โฉมหน้าขุนพลเศรษฐกิจบิ๊กตู่สมัย2

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/politic/report/592072

  • วันที่ 13 มิ.ย. 2562 เวลา 21:02 น.

โฉมหน้าขุนพลเศรษฐกิจบิ๊กตู่สมัย2

เปิดตัวขุนพลทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลบิ๊กตู่สมัย2ใครเป็นใคร จะสร้างความเชื่อมั่นได้มากน้อยขนาดไหนอีกไม่นานรู้กัน

หัวใจสำคัญของรัฐบาลทุกชุดที่ผ่านมาคือคณะรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ หรือที่เรียกกันง่ายๆ ครม.เศรษฐกิจ เพราะถือเป็นส่วนสำคัญที่จะขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาลให้มีผลในทางปฏิบัติ เพื่อทำให้ประชาชนได้มีความกินดีอยู่ดีขึ้น ซึ่งความกินดีอยู่ดีดังกล่าวนั้น ผู้คนโดยทั่วไปใช้เป็นมาตรฐานวัดว่ารัฐบาลนี้บริหารประเทศสอบผ่านหรือไม่ผ่าน

ดังนั้นการกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ภายใต้กติการเลือกตั้ง ในครั้งนี้นั้น ย่อมเป็นความหวังของผู้คน ที่กำลังรอคอยให้รัฐบาลชุดนี้เข้ามาเร่งแก้ปัญหาโดยเฉพาะเรื่องปากท้อง ที่นับวันจะมีความรุนแรง ขึ้นให้ประสบผลสำเร็จโดยเร็ว

สำหรับรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจที่จะเป็นดรีมทีม ในการที่จะมาสร้างความอยู่ดีกินดีของประชาชนในครั้งนี้ จะผสมผสานกันใน 3 พรรคร่วมรัฐบาล ภายใต้การนำของ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ส่วนรัฐมนตรีในด้านเศรษฐกิจนั้น ประกอบด้วย นายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง เป็นอดีตรมว.อุตสาหกรรม สมัยที่ผ่านมา

นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง เป็นอดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี อดีตรมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ในรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และอดีต รมว.คมนาคม ในรัฐบาลของนายสมัคร สุนทรเวช และรัฐบาลของนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายอนุชา นาคาศัย รมช.คลัง ส.ส.ชัยนาท พรรคพลังประชารัฐ และอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย ซึ่งถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง

นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม เป็น เลขาธิการพรรคภูมิใจไทย น้องชาย นายเนวิน ชิดชอบ และเป็นอดีตประธานคณะทำงานรมว.มหาดไทย (ชวรัตน์ ชาญวีรกูล) ในรัฐบาลของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐรมช.คมนาคม ส.ส.นครราชสีมา เป็นบุตร นายวิรัช รัตนเศรษฐ และนางทัศนียา รัตนเศรษฐ นักการเมืองจังหวัดนครราชสีมา

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี ควบ รมว.พาณิชย์ “จุรินทร์”เป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คนที่ 8 เป็นรัฐมนตรีหลายกระทรวง อาทิ รมช.พาณิชย์ และ รมช.เกษตรและสหกรณ์ ในสมัยรัฐบาลชวน 1 รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รัฐบาลชวน 2 และรมว.ศึกษาธิการ รมว.สาธารณสุข ในรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล รมช.พาณิชย์ หรือกำนันป้อหรืออีกฉายา “เสี่ยแป้งมันพันล้าน” ประธานบริหาร บริษัท แป้งมันเอี่ยมเฮง จำกัด ส.ส.นครราชสีมา พรรคภูมิใจไทย

นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.เกษตรและสหกรณ์ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ครั้งนี้สอบตก ส.ส.ประจวบคีรีขันธ์ เป็นอดีตรมว.แรงงาน ในรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายชาดา ไทยเศรษฐ์ รมช.เกษตรและสหกรณ์ ส.ส.อุทัยธานี พรรคภูมิใจไทย อดีตเป็นนักการเมืองท้องถิ่น เคยดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีเมืองอุทัยธานี ถือเป็นผู้กว้างขวางคนหนึ่ง

นายประภัตร โพธสุธน รมช.เกษตรฯ เลขาธิการพรรคชาติไทยพัฒนา เป็นส.ส.สุพรรณบุรี เคยดำรงตำแหน่งรมว.เกษตรและสหกรณ์ และรมช.ในหลายกระทรวง นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.อุตสาหกรรม เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ เป็นอดีตรมว.พาณิชย์ในรัฐบาลบิ๊กตู่ในช่วงที่ผ่านมา นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.พลังงาน เป็นส.ส.บัญชีรายชื่อ และประธานกรรมการยุทธศาสตร์การเลือกตั้งภาคอีสาน พรรคพลังประชารัฐ อดีตเป็นรองนายกรัฐมนตรี รมว.คมนาคม รมว.อุตสาหกรรม ในสมัยรัฐบาลของทักษิณ ชินวัตร และอดีตเลขาธิการพรรคไทยรักไทย

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด ( มหาชน) หรือ ปั้มพีที สามีของนางนาที รัชกิจประการ เหรัญญิกของพรรค และ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย

ดรีมทีมเศรษฐกิจของครม.ชุดผสม3พรรคนี้ จะเป็นความหวังที่จะทำให้ประเทศ มีความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ตามที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ประกาศได้หรือไม่ อีกไม่นานได้รู้กัน

ฝุ่นตลบ!!! 10มุ้งการเมืองพปชร.เปิดศึกชิงเก้าอี้รัฐมนตรีสะเทือนตั้งรัฐบาล

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/politic/report/590545

  • วันที่ 29 พ.ค. 2562 เวลา 07:00 น.

ฝุ่นตลบ!!! 10มุ้งการเมืองพปชร.เปิดศึกชิงเก้าอี้รัฐมนตรีสะเทือนตั้งรัฐบาล

“พปชร.”ป่วนหนักกลุ่มการเมืองแห่ทวงเก้าอี้รัฐมนตรีส่งผลกระทบแผนเจรจาพรรคร่วมสะดุด

ถึงนาทีนี้ พรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) กลายเป็นพรรคที่มีปัญหามากที่สุด เนื่องจากการเกลี่ยตำแหน่งโควต้ารัฐมนตรีกันไม่ลงตัว จนไปกระทบพรรคร่วมรัฐบาลอื่นๆ โดยเฉพาะกลุ่ม 3 มิตรของ “สมศักดิ์ เทพสุทิน” แกนนำกลุ่มที่ไม่ยอมยกเก้าอี้ รมว.เกษตรและสหกรณ์ ให้พรรคประชาธิปัตย์ ส่งผลให้การเจรจากับพรรคประชาธิปัตย์ยังไม่มีข้อยุติ และทำให้การประชุมคณะกรรมการบริหารและส.ส.ของพรรคประชาธิปัตย์ ที่จะต้องพิจารณาว่าจะเข้าร่วมรัฐบาลหรือไม่ ต้องเลื่อนออกไปเพราะยังไม่ชัดเจนว่าจะโควต้ากระทรวงใดบ้าง

ความไม่ชัดเจนเรื่องโควต้ารัฐมนตรีของพรรคพปชร.นอกจากจะทำให้พรรคประชาธิปัตย์ มีปัญหาแล้ว ยังส่งผลทำให้พรรคชาติไทยพัฒนา ซึ่งมีอยู่ 10 ที่นั่งน้อยใจไปด้วยพร้อมกับออกมาขู่ว่า ถ้าพรรคพปชร.ยังนิ่ง ไม่ตอบรับอะไรเลย ตามที่พรรคชาติไทยเสนอไปก็จะขอทำหน้าที่เป็นกลางคือไม่ร่วมรัฐบาลและฝ่ายค้าน

ทั้งนี้ปัจจัยที่ทำให้เกิดปัญหาความไม่เป็นเอกภาพในพรรคพลังประชารัฐนั่นคือ การมีกลุ่มมุ้งการเมืองมากในพรรคจำนวนมาก ซึ่งว่ากันตามจริงแล้วพรรคพลังประชารัฐเกิดขึ้นเป็นการรวมตัวหลวมๆของกลุ่มทหารและนักการเมือง ซึ่งบางคนมาอยู่เพราะถูกดูด ถูกบีบ และมาด้วยเงื่อนไขสารพัด และเมื่อลงสนามเลือกตั้ง ทางกลุ่มคสช.สายบิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ และกลุ่มของ นายณัฐพล รับผิดชอบเรื่องทุนที่ใช้ในการเลือกตั้ง

ครั้นเมื่อผลการเลือกตั้งออกมา หัวหน้ากลุ่มมุ้งการเมืองก็รวบรวมส.ส.ทั้งในพื้นที่จังหวัด หรือบางคนก็ไปตกเบ็ดจังหวัดอื่นมารวมกันเป็นกลุ่มก้อน เพื่อทวงเก้าอี้รัฐมนตรีทันที โดยไม่สนว่าทุนที่ใช้ในการเลือกตั้งเป็นทุนใคร เพราะรู้ว่าทุกเสียงทุกคะแนนมีความหมาย ทำให้ส.ส.ทุกคนมีค่าตัว เพราะการตั้งรัฐบาลปริ่มน้ำทุกเสียงมีค่า จึงทำให้เกิดความโกลาหลขึ้นในพรรค แม้แต่พล.อ.ประวิตร ก็เอาไม่อยู่

สำหรับกลุ่มการเมืองในพรรคพลังประชารัฐประกอบด้วย 1. กลุ่มทหาร นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พล.อ.ประวิตร ซึ่งกลุ่มนี้ ต้องโควต้ากลาง คือ พล.อ.ประวิตร เป็นรองนายกรัฐมนตรีควบรมว.กลาโหม “วิษณุ เครืองาม” รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมาย พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” รองนายกรัฐมนตรี ด้านเศรษฐกิจ

