เลือกตั้งล็อกถล่มคนดังบิ๊กเนมพ่ายหมดรูป

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/politic/report/584561

  • วันที่ 26 มี.ค. 2562 เวลา 08:36 น.

เลือกตั้งล็อกถล่มคนดังบิ๊กเนมพ่ายหมดรูป

โดย…ทีมข่าวภูมิภาคโพสต์ทูเดย์

หมดบารมี หมดมนต์ขลัง ประชาชนเสื่อมศรัทธา ทำให้ผู้สมัคร สส.บิ๊กเนมตัวเต็งหลายเขตและหลายจังหวัดที่ครองแชมป์มายาวนานต่างพลิกล็อกพ่ายแพ้หมดรูปครั้งประวัติศาสตร์ เช่น ที่ จ.สุราษฎร์ธานี “ตระกูลเทือกสุบรรณ” ถือว่าเป็นฐานที่มั่นมายาวนานกว่า 30 ปี ซึ่งที่ผ่านมาไม่เคยมีผู้สมัครจากพรรคใดสามารถเข้าสอดแทรกได้แม้แต่พรรคเดียว

แต่ภายหลังจาก “สุเทพ เทือกสุบรรณ” ประกาศแยกทางจากพรรคประชาธิปัตย์มาตั้งพรรคร่วมพลังประชาชาติไทย โดยดึงอดีต สส.บางส่วนจากพรรคประชาธิปัตย์มาอยู่ด้วย แต่ผลเลือกตั้งเมื่อวันที่ 24 มี.ค.ที่ผ่านมา “ตระกูลเทือกสุบรรณ” ทั้ง ธานีเทือกสุบรรณและ เชนเทือกสุบรรณ ต่างก็พ่ายแพ้ให้กับพรรคประชาธิปัตย์ทุกเขต ถือว่าเป็นช้างล้มครั้งประวัติศาสตร์เพราะชาวสุราษฎร์ธานีไม่ให้การสนับสนุนเหมือนในอดีตแล้ว

เช่นเดียวกับ นริศา อดิเทพวรพันธ์อดีต สส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ หลายสมัยพ่ายให้กับ รงค์ บุญสวยขวัญพรรคพลังประชารัฐ แบบคะแนนทิ้งห่างเท่าตัว สุรเชษฐ์ มาศดิตถ์ เสียแชมป์  นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และอดีต สส.หลายสมัย จ.พัทลุง ก็สอบตกด้วยเช่นกัน ส่วนที่ จ.สงขลา คนดังสอบตก ประกอบด้วย วิรัตน์ กัลยาศิริ กับ ศิริโชค โสภา ที่ จ.ตรัง เขต 1 บ้านของ ชวน หลีกภัย พรรคประชาธิปัตย์ส่ง นพ.สุกิจ อัถโถปกรณ์ อดีต สส.หลายสมัยรักษาฐานที่มั่นก็หลุดโคจรไปด้วยกัน

ความพ่ายแพ้ครั้งนี้เป็นเพราะชาวภาคใต้ต้องการความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่และที่สำคัญประชาชนส่วนใหญ่เชื่อมั่นในตัวของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชานายกรัฐมนตรี แถมกลยุทธ์การหาเสียงของพรรคพลังประชารัฐมีความชัดเจนมากกว่าประชาธิปัตย์

ภาคกลางช็อกหลายจังหวัด อาทิ ที่ จ.สมุทรปราการ ฐานเสียงใหญ่ของพรรคเพื่อไทยและแหล่งชุมนุมของคนเสื้อแดงทั้ง ประเสริฐ ชัยกิจเด่นนภาลัย วรชัย เหมะ และ นฤมล ธารดำรงค์ พ่ายแพ้ให้กับทีมพรรคพลังประชารัฐ ที่นำโดย ชนม์สวัสดิ์ อัศวเหม อดีตนายก อบจ.สมุทรปราการ

ที่ จ.ฉะเชิงเทรา ช้างล้ม 2 เชือก บุญเลิศ ไพรินทร์ เจ้าของฉายา “โหร สว.” ย้ายจากพรรคประชาธิปัตย์ไปอยู่พรรค พลังประชารัฐ พลาดท่าให้กับ กิตติชัย เรืองสวัสดิ์ จากอนาคตใหม่ และอีกคน พิทักษ์ จารุสมบัติ ย้ายจากประชาธิปัตย์ ซบพรรคพลังประชารัฐ แพ้ต่อ จิรัฏฐ์ ทองสุวรรณ์ อนาคตใหม่ ชนิดคาดไม่ถึงที่ จ.ลพบุรี มีความน่าสนใจไม่แพ้กัน เมื่อแชมป์เก่าหลุดจากเก้าอี้ เช่น พิชัย เกียรติวินัยสกุล พรรคเพื่อไทย โค่น ประทวน สุทธิอำนวยเดช พรรคพลังประชารัฐ มัลลิกา จิระพันธุ์วาณิชย์ จากภูมิใจไทย ล้มแชมป์เก่า สุชาติ ลายน้ำเงินพรรคเพื่อไทย อุบลศักดิ์ บัวหลวงงามพรรคเพื่อไทย ชนะ อำนวย คลังผา อดีต สส.หลายสมัย อดีตประธานวิปรัฐบาลสมัยรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรไม่แตกต่างที่ จ.สระแก้ว ถือว่าฐานที่มั่น “ตระกูลเทียนทอง” สังกัดพรรคเพื่อไทย นำโดยผู้มากบารมี “เสนาะ” ถูกทัพพลังประชารัฐทลายฐานราบคาบ ทั้งหลานชาย และหลานสาว “เสนาะ” คือ ฐานิสร์ เทียนทอง อดีต รมช.มหาดไทย และ ตรีนุช เทียนทอง แยกมาสังกัดพรรคพลังประชารัฐ คว้าเก้าอี้เขต 1 และ 2 ส่วนเขต 3 สรวงศ์ เทียนทอง ลูกชายของนายเสนาะก็แพ้ ผู้สมัครจากพลังประชารัฐไปอีกเช่นกัน

ที่ จ.จันทบุรี พรรคอนาคตใหม่ กวาดยกจังหวัด ทั้งนี้ ฐนภัทร กิตติวงศา จารึก ศรีอ่อน และญาณธิชา บัวเผื่อน โค่นเจ้าถิ่น เอาชนะคู่แข่งพลิกล็อกแบบคู่แข่งไม่คาดคิดว่าผลเลือกตั้งครั้งนี้จะออกมาเช่นนี้ได้อย่างไร

เลือกตั้งภาคเหนือเกิดปรากฏการณ์ช็อกโลกไม่แพ้กัน เมื่อ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรมอดีต สส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ ตัวเต็งแต่กลับแพ้ให้กับ ปดิพัทธ์ สันติภาดา พรรคอนาคตใหม่ ซึ่ง สามารถ แก้วมีชัยอดีต สส.เชียงราย เขต 1 พรรคเพื่อไทยหลายสมัย และอดีตรองประธานสภา มีชะตากรรมเช่นเดียวกับ นพ.วรงค์ แพ้ให้กับ รัตนา จงสุทธามณี อดีตนายก อบจ.เชียงราย จากพรรคพลังประชารัฐ แบบพลิกความคาดหมาย ส่วน พีรเดช คำสมุทร จากพรรคอนาคตใหม่อีกคนที่สามารถเอาชนะ อิทธิเดช แก้วหลวงอดีต สส.หลายสมัยจากพรรคเพื่อไทย

บารมี ทักษิณ ชินวัตร ค้ำไม่ไหว ที่ จ.ลำปาง กันต์ทรัพย์ เปลี่ยนเป็น ทักษิณ ทัศนา กับ ศรีทัศน์ เปลี่ยนเป็น ทักษิณ ชัยยศ ที่ จ.ลำพูน หนาน สุขใจ เปลี่ยนเป็น ทักษิณ เรือนแก้วเทวา และที่ จ.แพร่ จิรเดช ฝากมิตร เปลี่ยนเป็น ทักษิณ ฝากมิตร ต่างก็ไม่ติด 1 ใน 3 อันดับแรกภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ทักษิณก็ค้ำไม่อยู่ ที่ จ.ขอนแก่น วัฒนา ช่างเหลาพรรคพลังประชารัฐ ชนะ อรอนงค์ สาระผล พรรคเพื่อไทย ซึ่งถือว่าเป็นการล้มช้าง ครั้งใหญ่ ที่ จ.สุรินทร์ ยิ่งรัก ไชยศรีษะกับ ยิ่งลักษณ์ ไชยศรีษะ โดย ยิ่งรัก เป็นน้องสาว และยิ่งลักษณ์ เป็นภรรยาของ จ.ส.ต.ประสิทธิ์ ไชยศรีษะ อดีต สส.สุรินทร์ พรรคเพื่อไทย บารมี ทักษิณ ชินวัตร ค้ำไม่อยู่พ่ายหมดรูป ที่ จ.นครราชสีมา สถิตคุณ เป็น ทักษิณ เขื่อนโคกสูง ประกาศ เป็น ทักษิณ จันทรวิจิตร วีรวิทย์ เป็น ทักษิณ เชื้อจันอัด และ กนกวรรณ เป็น ยิ่งลักษณ์ เพชรรักษาพ่ายแพ้กราวรูด

การเมืองพลิกโฉม ล้มช้างครั้งประวัติศาสตร์

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/politic/report/584441

  • วันที่ 25 มี.ค. 2562 เวลา 06:59 น.

การเมืองพลิกโฉม ล้มช้างครั้งประวัติศาสตร์

โดย…ทีมข่าวภูมิภาคโพสต์ทูเดย์

กทม.ถือเป็นพื้นที่ซึ่งเกิดความ เปลี่ยนแปลงมากที่สุด โดยพรรคประชาธิปัตย์แชมป์เก่าสูญเสียที่นั่งเกือบทั้งหมดทุกเขต

ว่าที่ สส.หน้าใหม่ของ กทม. ซึ่ง น่าสนใจ อาทิ เขต 1 ดุสิต (ยกเว้นแขวงถนนนครไชยศรี) ป้อมปราบศัตรูพ่าย พระนคร และสัมพันธวงศ์ ธเนษฐ เศรษฐาวาณิช พรรคพลังท้องถิ่นไท เขตเลือกตั้งที่ 3 บางคอแหลมและยานนาวา ม.ล. อภิมงคล โสณกุล พรรคประชาธิปัตย์ เสียเก้าอี้ให้กับ วรรณวรี ตะล่อมสิน พรรคอนาคตใหม่ เขตเลือกตั้งที่ 6 จตุจักร (เฉพาะแขวงจอมพล แขวงจตุจักร) พญาไทและราชเทวี คริส โปตระนันทน์ พรรคอนาคตใหม่ ล้ม อรรถวิชช์ สุวรรณภักดี แชมป์เก่าพรรคประชาธิปัตย์ เขตเลือกตั้งที่ 8 ลาดพร้าว วังทองหลาง (ยกเว้นแขวงพลับพลา) สรรเสริญ สมะลาภา แชมป์เก่า พ่ายแพ้แก่ กษิดิ์เดช ชุติมันต์ พรรคพลังประชารัฐ

เขตเลือกตั้งที่ 9 จตุจักร (ยกเว้นแขวงจอมพล แขวงจตุจักร) และหลักสี่ พรรคประชาธิปัตย์ส่งผู้สมัครหน้าใหม่ แต่ชื่อชั้นน่าจะเรียกคะแนนนิยมได้มากอย่าง พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ หรือมือปราบ หูดำ แต่ก็ต้องพ่ายแพ้แก่ สิระ เจนจาคะ พรรคพลังประชารัฐ เขตเลือกตั้งที่ 13 เขตบางกะปิและวังทองหลาง (เฉพาะแขวงพลับพลา) พรรคประชาธิปัตย์ ส่งคนรุ่นใหม่ พริษฐ์ วัชรสินธุ หรือไอติม หลานชายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แต่ก็พ่ายแพ้แก่ ฐิติภัสร์ โชติเดชาชัยนันต์ พรรคพลังประชารัฐ

เขตเลือกตั้งที่ 19 เขตประเวศ (ยกเว้นแขวงหนองบอน แขวงดอกไม้) และสะพานสูง นาถยา เบ็ญจศิริวรรณ หรืออดีตนักแสดง นาถยา แดงบุหงา พรรคประชาธิปัตย์ เสียเก้าอี้ให้กับ ประสิทธิ์ มะหะหมัด พรรคพลังประชารัฐ

เขตเลือกตั้งที่ 22 คลองสานและธนบุรี (ยกเว้นแขวงบุคคโล แขวงดาวคะนอง แขวงสำเหร่) บางกอกใหญ่ เท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร พรรคอนาคตใหม่ อดีตผู้ต้องหาลักลอบผลิตคราฟต์เบียร์ ได้เข้าสภาเป็น สส.ครั้งแรก เขต 26 บางบอน หนองแขม (เฉพาะแขวงหนองแขม) วัน อยู่บำรุง พรรคเพื่อไทย ล้มแชมป์เก่า พ.ต.อ.สามารถ ม่วงศิริ ลงได้สำเร็จ

