เลือกตั้งตรังร้อนแรง ปชป.เสี่ยงเสียแชมป์

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/politic/report/583202

  • วันที่ 14 มี.ค. 2562 เวลา 07:54 น.

เลือกตั้งตรังร้อนแรง ปชป.เสี่ยงเสียแชมป์

โดย…ทีมข่าวภูมิภาคโพสต์ทูเดย์

เมืองตรัง ซึ่งในทางการเมืองมองเป็น เสมือนกับ “เมืองหลวง” ของพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) สำหรับการเลือกตั้ง สส.ครั้งนี้ถือได้ว่าร้อนแรงยิ่งกว่าครั้งใด นอกจากถูกหั่นเหลือ 3 เขต จาก 4 เขต แล้วแชมป์เก่ามีโอกาสที่จะสูญเสียเก้าอี้ไปได้ ถึงแม้ในอดีตบางพื้นที่จะได้คะแนนสูงนับแสนติดอันดับประเทศก็ตาม แต่กระแสของผู้คนบางกลุ่มที่อยากเปลี่ยนแปลงอะไรใหม่ๆ บ้าง และอยากให้บ้านเมืองเกิดการพัฒนามากกว่านี้ ซึ่งอาจไม่ใช่เรื่องง่ายเมื่อต้องเจอแม่ทัพอย่าง “ชวน หลีกภัย” อดีตนายกรัฐมนตรี 2 สมัย และอดีตหัวหน้าพรรค 3 สมัย ที่ครองพื้นที่มายาวนาน

สนามเลือกตั้งเขตที่ 1 สมัยล่าสุดนั้น “สุกิจ อัถโถปกรณ์” จากพรรคประชาธิปัตย์นั่งเก้าอี้ตัวนี้มาถึง 3 ครั้งแล้ว ดังนั้น เจ้าตัวจึงเชื่อมั่นว่าจะได้รับความไว้วางใจให้เข้าไปทำหน้าที่ในสภาอีกครั้ง แม้จะมีกระแสออกมาโจมตีว่า ไม่มีผลงานบ้าง หรือบอกให้เปลี่ยนตัวผู้แทนบ้าง แต่เมื่อเข้าไปอธิบาย ทุกคนก็เกิดความเข้าใจ และให้การสนับสนุนอยู่เหมือนเดิม ซึ่งเจ้าของพื้นที่บอกว่า เป็นแนวทางที่พรรคประชาธิปัตย์ยึดมั่น และทำเสมอมาทุกสมัยของการเลือกตั้ง ถึงแม้ครั้งนี้จะมีผู้ลงสมัครแข่งขันเป็นจำนวนมากมายเพียงใดก็ตาม

อย่างไรก็ตาม เขตนี้ก็มีคู่แข่งที่น่าสนใจอยู่หลายคนและอาจมีโอกาสเข้าวินได้เหมือนกันนับตั้งแต่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ที่ส่ง “นิพันธ์ ศิริธร” อดีตรอง ผวจ.ตรัง และก่อนหน้านี้ก็เคยเป็นทั้งปลัดจังหวัดตรัง และนายอำเภอเมืองตรัง ส่วนพรรคพลังท้องถิ่นไท (พทท.) ส่ง “ชาลี กางอิ่ม” อดีตนายกเทศมนตรีนครตรังหลายสมัย รวมทั้งพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ที่ส่ง “จิโรจน์ พีระเกียรติขจร” อดีตรองอธิการบดี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย วิทยาเขตตรัง

สนามเลือกตั้งเขตที่ 2 สส.สมัยล่าสุดคือ “สาทิตย์ วงศ์หนองเตย” จากพรรคประชาธิปัตย์ ที่เป็นมาแล้วถึง 5 สมัย มั่นใจว่าจะรักษาเก้าอี้เอาไว้ได้ อีกทั้ง จ.ตรัง ยังเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญต่อการได้เป็นรัฐบาลในครั้งนี้ด้วย

แม้ว่าพรรคประชาธิปัตย์ยึดเมืองตรังได้ทุกยุคทุกสมัย แต่เลือกตั้งครั้งนี้คงเหนื่อยไม่น้อยทีเดียว เพราะมีคู่ต่อกรหลายคนที่ไม่ธรรมดา โดยเฉพาะพรรคพลังท้องถิ่นไท ที่ส่ง “โชคดี คีรีกิ้น” อดีต สจ. 5 สมัย รวมทั้งยังเคยเป็นรองนายก อบจ.ตรัง และประธานสภา อบจ.ตรัง มาแล้วด้วย ส่วนพรรคพลังประชารัฐก็ไม่ธรรมดา เพราะส่ง “วิโรจน์ ทองโอเอี่ยม” คุณหมอใจบุญที่รักษาผู้คนราคาถูก แถมยังได้รับการสนับสนุนจาก “ทวี สุระบาล” อดีต สส.ตรัง หลายสมัย ก่อนหน้านั้นก็เคยอยู่กับพรรคประชาธิปัตย์ จึงมีฐานเสียงหนาแน่น แต่เที่ยวนี้ได้มาลงระบบบัญชีรายชื่อแทน

สนามเลือกตั้งเขตที่ 3 แชมป์เก่าคือ “สมชาย โล่สถาพรพิพิธ” จากพรรคประชาธิปัตย์ ที่เป็นมาแล้ว 4 สมัย แต่ได้วางมือทางการเมือง แล้วผลักดันทายาทรุ่นใหม่ “สุณัฐชา โล่สถาพรพิพิธ” ลงสู้ศึกแทน โดยชูจุดเด่นด้านการศึกษาที่จบทั้งเนติบัณฑิตไทยและปริญญาโทถึง 2 ใบ จากประเทศอังกฤษ หรือด้านการเมืองท้องถิ่น ที่เคยเป็นเลขานุการนายก อบจ.ตรัง และยังเป็นหนึ่งใน ผู้ร่วมก่อตั้งกลุ่ม NEW DEM คนรุ่นใหม่ของพรรคประชาธิปัตย์ สิ่งสำคัญ ก็คือ ได้แรงสนับสนุนจากตระกูลที่กว้างขวาง และทำงานการเมืองทุกระดับมาตลอด

แต่กระนั้นเขตนี้ก็มีคู่แข่งที่จับตามองอยู่หลายคน โดยเฉพาะพรรคพลังประชารัฐ ที่ส่ง “ดิษฐ์ธนิน ภาคย์อิชณน์” หลานแท้ๆ ของตระกูล โล่สถาพรพิพิธ และเคยทำงานการเมืองระดับชาติมาแล้ว ทั้งผู้ช่วย สส. และ ผู้เชี่ยวชาญประจำตัว สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ ส่วนพรรคประชาชาติ (ปช.) ส่ง “เนติวิทย์ ขาวดี” อดีตปลัดอำเภอชื่อดังของตรัง ที่เคยลงสมัครมาแล้วทั้ง สว. และ สส. แถมยังมีฐานเสียงหลักในกลุ่มมุสลิม รวมทั้งพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) ซึ่งส่ง “ยศวัฒน์ ธีรัตน์วัฒนากุล” ที่เพิ่งถูกแกล้งจับในคดีค้างเก่าที่เคลียร์จบไปตั้งนานแล้ว

เที่ยวนี้พรรคประชาธิปัตย์แชมป์เก่า จึงต้องลุ้นจนถึงวินาทีสุดท้ายจริงๆ

แรกหวานหลังกล้ำกลืน “กองทัพกับการเมือง” จากสายตานักข่าวสายทหารรุ่นเก๋า “ป้าแจ๋ว-อนุกูล”

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/politic/report/583175

  • วันที่ 13 มี.ค. 2562 เวลา 18:18 น.

แรกหวานหลังกล้ำกลืน "กองทัพกับการเมือง" จากสายตานักข่าวสายทหารรุ่นเก๋า "ป้าแจ๋ว-อนุกูล"

เผยชีวิตมุมมองและประสบการณ์ทำงานในเหล่าทัพของ “อนุกูล วงษ์บัวทอง” นักข่าวสายทหารวัย 84 ปีผู้ผ่านเหตุการณ์ปฏิวัติและความขัดแย้งมาอย่างโชกโชน

**********************************

โดย…วิรวินท์ ศรีโหมด

บรรยากาศการเมืองไทยกลับมาคึกคักอีกครั้งหลังเงียบเหงามาเกือบ 5 ปี โดยเกมชิงอำนาจเพื่อก้าวสู่รัฐสภา ยิ่งใกล้ถึงช่วงโค้งสุดท้ายก็ทวีความดุเดือดขึ้นมาก

ทว่าหากมองผู้สมัครครั้งนี้ มีทั้งนักการเมืองหน้าเก่าและใหม่ บางคนเป็นคนรุ่นใหม่จริงๆ อีกส่วนก็เป็นอดีตข้าราชการทหาร-ตำรวจที่ลงสนามการเมืองเพื่อหวังเป็นตัวแทนประชาชนมามีอำนาจบริหารประเทศชาติ แต่เกิดคำถามขึ้นว่าการที่อดีตทหาร-ตำรวจ มาเล่นการเมืองจะเป็นอย่างไรหากเปลี่ยนหัวโขนจากผู้นำเหล่าทัพ มาเป็นผู้นำประชาชน

อนุกูล วงษ์บัวทอง (ป้าแจ๋ว) นักข่าวอาวุโส วัย 84 ปี บุคคลที่คุ้นเคยคลุกคลีวงการชุดพรางและสีกากีอย่างยาวนานจะมาถ่ายทอดประสบการณ์ชีวิตและมุมองการทำงานในสนามการเมืองและวงการกองทัพกว่า 40 ปี รวมถึงแนะนำผู้เคยมีบารมี ถ้าหากคิดลงสนามอำนาจควรทำตัวอย่างไรเพื่อให้ได้ใจประชาชน

เข้ากันหรือไม่…ทหาร Vs การเมือง

อนุกูล ถ่ายทอดประสบการณ์ที่สัมผัสแวดวงทหารมากว่า 40 ปีว่า ในอดีตทหารส่วนใหญ่เป็นทหารอาชีพไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องการเมืองมุ่งมั่นสนใจแต่การรบป้องกันผืนแผ่นดินเพียงอย่างเดียว แต่สมัยนี้โดยเฉพาะทหารบกเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเมืองมากขึ้น เป็นมาตั้งแต่สมัย พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ที่ลาออกจากตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก เพื่อเข้าสู่สนามการเมือง

นักข่าวอาวุโสวัย 84 มองว่า การที่ทหารมาเล่นการเมืองส่วนใหญ่สุดท้ายมักไปไม่รอดอยู่ได้ไม่นานเดี๋ยวก็จบ เพราะทหารไม่เก่งเชี่ยวชาญเรื่องการเมือง เนื่องจากไม่ได้เรียนโดยตรงมาด้านเศรษฐศาสตร์ การบริหารประเทศ แต่เรียนด้านยุทธวิธีวิธีจับอาวุธรบป้องกันประเทศ

“เข้ามาช่วงแรกแม้ได้รับเสียงฮือฮา แต่ไม่นานประชาชนเขาก็เบื่อ ถ้าอยากช่วยประชาชนจริงๆ ต้องจำไว้ว่า ถ้าสัญญาอะไรกับประชาชนต้องทำให้ได้ ข้อสำคัญควรดูแลคนรากหญ้าให้มีชีวิตดีและทั่วถึง เพราะถ้าประเทศไม่มีปัญหาเรื่องปากท้อง คนเขาก็ไม่หันไปทำเรื่องไม่ดี ปัญหาต่างๆก็ไม่เกิด”

นักข่าวรุ่นใหญ่สายทหาร ย้ำว่าฝากถึงนายทหารผู้ใหญ่ถ้าคิดลงสนามการเมือง ต้องดูแลประชาชนคนรากหญ้าให้ดี อย่าเชื่อใจลูกน้องมากจนเกินไป ถ้าหากอะไรไม่เห็นด้วยตาไม่ควรเชื่อ

ต้นเหตุ-ทางแก้การ “ปฏิวัติ”

ประเทศไทยจะมี “ปฏิวัติ” อีกหรือไม่..? เพราะหลัง พ.ศ.2475 มีการรัฐประหารมาแล้ว 13 ครั้ง

นักข่าวสายทหารวัย 84 เล่าว่าการปฏิวัติในอดีตกับปัจจุบันแตกต่างกันมาก เมื่อก่อนการทำรัฐประหารจะใช้อาวุธปืน รถถังยิงต่อสู้ประหัตประหารเข่นฆ่ากันจริงๆ แต่ปัจจุบันเน้นปฏิวัติเงียบไม่ใช้อาวุธ พร้อมยกตัวอย่างปี 2557 การยึดอำนาจครั้งที่ผ่านมา ก็ไม่เกิดความวุ่นวายประชาชนไม่ตกใจแม้แต่นิด

