นักการเมืองรุกป่า ต้องจัดการมาตรฐานเดียวกัน #ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย

#ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/politic/report/608623

  • วันที่ 07 ธ.ค. 2562 เวลา 17:37 น.

นักการเมืองรุกป่า ต้องจัดการมาตรฐานเดียวกัน

โดย…ชัยฤทธิ์ ยนเปี่ยม

**************************

การดำเนินคดีกับนักการเมืองข้อหารุกป่าสงวนต้องทำอย่างจริงจังให้เป็นแบบอย่างให้เห็นว่า ไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย เพราะที่ผ่านมา ชาวบ้านมักถูกดำเนินคดีข้อหารุกป่า โดนปรับ เข้าคุกเข้าตารางไปหลายราย ที่สำคัญ ยังเชื่อว่า มีนักการเมืองระดับชาติ ท้องถิ่น ผู้มีอิทธิพล นายทุนอีกมากที่รุกป่า จับจองที่ดินหลวง สร้างคฤหาสน์ รีสอร์ทหรู ลอยนวลอยู่เหนือกฎหมาย

กรณี  ปารีณา ไกรคุปต์  ส.ส.พรรคพลังประชารัฐสังกัดรัฐบาล ถูกกรมป่าไม้เข้าแจ้งความ 4 ข้อหา รุกป่าสงวนเนื้อที่  46 ไร่ อ.จอมบึง จ.ราชบุรี ในพื้นที่เขาสนฟาร์มที่เจ้าตัวทำฟาร์มไก่ 1,700 ไร่  ซึ่งเธอแจ้งบัญชีทรัพย์สินเมื่อวันที่ 25 พ.ค. 2562 ว่า มีรายได้จากการเลี้ยงไก่ 109.9 ล้านบาท และเลี้ยงวัว 6.7 แสนบาทต่อปี  แต่ก็มีรายจ่ายจากฟาร์มไก่ 107.7  ล้านบาทต่อปีเช่นกัน

โทษของการรุกป่าสงวน หากพบว่า ผิด ต้องจำคุก 2- 15 ปี ปรับ 1.5 ล้านบาท  ไม่เท่านั้น ที่ดินสปก.ที่ ปารีณา ถือครองอยู่ยังถูกริบคืนอีก 682 ไร่ เพราะได้มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ปารีณา ปัจจุบันอายุ 44 ปี เป็น สส.สมัยที่ 4  ย้ายสังกัดเข้าพรรคต่างๆทั้งพรรคไทยรักไทย พรรคชาติไทย เป็นทายาท “ทวี ไกรคุปต์” อดีตรมช.คมนาคม นักการเมืองฝีปากกล้า

สำหรับ ทวี ผู้พ่อ เคยสร้างวีรกรรมในพรรคประชาธิปัตย์ 20 ปีก่อน สมัยที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล มี นายชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรค  ตอนนั้น ทวี เป็น ส.ส.ราชบุรี สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ เจ้าตัวได้ออกมาขย่มนายสุเทพ เทือกสุบรรณ หลังมีข่าวว่า ไม่พอใจที่ไม่ได้รับเลือกให้เป็นรัฐมนตรี และตำแหน่งประธานกรรมาธิการกิจการคมนาคม เนื่องจากถูก นายสุเทพ สกัด นายทวีจึงเปิดศึกแฉ นายสุเทพ ในฐานะ รมว.คมนาคมว่าบริหารงานไม่โปร่งใสในโครงการสื่อสัญญาณความเร็วสูง หรือ เอสดีเอช  พร้อมทั้งออกมาท้าทีท้าต่อยคนในพรรค  จนพรรคประชาธิปัตย์ตั้งกรรมการสอบก่อนจะมีบทลงโทษด้วยการภาคทัณฑ์นายทวี หาว่าเคลื่อนไหวไม่สุจริต

กลับมาคดีรุกป่าของ ปารีณา  นอกจากเธอจะถูกยึดที่คืนแล้ว ยังพ่วงถูกเอาผิดคดีอาญาและอาจถูกเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้งในอนาคตอีก ขณะที่ ป.ป.ช.กำลังตรวจสอบว่า มีการแจ้งการถือครองที่ดินเป็นเท็จหรือไม่

นึกไม่ถึง “ดาวรุ่ง” ในซีกของพรรคพลังประชารัฐ ที่ออกมาวาดลวดลาย เป็นองครักษ์พิทักษ์รัฐบาล คอยต่อกรกับ “ช่อ” พรรณิการ์ วานิช โฆษกพรรคอนาคตใหม่ จะตกม้าตายอย่างรวดเร็ว สะท้อนว่า การจะตรวจสอบใคร ตัวเองต้องโปร่งใส ไม่มีบาดแผลก่อน และอย่าชะล่าใจว่า การเป็น ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลแล้วจะมีอำนาจรัฐคอยช่วยเหลือ ซึ่งแม้แรกเริ่มคดีนี้พรรคพลังประชารัฐทำท่าจะออกมาปกป้อง “ปารีณา”ว่าไม่ผิด แต่เมื่อผลตรวจสอบพบว่า มีการรุกที่จำนวนมาก จึงยากที่จะอุ้มได้ มิฉะนั้น เรือสนิมเหล็กจะพังลำ

กรณี “ปารีณา” เจ้าหน้าที่ต้องดำเนินคดีให้เป็นเยี่ยงอย่าง หัวหน้ารัฐบาลต้องส่งสัญญาณให้สังคมเห็นว่า เอาจริงกับพวกรุกป่า โดยเฉพาะพวกนักการเมืองระดับชาติ นักการเมืองท้องถิ่น นายทุน ที่มักหลุดรอดคดีด้วยเหตุมีอำนาจรัฐคอยช่วยเหลือเกื้อกูลกัน

“ปารีณา”อาจไม่ใช่กรณีเดียวที่ถูกดำเนินคดีครั้งนี้  “ศรีสุวรรณ จรรยา” นักร้อง ยังได้ยื่นเรื่องให้เอาผิด 10 ส.ส.จากพรรครัฐบาลและฝ่ายค้าน หลังพบว่านักการเมืองเหล่านี้ถือครอบครองที่ดินคล้ายกับปารีณา คือ  มีการครอบครองที่ดินประเภท ภ.บ.ท.5 และ ส.ป.ก. กันเป็นจำนวนมาก ขาดคุณสมบัติของการมีสิทธิครอบครอง

ที่ดิน ภ.บ.ท.5 หรือ ภาษีบำรุงท้องที่ เรียกกันว่า “ภาษีดอกหญ้า” เป็นเพียงเอกสารการเสียภาษีบำรุงท้องที่  ไม่ใช่เอกสารแสดงสิทธิครอบครองที่ดิน เพราะเจ้าของที่ดินก็ยังคงเป็นของราชการ และส่วนมากก็เป็นที่ป่าสงวน  สส.บางรายกลับถือครองเป็นร้อยเป็นพันไร่

ส่วนที่ดินประเภท ส.ป.ก.  เจตนารมณ์ของกฎหมาย กำหนดไว้ชัดเจนว่าผู้ที่จะมีสิทธิยึดถือครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินปฏิรูป ต้องเป็นเกษตรกรเป็นหลัก มีฐานะยากจน รายได้ต่ำกว่า 3 หมื่นบาทต่อปี หรือต้องเป็นบุตรของเกษตรกรเท่านั้น น่าประหลาดที่ว่า นักการเมืองกลับเข้าไปถือครองได้  กรณีปารีณาอ้างว่า ตนเองเป็นเกษตรกรเพราะทำฟาร์มไก่จึงฟังไม่ขึ้น

บทเรียนที่เคยเกิดขึ้นมีให้เห็น ประเด็นการแจกที่ดิน สปก. ครั้งอื้อฉาวสั่นคลอนรัฐบาลมาแล้ว สมัยรัฐบาล ชวน หลีกภัย ต้องยุบสภา เพราะนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รมช.เกษตรขณะนั้น แจกที่ดินสปก. ให้กับกลุ่มทุนที่ใกล้ชิดตัวเอง ทั้งที่ไม่เข้าข่ายเป็น เป็นเกษตรกร จนฝ่ายค้านนำมาเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจเมื่อ 25 ปีก่อน

รัฐบาลคสช. ที่ผ่านมา มีนโยบายจัดระเบียบที่ดินสปก.ทั่วประเทศ หลังพบช่องโหว่ บรรดานายทุน นักการเมือง เข้าไปถือครองผิดกฎหมาย เป็นจำนวนมาก สำนักงานส.ป.ก.ระบุว่า ระหว่างปี 2558-2559  มีที่ดิน ส.ป.ก. 40 ล้านไร่ทั่วประเทศ มีการจัดสรรให้เกษตรกรไปใช้ทำประโยชน์ไปแล้ว 36 ล้านไร่ เหลือที่ยังจัดสรรไม่ได้ 4 ล้านไร่ ในจำนวนนี้มีการรังวัดแล้ว 2 ล้านไร่ และทยอยจัดสรร ส่วนอีก 2 ล้านไร่ที่ยังไม่ได้รังวัด และยังไม่เข้าระบบตรงนี้ที่เป็นปัญหารุกที่ เพราะมี ส.ส. นักการเมืองและ ผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่นถือครองไปสร้างรีสอร์ท ที่พัก

ไม่น้อยทีเดียว ที่ส.ป.ก.เกือบ 2 ล้านไร่ ที่เป็นช่องว่างให้ นายทุนครอบครองอย่างผิดกฎหมาย แถมยังไม่ถูกดำเนินคดี โดยเฉพาะในจังหวัดท่องเที่ยวทั้งหลาย ไปทำบ้านพัก ร้านอาหาร ซื้อที่ต่อจากชาวบ้านและสะสมเป็นแปลงขนาดใหญ่ เซ้งต่อกันราคาแพง

การรุกที่ป่าสงวนจำนวนมาก สะท้อนถึงความล้มเหลวในการบังคับใช้กฎหมายที่ไม่เป็นธรรม และไม่เสมอภาค เพราะไม่สามารถเอาผิดกับกลุ่มนายทุน นักการเมือง รวมถึงเจ้าหน้าที่รัฐอีกจำนวนมาก ที่รวมหัวกันเป็นอาชญากรเศรษฐกิจ  แม้ว่า ช่วงไม่กี่ปีมานี้ เริ่มมีการทำคดีฟ้องรุกป่าขึ้นศาล เอาผิดให้บ้าง แต่ก็ยังน้อยเมื่อเทียบการรุกที่ป่าสงวนที่เกิดขึ้นจริง

ขบวนการรุกป่ามีกันเกลื่อน เรียกได้ว่า แตะที่ไหน ก็เจอการกระทำผิดกฎหมายที่นั่น เน้นพื้นที่วิวสวยๆ เช่น  อ.วังน้ำเขียว อ.ปากช่อง อ.เขาใหญ่ นครราชสีมา หรือ ในเชียงใหม่ จันทบุรี เพชรบูรณ์ ภูเก็ต กาญจนบุรี เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี

นักการเมือง นายทุน ผู้มีอำนาจเหล่านี้ แจกจ่ายผลประโยชน์ให้ข้าราชการประจำเพื่ออนุญาตให้ถือครองที่ดิน โดยมิชอบ ทำโรงแรม สนามกอล์ฟ ที่จอดเฮลิคอปเตอร์  สนามแข่งรถ เปิดสวนสนุก ทำสวนน้ำ

แม้กรมป่าไม้บอกว่า ปี 2561 ที่ผ่านมา ประเทศไทยเริ่มมีพื้นที่ป่าเพิ่มขึ้น จากมาตรการของ คสช. ที่ป้องกันและปราบปรามการบุกรุกป่าเข้มข้นและ นโยบายทวงคืนผืนป่าที่ยึดคืนพื้นที่ป่าจากนายทุน โดยพบว่า ปี 2561  ไทยมีผืนป่าอยู่ 102.4 ล้านไร่ เทียบกับปี 2560 อยู่ที่ 102.1 ล้านไร่  เพิ่มขึ้น 3.3 แสนไร่ หรือเท่ากับจ.ภูเก็ตทั้งจังหวัด

แต่เชื่อว่า ผู้อยู่เหนือกฎหมาย ยึดที่หลวง บุกรุกป่า กลั่นแกล้งชาวบ้าน ยังมีอีกเป็นจำนวนมากที่ไม่ถูกดำเนินคดี  รัฐบาลจึงไม่ควรลูบหน้าปะจมูกทำคดีปารีณาเป็นแค่ไฟไหม้ฟางเท่านั้น

เบื้องลึก!!!’พลภูมิ’กับข้อยกเว้นพิเศษให้เป็นงูเห่าใน’เพื่อไทย’ #ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย

#ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/politic/report/608477

  • วันที่ 05 ธ.ค. 2562 เวลา 20:00 น.