เขตเลือกตั้งที่ 27 เขตตลิ่งชัน (เฉพาะแขวงฉิมพลี แขวงตลิ่งชัน) ทวีวัฒนา และหนองแขม (ยกเว้นแขวงหนองแขม) เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ พ่ายให้กับผู้สมัครหน้าใหม่ จิรวัฒน์ อรัณยกานนท์ แห่งพรรคอนาคตใหม่ คะแนนทิ้งห่างนับหมื่นคะแนน

เขตเลือกตั้งที่ 30 เขตบางกอกน้อยและบางพลัด รัชดา ธนาดิเรก แชมป์เก่า เสียที่นั่งให้กับ จักรพันธ์ พรนิมิตร พรรคพลังประชารัฐ

ภาคใต้ ที่มั่นอีกแห่งของพรรคประชาธิปัตย์ จ.ภูเก็ต 2 เขตเลือกตั้ง เขต 1 สุทา ประทีป ณ ถลาง พรรคพลังประชารัฐ เขต 2 นัทธี ถิ่นสาคู พรรคพลังประชารัฐ มีคะแนนนำแชมป์เก่าจากพรรคประชาธิปัตย์

เขตเลือกตั้งที่ 2 จ.กระบี่ สฤษฎ์พงษ์ เกี่ยวข้อง พรรคภูมิใจไทย ล้มแชมป์เก่า สุชีน เอ่งฉ้วน พรรคประชาธิปัตย์

จ.สงขลา 8 เขตเลือกตั้ง พรรคประชาธิปัตย์รักษาที่มั่นไว้ได้เพียง 3 เขต จากเขต 5 เดชอิศม์ ขาวทอง เขต 6 ถาวร เสนเนียม และเขต 8 พล.ต.ต.สุรินทร์ ปาลาเร่ ส่วนที่เหลือเป็นของพรรคพลังประชารัฐ 4 เขต ประกอบด้วย เขต 1 วันชัย ปริญญาศิริ เขต 2 ศาสตรา ศรีปาน เขต 3 พนม พรหมเพชร และเขต 4 ร.ต.อ.อรุณ สวัสดี ส่วนเขต 7 ณัฏฐ์ชนน ศรีก่อเกื้อ พรรคภูมิใจไทย มีคะแนนนำ ศิริโชค โสภา จากพรรคประชาธิปัตย์

อย่างไรก็ตาม พื้นที่ จ.สุราษฎร์ธานี ซึ่งตระกูล เทือกสุบรรณ ย้ายสังกัดเข้าพรรครวมพลังประชาชาติไทย แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ โดยพรรคประชาธิปัตย์แชมป์เก่า รักษาที่มั่นไว้ได้ทั้งหมด ทำให้การเลือกตั้งครั้งนี้ไม่มีนักการเมืองในตระกูลเทือกสุบรรณเข้าสภาได้เลยแม้แต่คนเดียว

จ.ชลบุรี เขตเลือกตั้งที่ 6 จรัส คุ้มไข่น้ำ พรรคอนาคตใหม่ มีคะแนนนำ อิทธิพล คุณปลื้ม พรรคพลังประชารัฐ

และเขตที่ถูกจับตามาก นั่นคือเขต 3 สุพรรณบุรี ผลปรากฏว่า ประภัตร โพธสุธน พรรคชาติไทยพัฒนา ชนะ จองชัย เที่ยงธรรม ที่ย้ายสังกัดเข้าพรรคภูมิใจไทยได้สำเร็จ

ส่วนการเลือกตั้ง สส.ตราด ก็ส่อพลิก เมื่อ ศักดินัย นุ่มหนู พรรคอนาคตใหม่ คะแนนทิ้ง ธีระ สลักเพชร สส.ตราด 5 สมัย กว่า 5,000 คะแนน

ขณะเดียวกัน ปดิพัทธ์ สันติภาดา พรรคอนาคตใหม่ คะแนนนำแชมป์เก่า วรงค์ เดชกิจวิกรม จากพรรคประชาธิปัตย์

ที่ จ.นครราชสีมา เขต 3 ประเสริฐ จันทรรวงทอง พรรคพลังประชารัฐ ล้มแชมป์ ประเสริฐ บุญชัยสุข พรรคเพื่อไทย เขต 10 สุภรณ์ อัตถาวงศ์ พรรคพลังประชารัฐ พ่าย พรชัย อำนวยทรัพย์ พรรคภูมิใจไทย ส่วนเขต 2 วัชรพล โตมรศักดิ์ แชมป์เก่าจากพรรคชาติพัฒนา พ่าย สุธรรม พรสันเทียะ พรรคเพื่อไทย ที่ จ.สุรินทร์ เขต 2 ณัฏฐพล จรัสรพีพงษ์ พรรคพลังประชารัฐ ทลายฐานที่มั่น ชูชัย มุ่งเจริญพร พรรคเพื่อไทย ได้สำเร็จ

“สส.ชุดแรกของไทย” เลือกตั้งท่ามกลางควันปืน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/politic/report/584340

  • วันที่ 24 มี.ค. 2562 เวลา 13:26 น.

"สส.ชุดแรกของไทย" เลือกตั้งท่ามกลางควันปืน

ย้อนประวัติศาสตร์การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งแรกของไทยในปี 2476 ที่เป็นการเลือกตั้งท่ามกลางความรุนแรงและความวุ่นวายทางการเมือง

********************************

โดย…อภิวัจ สุปรีชาวุฒิพงศ์

การเลือกตั้งในวันที่ 24 มี.ค. 2562 นี้ จะเป็นการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป ครั้งที่ 28 ซึ่งอีกไม่นานจากนี้ก็คงจะทราบผลการเลือกตั้ง และเห็นเค้าโครงของรัฐบาลและนายกรัฐมนตรีคนใหม่

การเลือกตั้งครั้งนี้ กล่าวได้ว่ามีการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่อย่างโซเชียลมีเดียเป็นช่องทางหลักในการสื่อสารจากผู้สมัคร จากพรรคการเมืองต่างๆ ไปยังผู้มีสิทธิเลือกตั้ง

สมรภูมิการเมืองในโซเชียลมีเดียครั้งนี้จึงดุเดือดเข้มข้นอย่างยิ่ง

ความเข้มข้นของสถานการณ์การเมืองในครั้งนี้ ชวนให้ย้อนหวนรำลึกถึงการเลือกตั้ง สส.ครั้งแรกของไทย เมื่อปี 2476 ซึ่งมีเหตุรุนแรงจากกบฏบวรเดชแทรกซ้อนขึ้นในระหว่างการจัดการเลือกตั้ง

การเลือกตั้งครั้งแรกในปี 2476 เป็นการเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 1 จากการเลือกตั้งของราษฎรตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม 2475 ซึ่งพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานเมื่อวันที่ 10 ธ.ค. 2475

การเลือกตั้งครั้งนี้ถือเป็นการเลือกตั้ง สส.ทางอ้อมครั้งแรกและครั้งเดียวของประเทศไทย โดยกำหนดให้ สส.ประเภทที่ 1 จำนวน 78 คน เฉลี่ยจังหวัดละ 1 คน ยกเว้น จ.เชียงใหม่ ร้อยเอ็ด มหาสารคาม นครราชสีมา มี สส.ได้จังหวัดละ 2 คน ขณะที่พระนครหรือ กทม.และ จ.อุบลราชธานี มี สส.ได้ 3 คน มีผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งประเทศ 4.2 ล้านคน ประชาชนมาใช้สิทธิเลือกตั้งจำนวน 1.7 ล้านคน คิดเป็น 41.45% จังหวัดที่มีผู้ใช้สิทธิมากที่สุดคือ จ.เพชรบุรี

การเลือกตั้งแยกเป็น 2 ขั้นตอน โดยขั้นตอนแรกประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งจะเลือกผู้แทนตำบล จากนั้นผู้แทนตำบลจึงเป็นผู้เลือกตั้ง สส.ต่อไป

การเลือกตั้งผู้แทนตำบลทั่วประเทศนั้นดำเนินไปในช่วงวันที่ 1 ต.ค.-15 พ.ย. 2476 แต่ในระหว่างนั้นก็เกิดวิกฤตการณ์สำคัญทางการเมือง นั่นคือกบฏบวรเดช โดย พล.อ.พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดช อดีตเสนาบดีกระทรวงกลาโหม เรียกตัวเองว่า “คณะกู้บ้านกู้เมือง” นำกำลังทหารจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ขึ้นรถไฟเคลื่อนกำลังเข้ามาถึงชานพระนคร โดยอ้างถึงการที่รัฐบาลปล่อยให้มีผู้ฟ้องร้องพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ตลอดจนเหตุวุ่นวายทางการเมืองจากการเสนอเค้าโครงเศรษฐกิจของ ปรีดี พนมยงค์

เกิดการสู้รบกับฝ่ายรัฐบาลที่มี พ.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา เป็นนายกรัฐมนตรีอย่างหนักหน่วง ตั้งแต่สถานีรถไฟบางเขน หลักสี่ ต่อเนื่องไปจนถึง อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ต่อเนื่องกันระหว่างวันที่ 11-28 ต.ค. 2476

กำลังทหารจากหัวเมืองภาคอีสานของคณะกู้บ้านกู้เมือง ไม่อาจต้านรับการบุกโจมตีของฝ่ายรัฐบาลที่มี พ.ท.หลวงพิบูลสงคราม (ยศในขณะนั้น) เป็นผู้บัญชาการ แกนนำคนสำคัญของคณะกู้บ้านกู้เมือง คือ พ.อ.พระยาศรีสิทธิสงคราม (ดิ่น ท่าราบ) เสียชีวิตในการรบ กำลังทหารของคณะกู้บ้านกู้เมืองถูกฝ่ายรัฐบาลจับกุมเป็นเชลยได้จำนวนมาก ทั้งฝ่ายรัฐบาลและคณะกู้บ้านกู้เมือง สูญเสียรวมกันทั้งหมด 17 ราย

ในที่สุด พระองค์เจ้าบวรเดช หลบหนีไปยังอินโดจีนของฝรั่งเศส การสู้รบที่ยืดเยื้อมาครึ่งเดือนจึงยุติลง แต่ผลที่ตามมานั้นก่อให้เกิดความแตกแยกในชาติอย่างรุนแรง รัฐบาลคณะราษฎรจับกุมปฏิปักษ์ทางการเมืองจำนวนมาก โดยเฉพาะการจับกุม ม.จ.ศุภสวัสดิ์วงศ์สนิท สวัสดิวัตน์ นายทหารรักษาวัง พระเชษฐาของสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี และปฏิเสธที่จะอภัยโทษแก่กลุ่มกบฏ แม้พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวจะทรงขอก็ตาม

ขณะเดียวกัน ในการแต่งตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 นั้น รัฐบาลคณะราษฎรก็แต่งตั้งคนของฝ่ายตัวเองเข้ามาเป็นจำนวนมาก ซึ่งพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระราชทานคำทัดทาน โดยทรงเห็นว่าเป็น “สมบูรณาญาสิทธิของคณะ”

ผลพวงความแตกต่างที่เกิดขึ้นตามมาหลังกบฏบวรเดช เป็นสาเหตุหนึ่งของการกระทบกระทั่ง กับพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว นำมาซึ่งการประกาศสละราชสมบัติในอีก 1 ปีต่อมา

ในระหว่างเกิดเหตุการณ์กบฏบวรเดชนั้น พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินไปประทับอยู่ที่ จ.สงขลา ภายหลังเหตุการณ์กบฏบวรเดชยุติลงแล้ว จนสามารถจัดการเลือกตั้งเสร็จเรียบร้อย รัฐบาลได้กราบบังคมทูลเชิญเสด็จนิวัติพระนครเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธยแต่งตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และทรงประกอบรัฐพิธีเปิดสมัยประชุมสภา

ทหารรัฐบาลขึ้นรถไฟไปปราบกบฏบวรเดช

อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความรุนแรงและความวุ่นวายทางการเมืองที่เกิดขึ้นครั้งนี้ ก็ได้เห็นถึงความรู้สึกของประชาชนชาวไทยต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตย โดยประชาชนจำนวนมากร่วมบริจาคเงิน สิ่งของ อาหาร ทรัพย์สิน แม้แต่แหวนแต่งงาน รวมทั้งอาสาสมัครช่วยเหลืองานต่างๆ เพื่อช่วยเหลือรัฐบาลในการปราบปรามฝ่ายกบฏ