“เมื่อก่อนปฏิวัติทีรถถังวิ่งกันเต็มถนน เสียงปืนใหญ่ ปืนกลดังสนั่น น่ากลัวมาก แต่สมัยนี้ไม่มีแล้ว เขาปฏิวัติเงียบยึดอำนาจคนก็ไม่ค่อยสนใจ ก็ยึดอำนาจเฉยๆ มันหมดยุคเขาไม่ใช้อาวุธกันแล้ว”

ส่วนเหตุแห่งการปฏิวัติเกิดจากต่างฝ่ายต่างๆอยากมีอำนาจช่วงชิงความเป็นใหญ่ เพราะถึงแม้เป็นญาติหรือเพื่อนสนิทก็ไม่อาจยอมได้ “คล้ายๆว่ารู้ใจกันไม่ได้ คือ อยากใหญ่ไง”

ป้าแจ๋ว มองว่าวาทกรรมปฏิวัติเพื่อแก้ไขปัญหาความขัดแย้งนั้น ไม่เป็นความจริง เพราะเหตุแท้จริงเกิดจากความขัดแย้งของคนแต่ละกลุ่มๆพวกใครพวกมัน และจากประสบการณ์ไม่เคยเห็นว่า การรัฐประหารครั้งใดสามารถแก้ปัญหาความขัดแย้งตามที่กล่าวอ้างได้สักครั้ง

“ตั้งแต่เกิดมาจนป่านนี้อายุ 80 กว่า ไม่เห็นว่าการปฏิวัติจะแก้ปัญหาอะไรได้เลย รวมถึงตอนนี้ก็ยังไม่ทำให้ความปรองดองเกิดขึ้นได้ปัญหาก็ยังสะสมอยู่”

อนุกูล มองว่าทางแก้ปัญหาความขัดแย้งสร้างการปรองดองให้สำเร็จ ผู้นำต้องใจกว้างพร้อมย้อมรับ “เราคนไทยจะไปทะเลาะกันทำไม ตอนนี้เมื่อใกล้เลือกตั้งทุกฝ่ายควรจับมือไม่สร้างความขัดแย้ง ยศถาบรรดาศักดิ์ตายก็เอาไปไม่ได้ ทุกคนต้องขึ้นเมรุด้วยกันทั้งนั้น ป้าว่าเราควรรักสามัคคีกัน”

ถามว่าการปฏิวัติจะมีอีกไม่? นักข่าวสายทหารวัย 84 ไม่ฟันธงเพียงแต่บอกว่า ตราบใดทหารยังมีอาวุธอยู่ในมือ ก็อาจเกิดการปฏิวัติได้ แม้จะมีกฎหมายหรือทหารออกมาพูดรองรับก็ไม่สามารถเชื่อได้ เพราะถึงอย่างไรทหารยังคุมอาวุธ

นักข่าวสายทหาร มองว่าทางออกของประเทศตอนนี้ต้องสู้กันด้วยเศรษฐกิจ “ถ้าประชาชนอยู่ดีกินดี เขาก็ไม่อยากทะเลาะกัน ฉะนั้นผู้นำประเทศต้องดูแลเศรษฐกิจปากท้องประชาชนเป็นหลัก อย่าสนใจเอาแต่พักพวกเข้ามาในการเมือง รัฐบาลควรนึกถึงปากท้องประชาชนเป็นหลัก เมื่อรากหญ้ายังยากจนก็ต้องดูแล แต่เมื่อไหร่คนอยู่ดีกินดีทุกอย่างก็ราบรื่น ประเทศก็เดินไปได้อย่างสวยงาม”

พิราบเหล็กแห่งเหล่าทัพไทย

อนุกูล ปัจจุบันอายุ 84 ปี ยังคงทำงานสื่อมวลชนที่รักและผูกพันมานานกว่า 40  ปี ตอนนี้เป็นบรรณาธิการข่าวหนังสือพิมพ์สายกลาง ทุกวันยังคงเดินทางออกจากย่านลาดพร้าว เพื่อมานั่งประจำอยู่กองบัญชาการกองทัพบก ถนนราชดำเนิน หรือตระเวนหาข่าวแวดวงกองทัพในกระทรวงกลาโหม

ชีวิตพิราบเหล็กคนนี้เกิดในรั้วทหาร พ่อเป็นอดีตทหารประจำการกองพันทหารม้าที่ 4 รักษาพระองค์ (ม.พัน 4) ย่านถนนเกียกกาย แม่เป็นอดีตเจ้าหน้าที่กรมสรรพาวุธทหารบก เป็นลูกสาวและพี่คนโตจากน้องทั้งหมด 6 คน แต่ชีวิตต้องพลิกผันหลังพ่อเสียตอนเรียนชั้นประถม จากเดิมมีหน้าที่เรียนอย่างเดียว ต้องเพิ่มบทบาทเป็นหัวหน้าครอบครัวรองจากแม่ที่ต้องเปลี่ยนบทบาทจากแม่บ้านกลายเป็นแม่ค้าดอกไม้ย่านปากคลองตลาด ตั้งแต่นั้นจึงทำให้อนุกูลเป็นคนแข็งแกร่งเพราะต้องคอยช่วยครอบครัว

ชีวิตการศึกษาจบชั้นมัธยมโรงเรียนราชินีบน จบปริญญามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นนักศึกษารุ่นแรกของคณะวารสารศาสตร์และสื่อมวลชน ช่วงชีวิตนักศึกษามักคอยรับงานจัดรายการวิทยุเพื่อหารายได้ช่วยครอบครัว หลังเรียนจบปริญญาได้งานเป็นบรรณารักษ์โรงเรียนราชินีบนประมาณ 2 ปี จากนั้นเพื่อนชักชวนกลับมาทำงานสื่อมวลชน ตอนแรกทำงานอยู่หนังสือพิมพ์ตะวันสายได้ 3 ปี จากนั้นย้ายมาทำหนังสือพิมพ์สายกลางจวบจนถึงปัจจุบัน

การทำงานข่าวช่วงแรก อนุกูลเป็นนักข่าวประจำเกือบทุกสาย อาทิ ทำเนียบรัฐบาล รัฐสภา กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย กรุงเทพมหานคร แต่มาประจำสายทหารสมัย พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ดำรงตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 2 (ช่วงปี 2517) ก่อนขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 23

ป้าแจ๋ว เล่าว่าชีวิตการทำงานเมื่อก่อนนักข่าวกับทหารมีความใกล้ชิดสนิทสนมเหมือนพี่น้อง ซึ่งทหารที่ตนเคารพรักและสนิทสุดคือ พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด และประธานคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) บิดา พล.อ.อภิรัชต์ ผู้บัญชาการทหารบก คนปัจจุบัน

สมัยก่อนนั้นตนและ พล.อ.สุนทร มักชอบพูดคุยสังสรรค์กันเป็นประจำโดยมีเพื่อนร่วมก๊วนอีก 2 คน คือ พล.อ.ชวลิต กับ ขจรศักดิ์ ทิพย์ทัศน์ อดีตผู้สื่อข่าวอาวุโส มักร่วมตัวพูดคุยกันที่บ้าน พล.อ.ชวลิต แต่ความสนิทกับสหายกลุ่มนี้ลดลงไปหลัง พล.อ.สุนทร เสียชีวิต และนั่นจึงเป็นอีกหนึ่งเหตุผลทำให้ตนหยุดดื่มสุราตั้งแต่นั้นมาถึงปัจจุบัน

ชีวิตการทำงานได้สัมผัสผู้บัญชาการเหล่าทัพมาหลายยุค แต่ละคนก็มีบุคลิกส่วนตัวและการทำงานแตกต่างกัน พร้อมยกตัวอย่าง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ นิสัยเป็นคนสบายๆโกรธง่ายหายเร็วบางครั้งมีอารมณ์ขันแอบตลก ส่วนการทำงานตอนสมัยเป็น ผบ.ทบ.เป็นคนเข็งแข็งพูดดุดันลุยงานเกือบทุกอย่าง คล้ายกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

ส่วนผู้บัญชาการทหารบกคนปัจจุบัน พล.อ.อภิรัตน์ บุคลิกดูสง่าน่านับถือ มีสัมมาคารวะดี มุ่งมั่น นิสัยคล้ายบิดา พล.สุนทร แต่เรื่องการทำงานถึงอย่างไรยังต้องติดตามต่อไป

นักข่าวอาวุโสสายทหาร ทิ้งท้ายว่าตลอดการทำงานกว่า 40 ปีบนเส้นทางนี้ ทุกช่วงมีความสำคัญและประทับใจทุกเหตุการณ์ เพราะรู้สึกสนุกและมีความสุขทุกครั้งที่ออกไปหาข่าวเพื่อนำข้อมูลมานำเสนอให้สังคมได้รับรู้ ซึ่งส่วนตัวตั้งปณิธานว่าจะทำหน้าที่นี้จนกว่าจะหมดแรงเพราะมันคือชีวิต

เลือกตั้งโคราชโค้งสุดท้ายเดือด พท.-พปชร.-ชพ.-ภท.แย่งเก้าอี้ 14 เขต

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/politic/report/583074

  • วันที่ 13 มี.ค. 2562 เวลา 07:50 น.

เลือกตั้งโคราชโค้งสุดท้ายเดือด พท.-พปชร.-ชพ.-ภท.แย่งเก้าอี้ 14 เขต

โดย…ทีมข่าวภูมิภาคโพสต์ทูเดย์

นครราชสีมา หรือโคราช ประตูสู่อีสานVOTE เป็นจังหวัดที่มีพื้นที่มากที่สุดในไทยถึง 20,493.964 ตารางกิโลเมตร และมีประชากรมากเป็นอันดับ 2 ของประเทศ จำนวน 2,639,226 คน แบ่งการปกครองออกเป็น 32 อำเภอ มีเขตเลือกตั้ง จำนวน 14 เขต มีจำนวน สส. 14 คน ในแต่ละเขตเลือกตั้งมีการแข่งขันดุเดือดตั้งแต่โค้งแรกจนถึงโค้งสุดท้ายของการ หาเสียง แต่สนามเลือกตั้ง จ.นครราชสีมา จะเป็นการชิงเก้าอี้ระหว่างผู้สมัครจาก 4 พรรคการเมือง ประกอบด้วย พรรคเพื่อไทย (พท.) พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) พรรคชาติพัฒนา (ชพ.) และพรรคภูมิใจไทย (ภท.)

เขตเลือกตั้งที่ 1 เขตนี้เดิมเป็นเมืองหลวงหรือเป็นเขตหัวใจของพรรคชาติพัฒนา แชมป์เก่าจากการนำของ สุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติพัฒนา โดยศึกเลือกตั้งครั้งนี้ “สุวัจน์” ได้ปรับกลยุทธ์หวังจะรักษาเมืองหลวงของพรรคเอาไว้ โดยดึงเอา “ธงชัย ลืออดุลย์” อดีต ผวจ.นครราชสีมา ผู้ซึ่งมีผลงานโดดเด่นในการรื้อถอนร้านอาหารบริเวณ “มอปลาย่าง” ที่รุกล้ำเขื่อน ลำตะคอง อ.สีคิ้ว และปล่อยสิ่งปฏิกูลลงเขื่อนมานาน จนได้รับคำชื่นชมจากคนโคราช รวมทั้งมีผลงานผลักดันให้มีการผันน้ำจากเขื่อนลำแชะ อ.ครบุรี มาใช้ผลิตประปาในเขตเทศบาลนครนครราชสีมาเป็นผลสำเร็จ มาลงรักษาเก้าอี้แทน “นพ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล” และ “เทวัญ ลิปตพัลลภ”

ขณะที่พรรคเพื่อไทย “คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์” และ “ประเสริฐ จันทรรวงทอง” ได้ส่ง “ร.ต.อ.สุปชัย อินทรักษา” หรือ นายกหลี อดีตรองนายกเทศมนตรีนครนครราชสีมาและอดีตนายกเทศมนตรีตำบลปรุใหญ่ อ.เมืองนครราชสีมา และยังเคยเป็นอดีตเลขานุการของ “สุวัจน์ ลิปตพัลลภ” อีกด้วย ส่วนพรรคพลังประชารัฐ “วิรัช รัตนเศรษฐ” แกนนำโคราช ส่ง “เกษม ศุภรานนท์”อดีตผู้อำนวยการโรงเรียนอนุบาลนครราชสีมา ลงสู้ศึก คู่แข่งจากภูมิใจไทยส่ง อดุลย์ อยู่ยืน