เบื้องลึก!!!'พลภูมิ'กับข้อยกเว้นพิเศษให้เป็นงูเห่าใน'เพื่อไทย'

แกนนำเพื่อไทยเข้าใจ”พลภูมิ” เสียบบัตรช่วยรัฐบาลเหตุช่วยให้หลุดพ้นคดีแจ้งทรัพสินเท็จต้องทดแทนบุญคุณผู้ใหญ่ในรัฐบาล

หลัง“10งูเห่า”เกิดขึ้นในพรรคฝ่ายค้าน กรณีไปแสดงตนเป็นองค์ประชุมในการพิจารณาพิจารณาญัตติด่วน ขอให้สภาผู้แทนราษฏรตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาการใช้ศึกษาผลกระทบจากประกาศคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และการใช้อำนาจของหัวหน้า คสช. ตามมาตรา 44 เมื่อวันที่ 4 ธ.ค.ที่ผ่านมา ทั้งที่ฝ่ายค้านได้มีมติไม่เข้าร่วม จนทำให้รัฐบาลสามารถพลิกมติล้มญัตติดังกล่าวสำเร็จ ท่ามกลางข่าวการแจกกล้วยให้”งูเห่า”ถึงเลข 8 หลัก นั้น ปรากฎว่า พรรคที่มีสมาชิกเป็นงูเห่าต่างออกมาแสดงท่าทีปฏิเสธความเป็น”งูเห่า”ทันที

ทว่าที่น่าสนใจคือพรรคเพื่อไทย ซึ่งมี ส.ส.3 คน ที่ไปเสียบบัตรแสดงตน ประกอบด้วย “พลภูมิ วิภัติภูมิประเทศ ส.ส.กทม. -พรพิมล ธรรมสาร ส.ส.ปทุมธานี -ขจิตร ชัยนิคม ส.ส.อุดรธานี” แต่ปรากฎว่า แกนนำของพรรคต่างออกมาแสดงความเห็นใจ “พลภูมิ วิภัติภูมิประเทศ”เพียงคนเดียว โดย การันตีให้ว่าไม่เกี่ยวกับ“กล้วย”ทางการเมือง

“ในส่วนของส.ส.พรรคเพื่อไทย ที่แสดงตัวเป็นองค์ประชุม 3 คนนั้น กรณี คุณพลภูมิ เราไม่แปลกใจ เพราะเข้าใจและทราบมาก่อนว่า เขามีบุญคุณต่อกันเรื่องคดีก่อนหน้านี้ มีคดีชี้เป็นตายทางการเมือง จนอาจจะต้องย้ายพรรคอยู่แล้ว ส่วนที่เหลืออีก 2 คน ท่านขจิตร กับคุณพรพิมล ถือว่าผิดคาด เราจึงยังต้องรอฟังเหตุผลของเขาก่อน” สุทิน คลังแสง ประธานวิปฝ่ายค้าน ระบุ

ไม่เพียงเท่านั้น “วิชาญ มีนชัยนันท์” ประธานภาค กทม. พรรคเพื่อไทย ยังออกมาอุ้ม “พลภูมิ” อีกว่า ได้รู้จัก “พลภูมิ” และครอบครัวมานาน ตั้งแต่ “พลภูมิ”เริ่มเข้าการเมืองมาเป็นผู้ช่วย ส.ส.ของตนเอง และไปเป็น ส.ก. จนเป็น ส.ส. ซึ่ง “พลภูมิ”และครอบครัวเป็นคนมีฐานะ มีเหตุผล ไม่เคยสนใจเรื่องผลประโยชน์เงินทอง ดังนั้นการจะบอกว่าที่ช่วยรัฐบาลเพราะผลประโยชน์เงินทางตัดทิ้งไปได้เลย สาเหตุคงมาจากเรื่องอื่นมากกว่า

คำถามจึงมีอยู่ว่า อะไรที่เป็นเบื้องหน้าเบื้องหลังที่ทำให้พรรคเพื่อไทยต้องยกเว้นให้”พลภูมิ”ไปช่วยฝั่งรัฐบาลได้ และที่”สุทิน”บอกว่า เขามีบุญคุณต่อกันเรื่องคดีก่อนหน้านี้ มีคดีชี้เป็นตายทางการเมือง จนอาจจะต้องย้ายพรรคอยู่แล้ว”มันคือคดีอะไร

ว่ากันตามจริง ปมเบื้องหลังของ”พลภูมิ”กับ “ผู้มีบุญคุณในรัฐบาล”นั้น คนในเพื่อไทยรู้กันหมดมานานแล้วตั้งแต่ “พลภูมิ”ถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ป.ป.ช. ชี้มูลความผิด ฐานจงใจปกปิดบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน เป็นรายการบัตรเครดิตประมาณ 2.2 แสนบาท และเงินฝากในบัญชียอดรวมประมาณ 1.6 หมื่นบาท

ท้ายที่สุดคดีนี้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำพิพากษา ยกคำร้องไปเมื่อ 12ก.ย.ที่ผ่านมา โดยเห็นว่า ป.ป.ช. ไม่สามารถนำตัวผู้ถูกกล่าวหามาส่งศาลภายในระยะเวลา 5 ปี ตามที่กฎหมายกำหนด ทำให้คดีขาดอายุความ

ซึ่งการหลุดพ้นคดีดังกล่าวนั้นแหล่งข่าวในพรรคเพื่อไทยได้ระบุว่า “พลภูมิ”ได้มาสารภาพกับแกนนำของพรรคเพื่อไทยถึงการต่อสู้คดีดังกล่าวจนชนะ เพราะมีบิ๊กในรัฐบาลคนหนึ่งได้ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ โดยมีเงื่อนไขต้องแลกกับการที่ต้องไปอยู่กับฝ่ายรัฐบาล ซึ่ง”พลภูมิ”ไม่มีทางเลือก

“เมื่อเขาหลุดคดี เขาจึงต้องทำตามสัญญา วันที่เขามาสารภาพ เขาต้องหลั่งน้ำตา คนในพรรคเพื่อไทยก็ช่วยอะไรเขาไม่ได้ เพราะถ้าเขาแพ้คดีอาจต้องติดคุกและหลุดจากเก้าอี้ส.ส.หมดอนาคตทางการเมือง เมื่อมีผู้ใหญ่เขาเสนอเงื่อนไขจะช่วย จึงไม่มีทางเลือก ทุกคนจึงเข้าใจ”แหล่งข่าว ระบุ

สำหรับ”บิ๊กในรัฐบาลคนนั้นเป็นใคร คนเพื่อไทยรู้จักกันดี !!!

ทั้งหมดนี้จึงเป็นที่มาว่าทำไม”พลภูมิ”ถึงได้รับข้อยกเว้นเป็นกรณีพิเศษในพรรคเพื่อไทย !

20พ.ย.ลุ้นระทึกคดี “ธนาธร” โดมิโนสู่ยุบพรรคอนาคตใหม่?

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/politic/report/606156

  • วันที่ 12 พ.ย. 2562 เวลา 19:13 น.

20พ.ย.ลุ้นระทึกคดี "ธนาธร" โดมิโนสู่ยุบพรรคอนาคตใหม่?

โดย…ชัยฤทธิ์ ยนเปี่ยม , เอกราช สัตตะบุรุษ

************************************

20 พ.ย.นี้เป็นนัดสำคัญ ที่ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำตัดสินชี้ชะตา “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ว่าจะต้องสิ้นสภาพส.ส.หรือไม่ ความน่ากังวล คือ คดีนี้อาจเป็นโดมิโน่ตัวเดียวที่สะเทือนไปถึงพรรคอนาคตใหม่

คดีดังกล่าวมาจากคำร้องคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ส่งเรื่องให้ศาลรธน.วินิจฉัยว่า “ธนาธร” ต้องสิ้นสภาพการเป็น สส. ตามรัฐธรรมนูญ เนื่องจากถือหุ้นสื่อ บริษัทวี-ลัค มีเดีย จำกัด เข้าลักษณะต้องห้ามในการสมัครรับเลือกตั้ง หลังจากคดีนี้ใช้เวลาสอบสวนในชั้นของ กกต.และศาลรธน.รวม 8 เดือน

สถานการณ์ของ อนค.ปัจจุบัน นับได้ว่า ประสบมรสุมรุมเร้ามากมายในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมา บ้างว่า เป็นช่วงขาลงที่หนักหน่วงที่สุด นับตั้งแต่ก่อตั้งพรรคหลังชนะเลือกตั้งเขย่าการเมืองไทย จากคดีความจำนวนมากกลายเป็นตำบลกระสุนตก บวกกับปัญหาความขัดแย้งภายในพรรค ที่สมาชิกพรรคและอดีตผู้สมัคร สส.ของพรรค แห่ยื่นลาออกรวม 120 คน พร้อมกับออกมาแฉความไม่เป็นประชาธิปไตยในพรรค มีการแบ่งชนชั้นวรรณะ แต่งตั้งพวกพ้อง เข้าไปเป็นผู้ช่วย สส. กินเดือนหลวงหลายตำแหน่ง

อีกประเด็น คือ หลังพรรคอนาคตใหม่ ลงมติคัดค้านการออกพระราชกำหนดโอนกำลังพลเป็นของส่วนพระองค์ ซึ่งสวนทางกับ 6 พรรคฝ่ายค้านด้วยกัน จนเกิดเสียงแตกในพรรคที่มี 7 ส.ส.แหกมติพรรค เป็นแรงกระเพื่อมระลอกใหญ่ภายในพรรค

หากดูคดีความที่เกิดกับอนาคตใหม่จนถึงขณะนี้มีมากรวม 20 คดี แยกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ 1.กลุ่มคดีที่เกิดกับแกนนำพรรคทั้ง “ธนาธร-ปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรค-พรรณิการ์ วานิช โฆษกพรรค” และ 2.คดีที่พรรคถูกฟ้องโดยตรง

คดีที่หนักที่สุดที่อาจทำให้พรรคอนาคตใหม่สั่นคลอน เห็นจะเป็น คดี “ธนาธร” ปล่อยเงินกู้ให้พรรคอนาคตใหม่ 100 ล้าน คดีที่ครอบครัว “ธนาธร”บริจาคให้พรรคเกิน 10 ล้านบาท ที่ถูกร้องว่า หลบเลี่ยง พรบ.พรรคการเมือง ทั้งสองคดีมี “ศรีสุวรรณ จรรยา” เป็นผู้ยื่นเรื่องต่อกกต.ให้เอาผิดกับพรรคอนาคตใหม่ ข้อหาผิดพรบ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง ซึ่งหากผิดจริงนำไปสู่การยุบพรรค รวมถึงยังมีคำร้องของ “ณฐพร โตประยูร” อดีตที่ปรึกษาประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน กล่าวหาพรรคอนาคตใหม่เป็นปฏิปักษ์และล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ที่ศาลรธน.รับคำร้องไว้พิจารณาแล้ว

ก่อนหน้นี้ “ปิยบุตร” ชี้แจงผ่านเฟสบุ๊คพรรคว่า น่าแปลกเพราะพรรคยังไม่ได้มีอำนาจบริหารราชการแผ่นดิน แต่กลับมีคดีความมากถึง 20 คดี ท่ามกลางความเชื่อเต็มไปหมดว่าจะถูกยุบพรรค ตัดสิทธิ จำคุก

“ผมอยากถามกลับไปตรงๆ ว่าทุกคนรู้สึกว่าพรรคอนาคตใหม่ทำผิดกฎหมายจริงๆ หรือที่เราถูกกระทำทั้งหมดนี้ เป็นเพียงเพราะเรามีแนวทางที่ทำให้ผู้มีอำนาจไม่สบายใจ”

ปิยบุตร ระบุว่า กรณีหุ้นสื่อที่ “ธนาธร”โดนอยู่นี้ ท้ายที่สุดแล้วรัฐธรรมนูญมาตรานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อมิต้องการให้ ส.ส. หรือรัฐมนตรีมีอิทธิพลในการครอบงำสื่อ ฉะนั้นต้องดูว่ากิจการที่ถือหุ้นนั้นเป็นสื่อหรือไม่ และการถือหุ้นนั้นมีมากน้อยเพียงใดถึงขั้นมีอิทธิพลครอบงำสื่อ บริษัท วี-ลัค มีเดีย ไม่ได้เป็นสื่อมวลชน เป็นเพียงบริษัทที่รับจ้างผลิตรูปเล่ม ไม่ได้กำหนดเนื้อหา และก็ปิดกิจการเรียบร้อย อีกทั้งธนาธรก็ได้โอนหุ้นไปหมดตั้งแต่ 8 มกราคม แต่ “ธนาธร”กลับถูกเล่นงานตามมาตรานี้

ขณะที่ “ธนาธร” กล่าวว่า คดีถือหุ้นสื่อไม่ได้เกี่ยวกับอะไรกับการยุบพรรค เป็นแค่นายธนาธรมีคุณสมบัติเป็น ส.ส.หรือไม่ แล้วคดีที่มีอยู่ทั้งหมดจะนำไปสู่การยุบพรรคได้ก็ยากมาก เพราะการยุบพรรคจะเขียนไว้ชัดเจนว่าจะต้องมีกรณีใดบ้าง

“ดังนั้นเราเชื่อมั่นว่าคนที่พูดเรื่องยุบพรรค สื่อมวลชน หรือคนไม่หวังดีพูดเรื่องยุบพรรคมีเป้าประสงค์ทางการเมืองเพื่อทำให้คนไม่กล้ามาร่วมงานกับพรรคอนาคตใหม่ เพื่อที่จะทำให้ส.ส.ของเราหวั่นไหวลังเลจะ ได้มีการซื้อกันได้ง่ายมากขึ้น” ธนาธร กล่าว