2.กลุ่มนายสมคิด ประกอบด้วยอดีตรัฐมนตรี 4 ยอดกุมาร ที่ลาออกไปตั้งพรรคพลังประชารัฐคือ “อุตตม สาวนายน” หัวหน้าพรรค ซึ่งเวลานี้ถูกจัดวางเป็นรมว.คลัง “สุวิทย์ เมษินทรีย์” รองหัวหน้าพรรค ซึ่งจองเก้าอี้ รมว.อุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม “สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์” เลขาธิการพรรค เดิมถูกวางให้นั่งรมว.พาณิชย์ต่อไปแต่เมื่อประชาธิปัตย์ขอไปคุมแทนถึงเวลายังไม่มีเก้าอี้ชัดเจนเช่นเดียวกับ “กอบศักดิ์ ภูตระกูล” โฆษกพรรคซึ่งเป็นอดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ยังไม่มีตำแหน่งลง แต่ “สมคิด” การันตี 4 คนนี้ต้องมีเก้าอี้ เพราะเป็นคนที่ลาออกจากรัฐมนตรีมาลุยการเมืองก่อนใคร ถือว่าเสียสละต้องตอบแทน

3.กลุ่มอดีตกปปส.นำโดย “ณัฐพล ทีปสุวรรณ” และ “พุทธิพงษ์ ปุณณกันต์” ซึ่งถือเป็นกลุ่มที่รับผิดชอบเรื่องทุนเลือกตั้ง และยังโชว์ผลงานทำให้ชนะเลือกตั้งได้ส.ส.กทม.มา 11 ที่นั่ง ซึ่ง “ณัฐพล” ถูกวางเป็นรมว.พลังงาน ส่วน “พุทธิพงษ์” ยังไม่ชัดเจนว่าคุมกระทรวงใดแต่ต้องได้รัฐมนตรี

4.กลุ่มสามมิตร นำโดย”สมศักดิ์ เทพสุทิน -สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ” และกลุ่ม”สุชาติ ตันเจริญ” ซึ่งว่ากันว่ามีส.ส.ทั้ง2ระบบในสังกัดราว 20 คน ซึ่งกลุ่มนี้วางให้”สมศักดิ์” เป็นรมว.เกษตรและสหกรณ์ “พงศ์กวิน จึงรุ่งเรืองกิจ” หลานชาย “สุริยะ” เป็นรมว.อุตสาหกรรม และขอตำแหน่งอื่นๆให้กับสมาชิกในกลุ่มอีก

5.กลุ่มร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ส.ส.พะเยา ซึ่งได้รวบรวบกลุ่มส.ส.ในภาคเหนือ อาทิ พะเยา 2 คน ตาก 2 คน แม่ฮ่องสอน 1 คนและปาร์ตี้ ซึ่งเวลานี้ตัวเลขอยู่ประมาณ10 คน ขอจอง รมช.มหาดไทย

6.กลุ่มชลบุรี ของ นายสนธยา คุณปลื้ม มี 6 คน ซึ่งเดิมมีการสัญญาก่อนเลือกตั้งว่าจะให้รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา ไปบริหารจัดการ แต่เวลานี้กลายเป็นว่ าโควต้านี้กลับไปอยู่ที่พรรคภูมิใจไทย จึงต้องหากระทรวงใหม่ให้กลุ่มชลบุรี

7.กลุ่มโคราช ของ นายวิรัช รัตนเศรษฐ ซึ่งได้รับการเลือกตั้งจากจ.นครราชสีมา ถึง 6 คนซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนในครอบครัว”รัตนเศรษฐ”และเมื่อรวมกับนายวิรัช เป็น7 คน ซึ่งต้องได้รัฐมนตรีว่าการ หนึ่งกระทรวง ซึ่งนายวิรัช ต้องการนั่งเป็นรัฐมนตรีเอง

8.กลุ่มเพชรบูรณ์ นำโดย นายสันติ พร้อมพัฒน์ ซึ่งย้ายมาจากพรรคเพื่อไทยท่ามกลางกระแสถูกพลังดูด และสามารถชนะเลือกตั้ง ยกจังหวัด5คน ซึ่งรวมถึงนายสันติ เป็น 6คน ซึ่งต้องได้รัฐมนตรี1ตำแหน่งเช่นกันโดยนายสันติ ต้องการเป็นรมว.พัฒนาสังคมฯ

9.กลุ่มกำแพงเพชร ของ นายวราเทพ รัตนากร ซึ่งย้ายมาจากพรรคเพื่อไทย และสามารถกลับมาได้ยกจังหวัด 4ที่นั่ง ซึ่งทางกลุ่มต้องการรัฐมนตรีให้ พ.ต.ท. ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ คนสนิทของนายวราเทพ

10.กลุ่ม 13 ส.ส.จังหวัดภาคใต้ ซึ่งได้รับการเลือกตั้งเป็นส.ส.ครั้งแรก และได้รวมตัวกันเรียกร้องขอให้มีการจัดสรรตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการ1ตำแหน่งและรมช.1ตำแหน่ง

ทั้งหมดนี้จึงทำให้การจัดสรรโควต้ารัฐมนตรีของพรรคพลังประชารัฐปั่นป่วนจนทำให้ไม่สามารถไปเจรจากับพรรคร่วมรัฐบาลอื่นได้ และนี่เป็นสัญญาณให้เห็นว่าการตั้งรัฐบาลปริ่มน้ำย่อมทำให้เกิดการต่อรองตลอดเวลาและอาจล่มลงในไม่ช้า

เรื่องเล่าจากนักข่าวอาวุโส “พลเอกเปรม ติณสูลานนท์” ในภาพจำของสื่อมวลชน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/politic/report/590255

  • วันที่ 26 พ.ค. 2562 เวลา 21:13 น.

เรื่องเล่าจากนักข่าวอาวุโส "พลเอกเปรม ติณสูลานนท์" ในภาพจำของสื่อมวลชน

เปิดเรื่องราว “พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์” ในความทรงจำของผู้สื่อข่าวอาวุโสที่เคยติดตามทำข่าวรัฐบุรุษผู้นี้ ตั้งแต่ยุคที่ดำรงตำแหน่งทางทหาร ไปจนถึงสิ้นสุดการเป็นนายกฯ

*******************************

โดย…ทีมข่าวโพสต์ทูเดย์

26 พ.ค. 2562 “พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์” อดีตประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ถึงแก่อสัญกรรมอย่างสงบปิดฉากบุคคลสำคัญที่นับว่าเป็นอีกหนึ่งตำนานของการเมืองไทย

เรื่องราวของ พล.อ.เปรม ถูกจารึกไว้มากมาย และหนึ่งในนั้นก็คือเรื่องราวที่จารึกอยู่ในความทรงจำของ สื่อมวลชนอาวุโส จำนวนหนึ่งที่เคยติดตามทำข่าว พล.อ.เปรม ตั้งแต่สมัยดำรงตำแหน่งทางทหารไปจนถึงนายกมนตรี

“วิโชค อาจหาญ” อดีตผู้สื่อข่าวสถานีโทรทัศน์ อ.ส.ม.ท ในวัย 67 ปี และ “ปราโมทย์ ฝ่ายอุประ” อดีตผู้สื่อข่าวไทยรัฐ อายุ 69 ปี สองอดีตสื่อมวลชนรุ่นใหญ่ที่เคยติดตามทำข่าว พล.อ.เปรมไปทุกหนแห่ง ได้เล่าถึงภาพจำของ “ป๋า” ให้โพสต์ทูเดย์ได้ฟังอย่างน่าสนใจ…..

ประโยชน์ชาติมาก่อนเรื่องตัวเอง นี่คือ “พล.อ.เปรม”

วิโชค หรือบุคคลที่หมู่นักข่าวเรียกว่า “ลูกป๋า” เล่าว่า ติดตามทำข่าว พล.อ.เปรม ตั้งแต่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ราวปี 2521 จนสิ้นสุดการเป็นนายกรัฐมนตรี เอกลักษณ์การทำงานเป็นคนซื่อตรง ซื่อสัตย์ สุจริต ตรงต่อเวลา ทำทุกอย่างเพื่อประชาชน ประเทศชาติ และสถาบันพระมหากษัตริย์ อย่างแน่วแน่และจริงจัง

ขณะที่นิสัยส่วนตัว พล.อ.เปรม เป็นคนพูดน้อย แต่คำพูดเมื่อถูกเอ่ยออกมักมีความหนักแน่นจริงใจจริงจัง แฝงไปด้วยความห่วงใย ไม่เคยผิดไปจากที่พูด ตรงนี่้จึงเป็นสิ่งทำให้ พล.อ.เปรม เป็นที่รักของใครหลายคนและทำให้มีหน้าที่การงานสูงขึ้นเรื่อยๆ

“สิ่งหนึ่งที่สัมผัสได้ในตัวป๋า มักจะอิงความถูกต้อง แม้ต้องยอมเสียบ้าง แต่ถ้าอะไรไม่ถูกต้อง ป๋าจะไม่มีวันยอมเด็ดขาด”

วิโชค เล่าถึงหนึ่งวีรกรรมอันกล้าหาญของ พล.อ.เปรม ให้ฟังว่า เมื่อช่วงปี 2528 ตอนนั้นติดตามคณะนายกรัฐมนตรี พล.อ.เปรม ไปประเทศอินโดนีเซีย โดยคืนวันที่ 9 กันยายน 2528 ประเทศไทยเกิดการรัฐประหารโดยทหารกลุ่มยังเติร์ก และเมื่อถึงตอนเช้าก่อนเข้าพบ ซูฮาร์โต อดีตประธานาธิบดีคนที่ 2 ของอินโดนีเซีย นายกฯคนที่ 16 ได้บอกเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยให้คณะทราบ พร้อมบอกตนเตรียมอุปกรณ์ทำข่าวไว้ จากนั้นเข้าพบกับประธานาธิบดีอินโดนีเซียตามปกติ 

ภายหลังการหารือราชการเสร็จก็สั่งคณะเดินกลับประเทศไทย ทั้งที่ตอนนั้นคณะปฎิวัติสั่งห้ามเข้าประเทศ และเมื่อเครื่องบินของกองทัพอากาศลงจอดที่สนามบินหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา สั่งให้บันทึกเทปแถลงต่อประชาชนว่ารัฐบาลจะไม่ยอมแพ้และบอกให้คณะปฏิวัติวางมือพร้อมนำกำลังพลกลับเข้ากรม จากนั้นตนนั่งเครื่องบินกองทัพกลับกรุงเทพเพื่อนำเทปกลับมายังสถานีเพื่อออกอากาศ จากนั้น พล.อ.เปรม เดินทางไปเข้าเฝ้าในหลวงรัชกาลที่ 9 ซึ่งตอนนั้นประทับอยู่พระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์ จังหวัดนราธิวาส ซึ่งภายหลังสถานการณ์ก็คลี่คลายด้วยในที่สุด

