เทรดวอร์ 5G สะเทือนโลกทั้งใบ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/news/lifestyle/374009

เทรดวอร์ 5G สะเทือนโลกทั้งใบ

วันที่ 1 มิถุนายน 2562 – 16:40 น.
ไอที,5G
เปิดอ่าน 12,132 ครั้ง

คอลัมน์ “อินโนสเปซ” โดย “บัซซ๊่บล็อก” หนังสือพิมพ์ คมชัดลึก 1-2 มิ.ย.62

 

        ใกล้เข้าสู่กลางปี 2562 แล้ว ชัดเจนว่าการปะทะกัน(ทางการค้าเทคโนโลยี) ระหว่างสหรัฐกับจีน ยังเพิ่มดีกรีความร้อนแรงต่อเนื่องข้ามมาจากเมื่อปลายปี 2561 โดยมี “เทคโนโลยี 5G” เป็นตัวประกันสำคัญ ที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐอเมริกา จับกุมไว้เพื่อใช้ประกอบเป็นพยานหลักฐานฟ้องร้อง และกดดันบริษัท หัวเว่ย ยักษ์ใหญ่ด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีอันดับ 1 ของจีน ให้กระเด็นออกไปจากสนามการค้ายุคใหม่ ซึ่งมีเทคโนโลยีและนวัตกรรมเป็นกลไกขับเคลื่อนหลัก โดยเฉพาะเทคโนโลยี 5G ซึ่งถูกจับตามองว่าเป็น “เทคโนโลยีเปลี่ยนโลก” 

 

     

          เทคโนโลยี 5G จะทรงอิทธิพลอย่างยิ่ง เพราะจะเข้ามามีผลต่อชีวิตมนุษย์อย่างมากในอนาคตอันใกล้ ทั้งยังก้าวข้ามสัญญาณโทรศัพท์แบบเดิมและเข้ามามีส่วนในประวัติศาสตร์การใช้ชีวิตของมนุษย์ยุคนี้มากขึ้น อาทิ การสร้างเมืองอัจฉริยะ (smart city), หุ่นยนต์ยานพาหนะไร้คนขับ และนวัตกรรมในอุตสาหกรรมการแพทย์ เกษตรกรรม และการศึกษา เนื่องจากเทคโนโลยีนี้จะมาพร้อมกับความสามารถในการสื่อสารได้อย่างรวดเร็วขึ้น ความล่าช้าจากการส่งข้อมูลจะลดลงมาอยู่ที่ 1 มิลลิวินาที (หนึ่งในพันของวินาทีเมื่อการสื่อสารสามารถรวดเร็วแทบจะเท่ากับการสื่อสารในเวลาจริง

         นั่นจึงหมายความว่า ถ้าบริษัทเทคโนโลยีรายใด หรือของประเทศใด ครอบครองพื้นที่โลกของการใช้งาน 5G นั่นย่อมมีโอกาสสูงที่จะส่งผลให้กลายเป็น “ผู้ชี้นำ” อนาคตแห่งมวลมนุษยชาติยุคใหม่ได้อย่างไม่ยากนัก

ไทม์ไลน์สงครามการค้า 5G

          จุดเริ่มต้นไฟสงครามการค้า 5G ถูกจุดขึ้นครั้งแรก ด้วยข่าวใหญ่สะเทือนวงการเทคโนโลยีทั่วโลก เมื่อมีข่าวเจ้าหน้าที่รัฐของแคนาดา จับกุมผู้บริหารระดับสูงของหัวเว่ย ซึ่งครองสถานะสำคัญอีกตำแหน่งหนึ่งก็คือ เป็นบุตรสาวคนโตของผู้ก่อตั้งบริษัท หัวเว่ย โดยชัดเจนว่ารัฐบาลสหรัฐ คือ“ผู้สั่งการ” ตัวจริงของคำสั่งจับกุมนี้

         1 ธันวาคม 2561 “เมิ่ง หว่านโจว” รองประธาน และประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน หรือซีเอฟโอ (Chief Financial Officer) ของหัวเว่ย ถูกจับกุมที่แคนาดา ด้วยข้อกล่าวหาว่ามีกระทำการละเมิดมาตรการลงโทษคว่ำบาตรที่สหรัฐฯประกาศใช้กับอิหร่าน

          6 ธันวาคม 2561 จีนเรียกร้องให้มีการปล่อยตัวเธอ และออกแถลงการณ์ว่า “เมิ่ง” ไม่เคยละเมิดกฎหมายใดๆ ของสหรัฐและอเมริกา

          8-9 ธันวาคม 2561 จีนเรียกทูตสหรัฐและแคนาดาเข้าพบ เรียกร้องให้มีการปล่อยตัวเธอ พร้อมเตือนว่าการเพิกเฉยต่อข้อเรียกร้องนี้อาจนำไปสู่ผลร้ายแรง

          10 ธันวาคม 2561 จีนตอบโต้ด้วยการควบคุมตัวพลเมืองชาวแคนาดา 2 คน

          11 ธันวาคม 2561 ศาลแคนาดาอนุมัติให้ประกันตัว “เมิ่ง” ภายใต้วงเงิน 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ ประธานาธิบดีทรัมป์ กล่าวว่าอาจเข้าแทรกแซงเรื่องนี้

            16 มกราคม 2562 “เหริน เจิ้งเฟย” ซีอีโอหัวเว่ย บิดาของเมิ่ง หว่านโจว กล่าวกับสื่อต่างประเทศว่า หัวเว่ยปฏิบัติตามกฎหมาย และข้อจำกัดด้านการส่งออกในทุกตลาดที่เข้าไปทำธุรกิจ

           22 มกราคม 2562 ทางการจีนเรียกร้องให้สหรัฐยุติคำร้องขอส่งตัว “เมิ่ง หว่านโจว” มายังสหรัฐในฐานะผู้ร้ายข้ามแดน

           24 มกราคม 2562 หัวเว่ย ประกาศเปิดตัวสมาร์ทโฟนรุ่นพับได้ ที่มีความสามารถรองรับระบบ 5G ระหว่างร่วมงาน โมบาย เวิลด์ คองเกรส เมืองบาร์เซโลนา ประเทศสเปน เป็นการตอกย้ำสถานะผู้นำเทคโนโลยี 5G

            29 มกราคม 2562 สหรัฐ กล่าวหาหัวเว่ย รวม 23 ข้อหา เกี่ยวกับการโจรกรรมความลับทางการค้าและฉ้อโกง

           6 กุมภาพันธ์ 2562 ทางการสหรัฐ ให้การไม่มั่นใจสหภาพยุโรป กรณีการเลือกใช้อุปกรณ์ของหัวเว่ย ในการวางโครงข่ายระบบ 5G

           21 กุมภาพันธ์ 2562 รมต.ต่างประเทศสหรัฐ ออกมากล่าวว่าประเทศที่ใช้สินค้าของ Huawei เป็นภัยต่อความมั่นคงของสหรัฐ

          8 มีนาคม2562  หัวเว่ย ฟ้องรัฐบาลสหรัฐ กรณีการแบนสินค้าและอุปกรณ์ของทางบริษัท

          14 มีนาคม2562 หัวเว่ย เปิดเผยว่ากำลังพัฒนาระบบปฏิบัติการของตัวเองอยู่ ชื่อว่า Hongmeng OS (หงเมิ่ง)

          15 พฤษภาคม 2562 ประธานาธิบดีทรัมป์ ออกคำสั่งโดยอาศัยอำนาจตามรัฐบัญญัติว่าด้วยภาวะฉุกเฉินทางเศรษฐกิจและความมั่นคง สั่งห้ามเอกชนอเมริกันจัดซื้อ หรือใช้งานอุปกรณ์ หรือชิ้นส่วนอุปกรณ์ของหัวเว่ย ที่ถูกระบุว่า “เป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคง และบ่อนทำลายผลประโยชน์” ของสหรัฐอเมริกา พร้อมมอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์ขึ้นบัญชีดำหัวเว่ย และบริษัทลูกอีกกว่า 68 แห่ง

          19 พฤษภาคม 2562 กูเกิล ประกาศหยุดให้การสนับสนุนการอัพเดทระบบต่างๆ ของ Android ให้แก่สมาร์ทโฟนของ Huawei เนื่องด้วยคำสั่งพิเศษของทางประธานาธิบดี

          20 พฤษภาคม 2562 ประธานาธิบดีจีน สี จิ้นผิง เดินทางไปเยี่ยมโรงงานผลิตแร่หายาก (Rare-Earth) ทำให้เกิดการคาดการณ์ว่า จีนกำลังมีความคิดที่จะยกเลิกการส่งออกแร่ชนิดนี้ให้แก่สหรัฐ ซึ่งจะกระทบกับสหรัฐอย่างหนักแน่นอน เพราะว่าแร่ชนิดนี้เป็นส่วนประกอบสำคัญที่ต้องใช้ในการผลิตชิปในอุปกรณ์เทคโนโลยี อาวุธ และอีกมากมาย

          25 พฤษภาคม 2562 สมาคมที่รับผิดชอบการพัฒนามาตรฐานเอสดี การ์ด (SD Association) และออกใบอนุญาตโลโก้และเครื่องหมายการค้าให้แก่บริษัทอื่นได้ลบ หัวเว่ย (Huawei) ออกจากรายชื่อสมาชิก เช่นเดียวกับที่ให้เหตุผลว่า การดำเนินการก่อนหน้านี้ เพราะต้องการตรวจสอบข้อมูลกับคำสั่งรัฐบาลสหรัฐก่อน

สงครามครั้งนี้ ใครได้-ใครเสีย?

          ขณะที่ ท่าทีคุกคามของสหรัฐต่อหัวเว่ย (รวมถึงจีน) ยังดำเนินต่อไป ทางสำนักข่าวซีเอ็นเอ็น ได้นำเสนอรายงานบทวิเคราะห์ว่า มาตรการของสหรัฐ ที่จำกัดบริษัทอเมริกัน ในการส่งออกผลิตภัณฑ์ให้หัวเว่ย อาจส่งผลให้ซิลิกอนวัลเลย์ สูญเสียเงินรายได้จำนวนหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจาก หัวเว่ย ต้องพึ่งพาส่วนประกอบสำคัญจากบริษัทเทคโนโลยีอเมริกัน ในการผลิตอุปกรณ์โทรคมนาคม และสมาร์ทโฟนเพื่อป้อนตลาดโลก

          รายงานระบุว่า เมื่อปีที่แล้ว หัวเว่ย ซื้อส่วนประกอบหรือชิ้นส่วนรวมมูลค่า 7 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐจากซัพพลายเออร์จำนวน 13,000 ราย ซึ่งเงินจำนวนนี้มีอยู่ราว 1.1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ที่ใช้ซื้อผลิตภัณฑ์ จากบริษัทในสหรัฐ เช่น ชิปคอมพิวเตอร์จากควอลคอมม์ ซอฟต์แวร์จากไมโครซอฟท์ และระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ของกูเกิล

          ในฟากหัวเว่ยนั้น การที่กูเกิล จำเป็นต้องหยุดทำธุรกิจกับหัวเว่ย จะทำให้สมาร์ทโฟนของหัวเว่ยในอนาคต ไม่สามารถรับการสนับสนุนจากกูเกิล ซึ่งรวมไปถึงระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ และแอพพลิเคชั่นที่เป็นสิทธิของกูเกิล ได้แก่ ยูทูบ จีเมล์ เป็นต้น

          ขณะที่ มีรายงานจากสำนักข่าวรอยเตอร์สว่า ข้อมูลจากบริษัท Fubon Research and Strategy Analytics ระบุว่า สมาร์ทโฟนของหัวเว่ย อาจมีปริมาณยอดขายลดลง 4-24% ในปีนี้ จากคำสั่งรัฐบาลสหรัฐที่ห้ามใช้อุปกรณ์ของหัวเว่ย อีกทั้ง บริษัทเทคโนโลยี เช่น กูเกิล และซอฟต์แบงก์ กรุ๊ป ซึ่งเป็นเจ้าของบริษัทออกเเบบชิปคอมพิวเตอร์ ARM ก็แสดงท่าทีแล้วว่า ทางบริษัทจะยุติการส่งสินค้าและอัพเดทซอฟต์แวร์ให้หัวเว่ย

          ก่อนหน้านี้ Fubon Research เคยประมาณการยอดขายสมาร์ทโฟนของหัวเว่ย 258 ล้านเครื่อง แต่ล่าสุดปรับตัวเลขคาดการณ์ลดลงเหลือ 200 ล้านเครื่อง

เทรดวอร์ 5G กระทบ 3 พันล้านคน

          ล่าสุด ซ่ง ลิ่วผิง” หัวหน้าฝ่ายกฎหมายของหัวเว่ย กล่าวว่า การที่รัฐบาลสหรัฐใช้กฎหมายและคำสั่งลงโทษบริษัทเพียงรายเดียว ถือเป็นการสร้างบรรทัดฐานที่อันตรายอย่างยิ่ง เพราะในอนาคตรัฐบาลสหรัฐ อาจจะออกมาตรการในลักษณะนี้มาใช้กับบริษัทอื่นได้

          ทั้งนี้ หัวเว่ย กำลังทบทวนแนวทางการต่อสู้กับมาตรการขึ้นบัญชีดำของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐ ที่ออกมาเมื่อ 2 สัปดาห์ที่แล้ว พร้อมนำเสนอข้อมูลว่าการกระทำของสหรัฐ จะกระทบต่อซัพพลายเออร์กว่า 1,200 ราย และลูกค้าที่เกี่ยวข้องราว 3 พันล้านคนใน 170 ประเทศ

           หัวเว่ยยังคงเดินหน้าต่อสู้รัฐบาลสหรัฐในทุกวิถีทาง รวมทั้งกระบวนการทางกฎหมาย โดยล่าสุดหัวเว่ยได้ยื่นคำร้องต่อศาลในสหรัฐ เพื่อให้ยกเลิกคำสั่งของรัฐบาลที่แบนไม่ให้หน่วยงานรัฐใช้อุปกรณ์ของหัวเว่ย ขณะที่หัวหน้าฝ่ายกฎหมายของหัวเว่ยอ้างว่า มาตรการขึ้นบัญชีดำล่าสุดของสหรัฐ จะกระทบประชาชนเกือบครึ่งโลกหัวเว่ยได้ยื่นคำร้องต่อศาลแขวงในรัฐเท็กซัสเมื่อวันอังคาร ขอให้วินิจฉัยว่า กฎหมายว่าด้วยการใช้อำนาจป้องกันประเทศหรือ NDAA ขัดกับรัฐธรรมนูญหรือไม่ ซึ่งเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมจากการยื่นฟ้องเดิมเมื่อเดือนมีนาคม โดยกฎหมายฉบับนี้ผ่านสภาคองเกรสเมื่อปีที่แล้ว และประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้หยิบมาใช้ออกมาตรการแบนไม่ให้หน่วยงานของรัฐบาลใช้อุปกรณ์ของหัวเว่ยด้วยเหตุผลเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ คาดว่าการไต่สวนจะเริ่มต้นในเดือนกันยายนนี้

“แอนิเมชั่น” ฝีมือไทย แบบไหน ช่อง(ทีวี)ชอบ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/news/lifestyle/373036

“แอนิเมชั่น” ฝีมือไทย แบบไหน ช่อง(ทีวี)ชอบ

วันที่ 25 พฤษภาคม 2562 – 15:55 น.
ดีป้า,แอนิเมชั่น,Thailand Animation Pitching Workshop 2 TAP,สมาคมดิจิทัลคอนเทนต์ไทย,DCAT,สมาคมผู้ประกอบการแอนิเมชันและคอมพิวเตอร์กราฟฟิกส์ไทย,TACGA,สมาคมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์เกมไทย,TGA,สมาคมธุรกิจบางกอกเอซีเอ็มซิกกราฟ,Bangkok ACM SIGGRAPH,อุตสาหกรรมแอนิเมชั่น,Smart Play
เปิดอ่าน 4,228 ครั้ง

คอลัมน์ “อินโนสเปซ” โดย “บัซซี่บล็อก” หนังสือพิมพ์คมชัดลึก ฉบับวันที่ 25-26 พ.ค.2562

ปลายปีที่แล้ว สำนักงานส่งเสริมเศรฐกิจดิจิทัล (ดีป้าได้แถลงรายงานผลสำรวจประจำปี ซึ่งจัดทำร่วมกับสมาคมดิจิทัลคอนเทนต์ไทย (DCAT) สมาคมผู้ประกอบการแอนิเมชันและคอมพิวเตอร์กราฟฟิกส์ไทย (TACGA) สมาคมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์เกมไทย (TGA) และสมาคมธุรกิจบางกอกเอซีเอ็มซิกกราฟ (Bangkok ACM SIGGRAPH) ระบุมูลค่าดิจิทัลคอนเทนต์ของปี 2560 ในประเทศไทย ในส่วนของอุตสาหกรรมแอนิเมชั่น อยู่ที่ 3,799 ล้านบาท จากมูลค่ารวมดิจิทัลคอนเทนต์ 25,040 ล้านบาท รวมทั้งประเมินแนวโน้มการเติบโตของอุตสาหกรรมแอนิเมชั่น ว่าจะอยู่ระดับ 9% อย่างต่อเนื่องจนถึงปีนี้

 

          บนเวที Broadcaster Panel ในงาน Thailand Animation Pitching Workshop 2 (TAP) ซึ่งจัดโดย สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(สสว.) มหาวิทยาลัยศิลปากร และ TACGAได้มีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์และการให้คำเสนอแนะจากผู้ประกอบการในธุรกิจแพร่ภาพและกระจายเสียง (Broadcaster) รายใหญ่สำหรับคอนเทนท์แอนิเมชั่นยุ ราย ได้แก่ ทรูวิชั่นส์ การ์ตูนคลับ และไทยพีบีเอส เพื่อร่วมสนับสนุนให้ผู้ผลิตแอนิเมชั่นไทย เพิ่มศักยภาพตัวเองและโอกาสเติบโตทั้งในตลาดไทยและตลาดโลก

          บทสรุปร่วมที่น่าสนใจยิ่งจากเวทีนี้ ก็คือ แนวโน้มแอนิเมชั่นไทย ได้ปัจจัยหนุนจากความเฟื่องฟูของช่องทางดิจิทัล และเครือข่ายสังคมออนไลน์ รวมทั้งทักษะและคุณภาพผลงานที่ “เทียบชั้น” ตลาดโลก ดังนั้น mindset ใหม่ที่ผู้ผลิตแอนิเมชั่นไทยจำเป็นต้องมี ก็คือ อย่ายึดติดกับความสำเร็จจากรูปแบบเดิมๆ ที่พึ่งพิงช่องทีวี (Broadcaster) เป็นหลัก แต่ต้องสร้างองค์ความรู้ทางธุรกิจ หาจุดแข็งและสร้างงานที่ “ใช่” ทั้งกับตัวเองและกลุ่มเป้าหมายทั้งที่เป็น (ว่าที่)พันธมิตร และผู้ชม รวมไปถึงโปรโมทและสร้างความรู้จักผ่านช่องทางโซเชียล

 

          แต่ละช่องมีนโยบายเลือกคอนเทนท์อย่างไร

 

          ธานินทร์ ติรณสวัสดิ์” ผู้อำนวยการฝ่ายธุรกิจคอนเทนต์กีฬาและเด็ก บมจทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า บทบาทสำคัญของตำแหน่งนี้ คือทำหน้าที่ screen ว่าจะเอาแอนิเมชั่นเรื่องใดเข้ามาฉายในช่อง จากนั้นส่งต่อเป็นหน้าที่ของทีมที่ทำหน้าที่จัดซื้อ ปัจจุบันในจำนวนช่องการ์ตูนทั้งหมดของทรูวิชั่นส์ มีเพียง ช่องการ์ตูนที่ทำเอง ภายใต้แบรนด์ True Smart ได้แก่ Smart Play เจาะกลุ่มเด็กอนุบาล และ Smart Jump ที่เป็นคอนเทนท์สำหรับเด็กประถมต้น วัยไม่เกิน 10 ขวบ

