสมาชิกได้รับความรู้เรื่องการจัดการดินและปุ๋ยจากศูนย์จัดการดินปุ๋ยชุมชน (ศดปช.) อำเภอท่าชนะ ต่อมาสำนักงานเกษตรจังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้ขอสนับสนุนงบประมาณจากจังหวัดสุราษฎร์ธานี จำนวน 1,700,000 บาท ให้กลุ่มใช้ก่อสร้างอาคารผสมปุ๋ยและสนับสนุนเครื่องผสมปุ๋ย ทำให้กลุ่มสามารถลดต้นทุนการผลิตลงได้มาก

โดยเริ่มจำหน่ายและบริการผสมปุ๋ยให้แก่สมาชิกตั้งแต่เดือนกรกฎาคมปี 2563 ซึ่งเกษตรกรใส่ปุ๋ยประมาณ 3 รอบต่อปี รอบละ 2.5 – 3.5 กิโลกรัมต่อต้นหรือเฉลี่ยประมาณปีละ 180 กิโลกรัมต่อไร่ ปริมาณปุ๋ยเคมีที่ใช้ต่อปี ในพื้นที่ 3,180 ไร่ จำนวน 572,400 กิโลกรัมหรือประมาณ 12,000 กระสอบ (กระสอบละ 50 กิโลกรัม)

โดยกลุ่มจะขายให้สมาชิกในราคาต้นทุนบวกกระสอบละ 70 บาท เพื่อเข้าเป็นเงินกองทุนของกลุ่ม ราคาเฉลี่ยที่ขายให้สมาชิกกระสอบละ 650 บาท ขึ้นอยู่กับสูตรปุ๋ยที่ผสมแต่ละแปลง ราคาปุ๋ยสูตรสำเร็จในท้องตลาดประมาณ 900-1,000 บาทแตกต่างกันประมาณ 250 บาทต่อกระสอบ ลดต้นทุนลงได้ถึงปีละ 3 ล้านบาท

การเข้าโครงการยกระดับฯ กลุ่มนำงบประมาณที่รัฐช่วยเหลือไปซื้อรถขุดเพื่อวางระบบน้ำและจัดการสวนปาล์มน้ำมัน ช่วยกลับกองปุ๋ยหมักและสร้างโรงเรือนผลิตปุ๋ยหมักจากทะลายปาล์มน้ำมันและอุปกรณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากการใช้ปุ๋ยหมักร่วมกับปุ๋ยเคมีจะช่วยปรับปรุงบำรุงดินและพัฒนาคุณภาพผลผลิต และลดต้นทุนได้ด้วยอีกทางหนึ่ง

นอกจากนี้กลุ่มได้เข้าสู่มาตรฐานการผลิตปาล์มน้ำมันอย่างยั่งยืน (RSPO) โดยจัดทำทะเบียนสมาชิกแปลงครบทุกรายแล้วและอบรมให้ความรู้สมาชิกไปแล้ว 5 ครั้ง อยู่ในระหว่างพัฒนาให้เป็นไปตามข้อกำหนด

คาดว่าสามารถผ่านการรับรองได้ในปี 2565 ทำให้กลุ่มสามารถซื้อทะลายปาล์มน้ำมันจากบริษัทได้ในราคาพิเศษ สำหรับผลผลิตปาล์มเฉลี่ยของสมาชิกแปลงใหญ่อยู่ที่ 3,250 กิโลกรัมต่อไร่ต่อปี สูงกว่าเกษตรกรทั่วไป

แต่แปลงเรียนรู้ของเกษตรกรต้นแบบแปลงใหญ่ที่จัดทำระบบให้น้ำผลผลิตสูงถึง 5,160 กิโลกรัมต่อไร่ต่อปี ดังนั้นการให้น้ำที่เหมาะสมจะช่วยเพิ่มผลผลิตได้มากในด้านคุณภาพสมาชิกจะตัดปาล์มสุกที่เปอร์เซ็นต์น้ำมัน 18%