อดีตผู้สื่อข่าวที่่ได้รับฉายาว่าลูกป๋า บอกว่า วีรกรรมอันกล้าหาญดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า พล.อ.เปรม เมื่อถึงบทเข้มแข็งจะมีความเป็นผู้นำจริงๆ แต่คราวใดต้องอยู่ในบทบาทผ่อนปรนก็จะโอนอ่อน เหมือนครั้งที่ลาออกจากนายกรัฐมนตรีพร้อมประกาศยุบสภา ปี 2531 ตอนนั้นแม้พรรคร่วมรัฐบาลประกาศสนับสนุน แต่ พล.อ.เปรม ยินดีที่จะส่งต่ออำนาจตให้รัฐบาลต่อไป

ขณะที่ ปราโมทย์ ผู้ที่ติดตามทำข่าว พล.อ.เปรม ตั้งแต่สมัยเป็นทหาร เล่าว่าการทำงานอดีตประธานองคมนตรีสมัยเป็นทหาร จะมีลักษณะตามแบบฉบับทหารม้านักรบ “ป๋าเป็นคนที่มีความทหารแบบนักรบ ตรงไปตรงมา คนรักมาก และก็เป็นที่ชื่นชนในหมู่ทหารม้า” แต่ทว่าเมื่อเข้าสู่แวดวงการเมือง พล.อ.เปรม ก็วางตัวเหมาะสมกับการเป็นนักการเมืองคอยให้ข้อมูลนักข่าวเป็นประจำ

ส่วนนิสัยของ พล.อ.เปรม ในสายตาของผู้สื่อข่าวรุ่นใหญ่ มองว่ามีความเป็นผู้นำสูง มีทักษะความสามารถในการเลือกใช้คนดีมาก จนสามารถแก้ไขปัญหาของประเทศได้หลายเรื่อง ซึ่งแม้การทำงานตอนนั้นแม้มีปัญหาแต่สามารถกอบกู้เหุตการณ์ต่างกลับมาได้

ที่มาฉายา “เตมีย์ใบ้”

ปราโมทย์ เล่าว่าสมัยที่ พล.อ.เปรม เป็น รมช.มหาดไทย เป็นแหล่งข่าวที่อัธยาศัยดีคุยได้ทุกเรื่องตลอด 3 เวลา และถ้าเกิดความผิดพลาดนายกฯตอนนั้นก็จะคอยแก้ข่าวให้ แต่เมื่อขึ้นเป็นนายกฯเองก็รู้สึกว่าเมื่อพูดทุกวันบางครั้งอาจทำให้ผิดพลาดและไม่มีใครมาแก้ให้เหมือนสมัยเป็น รมช.มหาดไทย ทำให้ตอนหลังจึงพูดน้อยลงจนได้ฉายา “เตมีย์ใบ้”

แต่ถึงอย่างไรแม้จะพูดน้อยแต่ทุกครั้งที่ให้สัมภาษณ์ไม่ว่าสั้นหรือยาวก็มักเป็นประเด็นขึ้นหน้า 1 ทุกครั้ง

ส่วนการทำงานสมัยเป็นนายกฯ จะขยันมาทำเนียบประมาณ 8 โมงเช้า และทำงานจนเย็นค่ำมืด ซึ่งหากวันได้ไม่มีประเด็นอะไรจะบอกมากนักข่าวให้กลับเลย แต่ถ้ามีประเด็นเรื่องที่เป็นปัญหาจะให้สัมภาษณ์ด้วยตนเองหรือให้คนใกล้ชิดมาคอยบอก

สิ่งที่ทำให้คนรัก “ป๋าเปรม”

ปราโมทย์ เผยความประทับใจต่อรัฐบุรุษผู้นี้ ว่า จากที่ตามทำข่าวตั้งแต่สมัยเป็นทหารยศพลตรี จนเป็นนายกฯ รู้สึกว่าตั้งแต่รู้จัก พล.อ.เปรม ท่านทำเพื่อคนอื่นและประเทศชาติมาตลอด ไม่เคยทำอะไรเพื่อตนเอง

“เขาสร้างบ้านพักให้ที่จังหวัดสงขลา หรือนครราชสีมา พล.อ.เปรม ก็ไม่เคยรับ แต่มอบให้เป็นของหลวงเหมือนดังที่พูดตลอดว่า ทำเพื่อตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน”

ส่วนสิ่งที่คนรุ่นหลังควรนำ พล.อ.เปรม ไปเป็นแบบอย่าง คือควรมีความคิดรับผิดชอบต่อบ้านเมืองและการดำเนินชีวิตที่เรียบง่าย

ขณะที่ วิโชค ชื่นชมในตัวของอดีตประธานองคมนตรี เป็นบุคคลที่เมื่อถึงบทบาทเข้มแข็งจะมีความเป็นผู้นำสูงมาก แต่คราวใดที่ควรผ่อนปรนก็จะโอนอ่อน

ส่วนสิ่งที่อยากให้คนรุ่นหลังนำนิสัย พล.อ.เปรม ยึดเป็นแบบอย่างคือควรเป็นคนที่ซื่อสัตย์ สุจริต เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมของประชาชน ประเทศชาติ และสถาบันมาก่อนเรื่องตัวเอง

ตรวจแถวประชาธิปัตย์ “หนุน-ไม่หนุน” บิ๊กตู่นั่งนายกรัฐมนตรี

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/politic/report/589885

  • วันที่ 22 พ.ค. 2562 เวลา 20:40 น.

ตรวจแถวประชาธิปัตย์ "หนุน-ไม่หนุน" บิ๊กตู่นั่งนายกรัฐมนตรี

ประชาธิปัตย์เสียงยังแตก “กลุ่มชวน” ยังเสียงแข็ง “จุรินทร์” นัดโหวตร่วมไม่ร่วมรัฐบาลบิ๊กตู่วันที่ 23 พ.ค.นี้

ถึงนาทีนี้พรรคประชาธิปัตย์ก็ยังไม่สามารถตกลงกันได้ว่าจะร่วมหรือไม่ร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชารัฐ โดยจะมีการประชุมคณะกรรมการบริหารและส.ส.ของพรรคเพื่อชี้ขาด ในวันที่ 23 พ.ค.นี้ แม้จะมีกระแสข่าวออกมาตลอดวัน ว่า พรรคประชาธิปัตย์ตอบ เข้าร่วมรัฐบาลเรียบร้อยแล้ว โดย พรรคพลังประชารัฐยอมให้ตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร โดยจะให้ นายบัญญัติ บรรทัดฐาน อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์มา ดำรงตำแหน่งดังกล่าว แต่ นายบัญญัติ ได้ปฏิเสธที่จะรับตำแหน่งดังกล่าว

ในขณะเดียวกันมีกระแสว่า ทาง นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ได้เจรจากับทางพรรคพลังประชารัฐ โดยเสนอขอโควต้า 4รัฐมนตรีว่าการ 3 รัฐมนตรีช่วย โดยจะมีรมว.มหาดไทย ด้วย แต่ทั้งหมดเป็นเพียงกระแสข่าวเท่านั้น

อย่างไรก็ตามความเคลื่อนไหวในพรรคประชาธิปัตย์ ยังคงตึงเครียดเพราะฝ่ายที่เห็นด้วยว่าควรจะร่วมรัฐบาลกับฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยเสียงก้ำกึ่งกัน โดยฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยในการเข้าร่วมรัฐบาล คือ กลุ่มนายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ กลุ่มนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรค และกลุ่มนายบัญญัติ บรรทัดฐาน ส่วนกลุ่มที่เห็นด้วยว่าควรเข้าร่วมรัฐบาลคือ กลุ่มนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน เลขาธิการพรรค และกลุ่มที่สนับสนุนนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค

ทั้งนี้มีรายงานว่าทาง นายจุรินทร์ ได้มอบหมายให้ นายเฉลิมชัย และนายนิพนธ์ บุญญามณี ไปเจรจาเรื่องโควต้ารัฐมนตรีกับพรรคพลังประชารัฐมาก่อนและนำมาให้ที่ประชุม กก.บห.และส.ส.พิจารณาตัดสินใจว่าจะร่วมหรือไม่ร่วมรัฐบาลในวันพรุ่งนี้(23พ.ค.)

“เรามั่นใจว่าหากมีเหตุผลแสดงให้เห็นว่าการไปเข้าร่วมรัฐบาลและสามารถทำอะไรได้ นายชวน และผู้ใหญ่ในพรรคคงไม่คัดค้าน ซึ่งทั้งหมดขึ้นอยู่กับการเจรจากับพรรคพลังประชารัฐว่าจะให้พรรคสามารถทำงานได้มากน้อยแค่ไหนอย่างไร”แหล่งข่าวกล่าว

สำหรับคณะกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์นั้นมีทั้งหมด 39 คน ส่วนส.ส.มีทั้งหมด 52 คน รวมแล้วจะมี 91 เสียง แต่เนื่องจากส.ส.จำนวน10คนไปเป็นกรรมการบริหารพรรค จึงเหลือเพียง 81 เสียงเท่านั้น

รำลึก 5 ปี คสช. ขอเวลาอีกไม่นาน เราจะคืนความสุขด้วยผลงาน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/politic/report/589857

  • วันที่ 22 พ.ค. 2562 เวลา 17:15 น.

รำลึก 5 ปี คสช. ขอเวลาอีกไม่นาน เราจะคืนความสุขด้วยผลงาน

บรรดาผลงานมากมายต้องยอมรับว่า พล.อ.ประยุทธ์ ใช้พลังพิเศษควบคู่ไปกับการใช้อำนาจบริหารราชการแบบปกติ นั่นคือพึ่งบริการมาตรา 44

************************

โดย ทีมข่าวโพสต์ทูเดย์เอ็กคลูซีฟ

ปฏิทินการเมืองเคลื่อนมาถึงวันที่ 22 พฤษภาคม 2562 เป็นวันที่มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กำลังตัดสูทเข้าไปทำหน้าที่ในสภา พร้อมกับเตรียมรวมหัวกับวุฒิสภา(สว.) โหวตสนับสนุนบุคคลที่จะมาเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ก่อนทำคลอดคณะรัฐมนตรี(ครม.)เพื่อบริหารประเทศต่อไป

แต่หากย้อนเวลาไปวันที่ 22 พ.ค. 2557 ดูเป็นเหตุการณ์คนละแบบกับวันนี้

เมื่อ 5 ปีที่แล้ว กลุ่มคณะนายทหาร นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบกขณะนั้น เชิญ บุคคลผู้เคยเป็นตัวแทนปวงชนชาวไทย รวมถึง แกนนำภาคประชาชน ผู้นำองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ หารือยุติความขัดแย้งร่วมหาทางออกให้บ้านเมือง

ทว่า บรรดานักการเมือง แกนนำมวลชน ตกลงไม่ได้ ต่างฝ่ายมุ่งรักษาอำนาจแห่งตน จึงต้องจบลงด้วยคำพูด พล.อ.ประยุทธ์ ” ถ้าอย่างนั้นผมขอยึดอำนาจ”

สถานการณ์บ้านเมืองจึงอยู่ในการควบคุมดูแลโดยกลุ่มบุคคล เรียกว่า คณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) มีพล.อ.ประยุทธ์ เป็นทั้งหัวหน้าคสช.และเป็นนายกรัฐมนตรี

มีเหล่าบริวารคสช.ร่วมเดินพรมแดงในตึกไทยคู่ฟ้าได้เป็นรัฐมนตรี ได้เป็นสมาชิกสารพัดประโยชน์ ทั้งสปช. สนช. สปท. กรธ.

