‘อำนาจ-เกียรติกร’มวยถูกคู่ เปิดศึกชิงเก้าอี้สส.เขต1 ปราจีนบุรี

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/politic/report/582370

  • วันที่ 06 มี.ค. 2562 เวลา 07:34 น.

'อำนาจ-เกียรติกร'มวยถูกคู่ เปิดศึกชิงเก้าอี้สส.เขต1 ปราจีนบุรี

โดย…ทีมข่าวภูมิภาคโพสต์ทูเดย์

สนามเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) จ.ปราจีนบุรี แบ่งออกเป็น 3 เขตเลือกตั้ง สนามที่ค่อนข้างถูกจับตามองเป็นพิเศษและฮาร์ดคอร์การเมืองต้องไม่กะพริบตา คือ สนามเขตเลือกตั้งที่ 1  ประกอบด้วย อ.เมืองปราจีนบุรี บ้านสร้าง ศรีมโหสถ มีผู้สมัครรวม 16 คน เขตนี้ถือว่าเป็นสนามช้างชนช้างอย่างแท้จริง ระหว่าง อำนาจ วิลาวัลย์ อดีต สส.ปราจีนบุรี ผู้สมัคร สส.พรรคภูมิใจไทย (ภท.) เป็นเต็ง 1 คู่แข่ง คนสำคัญ เกียรติกร พากเพียรศิลป์ อดีต สส.ปราจีนบุรี ผู้สมัคร สส.พรรค เพื่อไทย (พท.)

สำหรับ อำนาจ อดีต สส.ปราจีนบุรี ผู้สมัคร สส.พรรคภูมิใจไทย นั้นเส้นทางการเมืองเริ่มต้นจากการเป็นอดีต สท.เมืองปราจีนบุรี เป็นต่อคู่แข่งอย่าง เกียรติกร ในสนามเลือกตั้งครั้งอยู่หลายขุม เพราะฐานเสียงทางการเมืองสะสมมายาวนาน นอกจากนี้ยังเป็นหลานชายของ “สุนทร วิลาวัลย์” อดีต รมช.สาธารณสุข อดีต สส.ปราจีนบุรี 8 สมัยซ้อน และยังเป็นหลานชายของ บังอร วิลาวัลย์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ปราจีนบุรี ซึ่งมีฐานเสียงครอบคลุมทุกพื้นที่ทั้งจังหวัด

ขณะเดียวกันในเขตเทศบาลเมืองปราจีนบุรี อำนาจก็ยังฐานคะแนนเสียงที่แน่นปึ้ก 16 ชุมชน อยู่ในมือของ “อำนาจ” เพราะเป็นอดีตสมาชิกสภาเทศบาลเมืองปราจีนบุรี ลงเล่นการเมืองครั้งแรกปี 2543 ลงสมัคร สท.เมืองปราจีนบุรี ได้รับเลือกตั้งติดต่อกันรวม 2 สมัย มีบุตร 1 คน ก้าวเข้ามาเป็น อดีต สส.ปราจีนบุรี 2 สมัย ขยันลง พื้นที่ไม่ขาด อีกทั้งยังมีเสียงในกลุ่ม นักธุรกิจและภาคเอกชนจำนวนหนึ่ง เนื่องจากเคยคลุกคลีอยู่กับแวดวงธุรกิจ และยังเป็นลูกพี่ลูกน้องกับ น.ส.กนกวรรณ วิลาวัลย์ รอง หน.พรรคภูมิใจไทย ซึ่งจะแพ้ไม่ได้

ด้านคู่แข่งคนสำคัญคือ เกียรติกร  พากเพียรศิลป์ หรือ หรั่ง มีพี่น้องที่ล้วนเป็นนักการเมืองท้องถิ่น เป็นฐานเสียงสำคัญคือ บุญเกื้อ พากเพียรศิลป์ หรือเล็กน้ำ นายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองปราจีนบุรี สมดุลย์ พากเพียรศิลป์ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลรอบเมือง (อบต.) อ.เมืองปราจีนบุรี

โดยในอดีต เกียรติกร เคยเป็นอดีต สส.ปราจีนบุรี พรรคมัชฌิมาธิปไตย (คะแนน 61,538) (เลือกตั้งใหม่เพราะ สุนทร ถูกใบแดง) (ย้ายมาพรรคประชา ธิปัตย์) ปี 2551 สส.ปราจีนบุรี พรรคประชาธิปัตย์ ก่อนหน้าเคยเป็นสมาชิกสภา จ.ปราจีนบุรี-รองนายกองค์การบริหารส่วน จ.ปราจีนบุรี อย่างไรก็ตามหลังจากที่คะแนนเป็นรอง เกียรติกร จึงขยันลงพื้นที่เท่าตัว โดยลงพื้นที่เช้า กลางวัน เย็น ไม่ขาด ในการเดินพบประชาชนตามตลาดนัด เคาะประตูบ้าน วิ่งรถกระจายเสียง ไปงานบุญ-งานบวชงานสวดศพ งานแต่ง ไม่ขาด และมีโอกาสพลิกล็อกชนะได้ทุกโอกาส เพราะศึกเลือกตั้งครั้งนี้ผู้ตัดสินคือประชาชนที่เรียกร้องให้มีการแก้ไขภาวะข้าวยากหมากแพงปัญหาเศรษฐกิจในขณะนี้

อย่างไรก็ตาม นุกูลกิจ พากเพียรศิลป์ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ผู้สมัครหน้าใหม่ดีกรีไม่ธรรมดา เป็นอดีต สจ.ปราจีนบุรี เขต 1 ลูกชายของ บุญเกื้อ พากเพียรศิลป์ นายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองปราจีนบุรี มาช่วยสู้ แต่อย่าลืมว่าปราจีนบุรีเป็นจังหวัดทหารบก ดังนั้นทั้งอำนาจ และเกียรติกร ประมาทไม่ได้เด็ดขาด

ส่วนผู้สมัครจากพรรคอื่นๆ ล้วนเป็นแค่ตัวประกอบ เช่น สัมฤทธิ์ น้ำแก้ว พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กฤษณ์กมล แพงศรี พรรคอนาคตใหม่ (อนค.) อุทัยวดี ตระการเจริญสุข พรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.) กล้าณรงค์ กรวยทอง พรรคพลังท้องถิ่นไทย และ กิตติ จีนศาสตร์ พรรคเพื่อนไทย

พิจิตรสนามเลือกตั้งเล็กตระกูลใหญ่เปิดศึกแข่งเดือด

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/politic/report/582242

  • วันที่ 05 มี.ค. 2562 เวลา 06:54 น.

พิจิตรสนามเลือกตั้งเล็กตระกูลใหญ่เปิดศึกแข่งเดือด

โดย…สิทธิพจน์  เกบุ้ย

พิจิตรเมืองเล็กแต่ศึกเลือกตั้งเข้มข้นดุเดือดไม่แพ้จังหวัดอื่น แบ่งเขตเลือกตั้ง 3 เขต เมื่อเข้าสู่โหมดเดือนแห่งการ หาเสียงและการชิงไหวชิงพริบ มองอดีต ทำนายอนาคต ซึ่งถ้าพูดถึงนักการเมืองที่ถูกยกให้เป็นพญาชาละวันของการเลือกตั้งที่ฟาดหัวฟาดหาง ชี้เป็นชี้ตาย ต้องยกให้ 4 อดีตผู้ยิ่งใหญ่ คือ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ หรือ “เสธ.หนั่น” คู่ฟัดคู่เหวี่ยงกับ พ.ต.ท.อดุลย์ บุญเสรฐ แต่ได้เสียชีวิตลงแล้ว แต่ยังมีดาวค้างฟ้าหลืออีก 2 ดวง คือ ไพฑูรย์ แก้วทอง และ ประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ แต่ได้วางมือทางการเมืองปล่อยให้ลูกชายและน้องชายสืบทอดเจตนารมณ์ต่อ

เขตเลือกตั้งที่ 1 ประกอบด้วย อ.เมืองพิจิตร สามง่าม วชิรบารมี มี ผู้สมัคร 27 คน ตัวเต็ง วินัย ภัทรประสิทธิ์ พรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) เพราะมีฐานเสียงจากลุ่มน้ำน่าน สมัยที่ ประดิษฐ์ สร้างเอาไว้บวกกับฐานเสียงจากลุ่มน้ำยมของ สุณีย์ เหลืองวิจิตร สร้างเอาไว้ได้รวมกันเทมาให้วินัย ทำให้ได้เปรียบคู่แข่ง อย่าง อาวุธ เดชอุปการ พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) คนใกล้ชิดของ ไพฑูรย์-นราพัฒน์ แก้วทอง อดีตเคยเป็น สจ.พิจิตร ที่สร้างบารมีเอาไว้ในลุ่มน้ำพิจิตรอย่างเหนียวแน่นและมั่นคง ส่วน พรชัย อินทร์สุข พรรค พลังประชารัฐ (พปชร.) ผู้สมัครดาวรุ่งอีกคนที่น่าจับตามอง แรงหนุนล้น และนโยบายของพรรคก็ไม่ได้แพ้ใครตัวสอดแทรกมองข้ามไม่ได้ อาดิษฐ์ กัลยาณมิตร พรรคภูมิใจไทย (ภท.) มีกองเชียร์ที่เป็นนักการเมืองท้องถิ่นมีฐานคะแนนจากคนฐานรากแน่นหนา

เขตเลือกตั้งที่ 2 ประกอบด้วย อ.ตะพานหิน ทับคล้อ  ดงเจริญ วังทรายพูน อ.สากเหล็ก มีผู้สมัคร 30 คน พื้นที่นี้ต้องบอกเลยว่าปัจจุบันถูกผ่าแบ่งเขตแบบใหม่จึงไม่ใช่ Red Zone หรือ Yellow Zone ดาวเด่นดวงแรกที่โคจรใกล้ หลักชัยมากที่สุดก็คงต้องจับตามองไปที่ ปุณยวัจน์ เหลืองวิจิตร พรรค ไทยรักษาชาติ มีดีกรีเป็นอดีต สจ.พิจิตร และเป็นน้องชายของสุณีย์ รองหัวหน้าพรรคไทยรักษาชาติ จุดแข็งก็คือมี มวลชนและกองเชียร์ที่เป็นฐานเสียงเดิม รวมถึงมีนักการเมืองท้องถิ่นแห่ มาอยู่ค่ายเดียวกันเพียบ จึงทำให้มีความแข็งแกร่งไม่น่าจะแพ้ใคร คู่แข่งที่น่าจับตา คือ ณริยา บุญเสรฐ พรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) ซึ่งเป็นภรรยาของ นาวิน บุญเสรฐ อดีต สส.ของพรรคเพื่อไทย ลูกชายของ พ.ต.ท.อดุลย์  ส่วนคู่แข่งที่น่าจะเป็นม้ามืด ภูดิท อินสุวรรณ์ พรรคพลังประชารัฐ ซึ่งก็เคยเป็นอดีต สจ.พิจิตร เช่นเดียวกับ บุญชอบ สากูต พรรคประชาธิปัตย์