รศ.ยุทธพร อิสรชัย คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช มองว่า แม้พรรคอนาคตใหม่จะปัญหาหายในพรรค แต่ก็ยังไม่เป็นขาลง และไม่น่ากังวล เพราะเป็นธรรมชาติของพรรคการเมืองในช่วงเปลี่ยนผ่านที่จะนำไปสู่ความเป็นสถาบันทางการเมือง หลายพรรคเจอปรากฏการณ์แบบนี้มาตลอด พรรคประชาธิปัตย์ก็มีกลุ่ม 10 มกราฯ ที่ต่อมากลายเป็นพรรคประชาชน หรือการรวมตัวกันของนักการเมืองพรรคชาติพัฒนา พรรคชาติไทย และพรรคพลังธรรม ในนามกลุ่ม16 เมื่อปี 2535 หรือจะเป็นสมัยพรรคไทยรักไทย ก็มีหลายกลุ่มที่แตกตัวออกมาเป็นพรรคการเมืองต่างๆ

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าห่วง คือ การตัดสินในวันที่ 20 พ.ย. หากผลออกมาในทางไม่ดีกับนายธนาธร ก็อาจจะนำไปสู่การยุบพรรคได้ แล้วมีการตัดสิทธิ์กรรมการบริหารพรรคได้ เมื่อถึงตอนนั้นอาจเรียกได้ว่าเป็นขาลง

“พรรคอนาคตใหม่เกิดขึ้นเร็วกว่าพรรคการเมืองอื่นๆ เพียงปีกว่าๆ แต่ยกระดับขึ้นมาเป็นพรรคขนาดใหญ่ ก็เลยทำให้ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็ว การรักษาสถานการณ์พรรคอนาคตใหม่ของแกนนำ นอกจากต้องทำให้บรรยากาศในพรรคไม่มีแรงกระเพื่อมมากแล้ว ต้องเตรียมการรองรับเหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการถูกยุบพรรค แล้วบรรดาแกนนำที่ถูกตัดสิทธิ์การเมืองจะเดินหน้าการเมืองต่อไปอย่างไร แล้วคนที่ไม่ถูกตัดสิทธิ์จะทำอย่างไร จะไปอยู่พรรคใหม่อย่างไร เป็นสิ่งที่ต้องเตรียมความพร้อม” รศ.ยุทธพร กล่าว

ทั้งนี้หากในอนาคตพรรคอนาคตใหม่ถูกยุบ ส.ส.ของพรรคยังสามารถเข้าไปสังกัดพรรคใหม่ได้ภายใน 60 วัน ตามมาตรา 101 ของรัฐธรรมนูญ ตรงนี้ก็ถือว่าสมาชิกภาพการเป็นส.ส.ยังคงอยู่

เขากล่าวว่า หากพรรคอนาคตใหม่ยังคงรักษาสถานภาพต่อไปได้ ก็มีความเป็นไปได้ที่พรรคจะเติมโตขึ้นมาเทียบเคียงหรือเหนือกว่าพรรคเพื่อไทย หรือถึงขั้นมาแทนพรรคเพื่อไทยนั้น เพราะเป็นผลผลิตของการเปลี่ยนแปลงยุคสมัย ที่สะท้อนภาพให้เห็นแล้วว่าหากพรรคการเมืองใดที่มีอุดมการณ์ที่สอดรับกับสถานการณ์ปัจจุบัน ก็เป็นที่นิยมชมชอบด้วยกันทั้งนั้น

รศ.ยุทธพร กล่าวว่า ในส่วนของพรรคเพื่อไทย เชื่อว่า จะยังไม่ได้หายไป เพราะมีฐานเสียงส.ส.แบบเขตอยู่ ซึ่งเหนียวแน่นพอสมควร แต่พรรคอนาคตใหม่เองมีจุดอ่อนที่ไม่มีส.ส.แบบเขตเลือกตั้งที่เข้มแข็งเท่าไหร่ ซึ่งต้องพัฒนาในจุดนี้

“ที่สำคัญการที่พรรคอนาคตใหม่ดำเนินงานทางการเมืองในช่วงที่ผ่านมา ในลักษณะเหมือนวัยรุ่นใจร้อน ไม่ว่าจะเป็นการพิจารณากฎหมาย หรือการอภิปรายในสภา ก็จะมีผลต่อการดำรงอยู่ของพรรคอนาคตใหม่ด้วย ซึ่งแนวทางของพรรคอนาคตใหม่คือเขาต้องการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ต้องการการเปลี่ยนแปลงในเชิงโครงสร้างของแวดวงการเมืองด้วย ซึ่งต้องเข้าใจว่าแวดวงการเมืองไทยฝ่ายที่เป็นอนุรักษ์นิยมก็มีอยู่ไม่น้อย ซึ่งทางพรรคอนาคตใหม่ต้องเผชิญกับเสียงวิพากวิจารณ์กับอุดมการณ์ของตัวเองแน่นอน ในส่วนนี้พรรคอนาคตใหม่จะต้องปรับตัวในการทำงานการเมืองใหม่ ต้องมีความสุขุมนุ่มลึกมากขึ้น การเปลี่ยนแปลงทุกต้องรออย่างใจเย็น จะให้ทันทีทันใดไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับสังคมไทย เพราะหากใช้กลยุทธ์แบบเดิม โอกาสที่จะถูกต่อต้านจะมีสูงมาก” รศ.ยุทธพร กล่าว

“สติธร ธนานิธิโชติ” นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญเรื่องการเมือง สถาบันพระปกเกล้า กล่าวว่า คดีถือหุ้นสื่อของ “ธนาธร” ถ้ามองผลในทางบวก ก็คือ “ธนาธร” พ้นจาก ส.ส. แค่สมัยนี้ แล้วกลับมาลงเลือกตั้งใหม่ได้สมัยหน้า แต่ถ้าแบบเลวร้ายที่สุด “ธนาธร” มีความผิดพ้นจาก ส.ส. และคำวินิจฉัยโยงความผิดในฐานะหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ที่จะต้องรับผิดชอบเซ็นรับรองผู้สมัคร สส. ด้วย ตรงนี้ก็สุ่มเสี่ยงผิด พรบ.ประกอบรธน.ว่าด้วยพรรคการเมือง ก็จะนำไปสู่ฟ้องยุบพรรคตามมาอีก ซึ่งจะต้องมีผู้ฟ้องต่อ กกต. และส่งให้ศาลรธน.วินิจฉัยยุบพรรคอีกครั้ง ส่วนความผิดยุบพรรคนั้น คณะกรรมการบริหารพรรค 16 คน รวมถึง “ปิยบุตร” จะต้องถูกเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้งซึ่งแม้รธน.ไม่ได้เขียนว่า กี่ปี แต่ศาลอาจเทียบเคียงกับคดียุบพรรคไทยรักษาชาติที่ถูกยุบไปก่อนหน้านี้ ที่เพิกถอนสิทธิ์ กรรมการบริหารพรรค 10 ปี

สิ่งที่จะวุ่นตามมาอีก คือ กรณี ส.ส.อาจย้ายพรรคได้ แต่ผู้ที่เป็นกรรมการบริหารพรรคและควบตำแหน่ง ส.ส.ด้วยจำนวน 16 คนจะไม่สามารถย้ายพรรคได้ และกรณี ส.ส.บัญชีรายชื่อของพรรคอนาคตใหม่ ที่ย้ายพรรค จะคำนวณอย่างไรไปอยู่ในส่วนไหนกับพรรคใหม่

“สติธร” ประเมินคดีที่หนักที่สุดกับอนาคตใหม่ คือ คดีกล่าวหาล้มล้างหรือ เป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ที่ศาลรธน.รับคำร้องไปแล้วเพราะขั้นตอนยุบพรรคทำได้ทันทีหากศาลมีคำสั่ง ขณะที่ คดีเงินกู้ 100 ล้าน หรือ คดีเงินบริจาค ถ้าจะเข้าสู่การยุบพรรค ต้องทำถึงสองขยัก

ชะตากรรมของ “ธนาธร”และพรรคอนาคตใหม่จะไปสู่ทิศทางใด อีกไม่นานจะได้รู้กัน

“สุรชาติ” มองการเมืองหลังเลือกตั้ง เดินหน้า 1 ก้าว แต่ถอยหลัง 3 ก้าว

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/politic/report/605696

  • วันที่ 07 พ.ย. 2562 เวลา 15:36 น.

“สุรชาติ” มองการเมืองหลังเลือกตั้ง เดินหน้า 1 ก้าว แต่ถอยหลัง 3 ก้าว

โดย…ชัยฤทธิ์ ยนเปี่ยม

****************************

แม้จะผ่านการเลือกตั้งและมีรัฐบาลใหม่ชุดแรกหลังการรัฐประหาร 5 ปี  แต่สถานการณ์การเมืองไทยยังติดหล่มกับความขัดแย้ง หลายฝ่ายเป็นห่วงว่า ความตรึงเครียดทางการเมืองที่ยังคุกกรุ่น จะขยายวง แบ่งขั้วหนักขึ้น บวกกับช่องว่างความขัดแย้งใหม่ระหว่างคนรุ่นหนุ่มสาว กับคนสูงวัยจะก่อให้เกิดวิกฤตอีกระลอก

 

2 ขั้ว“อนุรักษ์นิยม-เสรีนิยม” ขับเคี่ยว

ระบอบกึ่ง คสช. เติมเชื้อขัดแย้ง

ศ.สุรชาติ บำรุงสุข อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้สัมภาษณ์พิเศษ โพสต์ทูเดย์ว่า  หากมองในปัจจุบันและระยะยาว การเมืองไทยแทบไม่เปลี่ยนจากเดิม คือ เป็นการต่อสู้ระหว่างปีกเสรีนิยมและอนุรักษ์นิยม เพียงแต่ในแต่ละช่วงเวลา แต่ละปีกอาจมีองค์ประกอบแตกต่างออกไป ครั้งนี้สิ่งที่แตกต่างจากอดีต คือ มีมือใหม่ๆ เช่น โซเชียลเข้ามามีบทบาท ขณะเดียวกัน ก็มีบริบทของสถานการณ์ใหม่ๆ เข้ามาเป็นองค์ประกอบ  และยิ่งเห็นการออกแบบโครงสร้างทางการเมืองไทยหลังการเลือกตั้ง 2562 ยิ่งตอกย้ำชัดว่า การเมืองไทยถอยหลังมากกว่าที่คิด

“ระบอบที่เกิดขึ้นหลังการเลือกตั้งมีนาคม 2562 ไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตยครึ่งใบเหมือนยุคพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ปี 2521-2522 อย่างที่พูดกัน แต่มันเป็นเผด็จการครึ่งใบ เพราะคงโครงสร้างของอำนาจและคณะรัฐประหารไว้ ทำให้ขบวนของฝ่ายค้านทั้งหมดแทบจะไม่สามารถมีอิทธิพลหรือบทบาททางการเมืองได้”

ในมุมอาจารย์สุรชาติ การเมืองไทยในอนาคต จึงยังมีความน่ากังวล ทั้งจากตัวกลไกในรัฐธรรมนูญ เงื่อนไขต่างๆ เช่น สว.เลือกนายกรัฐมนตรีได้  การมียุทธศาสตร์ชาติ กลไกกอ.รมน. และ บทบาททหารหลังการเลือกตั้ง ดังนั้น โอกาสที่การเมืองไทยจะพัฒนาค่อนไปทางเสรีนิยมจึงยากมาก ไม่ต้องไปคิดเรื่องการจะสร้างประชาธิปไตย  โจทย์เฉพาะหน้าตอนนี้ คือ จะทำอย่างไรให้ความเข้มข้นของระบอบอำนาจนิยมที่มาจากรัฐประหารแล้วแฝงมากับการเลือกตั้งลดทอนลงได้ ซึ่งปัจจุบันเรามาถึงขนาดนี้แล้ว

สำหรับฝ่ายค้าน พรรคเพื่อไทยและพรรคอนาคตใหม่ แม้ดูมีพลัง เพราะมีเสียงในสภาใกล้รัฐบาล แต่นักวิชาการท่านนี้ มองว่า การที่ฝ่ายค้านอยู่ภายใต้กลไกรัฐธรรมนูญ ให้ สว.เลือกนายกฯ หรือ ยุทธศาสตร์ชาติที่ร่างจากรัฐบาลคสช.  ฝ่ายค้านก็ไม่สามารถผลักดันนโยบายได้

“ผมคิดว่า ระบอบปัจจุบัน คือ ระบอบ กึ่งคสช. ซึ่งมีเพียงอำนาจจากมาตรา 44 เท่านั้นที่หายอย่างอื่นไม่ได้หายด้วย เมื่อไม่หาย การเมืองไทยในช่วงข้างหน้า มันจะเป็นการต่อสู้ในสภาที่เข้มข้น  ถ้าถามผม มันเป็นข้อดี เพราะไม่ทำให้การเมืองไหลลงท้องถนน การแก้ด้วยระบบรัฐสภานั่นแหละเป็นความหวัง ขณะเดียวกัน ถ้ากลไกที่ถูกออกแบบโดยคสช. ยังเป็นอย่างนี้  ความขัดแย้งก็จะรุนแรงเหมือนกันเพราะฝ่ายค้านจะรู้สึกทันทีว่า ไม่สามารถฝ่าเงื่อนไขทางกฎหมายได้ เช่น ถ้าฝ่ายค้านชนะ ก็ไม่สามารถตั้งรัฐบาลได้ภายใต้สว.250 ที่มาจากรัฐบาลคสช. จึงเป็นจุดกังวลว่า การเมืองนอกสภามันยังถูกขับเคลื่อนอยู่” 