หลังการเลือกตั้ง สส.ประเภทที่ 1 และแต่งตั้ง สส.ประเภทที่ 2 เสร็จสิ้น สส.ทั้งสองประเภท รวม 156 คน ได้เลือก เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี (สนั่น เทพหัสดิน ณ อยุธยา) เป็นประธานสภาผู้แทนราษฎร โดยสภาชุดที่ 1 นี้ ดำรงตำแหน่งอยู่จนครบวาระ 4 ปี เมื่อวันที่ 9 ธ.ค. 2480

สส.ในสภาชุดนี้ซึ่งมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันดี อาทิ พล.ท.พระยาเทพหัสดิน (ผาด เทพหัสดิน ณ อยุธยา) หัวหน้าคณะทูตทหารไทยที่เข้าร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่ 1 ได้รับเลือกตั้งเป็น สส.ประเภทที่ 1 จ.พระนคร ทองอินทร์ ภูริพัฒน์ และเลียง ไชยกาล สส.ประเภทที่ 1 จาก จ.อุบลราชธานี

ทองอินทร์ ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีหลายสมัย ในรัฐบาล ปรีดี พนมยงค์ ส่วนเลียง ได้ชื่อว่าเป็นรัฐมนตรีที่ทำหน้าที่อย่างเต็มที่เพื่อประชาชนชาวอีสาน และเป็น 1 ใน 4 รัฐมนตรีอีสานที่ถูกสังหารที่ทุ่งบางเขนเมื่อปี 2492 ในสมัยรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม ส่วนเลียงก็มีโอกาสดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีหลายสมัยเช่นกัน

นี่คือเรื่องราวจากอดีตการเลือกตั้งครั้งแรก เมื่อเริ่มต้นการปกครองในระบอบประชาธิปไตยในประเทศไทยซึ่งผ่านมาถึง 86 ปี ถึงปัจจุบันนี้การเมืองไทยก็ยังไปไม่พ้นวังวนของความขัดแย้งวุ่นวาย แต่อย่างน้อย 1 สิทธิ 1 เสียง ของประชาชนคนไทยผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ก็จะเป็นการประกาศเจตจำนงถึงการเมืองที่เราคาดหวังและต้องการ

เลือกตั้งสะท้อนความตื่นตัว แต่ความน่ากลัวอยู่หลังจัดตั้งรัฐบาล

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/politic/report/584283

  • วันที่ 24 มี.ค. 2562 เวลา 07:40 น.

เลือกตั้งสะท้อนความตื่นตัว แต่ความน่ากลัวอยู่หลังจัดตั้งรัฐบาล

“อรรถสิทธิ์ พานแก้ว” นักวิชาการ ย่านธรรมศาสตร์ ผู้คร่ำหวอดงานวิจัยกระบวนการเลือกตั้ง ฉายภาพประชาธิปไตยผ่านการหย่อนบัตรที่ต้องติดตามนับจากนี้

****************************

โดย….ชัยรัตน์ พัชรไตรรัตน์

เข้าสู่การเลือกตั้งทั่วไปอย่างเป็นทางการในวันนี้ 24 มี.ค. 2562 เป็นอีกภาพการเมืองที่ต้องจดจารึกในประวัติศาสตร์การเมืองที่ประชาชนผู้มีสิทธิตามกฎหมายจะออกมาใช้สิทธิลงคะแนน ยิ่งหากย้อนกลับไปถึงการเลือกตั้งล่วงหน้าเมื่อวันที่ 17 มี.ค. จะเห็นความตื่นตัวของประชาชนมาใช้สิทธิกันกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ จากจำนวนที่ลงทะเบียนใช้สิทธิกันไว้ 2.6 ล้านคน ซึ่งจากวันนี้ไปจนถึงหลังเลือกตั้งทิศทางประเทศไทยจะเป็นอย่างไร

“อรรถสิทธิ์ พานแก้ว” รองคณบดีฝ่ายบริหาร คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ฉายภาพปรากฏการณ์เลือกตั้งล่วงหน้า ก่อนมาถึงวันนี้ ผ่าน “โพสต์ทูเดย์” ว่า หากถามว่าประชาชนตื่นตัวหรือไม่ ต้องบอกว่าใช่ อย่างไรก็ตาม อยากให้ถอยออกมาก้าวหนึ่ง และอย่าลืมว่าคนลงทะเบียนเลือกตั้งล่วงหน้า คือคนอยากไปเลือกตั้งอยู่แล้ว ดังนั้นจึงเป็นเรื่องถูกต้อง เพราะรู้ว่าวันที่ 24 มี.ค. อาจไม่สะดวก

อรรถสิทธิ์ มองว่าเป็นความตั้งใจคูณสอง แล้วก่อนหน้านี้มีเหตุการณ์เลือกตั้งล่วงหน้านอกราชอาณาจักร แม้จะมีภาพยุ่งยาก ล่าช้า ทว่าคนก็เตรียมใจ และเมื่อไปเจออุปสรรคในวันจริง มันอดทน ต่างจากครั้งก่อนๆ ไปเลือกตั้งปกติ รถติดก็ไม่ไป เพราะเลือกตั้งจุดเดียว แต่ครั้งนี้ต่อให้รถติดคนก็ยังตื่นตัวไป

ทั้งนี้ หากถามว่าวันที่ 24 มี.ค. จะเป็นอย่างไร ต้องบอกว่าประเทศไทยประชาชนออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งเป็นจำนวนมาก เฉลี่ย 70% ชนะประเทศที่พัฒนาทางอุตสาหกรรม หรือประเทศที่มีประชาธิปไตยเยอะๆ ประเทศอื่นใช้สิทธิเพียง 50-60% เท่านั้น ประเทศไทย 70% บางจังหวัด 80-90% และมุมมองส่วนตัวครั้งนี้เพิ่มขึ้น 80% หากจะให้ถึง 90% เลยคงยาก แล้วจะโหวตให้ใครนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งต้องดูหลังปิดหีบ

ส่วนภาพการเมืองในวันที่ 24 มี.ค. ปกติคนออกไปเลือก 70% และมีคนอีก 30% ที่ไม่ไปเลือก ถ้าครั้งนี้ออกไปเลือก 80% แสดงว่าเพิ่ม 10% แต่เป็น 10% ที่มาจาก New Voter หรือมาจาก 30% นี้ แสดงว่าการเพิ่มขึ้น มันอาจจะเลือกจากคนใหม่ที่เข้ามาในทางการเมือง มากกว่าคนที่ไม่สนใจการเมืองอยู่แล้ว

“ผมกำลังจะบอกว่าบางทีพฤติกรรมการโหวตของคนอาจจะไม่เปลี่ยน เพราะ 30% ที่เป็นพลังเงียบแท้จริงยังไม่ออก และคนรุ่นใหม่ที่ออกไปใช้สิทธิ 10% อาจจะทั้งหมดก็ได้ แต่ 70% ก็ไม่ได้เปลี่ยนไปทั้งหมด คนรุ่นใหม่หากถามว่าจะเปลี่ยนโฉมหน้าการเมืองเลยหรือไม่ มันอาจจะไม่ได้เยอะ เวลาเลือกตั้งต้องดู Momentum จุดเปลี่ยนในการเลือกตั้งช่วงนั้น แต่เชื่อว่าจะไม่มีพรรคไหนที่คนไทยเฮโลอยู่หลังพรรคนี้ มันยังเป็นแต่ละพรรคยึดกุมฐานเสียงของตัวเองได้ และอาจกินฐานเสียงใหม่ได้นิดหน่อย”

อรรถสิทธิ์ ระบุเหตุผลสำคัญ อย่าลืมว่าระบบเลือกตั้งถูกออกแบบไม่ให้ใครสามารถได้คะแนนเสียงมากสุด เมื่อก่อนเข้าใจว่าเลือกพรรคไหนเยอะที่สุด พรรคนั้นได้เป็นรัฐบาล ได้นายกรัฐมนตรี แต่ตอนนี้ไม่ใช่ ต้องมานั่งคิดคะแนนและคำนวณกันใหม่ ไม่ใช่ชนะแล้วได้เลย ชนะไว้ก่อน แต่ต้องมาดูปาร์ตี้ลิสต์อีก ยิ่งประชาชนออกไปเยอะ โอกาสของพรรคขนาดเล็ก ขนาดกลาง จะได้คะแนนเสียงปาร์ตี้ลิสต์ยิ่งน้อยลง

อย่างไรก็ตาม คนรุ่นใหม่ก็ยังไม่ใช่ตัวเปลี่ยนทางการเมือง แต่แค่เพิ่มจำนวน เพราะคนไม่เคยไป 30% ก็ยังไม่ไป ที่สำคัญอย่ามองคนรุ่นใหม่เป็นก้อนเดียว คนรุ่นใหม่คืออายุ 18-30 ปี ต้องแยกคนที่อยู่ในระบบการศึกษา เช่น มหาวิทยาลัย อาชีวะ ซึ่งคนในระบบการศึกษากับนอกระบบการศึกษา มีความสนใจและทุ่มเททางการเมืองแตกต่างกัน

อรรถสิทธิ์ กล่าวว่า เนื่องจากคนในระบบการศึกษา คือ เรียนหนังสือ จะอยู่ในวงของการรับข้อมูลข่าวสาร การตื่นตัว แต่ไม่ได้บอกว่าคนนอกวงการศึกษาไม่ตื่นตัว เพียงแต่จะมีโฟกัสอย่างอื่นก่อน เช่น ทำงาน ดังนั้นคนเรียนหนังสือก็จะนึกถึงแต่เรียนหนังสือ แต่คนทำงาน ก็ต้องนึกถึงการทำงาน จึงทำให้พฤติกรรม 2 กลุ่มนี้แตกต่างกัน

“แม้เป็น First Time Voter ก็จริง แต่ไม่ใช่คนจะมีแนวคิดเหมือนกันทั้งก้อน ถ้าเราบอกว่าคนรุ่นใหม่มีอยู่ 7 ล้านคน แต่คนที่อยู่ในระบบการศึกษาประมาณ 1 ล้านคน แต่ที่เหลือไม่ได้อยู่ในระบบการศึกษา ซึ่งโฟกัสอาจไม่ได้อยู่ที่การเมือง ไม่ได้บอกว่าไม่สนใจการเมือง แต่โฟกัสการเมืองจะมองไม่เหมือนกัน คนเหล่านี้อาจไม่ได้มองหาพรรคการเมืองใหม่ แต่อาจมองพรรคที่จะทำเศรษฐกิจอย่างไรให้มันดี”

อย่างไรก็ดี ทุกคนอยากเห็นประเทศในทางที่ดี แต่ไม่ใช่ต้องเปลี่ยนเป็นแบบนั้นแบบนี้ ที่สำคัญนโยบายเศรษฐกิจของแต่ละพรรคมีความคล้ายกัน เว้นเพียงหีบห่อที่ต่างกัน ทุกคนให้ค่าแรง ให้เงินเดือนเพิ่มขึ้น หรือลดภาษี ซึ่งเหมือนกัน แต่ในที่สุดจะเลือกเพราะอะไร ซึ่งการมีส่วนร่วมทางการเมืองอาศัย 3 อย่าง คือ เงิน เวลา และทักษะ ไม่ว่าชนชั้นนั้นถ้ามี 3 อย่างนี้ มันจะไป แต่คนที่ยังต้องทำมาหากิน ก็ต้องเอาเวลาไปทำเรื่องนี้ก่อน ดังนั้นการมองคนรุ่นใหม่เป็นตัวกำหนดอนาคต มันเป็นการตีขลุมเกินไป

อรรถสิทธิ์ ขยายความต่อว่า นอกจากนโยบายเป็นตัวกำหนดในการเลือกแล้ว ประการต่อมา คือ ความชอบ ซึ่งจากงานวิจัยที่เคยทำ คือ ชอบพรรคนั้น ชอบหัวหน้าพรรคคนนี้ ทุกคนคิดว่าเวลาลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง ทุกคนมีเหตุมีผล แต่จริงๆ ไม่ใช่เสมอไป ความเป็นเหตุเป็นผล หมายความว่า ต้องเอานโยบายทุกอย่างมา แล้วใส่ตาราง วิเคราะห์ วิจารณ์ แล้วให้คะแนน จึงเลือกพรรคนี้

ทว่า แต่ทุกคนคือ ตกลงเลือกใครดี ถามจากคนรู้จัก หรือชอบใคร การลงคะแนนเสียงจริงๆ มันไม่ได้เป็นเหตุเป็นผล แต่ไม่ใช่เป็นเรื่องของอารมณ์เพียงอย่างเดียว ดังนั้นนโยบายดี ไปครึ่งหนึ่ง ที่เหลือชอบหรือไม่ และอย่าลืมว่าระบบการเลือกตั้งมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของคน

“เมื่อก่อนเรามีบัตร 2 ใบ เลือกคนที่รัก พรรคที่ชอบ ตอนนี้ต้องเลือกคนที่ชอบ พรรคที่ใช่ นายกฯ ที่รัก แล้วคนจะเลือกอะไรในบัตรใบเดียว เรามองว่าคนจะโหวตเพื่อความต้องการทางการเมืองหรือหมายถึงอุดมการณ์ จุดยืนทางการเมือง แล้วมองข้ามว่าพรุ่งนี้มีปัญหาในพื้นที่ ต้องการใช้ สส.ไหม อีกครั้งที่ไปมองว่าคนทุกคนมีความคิดคล้ายๆ กัน และลืมแบ่งคนออกเป็นส่วนๆ ที่ต้องการสัมพันธ์กับ สส. แต่คนในเมืองไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์กับ สส. ก็จะเป็นอีกแบบ คิดว่าถ้าวันเลือกตั้งไปแล้วมีปัญหาจะขี่มอเตอร์ไซค์ไปบ้าน สส.เพื่อคุยปัญหาได้ไหม”

อย่างไรก็ตาม อย่าลืมว่าพฤติกรรมกับความคิดต้องแยก จะบอกว่าภูมิทัศน์การเมืองไทยต่างไปแล้ว คนส่วนใหญ่ของประเทศสนใจการเมืองมากขึ้นกว่าเก่า แต่อย่าลืมว่าความสนใจจะเปลี่ยนความต้องการทางการเมืองหรือไม่ ซึ่งไม่ได้ไปด้วยกัน เพราะคนยังเลือก สส.เพราะนโยบายและความสัมพันธ์บุคคลเชิงใกล้ชิด ดังนั้นภูมิทัศน์การเมืองเปลี่ยนไป แต่ความคิดทางการเมืองของคนยังไม่เปลี่ยน

สำหรับเรื่องที่หลายฝ่ายจับตาหลังเลือกตั้งเนื่องจากรัฐธรรมนูญใหม่ไม่ได้กำหนดระยะเวลาในการให้มีนายกฯ อรรถสิทธิ์ ระบุว่า ต้องพูด 2 แบบ ถามว่าใช้เวลานานแปลกหรือไม่ ซึ่งจริงๆ แล้วไม่แปลก ไม่ผิด เพราะระบบการเลือกตั้งทำให้ได้รัฐบาลผสม และโดยปกติทั่วโลก การผสมแล้วต้องไปด้วยกันได้ ต่างประเทศเวลาผสมจะมี Stagement ออกมาให้ประชาชนดูว่า ตกลงเรื่องอะไรบ้าง เพราะการผสมต้องมีพรรคแตกต่างกัน

“ของประเทศไทยไม่เคยมีการบอกไปผสมกันได้อย่างไร จากที่เคยหาเสียง แล้วเมื่อต้องมารวมมันทำไม่ได้ แต่จะพบกันตรงนี้ ซึ่งจริงๆ แล้วต้องมีข้อตกลงในการเป็นรัฐบาลผสม แต่ไม่เคยมีการเรียกหา ดังนั้นกลายเป็นว่าผสมกันไป แต่ต่างประเทศกว่าจะตกลงกันได้มันนาน คนยอมรับ

แต่ประเทศไทยการรวมกันได้เร็ว ไม่ได้ตกลงแบบนั้น ครั้งนี้ถ้ายาวเพราะอะไร แต่ถ้าจะใช้เวลานานมันก็เป็นเรื่องปกติ เพราะตกลงกันไม่ได้เนื่องจากคนมีความแตกต่างกัน แต่จริงๆ อีกมุมแล้วไม่ควรยาว เพราะไม่ได้แตกต่างในเรื่องนโยบาย หรือแทบเหมือนกันทั้งนั้น”

อรรถสิทธิ์ มองถึงข้อกังวลว่า การเลือกตั้งเป็นวงจร คือ ก่อนเลือกตั้ง วันเลือกตั้ง และหลังวันเลือกตั้ง แต่ความน่ากลัวอยู่หลังวันเลือกตั้ง ก่อนและวันเลือกตั้ง ทำอย่างไรก็ได้ให้การแข่งขันเท่าเทียม เป็นธรรม ใช้สิทธิใช้เสียงอย่างเสรีภาพ แต่หลัง คนจะยอมรับผลการเลือกตั้งหรือไม่ ซึ่งสำคัญ

ทั้งนี้ หากคนไม่ยอมรับผล การเลือกตั้งก็ไม่ใช่คำตอบ ประเทศอื่นเลือกตั้งแพ้ไม่เป็นไร จะรอ 4 ปีแล้วเลือกใหม่ แต่คนไทยเริ่มมีกระแส ถ้าไม่ได้จะเกิดม็อบหรือปฏิวัติ ซึ่งอาจไม่เกิดขึ้น แต่พอมีความคิดแบบนี้ แสดงว่าเลือกตั้งไม่ได้จบ คนไม่ยอมรับจากเสียงเลือกตั้ง

อรรถสิทธิ์ ยกตัวอย่าง ถ้าการจัดตั้งรัฐบาลนาน แต่ไม่มีใครพูดเลยเรื่องการประชุมอาเซียนซัมมิต ในฐานะที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ และจะเกิดขึ้นในสิ้นเดือน มิ.ย. ซึ่งต่างชาติ นักการทูต หรือสื่อต่างชาติ มักจะถามเรื่องนี้เสมอ แล้วใครจะไปจัด ถ้ายึดอาเซียนซัมมิต ดังนั้นรัฐบาลต้องมีความสง่างาม มีนายกฯ มาจากการเลือกตั้งหรือไม่ แต่นี่เป็นการเมืองภายใน ถ้ายังไม่ได้ก็อย่าเพิ่งไปเร่ง คำถามนานเท่าไหร่ รัฐบาลรักษาการต่อๆ ไป สามารถทำให้เศรษฐกิจดีขึ้นหรือเปล่า

“ที่ผ่านมาบอกว่าเศรษฐกิจไม่ดี พอมีเลือกตั้งแล้วจะทำให้เศรษฐกิจดีขึ้น ถ้าเศรษฐกิจดีจะนาน 3-6 เดือน ก็อาจเป็นไปได้ แต่เศรษฐกิจต้องดีจริงและการเมืองอย่าน้ำเน่า แต่ถ้านานเพราะเป็นการตกลงผลประโยชน์ตัวเองไม่ลงตัว ตรงนี้สังคมจะกดดัน แต่ถ้านานเพื่อทำนโยบายร่วมกันให้ลงตัวในการพัฒนาประเทศ อย่างนี้คนเข้าใจได้”

เรื่องน่ารู้ “ไม่ไปเลือกตั้ง” เจอตัดสิทธิอะไรบ้าง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/politic/report/584282

  • วันที่ 24 มี.ค. 2562 เวลา 07:29 น.

เรื่องน่ารู้ "ไม่ไปเลือกตั้ง" เจอตัดสิทธิอะไรบ้าง

ใน พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. กำหนดไว้ชัดเจนว่า หากไม่ไปเลือกตั้งจะถูกจำกัดสิทธิด้านการเมืองเป็นเวลา 2 ปี

*************************

โดย…ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์

วันนี้ (24 มี.ค. 2562) ถือว่ามีความสำคัญยิ่งต่อคนไทยทั้งชาติ เพราะได้ออกไปใช้สิทธิใช้เสียง กำหนดอนาคตผ่านการเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากพรรคการเมืองต่างๆ ซึ่งเสนอตัวขอมาทำหน้าที่บริหารประเทศแทนประชาชน และแน่นอนว่าถ้าอยากเห็นโฉมหน้าประเทศเป็นไปในทิศทางใดก็ต้องออกไปใช้สิทธิเลือกตั้ง

ทว่า หากไม่ไปใช้สิทธิจะเกิดผลอะไรตามมาต่อประชาชนที่นอนหลับทับสิทธิ เมื่อส่องเนื้อหาใน พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561 กรณีไม่ไปใช้สิทธิตามมาตรา 35 ซึ่งบัญญัติว่า “ผู้มีสิทธิเลือกตั้งผู้ใดไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งและมิได้แจ้งเหตุที่ไม่อาจไปใช้สิทธิเลือกตั้ง หรือแจ้งเหตุที่ไม่อาจไปใช้สิทธิเลือกตั้งแล้วแต่เหตุนั้นมิใช่ เหตุอันสมควร ผู้นั้นถูกจำกัดสิทธิ ดังนี้

1.ยื่นคำร้องคัดค้านการเลือกตั้ง สส.

2.สมัครรับเลือกตั้งเป็น สส. หรือสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น หรือสมัครรับเลือกเป็น สว.

3.สมัครรับเลือกเป็นกำนันและผู้ใหญ่บ้านตามกฎหมายว่าด้วยลักษณะปกครองท้องถิ่น

4.ดำรงตำแหน่งข้าราชการการเมืองตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการการเมือง และข้าราชการรัฐสภาฝ่ายการเมืองตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการรัฐสภา

5.ดำรงตำแหน่งรองผู้บริหารท้องถิ่น เลขานุการผู้บริหารท้องถิ่น ผู้ช่วยเลขานุการผู้บริหารท้องถิ่น ประธานที่ปรึกษาผู้บริหารท้องถิ่น ที่ปรึกษาผู้บริหารท้องถิ่น หรือคณะที่ปรึกษาผู้บริหารท้องถิ่นตามกฎหมาย ว่าด้วยการจัดตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

ทั้งนี้ การจำกัดสิทธิให้มีกำหนดเวลาครั้งละ 2 ปี นับแต่วันเลือกตั้งครั้งที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง และหากในการเลือกตั้งครั้งต่อไปผู้นั้นไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งอีก ให้นับเวลาการจำกัดสิทธิ ครั้งหลังนี้โดยนับจากวันที่มิได้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งครั้งใหม่ หากกำหนดเวลาการจำกัดสิทธิครั้งก่อนยังเหลืออยู่เท่าใด ให้กำหนดเวลาการจำกัดสิทธินั้นสิ้นสุดลง

ขณะเดียวกันถ้าผู้มีสิทธิเลือกตั้งมีเหตุจำเป็นที่ไม่สามารถไปใช้สิทธิได้ โดย พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561 ได้ระบุวิธีการป้องกันไม่ให้ถูกตัดสิทธิทางการเมือง มาตรา 33 ในการเลือกตั้งครั้งใด ถ้าผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่อาจไปใช้สิทธิเลือกตั้งได้เนื่องจากมีเหตุอันสมควร

ทั้งนี้ ให้แจ้งเหตุไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งต่อบุคคลซึ่งคณะกรรมการแต่งตั้งไว้ในแต่ละเขตเลือกตั้งภายใน 7 วันก่อนวันเลือกตั้ง หรือภายใน 7 วันนับแต่วันเลือกตั้ง แต่ถ้ามีเหตุไม่สามารถอาจแจ้งได้ภายใน 7 วันก่อนเลือกตั้ง ให้ดําเนินการแจ้งตามที่คณะกรรมการกําหนด

อย่างไรก็ตาม การแจ้งเหตุดังกล่าวไม่เป็นการตัดสิทธิที่ผู้นั้นจะไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ในการแจ้งเหตุ ให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ทําหนังสือหรือวิธีการอื่นเพื่อชี้แจงเหตุดังกล่าว โดยอาจมอบหมายให้บุคคลใดไปยื่นต่อบุคคล ซึ่งคณะกรรมการแต่งตั้งแทน หรือจัดส่งหนังสือชี้แจงเหตุทางไปรษณีย์ลงทะเบียน หรือแจ้งโดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ก็ได้

สำหรับกรณีบุคคลซึ่งคณะกรรมการแต่งตั้งพิจารณาแล้วเห็นว่า เหตุที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งแจ้งนั้นมิใช่เหตุอันสมควร ให้แจ้งผู้มีสิทธิเลือกตั้งทราบภายใน 3 วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้ง ผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่ได้รับแจ้งมีสิทธิยื่นอุทธรณ์ต่อผู้อํานวยการการเลือกตั้งประจำจังหวัดภายใน 30 วัน นับแต่วันเลือกตั้ง

ส่วนการแจ้งเหตุ วิธีการแจ้งเหตุทางอิเล็กทรอนิกส์ บุคคลที่จะรับแจ้งเหตุ สถานที่รับแจ้งเหตุ การพิจารณาการแจ้งเหตุ และการอุทธรณ์ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการกําหนด โดยในการกําหนดให้คํานึงถึงการอํานวยความสะดวกแก่ประชาชนด้วย และในการนี้ให้คณะกรรมการกําหนดรายละเอียดของเหตุที่ทําให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่อาจไปใช้สิทธิเลือกตั้งไว้ เพื่อเป็นแนวทางในการพิจารณาของบุคคลซึ่งคณะกรรมการแต่งตั้งด้วย