เขตเลือกตั้งที่ 3 จัดได้ว่าเป็นพื้นที่แข่งขันกันดุเดือดที่สุด เพราะเป็นความหวังเดียวของพรรคพลังประชารัฐ และพรรคภูมิใจไทย พื้นที่ประกอบด้วย อ.โพทะเล  บางมูลนาก บึงนาราง โพธิ์ ประทับช้าง มีผู้สมัครทั้งสิ้น 28 คน ผู้สมัคร 4 คนล้วนเป็นดาวเด่น ดวงแรก สุรชาติ ศรีบุศกร “สจ.ไก่” พรรค พลังประชารัฐ ดวงที่ 2 วิชัย ด่านรุ่งโรจน์ พรรคภูมิใจไทย ดวงที่ 3  มิ่งขวัญ พุกเปี่ยม “เจ๊หนิง” และดวงที่ 4 ณรงค์ จักขุจันทร์ พรรคประชาธิปัตย์ เขตนี้เต็ง 1 ยกให้สุรชาติ เป็นคนในพื้นที่มี พี่น้อง และวงศ์ตระกูลล้วนเป็นช่างปั้น ที่ผ่านมาปั้นคนเป็นนักการเมืองมาแล้วหลายยุคหลายสมัย

อย่างไรก็ตาม ยังมีดาวสตรีที่ แสงส่องประกายที่น่าจับตามองเป็นพิเศษ คือ มิ่งขวัญ ประธานชมรม โรงสีข้าวจังหวัดพิจิตร พรรคไทยรักษาชาติ ที่มีจุดแข็งชูนโยบายช่วยเหลือเกษตรกร โดยเฉพาะเรื่องราคาข้าวเปลือกที่เคยทำมาแล้วและทำได้จริง ไม่ได้โม้ ซึ่งตอนนี้ขยันออกเดินหาเสียงเจาะคะแนนไปหลายกระบุงโกย ส่วนเรื่องของความพร้อมคะแนนนิยมของพรรคไม่แพ้ใคร ดังนั้นถ้า 7 มี.ค.นี้ หมดทุกข์หมดโศก รอดพ้นอุบัติเหตุทางการเมืองไปได้ ดาวเด่นหรือดาวดวงใหญ่คงต้องหลีกทางให้ดาวอิสตรีที่มีแสงสีแดงดวงนี้โคจรแซงหน้าเข้าเส้นชัยไปอย่างฉิวเฉียดแน่นอน ส่วนณรงค์พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งอดีตเป็นกำนันตำบลทุ่งใหญ่ก็คงเป็นดาวประดับท้องฟ้าที่ส่องแสงระยิบระยับเท่านั้น

เลือกตั้งนครพนมเดือด! 4เขตล้วนศึกช้างชนช้าง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/politic/report/582229

  • วันที่ 04 มี.ค. 2562 เวลา 20:27 น.

เลือกตั้งนครพนมเดือด! 4เขตล้วนศึกช้างชนช้าง

ส่องสนามเลือกตั้ง จังหวัดนครพนมที่ถูกหั่นเขตเลือกตั้งจาก 5 เขตเหลือเพียง 4 เขต ที่เรียกได้ว่าเป็นศึกช้างชนช้าง

*******************************

โดย…ทีมข่าวภูมิภาคโพสต์ทูเดย์

สนามเลือกตั้ง จ.นครพนม ในอดีตแบ่งเขตเลือกตั้งมีทั้งหมด 5 เขต ปัจจุบันถูกหั่นเหลือเพียง 4 เขต มียอดผู้สมัครรวม 129 คน จาก 34 พรรคการเมือง แต่ที่แข่งขันจริงๆ มีไม่ถึง 5 พรรค อาทิ พรรคเพื่อไทย (พท.) ที่ยึดเก้าอี้ยกจังหวัด แต่ครั้งนี้ต้องต่อสู้กับพรรคน้องใหม่ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ที่กระแสมาแรงมีสิทธิแซงโค้ง ตามด้วยพรรคภูมิใจไทย (ภท.) และพรรคเพื่อคนไทย ซึ่งเป็นพรรคการเมืองที่ชาว จ.นครพนม อย่าง วิทยา อินาลา อดีต สว.เป็นผู้ก่อตั้ง

ศึกเลือกตั้งทั้ง 4 เขตครั้งนี้แข่งขันอย่างดุเดือดเพราะแต่ละพรรคต่างส่งผู้สมัครระดับหัวกะทิ ถือว่าทุกเขตล้วนเป็นศึกช้างชนช้าง ทำให้แกนนำแต่ละพรรคลุยลงพื้นที่หาเสียงให้ลูกพรรคทุกรูปแบบเพื่อช่วงชิงความได้เปรียบ เริ่มจากเขตเลือกตั้งที่ 1 มีการชิงชัยกันถึง 3 พรรค ระหว่าง ยุทธจักร เรืองวรบูรณ์ อดีตกำนันตำบลศรีสงคราม อ.ศรีสงคราม ลูกชายของ “กำนันโป้ย” อิทธิพล เรืองวรบูรณ์ อดีต สว. นอกจากพรรคเพื่อไทยจะป้องกันแชมป์ พรรคภูมิใจไทยที่ส่ง ศุภชัย โพธิ์สุ หรือครูแก้ว อดีต รมช.เกษตรและสหกรณ์แล้ว ยังมีพรรคพลังประชารัฐ ที่ส่ง ธงทิพย์ชลิต แห่สถิตย์ อดีตประธานสภา อบจ.นครพนม ที่เคยเป็นเด็กในคาถาของครูแก้ว เป็นตัวสอดแทรกอีกคน เขตนี้ยุทธจักรเรตติ้งยังไม่ตก ตรงกันข้ามครูแก้วกับธงทิพย์ชลิตทั้งคู่หืดจับ

เขตเลือกตั้งที่ 2 แนวโน้มคะแนนออกมาสูสีไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบ แชมป์เก่า มนพร เจริญศรี หรือเดือน เป็น สส.ครั้งแรก ปี 2554 เพราะชื่อเสียงพรรคเพื่อไทยเป็นหลัก แต่คู่แข่งยังเป็นหน้าเดิม อารมณ์ เวียงด้าน หรือครูไก่ พรรคภูมิใจไทย

ส่วนคู่แข่งอีกรายคือ ณัฐธ์ภัสส์ ยงใจยุทธ หรือผึ้ง พรรคพลังประชารัฐ หลานสาวคนสวยของพ่อใหญ่จิ๋ว พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ โอกาสที่น้องผึ้งโค่นแชมป์เก่ามีโอกาสสูงทีเดียว ขยันลงพื้นที่ต่อเนื่อง และยังมีฐานคะแนนเสียงของ สมชอบ นิติพจน์ นายก อบจ. อดีตเป็นคู่แข่งขับเคี่ยวกันในเวทีท้องถิ่น แต่คราวนี้หันมาสนับสนุนน้องผึ้งเพราะเห็นว่าขยันลงพื้นที่หาเสียงตลอดระยะเวลา 7 ปี ส่องกล้องแล้วน้องผึ้งมีโอกาสสูงที่จะได้เข้านั่งสภา

เขตเลือกตั้งที่ 3 แชมป์ผูกขาดถึง 10 สมัย ไพจิต ศรีวรขาน พรรคเพื่อไทย คู่แข่งคนสำคัญ สุมาลี พูลศิริกุล พรรคภูมิใจไทย คราวนี้เจอผู้ท้าชิงกระดูกแข็งโป๊กคือ นพ.อลงกต มณีกาศ พรรคพลังประชารัฐ อดีต สส.เขต 4 ที่ย้ายจากพรรคเพื่อแผ่นดิน โดยย้ายจากเขต 4 มาห้ำหั่นกับ ไพจิต ในเขต 3 สาเหตุ อลงกต ย้ายจากเขต 4 มาลงเขต 3 เพราะเปิดคลินิกรักษาผู้ป่วยถึง 3 แห่ง เช่น อ.ธาตุพนม ปลาปาก และเรณูนคร มีผู้ป่วยไปให้ตรวจรักษามากกว่าหมอคนไหนใน จ.นครพนม เพราะมีเครื่องมืออุปกรณ์ทางการแพทย์ทันสมัย ราคาไม่แพง ทำให้ฐานเสียงแน่นปึ้ก เขตนี้ถือว่าเป็นมวยถูกคู่ วัดปอนด์ต่อปอนด์สูสีดู๋ดี๋ชนะกันช่วงปลายยกสุดท้าย

เขตเลือกตั้ง 4 ชูกัน กุลวงษา ศิษย์รักของ ไพจิต ผู้ผลักดันให้ลงในสนามใหญ่ เมื่อปี 2554 เข้าป้ายในสีเสื้อพรรคเพื่อไทย เฉือนหมออลงกตแชมป์เก่าหวุดหวิด ครั้งนี้ ชูกัน ย้ายจากเพื่อไทยไปซบพลังประชารัฐ ส่วนพรรคเพื่อไทยส่ง ชวลิต วิชยสุทธิ์ อดีต สส.บัญชีรายชื่อ ลงประชันขันแข่ง ซึ่ง ชวลิต ไม่เคยลงพื้นที่เขต 4 มาก่อน ประกอบกับชาวบ้านไม่รู้จักชื่อชวลิตเท่าที่ควร เหตุที่กล้าชนกับแชมป์เก่า เพราะชื่อพรรคของคนเสื้อแดงยังขายได้

ขณะที่ ชูกัน ลงพื้นที่คลุกคลีกับชาวบ้านสม่ำเสมอ ดังนั้นสนามนี้ ชวลิต จะได้คะแนนจากชื่อพรรคเป็นหลัก แต่คะแนนส่วนตัวสู้ ชูกัน ไม่ได้ ใครจะได้นั่งเก้าอี้ในสภานั้นชูกันมีโอกาสสูงกว่า

กฎหมายไซเบอร์ซีเคียวริตี้ ดูดีแบบแปลกประหลาด

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/politic/report/582157

  • วันที่ 04 มี.ค. 2562 เวลา 07:12 น.

กฎหมายไซเบอร์ซีเคียวริตี้ ดูดีแบบแปลกประหลาด

ร่าง พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ แม้ดูดีมีประโยชน์ในแง่ของการตรวจสอบ แต่ก็ถือเป็นกฎหมายที่กระทบต่อสิทธิเสรีภาพประชาชน

*************************

โดย…เอกชัย จั่นทอง

ร่าง พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ พ.ศ. … ผ่านความเห็นชอบจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เตรียมประกาศใช้เป็นกฎหมาย กลายเป็นที่ถกเถียงถึงความไม่ปลอดภัยในสิทธิส่วนบุคคล กระนั้นผู้ร่างกฎหมาย ยืนยันว่า นี่เป็นกฎหมายที่มีควาวก้าวหน้า คุ้มครองดูแลเครือข่ายสารสนเทศที่เกี่ยวข้องกับสาธารณูปโภค บริการทางการเงิน และความมั่นคงของรัฐ

คณาธิป ทองรวีวงศ์ ผู้อำนวยการสถาบันกฎหมายสื่อดิจิทัล มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ระบุว่า โดยหลักการของร่างกฎหมายฉบับนี้ หรือ “ไซเบอร์ซีเคียวริตี้” ดูดีมีประโยชน์สามารถตรวจสอบก่อนเกิดเหตุได้ ถึงแม้ยังไม่เกิดภัยคุกคาม แต่ก็ให้อำนาจคณะกรรมการกำกับดูแลด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ (กกม.) เข้ามาตรวจสอบได้

สำหรับคณะกรรมการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (กมช.) ซึ่งมีหน้าที่กำหนดนโยบายให้หน่วยงานของรัฐได้ให้อำนาจในกรณีภัยคุกคามไซเบอร์กว้างมากเกินไป เปิดโอกาสให้ กกม.ใช้อำนาจ จนทำให้กฎหมายไซเบอร์ฉบับนี้มีความแปลกมาก