ปัจจุบันบริวารสมาชิกได้รับมรดกตกทอดคสช. ได้เป็น สว. ได้เป็นคณะยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ได้เป็นกรรมการตามองค์กรอิสระ หน่วยงานภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ สืบต่อไป

นับเป็น 5 ปี ที่สามารถผลิตบุคลากรฝังตัวโครงสร้างบริหารประเทศตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำได้อย่างเบ็ดเสร็จ

จากบทเพลงคืนความสุขให้ประชาชน “…เราจะทำตามสัญญา ขอเวลาอีกไม่นาน … แผ่นดินจะดีในไม่ช้า ความสุขจะคืนมา

นับเป็นอีกความบันเทิงของพ่อเฒ่าแม่แก่ไปจนถึงเด็กเยาวชนตามสถานศึกษา เมื่อได้ยินบทเพลงนี้มาอย่างยาวนานทำให้สามารถท่องจนขึ้นใจยากลืมเลือน โดยเฉพาะท่อนที่ว่า ” เราจะทำตามสัญญา ขอเวลาอีกไม่นาน”

…แต่นี่ผ่านมา 5 ปี ดูจะเป็นเวลานานเกินไปแล้วกระมัง!!!

อีกไม่นาน องค์กร คสช. จะสลายไป เนื่องจากบ้านนี้เมืองนี้มีการเลือกตั้ง มีสภาผู้แทนราษฎรทำหน้าที่ออกกฎหมาย มีรัฐบาลบริหารประเทศ

เพียงแต่กลุ่มบุคคลในคสช. ยังอยู่ในบทบาทหน้าที่ใหม่ไฉไลกว่าเดิม

……….

กระนั้นห้วงเวลา 5 ปีคสช. ก่อนเปลี่ยนผ่านไปสู่รัฐบาลประชาธิปไตย สมควรทบทวนสักหน่อย  คสช.สร้างผลงานอะไรไว้ให้ลูกหลานไทยและนานาชาติบ้าง

ตั้งแต่เริ่มเข้ามาวันแรกๆ ผ่านมาถึงวันนี้ รัฐบาลคสช. สามารถทำให้บ้านเมืองสงบเงียบกริบ นักการเมือง แกนนำภาคประชาชน ที่ปลุกระดมมวลชนแบ่งฝักแบ่งฝ่าย ถูกเรียกไปปรับทัศนคติ ไม่ให้ออกมาสร้างความวุ่นวายเหมือนแต่ก่อน

พวกฝ่าฝืนกฎหมาย นักปลุกปั่นอ้างประชาธิปไตยอ้างสิทธิชุมนุมก่อความไม่สงบต้องถูกควบคุมตัวดำเนินคดีกันไป

พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด อดีตโฆษกรัฐบาล ได้ดิบได้ดีเป็นอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ เคยบอก “ผลงานคสช.มีมากมาย ถ้าเล่าให้ฟังวันเดียวคงไม่จบ”

ยิ่งพลิกอ่านหนังสือ “ประชารัฐสร้างชาติ” ซึ่งพรรคพลังประชารัฐจัดทำขึ้น แจกจ่ายผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) นำไปหาเสียงช่วงเลือกตั้งที่ผ่านมา น่าตอบโจทย์ 5 ปีรัฐบาลคสช. มีผลงานอะไรบ้าง ข้อยืนยันประการหนึ่งเป็นผลงานสาธยายได้ไม่หมดเหมือนอดีตโฆษกฯ”ไก่อู” กล่าวไว้เป๊ะ

 

 

บรรดาผลงานมากล้น ต้องยอมรับว่า พล.อ.ประยุทธ์ ใช้พลังพิเศษควบคู่ไปกับการใช้อำนาจบริหารราชการแบบปกติ นั่นคือพึ่งบริการมาตรา 44 ตามรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวในการให้อำนาจหัวหน้าคสช. ออกคำสั่งอินฟีนีตี้ ทำให้การสร้างบ้านแปลงเมืองในช่วงที่ผ่านมา เหมือนได้รับการปลุกเสกอย่างรวดเร็ว

อภินิหารแห่งมาตรา 44 สร้างความประทับใจยิ่งนัก ตั้งแต่การออกคำสั่งโยกย้ายข้าราชการ ส่อว่ามีพฤติกรรมทุจริตคอร์รัปชั่นให้เข้ามาอยู่ในกรุสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อรอการตั้งกรรมการตรวจสอบ หากตรวจสอบแล้วบริสุทธ์ผุดผ่องก็ใช้มาตรา 44 ย้ายคืนรังแต่กลับไปอยู่ตำแหน่งเดิมหรือไม่กลายเป็นเรื่องน่าเศร้า

การออกคำสั่งแก้ไขปมปัญหาแรงงานต่างด้าว การแก้ไขปัญหาการบิน จนทำให้องค์กรระหว่างประเทศยอมรับ เช่น สหภาพยุโรปหรืออียูุ ตัดสินใจปลดใบเหลืองและให้ใบเขียวกับประเทศ เนื่องจากได้มีการแก้ไขปํญหาการท่ำประมงผิดกฎหมายตามมาตรฐานสากล

หรือกรณี องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ เรียกชื่อย่อ ICAO ยอมปลดธงแดง เพราะไทยได้แก้ปัญหายกระดับมาตรฐานการบินเป็นผลสำเร็จ เป็นต้น ซึ่งเป็นอะไรที่รัฐบาลพลเรือนไม่เคยแก้ปัญหาคาราคาซังเหล่านี้ได้เลย แต่รัฐบาลลพล.อ.ประยุทธ์ กลับแก้ปัญหาได้อย่างรวดเร็ว

มิพักกล่าวถึงการสร้างคุณภาพชีวิตให้พี่น้องประชาชน ด้วยการจัดระเบียบสังคม กวาดล้างมาเฟียอิทธิพล วินมอเตอร์ไซต์ คิวรถตู้โดยสารให้ได้มาตรฐาน จัดระเบียบทางเท้า หาบเร่แผงลอย ที่แม้สร้างความขัดใจพ่อค้าแม่ขายอยู่บ้างแต่เพื่อประโยชน์สุขของผู้ใช้ทางสัญจรส่วนใหญ่ รัฐบาลคสช.มีความจำเป็นต้องจัดระเบียบให้สำเร็จ

อย่างไรก็ตามมีคำถามตามมา เมื่อรัฐบาลทหารจากไปเข้าสู่รัฐบาลพลเรือนจะสามารถทำได้อย่างนี้หรือ ปัญหาเดิมๆจะกลับมาอีกหรือไม่ ถ้าไม่ใช่รัฐบาลคสช.บริหารประเทศ

คสช. สามารถทำผลงานวางฐานทางการเมืองได้อย่างแนบเนียนด้วยการปรับลุกค์ พล.อ.ประยุทธ์ ผู้เป็นนายทหารเคร่งขรึมวาจาโผงผาง ให้ประชาชนได้มองภาพลักษณ์ใหม่ ออกเดินสายต่างจังหวัดพบปะประชาชน  ร่ายรำระบำฟ้อน แสดงถึงความจ๊ะจ๊ะใกล้ชิดเป็นกันเอง

พร้อมด้วยการคลอดนโยบายเอาใจ ทั้งการผลิตบัตรสวัสดิการประชารัฐ ตามด้วยแบรนด์ประชารัฐ บ้านประชารัฐก็มา ร้านธงฟ้าประชารัฐก็มา คลองประชารัฐ รถประชารัฐ เหลือแต่เครื่องบินประชารัฐที่ยังไม่มา

นอกจากนี้ มีการกวาดล้างนายทุนปล่อยกู้โหดยึดโฉนดส่งมอบให้ประชาชนสร้างความนิยมได้อย่างดี

ไม่น่าเชื่อว่า ภาพของรัฐบาลทหารที่ต่างชาติมักปฏิเสธ ออกมาตรการข่มขู่ไม่คบด้วย แต่สำหรับรัฐบาลคสช.สามารถล้างความคิดผู้นำต่างชาติได้สำเร็จ เพราะตลอดห้าปี ผู้นำต่างประเทศให้การยอมรับหัวหน้าคสช. เชื้อเชิญเดินทางไปเยือน สานต่อความสัมพันธ์ ทำข้อตกลงเจรจาการค้าสำเร็จลุล่วง

ขณะเดียวกัน นักท่องเที่ยวต่างชาติ แห่เดินทางมาเที่ยวเมืองไทยจำนวนมากจนองค์กรด้านการท่องเที่ยวของโลกหลายสถาบัน เช่น องค์กรการท่องเที่ยวโลกแห่งสหประชาชาติ เคยบันทึกสถิติไว้เมื่อปี 2561 ประเทศไทยสามารถทำรายได้จากการท่องเที่ยวมากที่สุดเป็น

ประวัติการณ์ถึง 1.82 ล้านล้านบาท มากเป็นอันดับ 4 ของโลกเป็นรองแค่สหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส และสเปน เท่านั้น

5 ปีที่ผ่านมา การลงทุนโครงการขนาดใหญ่ไม่หยุดชะงักตรงกันข้ามเดินหน้าอย่างก้าวกระโดด เช่น โครงการเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษหรืออีอีซี โครงการรถไฟฟ้าสายสีเส้นทางต่างๆ มีการต่อขยายอย่างรวดเร็ว รวมไปถึงโครงการรถไฟความเร็วสูง การขนส่งระบบราง

โครงการมอเตอร์เวย์สายอีสาน -สายตะวันออก ตะวันตก ล้วนเป็นผลงานประจักษ์ชัด ในช่วงที่พี่น้องประชาชนเดินทางออกสู่ต่างจังหวัดในช่วงวันหยุดเทศกาลที่ผ่านมา

ท้ั้งหมดทั้งปวง อย่าลืมว่า ล้วนเกิดจากอภินิหารแห่งมาตรา 44 จึงทำให้คสช.ทำตามสัญญาโดยใช้เวลาอีกไม่นาน ไม่ต้องผ่านกระบวนการตามขั้นตอนราชการอันยุบยับ แบบว่า ใช้ทางลัดบริหารประเทศรวดเร็วเห็นผลกว่า

หลังจากผ่านวันนี้ไป(22 พ.ค.62 ) จะไม่ใช่ 5 ปีคสช. จะไม่มีมาตรา 44 มีแต่รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันตามระบอบประชาธิปไตย 

รัฐบาลใหม่จะทำตามสัญญา สร้างผลงานออกมาเป็นเช่นไร  …ขอเวลาอีกไม่นาน ใกล้ถึงบทพิสูจน์

ปชป.ลุ้นหน.คนใหม่”จะสู้ทุนสามานย์หรือพลเอกประยุทธ์”

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/politic/report/589144

  • วันที่ 15 พ.ค. 2562 เวลา 09:16 น.