อย่างไรก็ดี ประชาชนสามารถดาวน์โหลดหนังสือแจ้งเหตุที่ไม่อาจไปใช้สิทธิเลือกตั้งได้ที่เว็บไซต์สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) หัวข้อ บริการข้อมูล จากนั้นเลื่อนไป หัวข้อที่ 7 แบบฟอร์มแจ้งเหตุไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งท้องถิ่น (ส.ถ./ผ.ถ.31) เพื่อกรอกและนำไปใช้ยื่นรักษาสิทธิทางการเมืองต่อไป http://www2.ect.go.th/download-file.php?Action=download&DataID=8843

นอกจากนี้ ยังมี 11 ข้อพึงระวังกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง คือ

1.ผู้ใดซึ่งรู้อยู่แล้วว่าตนไม่มีสิทธิเลือกตั้ง หรือไม่มีสิทธิออกเสียงลงคะแนน พยายามออกเสียงลงคะแนน หรือออกเสียงลงคะแนนโดยแสดงหลักฐานที่ไม่ใช่ตนเอง

2.ผู้ใดจงใจกระทำด้วยประการใดๆ ให้บัตรเลือกตั้งชำรุด หรือเสียหาย หรือให้เป็นบัตรเสีย หรือกระทำด้วยประการใดๆ แก่บัตรเสียเพื่อให้เป็นบัตรที่ใช้ได้

3.ผู้ใดมิได้มีสัญชาติไทยเข้ามามีส่วนช่วยเหลือในการหาเสียง

4.ผู้ใดเล่นหรือจัดให้มีการเล่นการพนันขันต่อใดๆ เกี่ยวกับผลการเลือกตั้ง

5.ผู้ใดหาเสียงเลือกตั้งโดยวิธีการใดไม่ว่าจะเป็นคุณหรือเป็นโทษแก่ผู้สมัครหรือพรรคการเมือง นับตั้งแต่เวลา 18.00 น. ของก่อนวันเลือกตั้ง 1 วัน จนสิ้นสุดวันเลือกตั้ง

6.ผู้มีสิทธิเลือกตั้งใช้เครื่องมือหรืออุปกรณ์ใดถ่ายภาพบัตรเลือกตั้งที่ตนได้ลงคะแนนเลือกตั้งแล้ว 7.ผู้ใดขาย จำหน่าย จ่ายแจก หรือจัดเลี้ยงสุราทุกชนิดในเขตเลือกตั้งในระหว่างเวลา 18.00 น. ของก่อนวันเลือกตั้ง 1 วัน จนถึงเวลา 18.00 น. ของวันเลือกตั้ง + วันเลือกตั้งล่วงหน้า

8.ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเรียกรับ หรือยอมที่จะรับเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่น เพื่อลงคะแนนหรืองดเว้นไม่ลงคะแนน

9.ผู้ใดกระทำการอันเป็นเท็จให้ผู้อื่นเข้าใจผิดว่าผู้สมัครผู้ใดกระทำการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมายเลือกตั้ง หรือเพื่อจะแกล้งให้ผู้สมัครผู้ใดถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งหรือสิทธิรับสมัครเลือกตั้ง

10.ผู้ใดจงใจทำเครื่องหมายเพื่อเป็นที่สังเกตโดยวิธีใดไว้ที่บัตรเลือกตั้ง

11.ผู้มีสิทธิเลือกตั้งนำบัตรเลือกตั้งออกไปจากที่เลือกตั้ง

ทั้งนี้หากพบการทุจริตเลือกตั้ง สามารถแจ้งได้ที่สำนักงาน กกต.ประจำจังหวัดทุกจังหวัด หน่วยปฏิบัติการข่าว โทร. 02-141-8045-51 สายด่วน กกต. โทร. 1444 กด 2 หรือเว็บไซต์ กกต. https://www.ect.go.th/ect_th/report_corruption.php โดยข้อมูลต่างๆ จะถูกเก็บเป็นความลับ

เปิดใจ”ยงยุทธ ติยะไพรัช” พรรคเพื่อชาติขอเป็นเกาะกลาง-พา”ทักษิณ”กลับบ้าน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/politic/report/583964

  • วันที่ 21 มี.ค. 2562 เวลา 10:53 น.

เปิดใจ"ยงยุทธ ติยะไพรัช" พรรคเพื่อชาติขอเป็นเกาะกลาง-พา"ทักษิณ"กลับบ้าน

เปิดใจ”ยงยุทธ ติยะไพรัช” กับภารกิจพรรคเพื่อชาติและการประกาศ “พาทักษิณกลับบ้าน”ในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนเลือกตั้ง

*******************************

โดย….ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์

ประเด็น “พาทักษิณกลับบ้าน” ถูกพูดถึงมาหลายต่อหลายครั้ง โดยแกนนำฝ่ายการเมืองหลายต่อหลายคน ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่พูดทุกครั้ง เปิดประเด็นนี้ออกมาทุกครั้ง ก็จะถูกตีโต้กลับ ถูกดิสเครดิต จนปัจจุบันหลายพรรค การเมืองที่ว่ากันว่าเป็นพรรคเครือข่ายของทักษิณ ชินวัตร ก็แทบไม่มีพรรคไหนกล้าพูดถึงเรื่องนี้อย่างตรงไปตรงมา

แต่ล่าสุดในช่วงหาเสียงโค้งสุดท้าย “ยงยุทธ ติยะไพรัช” กองเชียร์คนสำคัญของพรรคเพื่อชาติกลับประกาศแบบหมดเวลาเกรงใจว่า พรรคเพื่อชาติในฐานะพรรคเกาะกลาง จะขอมติจากประชาชนพาทักษิณกลับบ้าน

อะไรที่ทำให้ยงยุทธกล้าประกาศแบบหมูไม่กลัวน้ำร้อน…..

ยงยุทธ บอกว่า การประกาศจะพาทักษิณกลับบ้านนั้น พรรคเพื่อชาติไม่ได้เพิ่งประกาศ แต่เป็นผลจากนโยบายที่เป็นเกาะกลาง หรือ Talking Area เพื่อที่จะได้ให้คนทุกฝ่ายได้มีโอกาสมาพบปะพูดคุยกัน ถ้ายืนอยู่คนละข้าง มองแต่ปัญหาความขัดแย้งนั้น ผลดังกล่าวนี้จะส่งถึงลูกหลานในวันข้างหน้าก็จะทำให้ประเทศชาติอ่อนแอ

ทั้งนี้ การพาทักษิณกลับบ้านก็ไม่ได้แปลว่าจะเป็นการยกโทษ หรือนิรโทษกรรมเหมือนกับคณะรัฐประหารหรือฝ่ายเผด็จการที่ยึดอานาจแล้วก็นิรโทษกรรมให้ตัวเองแล้วตัวเองไม่ผิด แท้ที่จริงแล้วการฉีกรัฐธรรมนูญก็ผิด แต่กรณีของอดีตนายกฯ ทักษิณนั้น เมื่อถูกยึดอำนาจ ก็มีการตั้งข้อกล่าวหา ไม่มีเผด็จการหรือผู้มีอำนาจคนไหนที่จะบอกว่า เหุตที่ตัวเองยึดอำนาจมานั้นเพราะรัฐบาลเป็นคนดี ดังนั้นการพูดคุยกันจึงเป็นเรื่องสำคัญ

ยงยุทธ บอกอีกว่า การเสนอเรื่องการนำอดีตนายกฯ ทักษิณกลับไทยนั้น รู้อยู่แล้วว่าจะทำให้ฝ่ายที่หากินกับการปลุกผีคุณทักษิณนำไปขยายผลในการเลือกตั้ง แต่ก็ไม่หวั่นไหว เพราะตั้งใจจะให้บ้านเมืองเกิดความสงบ ไม่ใช่มาปลุกระดมสร้างความหวาดระแวงต่อกัน ไม่อย่างนั้นบ้านเมืองก็เดินหน้าไม่ได้

“เหตุที่คุณสุเทพ (เทือกสุบรรณ) ประกาศเป็นฝ่ายตรงกันข้ามกับอดีตนายกฯ ทักษิณ ถ้าเป็นสมัยก่อนหน้านั้น ยุคสงครามเย็นก็จะอ้างว่า ทักษิณเป็นคอมมิวนิสต์ก็พูดได้ วันนี้ไม่มีเงื่อนไขอะไรที่เขาจะไปประกาศสู้ เขาไม่กล้าประกาศว่าเขาอยู่ฝั่งตรงข้ามคุณประยุทธ์ เพราะคุณประยุทธ์สามารถให้คุณให้โทษกับเขาได้ เขาเป็นแค่เพียงคนเอาตัวรอดในเหตุการณ์ต่างๆ และเขาก็รู้ดีว่าสิ่งที่อุปโลกน์ขึ้นมาว่า ทักษิณเป็นปฏิปักษ์ต่อนั่นต่อนี่ ก็เป็นข้อกล่าวหาทั้งนั้น คนที่น่าจะออกไปอยู่ต่างประเทศ น่าจะเป็นคุณสุเทพ มากกว่า เพราะบ้านเมืองจะได้สงบเสียที”

สำหรับการประกาศบุคลิกภาพของพรรคเพื่อชาติในการเป็นพรรคเกาะกลางที่ให้มีการพูดคุยกันนั้น “ยงยุทธ” อธิบายว่า เป็นการแสดงให้เห็นว่าคนเราเห็นต่างกันได้ ทะเลาะกันได้ แต่ก็สามารถอยู่ร่วมกันได้ โดยไม่จำเป็นต้องไปสู้รบปรบมือกัน และปัญหาหลักวันนี้ ไม่ได้อยู่ที่ว่า ประชาธิปไตยดีหรือไม่ดี แต่ประชาธิปไตยนั้นทำให้คนทั้งหลายอยู่ร่วมกันได้

อีกนโยบายที่สำคัญของพรรคเพื่อชาติ คือ การยกเลิกทุนผูกขาด การผูกขาดตัดตอนสัมปทานทั้งหลายที่เอารัดเอาเปรียบคนยากคนจนโดยอาศัยความสนิทสนมกับผู้มีอำนาจทั้งหลายแล้วก็ให้สัมปทานกันนั้นเป็นการดูดเอาทรัพยากรของประเทศและโอกาสของคนยากคนจนทั้งหลายไปอยู่ในมือตัวเองจนล้นเหลือ

“วันนี้อะไรก็ตามที่เป็นปัญหากับชาติบ้านเมืองนั้น เราต้องเลิกเด็ดขาด เราต้องยอมรับว่าทุกวันนี้ คนรวยก็รวยล้นฟ้า คนจนก็จนไม่มีอะไรจะกิน ความเหลื่อมล้ำมีมาก”

นอกจากนี้ พรรคก็ชูนโยบายยกระดับสถานีอนามัยให้เป็นโรงพยาบาลตำบลที่มีความทันสมัย นโยบาย 1 ตำบล 1 นักศึกษาแพทย์ รองรับการยกระดับอนามัยตำบลเป็นโรงพยาบาล นโยบายราคาพืชผลทางการเกษตร โดยกำหนดราคาสินค้าทางการเกษตรให้เหมาะสมกับสภาวะตลาด พร้อมแนะแนวทางยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน ตั้งรับกระแสการท่องเที่ยวเชิงเกษตร (Agro ไtourism) โดยจัดบ้านเป็นโฮมสเตย์ พร้อมรับนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างประเทศ นโยบายโฉนดใบเดียวทั้งแผ่นดิน คือ การยกเลิกเอกสารสิทธิทุกประเภท อาทิ สปก. นส.2 นส.3 และอื่นๆ ให้เหลือเพียงโฉนดเท่านั้น รวมถึงจะใช้มาตราส่วนเดียวกันในโฉนดทุกประเภท ลดปัญหาความขัดแย้ง และเพิ่มความเท่าเทียมกัน ให้กับเจ้าของโฉนดทุกคน

สำหรับเสียงตอบรับจากประชาชนจากการลงพื้นที่หาเสียงถึงโค้งสุดท้าย “ยงยุทธ” กล่าวอย่างมั่นใจว่า ประชาชนโดยเฉพาะชาวรากหญ้าทั้งหลายนั้น ตอบรับกลับมาว่า พรรคเพื่อชาติคือพรรคของคนจน เป็นพรรคของพวกเขา ไม่ต้องกังวลใจ ไม่ต้องไปรับเงินนายทุนที่ไหนมา ขอให้ช่วยเหลือแก้ไขปัญหาพืชผลทางการเกษตร การเอารัดเอาเปรียบจากการได้รับสัมปทาน เขาก็พึงพอใจแล้ว

“สตางค์นั้นเขาก็จะรับจากฝั่งเผด็จการพวกที่โกงบ้านกินเมืองมา ส่วนไปกาบัตรลงคะแนนเขาจะกาให้พรรคเพื่อชาติ คณะกรรมการบริหารพรรคทุกคนยืนยันว่า เพียงแค่เราเป็นพรรคเกาะกลาง มีคน เดินลงมาอย่างเช่น จตุพร พรหมพันธุ์ (ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ) คุณอำนวย สุวรรณคีรี (อดีต สส.พรรคประชาธิปัตย์ จ.สงขลา) ก็เป็นสัญลักษณ์ให้รู้ว่า คนไทยเราพร้อมที่จะก้าวเดินและแก้ปัญหาไปด้วยกัน”ยงยุทธ ระบุ

รับเงินเดือนหลวง “บิ๊กตู่” ไปไม่ถึงดวงดาว?

