เลือกตั้งบุรีรัมย์ร้อนระอุ พท.-ปชป.-พปชร.เปิดศึกโค่นภท.

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/politic/report/581504

  • วันที่ 26 ก.พ. 2562 เวลา 07:22 น.
 

โดย…ทีมข่าวภูมิภาคโพสต์ทูเดย์

เมื่อพูดถึง จ.บุรีรัมย์ทุกคนต้องนึกถึง ตระกูล “ชิดชอบ” แต่การเลือกตั้งที่จะมาถึงในไม่ช้านี้ อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ที่ใช้ จ.บุรีรัมย์2562 เลือกตั้ง เป็นฐานที่มั่นของพรรค ถึงกับย้ายชื่อมาเป็นคนบุรีรัมย์ โดยอนุทินคาดหมายว่า พรรคภูมิใจไทย จะยึด สส.บุรีรัมย์ ให้ได้ทั้ง 8 คน และกวาด สส.ทั่วประเทศ 50 ที่นั่งขึ้นไป ทั้งระบบเขต และบัญชีรายชื่อ ซึ่งอนุทินยังคงเป็นตัวหลัก ในการคัดเลือกผู้สมัคร สส.พรรค ภูมิใจไทย เช่นเคยอีกทั้งยังเป็นแกนนำหลักสำคัญในการทำศึก แต่จะเป็นไปอย่างที่คาดหมายหรือไม่ คนบุรีรัมย์จะเป็นผู้ตัดสิน

สนามเลือกตั้ง จ.บุรีรัมย์ มีนัก การเมืองพรรคภูมิใจไทย ในสาย “ตระกูลชิดชอบ” เป็นตัวยืน ขณะที่บรรดา ผู้สมัครจากพรรคการเมืองต่างๆ อาทิ พรรคเพื่อไทย (พท.) พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) พรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) พรรคอนาคตใหม่ (อ.น.ค.) พรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.) ลงพื้นที่หาเสียงคึกคัก สำหรับ จ.บุรีรัมย์ มี 23 อำเภอ มี ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 1,229,260 คน มี สส.ได้ 8 คน แบ่งออกเป็น 8 เขตเลือกตั้ง

เขตเลือกตั้งที่ 1 มีผู้สมัคร 31 คน เดิมทีเขตนี้มี สนอง เทพอักษรณรงค์อดีต สส.บุรีรัมย์ พรรคภูมิใจไทยหลายสมัยเป็นเจ้าของพื้นที่ ขยันลงพื้นที่คลุกคลีประชาชนมาตลอด มีฐานเสียงแน่นเกือบทุกหมู่บ้าน หากคิดจะโค่นค่อนข้างยากพอสมควร แต่คราวนี้สนองต้องเจอพรรคพลังประชารัฐ ที่ส่ง นภดล อังคสุภณ อดีตที่ปรึกษานายกเทศมนตรีเมืองบุรีรัมย์ คอยเป็นตัวสอดแทรกหวังล้มช้างเช่นกัน

เขตเลือกตั้งที่ 2 มีผู้สมัคร 31 คน แชมป์เก่า คือ รังสิกร ทิมาตฤกะหรือ “เสี่ยหนุ่ม” พรรคภูมิใจไทย อดีต สส.บุรีรัมย์หลายสมัย และยังก็ได้รับความไว้วางใจจาก “ตระกูลชิดชอบ” ให้ดำรงตำแหน่งรองนายก อบจ.บุรีรัมย์ ช่วยบริหารงาน ร่วมกับ กรุณา ชิดชอบ นายก อบจ.บุรีรัมย์ การเลือกตั้งคราวนี้ จึงเป็นที่คาดหมายว่าจะรักษาแชมป์ได้อีกสมัย

เขตเลือกตั้งที่ 3 มีผู้สมัคร 32 คน ปณวัตร เลี้ยงผ่องพันธุ์ อดีต สส.บุรีรัมย์ 7 สมัย มาคราวนี้ไม่ได้ลงเลือกตั้ง เพราะถูกตัดสิทธิ โดยพรรคเพื่อไทย ส่ง พีระพงษ์ เฮงสวัสดิ์ หรือ “เฮียน้อย” อดีต สส.บุรีรัมย์ มีฐานคะแนนเสียงเดิมของพรรคเพื่อไทย บวกกับฐานการเมืองกลุ่มของ ปณวัตร สนับสนุน ส่วนคู่แข่งเขตนี้ พรรคภูมิใจไทยส่ง สมบูรณ์ ซารัมย์ อดีตผู้อำนวยการสำนักงาน ส่งเสริมและพัฒนาการเกษตรที่ 4 จ.ขอนแก่น พี่ชายของโสภณ ลงสมัครแทนในเขตนี้เป็นการต่อกรระหว่าง พีระพงษ์ กับ สมบูรณ์

เขตเลือกตั้งที่ 4 มีผู้สมัคร 33 คน เมื่อ โสภณ ซารัมย์ อดีต รมว.คมนาคม แกนนำพรรคภูมิใจไทย โยกตัวมา ลงสมัครเอง โดยมีฐานคะแนนเสียงจากกลุ่มผู้นำท้องถิ่น กลุ่มสตรี และ อสม. แต่ต้องพบศึกหนักเมื่อพรรคเพื่อไทย ส่ง ประกิจ พลเดช อดีต สส.บุรีรัมย์ ลงชิงชัย แม้จะไม่ใช่พื้นที่หาเสียงเดิม แต่ก็ได้ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์การเลือกตั้งพรรคเพื่อไทย (พท.) ที่เปิดตัวให้ช่วงลงพื้นที่หาเสียงมีกระแสตอบรับที่ดี พรรค พลังประชารัฐ ส่ง ยุทธนา ตีระมาศวณิชอดีตนายกเทศมนตรีตำบลทะเมนชัย อ.ลำปลายมาศ ส่วน พรรคประชาธิปัตย์ ส่ง ปริวัชร มณีเติม ลงสมัคร เขตนี้ จะเป็นการแข่งขันระหว่างภูมิใจไทย กับเพื่อไทย โดยมีพรรคพลังประชารัฐตามมาห่างๆ