 

มรสุม อนค. เชื่อไม่รุนแรง

เชื่อได้กระแสสงสาร เพราะโดนกลั่นแกล้ง

พรรคอนาคตใหม่ที่มาแรงช่วงเลือกตั้ง มีคนรุ่นใหม่เป็นฐานสนับสนุน จะไปได้ไกลแค่ไหน ศ.สุรชาติ ซึ่งให้สัมภาษณ์เราก่อนวันเลือกตั้งซ่อม สส.นครปฐม บอกว่า ที่ผ่านมาพรรคอนาคตใหม่ชนะในจังหวัดที่มีมหาวิทยาลัย และเป็นพรรคของคนรุ่นใหม่ แต่โจทย์ใหญ่ต้องดูว่า พรรคนี้จะสามารถอยู่รอดกับกระแสนี้ได้นานแค่ไหน ตรงนี้ยังไม่กล้าตอบ

แล้วกระแสของอนาคตใหม่ต้องขึ้นอยู่กับอะไร?  “ถ้าตอบโจทก์แบบฝ่ายค้าน คือ ความเพลี่ยงพล้ำของรัฐบาล คือ คะแนนของฝ่ายค้าน ส่วนปัญหาของพรรค ทุกพรรคก็ล้วนมีปัญหาหมด ผมไม่เชื่อว่าปัญหาภายในอนาคตใหม่จะเป็นปัจจัยชี้ขาดเท่ากับ โอกาสที่ไม่สำเร็จของการรัฐบาลในการดำเนินนโยบาย”

มรสุมที่พรรคอนาคตใหม่เผชิญอยู่ทั้งคดีถือหุ้นสื่อนำมาสู่การพิจารณาคุณสมบัติ สส. ของธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ในศาลรัฐธรรมนูญ  หรือคดียุบพรรคอนาคตใหม่ จะเกิดผลลบต่อพรรคสีส้มแค่ไหน ศ.สุรชาติ ฟันธงว่า คงไม่ถึงขั้นรุนแรง เพราะถ้ายุบพรรค ส.ส.ก็ยังย้ายพรรคได้  ในมุมกลับคนอาจรู้สึกสงสาร การเมืองไทยปัจจัยเรื่องการสงสารเป็นเรื่องใหญ่เหมือนกัน ฉะนั้นปีกอนุรักษ์นิยมก็ต้องคิดด้วยว่า เล่นอย่างนี้อาจไม่คุ้มค่าเหมือนกัน เพราะถ้ากระแสสงสารเกิดในการเลือกตั้งครั้งหน้า อนาคตใหม่ก็อาจโตอีกแบบ

 

บิ๊กตู่อยู่ได้ด้วย snake farm

แต่จะลำบาก… ถ้าแก้ศก.เหลว

รัฐบาลเสียงปริ่มน้ำจะมีอายุยาวนานแค่ไหน  นักวิชาการรัฐศาสตร์ท่านนี้ ให้มุมคิดว่า รัฐบาลนี้ไม่จำเป็นต้องเข้มแข็ง อยู่ที่ความสามารถในการดึงพรรคเล็กเข้าร่วมมากกว่า  คล้ายกับรัฐบาลจอมพลถนอม ในปี 2512 ที่รัฐบาลไปดึงพรรคเล็กพรรคน้อยเอาไว้ใต้ปีก

“การอยู่รอดของรัฐบาลคือ การบริหารพรรคเล็ก บทเรียนจากจอมพลถนอมชี้ชัด คือ เมื่อถึงจุดหนึ่งพรรคเล็กของบพัฒนาจังหวัดมากขึ้นเรื่อยๆ  สุดท้ายรัฐบาลให้ไม่ได้  จอมพลถนอมก็ยึดอำนาจในปี 2514    ขณะที่ประวัติศาสตร์รัฐบาลผสมเอง ก็ไม่เคยถูกโค่นจากพรรคฝ่ายค้าน แต่ล้มจากเงื่อนไขภายในตัวเอง ดังนั้น คิดว่า รัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ อาจจะอยู่ได้ คือ ด้วยการซื้องูเห่าจากฝ่ายค้าน หรือ snake farm  และต้องบริหารพรรคเล็กให้ได้ด้วย

อีกปัจจัยชี้ขาดรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ คือ การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ถ้าไม่สามารถตอบสนองต่อชนชั้นกลางได้ ซึ่งผู้สนับสนุนหลักของ คสช. ตลอด 5 ปีที่ผ่านมาส่วนใหญ่ล้วนเป็น urban middle class ที่เป็นอนุรักษ์นิยม

เขายกบทเรียน เหตุการณ์อาหรับสปริง สาเหตุหนึ่งที่คนออกมาชุมนุมขับไล่รัฐบาลคือ คนชั้นล่าง คนชั้นกลางเดือดร้อนจากการขึ้นราคาอาหาร บวกกับเงื่อนไขคนตกงานที่คนชั้นกลาง ได้รับผลกระทบหนักหน่วง แต่ของไทย จะออกเป็นอาหรับสปริงส์จนมาชุมนุมที่ท้องถนน หรือไม่ ตอบไม่ได้ เพราะในไทยยังมีตัวแปรอื่นอีก ดังนั้น โจทย์ที่ว่ารัฐบาลจะไปหรือไม่ ไม่ใช่แค่เรื่องการเมือง แต่เป็นปัญหาเศรษฐกิจด้วย

คนรุ่นใหม่จะมีพลังถึงขั้นเปลี่ยนแปลงการเมืองหรือไม่ ศ.สุรชาติ บอกว่า ประเด็นนี้ ผู้สื่อข่าวต่างประเทศก็มีคำถามเช่นกันว่า ถ้าคนรุ่นใหม่ของไทยไม่รับกับระบอบอำนาจนิยมนี้ ทำไมเราไม่เห็นภาพเหมือนฮ่องกงในกรุงเทพ อันนี้เป็นโจทย์ที่น่าสนใจในทางรัฐศาสตร์ ดังนั้น ต้องดูต่อไปว่า  บริบทอย่างนี้ของไทย สุดท้ายอาจเป็นแค่ การเปลี่ยนแปลงบางอย่าง แต่ไม่ถึงขั้น เป็นการเปลี่ยนแปลงขนาดใหญ่ ใช่หรือไม่

“เวลาคนเสพโซเชียลมากๆ อาจตีความได้สองแบบ คนเสพโซเชียลในไคโรแบบอาหรับสปริง กับ ในฮ่องกง เสพแล้วลงถนน แต่ของไทยไม่ลงถนน แต่ไม่ได้บอกว่า ในอนาคตเขาจะไม่ลงถนนนะ แต่ระยะเวลาอาจจะทอดนานขึ้น”

 

ชี้ “บิ๊กแดง” ส่งเสียงถึงชนชั้นกลาง

พร้อมเป็นตัวแทน “ประยุทธ์”

บทบาทของ “บิ๊กแดง” พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ. ที่ปรากฏเป็นตัวละครสำคัญที่ออกมาปลุกกระแสมีคอมมิวนิสต์ นักวิชาการและฝ่ายค้าน จ้องโค่นล้มสถาบันกำลังถูกจับตาว่า เป็นตัวตายตัวแทน พล.อ.ประยุทธ์ สำหรับ ศ.สุรชาติก็คิดเช่นกัน เขาบอกว่า การเปิดตัวของผบ.ทบ. คือ การขายภาพลักษณ์หรือ ทำไดเร็คเซลกับกลุ่มอนุรักษ์นิยม เป็นการส่งสัญญาณว่า ถ้าถึงจุดหนึ่งผู้นำสายอนุรักษ์นิยมไม่สามารถเดินต่อได้ ปีกนี้ก็จะมีตัวเลือกใหม่ คือ ผบ.ทบ. ที่กำลังเปิดขายโปรดักท์ตัวเองอยู่ว่า จะเป็นผู้นำคนใหม่ในอนาคต  ส่วนจะมาด้วยวิธีไหน การเมืองไทยมันฟันธงทุกอย่างไม่ได้

ทั้งหมด ศ.สุรชาติ สรุปว่า ระบอบการเมืองกึ่ง คสช. อย่างนี้  ไม่ตอบสนองต่อโจทย์เศรษฐกิจที่เรากำลังเผชิญอยู่  เช่น ใหญ่ที่สุดคือ ปัญหาสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนที่กระทบทั่วโลกรวมถึงไทย รวมถึง เราควรวางบทบาทในการพัฒนาเศรษฐกิจย่างไรที่จะสร้างความเชื่อมั่นเพราะวันนี้เวียดนามดูน่าสนใจกว่าไทย ขณะที่โอกาสของไทยไม่มีเลยทั้งความน่าลงทุน  ดังนั้น การเมืองต้องเปลี่ยน ใน 2 ประเด็น  คือ การสร้างความเชื่อมั่นและความชอบธรรม

“การเมืองไทยวันนี้เหมือนเดินหน้า 1 จังหวะ แต่ถอยหลังที 3-4 ก้าว มันทำให้โอกาสที่จะสร้างเสถียรภาพการเมืองในประเทศลำบาก กระทบต่อปัญหาการลงทุน การพัฒนาเศรษฐกิจในอนาคตก็ลำบากตาม  คำถามที่ผมขอฝากทิ้งท้ายคือ บทบาททหารในการเมืองไทย มันควรมีข้อยุติได้แล้วหรือยัง หรือ ต้องให้เขามาจัดการกับเราทุกอย่าง หรือ เราควรเอาการเมืองไปไว้ในสภา ยอมอดทนที่จะพัฒนามัน ไม่ควรเรียกร้องว่า ต้องจบเร็ว”  ศ.สุรชาติ กล่าวทิ้งท้าย

วัดใจพรรคใหญ่ ศึกชิงฐานเสียง เลือกตั้งท้องถิ่น

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/politic/report/599211

  • วันที่ 30 ส.ค. 2562 เวลา 13:20 น.

วัดใจพรรคใหญ่ ศึกชิงฐานเสียง เลือกตั้งท้องถิ่น

โดย…ชัยฤทธิ์ ยนเปี่ยม

*********************

การเลือกตั้งท้องถิ่นของไทย ถูกแช่แข็งมายาวมากกว่า 5 ปีในยุค คสช.แม้จะปลดล็อคมีรัฐบาลใหม่ แต่รัฐบาลส่งสัญญาณว่า อาจต้องเลื่อนไปอีกครึ่งปี เป็นเร็วสุดในเดือนมี.ค.ปี 2563 เป็นต้นไป จากปัญหาความล่าช้าในการผ่านร่างพรบ.งบประมาณประจำปี 2563 ที่ต้องรอเม็ดเงินมาใช้ในการเลือกตั้งท้องถิ่นทั้งประเทศ

ตามแผน ของกระทรวงมหาดไทย และกกต. กำหนดให้มีการเลือกตั้งตามขนาดของท้องถิ่น โดยผู้ว่ากทม.และสก. 50 เขต อาจเสนอให้เลือกเป็นลำดับแรกพร้อมๆกับนายกฯองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) 76 แห่งทั่วประเทศ ตามด้วย เทศบาลต่างๆ สุดท้ายคือ การเลือกสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ร่วม 6 หมื่นตำแหน่ง ทำให้ปีหน้าจะมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นทุกประเภทที่ว่างลงพร้อมกันตามกฎหมายใหม่ 97,940 ตำแหน่ง จากเดิม 142,590  ตำแหน่ง

**************

จับตาศึกผู้ว่าฯกทม.