          โดยเฉพาะ Smart Play นั้น อาจเรียกได้ว่าเป็นช่องที่ “สะอาด” ที่สุด การผลิตคอนเทนท์ให้ความสำคัญกับมีความเข้าใจถึงพัฒนาการของเด็ก วิธีการเลือกคอนเทนท์ Play เน้นเล่นเพื่อรู้ สั้นๆ เพราะพฤติกรรมเด็กวัยนี้จะดูซ้ำๆ ตอนที่ชอบ ไม่ใข่เป็นการดูไล่เรียงกันไปตอน 1,2,3

 

 

          เด็กวัยนี้จึงต้องดูทีวีร่วมกับผู้ปกครอง ไม่ควรปล่อยให้ดูคนเดียว เพราะเค้าไม่เข้าใจคอนเทนท์ว่าดีหรือไม่ดี ก็จะมีการคุยกันกับผู้ปกครอง ช่วยให้เด็กๆ มีมุมมองเกี่ยวกับคนที่อยู่รอบข้าง”

          วิไลภรณ์ จงกลวัฒนา” ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักรายการ สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส กล่าวว่า คอนเทนท์ที่สนใจ ต้องเป็นการ์ตูนที่มี react กับเด็กได้ เช่น มีการโยนคำถามกลับมานอกจอ เพื่อที่เด็กจะไม่ใช่แค่นั่งดูเฉยๆ เพราะเหมือนจับยัด “จอตู้” ส่งผลให้เด็กปฏิกิริยาจะเริ่มนิ่ง เริ่มคิดอะไรไม่เป็น จึงต้องเลือกการ์ตูนที่มีการให้ความรู้

          อย่างไรก็ตาม เธอให้มุมมองน่าสนใจด้วยว่า แอนิเมชั่นอย่า “ติดกับดัก” ว่ามีแต่สำหรับเด็ก แอนิเมชั่นเป็นเรื่องของการสื่อสาร คนทำแอนิเมชั่นสามารถสร้างทำให้ผู้ใหญ่ดูก็ได้

 

เกณฑ์ที่คนไทยจะทำการ์ตูนเข้าตา(ช่อง)

 

          ทุกวันนี้ ในแง่การให้ความสำคัญกับคอนเทนท์เด็ก สำหรับสื่อบรอดคาสติ้งกระแสหลัก ต้องยอมรับว่า ยังถูกจัดวางอยู่ในลำดับท้ายๆ ของการจัดสรรงบเพื่อซื้อคอนเทนท์ ด้วยข้อจำกัดที่โฆษณาซึ่งเป็นช่องทางรายได้หลัก ยังยึดติดกับจำนวนผู้ชม หรือเรตติ้ง (Rating) รวมทั้งกฎเกณฑ์ของประเภทสินค้าที่สามารถโฆษณาได้ในช่องเด็ก

          วิไลภรณ์” กล่าวเสริมว่า ไทยพีบีเอส กำลังมองถึงการสนับสนุนให้มีการสร้างการ์ตูนไทยเพิ่มขึ้น หลักเกณฑ์ของแอนิเมชั่นที่จะเลือกคือ จุดแข็งของคอนเทนท์เรื่องนั้นๆ โดยมองว่าฝีมือนักสร้างแอนิเมชั่นไทยอยู่ในระดับสากบอยู่แล้ว แต่พร้อมที่จะศึกษาธุรกิจนี้จริงจังหรือไม่ ต้องมีการวิเคราะห์ รู้จักตัวเอง และจัดวางตำแหน่งของตัวเองให้ชัดเจน

 

 

โซเชียลแพลตฟอร์ม คือโอกาสใหม่ของแอนิเมชั่น

 

          “ธานินทร์” นำเสนอมุมมองเพิ่มเติมว่า ประสบการณ์และมุมมองที่นำมาแลกเปลี่ยนบนเวทีข้างต้น ล้วนเป็นมุมมอของ Broadcaster แต่ยุคนี้ไม่ใช่ยุคของ Broadcaster แล้ว สำหรับนักแอนิเมชั่น ปัจจุบันมีช่องทางอื่นๆ ที่จะสร้างตัวเองได้

          เพราะวันนี้คนที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับแอนิเมชั่น หรือคาแรคเตอร์ ไม่ได้มองความดังจากทีวีแล้ว หน้าใหม่ๆ เริ่มไปทางยูทูบ หรือโซเชียล เป็นช่องทางที่ทำให้คนมีทางเลือก แอนิเมชั่นสั้นๆ แค่ หรือ นาที แต่ถ้าคาแรคเตอร์ชัด โทนชัดว่าจะมุ่งสำหรับผู้ชมในกลุ่มหรือวัยใด โซเชียลคือช่องทางพิเศษ ที่จะทำให้ Broadcaster เข้ามาติดตาม (follow) ซื้อตาม ในยุคนี้ช่องทีวีไม่ใช่จุดเริ่มต้นของไอพีอีกต่อไป”

 

 

          จุลพันธ์ แสงสุพรรณ” ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท เอฟฟ์ จำกัด และบริษัท การ์ตูน คลับ มีเดีย ซึ่งเป็นทั้งผู้นำเข้าและซื้อคอนเทนท์แอนิเมชั่นรายใหญ่ของไทย อีกทั้งมีช่องรายการสำหรับเด็กด้วย กล่าวว่า จำนวนแอนิเมชั่นที่นำเสนอทุกวันนี้ 80% เป็นแอนิเมชั่นญี่ปุ่น ส่วนที่เหลือเป็นของหลายประเทศรวมทั้งที่เป็นผลงานของผู้สร้างแอนิเมชั่นชาวไทย ธุรกิจส่วนหนึ่งก็คือ การจัดหาแอนิเมชั่นให้กับช่องทีวีดิจิทัลบางช่องของไทย

          โดยเกณฑ์คัดเลือกคอนเทนท์ ส่วนหนึ่งเรามองด้วยว่าในอนาคตจะต่อยอดสู่เมอร์ชานไดซ์ (Merchandise) หรือการให้สิทธิ์สินค้า/บริการต่างๆ นำคาแรคเตอร์ไปใช้ในเชิงการตลาด ซึ่ง ณ วันนี้สัดส่วนการ์ตูนไทยยังมีน้อย แต่บริษัทมีแผนสร้างการ์ตูนไทยให้เห็นมากขึ้นในอนาคต ส่วนหนึ่งอาจเป็นการทำงานร่วมกับผู้ทำแอนิเมชั่นไทย และแบ่งรายได้กันในรูปแบบ revenue sharing

 

 

          เมอร์ชานไดซ์เป็นส่วนนึง แต่อีกอย่างก็คือ คนไทยจะติดกับเรื่องเรตติ้ง ซึ่งจะส่งผลกับเรื่องรายได้ เมื่อไม่มีรายได้ ก็ไม่มีแรงโปรโมท ดังนั้น เราต้องดูว่างาน (แอนิเมชั่นนั้นๆ ทำเงินได้มั้ย จะไปทางไหนได้อีกหรือเปล่า ทรัพย์สินทางปัญญา (ไอพีของไทยต้องเหมาะกับการขายต่างประเทศมากขึ้น”

          ธานินทร์” บอกว่า ในส่วนของทรู ก็มองหาแอนิเมชั่นที่สร้างโดยคนไทย (original production) อยู่ตลอด แต่ไม่ได้เป็นการมองหา animation ในเชิง visual หรือภาพสวยๆ เพราะดูซับซ้อน จึงต้องมองหาแต่ที่เข้าใจง่ายๆ คือเนื้อเรื่อง เนื้อหาที่แข่งขันได้ในตลาดโลกจริงๆ

          คนทำแอนิเมชั่นต้องเข้าใจเรื่องพวกนี้ บริษัทใหญ่ๆ คิดกันแบบนี้ทั้งนั้น ต้องเข้าใจและยอมรับให้ได้ เพื่อจะได้รู้ว่าต้องปรับตัวแบบไหน เพื่อให้ขายไอเดียได้ มีตัวอย่างของค่ายแอนิเมชั่นรายหนึ่งของเกาหลี และประสบความสำเร็จในเรื่องแอนิเมชั่นเด็ก ก็คือ แข็งแรงเรื่องเนื้อหา เพราะมีความเข้าใจพัฒนาการเด็ก แล้วจึงไปพัฒนาบท จากนั้นค่อยหา visual stylist มารับงานต่อ ซึ่งตลาดบ้านเรายังไปไม่ถึงตรงนี้”

 

 

          ดังนั้น โซเชียล คือโอกาสใหม่สำหรับการสร้างงาน และเผยแพร่ ไม่มีข้อจำกัดดด้าน Format ไม่จำกัดว่าต้องสั้นหรือยาว ต้องลงทุนมากเท่าใด ช่องทางดิจิท้ลใหม่ๆ ช่วยลดต้นทุนในการเข้าถึงกลุ่มผู้ชม จากเดิมที่ต้องผ่านเฉพาะช่องทีวี ต้นทุนสูง และได้ทะลายพรมแดน ไม่ถูกจำกัดเฉพาะในประเทศไทย ถ้าเป็นสิ่งที่ข้ามภาษาได้

          จุลพันธ์” ยกตัวอย่างว่า คนทำแอนิเมชั่นยุคนี้ ไม่ต้องพึ่งทีวีแล้ว อาจทำเป็นซี่รี่ย์ให้ดูก่อน จุดเริ่มต้นอาจจะโฟกัสตัวเรื่อง ซึ่งต้องมีความชัดเจน คาแรคเตอร์ชัด จากนั้นขยายสู่เครือข่ายโซเชียลเพื่อใช้เป็นช่องทางโปรโมท หรือสร้างคาแรคเตอร์ออกมาเป็นสติกเกอร์ไลน์ ถ้าทำแล้วถูกใจผู้บริโภค อาจสามารถเอามาผลิตเป็นชุดต่อๆ ไป ถ้าคนนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ หรือขยายต่อยอด ทุกวันนี้สื่อออนไลน์ ยูทูบ การสร้างแฟนเพจ เป็นช่องทางที่อยู่รอดได้สำหรับคนทำแอนิเมชั่น

          ลายเส้น สีสัน เนื้อหามีอยู่แล้ว แต่ต้องทำอย่างไรให้ชื่อเสียงไปทั่วโลก ยกตัวอย่าง โดราเอมอนของญี่ปุ่น ได้รับความนิยมจนถึงวันนี้ เพราะสร้างคาแรคเตอร์ชัด มีการส่งต่อ ต่อยอด และทำเมอร์ชานไดซ์ ดังนั้นการสร้างคาแรคเตอร์ต้องชัดเจน และทางรอดคือ ต้องหลากหลายแพลตฟอร์ม”

          วิไลภรณ์” บอกว่า ในยุคดิจิทัล คนทำแอนิเมชั่น ต้องหาช่องทางของตัวเองออกมา ออนไลน์พื้นที่กว้าง พื้นที่เยอะ ขายให้ถูกกลุ่ม ถูกจุด ถ้าดังขึ้นมาระดับหนึ่งแล้ว ช่องก็จะไปเอามา ติดลมแล้วอื่นๆ ก็จะตามมา เช่น สติกเกอร์ไลน์ แล้วก็มาสร้างเป็นเรื่องราว พร้อมย้ำว่า “หาช่องทางขายของตัวเอง ก่อนมาพึ่ง Broadcaster” และโซชียลถือเป็นตลาดใหม่สำหรับคนทำแอนิเมชั่น ขายตัวเองผ่านออนไลน์ และสื่อโซเชียล

 

 

          ผู้อำนวยการฝ่ายธุรกิจคอนเทนต์กีฬาและเด็ก ของทรู สรุปปิดท้ายสำหรับคนทำแอนิเมชั่นว่า “ถ้าไม่ใช่ตัวเอง ก็อย่าทำ” เพราะจะทำให้ไอพีเบี่ยงเบน ไม่ชัดเจน ขาด “จิตวิญญาณคาแรคเตอร์ไอพี” ต้องใช้เครือข่ายโซเชียลให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายให้ได้ ถ้ามีความชัดเจน ตอบโจทย์ตลาดนั้น และดูว่า reaction การตอบรับแค่ไหน

          มันขึ้นกับฝีมือพวกเรา ผมชื่อใจว่าฝีมือเรากับในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงจีนก็พอๆ กัน แต่ขาดเรื่องวิธีคิดของผู้ประกอบการแอนิเมชั่น จำเป็นต้อง level up ขึ้นมา ข้ามขั้นจากฝีมือไปสู่องค์ความรู้ในการทำธุรกิจได้แล้ว องค์ความรู้ในการเดินทางสร้างแอนิเมชั่นที่จะเข้าไปในต่างประเทศ เข้าใจคนทำธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเรา ว่าเวลาที่เขาจะลงทุนกับเรา เขาคิดจากอะไร ใช้อะไรเป็นเกณฑ์ในการตัดสินใจ เขาจะลงทุนจุดไหน ถ้าเราไม่รู้จุดนี้ ก็จะบอกไม่ได้ว่าเขาจะมาทำอะไรกับเรา ถ้าคนเหล่านี้ไม่สนับสนุน ไม่มาทำกับเรา โอกาสที่งานเราจะมาก็จะหลุด”

‘บล็อกเชน’ ไม่ใช่แค่เรื่องเหรียญดิจิทัล

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/news/lifestyle/372152

‘บล็อกเชน’ ไม่ใช่แค่เรื่องเหรียญดิจิทัล

วันที่ 18 พฤษภาคม 2562 – 12:30 น.
Digital Transformation,บล็อกเชน,ไอที,วิทยาการ,เทคโนโลยีบล็อกเชน,ฟอร์ติเน็ต,ความปลอดภัยทางไซเบอร์,Private Blockchain Vulnerabilities
เปิดอ่าน 7,017 ครั้ง

คมลัมน์ “อินโนสเปซ” โดย “บัซซี่บล็อก” หนังสือพิมพ์ คมชัดลึก ฉบับวันเสาร์-อาทิตย์ 18-19 พ.ค. 2562

 

********************

 

หลายปีที่ผ่านมา แม้คนไทยจะคุ้นหูกับคำว่า “บล็อกเชน (Blockchain)” ขึ้นเรื่อยๆ แต่ต้องยอมรับว่าความเข้าใจเกี่ยวกับเทคโนโลยีนี้ ส่วนใหญ่ยังจำกัดอยู่ที่การผูกติดอยู่กับในเรื่องของสกุลเงินดิจิทัล ที่รู้จักกันแพร่หลายที่สุดคงต้องยกให้ บิทคอยน์ (Bitcoin) ที่เคยถึงจุดสูงสุดมาแล้ว ด้วยการสร้างมูลค่าอัตราแลกเปลี่ยนสูงเป็นร้อยเท่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินที่มีการใช้จริงในโลกกายภาพ

          อย่างไรก็ตาม ด้วยจุดเด่นเรื่องความปลอดภัย และความรวดเร็วในการแลกเปลี่ยนข้อมูลจำนวนมหาศาล ทำให้จากนี้ไป บล็อกเชน จะขยับขึ้นมามีบทบาทในการทำกิจกรรมในหลากหลายธุรกิจเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และที่สำคัญคือ ใกล้ตัวผู้บริโภคอย่างเราๆ ยิ่งขึ้น

          “แมททิว ควน” ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและโซลูชั่นความปลอดภัย ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และฮ่องกง ฟอร์ติเน็ต บอกว่า “บล็อกเชน (Blockchain) เป็นเทคโนโลยีที่ในปัจจุบัน มิได้เป็นเพียงแค่สกุลเงินดิจิทัล (Cryptocurrencies) อีกต่อไป บล็อกเชนได้รับการยอมรับสูงมากขึ้นอย่างรวดเร็ว ขยายขอบเขตการประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมหลากหลายประเภทและภาคเศรษฐกิจมากมาย”

          รายงานของไอดีซีล่าสุดได้คาดการณ์ถึงการใช้โซลูชั่นบล็อกเชนระหว่างปี 2560-2565 ว่าจะมีอัตราการเติบโตทั่วโลกต่อปี (CAGR) สูงถึง 73.2% หมายถึงยอดการลงทุนในเทคโนโลยีบล็อกเชนทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นจาก 1.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2561 เป็น 11.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2565 โดยภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (ไม่รวมประเทศญี่ปุ่น) บล็อกเชนจะมีอัตราการเติบโต CAGR ใกล้เคียงกับส่วนอื่นๆ ของโลกที่ 72.6% อย่างไรก็ตาม คาดว่าญี่ปุ่นจะเป็นผู้นำการใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนมากที่สุดในโลก โดยคาดการณ์การเติบโต CAGR อยู่ที่ 108.7%

เทคโนโลยีที่ช่วยเปลี่ยนโฉมหน้าของการทำธุรกิจ

          “วิไลพร ทวีลาภพันทอง” หุ้นส่วนสายงานธุรกิจที่ปรึกษา บริษัท PwC ประเทศไทย บอกว่า บล็อกเชนได้รับการขนานนามจากทั่วโลกว่า เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยเปลี่ยนโฉมหน้าของการทำธุรกิจ เพราะเป็นระบบที่แยกเก็บบัญชีธุรกรรมไว้ในที่ต่างๆ โดยกระจายฐานข้อมูลแยกศูนย์แต่สามารถเชื่อมต่อเครือข่ายแบบเพียร์ทูเพียร์ (peer to peer) หรือระบบที่ทุกคนแชร์ข้อมูลกันไปมาโดยไม่มีศูนย์กลางได้ ทำให้ลดภาระค่าใช้จ่าย และสามารถตรวจสอบและเข้าถึงข้อมูลได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น นอกจากนี้ เทคโนโลยีบล็อกเชนยังมีความเที่ยงตรงสูง จึงสร้างความโปร่งใส และความเชื่อมั่นให้แก่ธุรกิจมากขึ้น

          ผลสำรวจ Global Blockchain Survey 2018 ที่จัดทำโดย PwC ได้สอบถามความคิดเห็นของผู้บริหารจำนวน 600 คนจาก 15 ประเทศ เกี่ยวกับการเข้ามาของเทคโนโลยีนี้ พบว่า 84% ของผู้บริหารทั่วโลกได้มีการนำเทคโนโลยีบล็อกเชนมาประยุกต์ใช้กับธุรกิจของตน บริษัทวิจัยและวิเคราะห์ข้อมูลด้านเทคโนโลยีสารสนเทศชั้นนำของโลกอย่าง การ์ทเนอร์ (Gartner) ก็คาดการณ์ว่า บล็อกเชนจะสามารถสร้างมูลค่าทางธุรกิจได้มากกว่า 300 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2573 ปัจจุบันอุตสาหกรรมบริการทางการเงิน เป็นผู้นำตลาดในการใช้บล็อกเชน รองลงมาคือ อุตสาหกรรมการผลิต อุตสาหกรรมพลังงานและสาธารณูปโภค

บล็อกเชนอยู่ใกล้ตัวมากขึ้น

         ทั้งนี้ PwC ระบุอีกว่า ธุรกิจในกลุ่มอุตสาหกรรมอื่นกำลังขยับเข้ามาสู่โลกของบล็อกเชนเช่นกัน ได้แก่ ธุรกิจค้าปลีก ที่นำเทคโนโลยีนี้มาใช้ในการจัดการระบบซัพพลายเชน ธุรกิจสื่อและบันเทิง อย่างวงการเพลง ที่นำบล็อกเชนเข้ามาช่วยในการแก้ปัญหาการดาวน์โหลดเพลง การคัดลอกเพลง รวมทั้งผู้บริโภคยังสามารถเลือกฟังเพลงที่ต้องการ และจ่ายเงินให้แก่ศิลปินโดยตรงผ่านระบบบล็อกเชนในรูปแบบสกุลเงินดิจิทัล โดยไม่ผ่านแพลตฟอร์มตัวกลางหรือค่ายเพลงได้อีกด้วย