เขตเลือกตั้งที่ 2 เป็นฐานเสียงเดิมของพรรคชาติพัฒนา “วัชรพล โตมรศักดิ์”แชมป์เก่าจากชาติพัฒนา ซึ่งมีผลงานและสร้างชื่อเสียงทางด้านกีฬามาตลอด ไม่ว่าจะเป็นทีมฟุตบอลนครราชสีมา มาสด้า เอฟซี หรือ สวาทแคท และทีมวอลเลย์บอลนครราชสีมาทั้งชายและหญิงที่ดึงผู้เล่นทีมชาติมาอยู่ในทีมครบครัน ล้วนเป็นผลงานของ “วัชรพล” ทั้งสิ้น ประกอบกับเจ้าตัวมีบุคลิกอ่อนน้อมถ่อมตนเสมอต้นเสมอปลาย เป็นนักประสานสิบทิศเข้าได้กับทุกฝ่ายทั้งภาครัฐและเอกชน พรรคชาติพัฒนา จึงมั่นใจว่า “วัชรพล” จะรักษาเก้าอี้ไว้ได้อีกสมัย โดยมี “สุธรรม พรสันเทียะ” นักธุรกิจบ้านจัดสรรจากเพื่อไทย และ “ประพิศ นวมโคกสูง “อดีตครูโรงเรียนอนุบาลนครราชสีมา จากพรรคพลังประชารัฐ และ “ลบพาล ธีระบุตร” นักธุรกิจบ้านจัดสรรจากภูมิใจไทย ลงสนามท้าชิงเก้าอี้

เขตเลือกตั้งที่ 3 เขตนี้เดิม “ประเสริฐ บุญชัยสุข” อดีต รมว.อุตสาหกรรม และอดีตเลขาธิการพรรคชาติพัฒนา เป็นแชมป์เก่ามีฐานเสียงหลักใน อ.ขามทะเลสอ และ อ.สูงเนิน แต่ศึกเลือกตั้งครั้งนี้หลังมีการแบ่งเขตเลือกตั้งใหม่ “ประเสริฐ จันทรรวงทอง” ได้รับผลกระทบเต็มๆ เพราะ อ.สีคิ้ว ซึ่งเป็นฐานที่มั่นสำคัญของ “ประเสริฐ จันทรรวงทอง” มาตลอด ถูกผ่าออกเป็น 2 เขตเลือกตั้ง ทำให้ “ประเสริฐ” ต้องผันตัวเองมาลงสมัครในเขตเลือกตั้งที่ 3 แทน ต้องแข่งขันกับพรรคพลังประชารัฐที่ส่ง “จันทิมา โกสินทร์รักษา” อดีตนายก อบต.หนองตะไก้ อ.สูงเนิน ส่วนพรรคภูมิใจไทยส่ง “รักชาติ กิริวัฒนศักดิ์” อดีตนายก อบจ.นครราชสีมา และอดีต สจ.เขต  อ.สูงเนิน ลงสู้ศึก จึงถือได้ว่าสนามเลือกตั้งเขต 3 นี้ เป็นศึกช้างชนช้างโดยแท้ของ จ.นครราชสีมา เพราะทั้งชาติพัฒนา โดย “สุวัจน์ ลิปตพัลลภ” ประกาศชัดเจนว่า สนามนี้ชาติพัฒนาเป็นแชมป์เก่าแพ้ไม่ได้เด็ดขาด

ส่วนเขตเลือกตั้งที่ 10 ถือเป็นสนามช้างชนช้างของ จ.นครราชสีมา อย่างแท้จริง เดิม “สัมภาษณ์ อัตถาวงศ์” พี่ชาย “สุภรณ์ อัตถาวงศ์” แรมโบ้อีสาน จากเพื่อไทยเป็นแชมป์เก่า แต่เลือกตั้งครั้งนี้ “สุภรณ์” และ “สัมภาษณ์ อัตถาวงศ์” ย้ายไปอยู่พลังประชารัฐ โดย “สุภรณ์” ลงสมัครแทนพี่ชายและต้องพบศึกหนักเมื่อ “วีระศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล” กำนันป้อ อดีต สว.นครราชสีมา เจ้าของโรงแป้งมันสำปะหลังเอี่ยมเฮง เสิงสาง และปัจจุบันเป็นแกนนำพรรคภูมิใจไทย ส่ง “พรชัย อำนวยทรัพย์” อดีต สจ.เขต อ.เสิงสาง ลงชิงเก้าอี้ โดย “วีระศักดิ์” ทำการบ้านวางแผนกักตุนคะแนนเสียงมานานอย่างต่อเนื่อง โดยฐานเสียงหลักเป็นเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังในพื้นที่ อ.เสิงสาง และ  อ.ครบุรี ขณะเดียวกัน “สุภรณ์” แรมโบ้อีสาน จากพลังประชารัฐก็ขยันลงพื้นที่ เป็นขวัญใจชาวบ้านมาตลอด ส่วน พรรคเพื่อไทยส่ง “พ.ต.อ.ปฏิวัติ นาคำ” อดีตนายตำรวจที่ลาออกมาลงสนาม ท้าชิงเก้าอี้ สส.เขตนี้ คอการเมืองฟันธง เขตนี้ “พรชัย” และ “สุภรณ์” จะสู้กันแบบดุเดือด ถือเป็นสนามช้างชนช้างอีกแห่งของเมืองโคราชเพราะต่างคนต่างมีลูกพี่คอยส่งเสบียงสนับสนุนในสนามรบเต็มที่ ผลแพ้ชนะน่าจะเฉือนกันแบบเฉียดฉิว

สรุปแล้วสนามเลือกตั้ง จ.นครราชสีมา ที่มี สส.ทั้งหมด 14 ที่นั่ง คาดว่า พรรคเพื่อไทย น่าจะได้ไป 5 ที่นั่ง พรรคพลังประชารัฐ 5 ที่นั่ง พรรคชาติพัฒนา 3 ที่นั่ง และภูมิใจไทย 1 ที่นั่ง

อุดรธานีแดงเดือด! พปชร.-ภท.ลั่นโค่นเพื่อไทย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/politic/report/582847

  • วันที่ 11 มี.ค. 2562 เวลา 08:05 น.

อุดรธานีแดงเดือด! พปชร.-ภท.ลั่นโค่นเพื่อไทย

สนามเลือกตั้งอุดรธานี ที่ได้ชื่อว่าเป็นถิ่นของคนเสื้อแดง กำลังแข่งขันอย่างดุเดือด เพราะอดีต “คนกันเอง” ต้องห้ำหั่นช่วงชิงความได้เปรียบเพื่อคว้าเก้าอี้ สส.ในสภา

สนามการเลือกตั้ง จ.อุดรธานี แบ่งออกเป็น 8 เขตเลือกตั้ง จากเดิม 9 เขตเลือกตั้ง ผู้สมัคร สส.จากพรรคเพื่อไทย (พท.) ยังคงเป็นต่อคู่แข่งหลายขุมในทุกเขตเพราะเป็นเมืองหลวงของคนเสื้อแดง แม้ว่าการเลือกตั้งครั้งนี้จะมีพรรคการเมืองใหม่ๆ แห่ส่งผู้สมัครลงสนามชิงชัยเป็นจำนวนมาก แต่โอกาสจะสร้างปาฏิหาริย์พลิกล็อกมโหฬารยากเต็มทน เพราะกระแสคนเสื้อแดงยังแรง ประกอบกับกระแสคนรักทักษิณเองก็ยังไม่เสื่อมคลาย ทำให้ผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทยหายใจคล่องคอกว่าพรรคอื่นๆ

สนามเลือกตั้งที่ถือว่าเป็นเขตศึกช้างชนช้าง อยู่ที่เขต 4 ประกอบด้วย อ.หนองหาน ประจักษ์ศิลปาคม และเมืองอุดรธานี (บางตำบล) เจ้าของแชมป์เขตนี้คือ ทองดี มนิสสาร อดีต สส.พรรคเพื่อไทย แต่เสียชีวิตไปเมื่อเดือน ก.ย. 2557 ทำให้พรรคเพื่อไทยต้องเลือก อาภรณ์ สาราคำ ภรรยา ขวัญชัย สาราคำ ประธานชมรมคนรักอุดร

ขณะที่คู่แข่งจากพรรคภูมิใจไทย คือ “อุทัย แสนแก้ว” อดีต สจ.และอดีตแกนนำมวลชน น้องชาย “ธีระชัย แสนแก้ว” หรืออีโต้อีสาน อดีต รมช.เกษตรและสหกรณ์

อุทัย แสนแก้ว

ในช่วงปี 2550 ทั้งขวัญชัย และอุทัย เคยทำงานร่วมกันในนาม “คนรักทักษิณ” โดยออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) จนเกิดเหตุปะทะกัน ขณะที่ในเวลานั้น “ธีระชัย” เป็นมือขวาของ เนวิน ชิดชอบในการจัดทัพมวลชนสนับสนุนอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร

อย่างไรก็ตาม ปี 2561 อีโต้อีสาน “ธีระชัย” เลือกเดินตามกลุ่ม “นายใหญ่แห่งบุรีรัมย์” โดยเดินออกจากค่าย “นายใหญ่ชินวัตร” มาตั้งพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ช่วงรัฐบาล คสช. ฐานคะแนนเสียงมาจากกลุ่มคนฐานราก เพราะ “อีโต้อีสาน” เคยทำงานกับชาวไร่อ้อย และชาวสวนยางพารา โดยมีตำแหน่งเป็นประธานชมรมสถาบันชาวไร่อ้อยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ตลอดทั้งประธานคณะกรรมการเครือข่ายสถาบันเกษตรกรชาวสวนยางระดับประเทศ การยางแห่งประเทศไทย (กยท.)

ปลายปี 2561 ที่ผ่านมา “ธีระชัย” ในฐานะแม่ทัพภูมิใจไทย สาขาอุดรธานี ได้เปิดตัวผู้สมัคร สส.ครบทั้ง 8 เขต ที่สนามมวยอีโต้อีสาน จึงมีการโชว์พลังความพร้อมว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ต้องคว้าชัยชนะเลือกตั้งทั้ง 8 เขต หรือยกจังหวัดให้จงได้

นพ.วิชัย ชัยจิตวณิชกุล

ช่วงโค้งสุดท้ายศึกการเลือกตั้งในวันที่ 24 มี.ค.ถือว่าเป็นการแข่งขันกันอย่างดุเดือดเต็มไปด้วยความเข้มข้น เพราะเป็นการพบกันระหว่าง “อาภรณ์” ภรรยาคู่ชีวิตของขวัญชัย กับ “อุทัย” น้องชายสุดเลิฟของอีโต้อีสาน ศึกครั้งนี้เหมือนการรีเทิร์นแมตช์อดีต “คนกันเอง” แต่กลับต้องมาห้ำหั่นช่วงชิงความได้เปรียบเพื่อคว้าเก้าอี้ สส.ปูทางเข้าสภา

ดังนั้น ศึกนี้ต้องมีผู้แพ้ ผู้ชนะ น้องอีโต้อีสาน ดูแล้วอาจเป็นรองในด้านกระแสพรรค แต่มีลูกตื๊อลูกตามลงพื้นที่ต่อเนื่อง แถมยังได้กำลังภายในจากพี่ชายที่มีฐานเสียงแน่นปึ้กไม่แพ้กัน คงมีลุ้นจนถึงคืนสุดท้าย ส่วนพรรคพลังประชาชารัฐ (พปชร.) ส่งผู้สมัครครบทั้ง 8 เขตซึ่ง นพ.วิชัย ชัยจิตวณิชกุล อดีต สส.หลายสมัยที่ลงสมัครเลือกตั้งเขต 2 มั่นใจชนะยกจังหวัดเพราะกระแสมาแรงต่อเนื่อง

ปิดเทอมใหญ่ระวังเด็กจมน้ำ รณรงค์ตั้งเป้าตายให้เป็นศูนย์

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/politic/report/582846

  • วันที่ 11 มี.ค. 2562 เวลา 07:40 น.