 

เขตเลือกตั้งที่ 5 มีผู้สมัคร 32 คน เป็นเขตฐานเสียงของ ตระกูลชิดชอบ แน่นที่สุด ส่ง อดิพงษ์ ฐิติพิทยา อดีตนายกเทศมนตรีตำบลอุดมธรรม อ.กระสัง จากพรรคภูมิใจไทย ซึ่งเป็นตัวแทนของศักดิ์สยาม ชิดชอบ ลงพื้นที่พบปะประชาชนแบบถึงลูกถึงคนอยู่เป็นประจำ ขณะที่พรรคไทยรักษาชาติ ส่ง เสนาะ พรหมสวัสดิ์  ส่วนพรรคพลังประชารัฐ ส่ง สุประดิษฐ์ แสนทวีสุข ซึ่งหลายพรรคหวังลึกๆ โค่นพรรคภูมิใจไทย

เขตเลือกตั้งที่ 6 วัดกันปอนด์ต่อปอนด์ หากใครจะเข้าป้ายคงต้องทำการเมืองอย่างหนัก เนื่องจากเขตเลือกตั้งนี้แม้จะแบ่งใหม่ แต่ฐานนิยมส่วนตัวของ พรชัย ศรีสุริยันโยธิน อดีต สส.บุรีรัมย์ พรรคเพื่อไทย ยังเหนียวแน่นเกือบเต็มพื้นที่ คู่แข่งที่น่ากลัว ไตรเทพ งามกมลอดีตรองนายก อบจ.บุรีรัมย์ จากพรรคภูมิใจไทย รวมทั้ง พีรวัส พันธุ์สัมฤทธิ์อดีต ส.อบจ.เขต อ.หนองกี่ จ.บุรีรัมย์ จากพรรคพลังประชารัฐ

เขตเลือกตั้งที่ 7 มีผู้สมัคร 29 คน เขตนี้ตระกูลทองศรี ครองมาตลอด แต่หลายพรรคการเมืองต่างขยันลง พื้นที่ต่อเนื่องหวังโค่น จักรกฤษณ์ ทองศรี อดีต สส.บุรีรัมย์ พรรคภูมิใจไทย และเขตเลือกตั้งที่ 8 มีผู้สมัคร 34 คน เขตนี้ถือเป็นศึกแห่งศักดิ์ศรีช้างชนช้าง โดยพรรคภูมิใจไทย ส่ง รุ่งโรจน์ ทองศรี น้องชายของ ทรงศักดิ์ ลูกพี่ลูกน้อง ของ เนวิน ชิดชอบ ลงสมัคร ขยันลง พื้นที่ทำงานการเมืองมาอย่างต่อเนื่อง แม้คราวที่แล้วจะพลาดเก้าอี้ สส. แต่มีฐานคะแนนเสียงแน่นในพื้นที่ อ.ละหาน ทราย และโนนดินแดง ส่วนพรรค ไทยรักษาชาติส่ง วิธันพัศ เฮงวาณิชย์ถิรธนา อดีต สส.บุรีรัมย์ ขณะที่พรรคพลังประชารัฐ ส่ง ประชารัฐ กองพร อดีตนายกเทศมนตรีโคกมะม่วง อ.ปะคำ พรรคประชาธิปัตย์ ส่ง สันติ โรจน์สุกิจ ลงชิงชัยสนามนี้ด้วย

ศึกเลือกตั้งในครั้งนี้ จะเป็นการ วัดฝีมือของ “อนุทิน” ว่าจะกวาด สส.บุรีรัมย์ได้ทั้ง 8 เขตหรือไม่ และ ค่ายกลอำนาจเก่าของ “ตระกูลชิดชอบ” จะถูกเพื่อไทย ไทยรักษาชาติ และ พลังประชารัฐ ตีแตกหรือไม่คงจะมี คำตอบในอีกไม่ช้านี้

เผยโฉมหนังสือ “ประชารัฐ สร้างชาติ” เปิดปูม “ลุงตู่” บุรุษที่ใช่สู่การเมือง!

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/politic/report/581450

  • วันที่ 25 ก.พ. 2562 เวลา 13:33 น.

เผยโฉมหนังสือ "ประชารัฐ สร้างชาติ" เปิดปูม "ลุงตู่" บุรุษที่ใช่สู่การเมือง!

พลิกอ่านหนังสือ “ประชารัฐ สร้างชาติ” เปิดปูมเบื้องหลัง” ลุงตู่” บุรุษที่ใช่สู่การเมือง แจกทั่วประเทศ

***************************

โดยทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์

สืบเนื่องจาก เมื่อวันที่ 23 ก.พ.2562 นายสุวิทย์ เมษิน ทรีย์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.)​ เปิดเผย ว่า วันที่ 25 ก.พ.เวลา 11.00 น. ที่ทำการพรรคพลังประชารัฐ พรรคจะแถลงข่าวเปิดตัวหนังสือ “ประชารัฐ สร้างชาติ”

นายสุิวทย์ กล่าวว่า ภายในหนังสือจะพบกับมุมของ”ลุงตู่” ที่หลายคนไม่เคยสัมผัส เส้นทางชีวิต ความเป็นมา คู่ชีวิต และชีวิตที่กล้าสละ เพื่อการปกป้องรักษาแผ่นดิน แต่ทำไม”ลุงตู่” ถึงต้องก้าวเข้าสู่เส้นทางการเมือง และคำตอบว่าทำไมพรรคพลังประชารัฐจึงเสนอชื่อ”ลุงตู่” เป็นนายกรัฐมนตรี ให้เป็นคำตอบสุดท้ายของบ้านเมืองในปัจจุบันนั้น รวมถึง 4 ปีที่ผ่านมาการบริหารประเทศของรัฐบาล”ลุงตู่” ถือว่าเสียของจริงหรือ