          สำหรับประเทศไทย ภาคธุรกิจและหน่วยงานกำกับต่างตื่นตัวในการพัฒนาและประยุกต์ใช้ระบบบล็อกเชนมากขึ้น เมื่อปีที่ผ่านมา ธนาคาร 14 แห่ง จับมือกับรัฐวิสาหกิจและองค์กรขนาดใหญ่ 7 แห่ง จัดตั้งชุมชน Thailand Blockchain Community Initiative เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีบล็อกเชน อีกทั้งได้ริเริ่มโครงการบริการหนังสือค้ำประกันอิเล็กทรอนิกส์บนระบบบล็อกเชนเป็นโครงการแรก ควบคู่กับการที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ริเริ่มสร้างสกุลเงินดิจิทัลสัญชาติไทย “อินทนนท์” ขึ้นมาเป็นโครงการนำร่อง

บล็อกเชน ต่อยอดสู่โซลูชั่นด้านการแพทย์

          ขณะที่ มีบทความน่าสนใจในเว็บไซต์ของดิจิทัล เวนเจอร์ส (Digital Ventures) ได้เอ่ยถึงเทคโนโลยีบล็อกเชน ในบทบาทของโซลูชั่นใหม่สำหรับวงการแพทย์ รวมถึงการพัฒนาต่อยอดจนเกิดเทคโนโลยีใหม่ๆ อย่าง Smart Contract ด้วยคุณสมบัติของบล็อกเชนในเรื่องของการแชร์ข้อมูลที่โปร่งใสและปลอดภัย

          “เป็นที่ทราบกันดีว่าระบบต่างๆ สำหรับวงการแพทย์หรือการบริการด้านสุขภาพนั้น มักมีขั้นตอนที่ค่อนข้างเยอะ และมีการทำงานที่ค่อนข้างช้า โดยเฉพาะการจัดการกับระบบข้อมูลของผู้ป่วยที่มักมีข้อจำกัดเรื่องการแลกเปลี่ยนและส่งต่อข้อมูลส่วนบุคคล เช่น ประวัติการรักษาข้ามโรงพยาบาล ที่ต้องได้รับการยืนยันจากตัวบุคคลนั้นก่อน จึงจะสามารถเปิดเผยได้ ซึ่งขั้นตอนในการยืนยันตัวตนเหล่านี้ส่งผลให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาที่ล่าช้า ซึ่งในบางครั้งก็เกิดผลกระทบที่รุนแรงต่อผู้ป่วยบางราย”

          บทความชิ้นนี้ ยังได้ยกตัวอย่างความสามารถในการช่วยให้การจัดการและการส่งต่อข้อมูลในวงการแพทย์เป็นไปไปอย่างรวดเร็วและปลอดภัย เช่น กรณีการย้ายโรงพยาบาล ผู้ป่วยจะไม่จำเป็นต้องยืนรอต่อคิวเพื่อกรอกประวัติใหม่ รวมไปถึงช่วยเพิ่มศักยภาพในการวินิจฉัยโรคต่างๆ ให้ถูกต้องแม่นยำมากขึ้น เนื่องจากมีการส่งต่อข้อมูลจากโรงพยาบาลเก่า เพื่อนำมาประกอบการวินิจฉัยครั้งใหม่ได้ นอกจากนี้ บล็อกเชน ยังสามารถช่วยผู้ป่วยตรวจสอบราคาที่เป็นธรรมได้อีกด้วย เช่น หากแพทย์มีการสั่งใบจ่ายยา ผู้ป่วยก็จะสามารถเช็กได้ว่าราคาที่ต้องจ่ายนั้นเหมาะสมกับราคาที่ซื้อขายกันอยู่ในตลาดหรือไม่

ปกป้องอนาคตของบล็อกเชนในเอเชียแปซิฟิก

          จากบทความเผยแพร่ของ ฟอร์ติเน็ต ได้ระบุว่า ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกได้กลายเป็นแหล่งรวมนวัตกรรมแอพพลิเคชั่นสำหรับบล็อกเชน มีโครงการนำร่องที่ใช้บล็อกเชนหรือกำลังดำเนินการอยู่ในทั้งภาครัฐ ธุรกิจสาธารณูปโภค ไฟฟ้า ห่วงโซ่อุปทานของธุรกิจรักษาความปลอดภัย รวมถึงกรณีการใช้งานเพื่อสิ่งแวดล้อมมากมาย อีกทั้งเห็นแนวโน้มว่าการใช้บล็อกเชนในภูมิภาคนี้จะสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

          อย่างไรก็ตาม เนื่องจากอุตสาหกรรมในเอเชียแปซิฟิกและในญี่ปุ่นมีการใช้บล็อกเชนมากยิ่งขึ้น จึงจำเป็นต้องใช้กระบวนการด้านความปลอดภัยเข้ามาป้องกันโครงการบล็อกเชนใหม่ๆ ด้วยเช่นกัน เพราะยิ่งเป็นเทคโนโลยีที่มีการเติบโตและมีความสำคัญทางเศรษฐกิจ ก็ยิ่งทำให้บล็อกเชนกลายเป็นเป้าหมายในการถูกแทรกแซงทางไซเบอร์มากขึ้น

          ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและโซลูชั่นความปลอดภัย ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และฮ่องกง ฟอร์ติเน็ต ได้ให้คำแนะนำเบื้องต้นว่า องค์กรต้องระมัดระวังช่องโหว่บล็อกเชน และเทคโนโลยีการกระจายข้อมูลบัญชี (Distributed Ledger Technology: DLT) ที่ใช้อยู่เป็นจำนวนมากในด้านต่างๆ ได้แก่ การเข้ายึดครองความเป็นเอกฉันท์ (Consensus Hijack) เนื่องจากในเครือข่ายที่เป็นแบบกระจาย ไม่มีตัวกลาง และไม่มีระบบการอนุญาตการเข้าถึงที่แข็งแกร่งในเครือข่ายนี้ ผู้ไม่หวังดีอาจแทรกแซงสามารถแก้ไขขั้นตอนการตรวจสอบได้

          สมาร์ทคอนแทร็ค (Smart Contract) โดยอาจเกิดปัญหาที่โปรแกรมการทำธุรกรรมแบบอัตโนมัติที่ทำงานบนบัญชีแบบกระจายตามประเภทธุรกิจได้ เช่น การออกนโยบายด้านประกันได้ด้วยตนเอง รวมถึงสัญญาซื้อขายทางการเงินล่วงหน้า สิ่งนี้อาจทำให้เกิดข้อผิดพลาดในการเขียนโค้ดซึ่งมักเกี่ยวข้องกับภาษาการเขียนโปรแกรมพิเศษที่ใช้ในการกำหนด Smart Contract ต่างๆ ที่ผ่านมาพบกรณีลักษณะนี้มาบ้างแล้ว

          ช่องโหว่ในบล็อกเชนส่วนตัว (Private Blockchain Vulnerabilities) องค์กรบางแห่งได้ติดตั้งระบบบล็อกเชนส่วนตัวที่สร้างเอาไว้ใช้เองแบบปิด โดยใช้โครงสร้างเครือข่ายที่มีอยู่บนบริการคลาวด์ที่ใช้อยู่ และวิธีกำหนดสิทธิ์การเข้าถึงของผู้ใช้ที่มีอยู่ แต่ผู้ไม่ประสงค์ดีกลับรู้สึกอยากคุกคามเข้ามามากขึ้น และเมื่อเข้ามาได้แล้ว เขาจะมองหาสิ่งที่มีค่า ดังนั้น องค์กรจึงควรพิจารณาสร้างเกราะความปลอดภัยเพื่อปกป้องสิ่งที่มีค่าต่างๆ

โครงการเด่นบล็อกเชนในเอเชีย

          ฟอร์ติเน็ต ได้เผยตัวอย่างโครงการบล็อกเชนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกสำคัญ 6 โครงการ ได้แก่ 1.Energy-Blockchain Labs มีการใช้บล็อกเชนในการติดตามการปล่อยก๊าซคาร์บอน ซึ่งอาจเชื่อมโยงกับการชดเชยการปล่อยก๊าซและตลาดซื้อขายคาร์บอนในประเทศจีน 2.Blockchain Food Safety Alliance ในประเทศจีน เป็นความร่วมมือระหว่าง IBM และ Wal-Mart เพื่อติดตามการกระจายและซัพพลายเชนของสินค้าบริโภค

          3.เมือง Freemantle ประเทศออสเตรเลีย นำบล็อกเชนมาใช้ในการจัดการโครงสร้างพื้นฐานของการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์และน้ำร้อนแบบอัจฉริยะ เพื่อตอบสนองความต้องการและสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา 4.กลุ่มบริษัทอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กำลังปรับใช้บล็อกเชนเพื่อสนับสนุน “โครงการไม่ทำลายป่า ไม่ใช้ถ่านหินพีท ไม่มีเอาเปรียบคนและสิ่งแวดล้อม” (NDPE) และรองรับห่วงโซ่อุปทานสำหรับผลิตภัณฑ์น้ำมันพืชที่สำคัญนี้

          5.เมืองไทเป ได้ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน รวมกับ IoT เพื่อสนับสนุนโครงการริเริ่มด้านรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ในหลายรูปแบบ รวมถึงการทำบัตรประจำตัวประชาชนอัจฉริยะ และการ์ดแสดงผลมลพิษ/แสดงสภาพอากาศในรูปแบบบัตรขนาดเล็ก และ 6.กระทรวงกิจการภายในและการสื่อสารของญี่ปุ่น กำลังนำระบบบล็อกเชนเข้ามาใช้ในการจัดซื้อของรัฐบาลและธุรกรรมอื่นๆ ให้เป็นไปโดยอัตโนมัติ

          “แม้ว่าเทคโนโลยีบล็อกเชนจะมีประโยชน์มากมาย แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีและความปลอดภัยทางไซเบอร์ก็จะพบกับสิ่งที่ไม่พึงประสงค์มากขึ้นจากการใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนเพิ่มขึ้นเช่นกัน ดังนั้น ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ควรรวมกระบวนการความปลอดภัยตั้งแต่ในขั้นตอนการวางแผนและออกแบบบล็อกเชน ซึ่งฟอร์ติเน็ต ได้เข้ามามีบทบาทสร้างความปลอดภัยทางไซเบอร์ในกระบวนการปฏิรูปดิจิทัล (Digital Transformation) ซึ่งบล็อกเชนเองก็เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการ”

เทคโนโลยีการแพทย์ บนความท้าทายของ กม. ข้อมูลส่วนบุคคล

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/news/lifestyle/371309

เทคโนโลยีการแพทย์ บนความท้าทายของ กม. ข้อมูลส่วนบุคคล

วันที่ 11 พฤษภาคม 2562 – 12:45 น.
ไอที,เทคโนโลยี,AR
เปิดอ่าน 6,393 ครั้ง

คอลัมน์ อินโนสเปซ โดย บัซซี่บล็อก หนังสือพิมพ์ คมชัดลึก ฉบับวันที่ 11-12 พฤษภาคม 2562

ความล้ำหน้าของเทคโนโลยีใหม่ๆ ถูกจับตามองอย่างใกล้ชิดยิ่งขึ้นในวงการด้านการแพทย์ ทั้งในแง่ของประโยชน์ต่อการพัฒนาประสิทธิภาพการรักษาพยาบาล และช่วยให้ประชาชนเข้าถึงบริการสุขภาพเป็นไปได้อย่างทั่วถึงครอบคลุมยิ่งขึ้น ไม่ถูกจำกัดด้วยอุปสรรคด้านการเงิน และระยะทาง อย่างไรก็ตาม อีกด้านหนึ่งกำลังเกิดความวิตกสถานะในอนาคตของ ‘ข้อมูลส่วนบุคคล’ ของคนไข้ ซึ่งถือเป็นข้อมูลปิดลับเฉพาะตัวคนไข้ และแพทย์ผู้รักษาเท่านั้น

          ความวิตกในเรื่องนี้ ส่วนหนึ่งเป็นแรงกดดันจากการแพร่กระจายของเครือข่ายสังคมออนไลน์ ที่มีส่วนทำให้เกิดบริการหรือกลุ่มให้คำปรึกษาทางการแพทย์ทางออนไลน์ ทั้งระหว่างกลุ่มคนไข้ด้วยกันเอง หรือที่ให้บริการโดยกลุ่มผู้ประกอบวิชาชีพทางการแพทย์ (Online Doctor) การที่มีอุปกรณ์สุขภาพแนวแฟชั่น อย่างเช่น Apple Watch หรือสายรัดข้อมือ Fitbit ได้รับความนิยมแพร่หลาย รวบรวมข้อมูลสุขภาพของผู้สวมใส่โดยอัตโนมัติ (และแน่นอนว่าไปรวมไว้บน cloud ของบริษัทผู้ผลิตโดย) จนรัฐบาลในฝั่งอเมริกาและยุโรป ต้องคลอดกฎหมายการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่ครอบคลุมและเข้มงวดกับอุตสาหกรรมด้านสาธารณสุขนี้ออกมา ขณะที่ ล่าสุดประเทศไทยก็เตรียมประกาศใช้ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งแนวทางหลักๆ ก็จะสอดคล้องไปกับกฎหมายนี้ของสหภาพยุโรป หรือ GDPR (General Data Protection Regulation)

ฟอร์บส์เผย 6 เทรนด์การแพทย์ยุคใหม่

          ท่ามกลางยุคแห่งเทคโนโลยีพลิกโลก (Technology Disruption) ที่หลายอุตสาหกรรมต้องเร่งปรับตัวเพื่อความอยู่รอดและเติบโต แต่สำหรับอุตสาหกรรมการดูแลสุขภาพ (Healthcare) แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัล ได้ขยับบทบาทของเทคโนโลยีทางการแพทย์ให้สูงขึ้น จากจุดเด่นที่ว่า เทคโนโลยีช่วยคนให้มีชีวิตยืนยาวขึ้น ปลอดภัยขึ้น สุขภาพแข็งแรงขึ้น ใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพได้ดีขึ้น

          นิตยสารฟอร์บส์ ได้คาดการณ์ 6 แนวโน้มสำคัญของเทคโนโลยีทางการแพทย์ในปี 2019 ซึ่งสามารถช่วยอำนวยความสะดวกให้กับทั้งผู้ป่วย และแพทย์ ทั้งในด้านค่าใช้จ่าย เพิ่มความเที่ยงตรงในการวินิจฉัยอาการ ลดกระบวนการทำงาน และเพิ่มความรวดเร็วในการรักษาหรือช่วยชีวิตคนไข้ เทคโนโลยีมาแรงด้านการแพทย์เหล่านี้ ได้แก่

1.การแพทย์ทางไกล (Telemedicine)

          ตัวเลขผู้รับบริการการรักษาพยาบาลทางไกล (Telehealth) เพิ่มอย่างโดดเด่นจากจำนวนกว่า 1 ล้านคนเมื่อปี 2558 เป็น 7 ล้านคนในปีที่ผ่านมา ปัจจัยหนุนส่วนหนึ่งมาจากความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีที่ช่วยให้การรักษาพยาบาลไฮเทคนี้ ‘เข้าถึง’ ผู้ป่วยในพื้นที่ห่างไกลได้ครอบคลุมทั่วถึงมากขึ้น ยื้อชีวิตและสสนับสนุนการมีคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับกลุ่มคนในพื้นที่ห่างไกล และด้อยความสามารถในการใช้จ่ายเพื่อเดินทางเข้ามารับการรักษาที่โรงพยาบาล

          นอกเหนือจากผู้รับประโยชน์จากเทคโนโลยีนี้ในฟากของผู้รับบริการหรือผู้ป่วย ในส่วนของแพทย์ก็สามารถประหยัดเวลา และค่าใช้จ่ายในการเดินทางออกไปเยี่ยมเยียนคนไข้อีกด้วย เรียกได้ว่า win-win กันทั้งสองฟาก

2.ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence)

          การสแกนตรวจร่างกาย และบริการทางการแพทย์ต่างๆ จะถูกยกระดับไปอีกหลายๆ ขั้น ด้วยการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการเรียนรู้เชิงลึก (Deep Learning) ซึ่งจะช่วยเพิ่มความรวดเร็วในการวิเคราะห์ภาพถ่ายจากซีทีสแกนได้มากกว่าเดิมถึง 150 เท่า สามารถตรวจพบสิ่งผิดปกติจากผลการสแกนได้ภายในหลักวินาที เมื่อเทียบกับการรอผลจากนักรังสีวิทยา

คนไข้ไม่ต้องเครียดกับการรอลุ้นผลตรวจ ได้ความเที่ยงตรงของผลลัพธ์ ทั้งนี้ AI ยังสามารถช่วยประเมินแนวทางการรักษาที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดสำหรับแต่ละอาการ

3.บล็อกเชน (Blockchain)

          บล็อกเชน จะเข้ามีบทบาทในกระบวนการส่งต่อแฟ้มข้อมูลการรักษาพยาบาลของคนไข้ ระหว่างแพทย์ผู้รักษา เพราะต้องตระหนักถึงข้อเท็จจริงที่ว่า คนไข้ 1 คน จะมีแพทย์ผู้รับผิดชอบมากกว่า 1 คน ในทางกลับกันแพทย์แต่ละคนก็ต้องดูแลคนไข้มากกว่า 1 ราย เทคโนโลยีนี้จะเข้ามา ‘ปิดช่องว่าง’ เรื่องความไม่มั่นใจต่อความปลอดภัยหรือการรั่วไหลของข้อมูลคนไข้ในระหว่างทางของกระบวนการส่งต่อ เนื่องจากจะอนุญาตให้แพทย์ทผู้มีสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลการรักษานั้นๆ จึงจะสามารถอ่านประวัติคนไข้/การรักษาที่ผ่านมาได้ ป้องกันข้อผิดพลาดหรือความคลาดเคลื่อนในขั้นตอนการรักษา ทำให้ได้รับการวินิจฉัยและการรักษาตรงตามอาการ

4. ARและเทคโนโลยีเสมือน (AR and VR)

          เทคโนโลยีการผสานโลกจริงและโลกเสมือน หรือ AR (Augmented reality)ช่วยให้แพทย์เรียนรู้วิธีการทำงานในกระบวนการรักษาที่อาจเป็นอันตราย อย่างเช่น การผ่าตัดหัวใจ แต่แนวโน้มที่เหนือล้ำไปอีกก็คือ มีการคาดการณ์ว่า AR และ VR จะเป็นเทคโนโลยีที่เข้ามาช่วยเหลือในขั้นตอนการรักษาผู้ป่วยใม่เฉพาะแต่อาการทางร่างกาย แต่รวมไปถึงอาการของโรคอัลไซเมอร์ และภาวะสมองเสื่อมในผู้สูงอายุ

          การใช้เทคโนโลยีที่สามารถจำลองสถานการณ์หรือโรคจริง จะเข้ามาช่วยฟื้นฟูความทรงจำให้กับผู้ป่วยในกลุ่มนี้ ความสุขในการย้อนกลับสู่ภาพแห่งวันเวลาและประสบการณ์ต่างๆ จะเป็นหนึ่งในเครื่องมือบำบัดและเยียวยาที่มีประสิทธิภาพ

5.การเก็บสำเนาในรูปดิจิทัล (Digital Twin)

          เทคโนโลยี Digital Twins เป็นเสมือนสะพานเชื่อมระหว่างโลกทางกายภาพและโลกดิจิทัล เพื่อจำลองสภาพแวดล้อมตามแบบของจริง ในแง่ของอุตสาหกรรมด้านการแพทย์ เทคโนโลยีนี้ จะช่วยสร้างสภาพแวดล้อมที่มีความปลอดภัย สำหรับผู้ให้บริการทางการแพทย์ หรือผู้ผลิตเครื่องมือแพทย์ สามารถทดสอบผลกระทบต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ในกระบวนการปฏิบัติงานหรือทำการรักษาคนไข้ การทดสอบเหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยการเรียนรู้จากปริมาณข้อมูลมหาศาล (Big Data) ที่รวบรวมไว้จากระบบจริงนั่นเอง ซึ่งหมายความว่ายิ่งมีการรวบรวมข้อมูลจากการรักษาจริง มาให้ระบบเรียนรู้ได้มากเท่าไหร่ (ด้วยการใช้ประโยชน์จาก AI และการเรียนรู้ของเครื่องจักร (Machine Learning) ความรู้และความเชี่ยวชาญในการด้านการักษาพยาบาลก็จะยิ่งก้าวไกลเพิ่มขึ้นเท่านั้น