ปิดเทอมใหญ่ระวังเด็กจมน้ำ รณรงค์ตั้งเป้าตายให้เป็นศูนย์

“เด็กจมน้ำเสียชีวิต” เหตุสลดที่มักเกิดขึ้นให้เห็นทุกปีในช่วงปิดเทอมใหญ่ และเป็นสาเหตุที่ทำให้เด็กอายุต่ำกว่า15ปีเสียชีวิตสูงสุดเป็นอันดับ1

********************************

โดย….เอกชัย จั่นทอง

ทุกปีช่วงเดือน มี.ค.-พ.ค.นับเป็นเวลาแห่งความสุขของเด็กทั้งประเทศ เพราะคือการหยุดพักผ่อนของการปิดเทอมใหญ่หรือปิดภาคเรียนการศึกษา แต่อันตรายจากการปิดเทอมที่แฝงมากับเด็กคือ ปัญหาการ “จมน้ำเสียชีวิต” ยิ่งพื้นที่ต่างจังหวัดเสี่ยงต่อการเกิดเหตุการณ์บ่อยครั้ง แม้ปัจจุบันกระทรวงสาธารณสุขได้กำหนดให้วันเสาร์แรกของเดือน มี.ค.ของทุกปีเป็นวันรณรงค์ป้องกันเด็กจมน้ำ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เด็กอายุต่ำกว่า 15 ปีเสียชีวิตสูงเป็นอันดับหนึ่ง มากกว่าโรคติดเชื้อและไม่ติดเชื้อ

อัษฎางค์ รวยอาจิณ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค ระบุว่า ภาวะปัญหาเด็กจมน้ำเป็นปัญหาของเด็กเยาวชนไทย ในกลุ่มอายุต่ำกว่า 15 ปี ถือว่ามีตัวเลขการเสียชีวิตจากการจมน้ำสูงที่สุด ที่สำคัญจุดเกิดเหตุมักพบอยู่ในบริเวณตามแหล่งน้ำธรรมชาติ มากกว่าตามสระน้ำต่างๆ เช่น แหล่งน้ำตามการเกษตร เป็นต้น นับว่าเป็นจุดเกิดเหตุการณ์เสียชีวิตมากที่สุด ฉะนั้นเด็กไม่ควรแอบไปเล่นน้ำ

“ส่วนในพื้นที่ที่พบว่ามีเด็กเสียชีวิตจากการจมน้ำส่วนใหญ่พบในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รองลงมาเป็นภาคใต้ ส่วนใหญ่กรณีปัญหาจมน้ำเป็นลักษณะเด็กชวนกันแอบไปเล่นน้ำ หรือไปเล่นน้ำตามแหล่งที่นอกเหนือจากการควบคุมของผู้ปกครอง ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ ปู่ ย่า ตา ยาย ดังนั้นผู้ปกครองต้องช่วยกันตรวจตราคอยเตือนบุตรหลานของตัวเองอยู่เสมอ ที่สำคัญช่วงนี้เข้าสู่ฤดูร้อน เด็กกับน้ำมักเป็นของคู่กัน” อัษฎางค์ ระบุ

รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ในส่วนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เทศบาล อบต.ที่มีแหล่งน้ำธรรมชาติอยู่ในพื้นที่ของตนเอง ต้องพยายามควบคุมพื้นที่เสี่ยงเหล่านี้ เช่น การหาเครื่องมือมาป้องกัน อุปกรณ์ในการช่วยชีวิตเมื่อเกิดเหตุ อาทิ ถังน้ำ ไม้ยาว เชือก ฯลฯ ยื่นให้คนตกน้ำจะเป็นตัวช่วยให้คนบนฝั่งช่วยเหลือผู้อยู่ในน้ำได้ ตรงนี้ถือว่ามีความสำคัญอย่างมาก

ถัดมาขอให้ผู้ปกครองเห็นความสำคัญต่อเรื่องการว่ายน้ำเอง ให้มีพื้นฐานการเอาตัวรอดขณะตกน้ำ ดังนั้นหากผู้ปกครองสามารถที่จะให้บุตรหลานฝึกว่ายน้ำต้องช่วยกันรณรงค์ให้เกิดการฝึก จะเป็นตัวช่วยอย่างดีหากเกิดเหตุการณ์จมน้ำขึ้น

“เมื่อพบเห็นคนที่จมน้ำ วิธีการช่วยคือ การตะโกน โยน ยื่น ในกรณีที่ว่ายน้ำไม่เป็นแต่เผอิญเจอเหตุ โดยการโยนสิ่งของไปเพื่อให้ผู้อยู่ในน้ำลอยเกาะได้ ส่วนการยื่น เช่น ยื่นไม้ที่ยาว สามารถนำตัวเข้าสู่ชายฝั่งได้ สุดท้ายถ้าหากช่วยเหลือผู้จมน้ำขึ้นมาบนฝั่งได้แล้วควรนำไปพลาดบ่ากระแทกให้น้ำออกจากช่องท้อง และรีบโทรไปที่หมายเลข 1669 ทันที” รองอธิบดีกรมควบคุมโรค แนะวิธีช่วยเหลือ

อัษฎางค์ กล่าวว่า เป้าหมายที่กำหนดไว้ คือ ลดปัญหาเด็กจมน้ำเสียชีวิตในช่วงปิดเทอมการศึกษาให้เป็นศูนย์ ตัวเลขสถิติในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาอัตราตัวเลขการเสียชีวิตของเด็กลดลงกว่า 50% ถึงแม้ว่าจะลดลงจำนวนดังกล่าว แต่ตัวเลขผู้เสียชีวิตยังอยู่ที่หลักร้อยอยู่ จึงตั้งเป้าหมายให้ทุกพื้นที่ทั่วประเทศร่วมมือกันให้เป็นศูนย์ลดความสูญเสียให้ได้ ถือว่าเด็กเหล่านั้นคือบุตรหลานของเราทุกคนและไม่ต้องการเห็นภาพการเสียชีวิตจากการจมน้ำในช่วงปิดเทอมใหญ่ แม้อาจลดเป็นศูนย์ไม่ได้โดยเร็วแต่ก็พยายามรณรงค์อย่างเต็มที่

 

การอบรมให้ความรู้ ในการช่วยเหลือตนเอง และผู้อื่นในกรณีอุบัติเหตุทางน้ำแก่เด็กๆที่ จ.สุรินทร์

ร.อ.นพ.อัจฉริยะ แพงมา เลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) ระบุว่า ทาง สพฉ.ดูแลงานเกี่ยวกับอุบัติเหตุทุกอย่างครอบคลุมถึงเรื่องปัญหาเด็กจมน้ำ ทาง สพฉ.มีมาตรการป้องกันในกระบวนการวิธีการ เช่น สพฉ.จัดฝึกอบรมเรื่องของการลอยตัวในน้ำ มีศูนย์วิชาการเตรียมความพร้อมด้านการแพทย์ฉุกเฉิน ออกไปสอนให้คำแนะนำในกลุ่มต่างๆ เช่น นักเรียน โรงเรียน ผู้ปกครอง ฯลฯ ผ่านการทำงานร่วมกันกับภาคีเครือข่าย อาทิ ชมรมกู้ชีพทางน้ำประเทศไทย กรมควบคุมโรคท้องถิ่น มูลนิธิ ฯลฯ จะเป็นภาคีเครือข่ายด้านการป้องกันเด็กจมน้ำเสียชีวิต

โดยกิจกรรมความร่วมมือนี้ สพฉ.เริ่มต้นทำมาตั้งแต่ปี 2552 ซึ่งมีการพัฒนาหลักสูตรการกู้ชีพทางน้ำ โดยเฉพาะการช่วยชีวิต มีการอบรมแพทย์ พยาบาล และบุคลากร เพื่อตอบสนองช่วยชีวิตผู้ป่วยจากการจมน้ำ วิชาเหล่านี้ยังขยายผลไปถึงกลุ่มเด็กให้มีทักษะการลอยตัวในน้ำได้ รวมถึงการขอความช่วยเหลือในรูปแบบต่างๆ

เลขาธิการ สพฉ. กล่าวว่า ความพร้อมต่อเหตุฉุกเฉินที่เกิดขึ้นภายใต้หมายเลขสายด่วน 1669 มีเครือข่ายบริการประชาชนทั่วประเทศ ขณะเดียวกันมีศูนย์รับแจ้งเหตุ 80 ศูนย์ หน่วยฉุกเฉินพร้อมบริการ 8,500 หน่วยทั่วประเทศ ทั้งนี้สิ่งสำคัญที่สุดต้องเน้นเรื่องการป้องกันให้ความรู้เด็ก ช่วยเหลือตัวเองได้ขณะเกิดเหตุ ขอฝากถึงผู้ปกครองในช่วงปิดภาคเรียนนี้ในพื้นที่กรุงเทพมหานครอาจไม่น่าห่วง เพราะมีแหล่งน้ำธรรมชาติน้อย ส่วนในพื้นที่ต่างจังหวัดมีความน่าห่วงมากกว่า เนื่องจากมีบ่อน้ำชุมชน เด็กอาจชวนกันไปเล่น ดังนั้นผู้ปกครองต้องให้คำชี้แนะลูกหลาน หรือมีผู้ใหญ่ไปดูแลความปลอดภัยด้วย

“สิ่งที่น่าห่วง คือเมื่อเวลาเกิดเหตุประชาชนอาจตื่นตระหนก ขาดสติ ทำให้การช่วยเหลือล่าช้ายากลำบาก หรือลืมโทรเรียกให้เจ้าหน้าที่มาช่วยเหลือ สพฉ.เราเป็นห่วงประชาชนในส่วนนี้มาก อีกประเด็นสำคัญประชาชนไม่ทราบเบอร์สายด่วน ดังนั้นขอให้พี่น้องประชาชนนึกถึงหมายเลข 1669 ไว้เสมอ ไม่ว่าจะเหตุทางน้ำ เหตุใดก็แล้วแต่สามารถโทรเรียกเจ้าหน้าที่ได้ทันที โทรฟรีและไม่มีค่าใช้จ่าย” ร.อ.นพ.อัจฉริยะ กล่าว

เลขาธิการ สพฉ. ย้ำว่า สำหรับความพร้อมของ สพฉ.นั้น มีความพร้อมให้บริการประชาชนตลอด 24 ชั่วโมง ทุกเหตุการณ์ฉุกเฉินสามารถโทรไปยังเบอร์สายด่วน 1669 ได้ตลอดเวลา จึงขอให้ประชาชนมั่นใจในความพร้อมบริการของเจ้าหน้าที่

เดินรอยตาม “บรรหาร” ชาติไทยพัฒนาไม่เป็นศัตรูใคร

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/politic/report/582777

  • วันที่ 10 มี.ค. 2562 เวลา 08:40 น.

เดินรอยตาม "บรรหาร" ชาติไทยพัฒนาไม่เป็นศัตรูใคร

เปิดใจ “กัญจนา ศิลปอาชา” ในวันที่ต้องทำหน้าที่ “หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา” สู้ศึกเลือกตั้ง สืบทอดเจตนารมณ์ของ “บรรหาร” ผู้ล่วงลับ

********************

โดย…ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์

บนเวทีปราศรัยทุกจังหวัดที่ “กัญจนา-วราวุธ” ศิลปอาชา เดินทางไปหาเสียง คำพูดที่ 2 พี่น้องจากเมืองสุพรรณบุรีมักพูดอยู่เสมอคือ “ลูกพ่อบรรหาร”

ไม่ใช่แค่บารมีของเตี่ยที่แม้จะเสียชีวิตไปเกือบ 2 ปีที่ยังคงเป็นใบเบิกทางให้เท่านั้น แต่ยังหมายถึงความเป็น “มังกรเติ้ง” ที่ยังอยู่ในใจของประชาชนในฐานะอดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 21 ของประเทศไทย ผู้ซึ่งทำให้ จ.สุพรรณบุรี ขึ้นชื่อลือชาเรื่อง “น้ำไหล ไฟสว่าง ทางดี” จนมีคำกล่าวว่า เมื่อนั่งรถเข้า จ.สุพรรณบุรี แล้วรู้สึกได้ถึงความเจริญที่น่าตื่นตะลึง

ในวันที่พรรคชาติไทย กลายมาเป็น พรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) โดยมีหัวหน้าพรรคชื่อ “กัญจนา ศิลปอาชา” หรือ “หนูนา” ต้องลงสนามการเมืองแข่งขันการเลือกตั้ง ซึ่งถือว่าเป็นครั้งแรกที่ขาดพ่อผู้เป็นเสาหลักและมังกรการเมืองคอยชี้แนะ ภาระอันหนักอึ้งจึงมาตกอยู่ที่ลูกสาวคนโตอย่าง “หนูนา”

กัญจนา ยอมรับว่าช่วงชีวิตที่พ่อเป็นนายกรัฐมนตรี กับวันนี้ที่เธอเป็นหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา มีความแตกต่าง มีหน้าที่ที่ต้องทำโดยเฉพาะการลงพื้นที่ขอคะแนนเสียงจากประชาชน

“ตอนพ่อเป็นนายกฯ แน่นอนว่าพ่ออยู่ในที่สูง มรสุมการเมืองมีมากมาย คนที่เป็นครอบครัวต้องได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ พอดีว่าช่วงนั้นเราก็เป็น สส.สมัยแรกด้วย สิ่งที่เราทำตอนนั้นก็คือเป็นเงาเคียงข้างพ่อตลอด ติดตามพ่อ คอยให้กำลังใจพ่อ ประเด็นที่พ่อถูกโจมตีแล้วเราชี้แจงได้เราจะทำทันทีทั้งในสภาและนอกสภา