และมีการปูทางใบเพื่อลดการใช้สารเคมีทั้งนี้กลุ่มขอขอบคุณไปยังรัฐบาล กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกรมส่งเสริมการเกษตรที่มีโครงการดีๆ มาช่วยเหลือเกษตรกรในสถานการณ์เช่นนี้ 

“สทนช.” เผยผลการศึกษา “SEA” ประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ “บริหารจัดการน้ำ 11 จังหวัด” ลุ่มน้ำภาคใต้ฝั่งตะวันตก #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

https://www.komchadluek.net/news/agricultural/475822

“สทนช.”เผยผลการศึกษา”SEA”ประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ “บริหารจัดการน้ำ 11 จังหวัด” ลุ่มน้ำภาคใต้ฝั่งตะวันตก

24 กรกฎาคม 2564 – 18:25 น.

“สทนช.”เผยผลการศึกษา”SEA”ประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ “บริหารจัดการน้ำ 11 จังหวัด” ลุ่มน้ำภาคใต้ฝั่งตะวันตก พร้อมรับ”การบริหารจัดการน้ำ”ช่วงฤดูฝนนี้

วันที่ 24 กรกฎาคม 2564  ดร.สมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) แถลงข่าวผลการศึกษาโครงการศึกษาการประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์และแผนหลักการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (Strategic Environmental Assessment : SEA) พื้นที่ลุ่มน้ำภาคใต้ฝั่งตะวันตก ว่า สทนช. ได้ร่วมกับมหาวิทยาลัยนเรศวรและกลุ่มบริษัทที่ปรึกษา ดำเนินการศึกษาโครงการฯ มาตั้งแต่กลางปี 2563

และจะดำเนินการแล้วเสร็จปลายเดือนกรกฎาคม 2564 นี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดการพัฒนาของลุ่มน้ำที่สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมโดยไม่ก่อให้เกิดผลกระทบหรือมีผลกระทบในระดับที่ยอมรับได้และเป็นไปตามแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปี พ.ศ.2561-2580

"สทนช."เผยผลการศึกษา"SEA"ประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ "บริหารจัดการน้ำ 11 จังหวัด" ลุ่มน้ำภาคใต้ฝั่งตะวันตก

    ดร.สมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.)

"สทนช."เผยผลการศึกษา"SEA"ประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ "บริหารจัดการน้ำ 11 จังหวัด" ลุ่มน้ำภาคใต้ฝั่งตะวันตก

โดยมีแนวทางการศึกษาประกอบด้วย การจัดทำแผนหลักและแผนปฏิบัติการ ตามแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปี ทั้ง 6 ด้าน

ได้แก่ การจัดการน้ำอุปโภค-บริโภค การสร้างความมั่นคงของน้ำภาคการผลิต การจัดการน้ำท่วมและบรรเทาอุทกภัย การจัดการคุณภาพน้ำและอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำ การอนุรักษ์ฟื้นฟูสภาพป่าต้นน้ำที่เสื่อมโทรมและป้องกันการพังทลายของดินและการบริหารจัดการโดยมีผลการศึกษาในประเด็นสำคัญที่แล้วเสร็จ อาทิ แผนงาน/โครงการที่เสนอ

"สทนช."เผยผลการศึกษา"SEA"ประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ "บริหารจัดการน้ำ 11 จังหวัด" ลุ่มน้ำภาคใต้ฝั่งตะวันตก

ทั้งจากภาครัฐและภาคประชาชน รวม 2,894 โครงการ ทำให้มีปริมาณน้ำต้นทุนเพื่อการจัดการน้ำอุปโภคบริโภคและเสริมสร้างความมั่นคงของน้ำภาคการผลิตในพื้นที่เพิ่มขึ้น 1,218.33 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) และสามารถลดพื้นที่อุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ฝั่งตะวันตกได้อีก 47,631 ไร่