6.อุปกรณ์สวมใส่ได้ และ IoT

          อุปกรณ์ไฮเทคใหม่ๆ ชิ้นเล็กๆ อย่างนาฬิกา หรือสายรัดข้อมือที่ตรวจวัดชีพจร อัตราการเต้นของหัวใจ ปริมาณแคลอรี่ ต่างๆ เหล่านี้ หรือที่เรียกกันติดปากว่า Wearable กำลังพัฒนาจากการเป็นแฟชั่นด้านสุขภาพ มาสู่การเป็นเครือข่ายเครื่องมือจัดเก็บข้อมูลสุขภาพแบบเรียลไทม์ ด้วยการรวบรวมข้อมูลผ่านอินเทอร์เน็ตในทุกสิ่ง (IoT) ในยุคที่ IoT พุ่งแรงอย่างใม่หยุด ทำให้เทคโนโลยีนี้จะยิ่งทรงพลังมากขึ้นต่ออุตสาหกรรมการแพทย์ ตามปริมาณข้อมูลที่จะทวีปริมาณมหาศาลขึ้นเรื่อยๆ ตามจำนวนอุปกรณ์ IoT ด้านสุขภาพที่กระจายอยู่ในโลกจริง ข้อมูลเหล่านี้สามารถพัฒนามาใช้ในการวิจัยและพัฒนาตัวยา ตลอดจนวิธีการรักษาทางการแพทย์ที่ก้าวหน้าขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย

ดีอี หนุนสธ.แชร์ไอเดีย กม.ลูกข้อมูลส่วนบุคคล

          นาวาเอกสมศักดิ์ ขาวสุวรรณ์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) กล่าวในวงเสวนาหัวข้อ Privacy & Cyber Security Law: Implications for Healthcare ถึงความจำเป็นที่ประเทศไทยจะต้องเร่งผลักดันเพื่อสร้างกลไกการให้ความคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และดูแลระบบความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งเสริมการให้บริการสาธารณสุขไทยเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยคุ้มครองข้อมูลให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน สอดคล้องกับมาตรฐานสากล

          โดยปัจจุบันประเทศไทยมีระบบฐานข้อมูลของสาธารณสุข มีข้อมูลคนไข้อยู่ 40-50 ล้านราย แต่ยังขาดการเชื่อมโยงกับฐานข้อมูลของโรงพยาบาลเอกชน ซึ่งหากปลดล็อคในส่วนนี้ได้ จะเอื้อต่อการให้บริการทางการแพทย์ด้วยเทคโนโลยีการรักษาทางไกล (Telemedicine)

          “กฎหมายใหม่ที่ออกมา จะมีผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์เข้ามาร่วมทำงานในกระบวนการออกกฎหมายลูก หัวใจสำคัญคือการสร้างสมดุลด้วยการใช้ทั้งหลักนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์ เพื่อสนับสนุนการแลกเปลี่ยนข้อมูลบนแพลตฟอร์มเดียวกัน และอำนวยความสะดวกในการส่งต่อการรักษาที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ รวมถึงการสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ป่วยในการให้สิทธิแพทย์ผู้ดูแลเข้าถึงข้อมูลการรักษาพยาบาล”

          รองปลัดดีดี กล่าวอีกว่า ปัจจุบันแนวโน้มที่ทุกกิจกรรมขึ้นไปอยู่บนโครงข่ายอินเทอร์เน็ต หรือ OTT (Over the Top) ดังนั้น การออกกฎหมายดิจิทัลต้องสอดคล้องกับสหประชาชาติ สอดคล้องกับสหภาพยุโรป สามารถเชื่อมโยงกับทั้งโลกได้ โดยความคืบหน้าล่าสุดของ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล รวมทั้ง พ.ร.บ. การรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ซึ่งอยู่ในขั้นตอนรอการประกาศใช้นั้น ล่าสุดได้มีการจัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และสำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงไซเบอร์แห่งชาติแล้ว

การแพทย์ย้ำต้องมุ่งประโยชน์สาธารณะ

          ดร.นพ.นวนรรน ธีระอัมพันพันธุ์ ผู้ช่วยคณบดีฝ่ายสารสนเทศ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวว่า ข้อมูลคนไข้เป็นข้อมูลอ่อนไหวที่คนในสาขาการแพทย์รับรู้กันอยู่แล้ว และฝังในจรรยาบรรณการแพทย์ ดังนั้นหัวใจสำคัญที่ต้องมุ่งเน้นในการจัดทำกฎหมายลูกประกอบ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และ พ.ร.บ. การรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซ ก็คือ หลักการสร้างสมดุลระหว่างความเป็นส่วนตัวกับประโยชน์สาธารณะ

          พร้อมให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า Healthecare มีมุมที่ซับซ้อนกว่าสาขาอื่น เพราะเป็นสาขาที่เน้นการทำงานเพื่อรักษาชีวิต คนไข้ต้องเปิดข้อมูลกับแพทย์ให้มากที่สุด และขณะที่ต้องคุ้มครองความเป็นส่วนตัว แต่ระบบก็ต้องทำงานได้ด้วยในการให้บริการประชาชน

          “สำหรับโรงพยาบาล การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่กฎหมายเป็นเรื่องใหม่ โดยกลไกสำคัญที่สุดก็คือ คณะกรรมการที่ดูแลกฎหมายลูก ต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับการทำงานด้านสาธารณสุข ควรเป็นผู้เชี่ยวชาญในสาขานี้และทำงานด้านนี้อยู่แล้ว”

คนไทยยินดีให้ข้อมูลส่วนตัวแลกสิทธิประโยชน์

          ข้อมูลสำรวจโดยบริษัท แอคเซนเซอร์ ประเทศไทย เปิดเผยว่า จากผลสำรวจความคิดเห็นของผู้บริโภค 47,000 คนใน 28 ประเทศทั้งในสหรัฐอเมริกา ยุโรปและอเชียแปซิฟิค เกี่ยวกับความสนใจการให้ข้อมูลส่วนตัวที่สำคัญกับบริษัทด้านการเงินในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พบว่า ผู้บริโภคไทยส่วนใหญ่ 3 ใน 4 ยินยอมให้ข้อมูลส่วนตัวที่สำคัญ เช่น ข้อมูลตำแหน่ง (location) และการใช้ชีวิต (lifestyle) กับธนาคารและบริษัทประกันที่ใช้บริการอยู่ เพื่อแลกกับราคาผลิตภัณฑ์และบริการที่ลดลง

          แนวโน้มนี้น่าจะทำให้เห็นโมเดลธุรกิจใหม่ๆ เช่น บริษัทประกันกับโรงพยาบาทและเฮลธ์แคร์ หรือธนาคารกับธุรกิจค้าปลีก ซึ่งผู้บริหารของแอคเซนเจอร์ เชื่อว่าภายในปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า น่าจะมีผลิตภัณฑ์และบริการแบบเฉพาะเจาะจงต่างๆชัดเจนมากขึ้น ถ้ามีความชัดเจนในการใช้ข้อมูลส่วนบุคคค ภายใต้กฎหมายใหม่ พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

ข่าวปลอม สื่อโซเชียล มือดี คือ ‘วัยหงอก’?

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/news/lifestyle/370044

ข่าวปลอม สื่อโซเชียล มือดี คือ ‘วัยหงอก’?

วันที่ 28 เมษายน 2562 – 16:39 น.
fake news,ข่าวปลอม,ไอที,สังคมออนไลน์,สื่อสารไร้สาย,โลกโซเชียล,โลกโซเชียลเน็ตเวิร์ก,โซเชียลเน็ตเวิร์ค
เปิดอ่าน 5,549 ครั้ง

โดยกลุ่มคนอายุ 65 ปีขึ้นไป มีพฤติกรรมแชร์ข่าวปลอมถึง 11% เมื่อเทียบกับกลุ่มอายุ 18-29 ปีที่มีสัดส่วนเพียง 3% 

          “ข่าวปลอม” หรือ เฟคนิวส์ (Fake News) ขึ้นแท่นเป็นประเด็นเขย่าสังคมคนคอข่าวในบ้านเรากันมาอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่ช่วงใกล้เลือกตั้ง และยังชิงพื้นที่สื่อได้เป็นระยะๆ มาจนถึงปัจจุบันที่เป็นช่วงเวลาใกล้สุกงอมของการประชัน “พลังดูด” รวมจำนวนหัว ส.ส. เพื่อฟอร์มทีมจัดตั้งรัฐบาลชุดที่มาจากการเลือกตั้งครั้งล่าสุด

          ต้องยอมรับว่าในยุคที่ข่าวสารแต่ละเรื่อง สามารถแพร่กระจายไปทั่วโลกได้ภายในเสี้ยววินาทีที่ปลายนิ้วของเราแค่สัมผัสเบาๆ ที่ปุ่ม share (ส่งต่อ) หรือ comment (แสดงความคิดเห็น) ทำให้ยุคนี้ข่าวปลอม กลายเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบได้ทั้งในระดับบุคคล ไปจนถึงระดับรัฐบาลในประเทศต่างๆ ต้องทุ่มเทพลังกายและพลังสมอง เพื่อหาทางยับยั้งแก้ไขความเสียหายให้ได้ทันการณ์ที่สุด ก่อนการแพร่กระจายในวงกว้างจนสร้างความเสียหายในภาพใหญ่

          ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ รัฐบาลสิงคโปร์ ประกาศชัดเจนว่าเตรียมออกกฎหมายสำหรับป้องกันการแพร่ระบาดของข่าวปลอม โดยเน้นไปที่เว็บไซต์สื่อออนไลน์ต่างๆ โดยมาตรการลงดาบขั้นสูงสุดคือ ข้อกฎหมายนี้สามารถสั่งให้เว็บไซต์หรือสื่อโซเชียลต่างๆ ลบบทความนั้นๆ ออกได้หากเป็นกรณีร้ายแรง

ปี 61 ข่าวปลอมถูกแชร์กว่า 22 ล้านครั้ง

          ปัจจุบันมีประชากรโลกมากกว่า 3 พันล้านคน เข้าถึงบริการต่างๆ ในชีวิตประจำวันผ่านสื่อสังคมออนไลน์อย่างน้อย 1 เครือข่าย อีกทั้งมีข้อมูลเชิงสถิติระหว่างปี 2557-2561 พบการใช้เวลากับสื่อโซเชียลของสาวกสังคมออนไลน์ทั่วโลกเพิ่มขึ้นเกือบ 60% จาก 30 นาทีต่อวัน เป็น 47 นาทีต่อวัน

          ทั้งนี้ ข้อมูลจากเว็บไซต์ BuzzFeed News ซึ่งรวบรวมข่าวปลอมชิ้นสำคัญๆ 50 เรื่องซึ่งมีการเผยแพร่ผ่านเฟซบุ๊ก ในรอบปี 2561 ที่ผ่านมา ระบุไว้ในรายงานที่ชวนให้ตกใจเมื่อปลายปีว่า ข่าวเหล่านี้มีคนหลงเชื่อ จนมียอดแชร์ ยอดไลค์ หรือแสดงความคิดเห็นรวมๆ แล้วไม่ต่ำกว่า 22 ล้านครั้ง และแม้ยอดการเข้าไปมีส่วนร่วม (Engagement) กับข่าวปลอมจะมีแนวโน้มลดลงจากปีก่อนๆ เล็กน้อย ทั้งจากความพยายามของผู้ให้บริการแพลตฟอร์มโซเชียลรายใหญ่อย่าง เฟซบุ๊ก ที่จัดตั้งส่วนงานขึ้นมาเฝ้าระวังสอดส่องโดยเฉพาะ แต่ในอีกด้านหนึ่ง นักปั้นข่าวปลอมทั้งหลาย ก็มีกลยุทธ์หลบเลี่ยง ด้วยการปล่อยข่าวปลอม ไปตามเว็บไซต์มากกว่า 1 แหล่ง และมีการเปลี่ยนชื่อเว็บไซต์เพื่อ “ลวง” ระบบเฝ้าระวังของผู้ให้บริการ เมื่อถูกจับได้และถูกขึ้นบัญชีดำ

          ปัจจุบันทั้งเฟซบุ๊ก กูเกิล (ซึ่งเป็นเจ้าของยูทูบและทวิตเตอร์ ต่างให้ความสำคัญอย่างมากกับการมีมาตรการสกัดข่าวปลอม เพราะตระหนักถึงความ “ใหญ่” ของแพลตฟอร์มตัวเองที่มีสมาชิกทั่วโลกใช้งานอยู่เป็นหลักร้อยหลักพันล้านคน จนกลายเป็น “ช่องทาง” กระจายข่าวปลอมที่ทั่วถึงและทรงพลังที่สุด บางข่าวสร้างความเสียหายอย่างไม่คาดคิดทั้งในเชิงการเมือง และสังคมระดับประเทศ

          อย่างไรก็ตาม กูรูในวงการสื่อก็ให้ความคิดเห็นอย่างเป็นกลางว่า “เราทุกคน” ที่เป็นผู้ใช้สื่อโซเชียล ก็ต้องทำงานในเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน ด้วยการเรียนรู้ที่จะแยกแยะข่าวปลอมออกจากข่าวจริง มีความรับผิดชอบต่อตัวเองด้วยการตระหนักอยู่เสมอถึงวลีที่ว่า “ชัวร์ก่อนแชร์”

AI บก.ข่าวยุคโซเชียลครองโลก

          พร้อมกันนี้ ได้ยกตัวอย่างเปรียบเทียบ “สื่อดั้งเดิม” อย่างสื่อสิ่งพิมพ์ว่า มีการสร้างความสัมพันธ์กับผู้อ่านบนพื้นฐานของ “ชื่อเสียง” ที่สั่งสมจากการทำงานอย่างรอบคอบในการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลทุกชิ้นก่อนตีพิมพ์ ดังนั้น สื่อโซเชียล อาจสามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ ด้วยการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) รวมทั้งหาบุคคลใดบุคคลหนึ่งที่มีศักยภาพเพียงพอ เข้ามาช่วยอ่านทบทวนความเที่ยงตรงของเนื้อหาก่อนนำโพสต์ขึ้นโซเชียล

          ผลสำรวจของ ConsumerLab report ระบุว่า เสียงของผู้บริโภคทุก 2 ใน 3 ราย เห็นพ้องผู้ให้บริการโซเขียลมีเดีย ควรว่าจ้างพนักงานคอยตรวจสอบคอนเทนท์แบบแมนน่วล (ไม่ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของโปรแกรมซอฟต์แวร์ขณะที่ราว 40% คาดหวังว่าจะมีบรรณาธิการที่เป็น AI เข้ามาทำหน้าที่นี้ในอนาคต รายงานบับนี้ยังพบว่า มีไม่ถึง 1 ใน 5 ของผู้อ่านข่าวบนสื่อโซเชียลที่เชื่อถือข่าวที่ตัวเองอ่าน

          ขณะที่ เมื่อกลางปี 2561 ก็มีรายงานของ Ericsson Mobility Report ระบุว่า การใช้สื่อโซเชียล สร้างปริมาณทราฟฟิกข้อมูลจากมือถือ คิดเป็นสัดส่วนมากกกว่า 10% และคาดว่าจะสูงขึ้นต่อเนื่องไปถึง 31% ในอีก 6 ปีข้างหน้า

          จากจุดประสงค์ของการจัดทำรายงานฉบับนี้ ที่มุ่งสำรวจทัศนคติของผู้บริโภคต่อสื่อโซเชียล และการใช้งานสื่อโซเชียล ทำให้พบข้อมูลน่าสนใจว่า ผู้บริโภคยุคใหม่เริ่มวิตกถึงประเด็นข้อมูลที่ไม่น่าเชื่อถือบนโซเชียลมีเดีย ผลลัพธ์นี้เกิดจากพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ที่เสพข่าวผ่านสื่อสังคมออนไลน์เป็นช่องทางหลัก ยกตัวอย่างในสหรัฐอเมริกา กลุ่มตัวอย่าง 67% บอกว่ารับข่าวผ่านโซเชียล และ 45% บอกว่ารับข่าวผ่านเฟซบุ๊กเท่านั้น

          ส่วนในสหภาพยุโรป ผู้บริโภค 13% เกาะติดข่าวการเมืองในภูมิภาคยุโรปผ่านโซเชียลมีเดีย และตัวเลขเพิ่มเป็น 16% สำหรับการติดตามข่าวในประเทศ ขณะที่ ผู้บริโภคสื่อในสวีเดน และเดนมาร์กถึง 30% ยอมรับว่า โซเชียลมีเดีย คือช่องทางหลักในการรับข้อมูลข่าวสาร

          ทั้งนี้ กว่า 50% ของกลุ่มตัวอย่างในสหรัฐ และอังกฤษ ให้ข้อมูลว่า เคยอ่านข่าวบนโซเชียล และจากนั้นจึงทราบว่าเป็นข่าวปลอม ขณะที่เกือบ 1 ใน 4 ยอมรับว่าเคยแชร์บทความข่าวที่ต่อมาทราบว่าเป็นข่าวปลอม

          แนวโน้มเหล่านี้ ทำให้เริ่มมีเสียงเรียกร้องจากผู้บริโภคในหลายประเทศว่า บริษัทผู้ให้บริการโซเชียลมีเดีย ควรรับผิดชอบเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีข่าวปลอมแสดงบนแพลตฟอร์มของแต่ละราย อีกทั้งบางส่วนถึงขั้นแสดงความคิดเห็นว่า ผู้ให้บริการควรต้องรับผิดชอบในทางกฎหมายสำหรับข่าวปลอมอีกด้วย

สถานการณ์ข่าว(ปลอม)ในเอเชีย

          คำนิยามจาก PolitiFact ระบุไว้ว่า “ข่าวปลอม (fake news) คือ ข่าวที่สร้างขึ้นมาเพื่อชี้นำหรือครอบงำโดยทำให้ดูเหมือนเป็นข่าวจากสื่อที่มีความน่าเชื่อถือ และสามารถแพร่กระจายผ่านออนไลน์เข้าถึงกลุ่มผู้เสพข่าวในวงกว้างได้อย่างง่ายดาย จากนิยามนี้ สะท้อนชัดเจนว่า โซเชียลมีเดีย และแอพสนทนาต่างๆ กลายเป็น “เครื่องมือ” ชิ้นใหม่ที่เอื้อต่อการแพร่กระจายข่าวปลอมให้เป็นไปอย่างรวดเร็วยิ่งกว่าเดิม

          ภูมิภาคอาเซียน กำลังถูกจับตามองว่าเป็นพื้นที่แห่งความเสี่ยงต่อการเผชิญข่าวปลอม เนื่องจากหลายประเทศในภูมิภาคนี้นิยมเสพข่าวผ่านสื่อโซเชียลในสัดส่วนที่สูงมาก จึงเป็นความท้าทายของรัฐบาลในภูมิภาคนี้ที่จะต้องเร่งมาตรการรับมือความเสี่ยงของปัญหานี้ ท่ามกลางคำวิพากษ์วิจารณ์ถึงประเด็นเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น

          เมื่อเร็วๆ นี้ได้อ่านบทความน่าสนใจของเว็บไซต์ http://www.brandinside.asia เกี่ยวกับประเด็นนี้ ซึ่งระบุถึงถ้อยแถลงของนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ เกี่ยวกับความจำเป็นในการออกกฎหมายสำหรับป้องกันการแพร่ระบาดของข่าวปลอม โดยเน้นไปที่เว็บไซต์สื่อออนไลน์ต่างๆ ว่า ปัจจุบันชาวสิงคโปร์มีโอกาสที่จะได้รับข่าวปลอมเพิ่มมากขึ้น และเนื่องจากสังคมของสิงคโปร์มีหลายเชื้อชาติ หลายศาสนา การที่มีข่าวปลอมอาจทำให้สังคมของสิงคโปร์เกิดปัญหาขึ้นมาได้ รวมทั้ง อ้างอิงจากผลสำรวจในประเทศสิงคโปร์ว่าประชาชน 8 ใน 10 คน ต่างมั่นใจว่าตัวเองสามารถที่จะทราบได้ว่าข่าวนี้จริงหรือเท็จ แต่เมื่อทำแบบทดสอบเรื่องข่าวปลอม พบว่า 9 ใน 10 คน ไม่สามารถแยกแยะได้ว่าข่าวไหนคือข่าวปลอม