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/politic/report/583848

  • วันที่ 20 มี.ค. 2562 เวลา 11:36 น.

รับเงินเดือนหลวง "บิ๊กตู่" ไปไม่ถึงดวงดาว?

หากดูองค์ประกอบของการเป็นเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐของตำแหน่งหัวหน้า คสช. ต้องยอมรับว่าปฏิเสธได้ยาก โดยเฉพาะการรับเงินเดือนและการรับค่าตอบแทน

***************************

โดย…ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์

ข้อพิพาทเกี่ยวกับความเป็นเจ้าหน้าที่รัฐหรือเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ซึ่งอาจมีผลต่อคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของการเป็นแคนดิเดตตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

แม้ ณ วันนี้อาจจะซาลงไปบ้าง ภายหลังผู้ตรวจการแผ่นดินออกมาวินิจฉัยว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป แต่ในอนาคตยังมีความเป็นไปได้พอสมควรที่เรื่องนี้จะกลับมาร้อนอีกครั้ง หาก พล.อ.ประยุทธ์ ชนะการเลือกตั้งได้มีโอกาสจัดตั้งรัฐบาลและเป็นนายกฯ อีกครั้ง

ย้อนกลับมาดูข้อเท็จจริงทั้งหมดจะพบว่ามีความน่าสนใจในแง่มุมทางกฎหมายอยู่พอสมควร

รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 บัญญัติให้บุคคลที่ได้รับการเสนอชื่อให้เป็นนายกรัฐมนตรีจากพรรคการเมือง จะต้องไม่มีลัก ษณะต้องห้ามตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด โดยหนึ่งในนั้นคือ ต้องไม่เป็นเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ

ด้วยเหตุนี้จึงนำมาซึ่งปัญหาที่ว่าแล้ว พล.อ.ประยุทธ์ มีความเป็นเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐหรือไม่ ซึ่งตามข้อเท็จจริง พล.อ.ประยุทธ์ สวมหมวก 2 ใบ ได้แก่ 1.ตำแหน่งนายกฯ และ 2.หัวหน้า คสช.

ในแง่ของตำแหน่งนายกฯ แม้จะมีลักษณะความเป็นเจ้าหน้าที่รัฐก็จริง แต่สถานะนายกฯ ตามกฎหมายนั้นเป็นตำแหน่งข้าราชการการเมือง ซึ่งได้รับการยกเว้นจากรัฐธรรมนูญที่ให้สามารถลงสมัครเป็นนายกฯ ได้อยู่แล้ว

เหลือแต่เพียงตำแหน่งหัวหน้า คสช.อย่างเดียวที่ต้องมาพิจารณาว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐหรือไม่ ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญเองยังไม่เคยวินิจฉัยมาก่อนว่าตำแหน่งหัวหน้าคณะรัฐประหารเป็นเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐหรือไม่อย่างไร เนื่องจากมีแต่องค์ประกอบของการเป็นเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐที่ศาลรัฐธรรมนูญเคยระบุว่าจะต้องประกอบด้วยองค์ประกอบ 4 ประการตามคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 5/2543 ได้แก่

1.ได้รับแต่งตั้งหรือเลือกตั้งตามกฎหมาย

2.มีอำนาจหน้าที่ดำเนินการหรือหน้าที่ปฏิบัติการให้เป็นไปตามกฎหมายและปฏิบัติงานประจำ

3.อยู่ในบังคับบัญชาหรือในกำกับดูแลของรัฐ

4.มีเงินเดือน ค่าจ้าง หรือค่าตอบแทนตามกฎหมาย

เมื่อความไม่ชัดเจนในทางกฎหมายเกิดขึ้น ส่งผลให้เกิดข้อกังขาต่อความชอบด้วยกฎหมายในความเป็นแคนดิเดตนายกฯ ของ พล.อ.ประยุทธ์ พอสมควร

ยอดพล เทพสิทธา คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ให้ความเห็นต่อประเด็นนี้ว่า ความเห็นของผู้ตรวจการแผ่นดินยังไม่ถือว่าเป็นที่สิ้นสุด เพราะถ้าจะให้เกิดความชัดเจนอย่างเป็นทางการ จำเป็นต้องส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้เด็ดขาด แต่สำหรับส่วนตัวแล้วคิดว่าตำแหน่งหัวหน้า คสช.เป็นเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ อันเป็นลักษณะต้องห้ามประการหนึ่งของการเป็นแคนดิเดตนายกฯ

ยอดพล อธิบายว่า เมื่อเรานำข้อเท็จจริงในตำแหน่งของ พล.อ.ประยุทธ์ มาพิจารณาไปทีละองค์ประกอบตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อปี 2543 จะเห็นได้ว่ามีความเป็นเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐครบถ้วน อาทิ การได้รับการแต่งตั้งตามกฎหมาย ไปจนถึงการใช้อำนาจออกคำสั่งหรือประกาศโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 44 ที่สำคัญยังรับเงินเดือนตามกฎหมายอีกด้วย ดังนั้นหัวหน้า คสช.ย่อมมีความเป็นเจ้าหน้าที่รัฐอย่างแน่นอน

“ที่ผ่านมามีความพยายามอ้างว่าตำแหน่งหัวหน้า คสช.ไม่ได้เป็นตำแหน่งประจำ แต่เป็นแค่ตำแหน่งชั่วคราวนั้น คิดว่าประเด็นนี้ฟังไม่ขึ้น เพราะตามข้อเท็จจริงจะเห็นว่าหัวหน้า คสช.อยู่ในตำแหน่งดังกล่าวมาเป็นเวลา 5 ปี ซึ่งนานกว่ารัฐบาลตามระบบปกติ เพราะฉะนั้นเพื่อให้เกิดความชัดเจน คิดว่าต้องส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย”ยอดพล กล่าว

ด้าน พัฒนะ เรือนใจดี คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง มีมุมมองว่า เชื่อว่าเมื่อผู้ตรวจการแผ่นดินวินิจฉัยออกมาเช่นนี้ ก็มีความเป็นไปได้ที่ กกต.จะมีความเห็นตามนั้น อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวมองว่าการที่ผู้ตรวจการแผ่นดินอ้างคำวินิจฉัยมาเป็นบรรทัดฐานเพื่อเทียบเคียงกับกรณีของหัวหน้า คสช. อาจจะไม่ถูกต้องเสียเดียว

พัฒนะ แสดงทัศนะว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 5/2543 เป็นการวินิจฉัยองค์ประกอบความเป็นเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐก็จริง แต่ไม่น่าจะเอามาเทียบเคียงกับกรณีของหัวหน้า คสช.ได้ เนื่องจากคำวินิจฉัยดังกล่าวไม่ได้ระบุถึงตำแหน่งที่มีลักษณะใกล้เคียงกับหัวหน้า คสช.แต่ประการใด

ทั้งนี้ ถ้าดูจากองค์ประกอบของการเป็นเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐของตำแหน่งหัวหน้า คสช. ต้องยอมรับว่าปฏิเสธได้ยาก โดยเฉพาะการรับเงินเดือนและการรับค่าตอบแทน ซึ่งผ่านขั้นตอนและระเบียบการเบิกจ่ายตามระเบียบและกฎหมาย

นักวิชาการด้านกฎหมายมหาชน สรุปว่า ถ้า กกต.ไม่ทำเรื่องนี้ให้เด็ดขาด หรือไม่ส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยอย่างเป็นทางการ คิดว่าจะเกิดปัญหาตามมาภายหลังการเลือกตั้งและการเลือกนายกรัฐมนตรี หากรัฐสภาเลือก พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ เพราะอาจจะมีการหาช่องทางเพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินก็เป็นไปได้

“ชาติพัฒนา” No Problem ร่วมรัฐบาลได้ทุกขั้ว

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/politic/report/583551

  • วันที่ 17 มี.ค. 2562 เวลา 09:28 น.

"ชาติพัฒนา" No Problem ร่วมรัฐบาลได้ทุกขั้ว

“สุวัจน์ ลิปตพัลลภ”ชูสโลแกน “ชาติพัฒนา ไม่มีปัญหา No Problem ทางการเมืองกับขั้วใด” พร้อมร่วมรัฐบาลได้ทุกขั้ว

***********************

โดย…ปริญญา ชูเลขา

โค้งสุดท้ายสู่วันเลือกตั้ง 24 มี.ค.นี้ วันชี้ชะตาอนาคตประเทศไทยจะไปทิศทางใด บุคคลหรือพรรคใดจะได้จัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ ท่ามกลางการต่อสู้ระหว่างขั้วใหญ่ทางการเมือง

แต่ “ม้านอกสายตา” ที่อาจจะสอดแทรกแซงทางโค้ง “พรรคชาติพัฒนา” ถือธงนำโดย“สุวัจน์ ลิปตพัลลภ” ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติพัฒนา ลุยหาเสียงอย่างหนัก โดยชูสโลแกน ชาติพัฒนา ไม่มีปัญหา No Problem ทางการเมืองกับขั้วใด จึงน่าจับตาว่าหลังเลือกตั้ง “สุวัจน์”  จะแตะมือกับพรรคใด โอกาสนี้หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์สัมภาษณ์พิเศษถึงกลยุทธ์ช่วงโค้งสุดท้ายที่เหลืออยู่

“สุวัจน์” โลดแล่นในวงการเมืองมายาวนานกว่า 30 ปี แต่ยังประเมินไม่ได้ว่าการเลือกตั้งครั้งนี้พรรคชาติพัฒนาจะได้กี่ที่นั่ง เพราะมีปัจจัยหลายประการซับซ้อน เช่น กติกาการเลือกตั้งแบบใหม่บัตรใบเดียว เทคโนโลยีด้านการสื่อสารหรือโซเชียลมีเดียเข้ามามีบทบาทสูง หรือคนรุ่นใหม่ที่มีสิทธิเลือกตั้งในครั้งนี้ มีพฤติกรรมการเลือกตั้งเป็นอย่างไรไม่อาจคาดการณ์ได้ และสังคมไทยห่างหายจากการเลือกตั้งมานานกว่า 5 ปี จึงประเมินยากว่าแต่ละพรรคจะได้คะแนนเท่าไร

“นับจากนี้ไปการเมืองเริ่มเข้มข้น และคาดการณ์ยากมากว่าแต่ละพรรคจะได้กี่ที่นั่ง เพราะมีตัวแปรด้านคะแนนเสียงจากคนรุ่นใหม่ 7-8 ล้านคนเข้ามาเป็นตัวแปร คนรุ่นใหม่ตื่นตัวทางการเมืองสูงมากจากกระแสปฏิรูปการเมือง และการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยและเทคโนโลยี” สุวัจน์ กล่าว

สุวัจน์ กล่าวอีกว่า หลังการเลือกตั้งในวันที่ 24 มี.ค.นี้ มีความมั่นใจว่าเมื่อมีรัฐบาลใหม่ที่มาจากการเลือกตั้งแล้วจะสร้างความเชื่อมั่นให้กับต่างชาติมาท่องเที่ยวและเข้ามาลงทุนเพิ่มสูงขึ้นอย่างแน่นอน

ไม่ว่าพรรคการเมืองใดเข้ามา จะไม่มีคำว่า แพ้หรือชนะ ซึ่งไม่สำคัญว่าพรรคจะแพ้หรือชนะเช่นกัน แต่ขอให้ประเทศไทยชนะและกลับมาดีเป็นสิ่งสำคัญมากกว่า เมื่อบ้านเมืองมีประชาธิปไตยเป็นสากล ต่างชาติก็จะกลับมาลงทุน ส่วนความขัดแย้งทางการเมือง ทางพรรคชาติพัฒนาไม่มีปัญหาเพราะพรรคทำงานการเมืองเหมือนเล่นกีฬา