วัดเรตติ้ง รัฐบาลลุงตู่

ปริญญา เทวานฤมิตรกุล รองอธิการบดีฝ่ายความยั่งยืนและบริหารศูนย์รังสิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์  กล่าวว่า  ความจริงรัฐบาลควรจัดให้มีการเลือกตั้งท้องถิ่นหลังการเลือกตั้งระดับชาติไปแล้ว 6 เดือน นั่นหมายความว่าเดือน ส.ค.น่าจะเริ่มเลือกตั้งได้ แต่หากต้องเลื่อนเป็นต้นปีหน้าก็ถือว่าช้าไป เพราะถูกแช่แข็งมานานกว่า 5 ปี  อีกทั้งการเลือกตั้งท้องถิ่นเป็นสิ่งสำคัญของพื้นฐานระบอบประชาธิปไตย ที่ประชาชนจะได้เลือกคนมาปกครองตนเอง จึงเชื่อว่า ยิ่งนานวัน ความตื่นตัวก็ยิ่งสูง

ปริญญา กล่าวว่า ที่ต้องจับตามากที่สุด คือ การเลือกตั้งผู้ว่ากทม. เพราะเชื่อว่า จะเป็นการแข่งขันเข้มข้นจาก 4 พรรคใหญ่ ทั้งพรรคประชาธิปัตย์ในฐานะแชมป์เก่า ซึ่งไม่ได้ สส.กทม.แม้แต่คนเดียวในการเลือกตั้งใหญ่ ขณะที่พรรคพลังประชารัฐต้องส่งตัวแทนลงแน่นอนเนื่องจากเป็นพรรครัฐบาล ส่วนฝ่ายค้าน เชื่อว่า ทั้งพรรคเพื่อไทย และพรรคอนาคตใหม่ ก็ต้องส่งสู้ ซึ่งอาจตัดคะแนนกันเองอีก  สุดท้ายแล้วพรรคที่ชนะผู้ว่ากทม.อาจได้คะแนนไม่ถึงครึ่งของจำนวนผู้ออกมาใช้สิทธิ์

สำหรับการเลือกตั้งนายกฯอบจ. 76 จังหวัด พรรคพลังประชารัฐในฐานะแกนนำรัฐบาล ก็ต้องสู้อย่างถึงที่สุดไม่ว่าจะรูปแบบไหนก็ตามเพื่อครองใจระดับท้องถิ่นให้ได้ อีกทั้งแพ้การเลือกตั้งสส.เขตให้กับพรรคเพื่อไทย เช่นเดียวกับพรรคประชาธิปัตย์ที่ได้ สส.เพียง 52  ที่นั่ง จึงต้องให้ความสำคัญกับท้องถิ่นเพื่อสะสมคะแนน ขยายฐานเสียง ดังนั้น เชื่อว่าทั้ง 5 พรรค พลังประชารัฐ เพื่อไทย อนาคตใหม่ ประชาธิปัตย์และภูมิใจไทย ต้องสู้กันในระดับท้องถิ่นอย่างเข้มข้น

“การเลือกตั้งท้องถิ่นในหลายจังหวัด จะเป็นตัววัดคะแนนนิยมรัฐบาล เมื่อเทียบกับตอนเลือกตั้ง 24มี.ค. 2562 ว่าจะดีขึ้นหรือลดลง ซึ่งจะเป็นการวัดทุกๆ 3 เดือนในแต่ละการเลือกตั้ง และอุณหภูมิการเมืองก็จะเข้มข้น” นายปริญญา กล่าว

อย่างไรก็ตาม ไชยันต์ ไชยพร อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กลับมองว่า แม้จะมีจำนวนสมาชิกสภาท้องถิ่นให้เลือกมากก็จริง แต่ก็อาจไม่คึกคักถึงขีดสุด เพราะเกิดขึ้นหลังการเลือกตั้ง สส.ั  แต่ถ้าเกิดก่อนการเลือกตั้งใหญ่ก็อาจจะเข้มข้น ที่สำคัญ การเลือกตั้งท้องถิ่นในแต่ละจังหวัด มีความแตกต่างเทียบไม่ได้กับการเลือกตั้ง สส. เช่น ภาคใต้  ชาวบ้านอาจไม่เลือกผู้สมัครท้องถิ่นสังกัดพรรคประชาธิปัตย์เสมอไป เพราะคิดว่า ถ้าเลือก ส.ส.พรรคหนึ่งก็ควรเลือกผู้แทนท้องถิ่นอีกพรรคมาถ่วงดุล หรือการเลือกตั้งผู้ว่ากทม.ก็เช่นกันที่คาดการณ์พฤติกรรมการเลือกของคนกรุงได้ยาก ส่วนพรรคอนาคตใหม่ที่ชูธงจะลงท้องถิ่น ก็อาจได้แค่ในเมืองบางจังหวัด แต่ในระดับรากหญ้า กระแสคงไปไม่ถึง

****************

อนาคตใหม่เปิดตัวก.ย.

ขอปักธง 20 นายกฯอบจ.

เมื่อสำรวจความพร้อมของพรรคการเมืองต่อนโยบายส่งตัวแทนลงเลือกตั้งท้องถิ่น พบว่า จนถึงขณะนี้มีเพียงพรรคอนาคตใหม่โดย ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรค ที่ประกาศจะส่งตัวแทนลงนายกฯอบจ.ใน 30 จังหวัด  มีการหาเสียงล่วงหน้า เดินสายพบประชาชน รับฟังปัญหาในจังหวัดต่างๆ ที่พรรคได้คะแนน popular vote สูง ส่วนพรรคหลักๆ ที่เหลือ ยังเป็นเพียงการเฝ้าติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยตั้งคณะกรรมการกำหนดนโยบายและคัดสรรผู้สมัครในพื้นที่ที่คิดว่าต้องส่งอย่างเป็นทางการ

ชำนาญ จันทร์เรือง รองหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ในฐานะประธานคณะกรรมการกลั่นกรองผู้สมัครเลือกตั้งท้องถิ่น กล่าวว่า พรรคให้ความสำคัญกับการเลือกตั้งท้องถิ่นครั้งนี้มาก และต้องการปักธงมีผู้แทนในท้องถิ่นให้ได้ เพราะเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้การเมืองระดับชาติเข้มแข็ง ยืนยันจะไม่มีการฮั้วกับพรรคเพื่อไทย แม้ว่าจะเป็นพันธมิตรฝ่ายค้านด้วยกัน

นายชำนาญ กล่าวว่า ผลการเลือกตั้ง สส.ที่ผ่านมา พรรคอนาคตใหม่ชนะเหนือความคาดหมาย ในเมืองใหญ่ ๆ ได้ สส.พื้นที่ ทั้งภาคกลาง ตะวันออก ภาคเหนือ  โดยเฉพาะที่กทม. พรรคได้คะแนน popular vote อันดับหนึ่ง ส่วนพื้นที่ใดที่ไม่ได้ สส.แต่ก็พบว่าคะแนนผู้สมัครของพรรคอยู่ในลำดับต้นไม่ 2 ก็ 3 ดังนั้น พรรควางเป้าหมายเบื้องต้นจะส่งตัวแทนลงเลือกตั้งนายกอบจ.ใน 20-30 จังหวัด ที่พรรคมีคะแนนดี เช่น เชียงใหม่ แพร่ ชลบุรี สมุทรสาคร

ทั้งนี้ พรรคได้เปิดรับสมัคร ตัวแทนมาลงนายกฯอบจ.และทีมสมาชิกอบจ. ส่วนใหญ่เน้นผู้สมัครหน้าใหม่ คละกับคนเก่าบ้าง เพราะต้องการทำการเมืองรุ่นใหม่ โดยพบว่า มีความตื่นตัวสูงมาก เพราะมียอดสมัครเข้ามาที่พรรค รวม 77 ทีมใน 44 จังหวัด  ที่มากสุดคือ จ.สมุทรสาคร 5 ทีม ชลบุรี 4 ทีม รวมถึง ร้อยเอ็ด บุรีรัมย์  ซึ่งจะต้องคัดด้วยการแสดงวิสัยทัศน์อีกครั้ง  โดยจะประกาศรายชื่อผู้สมัครนายกฯอบจ.ได้ในเดือนก.ย.นี้ สำหรับจังหวัดนำร่องที่สามารถส่งชิงได้เลยเพื่อให้เป็นจังหวัดต้นแบบ ประกอบด้วย จ.นนทบุรี จ.บึงกาฬ และ จ.สมุทรสาคร

“เราหวังได้นายกฯอบจ. 20 ที่นั่ง ถ้าถึงก็ประสบความสำเร็จ แต่ในระดับรากหญ้าเราอาจจะยังไปไม่ถึง ส่วนในเทศบาลซึ่งมีเยอะเกือบ 2,000 แห่ง  เราก็หวังหลายพื้นที่ ครั้งนี้ประชาชนตื่นตัวสูงมาก” นายชำนาญ กล่าว

**************

พรรคใหญ่หวั่นเสี่ยง

ลับลวงพรางเป็นกองหนุน

นั่นคือส่วนของพรรคอนาคตใหม่ อย่างไรก็ตาม พรรคใหญ่ที่เหลือ ต่างมีคนของตัวเองพร้อมลงชิงชัยนายกฯอบจ. ในจังหวัดฐานเสียงตัวเอง อาจมี ส.ส.ในพื้นที่ส่งกันถึง 3-4 ทีม แย่งชิงเก้าอี้นายกฯอบจ. เพราะ ส.ส.ในจังหวัดต่างต้องการคุมอำนาจในระดับจังหวัดด้วยการยึดเก้าอี้นายกฯ อบจ. จนเคยเกิดความขัดแย้งกันในพรรคมาแล้ว  หลายพรรคจึงปล่อยให้เป็นเรื่องของ สส.กันเอง  พรรคจะไม่มีมติว่าจะสนับสนุนใครอย่างเป็นทางการเพราะกลัวจะแตกแยก

ขณะเดียวกัน ด้วย กฎระเบียบ บทลงโทษที่เข้มข้น  หลายพรรคจึงกังวลว่า หากส่งผู้สมัครลงอย่างเป็นทางการแบบเหวี่ยงแหในหลายพื้นที่ ก็ต้องระวังการทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง เพราะอาจกระทบถึงการยุบพรรคตามมา

นายสุชาติ ชมกลิ่น ประธาน สส.พรรคพลังประชารัฐ  กล่าวว่า พปชร.ได้พูดคุยเรื่องเลือกตั้งท้องถิ่นระดับหนึ่ง แต่เห็นว่า ยังมีเวลาอีกหลายเดือน ส่วนตัวได้แจ้งกับผู้ใหญ่ในพรรคว่า ถ้าส่งแข่งในนามพรรคกันหมด ระวังจะเป็นดาบสองคม ได้ไม่คุ้มเสีย ยิ่งพปชร.เป็นพรรคใหม่และเป็นรัฐบาลด้วย ขณะที่ ผู้สมัครสภาท้องถิ่นบางคน เราก็ไม่รู้จักประวัติดี ยิ่งต้องระวัง หากสมมติมีผู้สมัครคนใดไปทำผิดกฎหมายเลือกตั้งก็อาจกระทบถึงแบรนด์ของพรรค  อีกทั้ง การเลือกตั้ง ส.ส.กับการเลือกตั้งท้องถิ่น ไม่เหมือนกัน มีปัจจัยให้พิจารณามากมาย ขึ้นอยู่กับแต่ละพื้นที่อีก  อย่างไรก็ตาม ในส่วนของพรรคอาจมีส่งลงเป็นทางการ เช่น ที่ จ.สงขลา ซึ่งพรรคได้ สส.มา 4 คนครึ่งจังหวัด  ตรงนี้ก็อาจใช้ชื่อพรรคเพื่อเสริมจุดแข็งของผู้สมัครนายกฯ อบจ.

สุชาติ ยังได้ยกตัวอย่าง จ.ชลบุรี ที่ใช้ชื่อ “กลุ่มเรารักชลบุรี” มา 20 ปีลงชิงนายกฯอบจ.  ซึ่งตอนนี้ทีมงานย้ายมาอยู่กับพปชร. และตัวเขาก็สนับสนุนอยู่ ก็ไม่จำเป็นต้องลงในนามพปชร. เพราะคนในพื้นที่มองผลงานที่กลุ่มป็นหลัก

“ตอนเลือกตั้งปี 2550  พรรคประชาธิปัตย์ชนะ สส. ยกจังหวัด 8 คน แต่พอปชป.ส่งลงนายกฯอบจ.ชลบุรีกลับแพ้กลุ่มเราที่ส่งวิทยา คุณปลื้ม ลงชิง ทั้งที่กลุ่มเพิ่งตั้งมาปีแต่ประชาชนชื่นชอบผลงานท้องถิ่นของกลุ่มที่มีมายาวนาน คราวนี้ก็เช่นกัน พรรคอนาคตใหม่ก็หวังจะเอาชนะนายกฯอบจ. แต่เขาก็ไม่มีผลงานในท้องถิ่นเหมือนเรา”

“ที่อนาคตใหม่เขาส่งนายกฯอบจ.หลายจังหวัดเพราะเขาทดสอบกระแสว่า ยังขลังอยู่หรือเปล่า วัดเรตติ้งตัวเอง อย่างว่า เขาเป็นพรรคใหม่ได้มาเพราะการตลาด เขาก็ไม่มีอะไรจะเสีย”  ประธาน สส. พรรคพลังประชารัฐ กล่าว

ด้านพรรคอันดับ1 อย่างพรรคเพื่อไทย ซึ่ง พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง  “บิ๊กแจ๊ส” อดีตผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ประกาศลงชิงนายกฯอบจ.ปทุมธานี ในนามพรรคเพื่อไทย  เป็นรายแรกของพรรค  น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ เลขาธิการพรรคฯ กล่าวว่า ขณะนี้พรรคได้ตั้งคณะกรรมการเพื่อดูเรื่องนโยบายและกำหนดผู้สมัครผู้บริหารสภาท้องถิ่นแล้ว ยังตอบไม่ได้ว่า จะส่งกี่คน ในระดับไหนบ้าง  เพราะยังมีเวลา ซึ่งการเลือกตั้งท้องถิ่นไม่เหมือนกับการเลือกตั้งระดับชาติ ขึ้นอยู่กับสภาพแต่ละจังหวัดอีก

เลขาธิการพรรคเพื่อไทย คาดว่า การเลือกตั้งท้องถิ่นจะเกิดขึ้นอย่างเร็วสุดในเดือนเม.ย.ปี 2563 เพราะรัฐบาลอ้างเรื่องงบประมาณจัดการเลือกตั้งไม่มีต้องรอร่างพรบ.งบประมาณปี  2563 บังคับใช้ก่อนในเดือนก.พ. แต่ได้ยินว่า รัฐบาลจะทิ้งไว้อีก 2 เดือนเพื่อให้งบประมาณขับเคลื่อน มีผลานก่อนถึงจะเลือกตั้งในเดือนเม.ย. ตรงนี้ก็เท่ากับว่าเป็นการใช้กลไกรัฐมาสร้างความได้เปรียบให้ผู้สมัครของทีมตัวเอง ซึ่งพรรคจับตาเรื่องนี้อยู่

ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ นิพิฎฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรค กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์ มีฐานเสียงอยู่ที่ภาคใต้ 70-80% ที่ผ่านมาแม้พรรคจะสนับสนุนการกระจายอำนาจ แต่พรรคก็แทบไม่ส่งตัวแทนในนามพรรคลงชิงสนามท้องถิ่นมากนัก  เพราะเกรงจะเกิดความแตกแยกในพื้นที่และในพรรคกันเอง  จึงให้เป็นเรื่องส่วนบุคคลไป แต่ครั้งนี้ก็อาจมีที่พรรคอาจส่งนายกฯอบจ. ลงทางการ เช่น สงขลา นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี

นิพิฎฐ์ คาดว่า จะมีผู้สมัครหน้าใหม่และคนหนุ่มสาวเข้าสู่การเลือกตั้งท้องถิ่นครั้งนี้มากกว่าทุกครั้ง เพราะถูกเว้นมานาน 6-7 ปี รวมถึงการที่พรรคอนาคตใหม่ ซึ่งเป็นพรรคใหม่ได้รับเลือกจากคนหนุ่มสาวเข้ามามาก  เวทีนี้จึงจะเป็นโอกาสของคนหนุ่มสาวอีกเช่นกัน

“ผมห่วงเรื่องการใช้เงิน เพราะบางพื้นที่ใช้เงินแล้วประสบความสำเร็จ การเมืองท้องถิ่น ซื้อได้ง่ายกว่าการเมืองระดับชาติ ดังนั้น กกต.ต้องทัน” นิพิฎฐ์ กล่าว

วิกฤตความขัดแย้ง…ชะตากรรมม็อบสีเสื้อ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/politic/report/597998

  • วันที่ 18 ส.ค. 2562 เวลา 10:41 น.