นักวิจัยพบ “สูงวัย” มือแชร์ข่าวปลอม

          นักวิจัยจากมหาวิทยาลัย NYU and Princeton เคยเผยแพร่ผลงานวิจัยผ่านวารสารScience Advances ระบุว่า จากการทำงานกับกลุ่มตัวอย่าง 3,500 คน ซึ่งจำนวนครึ่งหนึ่งของกลุ่มดังกล่าว อนุญาตให้ผู้วิจัยเข้าไปดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่น และเห็นข้อมูลสาธารณะและโพสต์ต่างๆ บนโซเชียลได้ พบว่ามีอยู่ราว 8.5% ที่มีการแชร์ข่าวปลอม แต่เมื่อประเมินจากตัวชี้วัดของอายุพบว่า ยิ่งในกลุ่มผู้สูงวัย จะยิ่งมีการแชร์ข่าวปลอมมากกว่า

          โดยกลุ่มคนอายุ 65 ปีขึ้นไป มีพฤติกรรมแชร์ข่าวปลอมถึง 11% เมื่อเทียบกับกลุ่มอายุ 18-29 ปีที่มีสัดส่วนเพียง 3% ที่มีพฤติกรรมแขร์ข่าวปลอม และเมื่อเจาะลึกกลุ่มผู้ใช้เฟซบุ๊ก พบว่ากลุ่มวัย 65 ปี จะมีความถี่ในการแชร์ข่าวปลอมมากกว่ากลุ่มอายุ 45-65 ปีถึง 2 เท่าตัว และมากกว่ากลุ่มคนในวัย 18-29 ปีถึงเกือบ 7 เท่าตัว

มหาวิหารนอเทรอดาม และเลเซอร์สแกน 3 มิติ-วิดีโอเกม

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/news/lifestyle/369295

มหาวิหารนอเทรอดาม และเลเซอร์สแกน 3 มิติ-วิดีโอเกม

วันที่ 20 เมษายน 2562 – 12:14 น.
มหาวิหาร,มหาวิหารนอทเทรดาม,นอเทรอดาม,โศกนาฏกรรม,ไฟไหม้มหาวิหาร,มหาวิหารน็อทร์-ดาม
เปิดอ่าน 4,129 ครั้ง

โศกนาฏกรรมของมหาวิหารนอเทรอดาม สิ่งมีค่าแห่งประวัติศาสตร์ ยังมีความหวังที่การบูรณะให้ฟื้นคืนสภาพเดิมด้วยเทคโนโลยีสุดล้ำ

 

โศกนาฏกรรมของมหาวิหารนอเทรอดาม (Notre-Dame) แห่งกรุงปารีส เมื่อวันที่ 15 เมษายน ที่ผ่านมา จากเหตุเพลิงไหม้จนสร้างความเสียหายอย่างหนัก โดยเฉพาะสัญลักษณ์อันโดดเด่นของอาสนวิหารอายุกว่า 850 ปีแห่งนี้ ทั้งบริเวณยอดแหลมของมหาวิหารที่พังทลาย กระจกสีเกี่ยวกับเรื่องราวของพระเยซูและคริสต์ประวัติ งานแกะสลักไม้และภาพวาดเก่าแก่ สร้างความสะเทือนใจร่วมกันให้แก่คนทั่วโลก จนสามารถระดมเงินทุนก้อนมหาศาลสำหรับการซ่อมแซมบูรณะได้ร่วม 700 ล้านยูโร ภายใน 1-2 วัน และมีแนวโน้มจะมีผู้บริจาครายใหม่ๆ เพิ่มเข้ามาอีก

อย่างไรก็ตามข้อกังวลที่ยังมีอยู่ก็คือ ความเป็นไปได้ที่ทุกคนอยากเห็นการบูรณะซ่อมแซมฟื้นฟูความเสียหายของผลงานทางสถาปัตยกรรม และศิลปกรรมอันยิ่งใหญ่นี้ให้คืนกลับสู่สภาพเดิมให้ได้สมบูรณ์ที่สุด และภายในระยะเวลาที่ไม่ยาวนานเกินไป ซึ่งต้องขอบอกว่าในยุคที่เทคโนโลยีได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งในวิถีชีวิตและแทบทุกกิจกรรมของมวลมนุษยชาติ ทำให้ความคาดหวังนี้สามารถกลายเป็น “จริง” ได้

 

 

แผนที่ดิจิทัล 3 มิติของ “นอเทรอดาม”

 

เว็บไซต์ข่าวชื่อดัง ZDNet.com ได้นำเสนอบทสัมภาษณ์ ศจ.สตีเฟน เมอร์เรย์ (Stephen Murray) นักประวัติศาสตร์ศิลป์ แห่งมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ที่ยืนยันว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นสามารถได้รับการบูรณะให้ฟื้นคืนสภาพเดิมได้อย่างแน่นอน ด้วยการใช้ประโยชน์จากข้อมูลรายละเอียดทางสถาปัตยกรรมของมหาวิหารแห่งนี้ ซึ่งถูกสแกนเก็บไว้ด้วยเทคโนโลยี 3 มิติ โดย ศจ.แอนดรูว์ เจ.ทาลลอน (Andrew J.Tallan) นักประวัติศาสตร์ศิลป์ผู้หลงใหลในเทคโนโลยี ซึ่งแม้เจ้าตัวจะล่วงลับไปแล้วเมื่อปลายปี 2561 แต่ฐานข้อมูลดิจิทัลจำนวนมหาศาลที่จัดเก็บไว้ สามารถใช้เป็น Big Data ในการแกะรอยเพื่อฟื้นฟูจากความเสียหายสู่ความตระการตาดั้งเดิมได้อย่างไม่ยากเย็น

 

 

ทั้งนี้ ศจ.เมอร์เรย์ และศจ.ทาลลอน นับเป็นผู้บุกเบิกงานในสาขาการอนุรักษ์ดิจิทัล (Digital preservation) ผู้ริเริ่มนำเทคโนโลยีการสแกนด้วยเลเซอร์ เข้าใช้จัดเก็บข้อมูลรายละเอียดสถาปัตยกรรมมหาวิหารสไตล์กอธิค (Gothic) เป็นครั้งแรก เมื่อปี 2543 จากนั้นในปี 2554 ทั้งคู่ได้ร่วมกันก่อตั้งโครงการโอเพ่นซอร์สที่ชื่อว่า Mapping Gothic France แหล่งรวมฐานข้อมูลรูปภาพ ข้อความ และแผนที่สถาปัตยกรรมสไตล์กอธิค ของฝรั่งเศสในช่วงศตวรรษที่ 12-13

 

 

          สำหรับการเก็บข้อมูลสถาปัตยกรรมของมหาวิหารนอเทรอดาม ศจ.ทาลลอน ใช้อุปกรณ์สำรวจทางธรณีวิทยา 3 มิติ “Leica Geosystems laser scanner” (หมายเหตุ : อุปกรณ์สำรวจลักษณะเดียวกับที่ใข้ในการช่วยค้นหาตำแหน่งของ 13 ชีวิตทีมหมูป่าในภารกิจถ้ำหลวง จ.เชียงรายโดยส่งแสงเลเซอร์ออกไปเพื่อวัดระยะห่างระหว่างตัวอุปกรณ์กับพื้นผิวที่เลเซอร์ไปสัมผัส รวบรวมข้อมูลกลับมาพล็อตเป็นจุดนับพันล้านจุดเพื่อจำลองเป็นโครงสร้างที่สมบูรณ์แบบและแสดงเป็นภาพ 3 มิติได้บนหน้าจอคอมพิวเตอร์

ทั้งนี้ตามข้อมูลที่เว็บไซต์ Mashable อ้างถึงข้อมูลที่ ศจ.ทาลลอน เคยให้สัมภาษณ์ไว้ ระบุว่า แผนที่ 3 มิติของนอเทรอดาม ที่เขาจัดทำขึ้นนี้มีรายละเอียดความแม่นยำของพื้นที่ในระดับต่อ 5 มิลลิเมตรเลยทีเดียว

 

ย้อนอดีตการบันทีกแผนที่ 3 มิติของมหาวิหาร

ล่าสุดเว็บไซต์เนชั่นแนลจีโอกราฟฟิก (คลิกอ่านและชมบันทึกบทสัมภาษณ์ได้ที่นี่ : https://news.nationalgeographic.com/2015/06/150622-andrew-tallon-notre-dame-cathedral-laser-scan-art-history-medieval-gothic/)

ได้อัพเดทเนื้อหาประกอบคลิปวิดีโอที่เคยสัมภาษณ์การทำงานของ ศจ.ทาลลอน ในการจัดทำแผนที่ดิจิทัล 3 มิติของมหาวิหารนอเทรอดาม เพื่อเผยแพร่สู่สาธารณชนในปี 2558 ซึ่งตลอดความยาวประมาณ 5 นาทีของการรับชม ได้เห็นความทุ่มเทและความตั้งใจของนักประวัติศาสตร์ศิลป์ท่านนี้ในการนำเทคโนโลยีทันสมัยเข้ามาใช้เป็นเครื่องมือเพื่อการอนุรักษ์ศิลปกรรม สำหรับส่งต่อความรู้ให้คนรุ่นต่อๆ ไปได้อย่างเที่ยงตรง

 

 

ย้อนหลังไปเมื่อปี 2558 ศจ.ทาลลอน ได้ใช้เลเซอร์ทำการสแกนแบบละเอียดยิบ นำข้อมูลมาจัดทำแผนที่มหาวิหารนอเทรอดามทั้งหลัง จนสร้างออกมาเป็นภาพ 3 มิติได้อย่างแม่นยำทุกรายละเอียดครอบคลุมทั้งโครงสร้างภายนอกและภายในของมหาวิหาร พร้อมเปิดเผยกระบวนการทำงานนี้ไว้เป็นองค์ความรู้ที่สำคัญสำหรับสาธารณะ ซึ่งรายละเอียดเหล่านี้จะกลายเป็น “ข้อมูลสำคัญยิ่ง” สำหรับการทำงานบูรณะหรือซ่อมแซมที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เนื่องจากมีความแม่นยำถึงระดับต่อ 5 มิลลิเมตร

เสน่ห์ของมหาวิหารแห่งนี้ นอกจากความงดงามตระการตาทั้งจากโครงสร้างทางสถาปัตยกรรมและสารพันงานคริสตศิลป์ที่ประดับตกแต่งอยู่ เป็นอาภรณ์สะท้อนศรัทธาแห่งชาวคริสต์ย้อนหลังไปถึงศตวรรษที่ 12 ในเรื่องของผู้ที่มีส่วนร่วมในการก่อสร้างนั้น กลับไม่ปรากฏว่ามีการบันทึกไว้เลย ยกเว้นแต่นามของท่านบิชอปแห่งปารีส “Maurice de Sully” ผู้บัญชาให้มีการก่อสร้าง

 

 

นี่จึงเป็นที่มาของการจุดประกายให้ ศจ.ทาลลอน เดินหน้าบันทึกข้อมูลแบบละเอียดอยู่ในรูปแบบดิจิทัล เพื่อปิดช่องว่างที่จะเกิดความเบี่ยงเบนเมื่อเทียบกับทำการบันทึกเป็นตัวลายลักษณ์อักษร เครื่องมือสำคัญที่นำมาใช้ก็คือเครื่องสแกนเนอร์ด้วยเลเซอร์ หนึ่งในนวัตกรรมทางเทคโนโลยีแห่งศตวรรษที่ 21 ยิงเลเซอร์ทะลุลงไปในพื้นผิวของอิฐทุกก้อน และวัสดุก่อสร้างทุกชิ้นที่ประกอบกันขึ้นเป็นตัวมหาวิหาร เพื่อเจาะลึกถึงวิธีการก่อสร้าง

 

หลายพันล้านจุดประสู่การจำลองโครงสร้าง

ความลับที่แฝงอยู่ในทุกสิ่งก่อสร้างก็คือพวกมันสามารถขยับได้ เมื่อความร้อนจากดวงอาทิตย์กระทบพื้นผิวด้านใดด้านหนึ่ง และการขยับเคลื่อนนี้เองจะเปิดเผยการออกแบบดั้งเดิมและกลวิธีในการใช้ก่อสร้างสิ่งก่อสร้างนั้นๆ ในกรณีที่อาจจำเป็นต้องมีการปรับเปลี่ยนใดๆ ให้สอดคล้องกับบริบทจริง ดังนั้นการแกะรอยจาก “ร่องรอย” ของกระบวนการก่อสร้างดั้งเดิมจำเป็นต้องมีตัวชี้วัดที่แม่นยำเที่ยงตรง และเทคโนโลยีสมัยใหม่ก็เข้ามาตอบโจทย์ข้อนี้

การสแกนด้วยเลเซอร์ทำให้ไม่พลาดจุดใดจุดหนึ่ง สิ่งที่วัดออกมาได้จากแต่ละจุดจะแสดงออกมาเป็น “สี” แตกต่างกันไป และจะถูกรวมมาสร้างเป็นภาพจำลอง 3 มิติของมหาวิหารทั้งหลัง ในการทำงานนี้ต้องมีการมัดรวมเครื่องเลเซอร์สแกนไว้ด้วยกัน เพื่อให้ได้ข้อมูลครอบคลุมรอบด้านทุกจุดของ 50 ตำแหน่งที่ทำการสแกนทั้งภายในและภายนอกของมหาวิหาร ข้อมูลที่แสดงออกมาเป็นจุดมากกว่า 1 พันล้านจุด จะถูกประมวลผลเข้าด้วยกันออกมาเป็นภาพที่เที่ยงตรงสมบูรณ์ที่สุด

 

 

เกมดัง “Assasin’s Creed Unity” อีก 1 คู่มือการบูรณะ

ด้านเว็บไซต์สำนักข่าวชื่อดังของอเมริกาอย่าง Foxnews.com ก็ได้เผยแพร่ความคิดเห็นจากบุคคลสำคัญในวงการศิลปวัฒนธรรมของโรมาเนีย ซึ่งเสนอแนะว่าผู้ที่จะเข้ามารับผิดชอบงานบูรณะซ่อมแซมครั้งนี้ สามารถใช้รายละเอียดต่างๆ จากภาพ 3 มิติในวิดีโอเกมชื่อดัง “Assasin’s Creed Unity” ของค่ายยูบิซอฟต์ (Ubisoft) เป็นเครื่องมือช่วยงานได้

เนื่องจากเนื้อหาในเกมผูกโยงกับประวัติศาสตร์ในช่วงการปฏิวัติฝรั่งเศส ซึ่งตามเหตุการณ์จริงแล้วเป็นช่วงที่สร้างความเสียหายอย่างหนักให้แก่มหาวิหารนอเทรอดาม ดังนั้นในเกมฮิตนี้จึงมีการรังสรรค์ภาพดิจิทัลของมหาวิหารแห่งนี้อย่างประณีตและสมจริง เพื่อใช้สำหรับการประกอบภาพพื้นหลังส่วนหนึ่งในเกม

 

ภาพจาก Assassin’s Creed Thailand Franchise

 

          ก่อนหน้านี้ผู้เขียนเคยมีโอกาสสัมภาษณ์สาวไทยซึ่งอยู่ในทีมนักออกแบบเกม Assassin’s Creed Unity ของบริษัท ยูบิซอฟต์โตรอนโต หนึ่งในสตูดิโอเกมชั้นนำระดับโลก เธอเล่าประสบการณ์ว่าในการออกแบบเกมที่อิงกับประวัติศาสตร์อย่างเกมนี้ผู้ออกแบบต้องใช้เวลาเป็นปี เข้าไปศึกษาและค้นคว้าในห้องสมุดเกี่ยวกับข้อมูลประวัติศาสตร์ยุคนั้นๆ อย่างเข้มข้น เพื่อให้ออกแบบรายละเอียดทางศิลปะในเกมได้อย่างถูกต้องตามความเป็นจริงที่สุด

ทั้งนี้ Caroline Miousse หนึ่งในศิลปินผู้สร้างเกม Assassin’s Creed Unit ของค่าย Ubisoft ใช้เวลาสองปีในการสำรวจรายละเอียดของมหาวิหารเพื่อสร้างภาพที่แม่นยำที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ในเกม ก่อนพัฒนาออกมาสู่ตลาดในปี 2557 ทำให้มีต้นแบบของมหาวิหารนอเทรอดาม แบบละเอียด

คงต้องจับตามองกันต่อไปว่าท้ายที่สุด “ฐานข้อมูลขนาดใหญ่” ที่เกี่ยวกับการก่อสร้างและรายละเอียดโครงสร้างของสถาปัตยกรรมและศิลปกรรมที่ถูกรวบรวมไว้ด้วยเทคโนโลยีแห่งศตวรรษที่ 21 จะได้รับการนำออกมาใช้ประโยชน์มากน้อยเพียงไร ในงานบูรณะและฟื้นฟูความสง่างามของมรดกชิ้นยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติที่มีประวัติการก่อสร้างย้อนหลังไปถึงศตวรรษที่ 12 โดยเฉพาะเมื่อมีความคาดหวังของคนทั้งโลกรออยู่ ขณะที่ล่าสุดประธานาธิบดีมาครง ของฝรั่งเศส ก็ออกมาประกาศแล้วว่า ภารกิจนี้จะเร่งให้เสร็จสมบูรณ์ใน 5 ปี

ไทยเร่งจุดพลุ 5G สู่เส้นชัยที่ 1 อาเซียน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/news/lifestyle/368733

ไทยเร่งจุดพลุ 5G สู่เส้นชัยที่ 1 อาเซียน

วันที่ 13 เมษายน 2562 – 11:15 น.
ไอที,เทคโนโลยี,5G,ดีอี,กระทรวงดิจิทัลเพื่อเ
เปิดอ่าน 3,734 ครั้ง

คงไม่ผิดนักถ้าจะกล่าวว่า “งาน 5G ปลุกไทย ที่ 1 อาเซียน” เป็นความมุ่งมั่นตอกย้ำพลังความร่วมแรงร่วมใจของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องทั้งรัฐ เอกชนทั้งไทยและเทศ

ช่วงต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา วงการโทรคมนาคมของไทยคึกคักขึ้นมาอีกครั้ง (แม้จะยังไม่มีโครงการใหม่ๆ มาเปิดให้ชิงดำกัน) โดยมีเทคโนโลยี 5G เป็นจุดศูนย์กลางของการสร้างสีสันครั้งนี้ ประเดิมด้วยการเปิดบ้านดีแทค แถลงการผนึกกำลังอย่างใกล้ชิดร่วมกับ บมจ.กสท โทรคมนาคม และ บมจ. ทีโอที ในการเดินหน้าทดสอบการใช้งาน 5G ภายใต้แนวคิดใหม่ที่เปิดกว้างสำหรับการแบ่งปันและใช้โครงสร้างพื้นฐานร่วมกัน (Infrastructure Sharing) จนมาถึงการเปิดเวทีโชว์ความร่วมมือในสเกลที่ใหญ่ขึ้น ด้วยการจัดงาน 5G ปลุกไทย ที่ 1 อาเซียน” ที่จัดขึ้นโดยกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ร่วมกับคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือ และมติชน กรุ๊ป

 

 

         คงไม่ผิดนักถ้าจะกล่าวว่า “งาน 5G ปลุกไทย ที่ 1 อาเซียน” เป็นความมุ่งมั่นตอกย้ำพลังความร่วมแรงร่วมใจของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องทั้งรัฐ เอกชนทั้งไทยและเทศ และสถาบันการศึกษา ที่คาดหวังเต็มเปี่ยมถึงการประยุกต์ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี 5G เพื่อสร้างเป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนสถานะด้านเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศไทย ให้ไต่ขึ้นสู่อันดับ 1 ของอาเซียน