นั่นคือชีวิตของเราตอนที่พ่อเป็นนายกฯ แต่ตอนนี้เราไม่มีพ่อแล้ว เราต้องมาเป็นผู้นำเอง ความแตกต่างก็คือเราไม่มีใครมาปกป้องเราแล้ว แต่อย่างหนึ่งคือเราไม่ได้เป็นตัวเด่น เราเป็นคนธรรมดา พรรคเราไม่ได้ใหญ่ เราไม่ได้ตกเป็นเป้าโจมตีมาก แต่เราไม่มีเกราะแล้วเราต้องอยู่ด้วยตัวเราเอง

ตอนนี้ไม่มีใครชี้แนะอะไรให้เราอีกแล้ว ต้องอาศัยประสบการณ์ต่างๆ ที่เราสะสมมาในการกำหนดก้าวเดินแต่ละก้าวของเราต่อไป และก็ต้องระมัดระวังให้ดีเพราะว่าเราต้องคุ้มครองตัวเราเองและสมาชิกพรรคทุกคน แต่ไม่ได้รู้สึกหนักใจอะไรนะ เพราะอย่างที่บอกว่าเราไม่คิดว่าใครเป็นศัตรู พอเราไม่คิดว่าใครเป็นศัตรูมันก็เป็นการกำหนดพฤติกรรมของเราออกมาไม่สร้างศัตรู พอเราไม่สร้างศัตรูก็คงไม่มีใครอยากจะมาเป็นศัตรูอะไรกับเรา เพราะฉะนั้นพฤติกรรมที่เราไม่สร้างศัตรูก็เป็นเกราะป้องกันตัวเราเองโดยที่เราไม่ต้องไปทำอะไรมาก”

แต่ถึงชีวิตจะต้องเปลี่ยนแปลงไป ความเป็นลูกสาวมังกรจึงไม่ได้คิดเรื่องความกดดันจากผลงานที่พ่อได้สร้างไว้

“จริงๆ ไม่กดดันอะไรเลย เพราะว่าเป็นคนที่ทำอะไรก็พยายามทำอย่างเต็มที่ แล้วก็ไม่ได้หวังผลเพราะว่าผลมันเกิดจากเหตุและปัจจัยหลายอย่างนอกจากความสามารถของเรา หน้าที่ของเราคือทำให้เต็มที่และเต็มศักยภาพ ส่วนผลให้วางไว้ ไม่ต้องไปคิด ไม่ต้องไปหวัง ตอบได้เลยว่าไม่เกิดความกดดันอะไรทั้งสิ้น

ตราบใดที่เราไม่ประมาท และพยายามเต็มที่ โดยใช้บทเรียนที่พ่อได้เคยสอนเรา คือ วิธีสอนของพ่อ พ่อไม่เคยมานั่งบอกว่าต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่ใช่บุคลิกของนายบรรหาร แต่พ่อจะทำให้ดู แล้วเราก็เห็นจากที่พ่อทำ เราก็จดจำสิ่งที่พ่อทำ บุคลิกความเป็นพ่อ จุดยืนของพ่อ แนวคิดของพ่อ เราจดจำเป็นบทเรียนมาสืบสานต่อ จุดยืนของเราคือสานต่อในสิ่งที่พ่อทำไว้เท่าที่ความเป็นลูกจะทำได้”

การสูญเสีย “บรรหาร” หัวเรือหลักอาจทำให้อดีต สส.หลายคนไม่มั่นใจ และย้ายไปพรรคอื่น กัญจนา มองปรากฏการณ์นี้ว่าเป็นเรื่องธรรมดาทางการเมือง เพราะการย้ายพรรคขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของแต่ละคน มีย้ายออกไปก็มีจากพรรคอื่นย้ายเข้ามาเหมือนกัน ดังนั้นเรื่องการย้ายพรรคของ สส.เป็นเรื่องปกติในการเมือง

“ก็ต้องดูผลงานหลังจากการเลือกตั้งครั้งนี้แล้วเราได้เป็นผู้แทนราษฎรได้มีบทบาททางการเมือง เพราะว่าการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ไม่มีพ่อบรรหาร เป็นการพิสูจน์บทบาทของศิลปอาชาในยามที่ไม่มีพ่อบรรหาร ตอนนี้ยังตอบไม่ได้ว่าจะดีกว่า เอาแค่ว่าสามารถทำได้ใกล้ๆ ที่พ่อเคยทำไว้ก็เก่งมากแล้ว แต่จะแย่กว่าหรืออะไรอย่าเพิ่งตัดสินเลย ให้ดูผลงานหลังจากนี้ก่อน” กัญจนา กล่าว

ไม่เฉพาะแค่การเข้ามาเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองเพื่อลงเลือกตั้งเท่านั้น ในการหาเสียงแต่ละจังหวัด “กัญจนา” จะเดินทางไปพบปะประชาชนเพื่อขอคะแนนเองทุกครั้ง ซึ่งครั้งหนึ่งเมื่อเดินทางลงพื้นที่ อ.สามชุก จ.สุพรรณบุรี รถทีมงานถูกข่มขู่ ถูกยิงลูกแก้วใส่กระจกหน้ารถตู้ เธอมองโลกในแง่ดีว่าเป็นอุบัติเหตุ

“ถ้าเป็นอุบัติเหตุก็สามารถเกิดได้กับรถทุกประเภท ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นรถของพรรคการเมืองในการหาเสียง ไม่กังวลใจ เพราะเกิดขึ้นได้บนท้องถนน เป็นเหตุที่เกิดขึ้นโดยไม่คาดฝัน เราต้องมีสติประคับประคองเพื่อรองรับเหตุการณ์นั้นให้ได้ ไม่กังวลอะไร”

หรือแม้แต่การที่มีตำรวจนอกเครื่องแบบและทหาร มาคอยตามเฝ้าดูการลงพื้นที่ “กัญจนา” ก็ไม่ได้โวยวาย

“อบอุ่นดีค่ะ จะได้ช่วยดูแลอะไรต่างๆ (หัวเราะ) บางทีขึ้นเวทีปราศรัยก็จะขอบคุณด้วยซ้ำ เพราะเขาต้องมาทำตามหน้าที่ เขาก็เป็นประชาชนคนหนึ่งอุตส่าห์เสียสละกำลังพลมาดูแล เราก็รู้สึกขอบคุณด้วยซ้ำไป ส่วนตัวแล้วยินดีมาก”

เมื่อถามถึงเรื่องการเมืองซึ่งกำลังเข้าสู่ช่วงโค้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้ง “กัญจนา” กล่าวอย่างอารมณ์ดีว่า ทุกพรรคคงเร่งออกพื้นที่หนักขึ้น ถี่ขึ้น ถ้ามีนโยบายอะไรที่คิดว่าเด็ดๆ เก๋าๆ โค้งสุดท้ายนี้ก็คงจะปล่อยออกมากันเต็มเม็ดเต็มหน่วยในทุกพรรค

“ส่วนตัวเองก็รู้สึกขำนิดหนึ่งที่หลายคนบอกว่าช่วงหาเสียงโค้งสุดท้ายสิ่งที่ไม่คิดว่านักการเมืองจะทำได้ก็จะทำกันในหลายๆ พรรค ซึ่งก็จะเห็นกันได้ในหน้าหนังสือพิมพ์ ตัวกัญจนาเองก็อาจจะต้องทำอะไรที่ไม่เคยทำมาก่อนคราวนี้ แต่ก็เป็นอะไรที่มองแล้วเป็นสีสันการเมือง โค้งสุดท้ายก็คงจะต้องเต็มที่ในทุกพรรคการเมือง”

ส่วนหลังเลือกตั้งแล้วนั้น “หนูนา” ออกตัวว่าพรรคชาติไทยพัฒนาไม่ใช่พรรคใหญ่ และคงต้องเฝ้าดูการเลือกตั้ง แล้วก็ลุ้นว่าจะได้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเข้าสู่สภาในนามพรรคมากน้อยแค่ไหน ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของพี่น้องประชาชน

“คือเราไม่ใช่พรรคใหญ่ ก็ต้องดูว่าพรรคใหญ่ที่เขาได้อันดับ 1 และอันดับ 2 เขาจะเจรจาจัดตั้งรัฐบาลกันอย่างไร เราก็ต้องคอยเฝ้าดู เป็นบทบาทของเราหลังการเลือกตั้ง”

บางเวทีที่ขึ้นปราศรัย กัญจนา เคยประกาศกับประชาชนที่มารับฟังนโยบายของพรรคว่า ไม่มีพรรคการเมืองไหนที่ลงสมัครรับเลือกตั้งเพื่อจะมาเป็นฝ่ายค้าน เพราะการเป็นรัฐบาลสามารถนำนโยบายที่ทางพรรคหาเสียงกับประชาชนไปปฏิบัติ สามารถนำความเดือดร้อนของชาวบ้านไปแก้ไข

ถ้ามองข้ามช็อตไปหลังเลือกตั้ง หลายคนจึงเชื่อว่ามีแนวโน้มที่พรรคชาติไทยพัฒนา มีโอกาสสูงที่จะร่วมรัฐบาล ถามถึงกระทรวงที่ทางพรรคมองไว้ “กัญจนา” ตอบทันทีว่า

“อย่างที่บอกว่าเราเป็นพรรคที่ขนาดไม่ใหญ่ไม่กล้าไปคิดถึงกระทรวงอะไรใดๆ ทั้งสิ้น ตอนนี้คิดถึงแค่ว่าตอนนี้จะรณรงค์หาเสียงอย่างไรให้เป็นที่ประทับใจพี่น้องประชาชนแล้วเลือกผู้สมัครของพรรคเราให้มากที่สุด ยังไม่มองไปถึงจุดนั้นเลย คือการจะมองไปถึงกระทรวงอะไรหมายความว่าเราต้องได้รับการติดต่อให้ไปร่วมรัฐบาล ซึ่งยังไม่กล้ามองไปถึงตรงนั้น ถ้าให้ตอบก็คือ ยังไม่คิด”

แต่ถ้าถามถึง จ.สุพรรณบุรี น้ำเสียงของกัญจนา ขึงขังในทันที “ปกติเป็นคนที่ไม่ตอบอะไรที่รู้สึกเกินตัว แต่สำหรับสุพรรณบุรีเป็นบ้านเกิดแล้วก็เป็นจังหวัดที่พ่อบรรหารในนามพรรคชาติไทยพัฒนาดูแลและทำให้เกิดความเจริญต่อเนื่องยาวนานมา 40 กว่าปี ซึ่งผลงานทั้งหลายอยู่ในใจคนสุพรรณทั้งหมด เพราะฉะนั้นขอตอบว่าค่อนข้างมั่นใจจะได้ สส.ทั้งหมดครบทั้ง 4 เขต เพราะพรรคอื่นจะเข้ามาในสุพรรณบุรีไม่ใช่ง่าย”

นอกจาก จ.สุพรรณบุรี แล้ว ในการลงพื้นที่หาเสียงมีประชาชนให้การต้อนรับพรรคชาติไทยพัฒนาอย่างอบอุ่น กัญจนา วิเคราะห์เหตุผลจากเสียงตอบรับนี้ว่า อย่างแรกคือน่าจะเป็นที่ตัวผู้สมัคร ซึ่งพรรคได้คัดเลือกในแต่ละพื้นที่ว่าเป็นบุคคลที่มีความนิยมในพื้นที่พอสมควร มีความตั้งใจจริงที่อยากจะทำงานแก้ไขปัญหาให้ประชาชนในพื้นที่นั้น เป็นที่รู้จัก และยอมรับ คือน่าจะเป็นที่ผู้สมัครที่ได้คัดเลือกว่าเป็นที่ได้รับความนิยมพอสมควรในพื้นที่นั้น

ขณะที่เหตุผลถัดไปก็น่าจะเป็นจุดยืนของพรรคที่ไม่เป็นศัตรูกับใคร เวลาให้สัมภาษณ์ บุคคลในพรรคให้สัมภาษณ์หรือเวลาปราศรัยอะไร ก็ไม่เคยว่าใคร หรือก่อให้เกิดความขัดแย้งใดๆ ในสังคมจะออกไปในเชิงอ่อนน้อมเป็นหลัก เป็นบุคลิกของพรรคมาแต่ไหนแต่ไรก็น่าจะเป็นเหตุผลอีกอันหนึ่ง

อีกประเด็นคือน่าจะเป็นนโยบายของพรรคเราที่เกิดจากการได้พบปะกับประชาชนในทุกกลุ่มอาชีพเพื่อรับฟังปัญหาความต้องการแล้วนำมากลั่นกรองเป็นนโยบายไปนำเสนอเขา ก็น่าจะได้รับการตอบรับในเรื่องนโยบายของพรรคพอสมควร