เมื่อครั้ง “น้าชาติ” หรือ พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ อดีตนายกรัฐมนตรี ทำการเมืองแบบจบเป็นยกๆ แพ้ก็รออีก 4 ปี ต้องเป็นสุภาพบุรุษ และต้องเป็นคนรู้จักแพ้รู้จักชนะ ดังนั้นการเล่นการเมืองไม่ใช่ชนะแล้วต้องไม่เหลิง หรือชนะกันแค่เพียงเสียงเดียวก็พอแล้ว หากเสียงชนะกันด้วยคะแนนสูสี เป็นรัฐบาลผสมทางรัฐบาลกับฝ่ายค้านจะมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันกว่ารัฐบาลเสียงข้างมาก เพราะรัฐบาลผสมทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลคะแนนเสียงสูสีกัน ฝ่ายค้านเสนอแนะอะไรไปทางรัฐบาลจะรับฟัง หรือเวลาฝ่ายค้านท้วงติงอะไรไปฝ่ายรัฐบาลย่อมนำไปปรับปรุงแก้ไข คือ เกรงใจซึ่งกันและกัน

“พรรคชาติพัฒนา เล่นการเมืองแบบเอาประเทศชาติเป็นหลัก ต้องไม่ใจร้อนในการทำงานต้องฟังเสียงในสภา ถ้าไม่ฟังสภา แล้วออกมาเล่นการเมืองบนท้องถนน แบบนั้นก็ไม่จบย่อมก่อความขัดแย้ง แต่ถ้าเคารพกติการับรองบ้านเมืองไม่มีปัญหา No Problem

พรรคชาติพัฒนา มีความพร้อมทุกบทบาท ทั้งเป็นฝ่ายรัฐบาลที่จะทำตามที่ได้สัญญาไว้ แต่หากเป็นฝ่ายค้าน จดไว้หมดว่าใครสัญญาอะไรไว้จะติดตามตรวจสอบว่ารัฐบาลสัญญาอะไรไว้หากทำไม่ได้ต้องมีการตรวจสอบ

“การเมืองแบบเก่าๆ ต้องหมดไป คือ การไปสัญญาแล้วทำไม่ได้ และการเมืองยุคใหม่ คือ ต้องมีน้ำใจเป็นนักกีฬาเหมือนพรรคชาติพัฒนา ทุกอย่างต้องจบในห้องประชุม ไม่ออกมาเดินเรียกร้องบนท้องถนนสร้างปัญหาให้กับประเทศต้องไม่มีอีก” สุวัจน์ กล่าว

อย่างไรก็ตาม จากการเดินทางไปหาเสียงในหลายๆ พื้นที่ “สุวัจน์” มั่นใจว่าได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี และมั่นใจว่าการเลือกตั้งครั้งนี้จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในสิ่งที่ดีขึ้นกว่าเดิม โดยเฉพาะเศรษฐกิจและปัญหาความขัดแย้งต่างๆ ในบ้านเมือง เพราะจากการพูดคุยกับพี่น้องประชาชนในทุกพื้นที่ที่ได้ลงไปสัมผัส และฟังเสียงจากปากพี่น้องเกษตรกรและคนยากคนจนในชนบท บอกเหมือนกันว่า ต้องการเห็นการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ และอยากเห็นบ้านเมืองสงบเรียบร้อย หรือ การเมืองนิ่ง นี้คือโจทย์ใหญ่ที่พรรคชาติพัฒนารับไว้เพื่อจะสานต่อให้สำเร็จ

สุวัจน์ย้ำตลอดว่า พรรคได้ยึดแนวทาง “No Problem” ซึ่งเป็นที่มาแนวคิดของ พล.อ.ชาติชาย เมื่อครั้งวันที่ท่านเป็นนายกรัฐมนตรี เชื่อหรือไม่ การเมืองนิ่ง ไม่มีความขัดแย้งหรือไม่มีการแบ่งแยกสีหรือแบ่งฝักแบ่งฝ่ายทางการเมือง โดยนโยบายเศรษฐกิจ น้าชาติได้แปรสนามรบเป็นสนามการค้า เศรษฐกิจในยุคน้าชาติ ก่อให้เกิดความร่ำรวยแก่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หรือ อีสาน ภาคที่ใครๆ เห็นว่าเป็นภาคที่ยากจนที่สุดกลับมารุ่งเรืองได้

“โคราชเป็นสนามการเมืองใหญ่มากๆ ทุกพรรคการเมืองต่างหมายปอง แต่ถือว่าเป็นเรื่องดีที่พรรคใหญ่ๆ อยากเข้ามาเจาะ เพราะประชาชนจะได้มีทางเลือกเยอะๆ พรรคใดประชาชนคิดว่าดีสามารถเลือกได้ ถ้าเห็นว่าทำประโยชน์ให้คนโคราช สำหรับ พรรคชาติพัฒนา จะแพ้หรือชนะไม่เป็นไร แต่ขอให้ประชาชนกินดีอยู่ดี เพราะสิ่งที่พรรคต้องการทำ คือ สิ่งที่น้าชาติ ได้ทำไว้ ด้วยการทำให้การเมืองต้องนิ่ง และสานต่อนโยบายเศรษฐกิจของโคราช และอีสาน ด้วยสโลแกน No Problem หัวใจของนโยบาย คือ ทำให้พี่น้องประชาชนได้กินดีอยู่ดีขึ้น การเมืองนิ่ง เหมือนที่พรรคชาติพัฒนา และน้าชาติได้ทำมากว่า 20 ปี” สุวัจน์ กล่าว

ในสนามการเมืองทุกพรรคต่างจ้องเจาะสนามโคราช “สุวัจน์” กล่าวอย่างมั่นใจว่า พื้นที่โคราช จะรักษาฐานเสียงเดิมไว้ได้ เพราะประชาชนชื่นชอบนโยบายเศรษฐกิจและการเมือง เพราะพรรคชาติพัฒนาเล่นการเมืองแบบรู้แพ้รู้ชนะรู้อภัย และสิ่งใดดีต่อประชาชนทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลต้องร่วมสนับสนุน และฝ่ายใดได้เสียงข้างมากก็ต้องชนะจัดตั้งรัฐบาล ดังนั้นการเมืองต้องฟังเสียงข้างมาก แม้จะไม่เห็นด้วย แต่ต้องยอมรับและเคารพเสียงข้างมาก คือต้องฟังเสียงประชาชน จึงเป็นที่มาของพรรคชาติพัฒนา No Problem

“ก่อนเลือกตั้ง พล.อ.ชาติชาย เรียกว่า การเมือง เพราะต้องสู้กันให้เต็มที่ แต่พอจบเลือกตั้ง นักการเมืองต้องคุยกัน ท่านจึงเรียกว่า บ้านเมือง เพราะทุกฝ่ายต้องช่วยกันคุยกันเพื่อบ้านเมือง ดังนั้น การเมืองในวันนี้ต้องใช้หลักข้อนี้ คือ ก่อนเลือกตั้งสู้กันให้เต็มที่ แต่หลังเลือกตั้งต้องคิดถึงบ้านเมือง แม้ว่าฝ่ายหนึ่งเป็นรัฐบาล อีกฝ่ายเป็นฝ่ายค้าน แต่ต้องคุยกันเพื่อบ้านเมือง” สุวัจน์ กล่าว

“คึกฤทธิ์ ปราโมช” ต้นตำรับพรรคเล็กตั้งรัฐบาล

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/politic/report/583540

  • วันที่ 17 มี.ค. 2562 เวลา 07:23 น.

"คึกฤทธิ์ ปราโมช" ต้นตำรับพรรคเล็กตั้งรัฐบาล

เหตุการณ์ที่พรรคการเมืองที่ได้จำนวนส.ส.รองลงมาพลิกขึ้นมาเป็นแกนนำตั้งรัฐบาลเคยเกิดขึ้นมาแล้วเมื่อปี2518

**********************

โดย…อภิวัจ สุปรีชาวุฒิพงศ์

การเลือกตั้ง สส. ซึ่งเหลือเวลาอีกเพียง 1 สัปดาห์ จนถึงขณะนี้กระแสข่าวพรรคที่ได้จำนวน สส.รองลงมาอาจพลิกขึ้นมาเป็นแกนนำตั้งรัฐบาลก็พูดกันหนาหูมากขึ้น ซึ่งเหตุการณ์ทำนองนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วในปี 2518 หรือเมื่อ 44 ปีล่วงมาแล้ว

การเลือกตั้ง สส. เมื่อวันที่ 26 ม.ค. 2518 เป็นการเลือกตั้งครั้งแรกหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาฯ 2516 ซึ่งมีการร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2517 และประกาศใช้เมื่อเดือน ต.ค. 2517

ผลการเลือกตั้งครั้งนั้น พรรคประชาธิปัตย์ซึ่งมี ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช เป็นหัวหน้าพรรค ได้รับเลือกตั้งมากเป็นอันดับ 1 มี สส. 72 คน จึงเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล โดยร่วมกับพรรคเกษตรสังคม ซึ่งมี สส. 19 คน และพรรคแนวร่วมสังคมนิยม ซึ่งมี สส. 10 คน แต่จำนวน สส.ที่ได้มีเพียง 101 คน ไม่ถึงกึ่งหนึ่งของจำนวน สส.ทั้งสภา ซึ่งต้องมีถึง 135 คน จากจำนวน สส.ทั้งหมด 269 คน ทำให้การแถลงนโยบายต่อสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 6 มี.ค. 2518 รัฐบาลไม่ได้รับความไว้วางใจจากสภา ทำให้ ม.ร.ว.เสนีย์ ซึ่งได้รับโปรดเกล้าฯ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 15 ก.พ. 2518 ดำรงตำแหน่งได้เพียง 18 วัน จึงต้องพ้นจากตำแหน่งไป

หลังจากนั้น ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช หัวหน้าพรรคกิจสังคม ซึ่งมีจำนวน สส. เพียง 18 คน มีสถานะเป็นพรรคอันดับ 5 ก็รวบรวมพรรคต่างๆ อีก 12 พรรคจัดตั้งรัฐบาล โดยมีเสียงสนับสนุนถึง 140 เสียง

รัฐบาลชุดนี้มีฉายาว่ารัฐบาลสหพรรคเนื่องจากมีพรรคการเมืองร่วมรัฐบาลจำนวนมาก ประกอบกับอยู่ในช่วงที่ความตื่นตัวทางการเมืองของกลุ่มต่างๆ ภายหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาฯ2516 การบริหารประเทศของรัฐบาลผสมที่ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ เป็นผู้นำจึงมิได้ราบรื่น

ขณะเดียวกัน ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ เองก็ถูกท้าทายจากหลายฝ่าย โดยเฉพาะกรณีตำรวจบุกบ้านซอยสวนพลูทำลายข้าวของภายในบ้านเมื่อเดือน ส.ค. 2518

มูลเหตุครั้งนั้นมาจากข้าราชการตำรวจออกมาคัดค้านการออกกฎหมายโอนอำนาจการสอบสวนจากตำรวจไปให้กับฝ่ายปกครอง ซึ่ง ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนไปว่า หากตำรวจนัดหยุดงานก็จะนำลูกเสือมาทำหน้าที่แทนตำรวจ

ต่อมามีเหตุจับกุมชาวบ้านภาคเหนือ 9 ราย ในคดีเผาป่าและบุกรุกยึดพื้นที่เหมืองแห่งหนึ่ง รวมทั้งก่อเหตุทำร้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดย ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ได้ขอประกันตัวผู้ต้องหาด้วยตัวเอง ทำให้ตำรวจไม่พอใจ จึงรวมตัวบุกบ้านซอยสวนพลู แต่ขณะนั้น ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ไม่ได้อยู่ในบ้าน โดยไปที่ สน.ทุ่งมหาเมฆ ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กันเพื่อเจรจากับตำรวจอีกกลุ่มหนึ่ง

นโยบายสำคัญในยุครัฐบาล ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดี และถือเป็นต้นแบบที่นโยบายประชานิยมในปัจจุบันนำมาปรับใช้คือ นโยบายเงินผัน

โดยหลังจากแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภาแล้ว รัฐบาล ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ก็ได้ออกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยโครงการพัฒนาท้องถิ่น และช่วยประชาชนในชนบทให้มีงานทำในฤดูแล้ง พ.ศ. 2518 เพื่อจัดสรรงบประมาณ 2,500 ล้านบาท ไปสู่ชนบท เพื่อให้ประชาชนมีงานทำในช่วงฤดูแล้ง ก่อนการทำไร่ทำนาในฤดูฝน ลักษณะการดำเนินการคือให้สภาตำบลเสนอความต้องการเกี่ยวกับการปรับปรุง คู คลอง ทำนบ ฝายกั้นน้ำ สะพาน ตลอดจนการซ่อมแซมต่อเติมอาคารสิ่งก่อสร้างสาธารณประโยชน์ เพื่อรัฐบาลจะได้จัดสรรเงินอุดหนุนจ้างแรงงานในท้องถิ่นดำเนินการ แต่นโยบายนี้ก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในประเด็นมุ่งหวังผลทางการเมือง และกระบวนการดำเนินการในระดับพื้นที่ซึ่งไม่โปร่งใส