5G กับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

         รายงานจากสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ระบุถึงบทบาท 5G กับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยไว้ว่า จะสร้างผลกระทบชัดเจนใน 4 ภาคธุรกิจ ได้แก่ ภาคเกษตรกรรม การขนส่งและโลจิสติกส์ ภาคการผลิต และภาคสาธารณสุข พร้อมทั้งคาดการณ์ว่า การลงทุนใน 5G จะสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ประเทศไทย 2.3 ล้านล้านบาท ภายในปี 2578

         ทั้งนี้ มีข้อมูลตัวเลขจากสำนักงาน กสทชที่ย้ำชัดถึงบทบาท 5G ต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและมูลค่าการลงทุนในประเทศไทยว่า การลงทุนใน 5G จะสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ประเทศไทย 2.3 ล้านล้านบาท ภายในปี 2578 โดยมีรายละเอียดเจาะลึกเชิงตัวเลข ดังนี้ ภาคเกษตรกรรม 96,000 ล้านบาท จากอานิสงส์ของการผลักดันเกษตรอัจฉริยะ (Smart Farming) นำความสามารถของ 5G ไปใช้ในการวิเคราะห์ดิน น้ำ และทรัพยากรต่างๆ รวมถึงการจัดการลผลิตและการขายภาคขนส่ง (Smart Logistic) 124,000 ล้านบาท เกิดการเชื่อมต่อข้อมูลระหว่างยานพาหนะด้วยกันเอง และเชื่อมต่อระหว่างยานพาหนะ และระบบควบคุมการจราจร

          ภาคการผลิต (Smart Manufacturing) 634,000 ล้านบาท โดย 5G จะเข้ามาช่วยพัฒนาประสิทธิภาพด้านการผลิต ในการนำเครื่องจักรและเซ็นเซอร์ มาใช้แทนแรงงาน และภาคสาธารณสุข (Smart Hospital) ซึ่งเทคโนโลยีใหม่นี้จะมีบทบาทเชิงบวกอย่างมากกับแนวโน้มการเข้าสู่สังคมสูงวัย (Aging Society) ของประเทศไทย การเดินทางมาพบแพทย์จะลดลง 13 ล้านครั้งต่อปี จากความสามารถของการรักษาทางไกลที่แม่นยำและมีประสิทธิภาพสูงขึ้นด้วยศักยภาพด้านความเร็วและปริมาณมหาศาลในการสื่อสารข้อมูลของ 5G อีกทั้งมีประมาณการว่าจะช่วยยลดค่าใช้จ่ายของรัฐในเรื่องค่ารักษาพยาบาลลงไม่ต่ำกว่า 38,000 ล้านบาทต่อปี

ดีอี ประกาศความพร้อมไทยใช้งาน 5G

          ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) กล่าวว่า ปัจจุบันไทยมี พ.ร.บ.ด้านดิจิทัล และ พ.ร.บ.ของคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ซึ่งต้องทำงานร่วมกันเพื่อผลักดันให้ไทยก้าวไปข้างหน้า และมุ่งสู่การเป็นผู้นำของอาเซียน โดย 5G คือเป้าหมายหลัก เป็นเรื่องสำคัญของไทยต้องผลักดันให้เกิดขึ้น พร้อมย้ำว่า 5G จะเป็นอาวุธช่วยประเทศเล็กๆ ล้าหลังให้สามารถเติบโตอย่างก้าวกระโดดได้

          ปัจจุบัน ประเทศไทยเริ่มดำเนินการเพื่อเตรียมพร้อมก้าวเข้าสู่ 5G แล้ว ซึ่งมีความท้าทายเพราะเป็นการก้าวกระโดดจาก 3G และ 4G สำหรับ 5G มีคุณสมบัติสำคัญคือ 1.ความหน่วงต่ำที่ลดลง 2.การเคลื่อนย้ายข้อมูลของ 5G จะสูงกว่า 4G ถึง 100 เท่า 3.การเชื่อมต่อของ 5G จะสูงกว่า 4G ถึง 100 เท่า และ 4.โมบิลิตี้ หรือการสัญจรของ 5G ที่มีประสิทธิภาพ อย่างกรณีรถพยาบาลจะช่วยชีวิตผู้ป่วยได้เพิ่มขึ้นสูงถึง 1.5 เท่า ไม่สะดุดในช่วง 500 กิโลเมตรแรก ระบบนี้จะรองรับทั้งรถไฟความเร็วสูง และรถยนต์ขับเคลื่อนอัจฉริยะในอนาคต

          ขณะที่ ล่าสุดสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (ไอทียูได้ประกาศผ่านเว็บไซต์แล้ว ว่าจะพยายามนำผู้เชี่ยวชาญของทั้งโลกมาร่วมหารือกันวางมาตรฐานคลื่นความถี่สำหรับบริการ 5G โดยกำหนดเสร็จสิ้นภายในปีนี้ ดังนั้นทั้งโลกจะสามารถใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ได้ตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นไป

          อย่างไรก็ตาม มีบางประเทศเริ่มนำร่องบริการไปบ้างแล้ว เพราะอยากเป็นประเทศแรกๆ แม้ว่ามาตรฐานระดับโลกยังไม่ได้ข้อสรุป ส่วนประเทศไทย ให้ความสำคัญกับเรื่องการเตรียมความพร้อม และการทดสอบการใช้งานอย่างเข้มข้น ทั้งในศูนย์ทดสอบการใช้งาน 5G ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และในพื้นที่อีอีซี ซึ่งกระทรวงดิจิทัลฯ ขอความร่วมมือใช้พื้นที่ของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตศรีราชา โดยทั้งสองแห่งได้รับตอบรับจากผู้ทดสอบในหลากหลายอุตสาหกรรม ได้แก่ ผู้ให้บริการมือถือและอินเทอร์เน็ต ผู้ผลิตอุปกรณ์ อุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมท่องเที่ยว สาธารณสุข และโรงงานอุตสาหกรรม

          ทั้งนี้ ประเทศไทยกำลังวางแผนรับการเปิดบริการ 5G เชิงพาณิชย์ปีหน้า โดยสำนักงาน กสทช. อยู่ระหว่างจัดทำรูปแบบการประมูลคลื่น 5G ซึ่งจะมีลักษณะที่แตกต่างจากการประมูล 3G และ 4G ที่ผ่านมา เพราะมองเห็นชัดเจนว่า การใช้ 5G จะเปลี่ยนแปลงการใช้ข้อมูลให้มากขึ้น ด้วยความหน่วงต่ำระดับเสี้ยววินาที ความเร็วในการส่งข้อมูลสูงขึ้น 10-100 เท่าจาก 4G มีอัตราการส่งข้อมูลได้มหาศาล ดังนั้นจะก่อให้เกิดธุรกิจมหาศาล

          “ดังนั้นในเรื่องการจัดระเบียบการใช้ข้อมูล เนื่องจาก 5G จะมีการใช้ข้อมูลมหาศาล ซึ่งทั่วโลกก็มีประเด็นเดียวกันว่าจะจัดระเบียบเรื่องนี้อย่างไร เพราะส่วนหนึ่งเนื่องจากประชากรเริ่มที่จะใช้ออนไลน์มากขึ้น ในประเทศไทยเองก็มีบัญชีออนไลน์ของเจ้าใหญ่ๆ หลายสิบล้านบัญชี ดังนั้นเรื่องของการจัดเก็บภาษีการค้าออนไลน์ หรือการจัดเก็บค่าธรรมเนียมบางประการสำหรับผู้ที่ใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐาน 5G นี่คือเรื่องของความเป็นธรรมทั้งในส่วนของผู้ประกอบการด้วยกันเอง และในส่วนของผู้บริโภค โดยแนวคิดคือ จัดเก็บจากผู้ประกอบการที่เกิดธุรกรรมในประเทศไทย ไม่ส่งผลกระทบต่อผู้บริโภค” ดร.พิเชฐกล่าว

          ขณะที่มีข้อมูลจากสำนักงาน กสทชระบุว่า ปัจจุบันผู้บริโภคนิยมใช้บริการผ่านออนไลน์ (OTT) จากแพลตฟอร์มของผู้ให้บริการ OTT (Over-the-top) ต่างประเทศ 3 รายใหญ่ ได้แก่ เฟซบุ๊ก ยูทูบ และไลน์ โดยจากสถิติปี 2561 มีจำนวนผู้ใช้งาน 61 ล้านบัญชี มียอดใช้ 655 ล้านครั้งต่อเดือน, 60 ล้านบัญชี ยอดใช้ 409 ล้านครั้งต่อเดือน และ 55 ล้านบัญชี ยอดใช้ 126 ล้านครั้งต่อเดือน ตามลำดับ ส่งผลให้ผู้ประกอบการในไทย ต้องขยายโครงข่ายเพื่อรองรับปริมาณข้อมูลมหาศาลที่เกิดขึ้น

          นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการ กสทช. กล่าวว่า ในยุค 5G มีการคาดการณ์ว่าปริมาณใช้งานข้อมูลจะเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 40 เท่า ซึ่งเป็นความท้าทายของ กสทช. โดยคลื่นความถี่ที่ กสทช. มีแผนจะจัดสรร ได้แก่ 1.คลื่นความถี่ย่าน 700 เมกะเฮิรตซ์, 2600 เมกะเฮิรตซ์, คลื่นความถี่ย่าน 26 และ 28 กิกะเฮิรตซ์ และคลื่นความถี่ย่าน 3500 เมกะเฮิรตซ์

          พร้อมกันนี้ เตรียมแนวทางการเปิดประมูลคลื่นความถี่ 5G โดยจะให้มีการประมูล 3 แบบ คือ ใบอนุญาตเฉพาะพื้นที่ เช่น พื้นที่อุตสาหกรรม หรือท่าเรือ, ใบอนุญาตสำหรับพื้นที่โทรคมนาคม ซึ่งจะครอบคลุมทั่วประเทศ และใบอนุญาตแบบการประมูลคลื่นความถี่หลายย่านพร้อมกัน (มัลติแบนด์) เช่น ประมูลคลื่น 26 กิกะเฮิรตซ์ คู่กับ 2600 เมกะเฮิรตซ์ หรือคลื่น 28 กิกะเฮิรตซ์ คู่กับ 2800 เมกะเฮิรตซ์ เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์แบนด์วิธได้สูงสุด

เอกชนพาเหรดโชว์ยูสเคส 5G

          ในงาน “5G ปลุกไทย ที่ 1 อาเซียน” ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ทุกรายระดมเทคโนโลยีการใช้งาน 5G เด่นๆ มาโชว์ ไม่ว่าจะเป็น ดีแทค เอไอเอส ทรู ทีโอที กสท โทรคมนาคม 3BB รวมไปถึงผู้ผลิตอุปกรณ์ ที่เป็นเจ้าของเทคโนโลยีอย่างหัวเว่ย อีกทั้งมีการเปิดเวทีโชว์วิสัยทัศน์จากผู้บริหารระดับสูงของสมาคมจีเอสเอ็ม (GSMA) และเปิดวงเสวนาของผู้เชี่ยวชาญจากอุตสาหกรรมยานยนต์ ภาคเกษตรอัจฉริยะ ภาคพลังงานและสาธารณูปโภค กลุ่มการจัดการส่งสินค้าและข้อมูล ตลอดจนด้านการแพทย์

          ตัวอย่างของโชว์เคสเด่นๆ ที่มาอวดสายตาผู้สนใจเข้าชมงานนี้ ได้แก่ เครือข่ายตรวจวัดสภาพหมอก/ฝุ่นควัน เครื่องมือวัดสภาพอุตุนิยมวิทยาและระดับน้ำเพื่อการบริหารจัดการ ระบบควบคุมการบริหารจัดการแปลงเกษตรอัตโนมัติ รถยนต์ไร้คนขับ หุ่นยนต์ช่วยประเมิน ดูแล ฟื้นฟู บริการผู้สูงอายุ และผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองหุ่นยนต์ Smart ECG อุปกรณ์วัดและวิเคราะห์คลื่นไฟฟ้าหัวใจสำหรับใช้ที่บ้าน หุ่นยนต์เจาะกระดูกควบคุมจากระยะไกล

          “หยาง เชาปิน” ประธานบริหาร ฝ่ายผลิตภัณฑ์เครือข่าย 5G บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัดระบุว่า ตั้งแต่ปีที่ผ่านมา ได้เข้ามาเริ่มให้การสนับสนุนการทดสอบ 5G ของประเทศไทย และยังคงมุ่งมั่นสนับสนุนนโยบาย 5G ของไทย รวมถึงช่วยบ่มเพาะสร้างคนด้านไอซีทีด้วย และเพื่อเป็นการวางรากฐานระบบนิเวศของ 5G ให้แข็งแกร่ง หัวเว่ยจะทำงานอย่างใกล้ชิดร่วมกับผู้ให้บริการด้านโทรคมนาคมและพันธมิตรอื่นๆ เพื่อกระตุ้นให้มีการออกแบบ พัฒนาและเกิดการทดสอบ การทดลอง และตรวจสอบการใช้งานเทคโนโลยี 5G เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยได้ก้าวไปสู่การเป็น “ดิจิทัล ไทยแลนด์”

          “ในช่วง 10 ปีผ่านมา เทคโนโลยี 4G ได้เปลี่ยนชีวิตของคนเรา ทำให้สามารถสร้างรายได้มากขึ้นจากธุรกิจที่มีอยู่และสร้างธุรกิจใหม่ๆ แต่ตอนนี้ เราเห็นว่า 5G ไปได้ไกลกว่า เร็วกว่า และจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างยิ่งใหญ่กับทุกคน ทุกบ้าน ทุกกลุ่มธุรกิจและองค์กร”

          โดยในส่วนของบุคคลทั่วไป คาดการณ์ว่าร้อยละ 90 ของผู้ใช้อุปกรณ์อัจฉริยะจะใช้ผู้ช่วยอัจฉริยะส่วนตัวในบ้าน มีประมาณการณ์ว่าร้อยละ 12 ของครัวเรือนจะมีหุ่นยนต์บริการอัจฉริยะประจำบ้าน และสำหรับธุรกิจและองค์กร ซึ่ง 5G จะเปิดโอกาสทางธุรกิจมากมาย คาดการณ์ว่าองค์กรร้อยละ 86 จะมีการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI)

          ขณะที่ อเล็กซานดรา ไรช์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (ดีแทค) กล่าวว่า 5G จะเกิดขึ้นในไทยได้ต้องมีกฎการกำกับดูแลที่เอื้อให้เกิดได้อย่างรวดเร็ว มีแผนการจัดสรรคลื่นความถี่ในระยะยาวอย่างชัดเจน ว่าแต่ละย่านคลื่นจะเกิดขึ้นเมื่อใด มีการสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนเพื่อให้เกิดความยั่งยืน โดยแนวทางหนึ่งก์คือ การใช้ทรัพยากรร่วมกัน การร่วมกันพัฒนานวัตกรรมและบุคลากร ปัจจุบันดีแทค ได้ทดสอบการใช้งาน 5G โดยนำไปใช้กับเกษตรอัจฉริยะ (Smart Farming)

          ทางฟากเอไอเอส ใช้งานนี้เป็นเวทีโชว์ไฮไลท์เด่น คือ การเปิดตัวรถยนต์ไร้คนขับคันแรกของไทยที่เชื่อมต่อบนเครือข่าย Live Network 5G (1st 5G Connected Car) ที่เกิดจากการศึกษาและทดลองอย่างจริงจังร่วมกันกับ SMART MOBILITY RESEARCH CENTER จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รถยนต์สามารถเดินทางจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่งได้อย่างแม่นยำและปลอดภัย โดยไม่ต้องใช้คนขับ ผ่านการใช้งานเครือข่าย 5G ที่สามารถรับส่งข้อมูลความเร็วสูง ความหน่วงต่ำ ทำให้ระบบมีความเสถียรมาก

“ผู้หญิง” ในอุตสาหกรรมไอที ความเหลื่อมล้ำทางเพศที่รอทางออก

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/news/lifestyle/368127

“ผู้หญิง” ในอุตสาหกรรมไอที ความเหลื่อมล้ำทางเพศที่รอทางออก

วันที่ 6 เมษายน 2562 – 10:30 น.
เทคโนโลยี,ไอที
เปิดอ่าน 2,798 ครั้ง

“วังวน” ของปัญหาโลกแตกที่ต่อเนื่องมานับแต่ยุคดึกดำบรรพ์คือ ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเพศ ที่ดูเหมือนว่า “พื้นที่” สำหรับผู้หญิงในสายไอทีมีสัดส่วนไม่ถึง 1 ใน 4

เมื่อเอ่ยถึงคำว่า “เทคโนโลยี” หรือ “ไอที” เชื่อว่าแทบทุกคนต้องนึกถึงภาพความล้ำสมัย ล้ำโลก ล้ำยุค และคงมีจำนวนน้อยยิ่งกว่าน้อยที่ “คาดไม่ถึง” ว่าในอุตสาหกรรมนำอนาคตอย่างวงการเทคโนโลยี จะยังคงติดอยู่ใน “วังวน” ของปัญหาโลกแตกที่ต่อเนื่องมานับแต่ยุคดึกดำบรรพ์คือ ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเพศ ที่ดูเหมือนว่า “พื้นที่” สำหรับผู้หญิงในสายไอทีมีสัดส่วนไม่ถึง 1 ใน 4

          ทั้งนี้ Havard Business Review เคยรายงานถึงสถานการณ์ “ช่องว่าง” ระหว่างเพศชายและหญิงในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีว่า เฟซบุ๊ก กูเกิล และแอปเปิ้ล มีสัดส่วนของพนักงานหญิงอยู่ในองค์กรเพียง 17%, 19% และ 23% ตามลำดับ อีกทั้งมีผลสำรวจหลายชิ้น ระบุไปในทิศทางเดียวกันว่า บรรดาบริษัทไอทีซึ่งมีฐานที่มั่นอยู่ในซิลิกอน วัลเลย์ ไม่มีรายใดเลยที่มีจำนวนพนักงานหญิงเกิน 25% ในสาขางานด้านคอมพิวเตอร์และคณิตศาสตร์ และแม้ถ้ามองภาพที่กว้างขึ้นครอบคลุม 4 สาขาหลักของสายงานอาชีพนี้ ซึ่งประกอบด้วย วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม และคณิตศาสตร์ (STEM) ในประเทศพัฒนาแล้วก็ยังคงมีสัดส่วนผู้หญิงเพียง 26% ขณะที่ กลุ่มประเทศกำลังพัฒนามีสัดส่วนน้อยลงไปอีก

          ยังมีอีกหลายแหล่งข้อมูลที่ตอกย้ำสถานการณ์นี้ อย่างเช่น ผลการสำรวจจาก National Center for Women & Information Technology ซึ่งจัดทำร่วมกับ NCWIT’s Workforce Alliance show พบว่า ผู้หญิงในสายอาชีพที่เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์มีอยู่เพียง 25% และมีความเป็นไปได้ที่จะลดลงไปอีก ข้อมูลจาก Github (กิตฮับ) ระบุว่า ในบริษัทสตาร์ทอัพที่ซิลิกอนวัลเล่ย์ มีเพียงสัดส่วนวิศวกรหญิงอยู่ราว 12% ชณะที่ เว็บไซต์ Businessinsider เผยแพร่รายงานจากบริษัทกฎหมาย Fenwick & West LLP ซึ่งระบุว่า ตำแหน่งผู้บริหารของบริษัทในซิลิกอนวัลเล่ย์ มีพัยง 11% ที่เป็นเก้าอี้ของผู้บริหารหญิง