"สทนช."เผยผลการศึกษา"SEA"ประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ "บริหารจัดการน้ำ 11 จังหวัด" ลุ่มน้ำภาคใต้ฝั่งตะวันตก

ปัจจุบันพื้นที่ลุ่มน้ำภาคใต้ฝั่งตะวันตกครอบคลุมพื้นที่ 11 จังหวัด โดยครอบคลุมพื้นที่ทั้งจังหวัดของจังหวัดระนอง จังหวัดพังงา จังหวัดภูเก็ต จังหวัดตรัง จังหวัดสตูล และครอบคลุมพื้นที่บางส่วนของจังหวัดกระบี่ จังหวัดชุมพร จังหวัด สุราษฎร์ธานี จังหวัดนครศรีธรรมราช จังหวัดพัทลุง และจังหวัดสงขลา

ทั้งนี้จากผลการศึกษาในกระบวนการ SEA ซึ่งใช้เป็นกรอบในการขับเคลื่อนการพัฒนาเชิงพื้นที่ (Area Based) สามารถสร้างความมั่นคงของทรัพยากรน้ำ เพื่อรองรับนโยบายด้านการท่องเที่ยวของรัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต ได้กำหนดให้มีการจัดทำแผนงานเร่งด่วน เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำในช่วงฤดูแล้ง

เลขาธิการ สทนช. กล่าวว่า การศึกษาพื้นที่ต้นแบบด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในระดับพื้นที่ที่เน้นการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนและภาคส่วนอื่นๆ ซึ่งมีต้นแบบความสำเร็จ คือ ที่จังหวัดตรังและจังหวัดกระบี่ โดยเฉพาะพื้นที่บ้านวังลำ ตำบลวังคีรี อำเภอห้วยยอด จังหวัดตรัง ถือเป็นแหล่งต้นน้ำและชุมชนต้นแบบที่มีการบริหารจัดการน้ำอย่างมีส่วนร่วม

ทั้งนี้ในอดีตพื้นที่บ้านวังลำมักประสบปัญหาน้ำมีไม่เพียงพอต่อการอุปโภคบริโภคและการเพาะปลูกทำให้คนในชุมชน ท้องถิ่นและภาครัฐได้หาแนวทางร่วมกันบริหารจัดการน้ำผ่านกลไกของการมีส่วนร่วมในการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน โดยมีแหล่งน้ำที่สำคัญในพื้นที่คือ อ่างเก็บน้ำบ้านน้ำราบและโครงการอ่างเก็บน้ำสถานีบำรุงพันธุ์สัตว์อันเนื่องมาจากพระราชดำริ 

ในส่วนของจังหวัดกระบี่พื้นที่บ้านไร่ตะวันหวาน ตำบลดินแดง อำเภอลำทับ นับเป็นอีกหนึ่งชุมชนต้นแบบที่มีการบริหารจัดการน้ำร่วมกันกับท้องถิ่นและภาคเอกชนบนพื้นที่กว่า 600 ไร่ ผ่านกิจกรรมการเรียนรู้ในชุมชนตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงและมีการพัฒนาชุมชนให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สร้างรายได้ให้แก่คนในพื้นที่ โดยได้ก่อตั้งเป็นวิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยวเชิงเกษตรบ้านไร่ตะวันหวาน

และเพื่อเป็นการสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลในการกระตุ้นการท่องเที่ยวโดยเฉพาะอย่างยิ่งในจังหวัดภูเก็ต ซึ่งถูกกำหนดให้เป็นจังหวัดต้นแบบ

ในขณะที่ปัญหาด้านน้ำอุปโภคบริโภคในกิจกรรมต่างๆในจังหวัดที่ผ่านมา ยังคงเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า และมีค่าใช้จ่ายของผู้ประกอบการที่สูงมาก แต่เมื่อจังหวัดภูเก็ตต้องเป็นต้นแบบในการดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกให้เข้ามาท่องเที่ยวแล้วการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำ จึงมีความจำเป็นที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน ในการรองรับกิจกรรมต่างๆที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เพื่อไม่ให้เป็นปัญหาและอุปสรรคกับการดำเนินนโยบายดังกล่าว