ถัดไปก็น่าจะเป็นเรื่องในช่วงระยะเวลาเกือบ 5 ปีที่ผ่านมา เราไม่มีการเลือกตั้งเลย บรรยากาศที่มีผู้สมัครของพรรคการเมืองไปหาเสียงมันขาดหายไปนาน ประชาชนในพื้นที่ก็เลยค่อนข้างต้อนรับกิจกรรมที่เกิดขึ้นหลังจากที่หายไปนานเหล่านี้ จะเห็นได้ว่าไม่ใช่แค่พรรคชาติไทยพัฒนาเท่านั้น แต่หลายพรรคการเมืองก็ได้รับการต้อนรับจากพี่น้องประชาชนในพื้นที่นั้นๆ เป็นอย่างดี คงเป็นเพราะว่ามันขาดหายบรรยากาศแบบนี้มานาน

“ส่วนหนึ่งต้องขอยึดโยงว่าเป็นความผูกพันที่พ่อบรรหารมีในตัวเราและในพรรคของเรา จะเห็นได้ว่าเวลาเราลงพื้นที่หลายพื้นที่มาก ประชาชนจะถามถึงพ่อ นี่คือลูกพ่อบรรหาร ก็น่าจะเป็นอีกเหตุผลหนึ่ง ทั้งหมดนี้ก็น่าจะเป็นเหตุผลว่า ทำไมเราถึงได้รับการต้อนรับอย่างดีพอควรในพื้นที่ต่างๆ ที่เราลง”

อย่างไรก็ตาม บรรยากาศโค้งสุดท้ายก่อนจะถึงเลือกตั้งเปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์รายวัน หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา คาดหวังว่าผลการเลือกตั้งจะเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย เพื่อประโยชน์จะได้ตกอยู่กับประชาชน

“หวังว่าเราจะได้รัฐบาลและได้ฝ่ายค้านที่มีการถ่วงดุลกันอย่างเหมาะสม หวังว่า พรรคชาติไทยพัฒนาจะได้ สส.เข้าสภาในนามของพรรคในจำนวนที่น่าพอใจ แล้วก็สามารถนำเอานโยบายของพรรคที่ได้หาเสียงไปทำเป็นภาคปฏิบัติแก้ไขปัญหาให้ประชาชนที่ช่วงหาเสียงเราได้ไปพบเจอเขา ไปบอกนโยบายกับเขา หวังว่าจะได้นำนโยบายของเราไปทำเป็นภาคปฏิบัติได้สัมฤทธิผล ก็หวังว่าบ้านเมืองจะเรียบร้อยก้าวข้ามความขัดแย้งทั้งหลายทั้งปวงไปได้อย่างสงบสุข มีนโยบายที่แก้ไขปัญหาประชาชนได้อย่างแท้จริง มีฝ่ายค้านที่คอยตรวจสอบรัฐบาลอย่างมีประสิทธิภาพ แต่ก่อนอื่นคือต้องหวังว่าผลการเลือกตั้งจะเป็นที่ยอมรับก่อน” กัญจนา กล่าวทิ้งท้าย

เมื่อ “ร.9″ ทรงเป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้ง แนววินิจฉัย”กษัตริย์อยู่เหนือการเมือง”

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/politic/report/582775

  • วันที่ 10 มี.ค. 2562 เวลา 08:15 น.

เมื่อ "ร.9" ทรงเป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้ง แนววินิจฉัย"กษัตริย์อยู่เหนือการเมือง"

ย้อนดูแนวทางการพิจารณาสถานะของสถาบันพระมหากษัตริย์ในทางการเมือง ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยเป็นแนวทางเอาไว้เมื่อ 19 ปีก่อน

*************************************

โดย…อภิวัจ สุปรีชาวุฒิพงศ์

คดียุบพรรคไทยรักษาชาติมิใช่ครั้งแรกที่มีการนำประเด็นพระมหากษัตริย์กับการเมืองขึ้นสู่การพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ โดยในปี 2543 เคยมีการพิจารณาในประเด็นนี้มาแล้ว ซึ่งการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญในครั้งนั้นได้เป็นแนวทางการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญในครั้งนี้

รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 ถือเป็นรัฐธรรมนูญฉบับปฏิรูปการเมืองและเป็นฉบับแรกที่กำหนดให้การไปใช้สิทธิเลือกตั้งเป็นหน้าที่ การไม่ไปใช้สิทธิโดยไม่มีเหตุอันควรจะส่งผลให้ต้องเสียสิทธิทางการเมืองในบางประการ โดยกำหนดไว้ในมาตรา 68

ในการเลือกตั้งครั้งแรกตามรัฐธรรมนูญฉบับนี้คือ การเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา หรือ สว. ในวันที่ 4 มี.ค. 2543 คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ออกระเบียบ กกต.ว่า ด้วยการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2542 เพื่อให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ โดยให้พระบรมวงศานุวงศ์ตั้งแต่ชั้นพระองค์เจ้าขึ้นไปเป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้ง

นอกจากนี้ แบบ สว. 11 ของประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้งกรุงเทพมหานคร เรื่องบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา สำหรับหน่วยเลือกตั้งที่ 1 แขวงพระบรมมหาราชวังมีพระปรมาภิไธยของ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และพระนาม พระเจ้าหลานเธอพระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา อยู่ด้วย โดยกำหนดมหาวิทยาลัยศิลปากรเป็นสถานที่เลือกตั้ง

หลังออกระเบียบดังกล่าว กกต.มีปัญหาข้อสงสัยเกิดขึ้นว่า มีบุคคลใดบ้างที่ไม่อยู่ในข่ายหรือได้รับการยกเว้นมิต้องแจ้งเหตุอันควรที่ทำให้มิอาจไปเลือกตั้งได้ จึงส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเมื่อวันที่ 24 ก.พ. 2543

ประเด็นที่ กกต.ขอให้วินิจฉัยคือ บุคคลที่มีหน้าที่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งตามความในรัฐธรรมนูญมาตรา 68 นี้ จะใช้กับพระมหากษัตริย์ พระราชินี พระรัชทายาท และพระบรมราชวงศ์ด้วยหรือไม่

เพียง 4 วันหลังได้รับคำร้องศาลรัฐธรรมนูญก็มีคำวินิจฉัยที่ 6/2543 เมื่อวันที่ 29 ก.พ. 2543 ว่า บทบัญญัติในรัฐธรรมนูญมาตรา 68 ไม่ใช้กับพระมหากษัตริย์ พระราชินี พระรัชทายาท และพระบรมราชวงศ์

เนื้อหาในคำวินิจฉัย ระบุว่า ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาแล้วเห็นว่า ในการร่างรัฐธรรมนูญฉบับแรกของประเทศ มีเรื่องเกี่ยวกับพระบรมวงศานุวงศ์ว่าควรดำรงอยู่ในฐานะอย่างใดในทางการเมือง ดังปรากฏในพระราชหัตถเลขาของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ถึงพระยามโนปกรณ์นิติธาดา ประธานกรรมการราษฎรว่า ทรงเห็นด้วยตามความคิดของพระยามโนฯ ที่เห็นว่า พระบรมวงศานุวงศ์ตั้งแต่ชั้นหม่อมเจ้าขึ้นไป ย่อมดำรงอยู่เหนือการเมือง ต่อมารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. 2475 มีบทบัญญัติในมาตรา 11 ว่า “พระบรมวงศานุวงศ์ตั้งแต่ชั้นหม่อมเจ้าขึ้นไป โดยกำเนิดหรือโดยแต่งตั้งก็ตามย่อมดำรงอยู่ในฐานะเหนือการเมือง”

คำวินิจฉัยระบุว่า รัฐธรรมนูญของไทยทุกฉบับรวมทั้งฉบับปัจจุบันมีหมวดว่าด้วยพระมหากษัตริย์เป็นการเฉพาะ ซึ่งเป็นบทบัญญัติที่รับรองสถานะพิเศษของสถาบันพระมหากษัตริย์ ตามคติการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข พระมหากษัตริย์ทรงอยู่เหนือการเมือง และทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดกล่าวหา หรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใดๆ มิได้

คำวินิจฉัยระบุอีกว่า เนื่องจากพระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้ใช้อำนาจอธิปไตย (ผ่านรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล) ทรงดำรงอยู่เหนือการเมือง และทรงดำรงไว้ซึ่งความเป็นกลางทางการเมือง ประกอบกับที่ผ่านมา พระราชินี พระราชโอรส และพระราชธิดา ไม่เคยทรงใช้สิทธิเลือกตั้งแต่อย่างใด หากกำหนดให้พระมหากษัตริย์ พระราชินี พระรัชทายาท และพระบรมราชวงศ์ ซึ่งควรจะสืบราชสันตติวงศ์ตามกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พ.ศ. 2467 ซึ่งมีความใกล้ชิดพระมหากษัตริย์ และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ปฏิบัติพระราชกรณียกิจแทนพระองค์อยู่เป็นนิจ ทรงมีหน้าที่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ย่อมจะก่อให้เกิดความขัดแย้งหรือไม่สอดคล้องกันกับหลักการเกี่ยวกับการดำรงอยู่เหนือการเมืองและความเป็นกลางทางการเมืองของพระมหากษัตริย์

ประเสริฐ นาสกุล ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ระบุไว้ในคำวินิจฉัยส่วนบุคคลว่า เมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้ (2540) ใช้บังคับ… จึงเป็นการสมควรใช้ประเพณีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (มาตรา 7) วินิจฉัยปัญหาที่ กกต.ตั้งเสนอคำร้อง

คำวินิจฉัยส่วนบุคคลของประธานศาลรัฐธรรมนูญระบุว่า เป็นปัญหาข้อกฎหมายและพยานหลักฐานที่ได้รับมีเพียงพอที่จะวินิจฉัยคำร้องแล้ว ไม่จำเป็นต้องแสวงหาพยานหลักฐานอื่นใดอีก โดยกฎหมายที่เกี่ยวข้องในการพิจารณาคือ รัฐธรรมนูญและธรรมนูญการปกครองแห่งราชอาณาจักรไทยทุกฉบับ

ดังนั้น นิติประเพณีที่ศาลรัฐธรรมนูญนำมาพิจารณาในกรณีนี้ก็คือ บทบัญญัติที่เกี่ยวข้องในรัฐธรรมนูญทุกฉบับที่ผ่านมา

คำวินิจฉัยส่วนบุคคลของ สุจิต บุญบงการ ระบุว่า “รัฐธรรมนูญมาตรา 3 บัญญัติว่า “อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขทรงใช้อำนาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้” ซึ่งในการใช้อำนาจอธิปไตยดังกล่าวนั้น รัฐธรรมนูญบัญญัติให้มีผู้รับสนองพระบรมราชโองการไว้เป็นการเฉพาะ… ซึ่งถือว่าพระมหากษัตริย์มิต้องทรงรับผิดทางการเมือง ทรงดำรงอยู่เหนือการเมือง และทรงดำรงไว้ซึ่งความเป็นกลางทางการเมือง นอกจากนั้น เมื่อทรงเป็นผู้ใช้อำนาจอธิปไตยแล้ว จึงไม่ต้องทรงมีหน้าที่ไปเลือกตั้งผู้แทนมาใช้อำนาจนั้นอีก

ในส่วนของพระราชินี พระรัชทายาท และพระบรมราชวงศ์ ซึ่งควรจะสืบราชสันตติวงศ์ ตามกฎมณเฑียรบาล ทรงเป็นผู้ใกล้ชิดพระมหากษัตริย์ และทรงได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ปฏิบัติพระราชกรณียกิจแทนพระองค์อยู่เป็นนิจ จึงทรงอยู่ในฐานะเหนือการเมืองและทรงดำรงไว้ ซึ่งความเป็นกลางทางการเมืองเช่นกัน”

ขณะที่คำวินิจฉัยส่วนบุคคลของ สุจินดา ยงสุนทร ระบุว่า “การที่ไม่สามารถใช้มาตราดังกล่าวกับพระมหากษัตริย์ จะมีผลครอบคลุมไปถึงบุคคลใดอีกหรือไม่ พิเคราะห์แล้วเห็นว่า หลักการเดียวกันกับที่ยกเว้นพระมหากษัตริย์ย่อมจะต้องมีผลเช่นเดียวกันกับพระบรมราชวงศ์ที่ทรงอยู่ในอันดับการสืบราชสันตติวงศ์ …รวมทั้งพระบรมราชวงศ์ซึ่งทรงมีความใกล้ชิดกับพระมหากษัตริย์ และทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจแทนพระมหากษัตริย์อยู่เป็นนิจ ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นที่ประจักษ์ว่าพระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่เหนือการเมือง และทรงรักษาไว้ซึ่งความเป็นกลางทางการเมืองอย่างแท้จริงและโดยเคร่งครัด