ดีอี หนุนกิจกรรมปั้นนร.หญิงสู่สายงานดิจิทัล

          นางวรรณพร เทพหัสดิน ณ อยุธยา รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) กล่าวว่า ในยุทธศาสตร์ที่ 5 ของกระทรวงฯ ซึ่งให้ความสำคัญกับด้านการพัฒนากำลังคนให้พร้อมเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัล จะมุ่งสร้างกำลังคนดิจิทัลใน 4 ด้าน ได้แก่ 1.การศึกษาในระบบ โดยร่วมมือกับกระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 2.การพัฒนาหลักสูตรในมหาวิทยาลัย เช่น การจัดตั้ง Digital Academy Thailand (DAT)เป็นสถาบันที่ให้การพัฒนาแรงงานด้านดิจิทัลเพื่อปรับทักษะ นำไปสู่การยกระดับแรงงานขั้นสูงด้านดิจิทัล เป็นศูนย์กลางสร้างบุคคลที่มีความรู้ความสามารถ เชี่ยวชาญในด้าน Al และ Data Science3.การสร้าง Talent พัฒนาแนวคิดสร้างสรรค์ในการพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ และ 4. สร้างคนดิจิทัลที่สามารถใช้เทคโนโลยีให้เกิดมูลค่าเพิ่ม ในการทำธุรกิจ พัฒนาอาชีพ หรือในชีวิตประจำวันได้ โดยในข้อนี้ หนึ่งในกลุ่มที่หัความสำคัญคือ การพัฒนาศักยภาพของผู้หญิงให้ก้าวเข้าสู่สายอาชีพด้านเทคโนโลยีและดิจิทัล ซึ่งเป็นสาขาที่ปัจจุบันยังมีสัดส่วนของผู้หญิงน้อย และเป็นสาขาที่มีความพร้องการบุคลากรอีกมาก

          ล่าสุด กระทรวงฯ จึงร่วมจัดกิจกรรม #MakeWhatsNext-DigiGirlz 2019 Thailand ซึ่งเป็นหนึ่งในแคมเปญโครงการระดับโลกของไมโครซอฟท์ มุ่งปั้นเด็กผู้หญิงสู่สายงานด้านเทคโนโลยีและดิจิทัล กลุ่มเป้าหมายคือเยาวชนหญิงระดับมัธยมจากทั่วประเทศ ที่สนใจประกอบอาชีพในสาขาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม และคณิตศาสตร์ (STEM) นำเสนอไอเดียเพื่อเข้าร่วมกิจกรรมเรียนรู้ทักษะด้านการเขียนโค้ด และนำเสนอโครงงาน และใช้ทักษะที่ได้เรียนรู้ไปประดิษฐ์ผลงานร่วมแข่งขัน

          “โครงการนี้ จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ช่วยให้เยาวชนหญิงที่เข้าร่วมได้รับโอกาสเรียนรู้จากประสบการณ์จริง และได้รับแรงบันดาลใจในการประกอบอาชีพในสายงานด้านเทคโนโลยีและดิจิทัลต่อไป โดยเฉพาะในสาขาที่เป็นแนวโน้มที่กำลังมาแรงอย่างปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่เน้นการสร้างนวัตกรรม และจะเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องในแทบทุกอุตสาหกรรม และกิจกรรมในการดำเนินชีวิต”

          โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อการขยายตัวของเทคโนโลยี AI กำลังนำมาซึ่ง “โจทย์” สำคัญเกี่ยวกับ “จริยธรรม (Ethic)” เพื่อไม่ให้เกิดการนำไปใช้ประโยชน์ในทางที่ผิด ดังนั้น การที่โครงการ #MakeWhatsNext-DigiGirlz จัดทำขึ้นกับกลุ่มเป้าหมายหลักที่เป็นเยาวชนในระดับมัธยม จึงถือเป็นการให้ความรู้และสร้างความตระหนักแต่เนิ่นๆ ในเรื่องความรู้เชิงเทคโนโลยีควบคู่กับการปลูกฝังจริยธรรมควบคู่กันไป เพื่อเตรียมพร้อมกำลังคนดิจิทัลรุ่นใหม่ที่มีศักยภาพอย่างแท้จริง

เวิลด์ อีโคโนมิก ฟอรั่ม คาดปัญหานี้อยู่นานอีก 200 ปี

          จากรายงานของสภาเศรษฐกิจโลก (World Economic Forum) ระบุว่า ช่องว่างระหว่างเพศด้านโอกาสทางเศรษฐกิจทั่วโลกนั้น ยังคงมีขอบเขตที่ต้องใช้ระยะเวลายาวนานเพื่อการแก้ไข โดยการกำจัดช่องว่างระหว่างเพศนั้นถูกคาดการณ์ว่าต้องใช้เวลาถึง 202 ปี นอกจากนี้ ยังพบว่า จากจำนวนผู้ประกอบอาชีพด้าน AI ทั่วโลก มีเพียง 2% ที่เป็นผู้หญิง การพัฒนาเทคโนโลยี AI ที่ขาดความสามารถที่หลากหลาย ทำให้ถูกจำกัดความสามารถในการบุกเบิกนวัตกรรมที่ครอบคลุม และมีโอกาสในการนำเสนอชุดข้อมูลที่มีการละเลยเรื่องความลำเอียงทางเพศอีกด้วย

          นายธนวัฒน์ สุธรรมพันธุ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทยจำกัด กล่าวว่า ในการพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ หากปราศจากมุมมองของผู้หญิงที่มีความรู้ความสามารถในสาขา STEM อาจทำให้ขาดปัจจัยที่ก่อให้เกิดโซลูชั่นเชิงสร้างสรรค์ โดยมีคาดการณ์ที่ระบุว่า หากจำนวนผู้หญิงที่ประกอบอาชีพในสาชา STEM มีไม่เพียงพอ จะทำให้เกิดตำแหน่งว่างงานหลายหมื่นตำแหน่งในอนาคต รวมทั้งพลาดโอกาสในการพัฒนานวัตกรรมอีกหลากหลายรูปแบบ

          “การที่กระทรวงดีอี เข้ามาร่วมสนับสนุนโครงการนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง ต่อการจุดประกายความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน และอีกหลายๆ ภาคส่วนให้เห็นความสำคัญของความหลากหลาย (Diversity) และการพัฒนาการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีในอนาคตที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง (Inclusive) นอกจากกิจกรรมนี้ เรายังมีความร่วมมือกันในโครงการอื่นๆ เช่น โครงการ Coding Thailand ให้ความรู้ด้านการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์แก่เยาวชน และโครงการ Re-Skill พัฒนาศักยภาพของบุคลากรที่มีอยู่ให้กลายเป็นนักวิทยาศาสตร์ข้อมูลด้าน AI และ Data เพื่อให้หลุดพ้นจากผลกระทบของ Technology Disruption” นายธนวัฒน์กล่าว

          พร้อมทั้งให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า เหตุผลที่เด็กผู้หญิงส่วนใหญ่ ไม่ให้ความสนใจกับการศึกษาในสาขา STEM มีหลายข้อ ได้แก่ ขาดบุคคลที่เป็นต้นแบบ การสร้างความรู้ที่บิดเบือนเกี่ยวกับอาชีพในสาขานี้ทำให้เข้าสู่สายอาชีพนี้จำนวนลดลง การชักจูงให้กลุ่มเด็กหญิงหันมาสนใจสาขานี้มากขึ้น ต้องใช้วิธีการที่ครอบคลุม และช่วยให้มองเห็นโอกาสของอนาคตในการทำงาน ซึ่งไมโครซอฟท์ ให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนในเรื่องนี้ ซึ่งกิจกรรม #MakeWhatsNext-DigiGirlz 2019 Thailand จะเป็นส่วนหนึ่งในความคิดริเริ่มที่ช่วยให้ประเทศไทยในการจัดการปัญหาเกี่ยวกับช่องว่างระหว่างชายหญิงได้

หัวใจหลักสร้างแรงบันดาลใจผู้หญิงสายไอที

          นางสาวสุภารัตน์ จูระมงคล ผู้จัดการฝ่ายกิจกรรมเพื่อชุมชน บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า บริษัทได้จัดโครงการที่มุ่งสร้างแรงบันดาลใจในสาขาที่เกี่ยวกับเทคโนโลยี และเสริมสร้างศักยภาพเด็กผู้หญิงในประเทศไทยมาอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง #MakeWhatsNext-DigiGirlz 2019 Thailandมีความพิเศษกว่าเดิม โดยเปิดโอกาสให้เด็กผู้หญิงทั่วประเทศแข่งโค้ดดิ้งสำหรับอุปกรณ์แผงวงจร micro:bit เป็นครั้งแรกเพื่อการพัฒนาเขียนโปรแกรมเชื่อมต่ออุปกรณ์ IoT ซึ่งทักษะที่ได้จะต่อยอดสู่การใช้ประโยชน์จากเซ็นเซอร์ได้หลากหลายด้าน

          “#MakeWhatsNext-DigiGirlz เป็นแคมเปญที่สนับสนุนให้เด็กผู้หญิงก้าวเข้าสู่สายงานด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์ ซึ่งจากข้อมูลเชิงลึกทำให้เราเห็นถึงปัจจัยที่ยังเป็นอุปสรรค เช่น การขาด Role Model, การเรียนการสอนในโรงเรียนไม่ดึงดูดความสนใจ, ขาดการส่งเสริมสนับสนุนสภาพแวดล้อม ที่สร้างบรรยากาศให้เด็กๆ เกิดความตื่นเต้นในการเรียนรู้ เป็นต้น”

          ดังนั้น ไมโครซอฟท์ได้ตีโจทย์ปัญหาข้างต้น และนำมาสู่การออกแบบการจัดกิจกรรมที่ประกอบด้วย 3 หัวใจหลัก เพื่อกระตุ้นแรงบันดาลใจ ความคิดสร้างสรรค์ และให้เด็กผู้หญิงมองเห็นโอกาสในสายอาชีพด้านนี้ ได้แก่ Excitement อบรมทักษะการเขียนโปรแกรม (โค้ดดิ้งให้นำไปต่อยอดสร้างผลงานเข้าแข่งขัน, Encouragement ออกแบบสภาพแวดล้อมในการเรียนรู้ที่เอื้อต่อการสร้างแรงบันดาลใจ และ Growth Mindset ขยายกรอบแนวคิดให้เห็นว่าการเรียนรู้ในสาขา STEM น่าสนุกและเพลิดเพลิน

          โครงการปีนี้มีนักเรียนหญิง ระดับชั้น ม.3-6 สมัครเข้าร่วมโครงการรวม 145 คน จากโรงเรียนทั่วประเทศ 20 แห่งหลังผ่านการอบรมจะคัดเลือกผู้เข้าแข่งขันเหลือ 9 ทีม เพื่อนำเสนอแนวคิดโครงงาน พร้อมรับคำแนะนำจากโค้ช และรับชุด micro:bit ไปใช้ในการประดิษฐ์ผลงาน จากนั้นวันที่ 10 พฤษภาคม ทุกทีมนำเสนอผลงานประดิษฐ์ เพื่อให้คณะกรรมการประกาศผลการแข่งขัน

5G กับการพลิกโฉมอาเซียน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/news/lifestyle/366699

5G กับการพลิกโฉมอาเซียน

วันที่ 23 มีนาคม 2562 – 11:40 น.
ไอที,5G
เปิดอ่าน 3,447 ครั้ง

ยิ่งเวลาขยับเข้าใกล้ปี 2563 ความคึกคักของแต่ละประเทศในการโหมโรงนำพาประเทศเข้าสู่เวทีเทคโนโลยีสื่อสารไร้สายยุคที่ 5 หรือ 5G ก็ยิ่งชัดเจนยิ่งขึ้น

โดยเฉพาะในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งได้รับการจับตามองว่าจะเป็นตลาด 5G ที่พัฒนาเติบโตได้อย่างรวดเร็วเป็นอันดับรองจากประเทศจีนเลยทีเดียว เนื่องด้วยมีปัจจัยสนับสนุนสำคัญคือ จำนวนประชากรรวมกันมากกว่า 600 ล้านคน ที่จะกลายเป็นทั้งผู้สร้างและผู้บริโภค “ข้อมูล” หนึ่งในผลพลอยได้ที่จะกลายมาเป็นตัวขับเคลื่อนนวัตกรรมและบริการรูปแบบใหม่ๆ ที่เป็นผลิตผลจากความสามารถของเทคโนโลยี 5G และเร่งความแรงของเศรษฐกิจดิจิทัล

          เมื่อไม่นานนี้มีบทความน่าสนใจจากเว็บไซต์ดิอาเซียนโพสต์ https://theaseanpost.com เรื่อง “5G กับการสร้างความเปลี่ยนแปลงในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (How 5G can transform Southeast Asia)” วิเคราะห์สถานะของภูมิภาคนี้ในยุคของอุตสาหกรรม 4.0 ซึ่งถูกขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีว่า ช่วง ปีมานี้ได้กลายเป็นหนึ่งในศูนย์กลางที่เติบโตเร็วสุดในแง่การเป็นผู้นำที่ติดตั้งใช้งานเทคโนโลยีใหม่ๆ ได้แก่ บล็อกเชน ปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) หุ่นยนต์ คลาวด์คอมพิวติ้ง และฟินเทค

          อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีเหล่านี้ยังทำได้ไม่เต็มที่ เพราะติดข้อจำกัดด้านความเร็วของอินเทอร์เน็ตที่ยังให้บริการอยู่บนโครงข่าย 3G และ 4G ดังนั้น ไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมใครๆ จึงพากันเฝ้ารอการมาถึงของ 5G เพราะเทคโนโลยีล่าสุดนี้จะเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยทลายข้อจำกัดเดิมๆ ด้วยความเร็วที่สูงขึ้นจากแบนด์วิธที่สามารถรองรับปริมาณข้อมูลมหาศาลยิ่งขึ้น และลดความหน่วง ดังนั้น การสื่อสารข้อมูลระหว่างกันในโครงข่ายจะทำได้เร็วขึ้น เสถียรขึ้น ใช้พลังงานต่ำลง และประหยัดต้นทุนกว่าเดิม

ใครเป็นใครในสนามทดสอบ 5G อาเซียน

ปัจจุบันมีสมาชิกอาเซียนหลายประเทศประกาศเดินหน้าการทดสอบ 5G แล้ว (ระหว่างรอการประกาศคลื่นความถี่ 5G อย่างเป็นทางการในปี 2563 จากคณะกรรมการกลางกำกับดูแลกิจการสื่อสารของสหรัฐ หรือ FCC) ทั้งประเทศมาเลเซีย กัมพูชา เวียดนาม และไทย ขณะที่ ประเทศอินโดนีเซีย ประเดิมไปบ้างแล้วระหว่างการแข่งขันกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ 2018 ซึ่งผู้ให้บริการเครือข่าย 2 รายใหญ่ของประเทศ คือ Telkomsel และ XL นำร่องการทดสอบ

ส่วนฟิลิปปินส์ ผู้ให้บริการรายใหญ่อย่าง Smart ได้ประกาศแผนลงเครือข่ายทดลองบริการ 5G ภายในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2563 และ Globe Telecom บอกว่าเครือข่าย 5G ของโกลบ จะพร้อมให้บริการได้ต้นไตรมาส 2 ปีหน้าเช่นกัน ขณะที่ สิงคโปร์ เตรียมเปิดตัวโครงการนำร่องบริการ 5G ภายในสิ้นปีนี้

คำประกาศเหล่านั้นเป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น ในระหว่างการจัดงานโมบาย เวิลด์ คองเกรส (MWC 2019) ที่เพิ่งสิ้นสุดไป ทาง Maxis ผู้ให้บริการดิจิทัลและการสื่อสารของมาเลเซียได้ลงนามบันทึกความเข้าใจกับหัวเว่ยทำข้อตกลงความร่วมมือดำเนินการทดลองระบบ 5G แบบครบวงจร ตั้งแต่ระบบ 5G จากต้นทางถึงปลายทาง จนกระทั่งถึงการให้บริการ เพื่อเพิ่มความเร็วในการใช้งาน 5G ในประเทศมาเลเซียนอก

จากนี้ Telkomsel ผู้ประกอบการโทรศัพท์มือถือที่ใหญ่ที่สุดในอินโดนีเซีย และหัวเว่ย ได้ประกาศจับมือกันสำรวจบริการด้านดิจิทัลและฝึกอบรมผู้มีความสามารถ โดยร่วมกับศูนย์นวัตกรรม 5.0 พัฒนานวัตกรรมเทคโนโลยีในอนาคต ศึกษาและทดลองความเร็วของสัญญาณ 5G ส่งเสริมการพัฒนาด้านดิจิทัลของอินโดนีเซีย

ทางด้านเวียดนามซึ่งเปิดตัวแรงมากกับเป้าหมาย 5G จนถึงขั้นที่ ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี นำมายกเป็นตัวอย่างเมื่อต้นสัปดาห์นี้ เพื่อกระตุ้นความตื่นตัวให้แก่ภาครัฐที่เกี่ยวข้องในประเทศไทย โดยล่าสุด Viettel ผู้ให้บริการโทรคมนาคมรายใหญ่สุดของเวียดนาม ประกาศแผนปีนี้เดินหน้าทดสอบบริการ 5G ตลอดทั้งปี ขณะที่รัฐวิสาหกิจผู้ให้บริการรายใหญ่สุดในเวียดนาม “Vietnam Post and Telecommunications Group (VNPT) ก็มีแผนจะทดสอบ 5G ภายใน 3 ปีเช่นกัน รวมทั้งได้ลงนามข้อตกลงความร่วมมือ (co-operation agreement) ไปแล้วกับโนเกีย ในการทดสอบและวิจัยด้านเครือข่ายไร้สาย

ประเทศไทยกำหนดโรดแม็พทดสอบ 5G

ในส่วนของประเทศไทยซึ่งชัดเจนแล้วว่า ปีนี้จะเป็นปีแห่งการทดสอบ 5G ตลอดทั้งปี ก็มี 2 เจ้าภาพใหญ่เป็นกลไกผลักดันการทดสอบบริการ 5G ได้แก่ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) และสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) โดยในส่วนของดีอี แนวทางการทดสอบการใช้งาน (Use Case) จะเกาะติดไปกับยุทธศาสตร์ชาติเพื่อผลักดันการใช้งานที่มีส่วนหนุนนโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรมแห่งอนาคต (S-Curve) และเลือกพื้นที่ในเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) เป็นจุดตั้งฐานทดสอบ 5G Testbed ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตศรีราชา

          ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) กล่าวว่า ล่าสุดมีความคืบหน้าในเรื่องการอนุญาตใช้คลื่นความถี่เพื่อการทดลอง และทดสอบเทคโนโลยี 5G โดย กสทช.อนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ ย่านความถี่สำหรับการทดสอบในพื้นที่ 5G Testbed แห่งนี้แล้ว ได้แก่ คลื่นความถี่ช่วง 24.25–27.5 GHz, 26.5–29.5 GHz และ 3.3–3.8 GHz ซึ่งจะสนับสนุนให้เกิดการต่อยอดจากการเตรียมพร้อมอีโคซิสเต็มเพื่อรองรับพันธมิตรที่สนใจเข้ามาร่วมทดสอบการใช้งาน 5G ในศูนย์ทดสอบแห่งนี้ไปสู่การ action อย่างเต็มตัว โดยใช้จุดเด่นในการเป็นพื้นที่ Sandbox (พื้นที่การประกอบธุรกิจหรือให้บริการใหม่ๆ ภายใต้กรอบกฎเกณฑ์กำกับดูแลที่ยืดหยุ่น)  ที่เปิดกว้างการทดลองพัฒนาบริการ และการใช้งานใหม่ๆ

“ที่สำคัญเป็นการทดสอบกับอุปกรณ์ของจริงจากความร่วมมือของผู้ผลิตอุปกรณ์ 5G รายหลักๆ ที่ตอบรับเป็นพันธมิตรกับกระทรวงดิจิทัลฯ ในโครงการนี้แล้ว โดยไม่จำเป็นต้องรอให้มีความต้องการเชิงพาณิชย์เกิดขึ้นก่อน”