ตัวอย่างเช่น 1) การก่อสร้างสระน้ำแก้มลิงบ้านโคกโตหนดพร้อมระบบผันน้ำไปยังอ่างเก็บน้ำบางเหนียวดำ เพื่อเป็นแหล่งน้ำสำรองในช่วงแล้งสำหรับประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียง

2) โครงการก่อสร้างปรับปรุงขยายระบบประปาจากจังหวัดพังงาไปยังจังหวัดภูเก็ต

3) การก่อสร้างระบบผลิตน้ำรีไซเคิล ตำบลตลาดใหญ่ อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต

และ 4) การจัดหาน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคในพื้นที่เกาะต่าง ๆ ด้วยเทคโนโลยีนำน้ำทะเลให้เป็นน้ำจืด

“การศึกษา SEA เป็นเครื่องมือสำคัญที่ใช้ในการจัดทำแผนหลักด้านน้ำ ที่ได้รับการยอมรับจากต่างประเทศและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้ริเริ่มจัดทำเป็นมาตรฐานให้กับการพัฒนาด้านอื่น ๆ ทั้งนี้  การดำเนินการศึกษาของ สทนช. ได้เสริมการวิเคราะห์ความต้องการของพื้นที่การจัดสรรทรัพยากรที่มีอยู่เพื่อกำหนดเป้าหมาย วิธีการ และลำดับความสำคัญผ่านกระบวนการมีส่วนร่วม

ผลที่ได้รับคือแผนหลักการบริหารลุ่มน้ำซึ่งจะต้องเสนอเข้าสู่คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติเพื่อการปรับปรุงเป็นแผนแม่บทน้ำของประเทศในปี 2565 ต่อไป ” เลขาธิการ สทนช. กล่าวในตอนท้าย 

“แปลงใหญ่ปาล์มน้ำมัน” ตำบลโคกเคียน จังหวัดนราธิวาส ผลผลิตเพิ่มขึ้น 2 ตันต่อไร่ ด้วยระบบ “น้ำอัจฉริยะ” #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

https://www.komchadluek.net/news/agricultural/475321

“แปลงใหญ่ปาล์มน้ำมัน”ตำบลโคกเคียน จังหวัดนราธิวาส ผลผลิตเพิ่มขึ้น 2 ตันต่อไร่ ด้วยระบบ”น้ำอัจฉริยะ “

21 กรกฎาคม 2564 – 12:29 น.

“แปลงใหญ่ปาล์มน้ำมัน” ตำบลโคกเคียน จังหวัดนราธิวาส ผลผลิตเพิ่มขึ้น 2 ตันต่อไร่ ด้วยระบบ”น้ำอัจฉริยะ “

“ปาล์มน้ำมัน”เป็นพืชที่ต้องการน้ำในปริมาณมาก การจะปลูก”ปาล์มน้ำมัน”ให้ได้ผลผลิตดีนั้น นอกจากจะขึ้นอยู่กับความอุดมสมบูรณ์ของดินที่ปลูกการใช้พันธุ์ที่ดีและเหมาะกับสภาพพื้นที่ การใช้ปุ๋ยอย่างถูกต้องเหมาะสมแล้ว การจัดการน้ำใน”สวนปาล์มน้ำมัน”ก็เป็นปัจจัยที่สำคัญที่จะกำหนดให้”ปาล์มน้ำมัน”มีผลผลิตมากหรือน้อยเนื่องจากปริมาณและการกระจายตัวของฝนในปัจจุบันมีความแปรปรวนไม่แน่นอน

ดังนั้นการให้น้ำในสวน”ปาล์มน้ำมัน”จึงมีความจำเป็นมากกับสถานการณ์ดินฟ้าอากาศในปัจจุบันหากต้น”ปาล์มน้ำมัน”ขาดน้ำหรือมีน้ำไม่เพียงพอ ก็จะส่งผลต่อการพัฒนาของตาดอกตัวเมียลดลงทำให้ผลผลิตเฉลี่ยต่ำ