อย่างไรก็ตาม จากการติดตามหนังสือเล่มดังกล่าว พบว่า จัดพิมพ์เป็นลักษณะพ็อคเก็ตบุ๊คขนาดกระชับมือ มีจำนวน 160 หน้า โดยภายในเล่ม ประกอบด้วยเรื่องราวพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา สมัยดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.)​ แต่ทำไมถึงต้องเข้ามายุติปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง พร้อมกับเดินหน้าบริหารบ้านเมืองท่ามกลางการดูถูกเหยียดหยาม ท้าทาย แต่ในที่สุดก็ได้รับการยอมรับจากพี่น้องประชาชนนำพาความสงบสุขกลับคืนสู่แผ่นดินมาตลอดสี่ปี

พร้อมกันนั้น สร้างผลงานมากมายเป็นที่พึงพอใจให้กับประชาชน ที่สำคัญต่างประเทศให้ความเชื่อมั่น โดย ปรากฎจากข้อมูลองค์การต่างประเทศ สื่อมวลชนต่างประเทศ กลุ่มสหภาพยุโรป ยกระดับไทยอยู่แถวหน้าทั้งด้านการท่องเที่ยว ประเทศน่าลงทุน การขับเคลื่อนโครงการรถไฟฟ้า ระบบรางได้อย่างรวดเร็ว

ข้อมูลต่างๆเหล่านี้ มีการนำเสนอด้วยภาพสี่สีสวยงามอาร์ตมัน ผสมผสานด้วยการออกแบบอินโฟกราฟฟิคสมัยใหม่ เข้าใจง่าย ผ่อนคลายเบาๆไม่ตึงเครียด เหมาะสำหรับเก็บไว้อ่านศึกษาบุคคลที่นำพาความสำเร็จให้กับประเทศ

ทั้งนี้มีการจัดพิมพ์ 10,000 เล่ม เพื่อแจกจ่ายให้ผู้สมัคร ส.ส. 350 เขต และส.ส.บัญชีรายชื่อของพรรค รวมทั้งทีมงานผู้สมัคร ส.ส.เพื่อใช้รณรงค์หาเสียง‬

ภายในเล่มมี การถ่ายทอดเบื้องหลังคำพูดของ”ลุงตู่” ในสถานการณ์ต่างๆ คัดสรรประโยคกินใจ มีความหมายลึกซึ้งสะท้อนมุมมองวิสัยทัศน์ และยังมีเสียงสะท้อนจากคนใกล้ตัว ครูอาจารย์ หรือแม้แต่สื่อมวลชนอาวุโสที่บอกถึงตัวตนพล.อ.ประยุทธ์อย่างตรงไปตรงมาอีกด้วย

หนังสือ” ประชารัฐ สร้างชาติ” แบ่งเป็น 5 บทด้วยกัน

เริ่มตั้งแต่บทแรก ชื่อ “ล้มลุกคลุกคลาน” เป็นการฉายภาพประเทศไทยก่อน 22 พ.ค.2557 ตกอยู่ในสภาพวุ่นวาย สับสน ความขัดแย้งทางการเมืองฉุดประเทศไทยให้ถดถอย เศรษฐกิจชลอตัว นักลงทุนเผ่นหนี นักท่องเที่ยวหดหาย

บทที่2 ” ยืนหยัดอย่างมั่นคง” นำเสนอเรื่องราวหลังเหตุการณ์วันที่ 22 พ.ค.2557 ทันที่ที่”ลุงตู่” ตัดสินใจเสียสละเข้ามาบริหารประเทศ สถานการณ์บ้านพลิกโฉมเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วทั้งด้านความสงบ เศรษฐกิจฟื้นตัว วางโครงสร้างกำหนดทิศทางประเทศระยะยาว จนได้รับการยอมรับ

บทที่ 3 “บุรุษที่ใช่” เป็นการปอกเปลือกตัวตน”ลุงตู่” ทั้งนิสัยใจคอ บุคลิกภาพที่แม้ดูแข็งกร้าวแต่กลับกลายเป็นที่รักของผู้คนทุกเพศทุกวัย และยังบอกเล่าภารกิจไม่เหน็ดเหนื่อยด้วยการ เดินทางมอบความสุขไปทั่วทุกพื้นที่ตารางกิโลเมตรเมตรประเทศไทย พร้อมกับเป็นผู้นำเนื้อหอม เนื่องจาก ผู้นำหลายชาติ เอเชียยุโรปอเมริกาต่างเชื้อเชิญต้อนรับให้มาเยือน

บทที่ 4 ” คืนความสุข” นำเสนอผลงานหลังจากพล.อ.ประยุทธ์แถลงนโยบายต่อที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.)​ด้วยวรรคทอง”ทำก่อน ทำจริง ทำทันที” ซึ่งไม่ใช่คำโฆษณาโอ้อวด แต่กลับกลายเป็นผลงานจับต้องได้ จนโพลทุกสำนักเทคะแนนความนิยม มาเป็นอันดับหนึ่งทุกครั้ง เช่น ผลงานแก้หนี้นอกระบบ คืนโฉนดจากกลุ่มผู้มีอิทธิพลให้ประชาชนสำเร็จ บัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่เป็นมากกว่าบัตรอภินิหารแก้จน แต่สามารถสร้างงานสร้างอาชีพให้ผู้มีรายได้น้อย การผลักดันบ้านล้านหลัง ร้านธงฟ้าประชารัฐ โครงการสานพลังประชารัฐให้ทุกภาคส่วนร่วมมือสร้างประเทศ การเดินหน้าโครงการอีอีซีซีกลายเป็น พื้นที่ทองคำทางเศรษฐกิจ

นอกจากนี้ยังมีผลงานอีกมากมายโดยได้ทำการสรุปแบบกระชับให้เข้าใจง่าย ทั้งกรณีไอเคโอปลดธงแดง มาตรฐานการบิน อียูยกเลิกใบเหลืองทำประมง การผลักดันโครงการรถไฟฟ้าหลายเส้นทางในระยะเวลาอันรวดเร็วซึ่งแตกต่างจากรัฐบาลที่ผ่านๆมา แม้แต่การเดินหน้าโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมต่ออินโดจีน รวมถึงแนวทางการเชื่อมเส้นทางรถไฟความเร็วสูงจากสนามบินดอนเมือง-สุวรรณภูมิ -​ อู่ตะเภา เป็นต้น

บทที่5 ” เปิดปูมชีวิตสู่ความสำเร็จ” เป็นการถ่ายทอดประวัติ ดช.ตู่สู่นายกรัฐมนตรีคนที่29 ของประเทศไทย นำเสนอด้วยอินโฟกราฟฟิค เหมาะแก่การเก็บไว้ศึกษาเป็นคู่มือผู้นำไทยที่ควรยกย่อง และยังได้บอกเล่าบุคคลที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จ”ลุงตู่” รวมถึงเสียงสะท้อนจากบุคคลใกล้ชิด คณาจารย์ที่อบรมสอนสั่งและมุมมองสื่อมวลชนทำเนียบรัฐบาลที่มีต่อนายกฯรายนี้

หน้าท้ายๆ สามารถสร้างรอยยิ้มให้ผู้อ่าน เมื่อมีการนำเสนอภาพอิริยาบท”ลุงตู่” ชนิดที่คนไทยไม่ค่อยเห็นบ่อยนัก ในหัวข้อ “มุมสบายๆสไตล์ลุงตู่” เช่น การรับประทานอาหารกับ ศรีภรรยา อาจารย์น้อง อย่างอบอุ่น หรือการใช้เวลาว่างอ่านหนังสือ ดูแลสุนัขพันธ์ุบางแก้วตัวโปรด หรือแม้แต่การเป็นนักขับมอเตอร์ไซค์ทางเรียบ ปั่นจักรยาน รำมวยไทเก็ก ร่วมกับประชาชนอย่างมีความสุข

บทส่งท้าย ยังได้เล่าถึงความเป็นไปของบ้านเมืองที่สงบสุข นับตั้งแต่” ลุงตู่”บริหารประเทศมากว่า 4 ปี ทว่าประเทศไทยกำลังมีการเลือกตั้ง 24 มี.ค.62 ทำให้หลายคนเป็นห่วงสถานการณ์บ้านเมืองนับจากนี้ ที่สำคัญจะมีใครเหมาะสมมาสานต่อภารกิจ”ลุงตู่” ที่ตอกเสาเข็มเพื่อให้ประเทศไทยยั่งยืน มั่นคง มั่งคั่ง

เมื่อการสร้างบ้านแปลงเมืองไว้ยังไม่แล้วเสร็จ จึงมีเสียงเรียกร้องให้”ลุงตู่”เข้ามาสานต่อ ด้วยเหตุนี้จึงเป็นคำตอบของคำถามทำไมพล.อ.ประยุทธ์ถึงตอบตกลงพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.)​ให้เสนอชื่อตนเองเป็นนายกฯ ในการเลือกตั้งครั้งนี้ เพื่อต้องการ สานต่อ”พลังประชารัฐสร้างชาติ” ยั่งยืนไปด้วยกัน นั่นเอง

เมื่อรัฐธรรมนูญเปิดทาง พระบรมวงศานุวงศ์เข้าสู่การเมือง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/politic/report/581322

  • วันที่ 24 ก.พ. 2562 เวลา 09:42 น.

เมื่อรัฐธรรมนูญเปิดทาง พระบรมวงศานุวงศ์เข้าสู่การเมือง

การเข้าสู่การเมืองของเจ้านายราชสกุลมิได้เป็นไปโดยไร้หลักเกณฑ์ แต่เป็นไปตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญอย่างเคร่งครัด

**********************

โดย…อภิวัจ สุปรีชาวุฒิพงศ์

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม หรือรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2475 ซึ่งพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานเป็นหลักแนวทางการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หลังจากใช้มาร่วม 14 ปี ผ่านเหตุการณ์ทางการเมืองต่างๆ มากมาย กระทั่งหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อ จอมพล ป. พิบูลสงคราม หลุดจากอำนาจ คณะราษฎรสายพลเรือน ซึ่งมี ปรีดี พนมยงค์ เป็นผู้นำก็ขึ้นมามีอำนาจแทน โดยปรีดีได้ดำริที่จะยกร่างรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์บ้านเมืองที่เปลี่ยนแปลงไป

การยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ถือเป็นความพยายามของกลุ่มปรีดีที่จะหาทางประนีประนอม ลดข้อขัดแย้งกับทุกฝ่าย อาทิ กลุ่มเจ้านาย ขุนนางเก่ากับคณะราษฎร หรือแม้แต่สายทหารและพลเรือนภายในคณะราษฎรเอง

นอกจากการกำหนดให้มีพฤฒสภา ซึ่งถือเป็นวุฒิสภาชุดแรกของไทย จำนวน 80 คน ที่มาจากการเลือกตั้งทางอ้อมโดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบ กลั่นกรอง ให้คำแนะนำปรึกษา และยับยั้งการใช้อำนาจของสภาผู้แทนโดยเฉพาะในด้านนิติบัญญัติ และควบคุมการบริหารราชการแผ่นดินของคณะรัฐมนตรี ซึ่งถือเป็นสาระสำคัญที่โดดเด่นของรัฐธรรมนูญฉบับนี้แล้ว

ประเด็นที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งของรัฐธรรมนูญฉบับ 2489 นี้คือ ในบทเฉพาะกาลมาตรา 90 และ 91 เกี่ยวกับคุณสมบัติของสมาชิกพฤฒสภาและ สส. ระบุว่า ให้ยกเว้นข้อห้ามตามมาตรา 11 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2475

มาตรา 11 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2475 ซึ่งบัญญัติไว้ว่า“พระบรมวงศานุวงศ์ตั้งแต่ชั้นหม่อมเจ้าขึ้นไปโดยกำเนิดหรือโดยแต่งตั้งก็ตาม ย่อมดำรงอยู่ในฐานะเหนือการเมือง”

พล.ร.ต.ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ กรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ ชี้แจงต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 22/2489 วาระการพิจารณาร่างพระราชบัญัติร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2489 วันที่ 12 เม.ย. 2489 ว่า

“…เหตุว่าเมื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองใหม่ๆ ก็ย่อมจะมีการกระทบกระทั่งกันเป็นธรรมดา เหตุผลที่ให้ในกรรมาธิการรัฐธรรมนูญนั้น ก็คือ การที่ไม่มีมาตรา 11 ไว้ จะเป็นการทำให้เจ้านายทรงเล่นการเมือง ซึ่งอาจจะทำให้เกิดการกระทบกระเทือนไปสู่องค์พระมหากษัตริย์ได้ นั่นเป็นเหตุผลครั้งกระโน้น ต่อมาเหตุผลก็คล้ายๆ กันและได้คลายความสำคัญลงไปเป็นลำดับ”

“…เพราะฉะนั้นในการที่เราจะเสนอเหตุผลที่จะอ้างว่า การที่จะเอามาตรานี้ไว้เพื่อป้องกันพระเกียรติยศของเจ้านายก็คลายความสำคัญลงไป และก็เป็นความดำริของเจ้านายแต่ละองค์ที่จะทรงคิดเองว่าจะทรงเล่นการเมืองหรือไม่ เมื่อเล่นแล้วจะมีการกระทบกระเทือนประการใดก็เป็นไปตามวิธีทางการเมือง และเหตุผลประการสำคัญก็คือว่า หลักในเรื่องเสรีภาพในทางการเมือง ซึ่งไม่เป็นการสมควรที่จะเขียนบังคับเอาไว้ เพราะเหตุว่าบรรดาเจ้านายต่างๆ นั้นก็เป็นประชาชนชาวไทยเหมือนกัน ด้วยเหตุผลหลายประการดังที่ได้แจ้งมานี้ คณะกรรมาธิการจึงเห็นว่าไม่สมควรที่จะมีบทบัญญัติในทำนองมาตรา 11 นี้ไว้ จะจำกัดไว้ในมาตราใดก็ตาม แต่เห็นว่าไม่สมควรไว้ในรัฐธรรมนูญใหม่นี้อีกต่อไป”

การยกเลิกบทบัญญัติดังกล่าวทำให้ข้อห้ามพระบรมวงศานุวงศ์ตั้งแต่ชั้นหม่อมเจ้าขึ้นไปดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีอยู่แต่ในรัฐธรรมนูญฉบับ 2475 เพียงฉบับเดียวเท่านั้น

พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ / ภาพ กรมศิลปากร

หลังการยกเลิกบทบัญญัติดังกล่าว พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวรรณไวทยากร (ต่อมาได้รับพระมหากรุณาธิคุณเลื่อนอิสริยยศเป็นพระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์) ก็ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งสมาชิกพฤฒสภาชุดแรกเมื่อเดือน พ.ค. 2489

คนทั่วไปมักเข้าใจว่า เหตุที่พระองค์วรรณดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้ ก็เนื่องจากเป็นอิสริยยศในพระอนุวงศ์ เป็นหม่อมเจ้าแต่กำเนิด แต่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ เลื่อนอิสริยยศเป็นพระองค์เจ้าในภายหลัง ไม่ใช่พระบรมวงศ์ ซึ่งเป็นพระญาติใกล้ชิดของพระมหากษัตริย์ ซึ่งความเข้าใจดังกล่าวก็มีส่วนถูกต้อง เพียงแต่หลักสำคัญซึ่งเป็นแนวทางปฏิบัติ คือไม่มีข้อห้ามในรัฐธรรมนูญเช่นก่อนหน้านี้

ขณะเดียวกัน ในการเลือกตั้งซ่อมสส.พระนครศรีอยุธยา เดือน ส.ค. 2489 ม.จ.นิตยากร วรวรรณ ก็ได้รับเลือกตั้งแทน ปรีดี พนมยงค์ ซึ่งลาออก ขณะที่ ม.จ.นนทิยาวัด สวัสดิวัตน์ สส.ชลบุรี ได้รับแต่งตั้งเป็น รมช.ต่างประเทศในรัฐบาล พล.ร.ต.ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ ช่วงเดือน ส.ค. 2489-พ.ค. 2490

พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริ / ภาพจาก princechak.com

 

พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวิวัฒนไชย / ภาพ wikipedia

หลังรัฐธรรมนูญ 2489 รัฐธรรมนูญฉบับต่อมาคือฉบับชั่วคราวปี 2490 ในบทเฉพาะกาลมาตรา 97 ก็บัญญัติให้ยกเว้นการห้ามตามมาตรา 11 รัฐธรรมนูญ 2475 ด้วยเช่นกัน โดยพระบรมวงศานุวงศ์ที่ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับนี้ โดยในส่วนของสมาชิกวุฒิสภา ประกอบด้วย ม.จ.เฉลิมศรีจันทรทัต จันทรทัต ม.จ.ชัชวลิต เกษมสันต์ ม.จ.วัฒยากร เกษมศรี พล.ท.ม.จ.เสรฐศิริ กฤดากร ม.จ.วิวัฒนไชย ไชยันต์ พล.ต.ม.จ.ปรีดิเทพย์พงษ์ เทวกุล ม.จ.ดิศานุวัตร ดิศกุล ม.จ.สฤษดิ์เดช ชยางกูร ม.จ.พรปรีชา กมลาศน์ และ ม.จ.อุปลีสาณ ชุมพล ต่อมาเมื่อดำรงตำแหน่งครบ 3 ปี ก็มีการจับสลากออกครึ่งหนึ่ง โดย ม.จ.วิมวาทิตย์ รพีพัฒน์ ได้รับแต่งตั้งเพิ่มอีก 1 ตำแหน่ง

ในส่วนของคณะรัฐมนตรี ม.จ.วิวัฒนไชย ไชยันต์ (ต่อมาได้รับพระมหากรุณาธิคุณเลื่อนอิสริยยศเป็น พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวิวัฒนไชย) ได้รับแต่งตั้งเป็น รมว.คลังต่อเนื่องในช่วงปี 2490-2494

ม.จ.สิทธิพร กฤดากร เป็น รมว.เกษตราธิการ ช่วงปี 2490-2491

พล.ต.ม.จ.ปรีดิเทพย์พงษ์ เทวกุล เป็น รมว.ต่างประเทศ ช่วงปี 2491-2492

พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวรรณไวทยากร เป็น รมว.ต่างประเทศ ช่วงปี 2495-2500 และเป็น รองนายกรัฐมนตรีช่วงปี 2502-2512

และ ม.จ.จักรพันธ์เพ็ญศิริ จักรพันธุ์ (ต่อมาได้รับพระมหากรุณาธิคุณเลื่อนอิสริยยศเป็นพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริ) เป็น รมว.เกษตรและสหกรณ์ ช่วง พ.ค. 2517-ก.พ. 2518

จะเห็นได้ว่าการเข้าสู่การเมืองของเจ้านายราชสกุลมิได้เป็นไปโดยไร้หลักเกณฑ์ แต่เป็นไปตามบทบัญญัติกฎหมายอย่างเคร่งครัด แม้เหตุผลการบัญญัติตัวบทจะเป็นไปตามเหตุปัจจัยแห่งยุคสมัย ตามสภาพแวดล้อมทางสังคมการเมืองที่เปลี่ยนแปลง แต่หลักปฏิบัติคือการยึดตามกฎหมาย เพื่อธำรงไว้ซึ่งประเพณีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งหลักสำคัญที่บัญญัติไว้ในช่วงเวลากว่า 80 ปีที่ผ่านมาโดยไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลย นั่นคือ “พระมหากษัตริย์ดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้

พล.ต.ม.จ.ปรีดิเทพย์พงษ์ เทวกุล / ภาพ wikipedia

คดียุบพรรค”ไทยรักษาชาติ” ฝ่ายประชาธิปไตยไม่สะดุด

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/politic/report/581313

  • วันที่ 24 ก.พ. 2562 เวลา 07:30 น.

คดียุบพรรค"ไทยรักษาชาติ" ฝ่ายประชาธิปไตยไม่สะดุด

เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ประเมินสถานการณ์การเลือกตั้งว่าเป็นปรากฏการณ์ที่แปลกในช่วงการเลือกตั้งที่ยังมีการใช้อำนาจในการดำเนินการกับพรรคการเมืองฝ่ายตรงกันข้าม

**********************

โดย…ธนพล บางยี่ขัน

เข้าสู่ช่วง 30 วันสุดท้ายก่อนการเลือกตั้ง 24 มี.ค. ท่ามกลางบรรยากาศการเมืองที่อึมครึมและมีปัจจัยร้อนต่างๆ อันล้วนแต่มีผลต่อทิศทางการลงคะแนนและการจับขั้วหลังเลือกตั้ง

ภูมิธรรม เวชยชัย เลขาธิการพรรคเพื่อไทย มองว่า สิ่งที่น่าเป็นห่วงในการเลือกตั้งครั้งนี้ คือเรื่องการประชาสัมพันธ์ เพราะการหาเสียงเลือกตั้งครั้งนี้ใช้กติกาที่เปลี่ยนแปลงเยอะมาก โดยเฉพาะบัตรใบเดียวเลือกทั้ง สส.เขตและบัญชีรายชื่อ หรือบัญชีนายกฯ ซึ่งการสื่อสารประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรับรู้ยังน้อย

รวมไปถึงเรื่องการแบ่งเขตเลือกตั้งใหม่ที่หลายส่วนผิดแผกไปจากเดิม ซึ่งความไม่ชัดเจน ความสับสน จะเป็นปัญหา ดังนั้นสิ่งที่อยากเห็นคือการประชาสัมพันธ์ ทำความเข้าใจให้ประชาชนรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงการเลือกตั้ง การลงคะแนนในบัตรเลือกตั้ง การดำเนินการในกฎกติกาต่างๆ อีกทั้งการลงทะเบียนเพื่อลงคะแนนเสียงล่วงหน้า ก็ไม่ได้มีการเตรียมการเพียงพอจนเกิดเว็บล่ม มีผู้ไม่สามารถใช้สิทธิล่วงหน้า ซึ่งจะทำให้ผู้ใช้สิทธิหายไปจำนวนหนึ่ง

“การหาเสียงเลือกตั้งครั้งนี้ ระเบียบกติกาหยุมหยิมค่อนข้างมาก แต่ละคน แต่ละส่วน ที่จะดำเนินการต้องระมัดระวัง ทำให้เป็นการเลือกตั้งที่ผิดแผกแตกต่างไปจากเดิม ที่พรรคการเมืองมีอิสระในการสามารถคิดค้นวางยุทธศาสตร์ทำได้ยากลำบากกว่าเดิม อันนี้เป็นเรื่องที่พรรคการเมืองต่างๆ ต้องเผชิญกันถ้วนหน้า โดยรู้สึกว่าเป็นการเลือกตั้งที่ไม่ค่อยราบรื่นคล่องตัว หรือสามารถสื่อสารกับประชาชนได้มากที่สุด”

เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ประเมินว่า องค์กรที่ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการเรื่องนี้ยังเข้าใจปรัชญาการดำเนินการเรื่องนี้ไม่ถูกต้อง ความจริงแล้วการเลือกตั้งควรจะเป็นการเลือกตั้งที่ทำให้ทุกฝ่ายเข้าถึงข้อมูลได้มากที่สุด รับรู้ข้อมูลข่าวสารพรรคการเมืองต่างๆ ได้มากที่สุด เพื่อให้ประชาชนได้คิดตัดสินใจเลือกอนาคตตัวเองได้ดีที่สุด