ทั้งนี้ ร่าง พ.ร.บ.ไซเบอร์ ยังให้อำนาจตรวจสอบโดยไม่ต้องใช้หมายศาลได้เหมือนเดิม แม้จะอ้างว่าปรับปรุงแล้ว เพียงแค่แบ่งเกรดภัยคุกคามเป็น 3 ระดับ 1.ไม่ร้ายแรง 2.ร้ายแรง และ 3.วิกฤต ในหลักการระดับ 1-2 ต้องขอหมายศาล ส่วนระดับ 3 ไม่ต้องขอหมายศาล นั่นทำให้ พ.ร.บ.ไซเบอร์ เต็มไปด้วยมุมมืดคลุมเครือ การพิจารณาตรวจสอบทั้ง 3 ระดับ จึงอยู่แค่เพียงความน่าจะเป็นเท่านั้น ถือว่ากฎหมายนี้น่ากังวลอย่างยิ่ง

หากมองใกล้ตัว กฎหมายฉบับนี้นอกเหนือจะกระทบต่อสิทธิเสรีภาพประชาชนแล้ว ยังบั่นทอนก่อผลเสียต่อเศรษฐกิจ เนื่องจากผู้ประกอบการธุรกิจไม่ทราบว่าเจ้าหน้าที่รัฐจะเข้ามาสอดส่องข้อมูลเมื่อใด ทำให้กระทบต่อความเชื่อมั่นต่อการลงทุนเศรษฐกิจ

คณาธิป ทองรวีวงศ์ ผู้อำนวยการสถาบันกฎหมายสื่อดิจิทัล มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต

ผู้อำนวยการสถาบันกฎหมายสื่อดิจิทัลฯ พินิจพิเคราะห์แล้วว่า ใน พ.ร.บ.ไซเบอร์ฉบับนี้เขียนกำกับด้วยว่าเจ้าหน้าที่รัฐสามารถเรียกดูขอข้อมูลผู้ประกอบการธุรกิจได้ ถ้าหากไม่ให้ถือว่ามีความผิด ถ้าผู้ประกอบการธุรกิจให้ข้อมูลรัฐจะคุ้มครองผู้ประกอบการธุรกิจไม่ให้มีความผิดตามสัญญาหรือการละเมิด ส่วนนี้หมายความว่าจะกระทบต่อการลงทุนและข้อมูลสิทธิส่วนบุคคลอย่างมาก

“กฎหมายไซเบอร์ให้อำนาจสอดส่องและให้ขอข้อมูลผู้ประกอบการธุรกิจได้ หากผู้ประกอบการให้ข้อมูลลูกค้าจะไม่เอาผิด นั่นเท่ากับไปทำลายระบบกฎหมายข้อมูลส่วนบุคคล ยกตัวอย่างเช่น เจ้าหน้าที่จะขอเข้ามาดูการสนทนาในมือถือ โดยหลักแล้วหากค่ายมือถือยอมเปิดเผยข้อมูลถือว่าผิดสัญญา แต่ถ้า กกม.สั่งถือว่ายกเว้นความผิด นั่นเท่ากับว่าเราไปยกเว้นกฎหมายสัญญากับการละเมิด” คณาธิป ระบุ

คณาธิป กล่าวอีกว่า ปกติการใช้บริการจะเขียนสัญญาผูกพันระบุชัดว่า ห้ามผู้ให้บริการเผยข้อมูลลับกับคนอื่น แต่กฎหมายนี้กลับไปส่งเสริมให้ผู้ประกอบการผิดสัญญา ทั้งกฎหมายยังช่วยให้ผู้ประกอบการไม่ผิดสัญญากับลูกค้า ถือเป็นกฎหมาย “บิ๊กบอส” ขนาดใหญ่มาก ขณะเดียวกันยังทำให้ผู้ประกอบการธุรกิจต่างชาติกังวลใจ แม้ว่าจะยกเว้นความผิดในกฎหมายไทย แต่อาจผิดต่อกฎหมายสัญญาอื่นนอกเหนือจากสัญญาในประเทศไทยต่อลูกค้าต่างชาติได้

“ฉะนั้นการลงทุนจะกระทบเกิดข้อกังวล อาจต้องเสี่ยงกับการตรวจสอบ แม้ไม่ทุกราย แต่ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ ‘อาจจะเกิด เชื่อว่าน่าจะเกิด’ ภัยคุกคามรัฐก็พร้อมเข้ามาดูตลอด หลักการนี้จะไปย้อนแย้งกับร่าง พ.ร.บ.การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. … ที่จะออกมาเช่นกัน นอกจากนี้ พ.ร.บ.ไซเบอร์ ยังอาจถูกนำไปใช้ประโยชน์ทางการเมืองหรืออาจเกี่ยวข้องสามารถเกิดขึ้นได้ แม้ในกฎหมายไม่เขียนไว้โดยตรง แต่อย่าลืมว่าคนใช้กฎหมายนี้คือรัฐบาล” คณาธิป ระบุ

ผู้อำนวยการสถาบันกฎหมายสื่อดิจิทัลฯ ย้ำข้อเสียมากกว่าดีว่า กลุ่มธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานทั้งหมดของเอกชน เช่น โทรคมนาคม การขนส่ง อินเทอร์เน็ต ฯลฯ มีความเสี่ยงอาจต้องถูกประกาศให้ขึ้นทะเบียนให้อยู่ในกลุ่มโครงสร้างพื้นฐาน ที่สุดเมื่อตัวกฎหมายที่เขียนใน พ.ร.บ.ไซเบอร์ ไม่มีความชัดเจน แล้วให้อำนาจ กกม.อย่างเต็มที่ จึงถือเป็นความน่ากลัวอย่างหนึ่ง

อังคณา นีละไพจิตร กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ

อังคณา นีละไพจิตร กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ระบุว่า ข้อดีของ พ.ร.บ.ไซเบอร์ จะช่วยควบคุมเรื่องการใช้สื่อออนไลน์ในทางผิดกฎหมาย ส่วนข้อกังวลคือเรื่องการให้อำนาจเจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจค้นจับกุมได้โดยไม่ต้องมีหมายศาล ตรงนี้เป็นการให้อำนาจเจ้าหน้าที่รัฐมากเกินไป เพราะสามารถใช้ดุลพินิจได้ว่าเป็นกรณีฉุกเฉินหรือวิกฤต ดังนั้นตรงนี้จึงบอกไม่ได้ว่าจะทำอย่างไร เนื่องจากเป็นเรื่องของการใช้ดุลพินิจในการพิจารณาว่าสิ่งใดเป็นภัยไม่ร้ายแรง ภัยระดับวิกฤต

ในกรณีภัยระดับวิกฤตนั้นจะให้อำนาจสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ดำเนินการได้โดยไม่ต้องขอหมายจากศาล แต่ถ้าภัยในระดับไม่ร้ายแรงต้องขอหมายศาลก่อน ทั้งนี้ทั้งนั้นเรื่องการขอหมายศาลมันเกี่ยวข้องกับเรื่องหลักนิติธรรม การถ่วงดุลอำนาจ เรื่องนี้ถือว่ามีความน่าห่วงอย่างมาก เพราะหากจะแก้กฎหมายใหม่ต้องใช้เวลาอย่างน้อยอีก5 ปี

อังคณา กล่าวอีกว่า ส่วนตัวคิดว่า พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ที่มีอยู่แล้วหากใช้ให้เต็มที่น่าจะมีประสิทธิภาพเพียงพออยู่แล้ว จึงไม่เข้าใจว่า ทำไมต้องมีการออกกฎหมายฉบับนี้ขึ้นมา อีกประการคือในหลายประเทศที่มีกฎหมาย พ.ร.บ.ไซเบอร์ เพราะมีเรื่องการก่อการร้าย กลับกันในประเทศไทยไม่มีเรื่องก่อการร้ายแบบสากล ที่ผ่านมาประเทศไทยมีกฎหมายหลายตัวที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ต่างๆ ได้

85 ปี “ราชันผู้สละราชย์”

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/politic/report/582096

  • วันที่ 03 มี.ค. 2562 เวลา 10:07 น.

85 ปี "ราชันผู้สละราชย์"

85 ปีเต็มล่วงมาแล้ว เมื่อวันที่ 2 มี.ค. 2477 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปก พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ทรงมีพระราชหัตถเลขาสละราชสมบัติ

**********************************

โดย…อภิวัจ สุปรีชาวุฒิพงศ์

85 ปีเต็มล่วงมาแล้ว เมื่อวันที่ 2 มี.ค. 2477 เวลา 13.45 น. พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปก พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ซึ่งขณะนั้นประทับอยู่ที่พระตำหนักโนล กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ทรงลงพระปรมาภิไธยท้ายพระราชหัตถเลขา พระราชทานให้กับเจ้าพระยาศรีธรรมาธิเบศ (จิตร ณ สงขลา) ประธานสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งรัฐบาลพระยาพหลพลพยุหเสนา แต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนรัฐบาลไปเข้าเฝ้าฯ

เนื้อหาในพระราชหัตถเลขานั้นทรงประกาศสละราชสมบัติ ความตอนหนึ่งว่า

“…บัดนี้ข้าพเจ้าเห็นว่าความประสงค์ของข้าพเจ้าที่จะให้ราษฎรมีสิทธิออกเสียงในนโยบายของประเทศโดยแท้จริงไม่เป็นผลสำเร็จ และเมื่อข้าพเจ้ารู้สึกว่า บัดนี้เป็นอันหมดหนทางที่ข้าพเจ้าจะช่วยเหลือหรือให้ความคุ้มครองแก่ประชาชนได้ต่อไปแล้ว ข้าพเจ้าจึงขอสละราชสมบัติออกจากตำแหน่งพระมหากษัตริย์ แต่บัดนี้เป็นต้นไป”

การที่รัฐบาลส่งเจ้าพระยาศรีธรรมาธิเบศ เป็นผู้แทนไปกราบบังคมทูลเชิญกลับประเทศ ก็เนื่องจากทรงมีพระราชดำริจะสละราชสมบัติมาเป็นระยะ จากความไม่ลงรอยกับแนวทางการเมืองการปกครองของคณะราษฎร อาทิ เค้าโครงเศรษฐกิจของปรีดี พนมยงค์ ซึ่งมีลักษณะเป็นสังคมนิยม เกิดความแตกแยกในสภา นำไปสู่การบีบบังคับให้พระยามโนปกรณ์นิติธาดา นายกรัฐมนตรีลาออก และพระยาพหลพลพยุหเสนา หัวหน้าคณะราษฎร ขึ้นดำรงตำแหน่งแทน

กรณีกบฏบวรเดช มีการจับกุมปฏิปักษ์ของคณะราษฎรเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้รัฐบาลได้ตราพรบ.จัดการป้องกันรักษารัฐธรรมนูญ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวไม่เห็นด้วย โดยทรงเห็นว่า การป้องกันมิให้เกิดกบฏนั้น ต้องดำเนินการปกครองอย่างดีและขจัดความไม่พอใจต่างๆ มิใช่การปราบปราม

รวมทั้งการที่คณะราษฎรแต่งตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 โดยทรงเห็นว่าการเลือกแต่พวกที่อยู่ในคณะผู้ก่อการเป็นส่วนมากนั้นเป็น “สมบูรณาญาสิทธิของคณะ”