"แปลงใหญ่ปาล์มน้ำมัน"ตำบลโคกเคียน จังหวัดนราธิวาส ผลผลิตเพิ่มขึ้น 2 ตันต่อไร่ ด้วยระบบ"น้ำอัจฉริยะ "
"แปลงใหญ่ปาล์มน้ำมัน"ตำบลโคกเคียน จังหวัดนราธิวาส ผลผลิตเพิ่มขึ้น 2 ตันต่อไร่ ด้วยระบบ"น้ำอัจฉริยะ "

นายมานพ จี๋คีรี ประธานกลุ่มแปลงใหญ่”ปาล์มน้ำมัน”ตำบลโคกเคียน อำเภอเมือง จังหวัดนราธิวาส ได้เห็นความสำคัญเรื่องการจัดการน้ำในสวนปาล์มน้ำมัน เนื่องจากบ้านฮูแตทูวอ ตำบลโคกเคียน พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่พรุมีน้ำท่วมขัง ดินเป็นกรดและดินทรายจัด ฤดูแล้งไม่มีน้ำใช้ในการทำการเกษตร

แต่ฤดูฝนประสบปัญหาน้ำท่วมขังเป็นเวลานานเดิมนั้นเกษตรกรได้มีการปลูก”ปาล์มน้ำมัน”แบบต่างคนต่างทำ ขาดความรู้ในการจัดการสวนส่งผลให้”ปาล์มน้ำมัน”มีผลผลิตต่อไร่ต่ำ มีค่าเฉลี่ยเพียง 2 ตัน/ไร่/ปี เท่านั้น

"แปลงใหญ่ปาล์มน้ำมัน"ตำบลโคกเคียน จังหวัดนราธิวาส ผลผลิตเพิ่มขึ้น 2 ตันต่อไร่ ด้วยระบบ"น้ำอัจฉริยะ "

ต่อมาจึงได้มีการรวมกลุ่มจัดตั้งเป็นแปลงใหญ่ขึ้นเพื่อแก้ปัญหาด้านต้นทุนการผลิตที่สูงและผลผลิตต่ำ ปัจจุบันมีสมาชิก 50 ราย พื้นที่ 1,000 ไร่และตนได้นำแปลง”ปาล์มน้ำมัน”ของตนเองจำนวน 5 ไร่ ทำเป็นแปลงเรียนรู้ต้นแบบในการนำระบบน้ำอัตโนมัติมาใช้ใน”สวนปาล์มน้ำมัน”

"แปลงใหญ่ปาล์มน้ำมัน"ตำบลโคกเคียน จังหวัดนราธิวาส ผลผลิตเพิ่มขึ้น 2 ตันต่อไร่ ด้วยระบบ"น้ำอัจฉริยะ "

โดยควบคุมการให้น้ำด้วยแอพพลิเคชันบนโทรศัพท์มือถือ ต้น”ปาล์มน้ำมัน”จึงได้รับน้ำในปริมาณที่เหมาะสมและสม่ำเสมอทำให้ได้ผลผลิตสูงถึง 4.5 ตัน/ไร่/ปี สูงกว่าผลผลิตทั่วไปถึง 2 ตัน/ไร่/ปี

"แปลงใหญ่ปาล์มน้ำมัน"ตำบลโคกเคียน จังหวัดนราธิวาส ผลผลิตเพิ่มขึ้น 2 ตันต่อไร่ ด้วยระบบ"น้ำอัจฉริยะ "

นายสุพิท  จิตรภักดี ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมและพัฒนาการเกษตรที่ 5 จังหวัดสงขลา ให้ข้อมูลว่า ในปี 2563 ภาคใต้มีพื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมัน 5,234,137 ไร่ พื้นที่ให้ผลผลิตแล้ว 4,883,014 ไร่ ผลผลิตรวมกว่า 14 ล้านตัน มีเกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมันมาขึ้นทะเบียนเกษตรกรแล้ว จำนวน 319,951 ครัวเรือน พื้นที่จำนวน 4,514,338 ไร่