อย่างไรก็ตาม แม้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญส่วนใหญ่จะมีมติรับคำร้องไว้พิจารณาและวินิจฉัยออกมาดังกล่าว แต่ ปรีชา เฉลิมวณิชย์ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ อดีตผู้พิพากษาในศาลฎีกา ซึ่งมีคำวินิจฉัยส่วนบุคคลให้ทำหนังสือตอบข้อหารือของ กกต.เป็นการภายในให้ทราบว่าไม่ควรดำเนินการตามที่ กกต.ได้ดำเนินการมาแล้ว หรือมิฉะนั้นก็เห็นสมควรที่ กกต.จะต้องกราบบังคมทูลขอพระบรมราชวินิจฉัยโดยตรง หากทรงมีพระบรมราชวินิจฉัยอย่างไรก็เป็นที่ยุติ ไม่ต้องมาขอความเห็นหรือปรึกษาศาลรัฐธรรมนูญอีก โดยเห็นว่า

…การตีความรัฐธรรมนูญในกรณีเช่นนี้ จึงเป็นพระราชอำนาจเด็ดขาดของพระมหากษัตริย์ที่จะทรงมีพระบรมราชวินิจฉัยด้วยพระองค์เอง เพราะพระมหากษัตริย์ก็เป็นสถาบันหนึ่งในรัฐธรรมนูญ หาใช่ กกต.หรือศาลรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นองค์กรที่มีสถานะต่ำกว่าจะมีอำนาจสอดแทรกเข้าไปเกี่ยวข้อง

ความเป็นกลางทางการเมืองของพระมหากษัตริย์ แม้มิได้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญโดยตรงก็ตาม เพราะหากบัญญัติไว้โดยตรงดังเช่นตามรัฐธรรมนูญฉบับพุทธศักราช 2475 มาตรา 11 ที่บัญญัติว่า “พระบรมวงศานุวงศ์ตั้งแต่ชั้นหม่อมเจ้าขึ้นไปโดยกำเนิดหรือโดยแต่งตั้งก็ตาม ย่อมดำรงอยู่ในฐานะเหนือการเมือง” อันเป็นบทบัญญัติที่ขัดต่อการใช้พระราชอำนาจในการตรวจสอบถ่วงดุลหรือคานอำนาจในทางการเมืองและพระราชอำนาจทางการเมือง 3 ประการ

…แม้ในเวลาต่อมาการบัญญัติรัฐธรรมนูญจะมิได้บัญญัติเช่นนี้อีก โดยปล่อยให้เป็นไปตามพระบรมราชวินิจฉัยของพระมหากษัตริย์ และตามประเพณีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขก็ตาม ซึ่งพระมหากษัตริย์มิจำต้องทรงถูกตัดขาดทางการเมือง แต่ยังทรงดำรงพระองค์เป็นกลางทางการเมืองอยู่”

นี่คือแนวทางการพิจารณาสถานะของสถาบันพระมหากษัตริย์ในทางการเมือง ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยเป็นแนวทางเอาไว้เมื่อ 19 ปีก่อน และเป็นแนวทางที่ศาลรัฐธรรมนูญนำมาใช้ประกอบการพิจารณาอีกครั้งกับสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน

“โพลเลือกตั้ง” วิชามารเรียกคะแนนปั่นกระแสพรรคการเมือง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/politic/report/582773

  • วันที่ 10 มี.ค. 2562 เวลา 07:23 น.

"โพลเลือกตั้ง" วิชามารเรียกคะแนนปั่นกระแสพรรคการเมือง

มองโพลเลือกตั้งที่พรรคการเมืองจัดทำขึ้นผ่านสายตาของนักวิชาการจาก 2 สำนักโพลที่ชี้ว่า เป็นเรื่องของเกมการเมืองเพื่อเรียกคะแนนในพื้นที่

*********************

โดย…ธเนศน์ นุ่นมัน

ทุกครั้งที่มีการเลือกตั้งหรือเหตุการณ์สำคัญๆ จะได้ยินการพูดถึง หรืออยู่ในความสนใจของผู้คนในวงกว้าง ทุกครั้งเช่นกันที่เราจะได้ยินตามมาด้วยนั่นก็คือเรื่อง “โพล” (Poll) หรือการสํารวจความคิดเห็น ท่าทีของคนทั่วๆ ไปในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง จัดทําขึ้นโดยการส่งทีมงานลงพื้นที่ไปสุ่มหรือสำรวจจากกลุ่มตัวอย่างที่เกี่ยวข้อง

แต่ก็ต้องยอมรับว่า โพลนั้นถูกนำมาเป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์ทิศทางทางการเมือง โดยเฉพาะการเลือกตั้ง โพลถูกนำมาใช้อย่างเป็นทางการครั้งแรกในปี 2518 โดยโพลที่รู้จักกันดี คือ นิด้าโพล ต่อมามีสถาบันการศึกษาหลายแห่งเปิดสำนักโพลขึ้นเช่นกัน ผลการสำรวจของทุกสำนักมักจะได้รับความสนใจในช่วงเลือกตั้ง ท่ามกลางคำถามสำคัญว่าโพลทั้งหลายนั้นเชื่อถือได้แค่ไหน เพราะบางครั้งเราก็ได้เห็นผลโพลคลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริงที่ปรากฏภายหลังจนมักจะได้เห็นพาดหัวข่าวในวันต่อมาในทำนอง “โพลพลิก หรือแหกโพล”

อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ อาจารย์คณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) อดีตผู้อำนวยการศูนย์สำรวจความคิดเห็น หรือนิด้าโพล ระบุว่า โพลผิดพลาดนั้นเกิดขึ้นได้เสมอ และมักจะเกิดจากขั้นตอนของการทำโพล หรือเรียกว่าความคลาดเคลื่อนที่เกิดจากการสุ่มตัวอย่าง หรือ Sampling Error เช่น หากสำรวจผลการเลือกตั้ง แต่กลับไปสำรวจมาจากกลุ่มคนที่ไม่ได้ไปใช้สิทธิลงคะแนนจริงๆ ผลที่ได้ก็ย่อมคลาดเคลื่อนได้ง่าย

“สำนักโพลส่วนใหญ่ยังบกพร่องในเรื่องการสำรวจกลุ่มตัวอย่างที่ตรงตามเป้าหมาย และต้องดูด้วยว่าโพลดังกล่าวตั้งคำถามในการสำรวจแบบไหน คำถามนั้นสำคัญมาก ถามแบบชี้นำก็อาจจะทำให้ได้คำตอบที่ทายผลผิดพลาดคลาดเคลื่อนได้เช่นกัน ที่กล่าวมาเป็นสองประเด็นหลักที่ทุกสำนักโพลระวังกันมาก

นอกจากนี้ งานวิจัยที่เคยทำ บอกว่าคนไทยนั้นมีนิสัยเลือกผู้ชนะ หมายความว่าหากผลโพลบอกว่าใครชนะ ก็จะกลายเป็นการสร้างแรงโน้มน้าวจิตใจคนอื่นๆ ตามไปด้วย คนไทยเราชอบไก่ชนตัวที่มีแนวโน้มจะเป็นไก่ชนตัวชนะ เพราะเราอยากได้ผลประโยชน์จากผู้ชนะมากกว่ายอมเลือกพรรคหรือนักการเมืองที่ชอบในอุดมการณ์แต่ไม่มีแนวโน้มว่าจะชนะ พรรคการเมืองขนาดใหญ่จึงอาจจะได้เปรียบที่จะมีโอกาสได้รับชัยชนะมากกว่าพรรคขนาดกลางและขนาดเล็ก หรือพรรคโนเนม” อาจารย์คณะสถิติประยุกต์ นิด้า กล่าว

อดีตผู้อำนวยการนิด้าโพล ระบุด้วยว่ากรณีดังกล่าวนั้นเองที่ส่งผลให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กำหนดว่า ห้ามเผยแพร่ผลโพลหรือผลการสำรวจความเห็นสาธารณะก่อนการเลือกตั้ง 7 วัน โดย กกต.ให้เหตุผลว่าผลโพลอาจเป็นการชี้นำประชาชน หรือมีการให้ข้อมูลอันเป็นเท็จหรือหลอกลวง ข้อนี้สำคัญมาก ผลการวิจัยชี้ชัดว่าหากมั่นใจว่าใครจะชนะ คนไทยมีแนวโน้มจะเฮตามคนชนะได้ ดังนั้นหากไม่ห้ามเผยแพร่ผลโพลก่อนเลือกตั้ง 7 วัน ก็อาจจะมีการใช้โพลเร่งเร้าให้เกิดความคาดหวังว่าจะชนะการเลือกตั้ง ให้คนเทคะแนนเลือกพรรคหรือนักการเมืองที่น่าจะชนะ กรณีนี้เป็นเรื่องที่ต้องระวัง หากไม่ห้าม อาจจะนับโพลเป็นวิชามารเพื่อโกงการเลือกตั้งได้เลย

สุขุม เฉลยทรัพย์ ประธานคณะกรรมการที่ปรึกษา “สวนดุสิตโพล” มหาวิทยาลัยสวนดุสิต กล่าวว่า โพลนั้นบิดเบี้ยวได้เพราะอคติของคนทำ หรือมีพรรคตัวเองอยู่ในใจ หรือทำโพลแบบตามกระแส

“โพลแบบตามกระแสช่วงเลือกตั้งนั้นคลาดเคลื่อนได้ โดยเฉพาะการสำรวจในกลุ่มวัยรุ่น ซึ่งมักจะตอบโพลแบบแห่ตามกัน เพราะกลัวตัวเองเชย แต่เอาเข้าจริงตัวเองก็ไม่ได้ไปลงคะแนนหรือไปลงคะแนนน้อย ทฤษฎีการทำโพลนั้นเป็นทฤษฎีฝรั่งซึ่งประชาชนมีสถานะทางครอบครัวแต่ต่างกันไม่มาก แต่คนไทยแตกต่างกันมาก ลักษณะเฉพาะของแต่ละพื้นที่ทำให้โพลผิดพลาดได้ นอกจากนี้บางช่วงคนอาจจะแอนตี้โพล ก็อาจจะแกล้งตอบผิดๆ ก็ทำให้คลาดเคลื่อน เช่น การเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ปี 2556 ผลโพลแทบทุกสำนักผิดทั้งหมด หรือในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดในภาคใต้ ปี 2548 ผลโพลเกือบทุกสำนักที่ทำโพลก็ผิดพลาดหมด เพราะคนโกหกโพล”

การเลือกตั้งครั้งนี้ก็มีโอกาสที่โพลทั้งหลายจะทายผิดมาก เพราะทุกพรรคการเมืองต่างมีโพลเป็นของตัวเองที่จัดทำขึ้นเพื่อแก้เกมการเมือง ใช้เรียกคะแนนหรือหากรู้ว่าบางพื้นที่ตัวเองแพ้ก็เปลี่ยนกลยุทธ์การหาเสียงเป็นการซื้อเสียงไปเลย หรือเมื่อรู้ว่าตัวเองคะแนนนำในเขตนั้นเขตนี้ก็ตายใจ เพลี่ยงพล้ำให้ฝ่ายตรงข้ามที่เร่งหาเสียงอุดรูรั่ว ปัจจัยที่กล่าวมาต่างมีส่วนที่ทำให้ผลโพลพลิกได้แทบทั้งสิ้น

เปิดรายชื่อ สว.สูตรเบ็ดเสร็จ 3 ป.

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/politic/report/582759

  • วันที่ 09 มี.ค. 2562 เวลา 16:37 น.

เปิดรายชื่อ สว.สูตรเบ็ดเสร็จ 3 ป.

โดย…ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์

รายชื่อผู้ที่ได้รับการคัดเลือกเป็น สว.จำนวน 400 คน ที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานคณะกรรมการสรรหา สว.นั้น เสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยคณะกรรมการสรรหาจะส่งให้ คสช.พิจารณาแต่งตั้งเป็น สว.สรรหา 194 คนนัดสุดท้าย ในวันที่ 9 มี.ค.นี้ก่อนจะประกาศรายชื่อ สว.หลังการเลือกตั้ง สส.