ปชป.ลุ้นหน.คนใหม่"จะสู้ทุนสามานย์หรือพลเอกประยุทธ์"

“หมอวรงค์” ลั่น เที่ยงวันนี้ รู้ผล เลือกหน.ปชป. จะสู้กับทุนสามานย์ หรือ พลเอกประยุทธ์

เมื่อวันที่ 15 พ.ค.  นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) โพสต์เฟซบุ๊ก ถึงการเลือกหัวหน้าพรรค ปชป.คนใหม่วันนี้ ว่า วันนี้ 15 พ.ค. ประมาณเที่ยงวัน ก็จะรู้แล้วว่า อนาคตพรรคประชาธิปัตย์จะไปทางไหนครับ

จะอยู่ภายใต้สิ่งแวดล้อมแบบเดิมๆ หรือจะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่

จะสู้กับทุนสามานย์หรือพลเอกประยุทธ์

จะเลือกผู้นำพรรคเพื่อหาทางออกประเทศที่คิดตรงใจประชาชนหรือไม่

…………ต้องเปลี่ยนครับ………….

“ชุมชนโค้งรถไฟยมราช” พื้นที่ที่ “โอกาสยังมาไม่ถึง”

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/politic/report/587993

  • วันที่ 02 พ.ค. 2562 เวลา 12:14 น.

"ชุมชนโค้งรถไฟยมราช" พื้นที่ที่ "โอกาสยังมาไม่ถึง"

ชีวิตที่คนเมืองไม่เคยทราบของชุมชนโค้งรถไฟยมราช ที่หลายคนเรียกว่าบ้าน

ไม่ไกลจากย่านธุรกิจ ใจกลางกรุงเทพ สถานที่ซึ่งพวกเขาเรียกว่า “บ้าน” แห่งนี้ ตั้งอยู่บริเวณบางทางเข้า ชุมชนโค้งรถไฟยมราช และนับเป็นบ้านหลังแรกของชุมชน บ้านหลังนี้ มีเนื้อที่ขนาดประมาณ 4 ตารางเมตรบรรจุ 13 ชีวิต เป็นเด็กวัยเรียนถึง 10 คน บริเวณหน้าบ้านและหลังบ้าน มีรถไฟวิ่งผ่านแทบจะตลอดทั้งวัน ขบวนสุดท้ายของวัน คือช่วงประมาณตี 2 ขณะอีกด้านหนึ่งติดกับตัวบ้าน เป็นที่ตั้งของกองขยะ และเป็นจุดที่เด็กๆ ในบ้านใช้เป็นสนามเด็กเล่นทุกๆ วันหลังเลิกเรียน

จิรา ศรีเจริญ หรือที่คนในชุมชนนี้เรียกว่า “ป้าเตี้ย” เจ้าของบ้านหลังนี้ ผู้ปกครองของเด็กทั้ง 10 คน เล่าว่า แม้เด็กแต่ละคนจะมีสถานะเป็นหลาน แต่เด็กทุกคนก็เรียกยายของตัวเองจนติดปากว่า “แม่” เพราะได้ดูแลพวกมาตั้งแต่แบเบาะ

“ทั้งพ่อและแม่ ต้องออกไปทำงาน ไม่มีเวลามาเลี้ยงดู ก็กลายเป็นภาระของเราต้องดูแล แต่เด็กพวกนี้เลี้ยงง่าย ถึงจะดื้อบ้าง ซนบ้าง ตามประสาวัยเด็กแต่ก็เป็นเด็กดีเชื่อฟัง คนโต ชื่อป.(นามสมมติ) เริ่มเก่ง มีฝีมือช่วยงานบ้าน ช่วยร้อยมาลัยได้ แบ่งเบาภาระได้บ้าง คนเล็กๆ พวกนี้มีดื้อบ้างชอบแอบกินแป้ง แป้งทาตัวนี่แหละ กินกันเป็นกระป๋องๆ ห้ามก็ไม่ค่อยฟัง นิสัยนี้คงจะติดมาจากแม่ แม่ของเด็กพวกนี้ชอบแอบกินยากันยุง จุดไว้ก็แอบดับแล้วหักมากิน เราก็กลัวว่ากินไปแล้วจะเมา หรือจะเป็นอะไรไป ก็พาไปหาหมอ ไปถึงโรงพยาบาลก็ไปบอกหมอว่า ถ้าไม่กินจะมีอาการไข้ขึ้น ทำงานไม่ได้ ก็ต้องปล่อยให้กินไป” ป้าเตี้ยสะท้อนถึงชีวิตความเป็นอยู่ของลูก และหลานๆ

จิรา บอกอีกว่า เด็กทุกคนตั้งใจเรียน แต่อุปกรณ์หลายๆ อย่างที่พวกเขาอยากได้ ก็เกินกำลังที่จะจัดหามาได้ ที่พอที่จะซื้อให้ได้ก็ต้องแบ่งกันใช้ พวกเขายังขาดแคลนชุดนักเรียน เพราะเงินอุดหนุนที่โรงเรียนจัดให้ ประมาณ 500 บาท ไม่เพียงพอ

“โรงเรียนให้ค่าชุดนักเรียนคนละ 310 บาท ค่าอุปกรณ์ คนละ 195 บาท ขาดเหลือจากนี้เราก็ต้องซื้อเอง หลาน 10 คน ก็เกินกำลัง ไหนจะค่ารถ ก็ใช้วิธีเหมารถตุ๊กตุ๊ก วันละ 40 บาท ให้เงินไปโรงเรียนคนละ 10 บาท ตอนเช้าตอนเที่ยงก็กินข้าวของโรงเรียน กลับมากินข้าวเย็นที่บ้าน เด็กพวกนี้กินง่าย ข้าวไข่เจียว ผัดผักก็กินกันได้ ถ้าถามว่า อยากได้ความช่วยเหลือเรื่องอะไร ก็บอกเลยว่าเรื่องอุปกรณ์การเรียน ตอนนี้เกินกำลังจริงๆ เราอยากให้เขาทุกคนได้เรียนสูงๆ เท่าที่จะมีกำลังส่งพวกเขาเรียนได้ เพราะไม่อยากให้มีอนาคตเหมือนเรา ” ป้าเตี้ยเล่า

ป.(นามสมมติ) ซึ่งกำลังเรียนอยู่ชั้นประถมปีที่ 5 ทุกๆ วันหลังกลับจากโรงเรียนจะต้องรับภาระช่วยแบ่งเบางานบ้านของยายและดูแลเด็กๆ คนอื่นในบ้านหลังนี้ เล่าว่า โตขึ้นอาชีพในฝันที่เขาอยากเป็นก็คือ ทหาร เมื่อถามถึงเหตุผลว่า ทำไมถึงอยากเป็นทหาร หนึ่งสมาชิกตัวน้อยในบ้านก็แย่งตอบแทนพี่ด้วยเสียงดังหนักแน่นว่า “อยากรับใช้ชาติ อยากตายเพื่อชาติ

นั่นเป็นเพียงภาพสะท้อนจากบ้านหลังหนึ่งในชุมชนแห่งนี้ ซึ่ง “ครูจิ๋ว” ทองพูล บัวศรี ผู้จัดการโครงการ มูลนิธิสร้างสรรค์เด็ก ขยายความให้ฟังว่า เด็กๆในชุมชนนี้ ซึ่งมีอยู่ประมาณ 120 คน ส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม ครอบครัวมีฐานะเป็นคนจนเมือง มีภาระหนี้สิน การศึกษาไม่สูง และประกอบอาชีพที่ไม่แน่นอน บางคนประกอบอาชีพขายดอกไม้ ขายพวงมาลัยริมถนนไม่ไกลจากชุมชนโค้งรถไฟยมราช บางคนก็ไปขอทานบริเวณซอยนานา ที่ผ่านมาแม้หน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องพยายามเข้าไปช่วยเหลือ แต่เข้าถึงชุมชนนี้ได้ยากหลายคนปฏิเสธความร่วมมือเพราะคิดว่าเจ้าหน้าที่รัฐจะมาไล่ที่

ศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ อาจารย์คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ปรึกษากองทุนเพื่อความเสมอภาคด้านการศึกษา (กสศ.) กล่าวว่า เคยมีตัวเลขที่ระบุถึง ตัวเลขกลุ่มเด็กยากจนพิเศษ จำนวน 476,000 คน ส่วนใหญ่อยู่ในครอบครัวที่พ่อแม่แยกทาง และมักจะหลุดจากระบบการศึกษา และมีวงจรชีวิตที่ต้องอยู่กันแบบตามมีตามเกิดตั้งแต่รุ่นพ่อแม่และส่งมอบมรดกความยากจนไปถึงลูกๆ มีสภาพความเป็นอยู่ที่ยากจะหลุดพ้นจากวงจรนี้ ไม่น่าเชื่อว่าพื้นที่ที่อยู่ไม่ไกลจากความเจริญในกรุงเทพฯจะมีสภาพที่แตกกันขนาดนี้