จังหวัดที่มีพื้นที่ปลูกมากที่สุด ได้แก่ จังหวัดสุราษฎร์ธานี พื้นที่ปลูก 1,155,435 ไร่ รองลงมาคือจังหวัดชุมพร พื้นที่ 860,265 ไร่ และจังหวัดกระบี่ พื้นที่ 797,430 ไร่ ทั้งนี้กรมส่งเสริมการเกษตรได้ส่งเสริมให้เกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมันเข้าร่วมโครงการส่งเสริมเกษตรแบบแปลงใหญ่ มาตั้งแต่ ปี 2559 ปัจจุบันมีแปลงใหญ่”ปาล์มน้ำมัน” จำนวน 233 แปลง พื้นที่รวม 248,200 ไร่ เกษตรกร จำนวน 14,414 ราย

ดังนั้นการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาใช้ในแปลงใหญ่เป็นอีกภารกิจหนึ่งที่ต้องส่งเสริมให้แปลงใหญ่ได้นำมาพัฒนาปรับใช้กับกลุ่มของตนเองและขอชื่นชมนายมานพ จี๋คีรี ประธานกลุ่มแปลงใหญ่ปาล์มน้ำมันตำบลโคกเคียน อำเภอเมือง จังหวัดนราธิวาส ที่ได้เป็นต้นแบบนำนวัตกรรมระบบน้ำอัจฉริยะมาใช้ในแปลงปาล์มน้ำมัน ทำให้ได้ผลผลิตที่สูงขึ้น

เป็นตัวอย่างให้กับสมาชิกกลุ่มแปลงใหญ่และเกษตรกรทั่วไปในพื้นที่ได้มาเรียนรู้และนำไปปฏิบัติตาม

หากมีเกษตรกรท่านใดสนใจอยากไปดูงานหรือแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับประธานแปลงใหญ่สามารถติดต่อได้ที่เบอร์โทรศัพท์ 083-1837809 หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่สำนักงานเกษตรอำเภอเมืองนราธิวาส เบอร์โทรศัพท์ 073-532221

“กรมชลฯ” ปักธง “โครงการ PIS” เป้าหมาย “ชลประทาน” สู่การบริหาร “น้ำอัจฉริยะ” #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

https://www.komchadluek.net/news/agricultural/474824

“กรมชลฯ”ปักธง “โครงการ PIS ” เป้าหมาย”ชลประทาน”สู่การบริหาร”น้ำอัจฉริยะ”

17 กรกฎาคม 2564 – 17:42 น.

การบริหาร”จัดการน้ำ”แบบครบทั้งระบบ สามารถวิเคราะห์ได้ทุกมิติ และตลอดทุกช่วงเวลา เป็นนโยบายท้าทายที่”กรมชลประทาน”อยู่ระหว่างการดำเนินการเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการบริหาร”จัดการน้ำ”ในอนาคตแบบไร้ข้อจำกัด  

การบริหาร”จัดการน้ำ”แบบครบทั้งระบบสามารถวิเคราะห์ได้ทุกมิติและตลอดทุกช่วงเวลา เป็นนโยบายท้าทายที่กรมชลประทานอยู่ระหว่างการดำเนินการเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการบริหาร”จัดการน้ำ”ในอนาคตแบบไร้ข้อจำกัด 

ซึ่งจากวิกฤติไวรัส”โควิด-19″ที่เกิดในปี2563 ต่อเนื่อง 64 ทำให้ยิ่งมั่นใจว่าโครงการนี้จะช่วยให้การบริหาร”น้ำ”ได้เต็มกำลังแม้สถานการณ์จะมีข้อกำจัดเพื่อช่วยเหลือประชาชน