แม้นโยบายเงินผันจะเป็นที่รู้จักกันดี แต่นโยบายสำคัญอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งถือเป็นการสร้างจุดเปลี่ยน สร้างโอกาสให้กับประเทศไทยในกระแสสงครามอินโดจีน ซึ่งฝ่ายคอมมิวนิสต์กำลังมีชัยเหนือประเทศเพื่อนบ้านทั้งเวียดนาม กัมพูชา และลาว ก็คือ การฟื้นความสัมพันธ์ทางการทูตกับสาธารณรัฐประชาชนจีน

ม.ร.ว.คึกฤทธิ์พบกับเหมาเจ๋อตง

รัฐบาลไทยโดย พล.ต.ชาติชาย ชุณหะวัณ (ยศขณะนั้น) รมว.ต่างประเทศ ได้เริ่มกระบวนการฟื้นความสัมพันธ์กับจีน กระทั่งต่อมาในช่วงเดือน ก.ค. 2518 ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ นายกรัฐมนตรี จึงเดินทางไปเยือนจีนอย่างเป็นทางการพบกับเหมาเจ๋อตง ประธานพรรคคอมมิสนิสต์จีน ซึ่งถือเป็นผู้ที่มีอำนาจสูงสุดในขณะนั้น

ว่ากันว่า เหมาเจ๋อตง ให้เวลา ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ เข้าพบร่วม 1 ชั่วโมง ซึ่งไม่เคยให้เวลาใครเข้าพบนานขนาดนี้มาก่อน และในวันที่ 1 ก.ค. 2518 ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ และโจวเอินไหล นายกรัฐมนตรีจีน ก็ร่วมลงนามในแถลงการณ์สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างประเทศไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีน สิ่งที่ตามมาคือรัฐบาลไทยเปลี่ยนท่าทีต่อประเทศคอมมิวนิสต์ โดยประกาศรับรองรัฐบาลเขมรแดงที่จีนให้การสนับสนุน

การฟื้นสัมพันธ์กับจีนครั้งนี้ ถือเป็นการเปิดประตูที่สำคัญ ซึ่งส่งผลดีตามมาหลังจากนั้นอีกหลายปี หลังกองทัพเวียดนามบุกกัมพูชา ขับไล่รัฐบาลเขมรแดง และรุกประชิดชายแดนไทย ซึ่งความสัมพันธ์ที่เราเปิดกับจีนเอาไว้แล้ว ช่วยคลี่คลายสถานการณ์ของประเทศไทยได้อย่างมาก

หลังเผชิญปัญหาการเมืองทั้งในรัฐบาลผสมและกระแสเรียกร้องของกลุ่มมวลชนต่างๆ มาถึง 9 เดือน ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ก็ตัดสินใจยุบสภาเมื่อวันที่ 12 ม.ค. 2519

การเลือกตั้งในเดือน เม.ย. 2519 แม้พรรคกิจสังคมของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ จะได้รับเลือกตั้งเพิ่มขึ้น แต่ตัว ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ หัวหน้าพรรคก็ต้องพบกับความพ่ายแพ้ สอบตกในสนามเลือกตั้ง สส.เป็นครั้งแรก จากการย้ายเขตลงสมัครรับเลือกตั้งของนักการเมืองหนุ่มหน้าใหม่ที่ชื่อ สมัคร สุนทรเวช

สมัครนั้นได้รับเลือกตั้งเป็น สส.ครั้งแรกในปี 2518 ในเขตเลือกตั้งที่ 6 กทม. ซึ่งประกอบด้วยเขตพระนคร ป้อมปราบศัตรูพ่าย สัมพันธวงศ์ และบางรัก แต่ครั้งนี้เขาย้ายมาลงเขต 1 ดุสิต ซึ่งเป็นเขตเลือกตั้งของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์

ว่ากันว่าผู้ที่มีบทบาทสำคัญให้สมัครย้ายเขตคือ พล.อ.กฤษณ์ สีวะรา อดีตผู้บัญชาการทหารบก ซึ่งขัดแย้งกับ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ที่ปลด ทวิช กลิ่นประทุม หัวหน้าพรรคธรรมสังคม ออกจากตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี เนื่องจากเชิญให้ พล.อ.กฤษณ์ เข้าร่วมพรรคหลังเกษียณอายุราชการ และต่อมา พล.ต.ประมาณ อดิเรกสาร หัวหน้าพรรคชาติไทย ซึ่งดำรงตำแหน่ง รมว.กลาโหม ก็โยกย้ายนายทหารที่ พล.อ.กฤษณ์ วางไว้เป็นทายาทในกองทัพ ส่งผลกระทบต่ออนาคตทางการเมืองของ พล.อ.กฤษณ์

เขต 1 ดุสิตนั้นถือเป็นเขตทหารและความปราชัยของปรมาจารย์แห่งซอยสวนพลูก็มาจากปมเงื่อนดังกล่าว

เลือกตั้งเขต 2 ยะลาเดือด อับดุลการิม-ซูการ์โน-ริดวาน แพ้ไม่ได้

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/politic/report/583336

  • วันที่ 15 มี.ค. 2562 เวลา 07:59 น.

เลือกตั้งเขต 2 ยะลาเดือด อับดุลการิม-ซูการ์โน-ริดวาน แพ้ไม่ได้

โดย…ทีมข่าวภูมิภาคโพสต์ทูเดย์

จ.ยะลา มีเขตเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) 3 เขต มีผู้สมัคร สส.ทั้งหมดรวม 105 คน จาก 40 พรรคการเมือง ประกอบด้วย ชาติไทยพัฒนา ประชาชาติ ประชาภิวัฒน์ พลังประชารัฐ อนาคตใหม่ ภูมิใจไทย เพื่อธรรม ประชาธิปัตย์ พลังท้องถิ่นไท ไทยรักษาชาติ เพื่อคนไทย รวมพลังประชาชาติไทย สยามพัฒนา เสรีรวมไทย ชาติพัฒนา เพื่อชาติ รักษ์ผืนป่าประเทศไทย ประชาชนปฏิรูป ถิ่นกาขาวชาววิไล พลังชาติไทย คลองไทย เศรษฐกิจใหม่ ครูไทยเพื่อประชาชน พลังปวงชนไทย ประชาธิปไตยใหม่ ภราดรภาพ พลังสหกรณ์ กรีน พลังไทยรักชาติ พลังสังคม พลเมืองไทย พลังไทยรักไทย พลังไทสร้างชาติ ภูมิพลังเกษตรกรไทย มหาชน ไทรักธรรม พลังประชาธิปไตย ทางเลือกใหม่ ประชาธรรมไทย และพรรคแผ่นดินธรรม

ทั้งนี้ รวมผู้สมัคร สส.ยะลา จำนวน 105 ราย เขต 1 จำนวน 37 ราย เขต 2 จำนวน 34 ราย และเขต 3 จำนวน 34 ราย สำหรับ จ.ยะลา มี 8 อำเภอ 58 ตำบล 380 หมู่บ้าน 577 หน่วยเลือกตั้ง มี 3 เขตเลือกตั้ง แบ่งเป็น เขต 1 อ.เมือง อ.ยะหา เขต 2 อ.ยะหา อ.รามัน อ.กาบัง และ อ.เมืองยะลา บางส่วน เขต 3 อ.ธารโต อ.เบตง อ.กรงปินัง เขตเลือกตั้งทั้ง 3 เขต มีผู้มีสิทธิเลือกตั้งเฉลี่ยเขตละกว่า 1.2 แสนคน

สนามเลือกตั้ง สส.ของ จ.ยะลา แม้มี 3 เขตเลือกตั้ง แต่การแข่งขันดุเดือดไม่แพ้จังหวัดอื่นๆ แกนนำแต่ละพรรคต่างลงพื้นที่หาเสียงให้กับผู้สมัครอย่างเต็มที่ หวังเก็บชัยในช่วงโค้งสุดท้าย พร้อมชูนโยบายเอาใจประชาชน ทำให้เขตนี้เป็นที่เฝ้าจับตามองเป็นพิเศษ ชนิดห้ามกะพริบตา ต้องดูในเขตเลือกตั้ง ที่ 2 ประกอบด้วย อ.เมืองยะลา (เฉพาะ ต.บุดี เปาะเส้ง และ ต.บันนังสาเรง) อ.รามัน ยะหา (ยกเว้นต.ยะหา ตาชี และ ต.บาโงยซิแน) อ.กาบัง

สำหรับผู้สมัครเลือกตั้งเขตที่ 2 คือ อับดุลการิม เด็งระกีนา อดีต สส.พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) คราวนี้ลงสนามพร้อมกับสวมเสื้อพรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.) จบการศึกษาปริญญาตรีด้านนิติศาสตร์ เป็นทนายความในพื้นที่ จ.ยะลา มีฐานคะแนนเสียงแน่นปึ้กจากคนฐานรากในพื้นที่เป็นจำนวนมาก คู่แข่งคนสำคัญ คือ ซูการ์โน มะทาจากพรรคประชาชาติ (ปช.) น้องชาย วันมูหะมัดนอร์ มะทา หัวหน้าพรรคประชาชาติ นักการเมืองมุสลิม และ แกนนำ “กลุ่มวาดะห์” ซึ่งตัวซูการ์โนเคยเป็นผู้ช่วย สส. เป็นรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ยะลา 2 สมัย เคยเป็น สส.สังกัดพรรคพลังประชาชน ในการเลือกตั้งปี 2550 และได้รับเลือกตั้งเป็น สส.คนเดียวของพรรคในพื้นที่ ภาคใต้ โดยปี 2554 ซูการ์โนได้ลงสมัครในสังกัดพรรคเพื่อไทย (พท.) เขตเลือกตั้งที่ 2 แต่พ่ายให้กับ อับดุลการิม เด็งระกีนา จากพรรคประชาธิปัตย์ในขณะนั้น

อย่างไรก็ตาม ยังมองข้ามผู้สมัครน้องใหม่มาแรงอีกคนหนึ่งที่ลงสมัคร สส.ในเขตนี้ นั่นคือ ริดวาน มะเต๊ะ จากพรรคภูมิใจไทย (ภท.) มีดีกรีเป็นอดีต ส.อบจ.เขต อ.รามัน และมีบิดาชื่อ มะโซ๊ะ มะเต๊ะ เป็นอดีตกำนันคนดังแห่ง ต.ตะโละหะลอ อ.รามัน ปัจจุบันเป็นนายกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ตะโละหะลอ และในอดีตยังเป็นหัวคะแนนให้กับ อดีต สส.ในพื้นที่มาแล้ว

แต่เมื่อส่งลูกชายลงสนาม จึงต้อง จัดหนักจัดเต็ม หวังให้คะแนนท่วมท้นชนะคู่ต่อสู้ให้ได้ ยิ่งในพื้นที่ อ.รามัน ถือเป็นพื้นที่หลักที่ทุกคนจะต้องเอาชนะให้ได้ หากมีคะแนนจาก อ.รามัน ชนะแบบท่วมท้น การได้นั่งเก้าอี้ สส.แบบ “นอนมา” เป็นไปได้อย่างแน่นอน สนามเลือกตั้งยะลา เขต 2 ถือเป็นศึกช้างชนช้าง ผู้สมัคร สส.แต่ละคนต้องลุ้นกันสุดตัวในวันที่ 24 มี.ค.นี้ว่าใครจะเข้าป้าย ต้องลุ้นจนนาทีสุดท้าย เพราะแต่ละคนมีฐานเสียงคะแนนดีไม่แพ้กัน

ขณะที่คอการเมืองต่างก็จับตามองว่ากลุ่มวาดะห์ที่นำโดย วันมูหะมัดนอร์ มะทา หัวหน้าพรรคประชาชาติ ประกาศคว้าชัยทั้ง 3 เขตในศึกเลือกตั้งครั้งนี้ ได้หรือไม่ หลังจากลงพื้นที่ปราศัยใหญ่ที่สนามช้างเผือก อ.เมือง จ.ยะลา เมื่อวันที่ 11 มี.ค.ที่ผ่านมา โดยชูนโยบายหาเสียงหากได้เป็นฝ่ายรัฐบาลปัญหาของจังหวัดชายแดนภาคใต้ต้องยกไปเป็นปัญหาระดับชาติแล้ว เพราะว่าได้เกิดขึ้นมาหลายปีแล้ว ใช้งบประมาณจำนวนมาก มีคนเสียชีวิต และทรัพย์สินเสียหายจำนวนมหาศาล ถึงเวลาแล้วที่ใครมาเป็นรัฐบาลต้องปรับแนวทางในการแก้ปัญหา ซึ่งที่ผ่านมาอาจจะถูกบ้าง ผิดบ้าง แต่ต่อไปนี้จะผิดไม่ได้แล้วเราจะต้องสร้างให้เกิดความสงบสุขขึ้นอย่างยั่งยืนโดยเร็วๆ