ส่วนบรรยากาศในช่วงเวลานี้ ทำให้หลายฝ่ายเริ่มมองว่าฝ่ายที่มีอำนาจปัจจุบัน ซึ่งยึดอำนาจ 5 ปี มีความตั้งใจจะคืนอำนาจอย่างแท้จริงหรือไม่ เพราะบรรยากาศไม่เหมือนกับบรรยากาศการเลือกตั้งทั่วไป รัฐบาลยังทำหน้าที่เต็มพิกัด เต็มขีดความสามารถตัวเอง และยังจะกำหนดชะตากรรมอนาคตข้างหน้า แทนที่จะปล่อยให้เกิดบรรยากาศเสรีในการหาเสียงอย่างกว้างขวางเป็นธรรม

ทั้งนี้ การปฏิบัติต่างๆ ที่ผ่านมาเห็นปัญหาในการให้โอกาสทุกฝ่ายไม่เท่ากัน รัฐบาลมีอำนาจแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ ใช้งบประมาณลงไปดำเนินการ นายกฯ เองมีพรรคที่สนับสนุนชื่นชอบให้มาลงแคนดิเดตนายกฯ ในพรรค แต่ยังทำหน้าที่เสมือนเป็นรัฐบาล ไม่ใช่รักษาการอย่างที่ระบอบประชาธิปไตยเขาทำกัน ยังมีโอกาสใช้สื่อมากกว่าคนอื่น ขณะที่พรรคอื่นใช้สื่อค่อนข้างลำบาก

“วันนี้ไม่ใช่แค่พรรคเพื่อไทยที่ต้องเผชิญกับสภาพนี้ แต่ทุกพรรคที่กระโดดเข้ามาแข่งขันภายใต้ระบอบประชาธิปไตยก็ต้องประสบปัญหาหนักเท่ากัน เพราะว่าขณะนี้มีฝ่ายหนึ่งอยู่ในอำนาจปัจจุบัน มีโอกาส ศักยภาพมากกว่าคนอื่น ในขณะที่พรรคการเมืองอื่นๆ ในระบอบประชาธิปไตยต้องเผชิญกับข้อระเบียบต่างๆ เริ่มต้นยังไงก็ไม่ค่อยยุติธรรมอยู่แล้ว”

ภูมิธรรม ระบุว่า ผู้มีอำนาจในปัจจุบันเป็นผู้ที่กำหนดกลไก องค์ประกอบ หรือคนที่จะเขียนกติกาใหม่ทั้งหมด แต่ตอนนี้อาสาตัวเองกระโดดเข้ามาเป็นหนึ่งในแคนดิเดตของพรรคการเมืองที่เข้ามาร่วมการแข่งขัน ดังนั้นก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าคนที่มีอำนาจเดิมมีโอกาสเข้ามาควบคุมกลไกต่างๆ เข้ามาต่อสู้กับพรรคการเมืองต่างๆ แต่เชื่อว่าประชาชนตรวจสอบได้ว่า 4-5 ปี ที่อยู่กับรัฐบาลที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จแบบนี้ ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาในชีวิตเป็นอย่างไร

ส่วนเรื่องกระแสข่าว “ปฏิวัติซ้อน” ที่ออกมาในช่วงนี้ ภูมิธรรม เห็นว่า เรื่องข่าวลือจะไปโทษใครก็ไม่ได้ เพราะไม่รู้ว่ามาจากไหน แต่บรรยากาศอย่างนี้ยิ่งทำให้หลายคนเริ่มตั้งคำว่า จะยังมีการเลือกตั้งอยู่ไหม ทั้งที่เหลือเวลาหาเสียงอีกแค่ 30 วัน ถามผู้สื่อข่าวทุกสำนัก ถามนักการเมืองทุกคน ก็ยังไม่รู้ว่าจะมีการเลือกตั้งหรือไม่มี หรือจะมีรัฐบาลเฉพาะกาลนู่นนี่

“เป็นการเลือกตั้งในบรรยากาศที่แปลก ไม่เคยเห็นในบรรยากาศประชาธิปไตยไทย มันก็ทำให้แต่ละฝ่าย เอ๊ะ ยังจะลงแรงไปเช่นนั้นหรือไม่ คนที่กังวล มึน งง ก็คอยระมัดระวังตัว ทำงานไม่ถนัด ไม่เป็นธรรมชาติจริงๆ ซึ่งไม่เอื้อต่อระบอบประชาธิปไตย ความจริงบรรยากาศการเลือกตั้งที่เกิดขึ้นในที่ต่างๆ ทั่วโลกคงจะคึกคักมาก ทุกคนออกมาแสดงความคิดความเห็นเต็มที่ คนเห็นเหมือนเห็นต่างก็ออกมาถกเถียงกันได้เต็มที่ การสร้างสรรค์สติปัญญาทำให้เกิดการหาทางออก ทางเลือกของชีวิตแต่ละส่วนกันกว้างขวางมากขึ้น ทำให้คนเห็นทางเลือก แต่สังคมไทยไม่เกิดสิ่งเหล่านั้น ยังอึมครึม ใช้กฎระเบียบ สภาพบังคับ กำหนดทิศทางการหาเสียงอย่างยากลำบาก”

ส่วนคดียุบพรรคไทยรักษาชาติที่อาจจะเป็นตัวแปรในการลงคะแนนเลือกตั้งนั้น ภูมิธรรม กล่าวว่า แทนที่บรรยากาศจะเอื้อให้ทุกฝ่ายได้พูดแสดงความคิดเห็นได้เต็มที่ เพื่อให้ประชาชนได้มีสิทธิตัดสินใจและเลือก กลายเป็นต้องมาห่วงว่าทำไอ้นั่นผิดตรงนั้นหรือเปล่า ทำตรงนี้ผิดหรือเปล่า จะถูกยุบตรงนั้น ตรงนี้ สร้างความหวาดระแวงหวาดกลัว มากกว่าการส่งเสริมการใช้สติปัญญาคิดแสวงหาทางออกทางเลือกให้ประชาชน