ดร.ทวีศักดิ์ ธนเดโชพล รองอธิบดีกรมชลประทาน เปิดเผยว่า กรมชลประทานอยู่ระหว่างการดำเนินโครงการ”มุ่งเป้าสู่การชลประทานอัจฉริยะ(The Project  for Irrigation toward Smart (PIS)”ซึ่งจะเป็นการบริหารจัดการน้ำโดยใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยและเหมาะสมมาบริหารจัดการได้ตลอด24 ชม.เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานกรมชลประทาน

"กรมชลฯ"ปักธง "โครงการ PIS " เป้าหมาย"ชลประทาน"สู่การบริหาร"น้ำอัจฉริยะ"

เป็นการผสานระหว่างคนและเครื่องมือโดยจะเริ่มพัฒนาระบบปี2564เป็นต้นไปเพื่อลดข้อจำกัดในเรื่องจำนวนบุคลากรและอุปสรรคที่คาดไม่ถึงซึ่งโครงการดังกล่าวได้รับความเห็นชอบจากนายประพิศ จันทร์มา อธิบดีกรมชลประทานแล้ว 

เป้าหมายโครงการ 10 ปี เนื่องจากโครงการนี้จะเป็นลักษณะของการพัฒนา ปรับปรุง แก้ไขให้มีการนำเทคโนโลยีปรับเข้ามาใช้ตามภาวะงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่กรมจะมีการตั้งให้มาสอดรับกับพันธกิจที่วางไว้

"กรมชลฯ"ปักธง "โครงการ PIS " เป้าหมาย"ชลประทาน"สู่การบริหาร"น้ำอัจฉริยะ"

โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาหาพื้นที่ทำโครงการนำร่อง 1 แห่งคาดว่าจะเริ่มในปี 2565-66 เพื่อจัดวางระบบให้ครบสมบูรณ์และวัดผลสัมฤทธิ์ได้ใน 1 ปีก่อนที่จะขยายชุดโครงการนี้ไปยังโครงการชลประทานทั่วประเทศ เพื่อพัฒนาไปสู่การบริหารจัดการน้ำแบบอัจฉริยะที่แม่นยำ มีความทั่วถึงและเป็นธรรมโดยประชาชนมีส่วนร่วม

"กรมชลฯ"ปักธง "โครงการ PIS " เป้าหมาย"ชลประทาน"สู่การบริหาร"น้ำอัจฉริยะ"

ทั้งนี้รูปแบบการบริหารจัดการชลประทานอัจฉริยะ จะมีการนำระบบเทคโนโลยีมาใช้ในการบริหารจัดการ เริ่มตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ

โดยต้นน้ำจะมีเครื่องมือวัดปริมาณน้ำฝนที่ตกในพื้นที่มีระบบโทรมาตรเพื่อให้ทราบถึงปริมาณน้ำไหลลงอ่างที่สามารถติดตามได้ตลอด 24 ชั่วโมง ข้อมูลจากระบบโทรมาตรที่วัดได้จะส่งมายังศูนย์ปฏิบัติการน้ำอัจฉริยะ(SWOC) กรมชลฯสามเสนเพื่อเป็นข้อมูลใช้ในการพยากรณ์และวางแผนบริหารจัดการ

ประกอบการพิจารณาจัดสรรน้ำให้สอดคล้องกับปริมาณฯน้ำต้นทุนที่มีอยู่และเหมาะสมกับความต้องการใช้จริงและป้องกันอุทกภัยจากนั้นคำสั่งจาก SWOC ที่สามเสน จะส่งไปยังที่ SWOC สำนักงานชลประทาน(สชป.) ที่ดูแลในพื้นที่ควบคุมบานประตูน้ำ(SCADA)ที่มีหน้าที่บริหารตรวจวัดอัตราการไหลของน้ำและควบคุมบานประตูน้ำอัตโนมัติ  ทำการเปิด-ปิด บานระบายอัตโนมัติตามข้อสั่งการ โดยระบบจะเชื่อมโยงทั้งหมดสามารถเช็คได้จากส่วนกลางเพื่อให้การจัดการน้ำบรรลุตามพันธกิจ