ระหว่างนั้นมีพระราชประสงค์จะรักษาอาการพระเนตรในต่างประเทศ จึงเสด็จพระราชดำเนินประพาสยุโรป เมื่อวันที่ 12 ม.ค. 2476 ถึงแม้ว่าจะประทับอยู่นอกแผ่นดินสยาม แต่ปัญหาขัดแย้งก็ยังไม่คลี่คลาย

พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว

ในพระราชบันทึกถึงรัฐบาล เมื่อเดือน ธ.ค. 2477 ทรงรับสั่งถึงกรณีการแต่งตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 นี้ว่า

“ข้าพเจ้าได้พูดไว้นานแล้วว่า ข้าพเจ้ายอมสละอำนาจของข้าพเจ้าให้แก่ราษฎรทั้งปวง แต่ไม่สมัครที่จะสละอำนาจให้แก่บุคคลใดบุคคลหนึ่ง หรือคณะใดคณะหนึ่ง เว้นแต่จะรู้แน่ว่าเป็นความประสงค์ของประชาชนอันแท้จริงเช่นนั้น”

พระราชกระแสรับสั่งดังกล่าว ปรากฏขึ้นอีกครั้งในพระราชหัตถเลขาสละราชสมบัติ อีก 3 เดือนต่อมา ซึ่งเป็นข้อความที่เราคุ้นเคยกันดีว่า

“ข้าพเจ้ามีความเต็มใจที่จะสละอำนาจอันเป็นของข้าพเจ้าอยู่แต่เดิมให้แก่ราษฎรโดยทั่วไป แต่ข้าพเจ้าไม่ยินยอมยกอำนาจทั้งหลายของข้าพเจ้าให้แก่ผู้ใด คณะใด โดยเฉพาะ เพื่อใช้อำนาจนั้นโดยสิทธิเด็ดขาด และโดยไม่ฟังเสียงอันแท้จริงของประชาราษฎร”

เป็นการประกาศสละราชสมบัติขณะประทับอยู่ที่ประเทศอังกฤษ เมื่อทรงเห็นว่าจุดยืนของพระองค์และคณะราษฎร ไม่อาจสอดคล้องกันเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติได้ รวมระยะเวลาที่เสด็จฯออกจากประเทศไทย กระทั่งถึงการสละราชสมบัติ เป็นระยะเวลา 14 เดือน (ตามการนับศักราชแบบเก่าก่อน พ.ศ. 2484)

ภายหลังสละราชสมบัติ ทรงกลับไปใช้พระราชอิสริยยศเดิม คือ สมเด็จเจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์ กรมหลวงสุโขทัยธรรมราชา ทรงประทับอยู่ที่พระตำหนักโนล ชานกรุงลอนดอน พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี และพระประยูรญาติ ดำเนินชีวิตอย่างเรียบง่าย เมื่อรัฐบาลสั่งให้ข้าราชบริพารที่ตามเสด็จฯ กลับประเทศไทย จึงทรงซื้อพระตำหนักใหม่ที่เล็กลง พระราชทานชื่อว่า พระตำหนักเกล็นเพ็มเมินต์ Glen Pammant ซึ่งทรงสลับอักษรจากคำว่า “ตามเพลงมัน” หรือ Tam Pleng Man หมายถึงยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น

อย่างไรก็ตาม ทรงพบกับความโทมนัสอีกครั้ง ในปี 2482 เมื่อรัฐบาลประกาศใช้ พ.ร.บ.จัดระเบียบทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ แบ่งแยกทรัพย์สินส่วนพระองค์ออกจากกรมพระคลังข้างที่ และฟ้องร้องเรียกเงินกว่า 6 ล้านบาท ที่พระองค์ได้โอนย้ายไปตั้งเป็นพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นการฟ้องคดีย้อนหลังก่อนที่กฎหมายจะมีผลบังคับใช้ คดีนี้ศาลพิพากษาให้ยึดวังสุโขทัยซึ่งเป็นทรัพย์สินส่วนพระองค์เพื่อชดใช้

ม.จ.การวิก จักรพันธุ์ ราชเลขานุการในพระองค์ขณะนั้น เล่าถึงเหตุการณ์ในช่วงนี้ว่า

“เวลามีเรื่องร้ายที่นำความทุกข์โศกหรือความเดือดร้อนมาสู่พระองค์ท่าน ก็ทรงอดทนทุกอย่าง แม้ภายหลังที่ทรงสละราชย์แล้ว คนไทยในต่างประเทศยังวางตัวไม่ถูกเมื่อพบกับพระองค์ท่าน เพราะสถานการณ์ตอนนั้นปั่นป่วนไม่รู้ว่าใครเป็นใคร หากถวายความเคารพ หรือคบค้าสมาคมกับพระองค์ท่าน อาจมีภัยถึงตัวและครอบครัวหรือไม่ จนถึงกับเคยรับสั่งด้วยความเสียพระทัยว่า เรามันหมาหัวเน่า คนเห็นก็หนีหมด ตัวอย่างเช่นครั้งหนึ่ง เสด็จฯ ไปเสวยพระกระยาหารที่ภัตตาคารจีน พอเสด็จฯ เข้าไป คนไทยหลายคนที่นั่งกันอยู่ ซึ่งก็รู้จักพระองค์ท่านอยู่แล้ว ต่างก้มหน้ามองจานกันหมด ทอดพระเนตรปั๊บ ก็ไม่ทรงทราบว่าจะทำอย่างไร และทรงเห็นใจที่เขาทำตัวไม่ถูก”

ศิริน โรจนสโรช หัวหน้าหน่วยสนเทศสุโขทัยศึกษา สำนักบรรณสารสนเทศ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช เขียนไว้ในหนังสือ “120 ปี ผ่านฟ้าประชาธิปก” ว่า หนังสือส่วนพระองค์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว มีป้ายบรรณสิทธิ์แสดงความเป็นเจ้าของหนังสือติดไว้ที่ด้านหลังของปกหน้าหรือที่ใบรองปก โดยมี 3 แบบ ซึ่งมีความหมายที่ซ่อนเร้นอยู่เกี่ยวกับช่วงพระชนม์ชีพ โดยแบบที่ 1 เมื่อยังมิได้ทรงครองราชย์ แบบที่ 2 ช่วงที่ครองราชย์ และแบบที่ 3 ในช่วงหลังสละราชสมบัติ

ป้ายบรรณสิทธิ์

ความน่าสนใจของป้ายบรรณสิทธิ์หนังสือส่วนพระองค์ คือป้ายในแบบที่ 3 ช่วงหลังสละราชสมบัติ โดยมีบทกวีภาษาอังกฤษ ซึ่งทรงตัดตอนมาจากบทกวี A nook and a book ประพันธ์โดย William Freeland กวีชาวสกอตแลนด์ ซึ่ง ม.ร.ว.พฤทธิสาณ ชุมพล อดีตอาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พระโอรส ม.จ.กมลีสาณ ชุมพล ข้าราชบริพารในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว แปลเป็นไทยเอาไว้ ความว่า

“ฉันขอเพียงมุมหนึ่งกับหนังสือเล่มหนึ่ง,

และปล่อยให้โลกแห่งความโอหังหมุนไป;

เพื่อไขว่คว้าเกาะเกี่ยวด้วยเล่ห์กล

เพื่อให้ได้มาซึ่งชื่อเสียง

ฉันขอเพียงหนังสือเล่มหนึ่งกับมุมหนึ่ง

ห่างไกลจากแสงแพรวพราวและความขัดแย้งอลหม่าน;

ขอไม้เท้ากับไม้ปลายขออย่างละด้าม,

อีกความสงบและความหอมหวานของชีวิต;

โอ้ โลกที่ช่างโอ้อวดเอ๋ย จงปล่อยให้ฉันได้ครองมุมของฉัน,

ราชาแห่งอาณาจักรนี้, หนังสือของฉัน,

อาณาบริเวณที่สมัยนิยมได้ทอดทิ้งไป;

จงผ่านฉันไป, บรรดาท่านนักเสี่ยงโชคเพียงเพื่อความรุ่งโรจน์เอ๋ย,

ขออย่าได้มาขัดจังหวะทำนองอันไพเราะแห่งเรื่องราวของฉันเลย!”

กวีบทนี้อาจสะท้อนถึงความในพระราชหฤทัยที่ปราถนาชีวิตสงบสุข เช่นเดียวกับเมื่อครั้งที่ทรงปฏิเสธการระดมกองทัพหัวเมืองต่อต้านคณะราษฎร เพราะไม่ต้องการประทับอยู่บนบัลลังก์ที่เปื้อนเลือด ทรงยอมเป็นพระมหากษัตริย์ใต้รัฐธรรมนูญ รับมือกับกระแสความเปลี่ยนแปลงด้วยพระราชหฤทัยเปี่ยมขันติธรรม เพื่อความสงบสุขของประเทศชาติและประชาชน

ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 พระอาการประชวรด้วยโรคพระหทัยพิการก็กำเริบขึ้น ทรงย้ายมาประทับที่พระตำหนักคอมพ์ตัน ในเดือน เม.ย. 2484 พระอาการหนักขึ้นทำให้ทรงอ่อนเพลียต้องจ้างพยาบาลดูแลพระอาการอย่างใกล้ชิด

กลางเดือน พ.ค. 2484 พระอาการมีแนวโน้มดีขึ้น ทรงลุกขึ้นเสด็จพระราชดำเนินได้ ครั้นวันที่ 30 พ.ค. หลังตื่นบรรทม ทรงเสด็จพระราชดำเนินไป
ตามระเบียงพระตำหนัก ทอดพระเนตรดอกทิวลิปที่ทรงปลูก หลังเสวยพระกระยาหารเช้าทรงบรรทมต่อ ขณะที่สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีเสด็จพระราชดำเนินด้วยรถยนต์พระที่นั่งออกไปเก็บของยังพระตำหนักเก่า

ช่วงเวลาประมาณ 11.00 น. ทรงกดกริ่งเรียกพยาบาล เมื่อพยาบาลขึ้นไปถึงพบว่าทรงบรรทมหงายเหยียด พระเนตรทั้งสองข้างปิดสนิท พยาบาลรีบแจ้งแพทย์แต่ก็หมดหนทาง เสด็จสวรรคตไปเสียแล้วด้วยพระชนมายุ 48 พรรษา 6 เดือน 23 วัน ยังความโศกเศร้าแก่พสกนิกร ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ “ธรรมราชา” ผู้ทรงเมตตาใช้ขันติธรรมเพื่อให้การเปลี่ยนแปลงอันสำคัญในประเทศชาตินั้นดำเนินไปอย่างสันติ

พระตำหนักโนล สถานที่ทรงพระราขหัตถเลขาสละราชสมบัติ

**************************************

หมายเหตุ : เดือนและปีที่ใช้ในบทความนี้นับแบบศักราชเก่า ก่อนพ.ศ. 2484 ซึ่งเดือนแรกของปีคือเดือน เม.ย. และเดือนสุดท้ายคือเดือน มี.ค.

นโยบายหาเสียง ขายฝันทุกพรรค

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/politic/report/582094

  • วันที่ 03 มี.ค. 2562 เวลา 09:32 น.