วิกฤตความขัดแย้ง...ชะตากรรมม็อบสีเสื้อ

คำตัดสินที่เกิดขึ้นจากคดีประวัติศาสตร์เหล่านี้จะเป็นบรรทัดฐานในอนาคต ที่ยังไม่มีบทสรุปว่า จากนี้ไปประเทศไทยจะไร้ม็อบการเมืองอีกหรือไม่

******************************

โดย…ชัยฤทธิ์ ยนเปี่ยม

คำตัดสินของศาลอาญาเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ที่ให้ 24 แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือม็อบเสื้อแดง ไม่มีความผิดในข้อหาก่อการร้ายและก่อความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง เพราะใช้สิทธิการชุมนุมตามระบอบประชาธิปไตยในการประท้วงขับไล่รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เมื่อปี 2553 เกิดมุมมองมากมาย โดยเฉพาะฝ่ายตรงข้ามทักษิณว่า แกนนำเสื้อแดงรอดคดีได้อย่างไร

กระนั้น นี่เป็นเพียงคำตัดสินของศาลชั้นต้น ยังเหลืออีก 2 ศาล ที่ต้องลุ้นกันอีกในอนาคตว่าจะพลิกคำตัดสินหรือไม่ ซึ่งอาจใช้เวลาอีกอย่างน้อยอีก 1-2 ปี จนรู้บทสรุปของคดี

จากคำพิพากษาศาลในคดีม็อบการเมืองทั้งเสื้อเหลือง-เสื้อแดง รวมถึงกลุ่มกปปส.ของ “ลุงกำนัน” สุเทพ เทือกสุบรรณ ที่ทยอยออกมาในช่วงปีที่ผ่านมาที่แกนนำหลุดคดี มีเฮ หลายคนจับตาว่า นี่อาจเป็นสัญญาณนำไปสู่การปรองดองในอนาคต

คดีก่อการร้ายของม็อบเสื้อแดงข้างต้น เป็นผลพวงจากเหตุการณ์ม็อบเสื้อสีในช่วงวิกฤตความขัดแย้งทางการเมืองของประเทศที่ดำเนินมายาวนานเกือบ 10 ปี ในช่วง 2548-2557 จนประเทศเกิดความแตกแยกรุนแรง เศรษฐกิจซบเซา

เท้าความกันอีกครั้ง ช่วงวิกฤตดังกล่าว ม็อบเสื้อสีปะทุเป็น 3 ช่วง

ช่วงแรก เริ่มจากม็อบเสื้อเหลือง กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ขับไล่รัฐบาลทักษิณและรัฐบาลนอมินี ปี 2548-2549 และ ปี 2551 ซึ่งล้มสำเร็จทั้งสองช่วง โดย “บิ๊กบัง” พล.อ.สนธิ บุญรัตนกลิน ผบ.ทบ.เข้ามายึดอำนาจ ปี 2549 ตามด้วยศาลรัฐธรรมนูญตัดสินยุบพรรคพลังประชาชนเมื่อปี 2551

ช่วงสอง สลับเป็นม็อบเสื้อแดงของฝ่ายทักษิณ ชินวัตร ปี 2552-2553 ออกมาขับไล่รัฐบาลอภิสิทธิ์ ด้วยเหตุผลกองทัพสนับสนุน แต่ล้มไม่สำเร็จ แกนนำถูกจับกุมตัวไปดำเนินคดี

ช่วงสาม เมื่อมีการเลือกตั้งรัฐบาลยิ่งลักษณ์ น้องสาวทักษิณเข้ามาเป็นนายกฯ เกิดม็อบกปปส.ไม่ต่างจากพันธมิตรภาค 2 ออกมาชุมนุมขับไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ในปี 2556-2557 ครั้งนี้ทำสำเร็จ เนื่องจากกองทัพ โดยพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. เข้ามายึดอำนาจ

การชุมนุมของม็อบใหญ่ ทั้งสามครั้ง แม้ภาพรวมจะดูสงบ สันติ แต่ก็มีเหตุความรุนแรง เกิดการปะทะระหว่างเจ้าหน้าที่กับประชาชน มีผู้บาดเจ็บรวมแล้ว หลายพันคน และเสียชีวิตเกือบสองร้อยคน

หลังเหตุการณ์สงบลง มีการฟ้องคดีแกนนำม็อบทั้งเสื้อเหลืองและเสื้อแดงเข้าสู่ศาลหลายคดี จนถึงขณะนี้ผ่านมาเกือบ 10 ปี บางคดีเริ่มคลี่คลาย เพราะศาลฎีกาได้ตัดสินแล้ว แกนนำม็อบหลายคนต้องติดคุกเป็นบทเรียน

ความจริง เมื่อดูการชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตยที่ฮ่องกง ด้วยการชัตดาวน์ ปิดแยกเศรษฐกิจสำคัญ ยึดสนามบิน รูปแบบที่เกิดขึ้นก็ไม่ต่างจากประเทศไทยที่ผ่านการชุมนุมมาหลากหลาย จนกลายเป็นตำราให้ม็อบต่างประเทศนำมาใช้ ทั้งการปิดสนามบิน ยึดทำเนียบรัฐบาล ยึดรัฐสภา บุกยึดสถานีโทรทัศน์ ปิดถนนย่านธุรกิจใจกลางเมืองพร้อมกันเกือบสิบแห่ง หรือจะม็อบดาวกระจาย เทเลือดหน้าทำเนียบรัฐบาล บุกล้มที่ประชุมอาเซียนซัมมิท เผาห้างสรรพสินค้าระดับต้นๆของกรุงเทพ เผาศาลากลางจังหวัด ใช้อาวุธสงคราม ยิงปืน ระเบิด ใส่สถานที่ราชการ ศาล กระทั่งบริเวณวัดพระแก้วสถานที่เคารพของประเทศ หรือแม้ยิงใส่ผู้ชุมนุม รวมถึง ผู้ชุมนุมทั้งสองฝั่งถืออาวุธไล่ใส่กัน รวมถึง ม็อบ ล้มเลือกตั้ง ก็มีให้เห็น

กระนั้น หากไล่เรียงผลคดีม็อบของสามฝ่ายที่เกิดขึ้น ขอเริ่มที่ฝ่ายเสื้อแดงก่อน

คดีก่อการร้าย เป็นคดีหลักของแกนนำเสื้อแดง จากเหตุการณ์ชุมนุมใหญ่สุดเกิดขึ้นระหว่างเดือน ก.พ. จนถึงเดือนพ.ค. 2553 รวมระยะเวลา 70 วัน เป้าหมายขับไล่รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ฝ่ายเสื้อแดงเชื่อว่า ได้อำนาจมา เพราะกองทัพอยู่เบื้องหลังการยุบพรรคพลังประชาชนของทักษิณ นำไปสู่การจัดตั้งรัฐบาลผสมที่นำโดยพรรคประชาธิปัตย์ของอภิสิทธิ์

การชุมนุมครั้งนั้น เกิดการปะทะกันทั้งฝ่ายเจ้าหน้าที่ทหารของรัฐบาลและผู้ชุมนุม รวมทั้งกลุ่ม ชายชุดดำที่ออกมาช่วยม็อบเสื้อแดง ยิงระเบิด ถล่มใส่ทหาร เหตุการณ์ครั้งนี้มีผู้เสียชีวิตร่วม 100 คน แยกเป็น ประชาชน ทหาร สื่อมวลชน และบาดเจ็บร่วม 2,100 คน คดีนี้ศาลอาญายกฟ้อง 24 แกนนำ

ส่วนที่เหลือ ที่แกนเสื้อแดงถูกดำเนินคดีต่างกรรมต่างวาระ เช่น คดีก่อความวุ่นวายหน้าบ้านพัก พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ อดีตประธานองคมนตรี ศาลอุทธรณ์พิพากษาจำคุก 2 ปี 8 เดือนกับ 7 แกนนำนปช. ล่าสุดอยู่ศาลฎีกานัดฟังคำพิพากษาในเดือนก.ย.2562 นี้ ขณะที่ คดีล้มประชุมอาเซียนที่พัทยาปี 2552 ศาลอุทธรณ์จำคุกแกนนำ นปช.ไป 13 คน เป็นเวลา 4 ปี ซึ่งแกนนำนปช. ได้ติดคุกเพราะไม่ได้รับการประกันตัว กระทั่งต่อมาได้รับปล่อยตัวภายหลัง

สำหรับคดีของแกนนำเสื้อเหลือง หรือ กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งชุมนุมก่อนม็อบเสื้อแดง มีเป้าหมายขับไล่รัฐบาลทักษิณและรัฐบาลนอมินีของทักษิณ (อดีตนายกฯสมัคร,สมชาย วงศ์สวัสดิ์) มีที่ตัดสินเรียบร้อยแล้ว คือ ศาลฎีกาตัดสินจำคุก 6 แกนนำเสื้อเหลืองยึดทำเนียบรัฐบาลเป็นเวลา 8 เดือน คดียึดสถานีโทรทัศน์ NBT ศาลฎีกาจำคุกการ์ดพันธมิตร 8 เดือน ทั้งสองคดี แกนนำได้เข้าคุกและพ้นโทษไปแล้ว

ส่วนคดียึดสนามบินสุวรรณภูมิ ศาลฎีกาตัดสินคดีแพ่งให้แกนนำพธม.ชำระค่าเงิน 522 ล้านบาทจากความเสียหายที่สนามบินต้องถูกปิด ส่วนคดีอาญาคาดว่า ยังจะใช้เวลาอีกนาน เพราะอยู่ระหว่างการสืบพยานอีกร้อยปาก

ขณะที่คดีปิดล้อมรัฐสภาเพื่อไม่ให้นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกฯขณะนั้นเข้าไปแถลงนโยบายต่อสภาศาลอาญายกฟ้องแกนนำเสื้อเหลือง ไม่มีความผิด เพราะเป็นการชุมนุมโดยสงบ เช่นเดียวกับ ศาลฎีกายกฟ้องอดีตนายกฯสมชาย ว่า ไม่มีความผิดในการสลายการชุมนุมเช่นกัน

สุดท้าย คดีแกนนำกปปส. เดือนที่แล้วนี่เอง ศาลอาญาเริ่มตัดสินคดีแรก โดยยกฟ้อง 4 แกนนำ กปปส.จากคดีกบฏ ที่ชุมนุมขับไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์เพราะเห็นว่าหลักฐานไม่เพียงพอ อย่างไรก็ตาม ยังมีอีกหลายสำนวนคดีที่ฟ้องแกนนำกปปส.ทั้งข้อหากบฎ ก่อการร้าย ขัดขวางการเลือกตั้ง คาดว่า จะใช้เวลาอีกหลายปี

กล่าวโดยรวม จะเห็นได้ว่า คำตัดสินที่เกิดขึ้นจากคดีประวัติศาสตร์เหล่านี้ ส่วนใหญ่แกนนำต้องรับโทษจากการก่อความไม่สงบ ละเมิดกฎหมาย ทำลายทรัพย์สินราชการ และประชาชนได้รับบาดเจ็บ แต่ก็มีบางคดีที่แกนนำรอดตัว อย่างไรก็ตาม คาดว่า การสืบพยานก็ดี หรือ ขั้นตอนตัดสินในชั้นศาล ในหลายคดีอาจต้องใช้เวลาอีกหลายปีกว่าที่คดีชุมนุมทางการเมืองจะตัดสินจบทุกคดี

แต่อย่างน้อยก็ต้องให้บทเรียนกับทุกฝ่าย โดยเฉพาะฝ่ายการเมืองที่แกนนำม็อบทุกสี ต้องได้รับการพิจารณาตัดสินจากศาลในทุกคดี เพื่อเป็นบรรทัดฐานในอนาคต ที่ยังไม่มีบทสรุปว่า จากนี้ไปประเทศไทยจะไร้ม็อบการเมืองอีกหรือไม่ เมื่อบรรยากาศและเงื่อนไขความขัดแย้งยังดำรงอยู่

เบื้องหลัง “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” ชิงดาวเด่นสภา

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/politic/report/596148

  • วันที่ 28 ก.ค. 2562 เวลา 18:11 น.

เบื้องหลัง "พิธา ลิ้มเจริญรัตน์" ชิงดาวเด่นสภา

ส่องเส้นทางนักธุรกิจ”ไฮโซพันล้าน”สู่การขึ้นเวทีสภาขายความคิดเกษตรกรก้าวหน้า

……………………..

โดย…โพสต์ทูเดย์เอ็กคลูซีฟ

“คนไทย 75 % ไม่มีที่ดินของตนเอง ชาวนากว่า 45 % ต้องเช่าที่ดินทำนา”

“เกษตรกรไทยมีรายได้เฉลี่ย 4,750 บาท/เดือน”

“เกษตรกรหันไปใช้สารเคมี ผลผลิตจึงถูกกดราคา”

“ทำให้ต้นทุนสูงขึ้นแต่รายได้ต่ำ ต้นทุนสูง รายได้ต่ำก็ไม่มีเงินออม”

“เกษตรกรไม่สามารถทำการท่องเที่ยวเชิงเกษตรได้ เพราะไม่มีที่ดินติดขัดข้อจำกัดด้านกฎหมาย”

ประโยคข้างต้น เป็นการสรุปคำอภิปรายของ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อของพรรคอนาคตใหม่

เนื้อหาการอภิปรายของเขาสะกดสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ฝ่ายค้านและรัฐบาลหันมาให้ความสนใจ

เพราะข้อมูลดังกล่าว สะท้อนถึงปัญหาเกษตรกรไทย ในแง่ที่” พิธา” เปรียบเปรย เป็นกระดุมห้าเม็ด หากติดผิดเม็ดใดเม็ดหนึ่งคลาดเคลื่อนไปหมด เว้นเสียแต่ต้องแก้ปัญหาให้ถูกจุด จัดลำดับให้ถูกทาง

นั่นคือ การกลับไปที่กระดุมเม็ดแรกด้วยการให้ความสำคัญกับการจัดหาที่ดินให้กับเกษตรกรผู้ยากไร้เสียก่อน

ด้วยการตระเตรียมข้อมูลมาอย่างดี มีน้ำหนัก ไม่ได้กล่าวเลื่อนลอย อ้างอิงจากรายงานทางวิชาการ หน่วยงานราชการ พร้อมกับลงไปสัมผัสพื้นที่จริง ทำให้ทุกฝ่ายถึงกับ บางอ้อ แม้แต่ระดับรัฐมนตรี ผู้มีหน้าที่กำกับดูแลนโยบายบริหารประเทศต้องยกนิ้วชื่นชม

ทำไม “พิธา” ถึงต้องการ อภิปรายนโยบายด้านการเกษตร ?

นี่ไม่ใช่เวทีแรก แต่ก่อนลงมาเล่นการเมือง ” พิธา” เคยคลุกคลีกับงานด้านเกษตรมาก่อน

ต้องย้อนกลับไปถึงต้นกำเนิด “พิธา” หรือเรียกเขาว่า “ทิม” เป็นบุตรชายคนโตของ“พงษ์ศักดิ์ ลิ้มเจริญรัตน์” อดีตที่ปรึกษา รมว.กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งครอบครัวก็ทำธุรกิจเกี่ยวกับผลผลิตการเกษตรแปรรูป เรียกว่าซึมซับเกษตรมาตั้งแต่เด็ก กระทั่งเคยรับราชการในกระทรวงพาณิชย์ ทำให้มีประสบการด้านการค้าการลงทุน และออกมาทำงานด้านธุรกิจน้ำมันรำข้าวสืบทอดแทนบิดา สามารถพลิกฟื้นจากการขาดทุนมาเป็นกำไร

รียกได้ว่าผ่านงานทั้งภาครัฐและเอกชนจนประสบความสำเร็จ ถือได้เป็นนักธุรกิจไฮโซพันล้านคนหนึ่งของประเทศไทย

อีกอย่างด้วยความเป็นนักเรียนนอก มีดีกรีระดับปริญญาโท ซึ่งถือเป็นคนไทยคนแรกได้รับทุนมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด ทำให้มีมุมมองที่ทันสมัย

สำหรับนามสกุลลิ้มเจริญรัตน์ ยิ่งคุ้นเคยเข้าไปอีก เขายังเป็นหลานของ ผดุง ลิ้มเจริญรัตน์ ชายผมขาวประจำทำเนียบฯสมัยเป็นที่ปรึกษาส่วนตัวทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี

เมื่อตัดสินใจเดินเข้าสู่เส้นทางการเมือง  พรรคอนาคตใหม่ จึงมอบหมายเขารับผิดชอบดูแลนโยบายทางการเกษตรของพรรค ด้วยเป้าหมายต้องการสร้างเกษตรกรก้าวหน้าด้วยการนำเทคโนโลยีทันสมัยมาใช้

ทุกครั้งของการหาเสียง ปราศรัย บนเวทีต่างๆ “พิธา” จึงได้รับมอบหมายให้ชี้แจงนโยบายด้านการเกษตรเป็นหลัก

สำหรับลีลาท่าทางสร้างความดึงดูดนั้น มาจากพรรคจัดคอร์สฝึกอบรมการพูดต่อที่ชุมชนสาธารณะ ให้กับส.ส.รุ่นใหม่หลายคน ไม่แปลกที่สมาชิกพรรค ตั้งแต่หัวหน้าพรรคไปถึงลูกพรรค จึงมีลักษณะของการวางบุคลิกประกอบการพูดอย่างเป็นมืออาชีพนั่นเอง

ฉนั้น เมื่อวันที่ 26 ก.ค. 62 ในการอภิปรายนโยบายรัฐบาล ที่ห้องประชุมสภาชั่วคราว อาคารทีโอที แจ้งวัฒนะ เขาจึงได้รับมอบหมายให้อภิปรายนโยบายด้านการเกษตรอีกครั้ง

อย่างไรก็ตาม พิจารณาจากข้อมูลจึงไม่ต่างกับที่เคยนำไปหาเสียง ชี้แจงตามเวทีต่างๆ

เพียงแต่ การหาเสียงอาจเป็นเฉพาะกลุ่มแฟนคลับ กลุ่มเกษตรกร ชาวนาชาวไร่ แต่เมื่อเข้าสู่การประชุมแถลงนโยบายรัฐบาล จึงเป็นเวทีใหญ่ที่ถูกถ่ายทอดสดออกไปทั่วประเทศ ทำให้การขายความคิดของเขาได้สื่อสารออกไปกว้างขวางมากขึ้น สะกดหัวใจของทุกคนได้

อย่างการเสวนาของพรรคอนาคตใหม่ เมื่อวันที่ 22 ธ.ค. 2561 พิธา พยายามสรรหาคำเปรียบเปรยเพื่อให้ทุกคนได้ฉุกคิดตาม

เช่น ผมมองเห็น “ทองคำที่ฝังอยู่ในดิน”ในประเทศไทย หากแต่ว่าตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา ไม่เคยมีหน่วยงานไหน บริษัทเอกชนใด จริงใจในการเข้ามาพลิกฟื้น ปลดปล่อยศักยภาพพี่น้องเกษตรกร มิหนำซ้ำยังหากิน ขูดรีด เอาเสียด้วย

พิธา บอกทุกคนว่า สิ่งที่เขาพูดจะทำให้ “กระดิ่งในหัวใจของทุกคนดังขึ้นเหมือนกับกระดิ่งในใจเขาได้ดังขึ้นแล้ว”

พร้อมกับกล่าวตอนสุดท้ายว่า “ผมและทุกคนไม่ใช่นักรบห้องแอร์ เราละเอียด เราลงพื้นที่ เราลงไปคลุกกับดิน และขออนุญาตหัวหน้าพรรคไม่ค่อยได้เข้าพรรค แล้วหวังว่าจะได้เจอกัน ”

วันนี้ “พิธา” ได้ใช้เวทีสภา ขายความคิดผ่านนโยบายด้านการเกษตรด้วยหวังให้รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ นำไปปรับปรุงเกิดการเปลี่ยนแปลง

‘ดุดัน-ขบขัน-กวนกวน’ลีลาบิ๊กตู่ในสภา

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/politic/report/595933

  • วันที่ 25 ก.ค. 2562 เวลา 19:17 น.

'ดุดัน-ขบขัน-กวนกวน'ลีลาบิ๊กตู่ในสภา

วันแรกของศึกซักฟอกนโยบายรัฐบาล”บิ๊กตู่”น๊อตยังไม่หลุดแต่ยังมะงุมมะงาหรา

ลีลา การแถลงนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหมและในการชี้แจงตอบโต้การอภิปรายของฝ่ายค้านนั้นมีครบทุกลีลา ทั้งดุดัน สร้างความขบขันแบบกวนกวน ในที่ประชุมสภา

โดยตั้งแต่เริ่มแถลงนโยบาย พล.อ.ประยุทธ์ ก็จะพูดไปเรื่อยๆด้วยความเคยชิน จนฝ่ายค้านประท้วงให้อ่านตามเอกสาร ตามเอกสารที่ส่งมาให้รัฐสภา โดยนายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา บอกว่า ถึงแม้ท่านนายกฯจะจำได้หมดแต่ขอให้ท่านอ่านดีกว่า

ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ก็กล่าวตอบโต้ว่า ผมไม่ทะเลาะกับพวกท่านอยู่แล้ว เอาละผมจะอ่านให้ฟัง อ่านภาษาไทยเนี่ยแหละ คุณเปิดหนังสือและอ่านตามผม ไปด้วย” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

อย่างไรก็ตามในระหว่างการอ่านตามเอกสารแถลงนโยบาย ฝ่ายค้านก็เหน็บแนมว่า พูดเร็วไป ฟังไม่รู้เรื่อง และในเวลาต่อมา พล.อ.ประยุทธ์ ได้ชี้แจงในสภาอีกครั้งว่า ตนเองอาจจะพูดเร็วไปนิดหนึ่ง พูดไม่ชัดบ้าง กลืนน้ำลายบ้าง ตนเองเป็นมนุษย์ ถ้าท่านพูดเก่งก็เรื่องท่าน แต่ตนเองพูดแล้วทำไปด้วย

“ผมเสียงดังไปหรือเปล่าก็ไม่รู้ เพราะไม่ได้พูดนานแล้ว ผมเองก็มีตัวตนของผมเหมือนกัน เขาบอกให้ผมพูดอย่างสุภาพ แต่ตอนนี้ผมกำลังยิ้มอยู่” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวตอนหนึ่ง ในการชี้แจง

นอกจากนี้ มีส.ส.พรรคอนาคตใหม่ ลุกขึ้นประท้วง ว่า พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ได้กล่าวถ้อยคำกับประธานรัฐสภา ซึ่งพล.อ.ประยุทธ์ได้ตอบว่า “ขอบคุณ และขอโทษ เพราะอาจจะเคยชินไปหน่อย แต่ก็ให้เกียรติประธานรัฐสภาอยู่แล้ว”

จากนั้น พล.อ.ประยุทธ์ ได้หันไปพูดกับนายชวน ซึ่งสร้างเสียงหัวเราะให้กับสมาชิกรัฐสภา พร้อมกล่าวว่า บางคนอาจไม่เคยชินกับตนเอง

ขณะเดียวกันในการชี้แจงบางครั้ง พล.อ.ประยุทธ์ ก็ได้ชี้นิ้วไปยังผู้ประท้วง ซึ่งเป็นอดีตนายทหารและพูดว่าพวกท่านก็รู้ดี เพราะเป็นลูกน้องผมมาก่อน เป็นทหารเหมือนกัน ขอให้เข้าใจ ซึ่งนายชวนได้กล่าวเตือนว่าอย่าชี้นิ้ว พล.อ.ประยุทธ์ จึงได้กล่าวขอโทษ พร้อมกับหัวเราะและบอกว่ารูปแบบในสภาฯอาจเปลี่ยนไปบ้างต้องขออภัย

ทั้งหมดคือลีลาของ”บิ๊กตู่”ในการแถลงนโยบายรัฐบาลวันแรก ส่วนวันพรุ่งนี้”บิ๊กตู่”จะอดทนอดกลั้นอารมณ์ได้แค่ไหนต้องติดตาม

“10ปมร้อนเศรษฐกิจ” ทำรัฐบาลลุงตู่สะดุด

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/politic/report/594711

  • วันที่ 12 ก.ค. 2562 เวลา 17:24 น.

"10ปมร้อนเศรษฐกิจ" ทำรัฐบาลลุงตู่สะดุด

เรียกได้ว่ารัฐบาลใหม่ไม่มีเวลาดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ เพราะตามโรดแมปปลายเดือนนี้ รัฐบาลจะแถลงนโยบายกับรัฐสภา ก็ต้องเริ่มทำงานกันทันที โดยเฉพาะการเร่งแก้ปัญหาเศรษฐกิจ

งานหินงานโหดการบริหารเศรษฐกิจ สำหรับ “รัฐบาลลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีสมัยที่ 2 หนีไม่พ้นการบริหารเศรษฐกิจที่ยิ่งวันยิ่งแย่ลงเรื่อยๆ โดยมีอย่างน้อย 10 ปมร้อนที่รัฐบาลใหม่ต้องเร่งเข้ามาแก้ไขเป็นการด่วน

1. ปัญหาปากท้องของเศรษฐกิจฐานราก ที่รายได้น้อยค่าใช้จ่ายสูง หนี้สินเพิ่ม การกระจายรายได้ยังมีปัญหาลงไปไม่ถึงฐานราก นอกจากนี้รัฐบาลยังมีปมร้อนเรื่องการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาท จะทำได้ตามสัญญาที่หาเสียงไว้หรือไม่ หากทำไม่ได้รัฐบาลก็เสีย ทั้งคะแนนนิยมและการแก้ปัญหาปากท้องไม่สำเร็จไปด้วย

2. ราคาพืชผลเกษตรตกต่ำ เนื่องจากภัยแล้งปีนี้รุนแรง ทำให้ ราคาพืชผลทางการเกษตรทั้งข้าว ยางพารา ปาล์มน้ำมัน ราคาตก การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าของรัฐบาล คือ การประกันราคาพืชผลทางการเกษตรจะทำได้รวดเร็วแค่ไหน หากแก้ไขช้า เศรษฐกิจฐานรากยิ่งแย่หนักรัฐบาลก็จะเจอแรงกดดันการบริหารเศรษฐกิจที่ไม่ถูกใจประชาชนมากขึ้น

3. ค่าเงินบาทแข็ง ในที่สุดธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ก็ออกมายอมรับว่าค่าเงินบาทแข็งค่าเร็วเกินไป และได้มีการออกมาตาการสกัดการเก็งกำไรที่เป็นส่วนหนึ่งของค่าเงินบาทแข็ง มาตรการที่ออกมาหลังจากที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ออกมาบอกว่าได้สั่งการให้ ธปท.ดูแลค่าเงินบาทมากเกินไปเพียงไม่กี่วัน พร้อมกันนี้ผู้ประกอบการก็ทำหนังสือขอพบนายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่า ธปท. เพื่อหารือให้ช่วยดูแลค่าเงิน ที่ผู้ประกอบการเห็นว่า ธปท. ปล่อยให้ค่าเงินบาทแข็งค่าเกินไป

4 การส่งออก เป็นปัญหาใหญ่ที่รัฐบาลยกภูเขาไม่พ้นจากอก เพราะหลังจากพิษสงครามการค้าสหรัฐกับจีน และลามไปถึงสหรัฐกับยุโรป ประกอบกับค่าเงินบาทแข็งค่าอย่างรวดเร็ว ทำให้การส่งออกของไทยทรุดหนักจากที่คาดว่าจะขยายตัวได้ 3-4% ล่าสุดคาดว่าจะขยายตัวได้ 0% ถึงขยายตัวติดลบ 1% ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจะทำให้เศรษฐกิจไทยภาพรวมขยายตัวชะลอมากขึ้น

5 การลงทุนภาครัฐล่าช้า เนื่องจากการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจล่าช้า ส่วนหนึ่งเป็นช่วงลอยต่อของรัฐบาลใหม่และเก่า ทำให้โครงการไม่ต่อเนื่อง รวมกับหลายโครงการไม่มีความพร้อมลงทุนตามแผนที่วางไว้ ซึ่งรัฐบาลใหม่ต้องเร่งเดินหน้าโครงการลงทุนให้ได้โดยเร็ว

6. การกระตุ้นการลงทุนและการบริโภคเอกชน ในส่วนของการลงทุนภาคเอกชน รัฐบาลตั้งความหวังไว้กับโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรือ อีอีซี ที่จะดึงดูดทั้งนักลงทุนไทยและต่างชาติ ซึ่งนายสมคิด ออกมายืนยันว่าโครงการอีอีซี ไม่มีทางล้มเพราะเป็นเครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจใหม่ของประเทศไทย แต่การดำเนินการจะได้ตามที่รัฐบาลหวังหรือไม่ ยังเป็นสิ่งที่นักลงทุนกังวล

7. การท่องเที่ยวลด ซึ่งที่ผ่านมาการท่องเที่ยวถือเป็นตัวช่วยเศรษฐกิจไทยให้ขยายตัวได้ดี แต่จากภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัวจากสงครามการค้า ทำให้นักท่องเที่ยวลดการท่องเที่ยวในไทยและทุกๆ ประเทศในโลก จึงเป็นโจทย์ยากของรัฐบาลใหม่ว่าจะกระตุ้นให้คนเข้ามาเที่ยวในเมืองไทยได้อย่างไร

8. งบประมาณปี 2563 วงเงิน 3.2 ล้านล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นงบลงทุน 6.9 แสนล้านบาท ปกติงบประมาณจะต้องเริ่มใช้ 1 ต.ค. 2562 แต่ได้ถูกเลื่อนออกไป 1 ม.ค. 2563 เพื่อรอให้รัฐบาลและรัฐสภาใหม่เข้ามาพิจารณา ย่อมส่งผลกระทบทำให้เม็ดเงินลงทุนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจช้าไปด้วย ถึงขนาด พล.อ.ประยุทธ์ ออกมาปรามว่า ให้รัฐบาลและฝ่ายค้านพิจารณางบประมาณ 2563 ยังสร้างสรรค์ไม่ควรสร้างปัญหาให้งบประมาณไม่ผ่านการพิจารณา เพราะจะกระทบกับเศรษฐกิจ

9 เศรษฐกิจชะลอตัว เป็นที่รู้กันว่า หน่วยงานต่างๆ ปรับลดการขยายตัวเศรษฐกิจจากใกล้ 4% เหลืออยู่ 3% โดยหลายแห่งคาดว่าจะขยายตัวได้ต่ำกว่า 3% ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ของรัฐบาลที่ต้องเข้ามาพยุงเศรษฐกิจขาลงให้ฟื้นกลับขึ้นมาให้ได้ เพราะหากเศรษฐกิจภาพรวมแย่ เศรษฐกิจฐานรากประชาชนจะมีความเป็นอยู่ที่ลำบากมากขึ้น

10. ความไม่เชื่อมั่นทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลลุงตู่ 2 เป็นเรื่องที่ค้างคาใจของนักลงทุนอยู่ตลอดเวลา เพราะเป็นรัฐบาลผสมที่เกิดจาก 19 พรรคการเมือง ทีมเศรษฐกิจถูกจัดสรรจากโควต้าทางการเมือง มากกว่าที่วางคนที่เหมาะสมกับงาน เป็นผลลบต่อนัก ลงทุนและความเชื่อมั่นของผู้บริโภค รวมถึงอาจมีผลต่อความล่า ช้าในการดำเนินโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของรัฐบาลให้ทันกำหนดการที่วางไว้

ทั้ง 10 ปมร้อนเศรษฐกิจ จึงเป็นปัญหาท้าทายรัฐบาลลุงตู่ ว่าจะสามารถอยู่บริหารประเทศสมัยที่ 2 ได้ยาวนานแค่ไหน

เบื้องลึก13ส.ส.ภาคใต้ชวดเก้าอี้รัฐมนตรี

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/politic/report/592480

  • วันที่ 18 มิ.ย. 2562 เวลา 21:17 น.

เบื้องลึก13ส.ส.ภาคใต้ชวดเก้าอี้รัฐมนตรี

พลังประชารัฐสงบแล้วหลังบิ๊กป.สยบกลุ่มส.ส.”ใต้-อีสาน”หยุดเคลื่อนไหวทวงเก้าอี้รัฐมนตรี

ปิดฉากไปเรียบร้อยแล้วสำหรับการเคลื่อนเรียกร้องเก้าอี้รัฐมนตรีภายในพรรคพลังประชารัฐของกลุ่มส.ส.ภาคใต้ และกลุ่มส.ส.อีสาน ภายใต้การนำของ”เอกราช ช่างเหลา” หลัง ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ได้นัดเคลียร์ใจกับ บิ๊กป. ที่มูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ5จังหวัด ย่านสามเสน จนเป็นที่เข้าใจ ก่อนนำมาแถลงยุติการเคลื่อนไหว โดยไม่ขอเก้าอี้รัฐมนตรีแล้ว แต่ได้มีการตกปากรับคำให้มีรัฐมนตรีมาผู้ดูแล และจะได้เก้าอี้เลขานุการรัฐมนตรี ผู้ช่วยรัฐมนตรี และประธานกรรมาธิการ ไปปลอบใจแทน

ความจริงเบื้องหน้าเบื้องหลังในการออกมาทวงตำแหน่งของส.ส.กลุ่มด้ามขวานหรือกลุ่มส.ส.ภาคใต้นั้น มีมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่การประชุมสัมมนา ส.ส.ของพรรคพลังประชารัฐ ระหว่างวันที่ 14-15 พฤษภาคม 2562 โรงแรม เดอะ ซายน์ พัทยาเหนือ จังหวัดชลบุรี โดย ครั้งนั้น มีส.ส.ใต้ร่วมเซ็นชื่อ กัน 10 คน ส่วนอีก 3 คน ซึ่งเป็นส.ส.ในพื้นที่ 3จังหวัดภาคใต้ไม่ได้เซ็นชื่อด้วย เพราะมองว่าคนละกลุ่มกัน

ทั้งนี้เหตุที่กลุ่ม 10 ส.ส.ชิงเคลื่อนไหวในครั้งนั้น เพราะประเมินกันว่า การที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคสช.ได้แต่งตั้ง พล.อ.อกนิษฐ์ หมื่นสวัสดิ์ หรือ บิ๊กเจี๊ยบอดีตสนช. เพื่อนร่วมรุ่นตท.12ของ พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งเป็นคีย์เเมนสำคัญในการดูเเลการเลือกตั้งภาคใต้ จนชนะเลือกตั้ง13 เขต ที่ทางกลุ่มส.ส.ใต้ต้องการผลักดันให้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงใดกระทรวงหนึ่ง เป็น สว.นั้น เป็นสัญญาณบ่งบอกว่า กลุ่มส.ส.ภาคใต้ของพวกเขาจะไม่ได้ตำแหน่งรัฐมนตรี

ครั้นเมื่อ พล.อ.อกนิษฐ์ ซึ่งเป็นตัวชูโรง ถูกแต่งตั้ง เป็นส.ว.ไปแล้ว ทางกลุ่มส.ส.ใต้ไม่มีทางเลือก จึงหันมาชู พ.อ.สุชาติ จันทรโชติกุล อดีตสมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ(สปท.) อดีตสส.สงขลา และเพื่อนร่วมรุ่นตม.12 พล.อ.ประยุทธ์ อีกคน ซึ่งเป็นผู้มีบทบาท รองลงมาจาก พล.อ.อกนิษฐ์ ในการทำให้พรรคพลังประชารัฐชนะเลือกตั้งในภาคใต้ เป็นรัฐมนตรีแทน ซึ่งการเคลื่อนไหวครั้งนั้นได้มีการยื่นหนังสือผ่านไปยัง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี โดยมีการประสานให้ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า มาเคลียร์และรับหนังสือไป

อย่างไรก็ตามการเคลื่อนไหวของกลุ่มส.ส.ใต้ดังกล่าวนั้น ไม่เป็นผล เพราะทางแกนนำพรรคพลังประชารัฐมองว่า ได้มีการตอบแทนกันไปหมดแล้ว นั้นคือแกนนำคนสำคัญทั้งในที่ลับและที่ได้มีการเปิดเผยตัว ซึ่งมีส่วนสำคัญในการทำให้พรรคพลังประชารัฐชนะได้ส.ส.ทางภาคใต้ ถึง 13 คน นั้น ได้รับการแต่งตั้งเป็นส.ว.ถึง 8 คนแล้ว ซึ่งประกอบด้วย 1.พล.อ.อกนิษฐ์ หมื่นสวัสดิ์ สนช.เพื่อนร่วมรุ่น พล.อ.ประยุทธ์ 2.พล.ต.กลชัย สุวรณบูรณ์ อดีตสมาชิกสนช. อดีตส.ว.ชุมพร และเพื่อนร่วมรุ่น12ของ พล.อ.ประยุทธ์ 3.พล.อ.บุญธรรม โอริส อดีตสปท. 4.พล.อ.อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ อดีตแม่ทัพภาค 4

5.นายภาณุ อุทัยรัตน์ อดีตเลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้(ศอ.บต) 6 .นายอับดุลฮาริม มินซาร์ อดีตสปท.7.นายอนุมัติ อาหมัด สนช. และ 8.นายสวัสดิ์ สมัครพงศ์ อดีตประธานกกต.นครศรีธรรมราช ส่วน พ.อ.สุชาติ จันทรโชติกุล ปฏิเสธไม่ขอเป็นส.ว.เนื่องจากต้องการลงสมัครนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา

ทั้งหมดจึงไร้น้ำหนักในการต่อรอง งานนี้ว่ากันตามจริง คนที่เดินเกมพลาด คือ”พล.อ.อกนิษฐ์” ที่ได้ส่งรายชื่อคีย์แมนสำคัญ ที่ทำให้พรรคพลังประชารัฐชนะเลือกตั้งไปให้กับ พล.อ.ประยุทธ์ แต่งตั้งเป็นส.ว.กันหมด จึงทำให้กลุ่มส.ส.ใต้อดเป็นรัฐมนตรีกัน