สำหรับโครงการ PIS เพื่อไปสู่เป้าหมายที่วางไว้กรมชลฯจะต้องมีการพัฒนาเทคโนโลยีด้านบริหารจัดการน้ำเพื่อชลประทานอัจฉริยะเพิ่มในหลายด้านเพื่อทำให้ข้อมูลที่ส่งมา SWOC กรมชลฯสามารถพยากรณ์และเตือนภัยได้อย่างแม่นยำ

อาทิ การจัดให้มีโทรมาตรในอ่าง โทรมาตรวัดพฤติกรรมเขื่อน โทรมาตรระดับลุ่มน้ำ   การพัฒนาเทคโนโลยีในการควบคุมบานระบายน้ำ(SCADA) ของswoc  ของสชป.  การพัฒนาฝายพับได้ และการทำโมเดลคำนวณความต้องการใช้น้ำ 

การพัฒนาUAV หรือโดรน(UAV  sensor )ซึ่งกรณีโดรนอนาคตจะพัฒนาให้สามารถตรวจสอบแปลภาพจำแนกชนิดพืชได้  ติดตั้งเครื่องวัดความชื้นในดิน วัดระดับน้ำในแปลงนา เพื่อคำนวณความต้องการใช้น้ำได้ เพื่อความแม่นยำในการจัดสรรน้ำให้พื้นที่

“ปัจจุบันการพัฒนาศักยภาพองค์การตาม PIS นี้ได้ดำเนินการมาตลอดในช่วง 2ปีที่ผ่านมาแต่ยังไม่ได้ยกระดับให้เป็นเป้าหมายชัดเจนเพื่อให้กรมมีหน้าที่พัฒนาต่อเนื่องเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่วางไว้เป้าหมายโครงการคือหาเทคโนโลยี เครื่องมือมาช่วยเสริมการทำงานให้สมบูรณ์ เป็นการผสานระหว่างคนกับเทคโนโลยีเพราะบางพื้นที่กว้างขว้างมากแต่จำนวนคนจำกัด 

ดังนั้นเครื่องมือ เช่น โทรมาตรกรมก็มีแล้ว จัดวางไว้ครบ 22 ลุ่มน้ำ แต่ยังไม่ครอบคลุมทุกพื้นที่ทุกมิติ การเปิด-ปิด บานระบายยังต้องใช้คนในการทำงาน บางครั้งอาจไม่ทันต่อเหตุการณ์ การมีscada ทำให้สามารถสั่งการได้ทันที แต่หากติดขัดคนในพื้นที่ก็ค่อยลงไป   

การพัฒนาเทคโนโลยีเหล่านี้จะดำเนินการโดยสำนักสำรวจด้านวิศวกรรมและธรณีวิทยาของกรมชลฯ ซึ่งปัจจุบันได้มีการพัฒนาเครื่องมือใช้ในงานชลประทานได้หลายชนิดและได้ผลเป็นที่น่ายินดีบางชนิดได้รับรางวัล ในขณะที่ด้านบุคลากรจะต้องมีการพัฒนาให้สอดรับกับโครงการ “ ดร.ทวีศักดิ์กล่าว 

รองอธิบดีกรมชลฯกล่าวด้วยว่าสิ่งสำคัญที่จะทำให้โครงการนี้สำเร็จคือความร่วมมือของประชาชน เกษตรกร ดังนั้นโครงการนี้จะต้องทำให้ประชาชนได้ใช้ประโยชน์จากชุดข้อมูล เช่นประชาชน เกษตรกรสามารถเข้าดูข้อมูลการระบายน้ำในโครงการ รอบเวรการส่งน้ำ และร่วมไปถึงนำไปวางแผนการเพาะปลูกได้อีกด้วย โดยกรมจะพัฒนาช่องทางสื่อสารให้เชื่อมโยงกับประชาชน  เพราะเทคโนโลยีทั้งหมดที่กรมดำเนินการก็เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับประชาชน.