5G มาแรงในงานโมบาย เวิลด์ คองเกรส 2019

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/news/lifestyle/364270

5G มาแรงในงานโมบาย เวิลด์ คองเกรส 2019

วันที่ 2 มีนาคม 2562 – 11:40 น.
ไอที,วิทยาการ,งานแสดงเทคโนโลยี
เปิดอ่าน 2,779 ครั้ง

นอกเหนือจากสีสันความล้ำด้านดีไซน์และนวัตกรรมของสินค้าไฮเทครุ่นใหม่ๆ ที่แข่งกันมาประชันความ “เหนือ” ในงานนี้แล้วผู้กำหนดนโยบาย ก็ถือโอกาส ได้ระดมสมองอีกด้วย

ตลอดสัปดาห์สุดท้ายของเดือนกุมภาพันธ์ที่เพิ่งสิ้นสุดไป คนในวงการเทคโนโลยีทั่วโลกทั้งภาคส่วนที่เป็นผู้กำหนดนโยบาย ภาคธุรกิจ และคอเทคโนโลยี(ที่พอจะมีฐานะต่างพากันเหินฟ้าไปเข้าชมงาน “โมบาย เวิลด์ คองเกรส 2019” (Mobile World Congress 2019 (MWC 2019) งานแสดงเทคโนโลยีด้านการสื่อสารไร้สายและเทคโนโลยีดิจิทัลยิ่งใหญ่แห่งปี ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 25-28 กุมภาพันธ์ 2562 ณ เมืองบาร์เซโลนา ประเทศสเปน ไฮไลท์เทคโนโลยีเด่นที่จะนำเสนอในงานปีนี้ มุ่งเน้นไปที่เรื่องของ 5G ครอบคลุม การเชื่อมต่อ (Connectivity), ปัญญาประดิษฐ์ (AI), อุตสาหกรรม 4.0 (Industry 4.0), Immersive Content, นวัตกรรมเปลี่ยนโลก (Disruptive Innovation), Digital Wellness, ความน่าเชื่อถือของดิจิทัลและอนาคต (Digital Trust and The Future)

 

           แนวคิดหลัก (Theme) ของการจัดงานปีนี้ คือ Intelligent Connectivity เสมือนการโหมโรงการใกล้มาถึงของระบบ 5G ที่จะนำพาความอัจฉริยะเหนือล้ำในการช่วยให้อุปกรณ์ต่างๆ หรือผู้คนสามารถเชื่อมโยงถึงกันด้วยความรวดเร็วแทบเสี้ยววินาที ด้วยคุณสมบัติเด่นทั้งในแง่ความเร็วในการสื่อสารข้อมูล และการรองรับอุปกรณ์ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ (IoT) จำนวนมหาศาล สอดคล้องกับแนวโน้มการนำประโยชน์จากการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data Analytic) เข้ามาต่อยอดสร้างโอกาสและรูปแบบธุรกิจใหม่ๆ ตลอดจนยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน คุณสมบัติเด่นๆ ได้แก่ ความเร็วสูงสุด 10Gbps , ความหน่วงต่ำ (low Latency) ลดระยะเวลาการเชื่อมต่อไปยังปลายทางให้เหลือน้อยกว่า 0.001 วินาที มีความเสถียรใช้งานได้ 99.9999% , มี Bandwidth เพิ่มขึ้น 1000 เท่าในแต่ละพื้นที่ รองรับการเชื่อมต่อจากอุปกรณ์ เพิ่มขึ้น 100 เท่า ในแต่ละพื้นที่ใช้พลังงานในการเชื่อมต่อน้อยลง 90% เป็นต้น

           โดยปีนี้คาดว่าจะมีจำนวนผู้เข้าชมงานมากกว่า 100,000 คน และมีบริษัทเข้าร่วมจัดแสดงเทคโนโลยีมากกว่า 2,300 ราย ซึ่งแน่นอนว่าผลิตภัณฑ์ที่จะพาเหรดเข้ามายึดพื้นที่ในงานยักษ์แห่งปี ก็คือ สมาร์ทโฟนและอุปกรณ์อัจฉริยะรุ่นใหม่ ที่เพิ่มความอัจฉริยะ และดีไซน์ล้ำ ซึ่งแบรนด์ใหญ่ที่ประกาศเปิดตัวเครื่องรุ่นล่าสุดที่งานนี้ มีทั้ง หัวเว่ย ซัมซุง ไอบีเอ็ม เอชทีซี แอลจี โวดาโฟน เป็นต้น สมาคมจีเอสเอ็ม (GSMA) เจ้าภาพใหญ่ของงานนี้ ถึงกับให้เครดิต MWC 2019 ว่า เป็นอีเวนท์ที่หนุนส่งให้บาร์เซโลนา ขึ้นมาเป็นเมืองหลวงด้านเทคโนโลยีของโลกอีกครั้ง ด้วยยอดผู้เข้าชมงานมากกว่า 100,000 คน

หัวเว่ย โชว์มือถือจอพับได้ 5G รุ่นแรกของโลก

           ในวันแรกของการเปิดงาน ก็สามารถเรียกเสียงฮือฮากระหึ่มทั่วโลก เมื่อยักษ์ใหญ่จากจีน ‘หัวเว่ย’ เผยโฉมมือถือนวัตกรรมเฉียบดีไซน์ล้ำ Huawei Mate X สมาร์ทโฟน 5G จอพับได้รุ่นแรกของโลก และแม้ว่าจะเป็นการเปิดตัวตามหลังคู่แข่งรายสำคัญอย่าง ซัมซุงที่เปิดตัว Galaxy Fold ไปก่อนหน้านี้ไม่นาน แต่ก็สามารถประกาศอย่างมั่นใจได้ว่า “เหนือกว่า” สมาร์ทโฟนของคู่แข่งทุกรายเพราะมาพร้อมความสามารถในการ “รองรับเครือข่าย 5G ที่ทำให้เราสามารถพูดคุยทั่วถึงกันได้ทั่วโลก” และในงานเดียวกันนี้ ยังเปิดตัวโน้ตบุ๊ก MateBook X Pro รุ่นใหม่ และอุปกรณ์กระจายสัญญาณที่รองรับ 5G อีกด้วย และแม้ว่าจะเป็นการเปิดตัวตามหลังคู่แข่งรายสำคัญอย่าง ซัมซุงที่เปิดตัว Galaxy Fold ไปก่อนหน้านี้ไม่นาน

           มรเจมส์ อู๋ ประธานบริหารหัวเว่ย ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ใช้เวทีนี้ประกาศวิสัยทัศน์ที่มีต่ออนาคต 5G ว่า การใช้เทคโนโลยี 5G เชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่ในหลายๆ ประเทศ อาทิ อินเดีย ไทย และเวียดนามจะเริ่มขึ้นได้เร็วในปี 2563 และในอีก ปีข้างหน้า ภูมิภาคนี้จะมีผู้ใช้ 5G สูงถึง 80 ล้านราย ทั้งอุปกรณ์ไร้สาย ดิจิทัลและอุปกรณ์อัจฉริยะต่างๆ จะทำให้ผลิตภาพทางสังคมดีขึ้นเฉลี่ย 4-8% อีกทั้ง คาดการณ์ว่า 5G จะสร้างโอกาสให้อุตสาหกรรมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สูงถึง 1.2 ล้านล้านดอลาร์สหรัฐในอีก ปีข้างหน้า

           ผมเชื่อว่าปี 2562 จะเป็นปีที่สำคัญยิ่งสำหรับ 5G ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หัวเว่ยในฐานะผู้จำหน่ายเทคโนโลยี 5G จะช่วยให้โอเปอเรเตอร์ทุกรายในภูมิภาคทำฝันเรื่อง 5G ให้เป็นจริง เราจะลงทุนอย่างต่อเนื่องในด้าน 5G, บรอดแบนด์คลาวด์ปัญญาประดิษฐ์ และสมาร์ทดีไวซ์ เพื่อช่วยให้ลูกค้าของเราได้ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีใหม่นี้ได้มากที่สุด”

           ขณะที่ นายบอร์เย เอ็ค โฮล์ม ประธานและซีอีโอของอีริคสัน แถลงต่อสื่อมวลชนและนักวิเคราะห์ที่งานเดียวกันนี้ว่า อีริคสันเปิดให้บริการ 5G แล้วทั่วโลกในปี 2562 ด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีความแข็งแกร่ง ปลอดภัย และรองรับ พร้อมย้ำชัดถึงหน้าที่ของ 5G ที่จะเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับประเทศ และผลประโยชน์ที่จะได้รับสำหรับผู้ที่ใช้ 5G ก่อนใคร

           ทั้งนี้ อีริคสัน ระบุปัจจุบันสหรัฐอเมริกาและเอเชียเป็นผู้นำด้านการพัฒนา 5G ขณะเดียวกัน บริษัทได้ประกาศข้อตกลงทางธุรกิจด้าน 5G เชิงพาณิชย์ กับผู้ให้บริการด้านการสื่อสาร 10 ราย พร้อมบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ 42 ฉบับ และได้ดำเนินการเปิดใช้เครือข่าย 5G แล้วทั่วโลก ทั้งในสหรัฐอเมริกา ยุโรป เอเชีย และออสเตรเลีย และจะทยอยในประเทศอื่นๆ ต่อไป ผู้บริโภคและสถานประกอบการกำลังรอที่จะใช้ 5G จากผลสำรวจของห้องปฎิบัติการวิจัยผู้บริโภคของอีริคสัน พบว่า ใน ของผู้ใช้สมาร์ทโฟนทั่วโลกจะเปลี่ยนไปใช้เครือข่ายของผู้ให้บริการ 5G ทันทีหรือภายใน เดือน

ไทยโชว์วิสัยทัศน์ 5G ลดช่องว่างดิจิทัล

          นอกเหนือจากสีสันความล้ำด้านดีไซน์และนวัตกรรมของสินค้าไฮเทครุ่นใหม่ๆ ที่แข่งกันมาประชันความ “เหนือ” ในงานนี้แล้ว ในฝั่งของผู้กำหนดนโยบายก็ถือโอกาสนี้เปิดเวทีระดมสมองและแบ่งปันประสบการณ์การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีเพื่อสร้างความเท่าเทียม และทั่วถึงให้กับทุกคนในประชาคมโลก โดยหนึ่งในเวทีสำคัญคือ GSMA Ministerial Programme 2019 ซึ่งประเทศไทยได้เข้าไปมีส่วนร่วมในเวทีเสวนานี้ด้วย

          นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีซึ่งได้เดินทางเข้าร่วมการประชุมข้างต้น ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงาน Mobile World Congress 2019 (MWC 2019) ได้ร่วมเป็นวิทยากร ในหัวข้อ “5G: Are we in danger of a new digital divide?” โดยนำเสนอความก้าวหน้าในการดำเนินการทดสอบเทคโนโลยี 5G และการใช้ประโยชน์ในประเทศ สำหรับประเทศไทยแล้วเทคโนโลยี 5G จะไม่เป็นการสร้างช่องว่างทางดิจิทัลให้เพิ่มมากขึ้น แต่จะช่วยให้ประชาชนได้รับประโยชน์จากบริการของภาครัฐ เช่น ในด้าน Telemedicine ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั่วถึงและเท่าเทียม

          นอกจากนี้ ยังได้เข้าร่วมการประชุม APAC Digital Economy Roundtable ในหัวข้อ How the mobile industry can accelerate digital economic growth: National digital policies and regional framework in Asia โดยร่วมแบ่งปันข้อมูลเกี่ยวกับนโยบายเน็ตประชารัฐและศูนย์ดิจิทัลชุมชนของไทย ซึ่งประสบความสำเร็จและช่วยให้ประชาชนทั่วประเทศสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัลได้อย่างเท่าเทียม ภายใต้แนวคิด available, accessible และ affordable จนได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล WSIS2019 ของ ITU ซึ่งจะมีการประกาศผลในเดือนเมษายนนี้

5G จะเป็น ใน การเชื่อมโยงของโลกภายในปี 2025

          สมาคมจีเอสเอ็ม ได้นำเสนอรายงานนี้ในโอกาสเปิดม่านงาน MWC 2019 ว่า ภายในปี 2025 จะมีสัดส่วนการใช้มือถือ 5G ถึงประมาณ 15% ของเครือข่ายโทรศัพท์มือถือทั่วโลก ขณะที่ปัจจุบันเทคโนโลยีนี้เริ่มเข้าไปมีบทบาทในชีวิตจริงของคนในสหรัฐ และเกาหลีใต้บ้างแล้ว แม้จะยังอยู่ในวงจำกัดก็ตาม ขณะที่ ในรายงานMobile Economyฉบับล่าสุดของอีริคสัน พบว่า จะมีตลาดใหม่ๆ สำหรับ 5G เกิดขึ้นอีกไม่ต่ำกว่า 16 ประเทศภายในปีนี้ โดยหนึ่งในตลาดสำคัญคือ ประเทศอังกฤษ ซึ่งผู้ให้บริการทั้ง รายพร้อมเดินหน้าการทดสอบ

          ด้านคาดการณ์แนวโน้มการใช้งานโครงข่ายมือถือ 5G สมาคมจีเอสเอ็ม เชื่อว่าจะมีสัดส่วนผู้ใช้งานในยุโรป และจีนถึง 30% และในสหรัฐ 50% ซึ่งจะช่วยขยับปริมาณการเชื่อมต่อเครือข่ายในระดับโลกจาก 43% เมื่อปีที่ผ่านมา เป็น 60% ภายใน ปีจากนี้ แม้ว่าบางส่วนจะยังคงเป็นการเชื่อมต่อในระบบ 4G ก็ตาม ขณะที่ ภายในปี 2025 จะมีจำนวนการใช้มือถือเพิ่มขึ้น 700 ล้านเลขหมาย และผู้ใช้บริการข้อมูลผ่านมือถือหน้าใหม่ๆ อีก 1.4 พันล้านรายจะเชื่อมต่อเข้าสู่โลกออนไลน์ หนุนให้ปริมาณอุปกรณ์ที่มีความสามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต (IoT) แตะหลัก พันล้านชิ้น

          ผู้บริหารของสมาคมจีเอสเอ็ม ระบุด้วยว่า ในแง่ผลกระทบเชิงบวกต่อเศรษฐกิจ คาดว่าบริการและเทคโนโลยีโทรศัพท์มือถือ จะช่วยขับเคลื่อนมูลค่าทางเศรษฐกิจ 4.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2023 โดยส่วนหนึ่งจะทำให้เกิดการสร้างงานใหม่ทั้งทางตรงและทางอ้อม มากกว่า 32 ล้านตำแหน่ง ทั้งนี้ การมาถึงของ 5G จะเป็นส่วนสำคัญที่ขับเคลื่อนโลกเข้าสู่ยุคแห่ง Intelligent Connectivity ที่มีทั้งการพัฒนาในเรื่อง IoT, Big Data และปัญญาประดิษฐ์ (AI) เหล่านี้จะเป็นกลไกขับเคลื่อนหลักของการเติบโตทางเศรษฐกิจในอีกไม่กี่ปีจากนี้ อีกทั้งเพิ่มประสิทธิภาพในหลายๆ ภาคส่วน ได้แก่ เกษตรกรรม การศึกษา และสาธารณสุข ที่จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับคนทั่วโลก

เยี่ยมชมศูนย์ทดสอบการใช้งาน 5G ในอีอีซี

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/news/lifestyle/362747

เยี่ยมชมศูนย์ทดสอบการใช้งาน 5G ในอีอีซี

วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2562 – 11:45 น.
ไอที
เปิดอ่าน 2,653 ครั้ง

สู่หมุดหมายของการเป็นประเทศลำดับต้นๆ บนแผนที่โลกที่จะ ‘พร้อมใช้’ ประโยชน์จากความล้ำหน้าของเทคโนโลยีสื่อสารไร้สายยุคล่าสุดที่ชื่อว่า 5G

วันนี้ (8 ..) เป็นการเปิดศักราชการสื่อสารในยุค 5จี ของประเทศไทย โดยมีการติดตั้งโครงข่าย 5จี ทั้งระบบในประเทศไทย พร้อมแสดงตัวอย่างการใช้งานจริง (Use Case) ในหลายด้าน เช่น การจำลองการทำงานในโรงงานอุตสาหกรรมโดรนส่งของ, Cooperative Cloud Robot, อุปกรณ์ตรวจวัดบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต (IoT Sensor) ณ ห้องศูนย์ปฏิบัติการทดสอบ 5G มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ศรีราชา ซึ่งจะทำให้เห็นถึงนวัตกรรมใหม่ ๆ เตรียมพร้อมเข้าสู่ยุคของการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี 5จี”

          ประโยคข้างต้นของ ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ในวันลงพื้นที่เยี่ยมชมการเปิดศูนย์ทดสอบ 5G บนพื้นที่โครงการอีอีซี ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตศรีราชา สะท้อนชัดถึงการเดินหน้าประเทศไทยสู่หมุดหมายของการเป็นประเทศลำดับต้นๆ บนแผนที่โลกที่จะ ‘พร้อมใช้’ ประโยชน์จากความล้ำหน้าของเทคโนโลยีสื่อสารไร้สายยุคล่าสุดที่ชื่อว่า 5G หลังการกำหนดมาตรฐานคลื่นความถี่สำหรับเทคโนโลยีนี้อย่างเป็นทางการ โดยสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (ไอทียู) ในปี 2563

          ด้วยข้อได้เปรียบของทำเลที่ตั้งในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซีศูนย์กลางของอุตสาหกรรมแห่งอนาคต (S-Curve) จำนวน 12 กลุ่มอุตสาหกรรม มีการมอบสิทธิประโยชน์บีโอไอให้เป็นพิเศษ มีระบบนิเวศน์ทางธุรกิจอย่างสมบูรณ์แบบ และมีประมาณการณ์ว่าจะมีมูลค่าการลงทุนโครงการใหญ่ต่างๆ รวมไม่ต่ำกว่า 45,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จึงดึงดูดผู้ให้บริการโทรคมนาคมหลักทุกรายในประเทศไทยขานรับเข้ามาใช้ศูนย์ทดสอบแห่งนี้ และยังรวมไปถึงบริษัทที่เป็นเจ้าของเทคโนโลยี ได้แก่ หัวเว่ย ซึ่งเป็นรายแรกที่ได้นำเข้าอุปกรณ์ 5จี ทั้งระบบมาถึงประเทศไทยและติดตั้งพร้อมใช้งาน พร้อมประกาศแผนลงทุน 160 ล้านบาท จัดตั้งศูนย์ทดสอบ 5G แห่งแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของหัวเว่ยไว้ที่นี่ และจ่อคิวรออีกหลายราย ได้แก่ โนเกีย อีริคสัน เอ็นอีซี ซูมิโตโม ซิสโก้ ไมโครซอฟท์ และอินเทล เป็นต้น

          ขณะเดียวกัน ดีอีและเกษตรศาสตร์ เจ้าของพื้นที่ก็เร่งเดินหน้าแผนสร้าง ‘กำลังพล 5G’ แรงงานทักษะสายพันธุ์ใหม่ เตรียมพร้อมให้ประเทศไทยสามารถใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่จากเทคโนโลยีใหม่นี้ ที่คาดว่าจะขยายการใช้งานที่เฉพาะด้านหรือเฉพาะธุรกิจ สู่วงกว้างอย่างเต็มตัวในอีก 2-3 ปีข้างหน้า โดยจัดทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการ (MOU) เรื่องการทดสอบเทคโนโลยี 5G นำร่องด้วยการเปิดเปิดสถาบันพัฒนาศักยภาพด้านดิจิทัลเพื่อ EEC หรือ Digital Academy Thailand(DAT)

ประชันเทคโนโลยีชิงความล้ำ

          นอกเหนือจาก บมจ. กสท โทรคมนาคม และ บมจ. ทีโอที ซึ่งจัดเต็มกับการโชว์ความพร้อมสำหรับการชิงโอกาสทางธุรกิจจาก 5G ฟากเอกชนทั้งไทยและเทศ ก็พาเหรดกันนำเทคโนโลยีด้านอุปกรณ์และการประยุกต์ใช้งาน 5G (Use Case) มาประชันความล้ำกันอย่างไม่มีใครยอมใคร และช่วยให้มองเห็นภาพที่คนไทยจะได้รับประโยชน์จากเทคโนโลยีใหม่นี้ได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น เรียกได้ว่าน่าจะยกระดับความอัจฉริยะ(Smart) ในหลายๆ ด้านในยุคนี้ให้ ‘เหนือชั้น’ หรือ Smarter ขึ้นไป

          พีทีที ดิจิทัล ในเครือ ปตท โชว์ Plant simulation จำลองโรงงานระบบอัตโนมัติยุค 5G ใช้เครือข่ายของเซ็นเซอร์ทางานร่วมกันแบบไร้สาย และประยุกต์ใช้เทคโนโลยี AR ที่เป็นการใช้กล้องโทรศัพท์มือถือควบคุมการบริหารจัดการโรงงานแบบ real time

          บริษัท Fling ผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบใช้งานโดรนเพื่อธุรกิจ จัดแสดงโดรนส่งสิ่งของ (Drone Delivery) โดยเป็นระบบโดรนที่ควบคุมจากรีโมทระยะไกล พร้อมทั้งส่งภาพจากกล้องบนตัวโดรนกลับมายังผู้บังคับได้ตามเวลาจริง เป็นตัวอย่างการใช้เทคโนโลยีในอุตสาหกรรมบริการในอนาคต

          บริษัท แนคร่า โชว์ชุดอุปกรณ์ระบบการระบุพิกัดและเวลาแบบความแม่นยำสูง (GNSS RTK) สามารถใช้เป็นตัวปรับเวลาเพื่อให้เวลาของนาฬิกาแต่ละสถานีฐานมีความแม่นยำตรงกัน และสามารถให้ค่าพิกัดสาหรับโดรนบินอัตโนมัติ หรือยานยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ

          หัวเว่ย นำเสาอากาศพร้อมระบบอุปกรณ์ 5G เต็มระบบชุดแรกในประเทศไทยมาให้ชมกันแบบใกล้ชิด พร้อมกับ Use Case นวัตกรรมเทคโนโลยี AR/VR แบบ 360 องศา (360 AR/VR) และวิดีโอมัลติ-เอชดี (Multi-HD VDO) ตอบรับรูปแบบความบันเทิงใหม่ๆ ที่มีความสมจริงทุกมิติ

          โนเกีย/เอไอเอส ที่มาแบบแพ็คคู่โชว์ Use Case ทั้งด้านไลฟ์สไตล์และธุรกิจ ได้แก่ เทคโนโลยีความเร็วของ 5G ผ่านเกมและแอพพลิเคชั่นต่างๆ ได้แก่ 5G Collaborative Car Factory ผู้ทดสอบจะได้ลองประกอบเครื่องยนต์ของรถยนต์ ผ่าน VR และ 5G AR Digital Rubik’s Cube และ 5G VR Football Game สาธิตการตอบสนองที่เร็วกว่าของเครือข่าย 5G ผ่านเกมฟุตบอลและการเล่น Rubik’s cube แบบเรียลไทม์, เทคโนโลยีของ Nokia AVA สำหรับการออกแบบระบบดิจิทัล 5G (5G Digital Design) โดยการใช้ปัญญาประดิษฐ์ และการเรียนรู้ของเครื่อง เข้ามาช่วยในการระบุตำแหน่งของผู้ใช้งานโทรศัพท์มือถือในรูปแบบสามมิติ (3D Geolocation) ซึ่งนำไปสู่การออกแบบระบบดิจิทัล 5G ที่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้ใช้โทรศัพท์มือถือ 5G ได้อย่างครบถ้วน รวดเร็ว เป็นต้น

          อีริคสัน โชว์ศักยภาพด้านการพัฒนาอุปกรณ์ที่สามารถอัพเกรดสถานีฐานจาก 4G เป็น 5G โดยอุปกรณ์การรับส่งสัญญาณรุ่น AIR 4455 ซึ่งได้นำมาติดตั้งที่ประเทศไทยเป็นแห่งแรกของโลก เริ่มติดตั้งบนหลังคาร้าน 7-Eleven เนื่องจากขนาดเล็ก น้ำหนักเบา ติดตั้งง่าย ไม่ต้องการเสาขนาดใหญ่, การสาธิต Use Case ชุดแขนหุ่นยนต์ ที่ควบคุมทิศทางได้ผ่านอุปกรณ์เซ็นเซอร์

หนุนเกษตรกรไทยคว้าโอกาสเกษตรอัจฉริยะ

          อีกโชว์เคสที่ได้รับความสนใจอย่างมากคือ เกษตรอัจฉริยะ (Smart Farming) เพราะแม้ปัจจุบันยังเป็นยุค 4G แต่บมจโทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (ดีแทค) ก็พัฒนาให้เกิดประโยชน์ได้จริงและยกระดับชีวิตให้กับเกษตรกรไทยหลายครอบครัวแล้ว ในงานนี้ดีแทค ยกโมเดลฟาร์มการเกษตรพร้อมระบบอัจฉริยะมาให้ทุกคนได้เห็นอย่างใกล้ชิด นำเสนอแนวคิดการทำเกษตรสมัยใหม่ ปรับการใช้ทรัพยากรไห้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อม แม่นยำ เพิ่มผลผลิต ด้วยโซลูชั่น “ฟาร์มแม่นยำ” ที่ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีInternet of Thingsเพื่อการทำเกษตรที่มีความแม่นยำ

          หลักการทำงาน ได้แก่ 1.ระบบเซ็นเซอร์อัจฉริยะ อุปกรณ์เซ็นเซอร์ที่ฝังซิมดีแทค ซึ่งจะช่วยสังเกตการ์และติดตามความเปลี่ยนแปลง เพิ่มความแม่นยำทางการเกษตร 2.วิเคราะห์อย่างชาญฉลาด ระบบจะประมวลผล และวิเคราะห์ข้อมูลผ่านระบบคลาวด์ dtac Intelligent Farm และแสดงผลผ่านแอพแบบ real-time ให้เห็นข้อมูลและแนวโน้มปัจจัยทางการเกษตรอย่างชัดเจน 3.ชีวิตง่ายเพียงปลายนิ้วคลิก เกษตรกรปรับปรุงปัจจัยควบคุมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทันการณ์ ลดความเสียหาย เพิ่มคุณภาพและผลผลิต และ 4.Real-time Tracking ระบบเซ็นเซอร์จะนำข้อมูลเข้าสู่ระบบหลังบ้านของดีแทค ทั้งความชื้นในดิน แสง และอุณหภูมิ ทำให้ได้ข้อมูลตามเวลาจริง

.เกษตรฯ เตรียมดันงานวิจัยสู่ใช้งานจริง

          การได้รับเลือกให้เป็นสถานที่ที่จัดตั้ง 5G Testbed หลักสำหรับพื้นที่อีอีซี ยังช่วยเพิ่มโอกาสให้กับอาจารย์ และนักศึกษาของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตศรีราชา ที่จะผลักดันผลงานวิจัยด้านการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสื่อสารไร้สายความเร็วสูง เข้าสู่สนามทดสอบที่มีความพร้อมของอุปกรณ์ทันสมัยล่าสุด ซึ่งพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชนที่นำเข้ามาติดตั้งในศูนย์ฯ แห่งนี้ เพิ่มโอกาสเร่งความเร็วในการพัฒนางานวิจัยบนกระดาษสู่การใช้งานจริง ตอบโจทย์ตั้งแต่แง่ชีวิตความเป็นอยู่ ความก้าวหน้าด้านสาธารณสุข ไปจนถึงการเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ

          จากการเดินชมผลงานวิจัยที่เกษตรศาสตร์ นำมาโชว์ในศูนย์ทดสอบ 5G จะเห็นความสอดคล้องไปกับทิศทางการพัฒนาโครงการอีอีซี ได้แก่ แอพพลิเคชั่นจำลองแหล่งท่องเที่ยวเสมือนจริงในเขตพื้นที่อีอีซี (Visual Tourism) มีการสร้างแบบจำลอง 3 มิติและมัลติมีเดีย นักท่องเที่ยวสัมผัสบรรยากาศของสถานที่ท่องเที่ยวโดยใช้ VR ประกอบการวางแผนและตัดสินใจในการเดินทางมาท่องเที่ยวร้านสะดวกซื้อไร้คนขาย (Unmanned Convenience Store) หรือ Gen Go นำร่องให้บริการกับนักศึกษา ใช้ระบบ Self Check-in/Check-out นำบัตรนักศึกษามาสแกนบริเวณหน้าทางเข้าร้านเพื่อยืนยันตัวตน เลือกซื้อสินค้าที่ภายในร้านใช้ระบบ Eleectronic Self Lebel (ESL) ในการบอกราคาและโปรโมชั่นสินค้า นำสินค้ามาวางที่เครื่องรับชำระเงิน โดยระบบ AI จะสแกนและคิดเงิน หรือใช้การสแกนรหัสสินค้า จากนั้นเลือกวิธีชำระเงินผ่านคิวอาร์โค้ด บัตรนักศึกษาหรือบัตรเครดิต นอกจากนี้ยังมีระบบเครื่องรับซื้อขวดอ้ตโนมัติ (Refun Machine) รับซื้อขวดเครื่องดื่มขนาด 600 มล.-2 ลิตร โดยระบบจะทำการอ่านบาร์โค้ดที่ฉลาก เพื่อวิเคราะห์แยกประเภท และตีราคาเงิน

          ด้านงานวิจัยเพื่อประยุกต์ใช้ 5G ในทางการแพทย์ ได้แก่ ระบบ Interactive Therapy ช่วยให้ผู้ป่วยทำกายภาพบำบัดด้วยตัวเองได้ตามรูปแบบที่เหมาะสม ออกแบบให้ทำได้ผ่านเกมกายภาพบำบัดและวิดีโอ ช่วยให้ผู้ป่วยเพลิดเพลิน มีระบบจัดเก็บข้อมูลให้นักกายภาพบำบัดสามารถนำสถิติมาให้คำแนะนำทางไกลได้ เพื่อให้การบำบัดมีประสิทธิภาพสูงสุด นอกจากนี้ ยังมีงานวิจัยด้านการใช้พลังงานอัจฉริยะเพื่อเพิ่มความฉลาดให้กับสมาร์ท ซิตี้ (5G : Smart Hybrid DC-AC Microgrid for a Smarter City) เป็นการบูรณาการความสามารถของการสื่อสารผ่านระบบ 5G ที่มีความสามารถในการจัดการข้อมูลปริมาณมหาศาล ความหน่วงต่ำ ช่วยให้อุปกรณ์ IoT สื่อสารกันได้อย่างรวดเร็วในวงกว้าง เพื่อสนับสนุนการทำงานของโครงข่ายสำหรับส่งไฟฟ้าอัจฉริยะแบบครบวงจร เกิดการบริหารจัดการการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ควบคู่กับความเสถียรของการจ่ายไฟฟ้า เป็นต้น

          ที่ผ่านมา เคยมีตัวเลขคาดการณ์โดยกลุ่มผลิตภัณฑ์ 5G หัวเว่ย ระบุว่า 5G จะมีผลทุกอุตสาหกรรม แต่ภาคการผลิตจะได้รับประโยชน์สูงสุด สร้างมูลค่าเพิ่มได้ถึง 3.4 ล้านล้านดอลลาร์ หรือ 28% ของ GDP โลก ส่วนการสื่อสารจะสร้างมูลค่าเพิ่มได้ราว 1.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ธุรกิจโรงพยาบาลและสุขภาพ 5.6 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ

ฉลองวันเกิด 15 ปี ‘เฟซบุค’

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/news/lifestyle/361927

ฉลองวันเกิด 15 ปี ‘เฟซบุค’

วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2562 – 10:20 น.
เฟซบุค,ฉลอง 15 ปี,โพสต์เฟซบุค,มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ค
เปิดอ่าน 2,471 ครั้ง

  ย้อนปูมประวัติการเดินทางของเฟซบุ๊ก ภายใน 8 เดือนแรก สร้างยอดผู้ใช้งานได้หลัก 1 ล้านคน หรือเทียบเท่ากับจำนวนประชากรในเมืองซานโฮเซ ของประเทศสหรัฐอเมริกา

วันจันทร์ที่ผ่านมาชาวโซเชียลทั่วโลกได้ร่วมฉลองวันเกิดครบรอบ 15 ปี ของเฟซบุ๊ก ซึ่งยิ้มรับการเฉลิมฉลองด้วยตัวเลขยอดผู้ใช้ที่ไต่ระดับขึ้นไปถึง 2.3 พันล้านคน สานรับกับพันธกิจของเครือข่ายสังคมออนไลน์แห่งนี้ที่มุ่งมั่นเป็นแพลตฟอร์มที่ช่วยเชื่อมโลกทั้งใบเข้าหากัน (Connection the World)

นับตั้งแต่วันที่ มาร์ค ซัคเกอร์เบิร์ก ในวัย 19 ปี ก่อร่างสร้างธุรกิจเฟซบุ๊กขึ้นในชื่อ Thefacebook.com ขึ้นภายในห้องพัก ที่หอพักนักศึกษามหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด เมื่อปี 2547 วันนี้ในบางประเทศ คำว่า ‘เฟซบุ๊ก’ ได้กลายเป็นคำที่ใช้เรียกแทน “อินเทอร์เน็ต’ ไปแล้ว

          ย้อนปูมประวัติการเดินทางของเฟซบุ๊ก ภายใน 8 เดือนแรก สร้างยอดผู้ใช้งานได้หลัก 1 ล้านคน หรือเทียบเท่ากับจำนวนประชากรในเมืองซานโฮเซ ของประเทศสหรัฐอเมริกา จนกลางปี 2549 ผลงานเข้าตา ‘ยาฮู’ หนึ่งในยักษ์ใหญ่ลำดับต้นๆ ของโลกออนไลน์ยุคนั้น ที่ยื่นข้อเสนอ 1 พันล้านดอลลาร์เพื่อขอซื้อกิจการ แต่ได้รับคำปฏิเสธ อีก 2 ปีถัดมา มีจำนวนผู้ใช้เฟซบุ๊ก 100 ล้านคนทั่วโลก หรือเกือบเทียบเท่าจำนวนประชากรในประเทศฟิลิปปินส์

          เดือนกุมภาพันธ์ 2552 เฟซบุ๊กส่งปุ่ม ‘ไลค์’ ที่ยืนหยัดโดนใจชาวโซเชียลมาจนถึงวันนี้ และหลังจากสะสมเงินลงทุนจากนักลงทุนรายใหญ่ทั้งจากไมโครซอฟท์ และโกลด์แมนแซคส์ มาได้ระยะหนึ่งแล้ว ในเดือนเมษายน 2555 จึงขยับการลงทุนครั้งใหญ่ด้วยการทุ่มเงิน 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เข้าซื้อแอพถ่ายรูปสุดฮิต ‘อินสตาแกรม’ และเข้าระดมทุนในตลาดหุ้นเดือนถัดมา

     

        จนเดือนตุลาคมปีเดียวกัน สร้างสถิติใหญ่ด้วยจำนวนผู้ใช้งาน 1 พันล้านคน เทียบได้กับขนาดประชากรของทวีปยุโรป และสหรัฐอเมริการวมกัน และในเดือนกุมภาพันธ์ 2557 สร้างความสั่นสะเทือนในวงการซื้อขายกิจการโลกอีกครั้งด้วยการทุ่มเงิน 19,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เข้าซื้อแอพสนทนาชื่อดัง วอตส์แอพ

          เฟซบุ๊กเริ่มถูกสั่นคลอนเรื่องความเชื่อมั่นด้านการรักษาข้อมูลส่วนตัวผู้ใช้งาน เมื่อจำเป็นต้องออกมายอมรับในเดือนเมษายน 2560 ว่ามีผู้นำข้อมูลไปใช้เพื่อผลประโยชน์ในการหาเสียงเลือกตั้งของประธานาธิบดีทรัมป์จริงๆ (หลังจากปฏิเสธมาตลอดตั้งแต่ช่วงปลายปีก่อนหน้า)

          อย่างไรก็ตาม กลางปีเดียวกันก็ยังมียอดผู้ใช้เพิ่มจนแตะ 2 พันล้านคน เทียบเท่าจำนวนประชากรอเมริกาและทวีปแอฟริการวมกัน หลังจากนั้นก็ผ่านข่าวฉาวเรื่องถูกลักลอบขายข้อมูลลูกค้า และถูกแฮ็กข้อมูลลูกค้าเป็นระยะๆ แต่ก็ยังไม่อาจทำลายความแข็งแกร่งได้ พิสูจน์ด้วยยอดผู้ใช้งาน ณ สิ้นปี 2561 ที่ทะลุหลัก 2.3 พันล้านคน

ส่องสเตตัส “โซเชียลมีเดีย” โลก 2562

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/news/lifestyle/361926

ส่องสเตตัส “โซเชียลมีเดีย” โลก 2562

วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2562 – 09:33 น.
ไอที,เทคโนโลยี,อ่านอินเทอร์เน็ต,สื่อออนไลน์,โซเชียลมีเดีย,เฟซบุค,แอพพลิเคชั่น,เครือข่ายสังคมออนไลน์ยอดฮิต,ยูทูบ,วอตส์แอพ,GlobalWebIndex
เปิดอ่าน 2,876 ครั้ง

ด้านอินสตาแกรม แม้จะไม่ติดใน 5 อันดับแรก แต่ก็มีผลงานโดดเด่นอย่างมากตลอดช่วงปีที่ผ่านมา โดยสามารถสร้างยอดสมาชิกได้แตะหลัก 1 พันล้านคน

รายงานประจำปีล่าสุดของวงการดิจิทัลโลก ‘Global Digital 2019’ ที่จัดทำโดย We are Social และ Hootsuite เปิดเผยว่า ทุกๆ วันมีจำนวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตรายใหม่ๆ ทั่วโลกเพิ่มขึ้นในอัตราความเร็วเกินกว่า 11 คนต่อวินาที หรือวันละมากกว่า 1 ล้านคน ส่งผลให้ในปีนี้จะมีชาวออนไลน์เพิ่มเป็น 4.39 พันล้านคน ประชากรในโลกโซเชียลมีเดียเพิ่มเป็น 3.48 พันล้านคน สถิติล่าสุดถึงสิ้นเดือนมกราคม 2562 มีชาวโลกเชื่อมต่อโลกโซเชียลผ่านมือถือถึง 3.26 พันล้านคน ขณะที่จำนวนผู้ใช้มือถือ ณ สิ้นปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 5.11 พันล้านคน

          ด้านพฤติกรรมการออนไลน์คนยุคนี้ใช้เวลาโดยเฉลี่ยอยู่กับโลกออนไลน์วันละ 6 ชั่วโมง 42 นาที และแม้ตัวเลขนี้จะลดลงจากปีที่ผ่านมา 7 นาที แต่ผู้จัดทำรายงานฉบับนี้ตั้งข้อสันนิษฐานว่าไม่ใช่เป็นเพราะคนใช้เวลาออนไลน์น้อยลง แต่น่าจะเป็นเหตุผลจากการที่มีประชากรออนไลน์หน้าใหม่เพิ่มขึ้นอย่างท่วมท้นเมื่อปีที่ผ่านมา มือใหม่เหล่านี้ยังไม่คุ้นเคยกับสื่ออนไลน์ จึงอยู่ในช่วงของการเรียนรู้ ยังไม่ถึงขั้นปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเป็นกลุ่มที่นิยมต่อเครือข่ายออนไลน์ค้างไว้ครั้งละนานๆ สำหรับเว็บไซต์ยอดนิยม 5 อันดับแรก ได้แก่ กูเกิล ยูทูบ เฟซบุ๊ก ไป่ตู๋ และวิกิพีเดีย

ส่องชาวโซเชียลในกว่า 230 ประเทศ

          จากการสำรวจประชากรในมากกว่า 230 ประเทศทั่วโลก พบตัวเลขน่าสนใจว่าต้นปีนี้ ขนาดประชากรชาวโซเชียลขยายตัวเกือบแตะหลัก 3.5 พันล้านคนแล้ว คิดเป็นสัดส่วนถึง 45% ของประชากรโลก โดยในจำนวนนี้เป็นตัวเลขที่เพิ่มขึ้นเฉพาะในรอบปี 2561 ถึง 288 ล้านคน โดยจีนและอเมริกา เป็นประเทศโซเชียลใหญ่สุดของโลกร่วมกัน ด้วยสัดส่วนประชากรถึง 70% ของประเทศที่เป็นสาวกโซเชียล ส่วนทวีปแอฟริกา เป็นประเทศโซเชียลเล็กที่สุดของโลกด้วยสัดส่วนประชากรเฉลี่ยต่ำกว่า 10% ที่เข้าถึงสังคมออนไลน์

          รายงานฉบับนี้อ้างอิงข้อมูลจาก GlobalWebIndex ว่าชาวโซเชียลใช้เวลาเฉลี่ย 2 ชั่วโมง 16 นาทีต่อวันท่องโลกโซเชียล หรือประมาณ 1 ใน 3 ของชาวออนไลน์ เมื่อเปรียบเทียบพฤติกรรมการใช้เวลากับโลกโซเชียล พบว่าชาวฟิลิปปินส์ เป็นชาติที่ใช้เวลามากสุดคือ 4 ชั่วโมง 12 นาทีต่อวัน เพิ่มขึ้น 15 นาทีจากปีที่ผ่านมา รองลงมาเป็นชาวบราซิล ที่ใช้เวลาเฉลี่ย 3.34 ชั่วโมง และอันดับ 3 คือ โคลอมเบีย 3.31 ชั่วโมงต่อวัน ส่วนชาติที่ใช้เวลาบนโซเชียลน้อยสุดคือญี่ปุ่น 36 นาทีต่อวัน ขณะที่ประเทศไทยรั้งอันดับ 8

          อีกข้อมูลที่น่าสนใจคือแนวโน้มเว็บไซต์ด้านอีคอมเมิร์ซ ได้รับความนิยมมากขึ้นในรอบปีที่ผ่านมา โดยในท็อป 20 ของเว็บยอดนิยม มีเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ ชิงพื้นที่ไปถึง 5 อันดับ โดยเฉพาะเว็บร้านค้าออนไลน์จากจีนในเครือข่ายอาลีบาบา ทั้งเถาเป่า (Taobao) และทีมอลล์ (Tmall) ที่อยู่อันดับแซงหน้า Amazon ไปเรียบร้อยโรงเรียนจีนแล้ว เพราะครอบคลุมทั้งตลาดสินค้าแมส และสินค้าราคาพรีเมียม

ท็อป 5 เครือข่ายโซเชียลยอดนิยม

          สำหรับเครือข่ายสังคมออนไลน์ยอดฮิตของปี 2562 ผลสำรวจใน 5 อันดับแรก พบว่า เฟซบุ๊ก ยังคงรักษาตำแหน่งผู้นำไว้ได้อย่างต่อเนื่อง โดยอันดับรองๆ ลงมา ประกอบด้วย ยูทูบ วอตส์แอพ เฟซบุ๊กแมสเซ็นเจอร์ วีแชท ขณะที่แอพโซเชียลยอดนิยมที่ในบ้านเราคุ้นเคยกันดีอย่างเช่น อินสตาแกรม อยู่ในอันดับ 6 ทวิตเตอร์อันดับ 12 และไลน์อันดับ 20 ซึ่งข้อสังเกตที่น่าสนใจคือใน 10 อันดับแรกนั้น มีแพลตฟอร์มโซเชียลของประเทศจีนเข้ายึดพื้นที่ถึง 2 อันดับ ได้แก่ วีแชท และคิวคิว ในลำดับ 5 และ 7 ตามลำดับ

          ด้านอินสตาแกรม แม้จะไม่ติดใน 5 อันดับแรก แต่ก็มีผลงานโดดเด่นอย่างมากตลอดช่วงปีที่ผ่านมา โดยสามารถสร้างยอดสมาชิกได้แตะหลัก 1 พันล้านคน ส่วนทวิตเตอร์กลับเจอสถานการณ์สวนทางกันด้วยยอดตัวเลขผู้ใช้และรายได้ค่าโฆษณาที่ลดลง ซึ่งอาจมาจากข้อจำกัดด้านจำนวนสมาชิกถึง 2 ใน 3 ที่เป็นเพศชาย กลุ่มเป้าหมายสำหรับผู้ลงโฆษณาจึงแคบลง

          ในรายงานฉบับนี้ยังวิเคราะห์ถึงปัจจัยที่หนุนให้เฟซบุ๊กรั้งเบอร์ 1 ในใจชาวโซเชียลทั่วโลกว่า เป็นเพราะศักยภาพในการเข้าถึงคนทั่วโลกไม่ต่ำกว่า 2.1 พันล้านคน จึงดึงดูดโอกาสจากงบโฆษณาเข้ามาไว้ได้อย่างเหนียวแน่น อีกทั้งแม้การเติบโตจะช้าลง แต่ก็ยังขยายฐานได้อยู่เรื่อยๆ โดยไตรมาส 4 ปีที่ผ่านมา มียอดผู้ใช้งานเพิ่มขึ้น 1.7% หรือจำนวน 37 ล้านคนต่อเดือน ไม่ทิ้งห่างมากนักจากอินสตาแกรมที่ถือว่าปีที่แล้วเป็นช่วง ‘ปีทอง’ มีจำนวนผู้ใช้งานเติบโตขึ้น 4.4% หรือ 38 ล้านคนในช่วงเวลาเดียวกัน

เส้นทางสายไหมกับ การเดินทางของ TusStar

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/news/lifestyle/361208

เส้นทางสายไหมกับ การเดินทางของ TusStar

วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2562 – 02:05 น.
สตาร์ทอัพ,นวัตกรรม,กระทรวงดิจิทัลฯ,ดีอี,ดีป้า,ทัชสตาร์,TusStar,เศรษฐกิจดิจิทัล,One Belt One Road,เส้นทางสายไหมศตวรรษที่ 21,China-Thailand Digital Incubator
เปิดอ่าน 2,220 ครั้ง

เส้นทางสายไหมศตวรรษที่ 21การเดินทางของ TusStar กับแผนปั้นสตาร์ทอัพไทย-จีน

สัปดาห์ที่ผ่านมา มีโอกาสไปร่วมงานสำคัญของวงการสตาร์ทอัพไทย ที่มียักษ์ใหญ่ของเอเชีย อีกทั้งเป็นเบอร์ 1 ของประเทศจีนอย่างบริษัท ทัชสตาร์ (TusStar) ประกาศตัวรุกขยายฐานเข้ามาประเทศไทยอย่างเป็นทางการ และจัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) กับสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (ดีป้า) เพื่อจัดตั้งศูนย์พัฒนาสตาร์ทอัพดิจิทัลไทย-จีน “China-Thailand Digital Incubator” ประเด็นน่าสนใจก็คือ ผู้บริหารของทัชสตาร์​ พูดชัดเจนว่า เหตุผลในการขยายฐานครั้งนี้สอดคล้องไปก้บนโยบาย One Belt One Road Initiative (OBOR) หรือเส้นทางสายไหมแห่งศตรรษที่ 21 ของรัฐบาลจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องยอมรับว่ายุคนี้ “เศรษฐกิจดิจิทัล” ได้กลไกสำคัญต่อการสร้างความเติบโตทางเศรษฐกิจ และภูมิภาคอาเซียนมีความโดดเด่นในกระแสเศรษฐกิจดิจิทัล ดังนั้น ประเทศไทย จึงเป็นหมุดหมายสำคัญที่ TusStar ต้องการเข้ามาพัฒนาความร่วมมือการบ่มเพาะผู้ประกอบการรุ่นใหม่ (Startup) ทั้งจากประเทศจีนที่ต้องการเข้ามาแสวงหาโอกาสการตลาดใหม่ๆ ในไทย และจากประเทศไทย ที่ต้องการเข้าไปทำธุรกิจในประเทศจีน

          ปัจจุบัน ยักษ์ใหญ่รายนี้ฐาน 140 แห่งทั่วโลก จากนอกเหนือจากในประเทศจีน ยังได้เข้าไปลงทุนแล้วในอีก 16 ประเทศ โดยไทยเป็นประเทศล่าสุด ครอบลุมเมืองสำคัญระดับโลก ได้แก่ อเมริกา แคนาดา อังกฤษ บราซิล อิตาลี ฟินแลนด์ เยอรมนี สวิตเซอร์แลนด์ อียิปต์ ญี่ปุ่น ฮ่องกง เป็นต้น

          และเมื่อมองกลับไปถึงนโยบายเส้นทางสายไหมศตวรรษที่ 21 ซึ่งนำพาให้ทัชสตาร์ เดินทางมาถึงประเทศไทย ด้วยตัวเลขเงินลงทุนที่รัฐบาลจีนเคยประกาศไว้สำหรับนโยบายนี้ซึ่งอยู่ระหว่าง 1-8 พันล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ถือว่าเป็นจำนวนมหาศาล ดังนั้น หากสตาร์ทอัพไทย มีความสามารถมากพอที่จะเข้าไปเก็บเกี่ยวโอกาสได้แม้ในสัดส่วนเล็กน้อย แต่ก็ถือว่าเป็นโอกาสตลาดที่ดึงดูดใจอย่างยิ่ง ขณะที่ ประเทศไทย ก็มีอัตราเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลอย่างน่าพอใจ โดยจากผลสำรวจที่จัดทำโดยกูเกิล ร่วมกับเทมาเส็ก เมื่อปลายปี 2561 ประเมินมูลค่าเศรษฐกิจดิจิทัลไทยอยู่ที่ 1.2หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐเป็นมูลค่าตลาดใหญ่อันดับ 2ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รองจากอินโดนีเซีย ด้วยอัตราเติบโตเฉลี่ยปีละ 27%ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา

ทำความรู้จักกับทัชสตาร์

          บริษัท ทัชสตาร์ (TusStar) ซึ่งเป็นหน่วยบ่มเพาะธุรกิจขนาดใหญ่ มหาวิทยาลัยชิงหัว มหาวิทยาลัยวงการสตาร์ทอัพอันดับ 1 ของเอเชีย ก่อตั้งขึ้นในปี 2542 และจดทะเบียนในชื่อบริษัท TusPark Business Incubator เมื่อปี 2544 เป็นแถวหน้าของผู้พัฒนาอุทยานวิทยาศาสตร์ (Science Park) ที่ได้รับการยอมรับทั้งจากในประเทศ และรุกออกไปสู่อีกหลายประเทศ

           ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ซึ่งมีความคุ้นเคยกับผู้บริหารเบอร์ 1 ของบริษัทแม่ทัชสตาร์ เล่าถึงความโดดเด่นของยักษ์วงการสตาร์ทอัพรายนนี้ว่า “ผมคุ้นเคยกับ Tus Holdings บริษัทแม่ของทัชสตาร์ เคยทำงานร่วมกันตั้งแต่ 4 ปีก่อน ตอนที่ผมอยู่กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ เคยนำสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ(สวทช.) ไปร่วมลงนามความร่วมมือกับ Tus Holdings ซึ่งใหญ่มาก เขามีจุดเริ่มต้นจากการเป็นส่วนหนึ่งของมหาวิทยาลัยชิงหัว ซึ่งเปรียบได้กับเป็นสถาบัน MIT ของประเทศจีน มหาวิทยาลัยชิงหัว ใช้บริษัทแห่งนี้ทำธุรกิจ โดยเอาความรู้ของมหาวิทยาลัยไปใช้ ขยายการลงทุนออกไปหลายประเทศ”

          ในยุคเริ่มต้นที่แยกแตกออกจากมหาวิทยาลัยเพื่อเป็นบริษัทเอกชนเต็มตัว ได้มีบทบาทสำคัญในการจัดตั้งอุทยานวิทยาศาสตร์ชั้นนำหลายแห่งให้กับประเทศจีน ประสบความสำเร็จจนออกไปทำด้านนี้ให้กับอีกหลายประเทศ จนมีกระแสเรื่องสตาร์ทอัพ จึงได้จัดตั้งบริษัท ทัชสตาร์ (TusStar) ขึ้นมาจับด้านนี้โดยตรง เริ่มต้นจากการสรรหา “ดาวเด่น” จากภายในมหาวิทยาลัยชิงหัว ซึ่งเป็นแหล่งรวมนักศึกษาระดับหัวกะทิของประเทศ เพื่อมาปั้นเป็น “สตาร์ทอัพ” ขยายผลสู่ครอบคลุมทั่วประเทศจีน และเข้าไปทำให้กับต่างประเทศด้วย

          ข้อมูลจากเว็บไซต์ของทัชสตาร์ ระบุว่า แนวคิดหลักในการสนับสนุนสตาร์ทอัพ ก็คือ ให้ทั้งความรู้/เครื่องมือสำหรับบ่มเพาะผู้ประกอบการ ควบคู่ไปกับการอุดหนุนเงินลงทุน ตลอดจนสร้างระบบนิเวศน์ (Eco System) ที่ช่วยส่งเสริมให้เกิดธุรกิจนวัตกรรม เป็นสะพานเชื่อมโยงสตาร์ทอัพให้สามารถเข้าถึงรัฐบาล ยักษ์ใหญ่ภาคอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยต่างๆ สถาบันวิจัย ภาคการเงิน การค้าและสื่อมวลชน เป็นต้น ด้วยรูปแบบนี้ส่งผลให้ได้รับรางวัลจากหลายสถาบันใหญ่ ปัจจุบันมีจำนวนผู้ประกอบการที่ได้รับการบ่มเพาะไปแล้วมากกว่า 5,000 บริษัท เกิดบริษัทที่โดดเด่นนับร้อยราย และสามารถปั้นสตาร์ทอัพจนเข้าไปเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ได้แล้ว 35 บริษัท

โอกาสตลาดใหม่สตาร์ทอัพไทยจีน

          รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ กล่าวว่า ความร่วมมือระหว่างบริษัท ทัชสตาร์ และดีป้า ผ่านการลงนาม MOU จัดตั้ง “The Development of China-Thailand Digital Incubator” ขึ้นในประเทศไทย นับเป็นความก้าวหน้าของความสัมพันธ์ต่อเนื่องมาร่วม 4 ปี ระหว่างไทยกับบริษัท ทัช โฮลดิ้งส์ (Tus-Holdings) ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของทัชสตาร์ โดยที่ผ่านมา ประเทศจีนประสบความสำเร็จอย่างสูงในการพัฒนาผู้ประกอบการกลุ่มสตาร์ทอัพ ขณะที่ ประเทศไทย ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา สตาร์ทอัพ กลายเป็นกลุ่มผู้ประกอบการที่มีความสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศ

          ความร่วมมือในการจัดตั้งศูนย์บ่มเพาะและพัฒนาสตาร์ทอัพขึ้นในประเทศไทย จึงเป็นจุดเริ่มต้นสำหรับผู้ประกอบการที่ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมอย่างเข้มข้นของไทยและจีน จะได้ทำงานร่วมกันอย่างเป็นรูปธรรม อีกทั้งการที่ประเทศจีนเป็นตลาดที่ใหญ่มากและเทคโนโลยีพัฒนาไปไกล ดังนั้นการผสมผสานกัน ก็จะทำให้โอกาสของสตาร์ทอัพไทยกว้างมากขึ้น นอกจากนี้ การมีส่วนร่วมยังทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนกัน ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย

          ดร.จาง จินเซิง ประธานบริษัท ทัชสตาร์ ซึ่งเป็น Incubator ด้านดิจิทัลรายใหญ่สุดของประเทศจีน กล่าวว่า ศูนย์บ่มเพาะฯ แห่งนี้พร้อมเปิดดำเนินการราวเดือนมีนาคม หรือเมษายนปีนี้ โดยจะมีการส่งทีมของทัชสตาร์ส่วนหนึ่งเข้ามาประจำที่ประเทศไทย เพื่อให้บริการและการสนับสนุนผู้ประกอบการจากประเทศจีน ที่ต้องการขยายธุรกิจเข้ามาในประเทศไทย ตลอดจนผู้ประกอบการไทยที่อยากเข้าไปก่อตั้งธุรกิจในประเทศจีน โดยความร่วมมือกับดีอี และดีป้า ครั้งนี้มุ่งเน้นการส่งเสริมสาขาที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจดิจิทัล

          ผู้บริหารทัชสตาร์ กล่าวว่า เหตุผลที่สนใจเข้ามาตั้งฐานพัฒนาสตาร์ทอัพในประเทศไทย เพราะอยากช่วยเหลือสตาร์ทอัพของจีน ที่อยากเข้ามาศึกษาโอกาสในตลาดประเทศไทย ซึ่งเป็นไปตามนโยบายเส้นทางการค้าใหม่ (One Belt One Road Initiative) ของประเทศจีน อีกทั้งจะเป็นฐานสำคัญที่จัดตั้งขึ้นในอาเซียนสำหรับพัฒนาสตาร์ทอัพด้านเศรษฐกิจดิจิทัล โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อสนับสนุนโครงการในเขตพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี)

          สำหรับการศูนย์ฯ แห่งนี้ เป็นการลงทุนจัดตั้งฐานแห่งที่ 2 ของทัชสตาร์ ในภูมิภาคอาเซียน ต่อจากมาเลเซีย และในครั้งนี้ได้นำคณะเดินทางราว 50 คน ที่เป็นผู้ประกอบการและสถาบันการเงินของจีน ในสาขาเทคโนโลยี ได้แก่ AI, Smart Devices, IoT และ New Energy เข้ามาศึกษาตลาดและระบบนิเวศน์ในประเทศไทย ซึ่งได้รับเสียงตอบรับที่ดีจากสตาร์ทอัพของจีน เพราะมีความคาดหวังต่อตลาดในประเทศไทยอยู่แล้ว

วันสต็อปเซอร์วิสเพื่อสตาร์ทอัพดิจิทัล

          ดร.ชินาวุธ ชินะประยูร ผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมวิสาหกิจดิจิทัลเริ่มต้น สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (ดีป้า) กล่าวว่า แม้ประเทศไทยจะเป็นฐานแห่งที่ 2 ในภูมิภาคนี้ที่ทัชสตาร์ เข้ามาลงทุน แต่เรียกได้ว่าเป็นการร่วมมือ “แห่งแรก” ที่จะให้บริการสตาร์ทอัพแบบ one-stop incubation service ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มุ่งรองรับเศรษฐกิจดิจิทัลเต็มตัว โดยครอบคลุมตั้งแต่ การบ่มเพาะ การแลกเปลี่ยนสตาร์ทอัพข้ามประเทศเพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ และระยะต่อไปอาจถึงขั้นการเข้าไปร่วมลงทุนกับผู้ประกอบการที่มีศักยภาพ ขณะที่ ศูนย์ฯ ในมาเลเซีย เป็นการบ่มเพาะสตาร์ทอัพที่เป็นรูปแบบ Traditional Incubator

          นอกจากนี้ อีกบทบาทสำคัญของ China-Thailand Digital Incubator คือ ตั้งเป้าหมายการเป็นศูนย์กลางบ่มเพาะสตาร์ทอัพดิจิทัลข้ามภูมิภาค (Regional Digital Hub) โดยอยู่บนพื้นฐานจุดแข็งของประเทศไทยด้านการเชื่อมโยงประเทศในกลุ่ม CLMVT (กัมพูชา ลาว พม่า เวียดนาม และไทย) และการที่รู้จักตลาดกลุ่มนี้เป็นอย่างดี เมื่อเชื่อมต่อกับจีน จะยิ่งทำให้โอกาสการตลาดกว้างขึ้น เพราะจีนเป็นตลาดใหญ่ ขณะที่ ทัชสตาร์เองก็มีความสนใจตลาดในกลุ่มประเทศนี้ และมีจุดแข็งด้านประสบการณ์ขับเคลื่อนศูนย์บ่มเพาะสตาร์ทอัพดิจิทัล มีความพร้อมสนับสนุนด้านความเชี่ยวชาญและทรัพยากร รวมทั้งด้านเงินลงทุนสำหรับสตาร์ทอัพที่มีศักยภาพ

          “ตอนนี้เราเริ่มประสานกับสถาบันการศึกษาบางแห่ง และสถาบันการเงินรายใหญ่ที่ปั้นสตาร์ทอัพเด่นๆ ให้ประสบความสำเร็จมาแล้ว เพื่อดึงให้เข้ามาร่วมมือกันในศูนย์แห่งนี้กับทีมของทัชสตาร์ที่จะเข้ามาประจำที่นี่ เป็นการแสดงความพร้อมของ Eco System ในฝั่งประเทศไทยด้วย โดยสาขาเด่นๆ ที่เราอยากปั้นสตาร์ทอัพ เบื้องต้นก็คือ นวัตกรรมหรือธุรกิจที่ตอบโจทย์ด้าน Business Transformation เพราะองค์กรต่างๆ กำลังให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนผ่านการทำงานสู่ดิจิทัล (Digital Transformation) เพื่อตอบรับแนวโน้มเศรษฐกิจดิจิทัล”

ชวนคนไทยเทพลังโหวต “เน็ตประชารัฐ” ชิงรางวัลระดับโลก

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/news/lifestyle/360562

ชวนคนไทยเทพลังโหวต “เน็ตประชารัฐ” ชิงรางวัลระดับโลก

วันที่ 29 มกราคม 2562 – 11:19 น.
เน็ตประชารัฐ,กระทรวงดิติทัล,กระทรวงดีอี,ดรพิเชฐ ดุรงคเวโรจน
เปิดอ่าน 1,905 ครั้ง

กระทรวงดิจิทัลฯ เชิญชวนคนไทยทั่วประเทศร่วมแสดงพลังผ่านเว็บไซต์ https://www.itu.int/ net4/wsis/stocktaking/prizes/2019/ คลิกโหวตวันนี้

กระทรวงดิจิทัลฯ เชิญชวนคนไทยทั่วประเทศร่วมแสดงพลังผ่านเว็บไซต์   https://www.itu.int/net4/wsis/stocktaking/Prizes/2019 คลิกโหวตวันนี้ – 10 .. 62 ลุ้นโครงการ “เน็ตประชารัฐ” เข้ารอบชิงชนะเลิศรางวัลจากเวทีระดับโลก WSIS Prizes 2019 จัดโดยสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (ITU)

          ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) กล่าวว่า กระทรวงฯ ได้เสนอโครงการ “เน็ตประชารัฐ” เข้าชิงรางวัลในเวทีระดับโลก WSIS Project Prizes 2019 ซึ่งประกอบด้วย 18 ประเภท จัดโดยสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (International Telecommunication Union หรือ ITU) เพื่อเป็นการส่งเสริมการดำเนินการตามผลการประชุมสุดยอดระดับโลกว่าด้วยสังคมสารสนเทศ และสนับสนุนการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ปี ค.. 2030

ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี)

          ล่าสุด โครงการเน็ตประชารัฐ ได้ผ่านการคัดเลือกในประเภทที่ ด้านโครงสร้างพื้นฐานสารสนเทศและการสื่อสาร จากคณะผู้เชี่ยวชาญ ที่เป็นผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับการดำเนินการตามผลลัพธ์จากการประชุมสุดยอดระดับโลกว่าด้วยสังคมสารสนเทศ (World Summit on the Information Society หรือ WSIS) ขั้นตอนต่อไปจะตัดสินจากการโหวตโดยประชาชนทั่วโลกทางออนไลน์ เริ่มโหวตได้ตั้งแต่วันนี้ – วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2562 เพื่อให้โครงการเน็ตประชารัฐเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศต่อไป ทั้งนี้โครงการที่ได้รับคะแนนโหวตออนไลน์สูงสุด โครงการของทั้ง 18 ประเภท รวมจำนวนทั้งสิ้น 90 โครงการ จะได้รับตำแหน่ง Champions และคณะผู้เชี่ยวชาญจะตัดสินโครงการที่ได้รับรางวัลชนะเลิศตามหัวข้อการประกวดทั้ง 18 ประเภท ประเภทละ รางวัล       

        ทั้งนี้ จึงอยากเชิญชวนคนไทยร่วมกันแสดงพลังเข้าไปโหวตให้กับโครงการ “เน็ตประชารัฐ” ซึ่งกระทรวงฯ ได้จัดทำคู่มือและช่องทางเพื่ออำนวยความสะดวกสำหรับการโหวต ตาม QR Code ด้านล่างนี้ หรือสามารถเข้าไปดูรายละเอียดได้ที่ Facebook Page : กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม https://www.facebook.com/prmdes.official/

          สำหรับโครงการที่ชนะเลิศของทั้ง 18 ประเภท จะได้รับรางวัลบนเวทีการประชุมใหญ่ประจำปี WSIS Forum 2019 ณ นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส ซึ่งกำหนดจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 8-12 เมษายน 2562 อีกทั้งโครงการที่ชนะเลิศทั้ง 18 โครงการจะได้รับการเผยแพร่ทางเอกสาร “WSIS Stocktaking : Success Stories 2019”

          การดำเนินโครงการเน็ตประชารัฐของกระทรวงฯ สอดคล้องกับ WSIS Action Line C2 (โครงสร้างพื้นฐานของสารสนเทศและการสื่อสารและ WSIS Action Line C3 (การเข้าถึงข่าวสารและความรู้ภายใต้ปฏิญญาว่าด้วยหลักการสร้างสังคมสารสนเทศ (Declaration of Principles on Building the Information Society) การที่เราเสนอโครงการเน็ตประชารัฐเข้าร่วมประกวด และคณะผู้เชี่ยวชาญได้คัดเลือกให้โครงการนี้เข้ารอบ นับเป็นโอกาสดีที่ประเทศไทยจะได้เผยแพร่การดำเนินโครงการลดความเหลื่อมล้ำตามนโยบายรัฐบาล ในเวทีระหว่างประเทศ” ดร.พิเชฐ กล่าว

10 ความเสี่ยงโลกในปี 2562

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/news/lifestyle/360303

10 ความเสี่ยงโลกในปี 2562

วันที่ 26 มกราคม 2562 – 10:53 น.
เทคโนโลยี,ไอที,อินเทอร์เน็ต,ความปลอดภัยไซเบอร์
เปิดอ่าน 2,077 ครั้ง

ผู้เชี่ยวชาญจากธุรกิจการลงทุนเตือนว่า ในขณะที่ภัยคุกคามมีมากขึ้น การสร้างความมั่นใจในความปลอดภัยไซเบอร์และการวัดผลการป้องกันนั้นจะยากขึ้นและสำคัญยิ่งขึ้นเช่นกัน

เกือบตลอดสัปดาห์มานี้ ที่เมืองดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ กลายเป็นศูนย์กลางที่ผู้บริหารระดับสูงทั้งจากภาครัฐและเอกชน รวมถึงภาคประชาสังคมรายสำคัญๆ จากทุกมุมโลกมารวมตัวกันในงานประชุมประจำปีของ World Economic Forum 2019 ในเวทีนี้ยังมีการโหมโรงด้วยการเปิดเผย รายงานความเสี่ยงประจำปี “Global Risk Report” ที่โลกเผชิญอยู่ร่วมกันอีกด้วย และนำข้อมูลจากการสำรวจความคิดเห็นเหล่าผู้นำโลกมาจัดอันดับความเสี่ยงในปี 2562 ไว้ 10 อันดับ และที่น่าสนใจคือ การที่เสียงร่วมกันเห็นว่า “ภัยไซเบอร์ หรือ Cyber Security” คือ 1 ใน 10 ความเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดทั้งผลกระทบและการดำรงชีวิตของมนุษย์ทุกคนบนโลกนี้

          ปีนี้มีผู้นำระดับที่มีอำนาจในการตัดสินใจร่วมให้ข้อมูลเกือบ 1,000 คน มาจากทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคการศึกษา และประชาสังคม โดยองค์ประกอบในการพิจารณาครอบคลุมด้านหลักๆ ได้แก่ เทคโนโลยี เศรษฐกิจโลก ภูมิศาสตร์การเมือง สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยเรียงลำดับความร้ายกาจของความเสี่ยง “ในแง่ความรุนแรงของผลกระทบที่จะเกิดขึ้น” จากมากลงไปหาน้อยได้ ดังนี้

          1.อาวุธที่มีการทำลายล้างสูง 2.ความล้มเหลวจากการบรรเทาปัญหาสภาพภูมิอากาศ 3.สภาพภูมิอากาศที่ทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้น 4.วิกฤติการณ์น้ำ 5.ภัยพิบัติทางธรรมชาติ 6.ความหลากหลายทางชีวภาพลดลง ระบบนิเวศเสื่อมโทรม 7. การโจมตีทางไซเบอร์ขนาดใหญ่ 8.การจารกรรมข้อมูลและการจู่โจมโครงสร้างพื้นฐานที่มีความสำคัญยิ่งยวด 9.ภัยพิบัติด้านสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากฝีมือมนุษย์ 10.การแพร่กระจายของเชื้อโรคติดต่อ

ภัยไซเบอร์ยุคใหม่ (เหยื่อ)สูญทั้งเงินและข้อมูล

         บรรดาผู้นำทางความคิดและมีอำนาจการตัดสินใจที่ร่วมการสำรวจครั้งนี้ มีถึง 82% ที่มองว่า การโจมตีทางไซเบอร์ ที่ก่อความเสียหายทั้งการสูญเสียเงินทองและข้อมูลมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอีกในปี 2562 ขณะที่ 80% หวั่นเกรงถึงผลกระทบที่จะทำให้การทำธุรกิจต้องหยุดชะงัก และเริ่มรู้สึกแล้วว่า โลกกำลังเกิดความไร้เสถียรภาพรูปแบบใหม่ ซึ่งเป็นผลของการที่เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาหลอมรวมอยู่ในชีวิตจริง

          ทางผู้จัดทำรายงานฉบับนี้ ยอมรับว่า ความเสี่ยงที่มาจากเทคโนโลยีทวีความรุนแรงขึ้นจากปีที่ผ่านมา ซึ่งมีการปริมาณข้อมูลส่วนตัวที่ถูกขโมยนับล้านๆ คน ขณะที่การจู่โจมทางไซเบอร์ (Cyber Attack) ที่มุ่งเป้าต่อหน่วยงานภาครัฐ และองค์กรธุรกิจก็ยังมีอยู่ต่อเนื่อง

          ทั้งนี้ มีรายงานจากฟอร์ติเน็ต หนึ่งในผู้นำระดับโลกด้านโซลูชั่นการรักษาความปลอดภัยไซเบอร์ระดับองค์กร เปิดเผยว่า ในการประชุมเศรษฐกิจโลกปีที่ผ่านมา World Economic Forum 2018 มีการระบุถึงภัยคุกคามทางไซเบอร์ ว่าเป็นหนึ่งในอุปสรรคสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจและการปฏิรูปดิจิทัลในอุตสาหกรรมต่างๆ ทั่วโลก การโจมตีทางไซเบอร์ได้เพิ่มสูงขึ้นมากทั้งความซับซ้อนและปริมาณ

          “ขณะที่องค์กรต่างๆ เริ่มมีการนำเอาอุปกรณ์ที่มีความสามารถในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต หรือไอโอที (IoT) และเทคโนโลยีใหม่อื่นๆ มาใช้มากขึ้น รวมถึงปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่เข้ามามีบทบาทในการใช้งาน อาชญากรไซเบอร์ก็มีความรอบรู้ทางเทคนิคในการโจมตีโดยใช้เอไอในกิจกรรมของตนมากขึ้นเช่นกัน จึงเป็นการขยายพื้นที่ของโอกาสที่จะถูกโจมตีแบบดิจิทัลมากขึ้น และขยายช่องโหว่กว้างยิ่งขึ้น สร้างภัยคุกคามต่อบุคคล บริษัท องค์กรและรัฐบาลในการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล”

          กลุ่มเจ้าหน้าที่อาวุโสด้านการบังคับใช้กฎหมายในการประชุมครั้งนั้น ยังคาดการณ์ด้วยว่า การรวมตัวของไอโอที และปัญญาประดิษฐ์ประเภท Offensive AI คลาวด์คอมพิวติ้ง ความปลอดภัยของข้อมูลและภัยคุกคามผ่านช่องทางออนไลน์ จะเป็นกลุ่มเป้าหมายของภัยไซเบอร์ที่มีอัตราการเติบโตสูงในปี 2562 นอกจากนี้ ผู้เชี่ยวชาญจากธุรกิจการลงทุนได้ออกมาเตือนว่า ในขณะที่ภัยคุกคามมีมากขึ้น การสร้างความมั่นใจในความปลอดภัยไซเบอร์และการวัดผลการป้องกันนั้นจะยากขึ้นและสำคัญยิ่งขึ้นเช่นกัน

ผนึกกำลังสร้างศูนย์รักษาความปลอดภ้ยทางไซเบอร์

          ในการจัดการกับความท้าทายข้างต้น World Economic Forum (WEF) หรือสภาเศรษฐกิจโลก จึงได้สร้างศูนย์รักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ (Center for Cybersecurity) ซึ่งประกอบไปด้วยผู้นำจากภาครัฐ ภาคธุรกิจ นักวิชาการ ผู้บังคับใช้กฎหมาย และผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยไซเบอร์ ศูนย์แห่งนี้จะทำหน้าที่เป็นองค์กรอิสระ ภายใต้การสนับสนุนของ WEF และมีเป้าหมายคือการสร้างแพลตฟอร์มระดับโลกครั้งแรกให้กับรัฐบาล ธุรกิจ ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยและหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย ในการประสานทำงานร่วมกันในด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์

           โดยการประชุมประจำปีครั้งแรกของศูนย์รักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์แห่งนี้ เพิ่งสิ้นสุดลงไปเมื่อปลายเดือนธันวาคม 2561 โดยมีการเรียกร้องให้ดำเนินการเพื่อต่อสู้กับอาชญากรรมทางไซเบอร์ในระดับที่สูงขึ้นต่อไป และขอให้ก้าวข้ามความท้าทายสำคัญ 3 ประการ อันได้แก่ การขาดความไว้วางใจ การขาดความร่วมมือ และสภาวะที่ขาดทักษะที่เพียงพอ อีกทั้งในการประชุมดังกล่าวยังได้ประกาศรายชื่อพันธมิตรสำคัญที่เป็นผู้ร่วมกันก่อตั้งศูนย์ฯ ได้แก่ แอ็กเซนเจอร์ (Accenture) ฟอร์ติเน็ต (Fortinet) และสเบอร์แบงก์ (Sberbankซึ่งจะได้รับสิทธิ์เป็นกรรมการถาวรในคณะกรรมการของศูนย์ ทางด้านกรรมการอื่นๆ ประกอบไปด้วย ผู้ทรงคุณวุฒิจากองค์กร อุตสาหกรรมจากประเทศต่างๆ มีวาระการทำงานคนละ 2 ปี ตอกย้ำถึงการทำงานร่วมกันที่ว่า ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนมีความสำคัญมาก”

ปิดช่องว่างทักษะด้านไซเบอร์ซีเคียวริตี้

          ขณะที่ เวทีประชุมของปีนี้ ได้มีความต่อเนื่องการระดมไอเดียเพื่อสร้างแนวทางรับมือกับปัญหาช่องว่างของทักษะด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ (Cyber Security) ที่เหล่าประเทศสมาชิกเผชิญร่วมกัน เงื่อนไขสำคัญข้อหนึ่งที่ทุกคนตระหนักร่วมกัน ก็คือ มีองค์กรจำนวนมากขึ้นๆ เข้าสู่การทำธุรกิจผ่านออนไลน์ และสิ่งที่เกิดขึ้นคู่ขนานกันไปก็คือ รอยเท้าดิจิทัล (digital footprint) หรือร่องรอยการเข้าไปทำกิจกรรมทางออนไลน์/เครือข่ายโซเชียลทุกครั้งของทุกคน เริ่มแผ่ขยายพื้นที่กว้างขึ้นเรื่อยๆ ตามปริมาณกิจกรรมออนไลน์ที่สูงขึ้น และการโจมตีทางไซเบอร์ที่เพิ่มความซับซ้อนยิ่งขึ้น

          ทั้งนี้ มีข้อมูลคาดการณ์ของการ์ทเนอร์ บริษัทวิจัยด้านไอทีระดับโลกว่า ปีนี้จะมีการใช้จ่ายเพื่อลงทุนด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์เพิ่มเป็น 214 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะเดียวกัน ก็มีตัวเลขจากบางแหล่งระบุว่า ต้นทุนค่าใช้จ่ายเพื่อป้องกันอาชญากรรมทางไซเบอร์นับตั้งแต่ปี 2558 จะเพิ่มขึ้นแตะหลัก 2.1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปีนี้ หรือเพิ่มขึ้น 4 เท่าตัว หรือมีสัดส่วน 16 เท่าตัวของค่าใช้จ่ายที่ประมาณการไว้สำหรับปี 2562

          นอกจากนี้ อีกสิ่งที่เติบโตตามความเสี่ยงด้านไซเบอร์ก็คือ “ช่องว่าง” ของทักษะด้านการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ ซึ่งทางบรรดาผู้บริหารในวงของ WEF กำลังวิตกว่าอยู่ในภาวะ “วิกฤติ” โดยมีการอ้างอิงผลสำรวจด้านการพัฒนาบุคคลว่า มีองค์กรจำนวน 59% ขาดแคลนบุคลากรตำแหน่งงานด้านนี้ โดยประเมินจากตัวเลขที่ฟรอสต์แอนด์ซัลลิแวน จัดทำผลศึกษาไว้ว่า น่าจะมีความขาดแคลนคนในตำแหน่งงานด้านนี้ถึง 1.5 ล้านคน ภายในปี 2563

          ล่าสุด WEF ได้นำเสนอคำแนะนำเพื่อปิดช่องว่างของปัญหาทักษะด้านไซเบอร์ซีเคียวริตี้ไว้ส่วนหนึ่ง ได้แก่ 1.ความจำเป็นในการจัดฝึกอบรมเพิ่มทักษะให้แก่แรงงานด้านไอทีในปัจจุบัน โดยติดอาวุธเพิ่มเติมด้านทักษะและความรู้ในเรื่องความมั่นคงปลอดภ้ยทางไซเบอร์ โดยอาจเป็นการทำงานร่วมกันกับมืออาชีพด้านไซเบอร์ซีเคียวริตี้ และ 2.การปรับปรุงหลักสูตรการเรียนการสอนในสถาบันการศึกษาเกี่ยวกับสาขานี้ให้ทันสมัยและก้าวตามทันเทคโนโลยีมากขึ้น ข้อนี้จะเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพก็ต้องอาศัยการสนับสนุนทั้งจากองค์กรรัฐและเอกชน เพื่อจัดทำห้องปฏิบัติการเป็นพื้นที่ฝึกปรือทักษะนักศึกษา

‘ออนไอที วัลเลย์’ หุบเขาเกษตรอัจฉริยะแห่งล้านนา

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/news/lifestyle/359513

‘ออนไอที วัลเลย์’ หุบเขาเกษตรอัจฉริยะแห่งล้านนา

วันที่ 19 มกราคม 2562 – 15:55 น.
ไอที,กระทรวงเทคโนโลยีสารส,ดีอี,กระทรวงดิจิทัล
เปิดอ่าน 1,864 ครั้ง

“ออนไอที วัลเลย์”นับเป็นชุมชนต้นแบบที่มีการผสมผสานเรื่องของไอทีเข้ากับวิถีในแบบล้านนาได้อย่างลงตัว

ตลอดช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา หลายคนคงคุ้นหูกับชื่อของ ซิลิกอน วัลเลย์ แหล่งกำเนิดบริษัทไอทีระดับโลกจำนวนมาก ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ทางตอนใต้ของอ่าวซานฟรานซิสโก และได้รับการยกย่องเป็นแหล่งบ่มเพาะนวัตกรรมแถวหน้าของโลก รูปแบบการจัดโซนที่ส่งเสริมการสร้างสภาพแวดล้อมและระบบนิเวศน์ทางธุรกิจดังกล่าว กลายเป็นต้นแบบและแรงบันดาลใจให้กับผู้ประกอบการรุ่นต่อๆ มา และต่อยอดสู่สาขาอื่นๆ ที่นำความก้าวหน้าของเทคโนโลยีและนวัตกรรมไป “ต่อยอด” เพิ่มมูลค่า และขยายผลสู่นวัตกรรมใหม่ๆ เพิ่มขึ้นมาอีก

          ในประเทศไทยซึ่งเป็นประเทศที่ขึ้นชื่อด้านเกษตรกรรม ล่าสุดก็ได้ริเริ่มโครงการที่ชื่อว่า ‘Oon IT Valley (ออนไอที วัลเล่ย์)’ บนเนื้อที่ราว 100 ไร่ ริมถนนสันกำแพงสายใหม่-เชียงใหม่ ต.ออนใต้ อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ ด้วยมูลค่าการลงทุนราว 300 ล้านบาท ซึ่งเจ้าของโครงการคือ บริษัท โปรซอฟท์ คอมเทค จัดตั้งขึ้นโดยยึดคอนเซ็ปต์ให้เป็น “เมืองไอที วิถีล้านนา” ซึ่งมุ่งพัฒนาขีดความสามารถทางด้านไอทีให้กับผู้ประกอบการสตาร์ทอัพในกลุ่มเอสเอ็มอี และเกษตรกร มุ่งสร้างสังคมให้เป็นวิถีอยู่ดี กินดี มีสุข เกษตรปลอดสารเคมี

และแม้จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการได้ราว 1 ปี ก็เป็นที่กล่าวถึงอย่างกว้างขวางว่าเป็น ‘ชุมชนต้นแบบเกษตรอัจฉริยะ’ ที่ผสานไอทีเข้าไปในโครงการได้อย่างกลมกลืน โดยไม่ทิ้งวิถีในแบบล้านนา จนล่าสุดเข้าตา ครม. สัญจร เมื่อกลางเดือนมกราคมที่ผ่านมา

ดีอี ชูเป็นต้นแบบเกษตรอัจฉริยะ

          ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีกล่าวถึงโครงการ “พัฒนาพื้นที่เพื่อระบบนิเวศสำหรับเศรษฐกิจดิจิทัลเชียงใหม่ Smart Agriculture” ซึ่งตั้งอยู่ใน ‘ออนไอที วัลเลย์’ ว่าเป็นโครงการที่ได้รับความร่วมมือจากหลายภาคส่วน ได้แก่ สำนักส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (ดีป้า) มหาวิทยาลัยแม่โจ้ และบริษัท โปรซอฟท์ โดยมีเป้าหมายเดียวกัน คือส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการที่เป็น เอสเอ็มอี สตาร์ทอัพ และเกษตรกร ให้มีความรู้ ความสามารถในการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลเพื่อยกระดับสินค้าและบริการให้มีขีดความสามารถของการแข่งชันภายใต้สภาวะที่มีการแข่งขันสูง สามารถพึ่งพาตนเองและสร้างรายได้อย่างยั่งยืน เป็นรากฐานที่ต่อยอดสู่ความเป็น Smart City ของจังหวัดเชียงใหม่ต่อไปในอนาคต

ออนไอที วัลเลย์”นับเป็นชุมชนต้นแบบที่มีการผสมผสานเรื่องของไอทีเข้ากับวิถีในแบบล้านนาได้อย่างลงตัว ปัจจุบันกลายเป็นแหล่งบ่มเพาะ สร้างสรรค์นวัตกรรมและพัฒนาให้กับ เอสเอ็มอี สตาร์ทอัพ และเกษตรกร และชุมชน ให้มีความรู้ นำเทคโนโลยีเข้าไปส่งเสริมการทำเกษตร สร้างรายได้อย่างยั่งยืน จึงเป็นต้นแบบการเกษตรอัจฉริยะ ที่ประสบความสำเร็จด้านเกษตรนวัตกรรมที่นำมาปฎิบัติได้จริงอย่างหลากหลาย”

กิจกรรมด้านการเกษตรที่ปฎิบัติได้จริงภายในศูนย์ฯ “ออนไอที วัลเลย์” ต้นแบบการเกษตรอัจฉริยะนั้น มีการนำนวัตกรรมการเพาะปลูกข้าวสมัยใหม่แบบแม่นยำ เพื่อลดการใช้น้ำในการเพาะปลูกข้าวด้วยหลักการการแกล้งข้าว ประกอบด้วย การจัดทำโปรแกรมพัฒนาระบบ และแอพพลิเคชั่นต้นแบบ ระบบฟาร์มอัจฉริยะ (Smart Farming) สำหรับการปลูกข้าวอินทรีย์ ติดตั้งโครงข่ายอุปกรณ์ตรวจวัดปัจจัยสภาพอากาศ (Weather Station) แบบอิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถตรวจวัดปัจจัยต่างๆในแปลงนาได้แบบ real-time และส่งข้อมูลผ่านระบบเครือข่าย โทรศัพท์ ซึ่งสามารถตรวจวัดปัจจัยสภาพอากาศได้ ประกอบด้วย อุณหภูมิและความชื้นสัมพัทธ์อากาศ ความเข้มแสงและชั่วโมงแสงแดด ปริมาณน้ำฝน ความเป็นกรดด่างของน้ำฝน ความเร็วลมและทิศทางลม เพื่อพัฒนาไปสู่การทำคลังข้อมูลสำหรับใช้ในการพยากรณ์สภาวะต่างๆ เช่น การเกิดโรคพืช เป็นต้น

ในแปลงนาทดลองของโครงการ มีการติดตั้งอุปกรณ์ตรวจวัดระดับน้ำในนาข้าวแบบไร้สายในพื้นที่แปลงนาโดยเซ็นเซอร์เป็นแบบ Stand alone พร้อมแหล่งพลังงานงานได้เองจากพลังงานแสงอาทิตย์ รับ-ส่งข้อมูลด้วยสัญญาณวิทยุ (หรือเทียบเท่าในต้นทุนที่เท่ากัน) มายังอุปกรณ์ประมวลผลและควบคุมการเปิด-ปิดน้ำเข้าแปลงนาอัตโนมัติ ตลอดจนสามารถแสดงผลสถานการณ์ทำงานผ่านแอพพลิเคชั่นได้แบบ real-time ซึ่งอาศัยความสามารถของระบบเซ็นเซอร์เพื่อตรวจวัดระดับน้ำในนาข้าวแบบไร้สาย โดยมหาวิทยาลัยแม่โจ้ เข้ามาสนับสนุนในรูปแบบ “Smart Farm” เป็นการพัฒนาทั้งในส่วนฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์เพื่อเสริมศักยภาพให้กับอาชีพเกษตรกรรายย่อย เป็นเครื่องมือที่มีราคาถูก เกษตรกรสามารถเข้าถึงและเรียนรู้ได้ง่าย

ติดอาวุธไอทีให้‘คนตัวเล็ก’ สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน

          นายอภินันท์ ศิริโยธิพันธุ์ ประธานโครงการ ‘ออนไอที วัลเลย์’เล่าถึงแรงบันดาลใจในการทำโครงการนี้ว่า ทั้งตัวเขา และนายวิโรจน์ เย็นสวัสดิ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท โปรซอฟท์ คอมเทค จำกัด ผู้ผลิตซอฟต์แวร์บัญชี และเจ้าของโครงการฯ ได้ทำงานกับสมาคมส่งเสริมเอสเอ็มอีไทย อีกทั้งผู้บริหารโปรซอฟท์ ยังเป็นที่ปรึกษาให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีภาคเหนือ ทำให้พบว่า เกษตรกรและผู้ประกอบการกลุ่มเอสเอ็มอี ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการพัฒนาประเทศไทย อีกทั้งมีจำนวนมาก ยังขาดโอกาสในการเข้าถึงการอบรมในเชิงปฏิบัติการ เพื่อให้นำความรู้ไปสร้างให้เกิดความเปลี่ยนแปลงได้จริง ในการพัฒนาศักยภาพและเพิ่มมูลค่าผลผลิต-ผลิตภัณฑ์ สร้างความเข้มแข็ง สามารถยืนอยู่ได้ด้วยตัวเอง และนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศไทย

ทั้งสองกลุ่มนี้มีความสำคัญ เพราะเกษตรกรถือเป็นฟาก supply หลักของประเทศ ป้อนผลผลิตการเกษตรที่เป็นอาหารและผลิตภัณฑ์แปรรูปอื่นๆ ขณะที่ เอสเอ็มอี มีบทบาทช่วยกระจายสินค้า ช่วยให้เกษตรกรมีสินค้าที่มีประสิทธิภาพ เพิ่มมูลค่าผลผลิตผ่านการแปรรูปผลิตภัณฑ์ ดังนั้น ถ้าเราสามารถทำให้ทั้ง 2 กลุ่มเติบโตได้ ก็จะกลายเป็นฐานสำคัญให้กับประเทศ”

จึงเป็น “จุดเริ่มต้น” ชองการลงทุนจัดตั้งโครงการศูนย์เรียนรู้เชิงปฏิบัติการด้านไอทีให้กับเอสเอ็มอีและเกษตรกร ซึ่งออนไอที วัลเลย์ เกิดขึ้นด้วยการลงทุนโดยบริษัทภาคเอกชนล้วนๆ ภายใต้แนวคิดหลักคือ ก้าวสู่ Social Enterprise ด้วยหัวใจ “ร่วมแรงและแบ่งปัน” หนึ่งในความรู้เชิงปฏิบัติการที่สำคัญของศูนย์ฯ นี้คือ การอบรมและเสริมสร้างทักษะด้านการใช้ไอที ให้กับกลุ่มเกษตรกร และเอสเอ็มอี ซึ่งถือเป็น “คนตัวเล็ก” ของสังคมเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ต่อยอดสร้างความเข้มแข็งและเพิ่มขีดความสามารถในเชิงการประกอบการได้จริง เพราะมองว่า “ไอที” จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างทางรอด และพัฒนาศักยภาพให้กับทุกคนได้ในโลกยุคใหม่นี้

ทั้งนี้ มีข้อมูลจากสถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ ระบุถึงจำนวนเกษตรกรในประเทศไทยว่า ครอบคลุมจำนวนครัวเรือนถึง 6.4 ล้านครัวเรือน หรือคิดเป็นสมาชิกครัวเรือนเกษตรมากกว่า 15 ล้านคน ขณะที่ ตัวเลขจำนวนเอสเอ็มอีในประเทศไทย จากรายงานของสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) และข้อมูลสำมะโนธุรกิจและอุตสาหกรรม 2560 โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ ประเมินเอสเอ็มอีไทยไว้ที่กว่า 2.4 ล้านราย

ประธานโครงการฯ กล่าวอีกว่า “เราเปิดกว้างให้เกษตรกร เอสเอ็มอี รวมทั้งสถาบันการศึกษาที่สนใจ รวมกลุ่มและติดต่อเข้ามาดูงาน โดยจะจัดวิทยากรอบรมทักษะความรู้ให้ตามความสนใจที่แต่ละกลุ่มแสดงความประสงค์เข้ามา เราได้รับความร่วมมือจากองค์กรที่เข้ามาสนับสนุน ได้แก่ การอบรมเกษตรอัจฉริยะ จะมีวิทยากรจากมหาวิทยาลัยแม่โจ้, การตลาดออนไลน์ มีวิทยากรจากดีป้า, การใช้งานซอฟต์แวร์ระบบบัญชีออนไลน์ มีวิทยากรจากโปรซอฟท์ ของคุณวิโรจน์ ที่เชี่ยวชาญด้านนี้อยู่แล้ว เป็นต้น ซึ่งรูปแบบให้เข้ามาดูงานเป็นกลุ่ม จะช่วยเพิ่มความเข้มแข็งให้เกิดการรวมตัวของผู้ประกอบการรายเล็กๆ อีกทั้งเสริมสร้างให้เกิดเครือข่ายความร่วมมือและแบ่งปัน ซึ่งเป็นแนวคิดหลักของการทำออนไอที วัลเลย์อีกด้วย”

คาดหวังเป็นต้นแบบบันดาลใจรัฐเอกชนขยายผลในจว.อื่นๆ

เขายังพูดถึงความคาดหวังในระยะยาวว่า ต้องการให้ ‘ออนไอที วัลเลย์’ เป็นต้นแบบให้เกิดโครงการลักษณะนี้ในประเทศไทยหลายๆ จังหวัดต่อไป โดยยอมรับว่า คงเป็นไปไม่ได้ที่จะเห็นงบประมาณของรัฐบาลมาใช้กับการลงทุนลักษณะนี้ในทุกจังหวัด แต่โครงการนี้ สามารถเป็นแรงบันดาลใจ ให้เอกชนรายอื่นๆ ลงทุนริเริ่มโครงการ และอยากให้หน่วยงานรัฐมองเห็น และเข้ามาทำงานร่วมกัน เพื่อประโยชน์ของสังคม และสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน

“เราสร้างระบบนิเวศน์ธุรกิจและสภาพแวดล้อมที่อยากเชิญชวนให้คนไอทีเข้ามาทำงานที่นี่ มีพื้นที่ Co-Working Space ที่ไม่จัดเก็บค่าเช่า ให้เขานำความรู้ไอทีมาแบ่งปันให้เกษตรกร และเอสเอ็มอีที่เข้ามาเรียนรู้ ล่าสุดยังมีการสอนการใช้โดรนเพื่อการฉีดพ่นปุ๋ยและสารป้องกันศัตรูพืชให้กับเกษตรกร ที่สำคัญไม่มีการใช้สารเคมีในการทำเกษตร ทุกอย่างมาจากกระบวนการผลิตที่เป็นชีวภาพ”

          ทั้งนี้ การฝึกอบรมเกษตรกรในการฝึกหัดการใช้ อากาศยานไร้คนขับเพื่อการเกษตร (UAV for Agriculture) เพื่อเป็นการสร้างความรู้เบื้องต้นให้เกษตรกรที่สนใจเทคโนโลยี ซึ่งปัจจุบันเทคโนโลยีดังกล่าวสามารถช่วยลดปัญหาเรื่องแรงงานที่จะต้องใช้ในการฉีดพ่นยา ลดภาวะเจ็บป่วยจากการพ่นสารเคมีที่เสี่ยงอันตราย ช่วยประหยัดเวลาในการทำงานของเกษตรกร ช่วยประหยัดเรื่องสารเคมี ปุ๋ย ยา มีการอบรมไปแล้ว 1 รุ่น 30 รายและคาดว่าจะมีการขยายผลไม่น้อยกว่า 100 รายในปี 2562

ปัจจุบัน ภายในพื้นที่ 100 ไร่ของโครงการ จัดสรรพื้นที่ดำเนินกิจกรรมต่างๆ เป็น 5 เฟส ได้แก่ เฟส 1 ซึ่งเป็นหัวใจหลัก ได้แก่ อาคารศูนย์เรียนรู้เชิงปฏิบัติการด้านไอทีให้กับเอสเอ็มอีและเกษตรกร และจัดสรรพื้นที่ส่วนหนึ่งเป็นศูนย์บ่มเพาะเอสเอ็มอี เฟส 2 แปลงสาธิตวิถีเกษตรอินทรีย์ โดยมีมหาวิทยาลัยแม่โจ้เข้ามาให้การสนับสนุนด้านองค์ความรู้ เฟส 3 ร้านค้าออฟไลน์/ออนไลน์ และศูนย์กระจายสินค้า เน้นผลิตภัณฑ์เกษตรอินทรีย์ มีร้านค้าต้นแบบชื่อว่า Pony Tales จำหน่ายผลิตภัณฑ์เกษตรอินทรีย์ สินค้าแปรรูป ได้แก่ กาแฟจากพื้นที่เพาะปลูกในจ.เชียงใหม่ และเบเกอรี่เพื่อสุขภาพ เป็นต้น

เฟส 4 โซนท่องเที่ยวในชื่อ Dutch Farm มีม้าแคระนำเข้าจากต่างประเทศ และสัตว์เลี้ยงหลากหลายสายพันธุ์ เลี้ยงอยู่ในพื้นที่เปิดให้คนเข้าไปใกล้ชิดได้ และเฟส 5 เป็นโครงการที่ต้องการสร้างให้เป็น ‘เมืองไอที วิถีล้านนา” เปิดพื้นที่ให้ชุมชนและเยาวชนเข้ามาทำกิจกรรมต่างๆ นำร่องด้วยกิจกรรมกีฬา และแนววัฒนธรรมท้องถิ่น

อี-คอมเมิร์ซ “อาเซียน” รุ่งยาวถึงปี 2568

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/news/lifestyle/358669

อี-คอมเมิร์ซ “อาเซียน” รุ่งยาวถึงปี 2568

วันที่ 12 มกราคม 2562 – 11:55 น.
ไอทีออนไลน์
เปิดอ่าน 1,581 ครั้ง

ผยในผลการสำรวจธุรกิจอาหารและค้าปลีกสมัยใหม่ฉบับล่าสุดว่า ยักษ์ใหญ่ค้าปลีกสมัยใหม่ 10 อันดับแรกของโลก ตกเป็นของค้าปลีกสัญชาติเอเชียถึง 4 ราย

ปี 2561 ที่เพิ่งผ่านพ้นไป นับเป็นปีทองของธุรกิจ อี-คอมเมิร์ซ หรือ ‘Year of E-commerce’ ของภูมิภาคอาเซียน ด้วยอานิสงส์ทั้งจากรายได้ที่เพิ่มขึ้น มีจำนวนผู้ใช้มือถือมากขึ้น และระบบโลจิสติกส์ดีขึ้น โดยมีตัวเลขจากรายงาน “e-Conomy Southeast Asia 2018 Report” ที่จัดทำร่วมกันระหว่างกูเกิล กับบริษัท เทมาเส็ก มือลงทุนรายหลักของรัฐบาลสิงคโปร์ เปิดเผยขนาดเศรษฐกิจดิจิทัลในภูมิภาคนี้ว่าจะแตะหลัก 240 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2568

          รายงานฉบับนี้ ยังให้เครดิตกับอุตสาหกรรมในกลุ่มอี-คอมเมิร์ซและดิจิทัล ว่าเป็นกลไกขับเคลื่อนที่หนุนการเติบโตให้แก่เศรษฐกิจดิจิทัลอาเซียน ได้แก่ อี-คอมเมิร์ซ สื่อออนไลน์ การท่องเที่ยวออนไลน์ และการใช้รถร่วมกัน (ride-sharing) ที่พุ่งแรงเป็นประวัติการณ์ ซึ่งบริการเหล่านี้เฟื่องฟูตามจำนวนการใช้อินเทอร์เน็ตผ่านมือถือนั่นเอง และอาเซียนก็เป็นตลาดใหญ่อันดับต้นๆ ของโลกทั้งในแง่จำนวนประชากรรวมกว่า 600 ล้านคน และตัวเลขผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตมือถือ สะท้อนผ่านมูลค่าเศรษฐกิจอินเทอร์เน็ตปีที่ผ่านมา ซึ่งอยู่ที่ 72 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยับขึ้น 2 เท่าตัวนับตั้งแต่ปี 2558

          ศักยภาพการเติบโตของตลาดอี-คอมเมิร์ซในอาเซียน ยังไปเข้าตา ‘อาลีบาบา’ ยักษ์อี-คอมเมิร์ซจีนที่เป็นผู้นำระดับโลกในอุตสาหกรรมนี้ จนเปิดกว้างให้ลาซาด้า (Lazada) ที่เข้ามาซื้อกิจการไปช่วงไตรมาสแรกปี 2561 นำแคมเปญ ‘ลดราคา’ สนั่นโลกวันคนโสด หรือวันที่ 11 เดือน 11 มาระเบิดความปังในพื้นที่การตลาดของลาซาด้า ทั้ง 6 ประเทศภูมิภาคอาเซียนด้วย ได้แก่ สิงคโปร์ มาเลเซีย ไทย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม ซึ่งก็ไม่ผิดหวัง เพราะแค่วันนั้นวันเดียว มียอดผู้ซื้อคลิกเข้ามาช็อปสินค้าในเว็บลาซาด้าถึง 20 ล้านคน สินค้าท็อปฮิตในแคมเปญนี้ คือ เครื่องสำอางแบรนด์ Maybelline และ L’Oréal Paris ตามมาด้วยผลิตภัณฑ์สำหรับทารก Enfa และสมาร์ทโฟนแบรนด์ RealMe.

          อาลีบาบา ยังได้ออกแถลงการณ์ย้ำความเชื่อมั่นตลาดอี-คอมเมิร์ซในอาเซียนว่า เห็นสัญญาณบวกชัดเจนจากจำนวนประชากรวัยหนุ่มสาว สัดส่วนการใช้มือถือ และยังมีค้าปลีกจำนวนน้อยรายมากๆ หรือแค่ 3% ที่เข้าสู่ช่องทางออนไลน์แล้ว

          นอกจากนี้ รัฐบาลหลายประเทศในอาเซียน กำลังเดินหน้าสู่การพาณิชย์ยุคใหม่ ไม่ว่าจะเป็นมาเลเซีย ที่รัฐบาลประกาศเป้าหมายว่าจะเพิ่มมูลค่าการซื้อขายสินค้าผ่านออนไลน์, ประเทศไทย ที่มีนโยบายด้านดิจิทัลเพื่อหนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ และเปิดบริการโอนเงินผ่านช่องทางดิจิทัลในชื่อ “บริการพร้อมเพย์”, เวียดนาม รัฐบาลประกาศแผนไว้ต้งแต่ปี 2559 ว่าจะเพิ่มปริมาณธุรกรรมอี-คอมเมิร์ซ ภายใน 4 ปี

ขาใหญ่ค้าปลีกออนไลน์เอเชีย

          บริษัทวิจัยการตลาดของอังกฤษ Institute of Grocery Distribution (IDG) เปิดเผยในผลการสำรวจธุรกิจอาหารและค้าปลีกสมัยใหม่ฉบับล่าสุดว่า ยักษ์ใหญ่ค้าปลีกสมัยใหม่ 10 อันดับแรกของโลก ตกเป็นของค้าปลีกสัญชาติเอเชียถึง 4 ราย ซึ่งแนวโน้มจะยังคงรักษาตำแหน่งไว้ต่อเนื่องได้ถึงปี 2566 โดยมีค้าปลีกจีนรั้งตำแหน่งผู้นำ และตามมาด้วย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และออสเตรเลีย ขณะเดียวกัน ยังมีตลาดที่น่าจับตามอง ได้แก่ อินเดีย และอินโดนีเซีย ซึ่งคาดว่าจะเติบโตสูงถึง 87% และ 85% ตามลำดับ

          รวมทั้งประมาณการมูลค่าการขายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ในเอเชียไว้ที่ 176 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2565 ขยายตัว 194% เป็นภูมิภาคที่เติบโตเร็วสุด อย่างไรก็ตาม มีปัจจัยพิจารณาควบคู่กันด้วยว่า การโตของซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์แต่ละประเทศนั้นขึ้นกับปัจจัยสำคัญ ได้แก่ สัดส่วนการใช้มือถือต่อประชากร จำนวนประชากร และการเติบโตของค้าปลีกสมัยใหม่ออนไลน์ พร้อมทั้งเสนอแนะว่า อินเดีย และประเทศในภูมิภาคอาเซียน ต้องเร่งพัฒนาระบบการชำระเงิน และโลจิสติกส์ เพื่อเพิ่มการเติบโตให้แก่ตลาดนี้

ไพรซ์ซ่า’ ชี้ เทรนด์อี-คอมเมิร์ซในไทย

          นายธนาวัฒน์ มาลาบุปผา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท ไพรซ์ซ่า จำกัด ผู้ให้บริการเว็บไซต์และแอพพลิเคชั่น “Priceza” เครื่องมือค้นหาสินค้าและเปรียบเทียบราคา (Shopping Search Engine) อันดับต้นๆ ของประเทศ กล่าวระหว่างงานสัมมนา “Priceza E-Commerce Trends : The Infinity of E-Commerce Wars 2019” ว่าในรอบปี 2561 ที่สิ้นสุดไป มีจำนวนสินค้าที่รวบรวมไว้บนเว็บไซต์ของ Priceza เพิ่มจาก 28 ล้านชิ้น เป็น 51 ล้านชิ้น และสมมุติว่าถ้ามีใครเข้ามาค้นหาสินค้าทุกชิ้นโดยใช้เวลา 5 นาทีต่อชิ้น จะต้องใช้เวลาถึง 8 ปีก่อนจะดูสินค้าได้ครบทุกชิ้น

          ทั้งนี้ เขาได้คาดการณ์แนวโน้มหลักๆ สำหรับอี-คอมเมิร์ซในประเทศไทยไว้ 4 เรื่อง ได้แก่ สำหรับสถานการณ์ธุรกิจอีคอมเมิร์ซปี 2562 นั้น มีเรื่องหลักที่คาดว่าจะเกิดขึ้น 4 เรื่อง ได้แก่ 1.ถนนทุกสายจะมุ่งสู่การค้าออนไลน์ 2.การค้าขายบน E-Marketplace จะเผชิญทั้งโอกาสและความท้าทายมากขึ้น 3.การจ่ายเงินชำระค่าสินค้าผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์จะเติบโตแบบก้าวกระโดด และ 4.การค้าหลากหลายช่องทาง (Omni Channel) จะมีบทบาทมากขึ้น

          ด้านภาพรวมธุรกิจอี-คอมเมิร์ซในประเทศไทยปี 2561 มีการเติบโตอย่างน่าสนใจ เนื่องจากมีมาร์เก็ตเพลสรายใหม่จากต่างประเทศหลายรายเข้ามาดำเนินธุรกิจอย่างเป็นทางการทั้งในไทยและอาเซียน และมีสินค้ากลุ่มข้ามพรมแดน (Cross Border) เข้ามาในไทยมากขึ้น ขณะเดียวกัน สถานการณ์ดังกล่าว ก็ส่งผลให้การแข่งขันดุเดือดมากขึ้นด้วย

          ขณะที่ สถานการณ์อี-คอมเมิร์ซในปี 2562 ยังคงมีปัจจัยบวกและสัญญาณที่ดี เช่น การเติบโตและปรับตัวของช่องทางฟินเทคและอี-เพย์เมนต์ต่างๆ แคมเปญโปรโมชั่นของผู้เล่นในตลาด พฤติกรรมผู้บริโภคที่เริ่มนิยมการซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น

         ผู้บริหารของไพรซ์ซ่า ยังเปิดเผยข้อมูลเชิงลึก (Insights) ที่รวบรวมจากกิจกรรมบนแพลตฟอร์ม Priceza ในรอบปีผ่านมาว่า สถานการณ์ยอดซื้อต่อตะกร้า (Average Basket Size) บนช่องทาง-อีคอมเมิร์ซ ระหว่างวันที่ 1 มกราคม–12 พฤศจิกายน 2561 อยู่ที่ 1,469 บาทต่อตะกร้า โดยกลุ่มสินค้าที่เป็นที่นิยมมากที่สุด ยังคงเป็นกลุ่มสินค้าหมวดเสื้อผ้าและแฟชั่น โทรศัพท์และอุปกรณ์สื่อสาร เครื่องใช้ไฟฟ้า รถและยานพาหนะ ตามลำดับ

Wrap-up ตลาดอี-คอมเมิร์ซอาเซียน

         ก่อนหน้านี้ Singtel MyBusiness ได้ประมวลสถานการณ์ของอี-คอมเมิร์ซในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไว้หลักๆ ดังนี้ 1.เศรษฐกิจอินเทอร์เน็ตของอาเซียน เติบโตในระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และคาดว่าจะทะลุหลัก 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2568 2.สัดส่วนการใช้มือถือต่อจำนวนประชากร กระตุ้นยอดธุรกรรมอี-คอมเมิร์ซ โดยมีมูลค่าเกิน 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ มาตั้งแต่ปี 2560 แล้ว 3.สิงคโปร์ เป็นประเทศในอันดับ 1 ในกลุ่มอาเซียนที่มีปริมาณการซื้อสินค้าออนไลน์ด้วยบัตรเครดิตสูงสุด และยังมีแนวโน้มโตต่อเนื่องอีก 3 ปีข้างหน้า

          3.แม้มีทางเลือกในการชำระเงินหลากหลาย ซึ่งรวมถึงบริการฟินเทค แต่รูปแบบการเก็บเงินปลายทาง (Cash-on-delivery : COD) ก็ยังได้รับความนิยมมากสุดถึง 80% 4.การซื้อสินค้ามูลค่าสูงๆ ทางออนไลน์ยังนิยมทำธุรกรรมผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์มากกว่าบนโทรศัพท์มือถือ ขณะที่ ในแง่ปริมาณ(ครั้ง)การทำธุรกรรมเกิดบนช่องทางมือถือมากกว่า คิดเป็นสัดส่วน 2 ใน 3 และ 6.ธุรกิจขนาดเล็กและสตาร์ทอัพ นิยมใช้บริการจากแพลตฟอร์มของผู้ให้บริการที่มีอยู่แล้วในตลาด ซึ่งสามารถสนับสนุนด้านเครื่องมือ และเสนอบริการเพิ่มมูลค่าเพื่อช่วยเพิ่มฐานลูกค้า และกระตุ้นยอดขาย

จากพายุ ‘ปาบึก’ ถึงเทคโนโลยีพยากรณ์อากาศ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/news/lifestyle/357970

จากพายุ ‘ปาบึก’ ถึงเทคโนโลยีพยากรณ์อากาศ

วันที่ 7 มกราคม 2562 – 10:03 น.
AI,เอไอ,เทคโนโลยี,อินเทอร์เนต,เวบไซต์,พายุปลาบึก,ภูมิอากาศ,เฮอริเคน,สภาพอากาศ,พยากรณ์อากาศ
เปิดอ่าน 1,411 ครั้ง

กระบวนการเพื่อการพยากรณ์อากาศที่แม่นยำ ยังไม่ได้แค่จบอยู่ที่ผลลัพธ์ของแบบจำลอง แต่จำเป็นต้องนำผลลัพธ์ที่ได้ไปประมวลผลด้วยคอมพิวเตอร์ต่อไปอีก

          ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา ชื่อของพายุโซนร้อน “ปาบึก (PABUK)” กระหน่ำอยู่ในโลกโซเชียลเกือบตลอด 24 ชั่วโมง ทั้งนี้เพราะความรุนแรงนั้น น่าวิตกระดับที่หลายฝ่านผวาไปถึงเหตุกาณ์พายุไต้ฝุ่นเกย์ ที่เคยสร้างความสูญเสียและเสียหายอย่างหนักให้กับจังหวัดทางภาคใต้ของไทย เมื่อเกือบ 30 ปีที่แล้ว แม้ล่าสุดผู้บริหารของกรมอุตุนิยมวิทยา จะออกมายืนยันแล้วว่า “ไม่รุนแรงแบบนั้นแน่นอน หากเปรียบเทียบคงเท่ากับพายุลินดาเมื่อปี 2540”

          สำหรับชื่อพายุโซนร้อน “ปาบึก” เป็นหนึ่งในชื่อที่ สมาชิกของคณะกรรมการพายุไต้ฝุ่นขององค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (World Meteorological Organizations Typhoon Committee) กำหนดไว้ “โดยอยู่ในกลุ่มชื่อพายุหมุนเขตร้อนที่ก่อตัวทางมหาสมุทรแปซิฟิกด้านตะวันตกตอนบนและทะเลจีนใต้ ตั้งโดยสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เป็นชื่อปลาน้ำจืดขนาดใหญ่ (ปลาบึกอยู่ในแม่น้ำโขง”

          และนับเป็นโชคดีของประชาชนในพื้นที่ซึ่งเป็นเป้าโจมตีของ ‘ปาบึก” เพราะความก้าวหน้าของเทคโนโลยีด้านการประมวลผลด้วยคอมพิวเตอร์ที่รุดหน้ากว่าอดีตอย่างก้าวกระโดด ทำให้เพิ่มโอกาสในการป้องกัน “ความสูญเสีย” ได้ล่วงหน้าเป็นวันๆ ด้วยการอัพเดทการแจ้งเตือนเป็นระยะๆ จากกรมอุตุนิยมวิทยา และอีกหลายฝ่ายที่ประเมินสถานการณ์จาก “แบบจำลอง” การพยากรณ์อากาศ ทำให้สามารถเตรียมตัวตั้งรับ อพยพหลีกเลี่ยงความเสียหายได้ล่วงหน้า

เปิด(ระบบ)หลังบ้านของการพยากรณ์อากาศ

          ในเว็บไซต์กรมอุตุนิยมวิทยา (https://www.tmd.go.th/info/info.php?FileID=2ได้นำเสนอบทความที่จะช่วยให้เห็นภาพการทำงานของหน่วยงานพยากรณ์อากาศ ในการใช้ประโยชน์จากความก้าวหน้าของเทคโนโลยี เพื่อการปกป้องคุ้มครองชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ลดความสูญเสียทั้งในเชิงเศรษฐกิจและสังคมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งในวันนี้ InnoSpace จะขอนำบางส่วนมาเสนอแฟนคอลัมน์นี้แบบย่อๆ

          โดยในบทความเรื่อง “การพยากรณ์อากาศด้วยคอมพิวเตอร์” เขียนโดย “คร.ดุษฎี ศุขวัฒน์” อธิบายถึงการพยากรณ์อากาศไว้ว่า พยากรณ์อากาศด้วยคอมพิวเตอร์ มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า การพยากรณ์อากาศเชิงตัวเลข (numerical weather prediction-NWP) เนื่องจากลมฟ้าอากาศอยู่ภายใต้กฏเกณฑ์ทางฟิสิกส์ การเปลี่ยนแปลงของบรรยากาศจึงสามารถแสดงได้ในรูปของระบบสมการทางคณิตศาสตร์ สมการเหล่านี้ได้คำนึงถึงว่าองค์ประกอบของบรรยากาศ เช่น อุณหภูมิ ความเร็วและทิศทางลม ความชื้น ฯลฯ จะมีการเปลี่ยนแปลงไปจากสภาวะปัจจุบันอย่างไร หากสามารถแก้สมการเหล่านี้ได้ ย่อมสามารถที่จะแปรความหมายสภาวะของบรรยากาศในลักษณะของ ลมฟ้าอากาศได้ เป็นต้นว่า ฝน อุณหภูมิ แสงแดด ลม

          อย่างไรก็ตาม ระบบสมการดังกล่าวมีความซับซ้อนมาก และไม่สามารถแก้สมการเหล่านี้เพื่อหาคำตอบที่แท้จริง (exact solution) ที่จะบอกให้เราทราบถึงสภาวะในอนาคตของบรรยากาศได้ จึงจำเป็นต้องใช้วิธีการจำลองแบบเชิงตัวเลข (numerical model) เพื่อที่จะหาคำตอบโดยประมาณ (approximate solution) จากแบบจำลองเชิงตัวเลขเหล่านี้ องค์ประกอบต่าง ๆ ของบรรยากาศจะถูกแทนที่ด้วยชุดของตัวเลขจำนวนหนึ่ง โดยการดัดแปลงระบบสมการของบรรยากาศจะถูกแทนที่ด้วยชุดของตัวเลขจำนวนหนึ่ง และด้วยความซับซ้อนและปริมาณข้อมูลจำนวนมหาศาล จึงมีความจำเป็นต้องใช้คอมพิวเตอร์ที่มีสมรรถนะสูงเป็นพิเศษ เพื่อให้สามารถคำนวณการเปลี่ยนแปลงของบรรยากาศได้อย่างรวดเร็ว ทันกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจริงในธรรมชาติ

          ในแบบจำลองเชิงตัวเลข บรรยากาศจะถูกแบ่งออกเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ จำนวนมาก โดยมีจุดพิกัด (grid point) ณ จุดกึ่งกลางของรูปทรงสี่เหลี่ยมเหล่านี้ ด้วยวิธีการนี้คุณสมบัติของบรรยากาศจะสามารถแทนได้โดยสิ่งที่เกิดขึ้น ณ แต่ละจุดพิกัดเหล่านี้ ตัวอย่างเช่น หากแบบจำลองมีการแบ่งบรรยากาศออกเป็น 20 ระดับ มีจุดพิกัดในแนวทิศเหนือ – ใต้ จำนวน 217 จุด และจุดพิกัดในแบบจำลองนี้จะมีมากถึง 1,249,920 จุด

          แบบจำลองเชิงตัวเลขสำหรับการพยากรณ์อากาศที่ใช้กันอยู่ทั่วโลกนั้น ต่างก็มีพื้นฐานอยู่บนระบบสมการหลักชุดเดียวกัน ซึ่งระบบสมการนี้ประกอบด้วยสมการต่าง ๆ คือ สมการ ของการเคลื่อนที่ (equation of motion) สมการอุทกสถิต (hydrostatic equation) สมการอุณหพล (thermodynamic equation) สมการความต่อเนื่อง (continuity equation) สมการของสถานะ (equation of state ) และสมการไอน้ำ (water vapor equation) ระยะเวลาสั้น ๆ แทนที่จะเป็นการคาดหมายสภาวะที่ปกคลุมโลกทั้งหมด หรือการคาดหมายในระยะเวลานานๆ

แม่นยำขึ้นด้วยแบบจำลองการพยากรณ์อากาศเจาะพื้นที่

          ดังนั้น จึงมีการสร้างแบบจำลองสำหรับการพยากรณ์อากาศเฉพาะพื้นที่ (limited area model – LAM) ขึ้นมาเพื่อวัตถุประสงค์นี้ แบบจำลองเหล่านี้สามารถให้การพยากรณ์เฉพาะพื้นทีใดพื้นที่หนึ่ง โดยมีรายละเอียดสูง สำหรับช่วงเวลาที่ไม่เกิน 2-3 วัน อย่างไรก็ตาม ถ้านานกว่านั้น แบบจำลองเหล่านี้จะให้ผลการพยากรณ์ที่ไม่ค่อยถูกต้องนัก ทั้งนี้เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นนอกบริเวณที่กำหนดไว้สำหรับการพยากรณ์ จะมีอิทธิพลต่อลมฟ้าอากาศในบริเวณดังกล่าวด้วย ยิ่งช่วงเวลานานออกไป อิทธิพลภายนอกก็จะยิ่งมีมากขึ้นตามลำดับ

          กระบวนการเพื่อการพยากรณ์อากาศที่แม่นยำ ยังไม่ได้แค่จบอยู่ที่ผลลัพธ์ของแบบจำลอง แต่จำเป็นต้องนำผลลัพธ์ที่ได้ไปประมวลผลด้วยคอมพิวเตอร์ต่อไปอีก เพื่อให้ได้ผลผลิตขั้นสุดท้าย ในลักษณะที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้โดยง่าย ได้แก่ แผนที่และแผนภูมิอุตุนิยมวิทยาชนิดต่าง ๆ ซึ่งนักอุตุนิยมวิทยา จะใช้เพื่อประกอบการพิจารณาในการคาดหมายลมฟ้าอากาศ เพื่อให้ได้การพยากรณ์อากาศในขั้นสุดท้ายซึ่งก็คือคำพยากรณ์อากาศนั่นเอง

          ปัจจุบัน การพยากรณ์อากาศด้วยคอมพิวเตอร์ ยังคงจำกัดอยู่เพียงในลักษณะของการแก้สมการทางคณิตศาสตร์ ที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงของบรรยากาศเท่านั้น แต่ยังไม่สามารถเลียนแบบการใช้เหตุผลในการอนุมาน เช่นเดียวกับที่นักพยากรณ์อากาศใช้อยู่อย่างได้ผลในกรณีที่มีข้อมูลไม่เพียงพอ จึงได้มีการพัฒนาเพื่อใช้คอมพิวเตอร์ในการพยากรณ์อากาศโดยการใช้ปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI (Artificial Intelligence) ซึ่งจะช่วยให้การพยากรณ์อากาศด้วยคอมพิวเตอร์ในอนาคตมีประสิทธิภาพสูงขึ้นอีกระดับหนึ่ง อย่างไรก็ตาม คอมพิวเตอร์และมนุษย์จะยังคงมีบทบาทร่วมกันในการพยากรณ์อากาศต่อไปอีกนาน

AI กับการพยากรณ์อากาศในอนาคต

          เวบไซต์ http://www.tractica.com ได้นำเสนอบทความน่าสนใจถึงบทบาทของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการพยากรณ์อากาศ เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการทำนายปรากฎการณ์อนาคตด้วย “พลัง” ของข้อมูลขนาดใหญ่จำนวนมหาศาล ความสามารถของ AI ในการเรียนรู้ผลลัพธ์จากแบบจำลองจำนวนมหาศาลที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตลอดเวลา ทำให้กระบวนการทำงานด้านนี้ยิ่งเพิ่มความแม่นยำได้มากขึ้นเรื่อยๆ

          ข้อมูลจำนวนมหาศาลจะถูกนำใส่เข้าไปเป็นรูปแบบ “อัลกอริธึมส์” ให้ระบบเรียนรู้ และพยากรณ์ผลโดยอิงอยู่บนพื้นฐานของข้อมูลในอดีตทั้งหมด รูปแบบของสภาพอากาศจะถูกสร้างขึ้นจากตัวเลขที่ซับซ้อนของจุดพิกัดต่างๆ ในแบบจำลอง และใช้ประโยชน์ของพลังประมวลผลของระบบคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ หรือที่เรียกว่า ซูเปอร์คอมพิวเตอร์       

           ก่อนหน้านี้ เว็บไซต์ http://www.cio.com ได้คาดการณ์ แนวโน้มสำคัญที่จะเกิดขึ้นในแวดวงการพยากรณ์อากาศ ประกอบด้วย

          1. ปริมาณข้อมูลสภาพอากาศจำนวนมหาศาล จากการที่ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาการเข้าถึงข้อมูลเหล่านี้ทำได้ง่ายขึ้นอย่างมาก ทั้งจากการเปิดกว้างของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และข้อมูลที่ “คนทั่วไป” สร้างขึ้นมาเองจาการแชร์ผ่านสเตตัสของตนบนโลกโซเชียลนั่นเอง อีกทั้งยังมีหลากหลายช่องทางให้เข้าถึง ไม่ว่าจะเป็นทีวี วิทยุ สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต บ้านอัจฉริยะ หรือรถยนต์อัจฉริยะ เป็นต้น

          2. แบบจำลองสภาพอากาศและการเรียนรู้ของเครื่องจักร (Machine Learning) ภาคธุรกิจบางกลุ่มเริ่มลงทุนกับข้อมูลด้านสภาพภูมิอากาศมากขึ้น เพราะเห็นโอกาสการแปลงเป็นผลตอบแทนทางธุรกิจ เทคโนโลยีที่ล้ำหน้าขึ้นด้าน Machine Learning ช่วย “ฉีก” ข้อจำกัดเดิมๆ ของการพยากรณ์อากาศที่เคยจำเป็นต้องผูกติดกับแบบจำลองทางคอมพิวเตอร์ที่มีการเขียนโปรแกรมเอาไว้ แนวโน้มใหม่ก็คือ ระบบสามารถสร้างกฎเกณฑ์ใหม่ๆ ขึ้นมาจากพื้นฐานข้อมูลที่ถูกใส่เข้ามาเพิ่มขึ้นตลอดเวลา ทำให้เกิดความแม่นยำยิ่งขึ้นๆ

          3.การใช้ข้อมูลสภาพอากาศเพื่อการตัดสินใจ แนวโน้มนี้ถูกขับเคลื่อนจากปรากฎการณ์โลกร้อน หรือสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง (Climate Change) ซึ่งสามารถส่งผลกระทบต่อธุรกิจ ทั้งในแง่อุตสาหกรรมที่ทำอยู่ ตำแหน่งที่ตั้ง และขนาด ดังนั้น ชุดข้อมูลเรื่องสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงจึงมีความสำคัญ ในการช่วยผู้บริการระดับสูงด้านไอที (CIO) ในการตัดสินใจ

          4. การติดตั้งเครื่องมือที่ออกแบบเฉพาะสำหรับแต่ละองค์กร/หน่วยงาน เนื่องจากข้อมูลเกี่ยวกับภูมิอากาศชุดเดียวกัน จะสร้างผลกระทบที่แตกต่างกันไปสำหรับแต่ละอุตสาหกรรม หรือแต่ละพื้นที่ธุรกิจ เช่น บริษัทน้ำมันที่อยู่ในอ่าวเม็กซิโก จะกังวลกับพายุเฮอริเคน มากว่าธุรกิจที่อย่บนเทือกขาสูงในอีกรัฐหนึ่งของอเมริกา หรือถ้าเป็นบริษัทผู้ให้บริการสาธารณูปโภค ก็จะกังวลกับปัญหาพายุฝนฟ้าคะนองเป็นพิเศษ โดยเฉพาะเมื่อเกิดขึ้นในพื้นที่ต่างๆ ซึ่งมีการติดตั้งระบบสาธารณูปโภคไว้ เป็นต้น