“เท่าที่ได้คุยกับคนในชุมชน บางคนต้องขายพวงมาลัยดอกจำปีมาแล้ว ถึง 40 ปี พวกเขาต้องการการจัดการชีวิตที่มีระบบให้หลุดพ้นจากวงจรเดิมๆ ซึ่งเป็นเรื่องที่ทำได้ หากได้รับความร่วมมือจากทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่ต้องจับมือกัน แก้ปัญหาอย่างต่อเนื่อง ทั้งระยะสั้นและระยะยาว และต้องเป็นการแก้ที่ถูกจุด แก้ไขที่รากเหง้าของปัญหาให้ได้ เมื่อได้มาพูดคุยก็พบว่า เด็กๆ หลายคนตั้งใจเรียน แต่พวกเขาต้องทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย ทำงานหนัก นอนดึก ไปเรียนก็เรียนไม่ไหว เรียนไม่รู้เรื่อง สุดท้ายก็ต้องถอดใจ อย่างไรก็ตาม เบื้องต้นพวกเขาควรจะได้รับความช่วยเหลือด้านอุปกรณ์การเรียนที่จำเป็น เช่นรองเท้านักเรียน หรือชุดนักเรียน เพราะเงินอุดหนุนที่ได้รับนั้นไม่เพียงพอ” ศ.ดร.สมพงษ์ กล่าว

อย่างไรก็ตาม กองทุนเพื่อความเสมอภาคด้านการศึกษา ได้ลงพื้นที่เพื่อสำรวจปัจจัยด้านต่างๆ ที่ยังขาดแคลน เพื่อประสานกับหน่วยงานต่างๆในการเข้าไปช่วยเหลือเด็กๆในชุมชนแห่งนี้ต่อไป

การเมืองหลัง 6 ตุลาฯ บทเรียนเปลี่ยนผ่านประชาธิปไตย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/politic/report/585095

  • วันที่ 31 มี.ค. 2562 เวลา 09:23 น.

การเมืองหลัง 6 ตุลาฯ บทเรียนเปลี่ยนผ่านประชาธิปไตย

แม้ 4 ปีหลัง 6 ตุลาฯ2519 จะเป็นช่วงเวลาแห่งความสับสนวุ่นวาย แต่ก็เกิดสิ่งใหม่ๆ โดยเฉพาะกลุ่มพลังทางการเมือง ซึ่งมีผลต่อพัฒนาการทางการเมืองในระยะต่อมา

***********************

โดย…อภิวัจ สุปรีชาวุฒิพงศ์

ประวัติศาสตร์การเมืองไทยหลายยุคหลายเหตุการณ์นั้นมีประเด็นร่วมที่น่าสนใจประการหนึ่ง นั่นคือ การฝ่าวิกฤตที่เกิดขึ้นโดยการเปลี่ยนแปลงเชิงอำนาจอาจเป็นทางออกที่รวบรัด แต่การครองอำนาจก็ใช่ว่าจะรวบรัดเอาไว้ได้ตลอดไป ถึงที่สุดแล้วก็ต้องเปลี่ยนผ่านกลับเข้าสู่แนวทางการผ่อนปรน และคืนอำนาจให้แก่ประชาชน

สถานการณ์ทางการเมืองช่วงปี 2518-2519 อาจเรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาแห่งความพรั่นพรึงของสังคมไทย ท่ามกลางสถานการณ์โลกที่สงครามเย็นยังคุกรุ่น สถานการณ์รอบประเทศ ลาวเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นคอมมิวนิสต์ เวียดนามเหนือบุกเข้ายึดเวียดนามใต้ และเขมรแดงได้ชัยชนะปกครองกัมพูชา ตามทฤษฎีโดมิโนแล้วไทยกำลังตกอยู่ในภัยคุกคามที่น่าวิตก

ขณะที่สถานการณ์ในประเทศ ความรุนแรงในเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ 2519 จบลงด้วยการยึดอำนาจรัฐบาล ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช โดยคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ที่มี พล.ร.อ.สงัด ชลออยู่ รมว.กลาโหมในขณะนั้นเป็นหัวหน้า ได้แต่งตั้ง ธานินทร์ กรัยวิเชียร ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกาขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี

สิ่งสำคัญประการหนึ่งในการยึดอำนาจทุกครั้ง คือ การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจ โยกผู้ที่อาจเป็นปฏิปักษ์ออกไปและนำคนฝ่ายตนเองเข้ามาแทนที่ โดยหนึ่งในนั้น คณะปฏิรูปฯ มีคำสั่งปลด พล.อ.ฉลาด หิรัญศิริ นายทหารประจำกองบัญชาการทหารสูงสุดออกจากราชการ ฐานไม่มารายงานตัวตามคำสั่งคณะปฏิรูปฯ

พล.อ.ฉลาด เป็นนายทหารที่ผ่านการรบในสงครามเกาหลีและสงครามเวียดนาม และมีบทบาททางการเมืองเด่นชัดขึ้นในสมัยรัฐบาล ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ซึ่งแต่งตั้งเลื่อนตำแหน่งจากผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก (ผู้ช่วย ผบ.ทบ.) เป็นรอง ผบ.ทบ.เพื่อเตรียมขึ้นดำรงตำแหน่ง ผบ.ทบ.

แต่เมื่อสิ้นยุค ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ และ ม.ร.ว.เสนีย์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รัฐบาลในสมัยต่อมา พล.อ.ฉลาด ก็ถูกเด้งพ้น 5 เสือ ทบ.ไปประจำกองบัญชาการทหารสูงสุด

พ.ท.สนั่น ขจรประศาสน์ (ยศในขณะนั้นต่อมาจึงได้ยศพลตรี) อดีตทหารคนสนิท พล.อ.ฉลาด เขียนไว้ในหนังสืออัตชีวประวัติ “ล้วนเป็นผมลิขิตชีวิตเอง”ว่า พล.อ.ฉลาด พูดบ่อยครั้งว่าการยึดอำนาจของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน จากรัฐบาล ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช เมื่อวันที่ 6 ต.ค. 2519 นั้น เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง เพราะว่ารัฐบาลมาจากประชาธิปไตย ก็ต้องให้แก้ไขด้วยหนทางประชาธิปไตย

นี่อาจเป็นเหตุผลทำให้ พล.อ.ฉลาด ไม่ไปรายงานตัวตามคำสั่งคณะปฏิรูปฯ แต่กลับเรียกนายทหารระดับผู้บังคับหน่วยไปประชุม ซึ่งมองได้ว่าเป็นการแสดงออกถึงการไม่ยอมรับอำนาจของคณะปฏิรูปฯ

หลังถูกปลด พล.อ.ฉลาด ตัดสินใจบวชที่วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร พร้อมกับแผนการยึดอำนาจซึ่งเกิดขึ้นในอีก 5 เดือนต่อมา

เช้ามืดวันที่ 26 มี.ค. 2520 กำลังทหารจากกองพลทหารราบที่ 9 (พล.ร.9) จ.กาญจนบุรี 300 นาย นำโดย พ.ต.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ (ยศในขณะนั้น) หรือ เสธ.อ้าย ผู้บังคับกองพันที่ 2 และ 3 พล.ร.9 กระจายกำลังเข้ายึดสถานที่สำคัญ 4 แห่ง คือ ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบก สวนรื่นฤดี กองบัญชาการกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ กองบัญชาการทหารสูงสุดส่วนหน้า สนามเสือป่า และกรมประชาสัมพันธ์

หลังเคลื่อนกำลังเข้ายึดจุดต่างๆ ได้ตามแผน พระภิกษุฉลาดจึงลาสิกขาจากวัดบวรนิเวศ ในช่วงเช้ามืดวันที่ 20 ต.ค. 2520 เพื่อมาบัญชาการแผนยึดอำนาจด้วยตนเอง

พล.อ.ฉลาด ออกประกาศทางวิทยุกระจายเสียง อ้างถึงความเสื่อมโทรมทางด้านต่างๆ ของประเทศ โดยอ้างว่าการยึดอำนาจ “เพื่อเป็นแกนกลางของบรรดาผู้รักชาติ ที่จะร่วมมือกันที่จะแก้ไขสถานการณ์ของบ้านเมืองให้ดีขึ้น และเพื่อสถาปนาการปกครองระบบประชาธิปไตยให้สำเร็จ โดยเร็วที่สุด”

แต่ความผิดพลาดของแผนครั้งนี้ คือ กองกำลังในเขตกรุงเทพมหานครที่นัดแนะกันออกมายึดอำนาจ ไม่นำกำลังเข้าร่วมตามที่ตกลงกันไว้ ในช่วงบ่ายของวันนั้นกำลังของฝ่ายรัฐบาลก็ปิดล้อมกองกำลังของฝ่าย พล.อ.ฉลาด ไว้ได้ทั้งหมด

อย่างไรก็ตาม เกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้น เมื่อ พล.อ.ฉลาด ยิง พล.ต.อรุณ ทวาทศินผู้บัญชาการกองพลที่ 1 รักษาพระองค์เสียชีวิต

พล.ต.สนั่น เขียนไว้ในหนังสือ “ล้วนเป็นผมลิขิตชีวิตเอง” ความว่า

พล.อ.ฉลาด นั่งอยู่ที่หัวโต๊ะ พล.ต.อรุณ นั่งอยู่ข้างๆ ด้านหลัง พล.ต.อรุณ มีทหารถือเป็นเอ็ม 16 รักษาการณ์อยู่ พล.ต.อรุณ ลุกขึ้นไปชงกาแฟ แล้วยื่นให้ พล.อ.ฉลาด เมื่อพล.อ.ฉลาด รับถ้วยกาแฟแล้วเดินออกไปที่หน้าต่าง ระหว่างนั้น พล.ต.อรุณ กลับมาที่นั่งตัวเองและเข้าแย่งปืนจากทหาร เกิดการยื้อยุดกัน พล.อ.ฉลาด สั่งให้ พล.ต.อรุณ วางปืนและยิง พล.ต.อรุณ เสียชีวิต

การตายของ พล.ต.อรุณ เป็นประเด็นที่วิเคราะห์กันว่า คือสาเหตุที่รัฐบาลยกเลิกข้อตกลงส่งคณะผู้ก่อการลี้ภัยไปไต้หวัน และอีก 1 เดือนถัดมา ศาลพิเศษก็ตัดสินประหารชีวิต พล.อ.ฉลาด เมื่อวันที่ 21 เม.ย. 2520

แม้คณะปฏิรูปฯ จะสามารถจัดการกลุ่มทหารที่คิดยึดอำนาจซ้อนได้แล้ว แต่สถานการณ์ในประเทศจากการปกครองของรัฐบาลธานินทร์ก็ไม่สามารถทำให้เกิดความสงบได้ มีการจำกัดสิทธิเสรีภาพ โดยเฉพาะการสั่งปิดหนังสือพิมพ์จำนวนมาก รวมทั้งการดำเนินคดีนักศึกษาและประชาชนในคดีการเมือง ซึ่งเป็นผลพวงตามมาจากเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ

แรงบีบคั้นทางการเมืองเหล่านี้ส่งผลให้มีผู้เข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) เป็นจำนวนมาก จน พคท.สามารถขยายเขตงานออกไปได้อย่างกว้างขวาง

ขณะที่รัฐบาลธานินทร์ มีแนวทางพัฒนาประชาธิปไตยในเวลารวมแล้วถึง 12 ปี ซึ่งกลุ่มต่างๆ ในสังคมขณะนั้นเห็นว่ายาวนานเกินไป

ในที่สุด หลังการประหารชีวิต พล.อ.ฉลาด เมื่อเดือน เม.ย. อีก 6 เดือนต่อมา ในวันที่ 20 ต.ค. 2520 พล.ร.อ.สงัด หัวหน้าคณะปฏิรูปฯ ก็ตัดสินใจยึดอำนาจรัฐบาลธานินทร์ และแต่งตั้ง พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี พร้อมกับยกร่างรัฐธรรมนูญและประกาศใช้ช่วงปลายปี 2521 นำมาซึ่งการเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 22 เม.ย. 2522 เป็นครั้งแรกในรอบ 4 ปี หลังการยึดอำนาจ 6 ตุลาฯ 2519

แม้ 4 ปีหลัง 6 ตุลาฯ จะเป็นช่วงเวลาแห่งความสับสนวุ่นวาย แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในยุคสมัยแห่งความหวั่นวิตกนี้ก็เกิดสิ่งใหม่ๆ โดยเฉพาะกลุ่มพลังทางการเมือง ซึ่งมีผลต่อพัฒนาการทางการเมืองในระยะต่อมา อาทิ กลุ่มทหารยังเติร์ก ซึ่งมีบทบาทสำคัญในยุค พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ การพัฒนาพรรคการเมือง การเข้าสู่การเมืองของกลุ่มต่างๆ ทั้งกลุ่มทุน นักวิชาการ ตัวแทนกลุ่มอาชีพต่างๆ ในสังคม และการปรับเปลี่ยนนโยบายทั้งการเมืองในประเทศและนโยบายความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ซึ่งนำพาประเทศไทยผ่านพ้นวิกฤตมาได้

สิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดขึ้นและบ่มเพาะในยุคแห่งความสับสนวุ่นวาย เพื่อเติบโตและส่งผลในยุคที่ประชาธิปไตยมีพัฒนาการมากขึ้นในยุคต่อๆ มา

แน่นอนว่าต่างยุคสมัย เหตุปัจจัยแห่งวิกฤตย่อมต่างกัน คงมีแต่วิถีและกระบวนการทางประชาธิปไตยเท่านั้นที่จะนำพาให้เราผ่านพ้นไปได้

บิ๊กตู่ “ลุ้นใบแดง-งูเห่า” ตั้งรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/politic/report/584782

  • วันที่ 28 มี.ค. 2562 เวลา 06:53 น.

บิ๊กตู่ "ลุ้นใบแดง-งูเห่า" ตั้งรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ

โดย…ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์

บรรยากาศการเมืองยังคงอยู่ในช่วง”ฝุ่นตลบ” ต่อเนื่องเป็นต้นมา หลังการเลือกตั้งวันที่ 24 มี.ค. ท่ามกลางการเคลื่อนไหวของขั้วการเมืองที่พยายามผนึกกำลังรวมเสียงให้ได้มากที่สุดสำหรับจัดตั้งรัฐบาล โดยไม่ต้องรอการประกาศผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ ที่คณะกรรมการการเลือกตั้งคาดว่าจะสามารถทำได้ในวันที่ 9 พ.ค.นี้

ยิ่งในสถานการณ์ที่การรวมเสียงของทั้งสองขั้ว ดูจะปริ่มน้ำใกล้เคียงกันเป็นอย่างมาก การชิงจังหวะออกมาเปิดตัวแสดงความพร้อมของแต่ละฝั่ง ย่อมเป็นการเคลื่อนไหวที่ต้องจับตา ซึ่งเป็นทั้งการ “ล็อกเสียง” ฝั่งตัวเองไม่ให้รั่วไหลออกไปไหนในช่วงเวลานับจากนี้ อีกทั้งยัง “ตีกัน” คู่แข่งที่มีเสียงน้อยกว่าไม่ให้รวมเสียงขึ้นมาสู้ อันจะผิดธรรมเนียมตามกติกาประชาธิปไตย

ดังจะเห็นจากการเปิดแถลงข่าวอย่างเป็นทางการของพรรคเพื่อไทยร่วมกับพรรคฝ่ายประชาธิปไตย คือ พรรคอนาคตใหม่ เศรษฐกิจใหม่ เสรีรวมไทย เพื่อชาติ ประชาชาติ ที่โรงแรมแลงคาสเตอร์ ถนนเพชรบุรี ตัดใหม่ นำโดย คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทย ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ วันมูหะมัดนอร์ มะทา หัวหน้าพรรคประชาชาติ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย

คุณหญิงสุดารัตน์ ระบุว่า จากที่ได้พูดคุยถึงแนวทางการทำงาน และประกาศเป็นสัญญาประชาคมระหว่างการเลือกตั้ง ว่า จะหยุดยั้งการสืบทอดอำนาจของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และจะทำตามสัญญาประชาคม และจากเจตนาของประชาชนที่ได้เลือกเรามา พรรคฝั่งประชาธิปไตยได้เสียงมากสุด แม้ว่าจะยังไม่นิ่ง แต่ก็ได้ไม่ต่ำกว่า 255 เสียงแล้ว

“ถือว่า ขณะนี้เราเป็นพรรคที่เป็นประชาธิปไตยและไม่สืบทอดอำนาจ ที่ได้เสียงข้างมาก ‘ฉันทานุมัติ’ จากประชาชนแล้ว ซึ่งเราจะทำตามสัญญาประชาคม ว่าจะหยุดอำนาจ เราจะทำตามความคาดหวัง และเดินตามกติกาอย่างมีมารยาท พร้อมส่งเสริมให้มีวัฒนธรรมการเมืองในเชิงสร้างสรรค์”

แต่อีกด้านหนึ่งทางฝั่งพรรคพลังประชารัฐก็เตรียมประกาศความชัดเจนของฝั่งตัวเอง โดย อุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวว่า ไม่มีความกังวลใดๆ เกี่ยวกับที่พรรคเพื่อไทยจะชิงจัดตั้งรัฐบาลก่อน โดยถูกมองว่าเป็นการประกาศรวมเสียงเดินหน้าจัดตั้งรัฐบาลเช่นกัน

ทั้งนี้ ประเมินแล้วสาเหตุที่พรรคพลังประชารัฐยังสามารถจะเดินหน้าจัดตั้งรัฐบาลแข่งกับฝั่งเพื่อไทยได้มาจาก 2 สาเหตุสำคัญ เริ่มตั้งแต่เรื่องแรก ผลการเลือกตั้งที่ยังไม่นิ่ง จนกว่าจะมีการประกาศผลชัดเจนอย่างเป็นทางการ รวมไปถึงการตัดสิทธิ ให้ใบเหลือง ใบแดง นับจากนี้ อันจะเป็นปัจจัยที่มีผลต่อเนื่องไปถึงการเปลี่ยนแปลงจำนวนเก้าอี้ของแต่ละพรรค

ดังจะเห็นจากที่ วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ระบุถึงการแถลงข่าวของฝั่งพรรคเพื่อไทยว่า ใครที่คิดว่าตัวเองมีความพร้อมที่จะทำและช่วงชิงอะไรก็ทำไป แต่ไม่ได้มีผลจริงจังอะไร มีผลด้านจิตวิทยาและการรับรู้ของสังคมในระดับหนึ่งเท่านั้น แต่จะสิ้นสุดและยุติไม่ได้ เพราะผลอย่างไม่เป็นทางการเพียง 95% เพิ่งจะประกาศไป ยังมีที่เหลืออีกหลายคะแนนอยู่

อีกทั้ง ต่อจากนี้จะต้องมีการดำเนินคดีและดำเนินการอีกหลายเรื่อง เพราะมีผู้มาร้องเรียนเรื่องการเลือกตั้งหลายรายที่จะต้องมีการตรวจสอบก่อน ฉะนั้นทั้งหมดจึงยังไม่มีความแน่นอนอะไรตราบใดที่ยังไม่มีการโหวตนายกรัฐมนตรีก็ยังไม่มีความชัดเจน เป็นเรื่องธรรมดา เพราะขนาดจับมือรับปาก ลงชื่อตามสัตยาบัน ก็อาจจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้

การพิจารณารับรองผู้สมัคร ของ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ตลอดจนการให้ใบเหลืองใบแดง ใบส้ม ต่อจากนี้ของ กกต. จึงถือเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่จะมีผลต่อคะแนนเสียงของแต่ละพรรค และจะมีผลต่อเนื่องไปถึงการจัดตั้งรัฐบาลนับจากนี้ต่อไป ดังนั้นในวันที่ กกต.ถูกวิพากษ์วิจารณ์ในประเด็นการทำหน้าที่ การทำงานของ กกต.ในเวลานี้ย่อมจะต้องถูกจับตาอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในวันที่มีการล่ารายชื่อถอดถอน กกต.หลายแสนคน

อีกประเด็นที่ทำให้ พรรคพลังประชารัฐยังสามารถตั้งรัฐบาลแข่งได้มาจาก บรรดา “งูเห่า” ที่มีแนวโน้มว่าจะเกิดขึ้นต่อจากนี้ ซึ่งจะเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้พรรคพลังประชารัฐกล้าตั้งรัฐบาลในภาวะเสียงปริ่มน้ำ จนสุ่มเสี่ยงต่อเสถียรภาพในการบริหารประเทศ