นโยบายหาเสียง ขายฝันทุกพรรค

“ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ” อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์การเมือง จุฬาฯ ฟันธงนโยบายพรรคการเมืองล้วนขายฝัน เพราะต่างนำเสนอนโยบายแบบสวยหรู และไม่สามารถชี้แจงถึงแหล่งที่มาของเงินงบประมาณเพื่อทำให้ได้จริง

**************************************

โดย…ปริญญา ชูเลขา

การหาเสียงเลือกตั้งเดินทางมาช่วงใกล้โค้งสุดท้าย พรรคการเมืองต่างชูนโยบายกันสุดลิ่มทิ่มประตู มีทั้งรัฐสวัสดิการ สวัสดิการแห่งรัฐ ประชานิยม เพื่อพยายามโน้มน้าวคะแนนนิยมจากประชาชนเพื่อให้ไปหย่อนบัตรเลือกตั้งเลือกว่าที่นายกรัฐมนตรี พรรค หรือผู้สมัคร สส.ระบบบัญชีรายชื่อและเขต ในวันที่ 24 มี.ค.นี้

นโยบายของบรรดาพรรคการเมืองที่นำเสนอในครั้งนี้ แท้ที่จริงแล้วประชาชนจะได้ประโยชน์มากน้อยแค่ไหน หรือจะเป็นเพียงกุศโลบายของพรรคการเมือง “ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ” อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์การเมือง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประเมินว่า นโยบายพรรคการเมืองล้วนขายฝันเพราะทุกพรรค เพราะต่างนำเสนอนโยบายแบบสวยหรูไม่ต่างกันและไม่สามารถชี้แจงถึงแหล่งที่มาของเงินงบประมาณมาสนับสนุนว่าจะนำงบประมาณมาจากไหนเพื่อทำให้ได้จริงตามที่สัญญาไว้กับประชาชน

ณรงค์ อธิบายว่า ทุกพรรคการเมืองนำเสนอนโยบายไม่ต่างกันและสิ่งที่ทำเหมือนกัน คือ ไม่มีพรรคใดกล้าพูดว่าจะนำเงินงบประมาณมาจากไหนเพื่อสนับสนุนนโยบายพรรคตัวเอง และไม่มีพรรคใดเสนอนโยบายมาตรการทางภาษีมารองรับนโยบายที่พรรคตัวเองประกาศไว้ โดยเฉพาะพรรคที่โปรโมทนโยบายรัฐสวัสดิการ เพราะแท้จริงรัฐสวัสดิการไม่ว่าในรูปแบบใด เช่น สิทธิถ้วนหน้า ประกันสังคมถ้วนหน้า หรือนโยบายแจกเงินคนจนแบบถ้วนหน้า ต้องใช้เงินภาษีแผ่นดินทั้งสิ้น แต่ไม่มีพรรคใดประกาศนโยบายมาตรการทางภาษีที่เป็นแหล่งงบประมาณในการสร้างรัฐสวัสดิการ

สำหรับมาตรการทางภาษีที่พรรคการเมืองควรดำเนินการ ณรงค์ บอกว่า ควรมีดังนี้ 1.ภาษีอัตราก้าวหน้าของธุรกิจ เช่น ในกลุ่มประเทศสแกนดิเนเวียเก็บภาษีหรือแวต 20-28% หรือ 2.ภาษีบุคคลธรรมดาเป็นอัตราก้าวหน้าเช่นกัน คือ รายได้สูงย่อมต้องจ่ายภาษีสูงด้วยประมาณ 17-18% นับรายได้ตั้งแต่ 1 ล้านบาทแรกขึ้นไป จนถึง 100 ล้านบาทเก็บภาษีแบบอัตราก้าว คือ ยิ่งรายได้สูงยิ่งต้องจ่ายภาษีสูงตามไปด้วย และ 3.ภาษีทรัพย์สินหรือภาษีมรดกย่อมเก็บภาษีแพงมากเช่นกัน เช่น ประเทศสวีเดน บ้านหลังที่สองจะถูกเก็บภาษีแพงยิ่งกว่าราคาบ้านเป็นเท่าตัว

“สังคมใดที่ต้องการเป็นรัฐสวัสดิการแบบรัฐบาลแจกเงินถ้วนหน้าให้กับคนจนคนมีรายได้น้อยหมดทุกคน รัฐบาลนั้นต้องเก็บภาษีสูงสำหรับผู้มีรายได้สูงหรือคนรวย แต่ประเทศไทยกลับลดภาษีสำหรับคนรวยในภาคธุรกิจจาก 30% เหลือ 19% คนที่รวยอยู่แล้วก็ยิ่งรวยเข้าไปอีก คำถาม คือ ภาษีคนรวยไม่เก็บ แต่กลับจะเอาเงินภาษีแผ่นดินไปแจกคนจน คำถาม คือ รัฐบาลจะเอาเงินมาจากไหน”

ณรงค์ ยังได้มองถึงอนาคตประเทศไทยอีกว่า จะเผชิญวิกฤตภาคแรงงานที่ถือว่าเป็นภาคเศรษฐกิจที่มีความสำคัญที่สุดในระบบเศรษฐกิจไทย เพราะปัจจุบันเราเข้าสู่ยุคดิจิทัลกระบวนการผลิตสินค้าและบริการต่างพึ่งพาความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี (Technology Advance) มาแทนแรงงานมนุษย์ ผู้ใช้แรงงานในภาคอุตสาหกรรมในตลาดแรงงานจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก กล่าวคือ เกิดการว่างงานจากการเปลี่ยนผ่านทางเทคโนโลยีแบบก้าวกระโดด (Disruptive Technology) คาดการณ์ว่าภายใน 5 ปีข้างหน้า จะเกิดอัตราการว่างงานจากการปลดคนงานแล้วนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) และหุ่นยนต์ มาแทนผู้ใช้แรงงานราวๆ 40-50%

“ปัญหาคนตกงานจะหนักขึ้น เพราะภาครัฐสนับสนุนและส่งเสริมการลงทุนให้ผู้ประกอบการนำเอไอและหุ่นยนต์เข้ามาใช้ในภาคอุตสาหกรรมเพื่อเข้ามาทดแทนแรงงานคนโดยไม่มีมาตรการรองรับปัญหาการว่างงานและไม่มีพรรคการเมืองใดนำเสนอแนวทางในการรับมือคนตกงานจากความก้าวหน้าแบบก้าวกระโดดทางเทคโนโลยีในภาคแรงงาน”

ณรงค์ ระบุอีกว่า ขณะที่เครื่องจักรในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ คือ การบริโภค การลงทุนภาครัฐ การลงทุนภาคเอกชน และการส่งออก แต่เกินครึ่งหนึ่งของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือ จีดีพี คือ ภาคการบริโภค ซึ่งเม็ดเงินหรือรายได้จากการบริโภคเกือบทั้งหมดมาจากรายได้ประชาชาติ และรายได้ประชาชาติมาจาก “ค่าจ้าง” ดังนั้นหากผู้ใช้แรงงานตกงานย่อมส่งผลกระทบให้การบริโภคจะลดต่ำลง คำถามตามมา คือ เศรษฐกิจในภาพรวมจะเป็นอย่างไร หากผู้ใช้แรงงานตกงานจากการนำเอไอหรือหุ่นยนต์เข้ามาแทนแรงงานมนุษย์ ถึงเวลานั้นวิกฤตเศรษฐกิจที่น่าเป็นห่วง

ทั้งนี้ สถานการณ์ยิ่งซ้ำร้ายเข้าไปอีก เมื่อระบบเศรษฐกิจตลาดเสรีในปัจจุบันประชาชนระดับล่างที่หาเช้ากินค่ำหาบเร่แผงลอยประสบปัญหาความไม่เป็นธรรมจากระบบตลาดเสรี ที่ภาครัฐเอื้อประโยชน์แก่กลุ่มทุนใหญ่ให้ฮุบระบบตลาดเสรีและเอารัดเอาเปรียบกลุ่มคนตัวเล็กตัวน้อยหรือธุรกิจรายย่อยๆ ไม่อาจทำมาค้าขายได้ ปัจจุบันยอดขายของธุรกิจขนาดเล็กตกลงไปไม่ต่ำกว่า 60-70% เพราะตลาดเศรษฐกิจการค้าการขายตกอยู่ในมือกลุ่มทุนขนาดใหญ่ ยิ่งภาครัฐสนับสนุนและสร้างให้กลุ่มทุนใหญ่เป็นทั้งผู้ผลิตและผู้ขาย ยิ่งส่งเสริมการผูกขาดระบบตลาดเสรีภายในประเทศให้ใหญ่โตมากขึ้น

“ตลาดค้าขายในประเทศคนตัวเล็กตัวน้อยต้องแข่งกับทุนใหญ่ ที่ฮุบทั้งตลาดภายในประเทศและตลาดต่างประเทศโดยที่คนเหล่านี้ เช่น ร้านค้าโชห่วยต่างๆ ก็ไม่ได้รับการดูแลจากภาครัฐใครอยู่ได้สู้ได้ก็อยู่ไปจึงสู้ได้แค่ขายคุ้มทุนเท่านั้นเอง”

อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาการแก้ปัญหาภาคแรงงานพยายามเสนอแนวคิด “ธนาคารแรงงาน” ด้วยการกู้ยืมแหล่งทุนอัตราดอกเบี้ยต่ำ เช่น ประกันสังคมในอัตราดอกเบี้ยต่ำ หรือในลักษณะออกเป็นพันธบัตรย่อมทำได้ เพื่อนำมาส่งเสริมสนับสนุนให้แก่ผู้ใช้แรงงานได้เข้าถึงแหล่งทุน ด้านการศึกษา หรือประกอบอาชีพ แต่ภาครัฐกลับไม่สนับสนุน แต่กลับไปสนับสนุนฟิโกไฟแนนซ์ ถามว่าสามารถแก้หนี้นอกระบบแก่ผู้ใช้แรงงานได้จริงหรือไม่ เพราะปัจจุบันผู้ใช้แรงงานหรือชาวบ้านทั่วไปยังไปกู้หนี้นอกระบบดอกเบี้ยโหด ดังนั้นรัฐบาลคือตัวการสร้างความเหลื่อมล้ำแทน

“ในทางการเมืองเหตุผลที่บรรดาพรรคการเมืองไม่นำเสนอนโยบายที่ช่วยเหลือหรือสนับสนุนคนจนหรือคนงาน เพราะทุกพรรคการเมืองต้องพึ่งกลุ่มทุน จึงไม่มองต้นต่อปัญหาความเหลื่อมล้ำ ด้วยการไม่ส่งเสริมคนตัวเล็กตัวน้อยในสังคม”

ยิ่งการเมืองภาคประชาชน ในระบบการเลือกตั้งระเบียบหรือกฎเกณฑ์ต่างๆ ไม่ได้สนับสนุนหรือเอื้อประโยชน์ให้ประชาชนได้ตั้งพรรคการเมือง พรรคการเมืองขนาดเล็กไม่สามารถตั้งพรรคได้ เพราะไม่มีทางพรรคของประชาชนจริงๆ จะส่งผู้สมัครได้ทุกเขตที่ทุกคะแนนไม่ตกน้ำ ไม่มีทางเป็นจริงได้ เพราะปัจจุบันพรรคการเมืองต่่างเป็นตัวแทน “พรรคทหาร” “พรรคธุรกิจ” และ “พรรคราชการ” เท่านั้น ดังนั้นอำนาจประชาชนมีเพียงเสี้ยววินาทีในการหย่อนบัตรลงคะแนนในวันเลือกตั้ง แต่หลังจากนั้นอำนาจจะตกอยู่ในกลุ่มทุนทหาร ธุรกิจ และราชการ ดังนั้นจึงไม่เห็นนโยบายพรรคไหนนำเสนอนโยบายที่ลดความเหลื่อมล้ำจริงๆ เพื่อนำไปสู่การปฏิรูประบบการเมืองได้จริง

“ไม่ได้มีการปฏิรูปการเมืองอย่างแท้จริง ที่ผ่านมาเป็นเพียง “ปฏิกิริยาการเมือง” เท่านั้น ที่เห็นชัดเจน คือ นโยบายแจกเงินเด็ก คนแก่ หรือสตรีมีครรภ์ 500 หรือ 1,000 บาทแก่คนนับล้าน แต่เม็ดเงินเหล่านั้นกลับทำให้กลุ่มทุนภาคธุรกิจได้ประโยชน์มหาศาล นับหมื่นนับพันล้านบาท เพราะระบบตลาดเสรีตกอยู่ในมือกลุ่มทุนขนาดใหญ่ จึงไม่ได้เป็นนโยบายลดความเหลื่อมล้ำอย่างแท้จริง พิสูจน์ได้จากตัวเลขความเหลื่อมล้ำ ปีก่อน 58% ปัจจุบันเพิ่มเป็น 68% ดังนั้นยุคนี้ความเหลื่อมล้ำไม่ได้ลดลง”

ณรงค์ กล่าวปิดท้ายว่า นโยบายแจกเงินไม่ว่ารัฐบาลไหนเป็นแค่เศษเงินหรือแค่เศษกระดูกที่โยนมาให้คนจน แต่เม็ดเงินเหล่านั้นกลับไปพอกพูนความร่ำรวยแก่กลุ่มทุนที่สะสมทุนอย่างมหาศาล แถมยังลดภาษีให้อีก แล้วแบบนี้จะเรียกว่าลดความเหลื่อมล้ำได้อย่างไร เพราะการลดความเหลื่อมล้ำต้องลดช่องว่างระหว่างคนรวยและคนจน คือ ทรัพย์สิน สิทธิ โอกาส และอำนาจ ทุกคนต้องเท่าเทียมกันไม่ใช่ไปเพิ่มทรัพย์สินและอำนาจแก่กลุ่มทุนแล้วหลงลืมคนยากคนจน

บทสะท้อน”อันธพาลวัดสิงห์” นิเวศทางสังคมกำลังป่วย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/politic/report/582088

  • วันที่ 03 มี.ค. 2562 เวลา 07:34 น.

บทสะท้อน"อันธพาลวัดสิงห์" นิเวศทางสังคมกำลังป่วย

พฤติกรรมสุดกร่างของกลุ่มอันธพาลที่บุกเข้าทำร้ายครู-นักเรียนในโรงเรียนวัดสิงห์ระหว่างการเข้าสอบ สะท้อนถึงความล้มเหลวของสิ่งแวดล้อมในสังคมที่คนกลุ่มนี้อาศัยอยู่

*******************************

โดย…ธเนศน์ นุ่นมัน

ปัญหากลุ่มวัยรุ่นใช้ความรุนแรงนั้นมีสถิติที่เพิ่มขึ้นทุกปี เพราะปัจจัยหลายด้าน ยังเป็นอุปสรรคในการสร้างคุณภาพชีวิต ทั้งปัญหายาเสพติด อบายมุข การทะเลาะวิวาทใช้ความรุนแรง การมั่วสุมทางเพศ ด้านมืดของสังคมออนไลน์ ที่กลายเป็นสิ่งกระตุ้นให้ยิ่งโหมบริโภคทางวัตถุ

ล่าสุดกรณีกลุ่มอันธพาลงานบวชบุกโรงเรียนวัดสิงห์ ทำร้าย รปภ. ครู นักเรียน ระหว่างการเข้าสอบแกตแพต จนได้รับบาดเจ็บ ทำลายข้าวของ และลวนลามนักเรียนหญิง กำลังเข้าสู่กระบวนการเอาผิดตามกฎหมาย แต่เหตุการณ์นี้ก็สร้างแรงกระเพื่อมให้สังคมไทยตื่นตัว เรื่องด้านมืดของสังคมที่แผ่เข้าไปมีอิทธิพลกับคนกลุ่มหนึ่งให้ก่อเหตุได้อย่างไม่เลือกเวลาและสถานที่ ระบบศีลธรรม ความยับยั้งชั่งใจที่เสื่อมถอยลงจนน่าหวั่นเกรงว่า หากปล่อยให้ลุกลามต่อไป ก็ยากจะคาดเดาถึงผลพวงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

วัลลภ ตังคณานุรักษ์ หรือ “ครูหยุย” ประธานคณะกรรมาธิการการสังคม เด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มองว่าการใช้ความรุนแรงของกลุ่มอันธพาล ทั้งเยาวชนและผู้ใหญ่ในกลุ่ม ต่างบ่มเพาะความรุนแรงจากอุปนิสัยส่วนตนจากสิ่งแวดล้อมใกล้ตัว เมื่อผนวกกับองค์ประกอบอื่นๆ อย่างสิ่งเร้าหรือการดื่มสุราที่เป็นปัจจัยสำคัญในการกระตุ้นให้หมดความยับยั้งชั่งใจ และตกอยู่ในภาวะพวกมากลากไป

ทั้งนี้ เมื่อมีองค์ประกอบที่กล่าวมา ก็เป็นไปได้อย่างยิ่งว่า คนที่มีนิสัยเกเรจะก่อเหตุรุนแรงต่อคนอื่นได้โดยไม่เลือกเวลาและสถานที่ จึงเป็นเรื่องปกติที่จะก่อเรื่องได้กระทั่งในวัด ในโรงเรียน หรือมักจะปรากฏเป็นข่าวว่า เรื่องเล็กน้อยอย่างตั้งวงนั่งดื่มสุรากันอยู่ แล้วมีคนมาบีบแตรไล่ ก็พร้อมที่จะโกรธ ก่อเรื่องทะเลาะวิวาทได้ทันที

ประธานคณะกรรมาธิการการสังคม เด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส กล่าวว่า เพื่อแก้ปัญหาเรื่องนี้ กฎหมายจะต้องเอาผิดอย่างจริงจัง เป็นตัวอย่างให้เห็นว่าหากก่อเหตุจะได้ผลลัพธ์อะไรบ้าง และเป็นการปรามไม่ให้เกิดพฤติกรรมการลอกเลียนแบบ และแสวงหาการยอมรับจากเพื่อนในกลุ่มหรือเพื่อนรุ่นพี่ ยกตัวอย่างจากกลุ่ม รถซิ่ง เมื่อศาลจังหวัดสมุทรปราการ เอาจริง ตัวการตัดสินโทษหนัก ถึงขนาดยึดรถของกลางหากผู้ก่อเหตุมีความผิดทั้งจำทั้งปรับ เรื่องนี้ก็บรรเทาลง หากเจ้าหน้าที่หรือกลไกรัฐเอาจริงเอาจังในการเอาผิด คนก่อเหตุจะลดจำนวนลง

นพ.สุริยเดว ทรีปาตี กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเด็กและวัยรุ่น ระบุว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในโรงเรียนวัดสิงห์ สะท้อนถึงรากเหง้าของปัญหา ระบบนิเวศในสังคมที่กลุ่มคนดังกล่าวอาศัยอยู่กำลังมีภาวะล้มเหลวในหลายด้าน

“ผู้ก่อเหตุควรจะตระหนักว่าเขตวัด เขตปฏิบัติธรรมของทุกศาสนา เขตสถานศึกษา เขตสถานพยาบาล ล้วนเป็นพื้นที่ที่ทั่วโลกเข้าใจในการเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ แม้ในยามสงครามก็เข้าไปใช้ความรุนแรงไม่ได้ เพราะต้องเคารพว่าเป็นแหล่งสร้างคน ซ่อมคน เป็นพื้นที่พิเศษ เป็นพื้นที่ที่ห้ามเข้าไปละเมิดเป็นเขตอภัยทาน

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เกิดขึ้นนับเป็นการกระทำการเกินเลย ขาดการพัฒนาชีวิตและจิตสำนึก การรู้จักละวาง และเป็นเหตุที่ทำให้น่าเชื่อได้ว่าเกิดจากการเห็นความสำคัญ มูลค่าของวัตถุสำคัญกว่าเรื่องอื่นๆ สำคัญกว่าจิตใจ ซึ่งชัดจากกรณีที่เสียค่าเช่าเวที เช่าเครื่องเสียงมาแล้วไม่ได้ใช้งานก็โกรธ คิดว่าต้องได้อะไรกลับมาบ้าง จึงก่อเหตุ คิดอยู่บนฐานของวัตถุนิยมหรือบริโภคนิยม

นพ.สุริยเดว กล่าวว่า ต้องยอมรับว่าที่ผ่านมาระบบในการพัฒนามนุษย์ โครงการหรือแนวทางความคิดในการพัฒนาคุณภาพพลเมืองในเรื่องจิตใจไม่มีความชัดเจน เราไม่ได้มีพิมพ์เขียวในเรื่องสังคมคุณธรรม และสิ่งแวดล้อมที่พวกเขาอาศัยอยู่ อาจจะส่งเสริมให้ใช้อารมณ์มากกว่าสติปัญญา ระบบนิเวศของสังคมที่สร้างพวกเขามากำลังป่วย และต้องเร่งหาทางแก้ไข เริ่มจากครอบครัวต้องเป็นตัวอย่างที่ดี ทำดีให้เด็กซึมซับ มีชุมชนที่เข้มแข็งสร้างกลไกให้กลายเป็นสังคมคุณธรรม

ส่องนโยบายพรรค มัดใจคนกรุงเทพฯ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/politic/report/581977

  • วันที่ 02 มี.ค. 2562 เวลา 06:39 น.

ส่องนโยบายพรรค มัดใจคนกรุงเทพฯ

โดย…ชัยรัตน์ พัชรไตรรัตน์

นับถอยหลังอีกเพียงไม่ถึงเดือนประชาชนชาวไทยทั้งประเทศ ก็กำลังจะได้ใช้สิทธิเข้าคูหาลงคะแนนให้กับพรรคการเมืองที่รัก นักการเมืองที่ชอบ ให้เข้ามา บริหารประเทศ ซึ่งหลายพรรคการเมืองต่างงัดนโยบายพร้อมแคมเปญหาเสียง

เพื่อนำมาใช้มัดใจประชาชนโดยเฉพาะชาวกรุงเทพมหานคร หากส่องไปยังนโยบายแต่ละพรรคการเมืองแบบคร่าวๆ เริ่มด้วยน้องใหม่มาแรงอย่าง พลังประชารัฐ ซึ่งชูนโยบาย “แบงค็อกโอเค” โดยเฉพาะปัญหาเรื้อรังในชีวิตคนกรุงเทพฯ คือ เรื่องจราจร

โดย พปชร.ชูจุดเด่นด้วยการจะ นำระบบ AI เข้ามาแก้ไขปัญหา เพื่อให้การเดินทางของคนกรุงเทพฯ มี ความสะดวกไร้รอยต่อ นอกจากนี้ Bangkok SOS ปลอดภัยครบจบแอพเดียว สำหรับ แจ้งเหตุไฟไหม้ อุบัติเหตุ แจ้งเหตุร้าย เหตุด่วนที่จุดเดียวให้ กทม.ปลอดภัย รวมทั้งการติดตั้ง CCTV ทั้วทุกเขต

รวมถึงแอพพลิเคชั่นเชื่อมหมอ ไว้ใกล้มือคุณ ซึ่งเป็นแอพเชื่อมโยงกระทรวงสาธารณสุขให้ประชาชน ไม่ต้องไปโรงพยาบาล เพื่อประหยัด ค่าใช้จ่าย โดยสามารถถ่ายรูปและ บอกอาการเบื้องต้นกับหมอก็จะทำการวินิจฉัยเบื้องต้น

นอกจากนี้ มีถนนคนเดิน 50 เส้น 50 เขต รวมทั้งมีคมนาคมแบบไร้รอยต่อสร้างสวนสาธารณะ 50 สวน 50 เขต และจะนำ Bangkok Card เพิ่มรถไฟฟ้าอีก 7 สาย

ถัดมาเป็นอีกหนึ่งพรรคน่าจับตาไม่น้อย สำหรับ ภูมิใจไทย ที่ครั้งนี้ ได้ส่งผู้สมัคร สส.กรุงเทพฯ ครบทุกเขตเป็นครั้งแรก โดยชูสโลแกน “กรุงเทพฯ สะดวก สบาย” ภายใต้กรอบแนวคิด การแก้ไขจราจรติดขัด อันก่อให้เกิดมลพิษและลดปัญหาค่าใช้จ่ายจากการเดินทาง ที่ส่งผลต่อสุขภาพร่างกายและจิตใจ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตคนกรุงเทพฯ

ทว่า ประเด็นที่อยู่ในความสนใจของประชาชนคือ เรื่องการผลักดันให้ประชาชนสามารถขับแกร็บได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อสร้างรายได้รวมถึงลดการใช้รถยนต์ส่วนตัว อีกประเด็นหนึ่ง Home Office ให้ประชาชนทำงาน 4 วัน/สัปดาห์ และ 1 วันทำงานอยู่บ้าน ซึ่งถือเป็นการช่วยลดการจราจร

นอกจากนี้ แนวนโยบาย Co-Working Space 1 แขวง 1 ออฟฟิศ เพื่อลดการใช้พื้นที่สำนักงาน ด้วยการจัดสร้างสำนักงาน สำหรับผู้ประกอบอาชีพอิสระใช้ประโยชน์ร่วมกัน สนับสนุนให้เอกชน จัดสร้างสำนักงาน Co-Working Space บนที่ดินรัฐ

ขณะที่แชมป์เก่า กทม.อย่างประชาธิปัตย์ งัด 10 นโยบาย อาทิ Smart Bus รถเมล์ไฟฟ้าทั้งระบบไร้ฝุ่นมลพิษ เชื่อมต่อรถไฟฟ้าและเรือ เปลี่ยนรถเมล์ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล จำนวนร่วม 5,000 คัน Smart Taxi เรียกง่าย ถูกกฎหมาย ทำรถส่วนตัวที่มาให้บริการจากแอพพลิเคชั่นให้ถูกกฎหมาย ทำ ขั้นตอนในการออกใบอนุญาตให้ง่ายขึ้น

แผงลอยสีฟ้า ดีมีคุณภาพ สะอาด ปลอดภัย ทำเลดี มีที่จอด ห้องน้ำสะอาด ศูนย์รวมแผงลอยคุณภาพ มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ไม่เกะกะทางเดินเท้า เพิ่มสวน ลดฝุ่น เร่งด่วน เปลี่ยนที่รกร้าง ของราชการเป็นสวนสาธารณะ และเร่งรัด สายไฟทุกประเภทลงดิน ให้เสร็จภายในปี 2565 รวมระยะทาง 191.8 กิโลเมตรสำหรับ อนาคตใหม่ ที่เน้นรวมข้อมูลที่มีอยู่แล้วตามกระทรวง ทบวง กรมต่างๆ มาอยู่ในฐานข้อมูลเดียวกัน Open Data เพื่อให้ภาครัฐ ภาคเอกชนสามารถนำข้อมูลเหล่านี้ไปใช้ประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างแอพพลิเคชั่นที่สามารถนำมาร่วมพัฒนาการให้บริการภาครัฐ

การนำข้อมูลมาใช้ในการระบุยืนยันตัวบุคคล (Authentication) ได้แบบ ออนไลน์ ซึ่งในหลายประเทศสามารถดำเนินการได้แล้วผ่าน Smart Device จากการสแกนลายนิ้วมือ สแกนใบหน้า ซึ่งทำให้มีการยืนยันตัวตนผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์

นอกจากนี้ กระจายอำนาจไปสู่ท้องถิ่น ให้มีสิทธิในการกำหนดนโยบาย โดยเฉพาะ กับการผลักดันกรุงเทพฯ ให้เป็นสมาร์ทซิตี้ เพราะการขับเคลื่อนจำเป็นต้องการการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ระดับรัฐบาล หรือการเป็น e-Goverment

ส่วน พรรคเพื่อไทย ยังอุบไต๋นโยบาย กทม.ไว้โค้งสุดท้าย แต่เบื้องต้นจะเน้นหนักไปในเรื่องการใช้เทคโนโลยีเข้ามาจัดการแก้ไขปัญหา ทั้งในเรื่องเศรษฐกิจ สังคม การศึกษา จากการปรับยุทธศาสตร์ทั้งออฟไลน์และออนไลน์

เนื่องจากสังคมเปลี่ยนไปด้วยเทคโนโลยี จึงจำเป็นต้องนำเทคโนโลยีในรูปแบบโซเชียลมีเดียเข้ามาทำนโยบายและดึงประชาชนให้มีส่วนร่วมมากขึ้น ซึ่งเพื่อไทยยังเน้นความสำคัญกับปัญหาสังคมและสภาพเศรษฐกิจใน กทม.มาก

ทั้งหมดนี้พรรคไหนจะครองใจ คนกรุงเทพฯ วันที่ 24 มี.ค.รู้กัน

เลือกตั้งสงขลาเดือดรปช.เปิดศึกสายเลือดปชป.

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/politic/report/581760

  • วันที่ 28 ก.พ. 2562 เวลา 06:28 น.

เลือกตั้งสงขลาเดือดรปช.เปิดศึกสายเลือดปชป.

โดย…ทีมข่าวภูมิภาคโพสต์ทูเดย์

สนามเลือกตั้งภาคใต้ส่อเค้าแข่งขันอย่างดุเดือดและมีแนวโน้มเปลี่ยนแปลงจากเดิม โดยเฉพาะสนามเลือกตั้ง จ.สงขลา มีหลายพรรคต่างปูพรมส่งผู้สมัครลงแข่งขันครบทุกเขต ไม่ว่าจะเป็นพรรคเก่าอย่างพรรคเพื่อไทย (พท.) พรรคภูมิใจไทย (ภท.) เช่นเดียวกับพรรคใหม่ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) และพรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.) ต่างหมายมั่นปั้นมือหวังเปิดศึกแย่งชิงเก้าอี้ สส.ซึ่งเป็นฐานที่มั่นสำคัญของพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ยึดครองทุกยุคทุกสมัย

สำหรับ จ.สงขลา ถือว่าเป็นพื้นที่ฐานที่มั่นใหญ่และแข็งดุจหินผาของพรรคประชาธิปัตย์ โดยครองที่นั่ง สส.ยกจังหวัด 9 เขต 9 ที่นั่งมาตลอด แต่มาวันนี้ “สนามการเมือง จ.สงขลา” ลดลงเหลือ 8 เขต ทำให้ศึกเลือกตั้งครั้งนี้ระอุและอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์จากหน้าเดิมเป็นไปได้สูง ที่จับตามองเป็นพิเศษว่าพรรค รปช.ของ สุเทพ เทือกสุบรรณ ผู้ก่อตั้งพรรคนั้นจะผงาดโค่นปชป.ได้หรือไม่

เขตเลือกตั้งที่ 1 ปชป. ส่ง สรรเพชญ บุญญามณี บุตรชายนิพนธ์ บุญญามณี อดีต สส.และรองหัวหน้าพรรค ปชป. และปัจจุบันยังเป็นนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา ฐานเสียงแน่นปึ้ก ก็ต้องดูว่าจะรักษาไว้ได้หรือไม่ เพราะเจอผู้ท้าชิงอย่าง วันชัย ปริญญาศิริ แห่ง พปชร. ภายใต้ร่มธงบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่ชื่นชอบคนรากหญ้า ทำให้คะแนนนิยมค่อนข้างดี ส่วนราเดช คำทัปน์ แห่งพรรค ภท. ที่ยึด สจ.มาทุกยุค ฐานเสียงส่วนใหญ่เป็นชาวนา ชาวสวนยางพารา และชาวสวนปาล์มน้ำมัน โอกาสโค่นคู่แข่งได้เช่นกัน

เขตเลือกตั้งที่ 2 มี ภิรพล ลาภาโรจน์กิจ แห่งพรรค ปชป. ต้องเจอคู่ท้าชิงรอบด้าน ทั้ง ชาญธาดา ปวินท์ธนาธรแห่งพรรคเสรีรวมไทย (สร.) และ อัครพล ทองพูน แห่งพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) เขตนี้ สร.และ อนค. ซึ่งชาวเมืองหาดใหญ่และคนรุ่นใหม่ชื่นชอบ อยากเห็นความเปลี่ยนแปลง แต่ไม่ควรมองข้าม ร.ต. เสรีย์ นวลเพ็ง แห่งพรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) อดีตนายกเทศมนตรีเมืองบ้านพรุ อ.หาดใหญ่ และอดีตนายกสมาคมสันนิบาตแห่งประเทศไทย กลับมาแรงทำเรตติ้งพุ่งขึ้น และยังมีต้นทุนเดิมฐานเสียงเก่ายังไม่เสื่อมคลาย

เขตเลือกตั้งที่ 4 ที่มั่นของ ชัยวุฒิ ผ่องแผ้ว แห่งพรรค ปชป. ว่าจะรักษาฐานเดิมไว้ได้หรือไม่ เพราะคู่แข่งอย่าง สมศักดิ์ แสงประดับ แห่งไทยรักษาชาติ (ทษช.) ลงพื้นที่พบปะพี่น้องประชาชนจนทำคะแนนเบียดขึ้นและโค่นชัยวุฒิ เป็นไปได้ทีเดียวเพราะประชาชนต้องความเปลี่ยนแปลง  เขตเลือกตั้งที่ 5  เดชอิศม์ ขาวทอง แห่ง ปชป. อดีตนายก อบจ.สงขลา เลือกตั้งทุกสมัยไร้คู่แข่งก็ต้องดูว่าผู้สมัครจาก รปช.โค่นลงหรือไม่

เขตเลือกตั้งที่ 6 ถาวร เสนเนียมอดีต สส.ปชป. และอดีต รมช.มหาดไทย คราวนี้เจอศึกหนักต้องปะทะกับอดีตกำนันเหลิม เฉลิม เหล่าสุวรรณ แห่งพรรคชาติไทยพัฒนา (ชพน.) ฐานเสียงส่วนใหญ่มาจากเครือญาติพี่น้อง เพื่อนฝูงมากมาย และอีกคนที่น่าจับตามอง สัมพันธ์ ละอองจิตต์ อดีตนักเคลื่อนไหวทางการเมืองแห่ง อนค. คะแนนนิยมกำลังพุ่ง

เขตเลือกตั้งที่ 7 ศิริโชค โสภา อดีต สส.ปชป. คราวนี้จะรักษาพื้นที่ไว้ได้หรือไม่ เมื่อมาเจอกับ อับดุลเล๊าะ หลงนิ แห่งพรรค ประชาชาติ (ปช.) กับ ศุภสัณห์ หนูสวัสดิ์แห่ง พปชร. อดีตนายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองนาทวี มีฐานเสียงแน่นไม่แพ้กัน เขตเลือกตั้งที่ 7 ยังเป็นความหวังของ ปช. ชูนโยบายเด็ด สังคมพหุวัฒนธรรม อยู่กันอย่างสันติสุข และเขตนี้ก็ยังเป็นความหวังของ พปชร. เช่นกัน

เขตเลือกตั้งที่ 8 เจ้าของพื้นเดิม คือ พล.ต.ต.สุรินทร์ ปาลาเร่ แห่ง ปชป. อดีตเลขานุการคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทยซึ่งมีฐานเสียงส่วนใหญ่เป็นพี่น้องชาวไทยมุสลิม แต่การเลือกตั้งครั้งนี้ต้องเจอกับคู่แข่ง คนสำคัญอย่าง ขดดะรี บินเซ็น แห่งพรรคประชาชาติ  ซึ่งประกาศกร้าวว่า จะยึดครองเก้าอี้ให้จงได้และที่สำคัญลงพื้นที่พบปะพี่น้องประชาชนตลอดมา

สำหรับศึกเลือกตั้งวันที่ 24 มี.ค.นี้ คอการเมืองต่างจับตามองว่า ปชป.จะยึดครองเก้าอี้ได้ยกจังหวัดหรือไม่ เพราะผู้สมัครจาก รปช. ปช. ชพน. ทษช. และ พปชร. ต่างก็ขยันลงพื้นที่พบปะพี่น้องประชาชนอย่างต่อเนื่อง และที่สำคัญประชาชนชาว จ.สงขลา ต้องการความเปลี่ยนแปลง โอกาสที่หลายพรรคการเมืองโค่นแชมป์เก่าก็เป็นไปได้ สำหรับเลือกตั้งสงขลามีผู้สมัคร สส. 8 เขตเลือกตั้งรวม 270 คน จาก 47 พรรค

ศึกเลือกตั้งขอนแก่นเดือด พปชร.ประกาศท้าชนพท.

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/politic/report/581642

  • วันที่ 27 ก.พ. 2562 เวลา 07:36 น.

ศึกเลือกตั้งขอนแก่นเดือด พปชร.ประกาศท้าชนพท.

โดย…ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (อีสาน) ถือVOTE เป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญในศึกเลือกตั้งวันที่ 24 มี.ค. โดยเฉพาะ จ.ขอนแก่น ที่พรรคการเมืองแต่ละ พรรคลงพื้นที่หาเสียงกันฝุ่นตลบและแข่งขันกันอย่างดุเดือด เพื่อชิงชัยเก้าอี้ใน 10 เขต ศึกเลือกตั้งครั้งนี้เมืองขอนแก่นยังครองแชมป์ผู้สมัคร สส.มากที่สุดในประเทศ โดยเขตเลือกตั้งที่ 9 ของ จ.ขอนแก่น มีผู้สมัครมากที่สุดในประเทศไทย คือ 27 คน จาก 27 พรรคการเมือง

ย้อนกลับไปเมื่อการเลือกตั้งปี 2554 ถือว่าพรรคเพื่อไทย (พท.) กวาดคะแนนเสียงถล่มทลาย และกวาดที่นั่ง สส.ยกจังหวัด การเลือกตั้งครั้งนี้พรรคเพื่อไทยยังคงมั่นใจว่าจะสามารถกวาดเก้าอี้ที่นั่ง สส.ยกทั้งจังหวัด เพราะหลักฐานที่มั่นยังคงแน่นปึก อย่างไรก็ตามทุกพรรคการเมืองต่างหมายมั่นปั้นมือโค่นพรรคเพื่อไทยกวาดเก้าอี้ที่นั่ง สส. จึงส่งผู้สมัคร สส.ลงทุกเขต

หากจะวัดกระแส บารมี และตัวผู้สมัคร ที่แต่ละพรรคการเมืองได้ส่งตัวผู้สมัครมาแล้วนั้นไม่ทิ้งห่างกันมากนัก เริ่มจากเขตเลือกตั้งที่ 1 ซึ่งเขตนี้ถือว่าเป็นการแข่งขันกันระหว่าง “เสี่ยเต๋า” จักริน พัฒน์ดำรงจิตร อดีต สส.พรรคเพื่อไทย เจ้าของพื้นที่เดิมที่ยึดครองหลายสมัย คู่ต่อกรคงหนีไม่พ้น ลักษณา แกล้วกล้าหาญ จากพรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) และ ภพธร แก้วขัน จากพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ตัวสอดแทรกที่ประมาทไม่ได้ เขตเลือกตั้งที่ 2 ต้องยอมรับว่า กระแสของ “เสี่ยต้อม” วัฒนา ช่างเหลา จากพรรคพลังประชารัฐ ลูกชายคนโตของ เอกราช ช่างเหลา แกนนำพรรคพลังประชารัฐภาคอีสานนั้นมาแรงอย่างมาก อีกทั้งยังคงเดินหน้าลงพื้นที่หาเสียงทุกวันอย่างไม่มีเหน็ด เหนื่อย โดยคู่ต่อกรมีเพียง อรอนงค์ สาระผล จากพรรคเพื่อไทย เป็นผู้สมัครหน้าใหม่ รวมทั้ง ศุภฤกษ์ พุทธโพธิ์ศรี จากพรรคพลังท้องถิ่นไท และ สุดใจ ทุยบึงฉิม จากพรรคเพื่อชาติเขตเลือกตั้งที่ 3 พื้นที่เดิมของ จตุพร เจริญเชื้อ จากพรรคเพื่อไทย วันนี้ยังคงลงสมัครรับการเลือกตั้งอีกครั้ง เพื่อหวังครองที่นั่งเดิมต่อไปอีกสมัย คู่ต่อกรนั้นยอมรับว่าแต่ละคนนั้นมีดีกรีที่เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็น กิตติ คำแก่นคูณ จากพรรคพลังประชารัฐ และ ชัชวาล อภิรักษ์มั่นคง จากพรรคอนาคตใหม่

เขตเลือกตั้งที่ 4 มุกดา พงษ์สมบัติ อดีต สส.เดิมเจ้าของพื้นที่จากพรรคเพื่อไทย ขวัญใจกลุ่มสตรีในพื้นที่ ที่ยังคงลงสมัครรับการเลือกตั้งอีกครั้ง

คู่แข่งที่น่ากลัว ฉัตรชัย ข้อยุ่น จากพรรคภูมิใจไทย พิชิต สุรพล จากพรรคพลังประชารัฐ และ อลงกรณ์ ศิลปดอนบม จากพรรคอนาคตใหม่เขตเลือกตั้งที่ 5 พรรคเพื่อไทยส่งผู้สมัครหน้าใหม่ ซึ่งเป็นอดีต ส.อบจ.ในพื้นที่ คือ “เสี่ยซัน” ภาควัต ศรีสุรพลลงสมัครสนามใหญ่แทนบิดา คือ สุชาย ศรีสุรพล อดีต สส.เดิมเจ้าของพื้นที่ ที่มีผลงานในการทำงานร่วมกับชุมชนมาอย่างโดดเด่น คู่แข่งที่น่าสนใจคงหนีไม่พ้น วุฒิพงศ์ ศุภรมย์ จากพรรคประชาธิปัตย์ วิบูลย์ เรืองประเสริฐกุล จากพรรคพลังประชารัฐ และ ด.ต.พิชิต ศรีวิไล จากพรรคเพื่อชาติเขตเลือกตั้งที่ 6 พรรคเพื่อไทยส่ง สิงหภณ ดีนาง ลงสนามการเมืองระดับชาติเป็นครั้งแรก แต่ต้องต่อกรกับ สมพงษ์ ปู่เพ็ง จากพรรคพลังประชารัฐ เท่านั้นยังไม่พอยังคงมี พ.ต.อ.อุดร ชาญนุวงศ์ จากพรรคเพื่อชาติ ซึ่ง เป็นแกนนำ นปช.ชื่อดังในพื้นที่ที่ ตัดสินใจลงสมัครรับการเลือกตั้งในครั้งนี้ด้วย เขตนี้ถือว่าเป็นศึกช้างชนช้างเลยทีเดียว

เขตเลือกตั้งที่ 7 เป็นอีก 1 เขตเลือกตั้งที่น่าจับตามองเช่นกัน สมศักดิ์ คุณเงิน จากพรรคพลังประชารัฐ ประกาศสู้ “เสี่ยเต๊าะ” นวัธ เตาะเจริญสุข จากพรรคเพื่อไทย มีตัวสอดแทรกอย่างภรณ์ทิพย์ ศรีภาพ จากพรรคพลังท้องถิ่นไท ใครเป็นใคร 24 มี.ค.รู้กัน

เขตเลือกตั้งที่ 8 พรรคเพื่อไทยส่ง สรัสนันท์ อรรณนพพร ลงสมัครรับเลือกตั้งในครั้งนี้ โดยมีกูรูทางการเมืองจอมเก๋า อย่าง คงฤทธิ์ อัศวพัฒนากูล จากพรรคพลังประชารัฐ ประกาศขอสู้ในเขตเลือกตั้งนี้ แต่ก็ไม่ควรประมาท สมพร ศรีวงษ์ จากพรรคพลังท้องถิ่นไท เช่นกัน

เขตเลือกตั้งที่ 9 พื้นที่เดิมของ เสริมศักดิ์ พงษ์พานิช อดีต รมช.มหาดไทย และ ว่าที่ ร.ท.ปรีชาพล พงษ์พานิช หัวหน้าพรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) แต่การเลือกตั้งครั้งนี้น่าจะเป็นการแข่งขันกันระหว่าง จารุวัฒน์ ศิริวัจนพร จากพรรคภูมิใจไทย กับ วันนิวัติ สมบูรณ์ จากพรรคเพื่อไทย โดยมี วาสนา ไชยศึก จากพรรคพลังประชารัฐ และ พานุห์ ประทุมชัย จากพรรคอนาคตใหม่ ที่พร้อมสอดแทรกได้ ทุกเวลา

สุดท้าย คือ เขตเลือกตั้งที่ 10 ที่เรียกได้ว่าเขตเลือกตั้งนี้สนุกไม่แพ้เขตเลือกตั้งอื่น เพราะเมื่อกูรูด้านแวดวงการเมืองท้องถิ่น คือ เจริญ แซ่เต็ง ผู้นำท้องถิ่นขวัญใจประชาชน ที่วันนี้ขออาสารับใช้ประชาชนในสนามการเมืองใหญ่ ในนามพรรคพลังประชารัฐ โดยมีคู่ต่อกรที่ประกาศสู้ประกอบด้วย บัลลังก์ อรรณนพพร จากพรรคเพื่อไทย “เสี่ยแม็ค” องอาจ ฉัตรชัยพลรัตน์ จากพรรคภูมิใจไทย และ “เสี่ยจ่อย” เดชคำรณ สิงคลีบุตร จากพรรคเพื่อชาติ เขตนี้ยอมรับว่าสู้กันเลือดสาดเลยทีเดียว