ทั้งนี้ มีรายงานว่ารายชื่อ สว.ใหม่ล้วนใกล้ชิดกับ พล.อ.ประวิตร หรือบิ๊กป้อม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา (บิ๊กป๊อก) รมว.มหาดไทย หรือ 3 ป.โดยมีรายชื่อดังนี้

1.กลุ่มคนใกล้ชิดและน้องรัก พล.อ.ประวิตร คาดมีชื่อ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีต ผบ.ตร. และ พล.ร.อ.ศิษฐวัชร วงษ์สุวรรณ อดีต สว.สรรหาน้องชาย พล.อ.ประวิตร พล.ต.ท.บุญเรือง ผลพานิชย์ อดีตผู้ช่วย ผบ.ตร. พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา อดีตผู้ช่วย ผบ.ทบ. พล.ต.จารึก อารีราชการัณย์ สมาชิก สนช. พล.อ.รณชัย มัญชุสุนทรกุล อดีตผู้อำนวยการองค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก

พล.อ.วัลลภ รักเสนาะ เลขา สมช.พล.อ.ทวีป เนตรนิยม อดีตเลขา สมช. พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล อดีต รมว.แรงงาน สม จาตุศรีพิทักษ์ พล.อ.นพดล อินทปัญญา ที่ปรึกษา คสช. พล.อ.เลิศฤทธิ์ เวชสวรรค์ อดีต สว. พล.อ.โสภณ ศีลพิพัฒน์ อดีตที่ปรึกษา รมว.กลาโหม พล.อ.อ.ไพศาล สีตบุตร อดีตผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพอากาศ

พล.อ.จิรพงศ์ วรรณรัตน์ อดีต ที่ปรึกษากองทัพบก พล.อ.ชยุติ สุวรรณมาศ อดีตหัวหน้านายทหารฝ่ายเสนาธิการประจำ ผบ.ทสส. พล.อ.อ. ชาลี จันทร์เรือง อดีต สว. พล.อ.ไพโรจน์ พานิชสมัย อดีตรอง ผบ.ทสส. พล.อ. อู้ด เบื้องบน อดีตปลัดกลาโหม พล.อ.มารุต ปัชโชตะสิงห์ อดีตที่ปรึกษาพิเศษกองบัญชาการกองทัพไทย พล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ อดีต ผบ.ทสส. พล.อ.ธีรเดช มีเพียร อดีตประธานวุฒิสภา พล.อ. พิสิทธิ์ สิทธิสาร อดีตรอง ผบ.ทบ.

กลุ่มที่เคยร่วมงานในกระทรวงกลาโหมและมูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด พล.อ.กิตติพงษ์ เกษโกวิท อดีตปลัดกลาโหม พล.อ.คณิต สาพิทักษ์ อดีตประธานคณะที่ปรึกษากลาโหม พล.อ.วลิต โรจนภักดี อดีตรอง ผบ.ทบ. น้องรัก พล.อ.ประวิตร ถวิล เปลี่ยนศรี อดีตเลขา สมช. พล.อ.อ.มณฑล สัชฌุกร อดีตโฆษกกองทัพอากาศ

2.กลุ่มเพื่อนร่วมรุ่น คนสนิท พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.ต.กลชัย สุวรรณบูรณ์ อดีต สว.ชุมพร พล.อ.อักษรา เกิดผล อดีตหัวหน้าคณะพูดคุยเพื่อสันติสุขจังหวัดชายแดน ภาคใต้ พล.อ.ยอดยุทธ บุญญาธิการ อดีตหัวหน้าฝ่ายเสนาธิการประจำผู้บังคับบัญชา พล.อ.วรพงษ์ สง่าเนตร อดีต ผบ.ทสส. พล.อ.มารุต ปัชโชตะสิงห์ อดีตที่ปรึกษาพิเศษกองบัญชาการกองทัพไทย พล.ต.ท.วิบูลย์ บางท่าไม้ อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล คู่เขย พล.อ.ประยุทธ์ พล.อ.วีรัณ ฉันทศาสตร์โกศล อดีตประธานคณะที่ปรึกษากองทัพบก พล.อ.สกล ชื่นตระกูล อดีตที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี พล.ร.อ.ชุมนุม อาจวงษ์ อดีตผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ สำนักงานปลัดกลาโหม พล.อ.เทพพงศ์ ทิพยจันทร์ อดีตปลัดกลาโหม พล.อ.ยุวนัฏ สุริยกุล ณ อยุธยา อดีต สนช. พล.อ.วิลาศ อรุณศรี เลขาธิการนายกรัฐมนตรี พล.ร.อ.พะจุณณ์ ตามประทีป สมาชิก สนช. พล.อ.อกนิษฐ์ หมื่นสวัสดิ์ สมาชิก สนช.

3.กลุ่มคนใกล้ชิดพล.อ. อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทยพล.ร.อ.กำธร พุ่มหิรัญ อดีต ผบ.ทร.พล.อ.ไตรรัตน์ รังคะรัตน อดีตผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ กองบัญชาการกองทัพไทย พล.อ.ทรงกิตติ จักกาบาตร์ อดีต ผบ.ทสส. พล.อ.พิรุณ แผ้วพลสง อดีตรอง ผบ.ทสส. พล.ร.อ.วัลลภ เกิดผล อดีตรอง ผบ.ทสส. พล.อ.ธีระวัฒน์ บุญยะประดับ อดีตรอง ผบ.ทบ.

4.กลุ่มนายทหารที่กำลังจะเกษียณอายุราชการในปีนี้ พล.อ.วีรชัย อินทุโศภน รอง ผบ.ทสส. พล.อ.กู้เกียรติ ศรีนาคา ผู้ช่วย ผบ.ทบ. พล.อ.ธนะเกียรติ ชอบชื่นชม ผบ.หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา พล.ท.ธรากร ธรรมวินทร แม่ทัพภาคที่ 2 เป็นต้น

เลือกตั้งพัทลุงเดือดภท.-พท.ประกาศโค่น ปชป.

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/politic/report/582481

  • วันที่ 07 มี.ค. 2562 เวลา 06:42 น.

เลือกตั้งพัทลุงเดือดภท.-พท.ประกาศโค่น ปชป.

โดย…ทีมข่าวภูมิภาคโพสต์ทูเดย์

สนามเลือกตั้ง จ.พัทลุง แบ่งออกเป็น สมรภูมิ 3 เขตเลือกตั้ง มีผู้สมัคร สส.กว่า 100 คน แต่ที่ถูกจับตามองเป็นพิเศษคือ เขตเลือกตั้งที่ 1 และเขตเลือกตั้งที่ 2 ถือว่า เป็นสนามช้างชนช้างระหว่างผู้สมัครพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กับพรรคภูมิใจไทย (ภท.)

เขตเลือกตั้งที่ 1 พรรคประชาธิปัตย์ ส่ง สุพัชรี ธรรมเพชร หรือแหม่ม อดีต สส. และเป็นบุตรสาวของ สุพัฒน์ ธรรมเพชร อดีต สส.หลายสมัยของพรรคประชาธิปัตย์ลงสมัคร ขณะที่พรรคภูมิใจไทยส่ง ภูมิศิษฎ์ คงมี คนดัง ในแวดวงการเมืองท้องที่และท้องถิ่น โดยมีผู้สนับสนุนคับคั่งทั้งคนใหญ่คนโต อีกทั้งยังมีน้ำเลี้ยงและพี่เลี้ยงที่พร้อมสรรพลำเลียงเสบียงหนุน ทั้งยาบำรุงและกำลังเสริมเพิ่มเติมเต็มอัตราศึก

ขณะที่ สุพัชรี อดีต สส.เจ้าของพื้นที่ถือไพ่เหนือคู่แข่งพอสมควร เพราะยังมีคะแนนพรรคชนิดที่เหนียวแน่น และยังได้บารมี ชวน หลีกภัย ให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ โดยทีมงานของ สุพัชรี เชื่อมั่นว่าถ้าอดีตนายกรัฐมนตรีชวน ลงพื้นที่หาเสียงด้วยการออดอ้อนชาวบ้านต่อเนื่องฐานที่มั่นรักษาได้ไม่ยาก

ด้าน กู้ชาติ ชายเกตุ พรรคประชาชาติ (ปช.) มั่นใจว่า ยุคสมัย กาลเวลาเปลี่ยนแปลงไป ประวัติศาสตร์มีแนวโน้มซ้ำรอยเดิม คืออดีต สส.เก่าเคยสอบตกมาแล้วทั้ง 3 เขต 3 ที่นั่ง แล้วจะมี สส.หน้าใหม่เข้ามา รอบนี้จะเป็นประวัติศาสตร์ซ้ำรอย ผู้สมัคร สส.หน้าเก่าจะหายเรียบ แล้วทำให้ ปช.จะกวาดมาทั้ง 3 ที่นั่ง ปช.ชูธงนโยบายพหุสังคมวัฒนธรรม สิทธิที่ทำกิน ฯลฯ

สนามเลือกตั้งเขตที่ 2 เป็นอีกเขตที่แข่งขันกันอย่างดุเดือดไม่แพ้เขตเลือกตั้งที่ 1 เพราะเขตนี้ นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ครองแชมป์มายาวนาน และเจ้าของวลีเด็ดใน จ.พัทลุง “พรรคส่งเสาไฟฟ้าลงก็ได้เป็นผู้แทน” ในสนามเลือกตั้ง แต่ครั้งนี้ นิพิฏฐ์ ได้คู่แข่งที่สมน้ำสมเนื้อต่อการป้องกันแชมป์ นั่นคือ ฉลอง เทิดวีรพงศ์ หรือปลัดหลอง อดีตปลัดจังหวัดพัทลุง ผู้ยอมทิ้งอนาคตที่น่าจะได้ก้าวถึงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด เพื่อมาสวมสีเสื้อพรรคเพื่อไทย (พท.) ประกาศลั่นจะล้มแชมป์เก่าให้จงได้ โดยไม่เกรงกลัวศักดิ์ศรีความเป็นอดีต สส.พัทลุง 8 สมัยของ นิพิฏฐ์ แต่อย่างใด

สำหรับคู่แข่งจอมอหังการอย่าง ฉลอง นั้นมีพื้นเพเป็นคน อ.ควนขนุน จ.พัทลุง อย่างไรก็ตามการเลือกตั้งครั้งนี้ถ้าเปรียบเป็นมวยแบบปอนด์ต่อปอนด์ นับว่าชื่อชั้นดีพอสมควร แถมพรรคที่สังกัดมีพี่เลี้ยงคือ นาที รัชกิจประการ ที่พร้อมสนับสนุนอย่างเต็มที่ โดยฐานเสียงสำคัญอยู่ที่กลุ่มข้าราชการในพื้นที่ ทำให้ศึกครั้งนี้ปลัดหลองเปรียบเสมือนมวยสดกว่าคู่แข่ง พร้อมจะเดินหน้าปลดแชมป์เก่า 8 สมัยตลอด 5 ยก

สนามเลือกตั้งเขตที่ 3 แม้จะไม่ใช่สนามช้างชนช้าง แต่ก็ถือเป็นอีกหนึ่งเขตที่ต้องจับตามองไม่แพ้กัน เพราะเขตนี้พรรคประชาธิปัตย์ส่งอดีต สส. นริศ ขำนุรักษ์ ลงป้องกันแชมป์ ส่วนผู้ท้าชิง คือ เขมพล อุ้ยตยะกุล นักการเมืองหน้าใหม่ในสังกัดพรรคภูมิใจไทย แม้จะใหม่แต่ก็ไม่ธรรมดาเพราะเป็นถึงหลานรักของ นาที นาทีนี้ เขมพล ธรรมดาซะที่ไหน นอกจากได้รับแรงหนุนอย่างเต็มที่แล้วยังลงพื้นที่ไม่เคยหยุด แถมยังติดโปสเตอร์หาเสียงทั่วเมืองคู่กับเสี่ยหนู อนุทิน ชาญวีรกูล ผู้เป็นหัวหน้าพรรค ทำให้บารมีเจิดจ้ามากยิ่งขึ้น

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ นาที ได้ประกาศไว้แล้วทุกเวทีว่าจะนำทัพพรรคภูมิใจไทยผงาดยึด สส.ให้ได้มากที่สุดในภาคใต้ โดยเฉพาะที่ จ.พัทลุง และสตูล จะต้องปักธงให้ได้ หลังจากผลการเลือกตั้งเมื่อ 8 ปีที่แล้วต้องพ่ายแพ้พรรคประชาธิปัตย์ราบคาบยับเยิน แต่ศึกเลือกตั้งครั้งนี้กงล้อประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยเดิมหรือไม่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด โดยวันที่ 24 มี.ค. จะเป็นคำตอบให้กับ นาที

ขณะที่ นิพิฏฐ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์และแม่ทัพภาคใต้ พูดถึงสนามเลือกตั้งครั้งนี้ว่าพรรคประชาธิปัตย์ยังจะสามารถใช้ความได้เปรียบในฐานะเจ้าถิ่นเดิม แถมยังเก๋าเกมทางการเมืองว่าจะรักษาฐานที่มั่นทั้ง 3 เขตของ จ.พัทลุง ไว้ได้หรือไม่ ส่วนบารมีของ ชวน นั้นยังคงมีมนต์ขลังพาลูกทีมเข้าสู่สภาหินอ่อนได้หรือไม่ คำตอบอยู่ที่ชาวพัทลุง