แม้เบื้องต้นในขั้นตอนการเลือกนายกรัฐมนตรี จะไม่เป็นปัญหาสำหรับพรรคพลังประชารัฐ เพราะมี 250 เสียง ของ สว.เฉพาะกาลที่พร้อมจะ เทมาสนับสนุน แต่ในการบริหารงานนั้น ลำพังเสียงปริ่มน้ำของรัฐบาลพรรคพลังประชารัฐ ย่อมไม่ง่ายในการลงมติในสภาแต่ละครั้ง แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ใช่เรื่องยาก เพราะรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ให้การตัดสินใจของ สส.เป็นอิสระ ไม่ต้องขึ้นกับมติพรรคโอกาสที่จะเกิด “งูเห่า” จากพรรคอื่นมาโหวตสนับสนุน ย่อมเป็นไปได้

แต่จุดที่ต้องจับตาคือท่าทีของพรรคภูมิใจไทยเวลานี้ ซึ่ง อนุทิน  ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรค ระบุว่า จุดยืนของพรรคคือการไม่สนับสนุนให้มีนายกที่มีเสียงข้างน้อยในสภานั่นเอง การประกาศตัวสนับสนุนขั้วใดขั้วหนึ่งย่อมมีผลต่อการชี้ขาดการจัดตั้งรัฐบาลในอนาคต

เส้นทางการจัดตั้งรัฐบาลนับจากนี้จึงมีปัจจัยต่างๆ ที่ล้วนแต่จะมีผลต่อทุกคะแนนเสียง ซึ่งต้องจับตาอย่างใกล้ชิดต่อไป

บัตรเลือกตั้งฉาว ฉุดเชื่อมั่นผลเลือกตั้ง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/politic/report/584673

  • วันที่ 27 มี.ค. 2562 เวลา 08:12 น.

บัตรเลือกตั้งฉาว ฉุดเชื่อมั่นผลเลือกตั้ง

โดย…ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์

ปัญหาอันสืบเนื่องจากการทำงานของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เมื่อวันเลือกตั้ง 24 มี.ค.ที่ผ่านมา ทั้งเรื่องการวินิจฉัยบัตรดี บัตรเสีย ไปจนถึงบัตรเกิน ต่อเนื่องไปจนถึงเรื่องการรับส่งบัตรเลือกตั้งจากต่างประเทศล่าช้า และอีกหลายเรื่อง กำลังเป็นปัจจัยฉุดรั้งความเชื่อมั่นต่อการทำหน้าที่ของ กกต. และยังอาจบานปลายไปสู่ความเชื่อมั่นต่อผลการเลือกตั้งในครั้งนี้ด้วย

เริ่มตั้งแต่ประเด็นแรก การรายงานผลการเลือกตั้งช่วงหลังปิดหีบเลือกตั้ง ที่แต่ละสื่อรายงานด้วยข้อมูลที่แตกต่างกันทั้งที่เป็นข้อมูลชุดเดียวกันที่มาจาก กกต. จนทำให้เกิดความสับสนสำหรับประชาชนผู้ติดตามและเกิดความสงสัยถึงที่มาและความถูกต้องของชุดข้อมูล

ทั้งนี้ ทาง กกต.ชี้แจงว่า กกต.ได้ป้อนข้อมูลดิบให้กับสื่อมวลชนแต่ละสำนัก ซึ่งเป็นผลคะแนนที่ทาง กกต.ได้รับจากการนับคะแนนในเขตเลือกตั้งต่างๆ ผ่านแอพพลิเคชั่นแรพพิดรีพอร์ต ส่วนการนำเสนอออกไปทางจอทีวีของแต่ละช่องเป็นการตัดสินใจของแต่ละช่องเอง จึงทำให้คะแนนที่ออกมาอาจจะดูเหมือนไม่ตรงกัน ซึ่งขึ้นอยู่กับระบบประมวลผลของแต่ละช่องที่นำมาใช้

อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่ามีปัญหาความผิดพลาดของการป้อนข้อมูล เนื่องจากเกิดจากความผิดพลาดของการป้อนข้อมูล ที่ได้รับความร่วมมือจากประชาชนอาสามัครที่เข้ามาช่วยในการปฏิบัติงาน อีกทั้งยังยอมรับว่ามีผู้ที่พยายามจะเข้าถึงข้อมูลในระบบการรายงานผลคะแนนโดยไม่ได้รับอนุญาต

ต่อเนื่องมาจนถึงประเด็นเรื่องบัตรเกินในหลายพื้นที่ เช่น เขตเลือกตั้งที่ 9 กทม. พื้นที่หลักสี่ ซึ่งถูกตั้งข้อสังเกตภายหลัง สิระ เจนจาคะ ผู้สมัครจากพรรคพลังประชารัฐ คะแนนกลับมาพลิกชนะ สุรชาติ เทียนทอง จากพรรคเพื่อไทย แต่เมื่อพิจารณาในรายละเอียดกลับพบว่ามีประชาชนมาใช้สิทธิน้อยกว่าบัตรที่ลงคะแนน

กลายเป็นประเด็นที่ทาง ลดาวัลลิ์ วงศ์ศรีวงศ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ออกมาเรียกร้องให้ กกต.เร่งตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีบัตรผีโผล่ใน 10 จังหวัดที่เผยแพร่ในโซเซียลมีเดีย โดยมีการเปรียบเทียบจำนวนผู้มีสิทธิกับจำนวนผู้มาใช้สิทธิ อาทิ จ.เชียงราย เชียงใหม่ ตรัง ตราด ตาก นครนายก นครปฐม นครพนม นครราชสีมา และนครศรีธรรมราช รวมทั้งข้อมูลในเขตหลักสี่ซึ่งมีบัตรเกินด้วย

อีกด้านหนึ่งในโซเชียลมีเดียยังปรากฏคลิปวิดีโอการนับคะแนนในหน่วยเลือกตั้ง ซึ่งพบว่ามีการขานคะแนนผิดจากบัตรดีเป็นบัตรเสีย บัตรเสียเป็นบัตรดี จนกลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างแพร่หลาย

ก่อนที่ตัวแทนจากพรรคอนาคตใหม่ จะเดินทางมายื่นหนังสือถึง  อิทธิพร บุญประคอง ประธาน กกต. เพื่อขอใช้สิทธิเข้าถึงข้อมูลข่าวสารตาม ม.11 พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของข้าราชการ พ.ศ. 2540 โดยขอให้เปิดเผยข้อมูล 4 ประเด็น คือ

1.ผลการนับคะแนนเสียงเลือกตั้งทั่วประเทศ 2.จำนวนผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียง 3.จำนวนผู้มาใช้สิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้งในแต่ละหน่วยเลือกตั้งทั่วราชอาณาจักร และ 4.จำนวนบัตรเลือกตั้งที่ กกต.ส่งไปยังหน่วยเลือกตั้งทั่วราชอาณาจักร เนื่องจากเห็นว่าการนับคะแนนเมื่อวันที่ 24 มี.ค.ที่ผ่านมา มีความเคลือบแคลงในความสุจริตเที่ยงธรรมในการจัดการเลือกตั้ง ทั้งเรื่องการไม่นับคะแนน ณ ที่เลือกตั้งโดยเปิดเผยในหน่วยเลือกตั้งหลายแห่ง มีการประวิงเวลาในการนับคะแนนไปจนถึงการเปลี่ยนแปลงผลคะแนนลดลงของพรรคการเมืองอย่างมีนัยสำคัญ

โดยทั้งหมดทาง กกต.ระบุว่า ต้องใช้เวลาตรวจสอบ และจะแถลง อีกครั้งในวันที่ 29 มี.ค.โดยจะรวบรวมรายละเอียดข้อร้องเรียนต่างๆ จากทั้ง 350 เขต

ที่สำคัญ กระแสความไม่พอใจต่อการทำหน้าที่นำมาสู่การล่ารายชื่อถอด กกต.ผ่านเว็บไซต์ change.org ซึ่งมียอดสูงกว่า 5 แสนคน และยังคงมีคนลงรายชื่อต่อเนื่อง

ปัญหาที่เกิดขึ้นล้วนแต่ซ้ำเติมความเชื่อมั่นในการทำหน้าที่ควบคุมการเลือกตั้งของ กกต. ให้เป็นไปโดยบริสุทธิ์ยุติธรรม แต่หากย้อนไปดูก่อนหน้านี้ กกต.ล้วนแต่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ถึงการทำหน้าที่ ทั้งเรื่องการแบ่งเขตเลือกตั้งที่พรรคการเมืองออกมาสะท้อนความเห็นว่าอาจเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับพรรคใดหรือไม่ หรือก่อนหน้านี้ที่จะจัดพิมพ์บัตรเลือกตั้งโดยไม่ใส่ชื่อหรือโลโก้พรรคที่ถูกวิจารณ์จนต้องนำไปปรับแก้

ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจึงล้วนแต่สร้างความไม่มั่นใจให้กับบรรดาผู้สมัครและประชาชนคนทั่วไปว่า ผลการเลือกตั้งที่ออกมานั้นน่าเชื่อถือเพียงไร เมื่อยังมีปัญหาในการนับคะแนนจนถึงเรื่องบัตรเกิน ยังไม่รวมกับประเด็นการทำหน้าที่ประกาศรับรองผลการเลือกตั้ง การให้ใบเหลือง ใบส้ม กับบรรดาผู้สมัครในช่วงเวลานับจากนี้ ซึ่งจะถือเป็นอีกกระบวนการสำคัญ และยังมีผลต่อเนื่องไปถึงความพยายามในการรวมเสียงจับขั้วตั้งรัฐบาลในเวลานี้

โดยเฉพาะในช่วงเวลานี้อันถือเป็นช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญทางการเมือง ที่สองพรรคใหญ่ที่มีคะแนนสูสีต้องพยายามทำทุกทางเพื่อรวมเสียงให้ได้มากที่สุดในการจัดตั้งรัฐบาล ดังนั้น การให้ใบเหลือง ใบส้ม กับผู้สมัครพรรคใดพรรคหนึ่งนับจากนี้ ย่อมมีผลต่อการจับขั้วตั้งรัฐบาลในอนาคต

ทั้งหมดจึงเป็นสิ่งที่ กกต.ต้องระมัดระวังและเร่งสร้างความเชื่อมั่น ชี้แจงในประเด็นความเคลือบแคลงต่างๆ ของสังคมให้หมดไป เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการไม่ยอมรับผลเลือกตั้งที่จะยิ่งกลายเป็นปัญหาซ้ำเติมสถานการณ์การเมืองในเวลานี้