ปัจจุบันมีพันธมิตรตอบรับเข้าร่วมทดสอบแล้วมากกว่า 10 ราย ครอบคลุมผู้ให้บริการมือถือและเครือข่ายโทรคมนาคม/การสื่อสาร (ISPs) รายหลักทุกรายของไทย ผู้ผลิตอุปกรณ์ทั้งจากยุโรปและเอเชีย ผู้พัฒนาแพลตฟอร์มด้านเทคโนโลยีระดับโลก ตลอดจนฝั่งผู้ใช้งานที่เป็นกลุ่มเป้าหมายสำคัญ ได้แก่ มหาวิทยาลัยมหิดล หน่วยงานในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข สมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย เป็นต้น ซึ่งจะช่วยให้เกิดการผลักดันและส่งเสริมภาคธุรกิจเต็มรูปแบบ โดยเฉพาะในกลุ่มบริการที่คาดว่าจะมีความต้องการสูงในพื้นที่อีอีซี ได้แก่ Healthcare Health logistics และบริการสำหรับผู้ป่วยฉุกเฉิน และรถยนต์ที่เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตและอุปกรณ์ IoT ได้ (Connected Vehicles) และรถยนต์ไร้คนขับ (Autonomous vehicles)

โดยเมื่อวันที่ 8 มีนาคม ที่ผ่านมา มีการหารือกันครั้งล่าสุดถึงโรดแม็พการเดินหน้าทดสอบการใช้งานจริง (Use Case) เป็นการเตรียมโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลสำหรับขับเคลื่อน 5G และเป็นไปตามหลักการของการทดสอบภาคสนามในพื้นที่อีอีซี ซึ่งกระทรวงฯ ได้แต่งตั้งคณะทำงานประสานงานการทดสอบการใช้งาน 5G ขึ้น เพื่อเดินหน้าการทดสอบให้สอดคล้องกับระยะเวลาของการอนุญาตการใช้คลื่นความถี่เพื่อการทดลองทดสอบเทคโนโลยีนี้

ทางด้านสำนักงาน กสทช. อีก 1 เจ้าภาพโครงการนำร่องทดสอบ 5G ก็โหมบุกหนักในส่วนของพื้นที่เมือง โดยร่วมมือกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดตั้งศูนย์ทดสอบ 5G ภายในคณะวิศวกรรมศาสตร์ เป็นเวลา 2 ปี โดยจะดำเนินการศึกษา ทดสอบ และตรวจสอบความพร้อมของอุปกรณ์ ระบบ รวมถึงบริการที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี 5G ได้แก่ อุปกรณ์เชื่อมต่อ IoT, ระบบการจัดเก็บและวิเคราะห์ข้อมูล, บิ๊กดาต้า, ระบบขนส่งและจราจรอัจฉริยะ ระบบสาธารณสุขทางไกล เป็นต้น

ศูนย์ทดสอบ 5G แห่งนี้ ยังมีแผนนำร่องปรับใช้กับระบบการแพทย์ทางไกลรักษา 4 โรคหลัก ได้แก่ โรคตา, โรคเบาหวาน, โรคความดันโลหิตสูง และโรคผิวหนังซึ่งเป็นโรคที่ไม่ต้องสัมผัสร่างกายโดยตรง ก็สามารถวินิจฉัยได้ อีกทั้งพบว่า 70-80% ของผู้ป่วยที่รอพบแพทย์ เป็นผู้ป่วยในกลุ่ม 4 โรคข้างต้น การนำเทคโนโลยี 5G เข้ามาปรับใช้ จึงสามารถอำนวยความสะดวกให้กับผู้ป่วย และลดความหนาแน่นของผู้ป่วยในโรงพยาบาล

ศักยภาพ 5G สานฝันสมาร์ทซิตี้

ปัจจุบันสัดส่วนมากกว่า 50% ของประชากรในอาเซียน อาศัยอยู่ในเขตเมือง มีตัวเลขคาดการณ์ว่าภายในปี 2573 จะมีจำนวนประชาการที่ตั้งอยู่ในพื้นที่เมืองเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันถึง 90 ล้านคน อีกทั้งเมืองขนาดกลางที่มีจำนวนประชากรระหว่าง 2 แสน-2 ล้านคน จะขับเคลื่อนการเติบโตของภูมิภาคนี้ได้ถึง 40% อย่างไรก็ตาม ความท้าทายก็คือ ความหนาแน่นของจำนวนผู้อยู่อาศัยจะนำมาซึ่งปัญหาการจราจรติดขัด ความมั่นคงปลอดภัยของพลเมือง คุณภาพของน้ำและอากาศในเมือง รวมถึงที่อยู่อาศัย หากระบบริหารจัดการเมืองไม่ดีพอ ดังนั้น เครื่องมือแก้ปัญหาที่ผู้บริหารของอาเซียนมองตรงกันก็คือ “เทคโนโลยี”

ในปี 2561 ประเทศกลุ่มอาเซียนประกาศ “เครือข่ายเมืองอัจฉริยะของอาเซียน (ASEAN Smart Cities Network) โดยนำร่องด้วย 26 เมืองในอาเซียน ซึ่งมุ่งมั่นใช้เทคโนโลยีเป็นตัวขับเคลื่อนเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนและสร้างการพัฒนาอย่างยั่งยืน สำหรับประเทศไทยมี 3 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพฯ ภูเก็ต และชลบุรี เป็นสมาชิกอยู่ในเครือข่ายนี้แล้ว

          โดยในมิติของการพัฒนาที่ต้องบูรณาการการใช้เทคโนโลยีเข้าไปในหลายส่วนที่สำคัญต่อการบริหารจัดการเมือง จุดเด่นในเรื่องความแรงและเร็วของ 5G จะเป็นเครื่องมือขับเคลื่อนที่สำคัญ เพราะการทำงานของสมาร์ทซิตี้ จำเป็นต้องมีการถ่ายโอนข้อมูลจำนวนมหาศาลได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ อุปกรณ์หรือระบบต่างๆ สามารถพูดคุยแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน ยกตัวอย่างเช่น ระบบจราจร และระบบขนส่งสาธารณะ ที่ต้องสื่อสารกับเครื่องวัดอากาศได้ในเสี้ยววินาที ทั้งหมดนี้ทำให้อินเทอร์เน็ตเข้ามามีบทบาทเป็นตัวบริหารจัดการสังคมมนุษย์

สำหรับประเทศไทย ได้นำร่องเมืองอัจฉริยะแล้วใน 7 จังหวัด 10 พื้นที่ ได้แก่ ภูเก็ต เชียงใหม่ กรุงเทพฯ เป็นต้น ส่วนปีที่ 2 คือปี 2562 จะขยายไปสู่ 24 จังหวัด 30 พื้นที่ และภายใน 5 ปีเริ่มปี 2563-2565 จะขยายไปทั่วประเทศ 77 จังหวัด 100 พื้นที่ต่อไป อีกทั้งได้กำหนดวาระเร่งด่วนที่ต้องพัฒนาเมืองอัจฉริยะทั่วประเทศ ได้แก่ กลุ่มเมืองเดิมต้องปรับปรุงให้น่าอยู่ ส่วนกลุ่มเมืองใหม่ต้องออกแบบให้ทันสมัยด้วยเทคโนโลยีอัจฉริยะตามลักษณะของเมืองอัจฉริยะ 7 ด้าน อาทิ เศรษฐกิจอัจฉริยะ เป็นต้น

‘เวิลด์ไวด์เว็บ’ แฮปปี้เบิร์ธเดย์ครบ 30 ปี

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/news/lifestyle/365821

‘เวิลด์ไวด์เว็บ’ แฮปปี้เบิร์ธเดย์ครบ 30 ปี

วันที่ 16 มีนาคม 2562 – 14:33 น.
ไอที,www,เวิลด์ไวด์เวบ,อินเทอร์เน็ต,อินเทอร์เน็ตไทย,บริษัท กูเกิล เ,เซอร์ทิม เบอร์เนอร์ส-ลี,บิดาแห่งอินเทอร์เน็ต
เปิดอ่าน 2,941 ครั้ง

  ในโอกาสครบรอบ 30 ปี ผู้ให้กำเนิดเครือข่ายเวิลด์ไวด์เว็บ ยังเรียกร้องให้ประชากรชาวเว็บรวมพลังกันเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลง เพราะเว็บเป็นของทุกคน

เมื่อวันที่ 13 มีนาคม ที่ผ่านมา ชาวออนไลน์ทั่วโลกร่วมเฉลิมฉลองครบรอบวันเกิด 30 ปีให้แก่เครือข่ายใยแมงมุม หรือโครงข่ายอินเทอร์เน็ต (World Wide Web) ซึ่งถือกำเนิดขึ้นครั้งแรกเมื่อปี 1989 โดยทิม เบอร์เนอร์ส-ลี (ซึ่งต่อมาได้รับอวยยศเป็น เซอร์ทิม เบอร์เนอร์ส-ลี จากผลงานล้ำโลกโครงการนี้) เขาเป็นนักพัฒนาซอฟต์แวร์สัญชาติอังกฤษ ที่ทำงานให้องค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศในทวีปยุโรปเพื่อวิจัยและพัฒนานิวเคลียร์ หรือเซิร์น (European Center for Nuclear Research : CERN) ในปีนั้นได้ยื่นเสนอแนวคิดผ่านเอกสารโครงงานชื่อว่า “การจัดการข้อมูล (Information Management : A Proposal)” ซึ่งได้รับการพัฒนามาเป็นเครือข่ายเว็บไซต์ใยแมงมุมทั่วโลกหรือ World Wide Web ครั้งแรกที่เซิร์น

เซอร์ทิม เบอร์เนอร์ส-ลี

       มีการรวบรวมไทม์ไลน์ที่น่าสนใจเกี่ยวกับพัฒนาการความนิยมในเครือข่าย World Wide Web นี้ไว้อย่างน่าสนใจว่า ในเดือนกันยายน 1990 เวิลด์ไวด์เว็บ ได้ถูกนำออกจากโลกของการวิจัยสู่โลกการใช้งานจริงเป็นครั้งแรกด้วยเครื่องค้นหา (Search Engine) ตัวแรกที่ชื่อว่า Archie โดยนักศึกษาคนหนึ่ง และอีก 1 เดือนต่อมา ‘ทิม เบอร์เนอร์สลี’ ก็เปิดตัวเว็บเบราเซอร์ตัวแรกของโลก ‘WorldWideWeb’ จำนวนผู้ใช้งานในขวบปีแรกมีสูงถึง 2.6 ล้านคน

          ปี 1991 มีการสร้างเว็บไซต์แรกของโลกซึ่งอยู่ในสังกัดของเซิร์นขึ้นมา และยังคงใช้งานอยู่ถึงปัจจุบัน ปี 1993 เซิร์น เปิดเผยข้อมูลซอฟต์แวร์ทั้งหมดที่ใช้ในการพัฒนาโครงการเวิลด์ไวด์เว็บสู่สาธารณะ ซึ่งอาจเรียกได้ว่าเป็นการเปิดประตูสู่การสร้างประวัติศาสตร์ใหม่ด้านการติดต่อสื่อสารของมนุษยชาติ เพราะปีถัดมามีเว็บไซต์ดังๆ ผุดขึ้นในโลกออนไลน์หลายเว็บ บางเว็บยังกลายมาเป็นยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมสื่ออนไลน์ทุกวันนี้ ได้แก่ ยาฮู อเมซอน รวมถึงเน็ตสเคป (Netscape) เว็บเบราเซอร์ยอดนิยมตัวแรกของโลกออนไลน์ ที่ในยุครุ่งเรืองสุดขีดเคยนำหน้าอินเทอร์เน็ต เอ็กซ์เพอเรอร์ (IE) ของไมโครซอฟท์ ก่อนจะพ่ายกลไกตลาด (ออนไลน์) เสรีจนต้องถูกซื้อกิจการเนื่องจากถูกตัดสินให้ล้มละลายเมื่อปี 2008

แบนเนอร์แรกไวรัลคลิปแรก

          นอกจากนี้ในเดือนตุลาคมปี 1994 เอทีแอนด์ที บริษัทด้านโทรคมนาคมรายใหญ่ของสหรัฐ ได้สร้างวิวัฒนาการโฆษณายุคใหม่ผ่านโฆษณาบนหน้าเว็บไซต์ (Banner Ad) ชิ้นแรกของโลกอีกด้วย และความคึกคักของเจ้าพ่อออนไลน์ยุคแรกๆ ของโลก ส่งผลให้สิ้นปีนี้ปิดยอดผู้ใช้อินเทอร์เน็ตด้วยตัวเลข 44.4 ล้านคน

          ความคักคักอย่างต่อเนื่องในปีถัดมาคือ 1995 ไมโครซอฟท์ส่งเบราเซอร์ IE ลงตลาด เกิดเว็บประมูลออนไลน์แห่งแรกที่ต่อมาโด่งดังในชื่อ อีเบย์ (eBay) สินค้าชิ้นแรกที่ขายได้บน eBay คือ Laser Point ที่ใช้งานไม่ได้แล้วในราคา 14.83 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อมาในปี 1996 มีไวรัลคลิปตัวแรกเผยแพร่บนออนไลน์โดยกระจายผ่านทางอีเมล ตามมาด้วยการเปิดตัวของ DoubleClick เว็บไซต์แรกที่บุกเบิกตลาดโฆษณาทางออนไลน์เต็มตัว และปี 1997 มีเครือข่ายสังคมออนไลน์แห่งแรกชื่อว่า SixDegrees.com

          ปี 1998 บริษัท กูเกิล เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์อย่างเป็นทางการ โดยเป็นกิจการที่ต่อยอดมาจากงานวิจัยเมื่อปี 1996 จนทุกวันนี้ยังขยายตัวอย่างต่อเนื่องในฐานะเจ้าตลาดเครื่องมือค้นหาข้อมูล (Search Engine) และวงการคลิปวิดีโอออนไลน์ Youtube ขณะที่ไวไฟ ก็เริ่มเข้าสู่การใช้งานของผู้บริโภคในปีเดียวกันนี้ ระหว่างช่วงนี้ถึงปี 2000 ยังมีความเคลื่อนไหวโดดเด่น ที่เปรียบได้กับปฐมบทของโลกดิจิทัลยุคใหม่ในวันนี้ ได้แก่ แพลตฟอร์มการแบ่งปันไฟล์ (File Sharing) ในชื่อแนปสเตอร์ (Napster) เว็บไซต์ที่เปิดพื้นที่ให้ชาวโซเชียลและเหล่าคนอยากเขียน (เล่าเรื่อง) หรือบล็อกเกอร์ ในชื่อ OpenDiary และการได้รับเงินลงทุนก้อนมหาศาลจากกลุ่มของของกูเกิล ซึ่งอาจเรียกได้ว่ายังเป็นแค่สตาร์ทอัพในยุคนั้น

ฟองสบู่ดอทคอม และโลกโซเชียลเปิดกว้างกว่าเดิม

          ปี 2000 มีจำนวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทั่วโลก 412.8 ล้านคน ไตรมาสแรกปีนี้สัญญาณฟองสบู่ดอทคอมแตกเริ่มปรากฏชัดเจน ต่อเนื่องมาถึงปี 2004 ที่มีสัดส่วนบริษัทเพียง 49% ของธุรกิจดอทคอมรุ่นบุกเบิกที่ยังคงยืนหยัดอยู่ได้ อย่างไรก็ตามแม้ในภาวะยากลำบากของวงการดอทคอม แต่ก็ยังมีการเกิดขึ้นของเครือข่ายสังคมออนไลน์แห่งใหม่ๆ รวมถึงการเปิดพื้นที่แห่งการแบ่งปันและสร้างสรรค์ความรู้สาธารณะแบบไม่รู้จบในชื่อ Wikipedia ในปี 2001 ขณะที่แอปเปิล ก็เปิดร้านขายเพลงออนไลน์ “ไอทูนสส์ (iTunes)” ในปี 2003 และการเกิดขึ้นของเครือข่ายสังคมออนไลน์ของคนทำงานและผู้บริหารมืออาชีพ LinkedIn ปีเดียวกันเฟซบุ๊ก เครือข่ายสังคมออนไลน์ใหญ่สุดของโลก ก็เปิดตัวในช่วงนี้เช่นกัน (เดือนกุมภาพันธ์ 2004) อย่างไรก็ตามช่วง 2 ปีแรกนั้น ยังเป็นเครือข่ายที่จำกัดวงอยู่ในกลุ่มนักศึกษาในสหรัฐและแคนาดา

          ช่วงปี 2005-2010 มีความคึกคักอย่างมาก พร้อมกับการเติบโตของจำนวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตจากราว 1 พันล้านคน เป็นกว่า 1.9 พันล้านคนในระยะ 5 ปีนี้ มีการเกิดขึ้นของยูทูบ ทวิตเตอร์ เน็ตฟลิกซ์ การเปิดตัวไอโฟนรุ่นแรก การปล่อยกูเกิลโครม (Chrome) และในวันครบรอบ 30 ขวบปีของการถือกำเนิด WorldWideWeb ณ วันนี้มีจำนวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทั่วโลกทะลุ 4.2 พันล้านคนไปแล้ว และมีจำนวนประชากรชาวโซเชียลบนเฟซบุ๊กมากกว่า 2 พันล้านคน

จดหมายเปิดผนึกจากบิดาแห่งอินเทอร์เน็ต

          เซอร์ทิม เบอร์เนอร์สลี ซึ่งได้รับการขนานนามว่าเป็น ‘บิดาแห่งอินเทอร์เน็ต’ ได้เขียนจดหมายเปิดผนึกเผยแพร่บนหน้าเว็บไซต์ของมูลนิธิ World Wide Web Foundation ในโอกาสพิเศษนี้ เรียกร้องให้คนเข้ามามีส่วนร่วมในการสร้างสังคมบนเว็บที่ดียิ่งขึ้น พร้อมทั้งระบุความกังวลเกี่ยวกับปัญหาที่เขาเห็นอย่างชัดเจน 3 ประเด็นเกี่ยวกับโลกออนนไลน์ ดังนี้

          1.การใช้อินเทอร์เน็ตด้วยเจตนาร้าย (Deliberate, malicious intent) อย่างเช่น การแฮ็กและการโจมตีที่ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ พฤติกรรมที่เข้าข่ายอาชญากรรม และการล่วงละเมิดทางออนไลน์ 2.ระบบออนไลน์ที่สร้างแรงจูงใจในทางที่ผิด (System design that creates perverse incentives) ได้แก่ รูปแบบรายได้จากโฆษณาที่ทำให้เจ้าของเว็บไซต์หันไปใช้เทคนิค Clickbait หรือการตั้งหัวเรื่องเกินจริงเพื่อเรียกความสนใจ และแพร่กระจายข้อมูลผิดๆ และ 3.อินเทอร์เน็ตที่นำมาซึ่งการสร้างความแตกแยกโดยไม่เจตนา (Unintended negative consequences) ซึ่งเสียงแห่งความเกลียดชังผ่านทางออนไลน์ สามารถชี้นำจนก่อให้เกิดวาทกรรมออนไลน์ที่ไม่เป็นผลดี

          มีข้อมูลระบุว่า นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาแสดงความเห็นลักษณะนี้ เพราะเมื่อย้อนไปเมื่อวาระครบรอบ 28 ปีของอินเทอร์เน็ต ก็เคยมีการแสดงความวิตกกังวลต่อโลกเวิลด์ไวด์เว็บในอนาคต โดยในเวลานั้น 3 ปัญหาใหญ่ที่ระบุถึง ได้แก่ ปัญหาข่าวปลอม (Fake News), การโฆษณาเพื่อหวังผลทางการเมือง และการเสียความสามารถในการควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล

          ในโอกาสครบรอบ 30 ปี ผู้ให้กำเนิดเครือข่ายเวิลด์ไวด์เว็บ ยังเรียกร้องให้ประชากรชาวเว็บรวมพลังกันเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลง เพราะเว็บเป็นของทุกคน และแม้จะไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็คาดหวังไว้ว่าถ้าทุกคนมีความฝันร่วมกันแม้เพียงเสี้ยวเล็กๆ แต่มุ่งมั่นช่วยกันอย่างจริงจัง ก็จะได้สังคมของเว็บอย่างที่ทุกคนปรารถนาร่วมกันได้