ถามว่าคดียุบพรรคไทยรักษาชาติจะกระทบกับยุทธศาสตร์แตกแบงก์พันเป็นแบงก์ร้อยมากน้อยแค่ไหน เลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า มันไม่มีกลุ่มหรือยุทธศาสตร์แบงก์พันแบงก์ร้อย เป็นเรื่องที่คนคิดกันไปเอง ไม่มีพรรคการเมืองไหนเคยประกาศแบบนั้น แต่วันนี้พรรคฝั่งที่เป็นประชาธิปไตยไม่พึงพอใจกับรัฐบาลที่มาจากรัฐประหาร และรณรงค์หาทางแก้ไข พรรคไทยรักษาชาติก็เป็นหนึ่งในพรรคฝ่ายประชาธิปไตย ถ้าหากเขามีปัญหาก็กระทบกับพรรคฝั่งประชาธิปไตยบ้าง แต่เชื่อว่าพรรคฝั่งประชาธิปไตยดำเนินการต่อไปได้ และประชาชนตัดสินใจโดยไม่ได้เลือกอยู่กับพรรคใดพรรคหนึ่ง

นอกจากนี้ พรรคไทยรักษาชาติจะถูกยุบหรือไม่ถูกยุบไม่อาจสรุปได้ชัดเจน เรายังไม่รู้ว่าพรรคไทยรักษาชาติจะถูกยุบไหม และกระบวนการพิจารณาจะใช้เวลานานเท่าไร ถ้าตัดสินก่อนการเลือกตั้ง ผลก็อย่างหนึ่ง ถ้าตัดสินใจหลังลงคะแนนเลือกตั้ง ผลก็อีกอย่างหนึ่ง หรือตัดสินหลังประกาศรับรองผลแล้วก็อีกอย่างหนึ่ง ไม่มีใครบอกได้ว่าผลจะออกมาอย่างไร

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สำคัญที่สุดคือกระบวนการตัดสินยุบพรรค ไม่ว่าจะพรรคไทยรักษาชาติ อนาคตใหม่ หรือพรรคอื่น ต้องได้รับสิทธิในวิธีการต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรมที่โปร่งใส กว้างขวาง ทั่วถึง ให้เขาได้ปกป้องชี้แจงเหตุผล ปกป้องตัวเอง ตามระบบปกติ ในส่วนของไทยรักษาชาติเขาแค่กำลัง “สะดุด” แต่ยังเห็นหาเสียงเดินหน้า คนที่มีปัญหากรรมการบริหารพรรคก็สู้กันไป แต่สมาชิกที่ลงสมัครเลือกตั้งก็เดินหน้าหาเสียงต่อ

ส่วนที่มองกันว่าเวลานี้เพื่อไทยเปิดหน้าชนกับกองทัพจนเกิดวิวาทะพาดพิงกันไปมานั้น ภูมิธรรม ชี้แจงว่า ไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพื่อไทยไม่ได้มองกองทัพเป็นปฏิปักษ์ แนวคิดเรื่องการปรับลดงบประมาณกองทัพก็เป็นหนึ่งในนโยบายเพื่อหาทางทำให้กองทัพมีประสิทธิภาพในการดูแลกำลังพล เพิ่มประสิทธิภาพ ศักยภาพกองทัพ และชีวิตความเป็นอยู่ของกำลังพลชั้นผู้น้อย

ทั้งนี้ ไม่ใช่แค่การจัดสรรงบของกองทัพอย่างเดียว แต่เกี่ยวกับการจัดสรรงบประมาณทั้งระบบ เพื่อดึงงบประมาณจากส่วนไหนมาจัดสรรงบประมาณในสถานการณ์ปัจจุบัน เพื่อรองรับความยากจนของประชาชนที่ประสบปัญหารุนแรง และรองรับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี มีคนตกงานมากขึ้น รองรับความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ สตาร์ทอัพให้ตั้งตัว พัฒนาเศรษฐกิจประเทศ

การจัดสรรงบประมาณกองทัพในความเห็นเรา ก็เหมือนกับหลายคนที่เสนอความคิดของแต่ละพรรค ซึ่งไม่อยากให้คนมองหรือกองทัพรู้สึกว่าสิ่งที่เสนอกระทบ คุกคาม เพราะการเสนอความเห็นเป็นรูปแบบการจัดการทรัพยากรที่มีจำกัด ไปบริการคนในสังคม ซึ่งมีช่องทางเลือกพัฒนาเศรษฐกิจ ความเป็นอยู่ ความยากจนให้ดีขึ้น

ถามว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ยังเป็นการแข่งขันของสองขั้วอยู่หรือไม่ ภูมิธรรม กล่าวว่า เป็นมาตั้งแต่แรก คือกลุ่มอำนาจเดิมที่ได้อำนาจมาจากวิธีพิเศษและอยู่ในอำนาจต่อไป ซึ่งต้องไปตรวจสอบว่าชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนดีขึ้นหรือไม่หลังกลุ่มนี้เข้ามามีอำนาจ กับอีกขั้วที่เป็นฝ่ายประชาธิปไตย ซึ่งมองว่าจะต้องกระจายอำนาจ ไม่รวมศูนย์ เปิดสิทธิเสรีภาพให้ประชาชนมากขึ้น ซึ่งประชาชนจะได้เลือกสองแบบ คืออำนาจแบบปัจจุบัน หรือประชาธิปไตยแบบใหม่

สำหรับโค้งสุดท้ายกับประมาณ 30 วันที่เหลือก่อนจะถึงวันเลือกตั้ง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย มองว่า พรรคเพื่อไทยยังอยู่ในหัวใจประชาชน ประสบการณ์ที่ผ่านมาได้พิสูจน์ให้พี่น้องประชาชนเห็นแล้วว่า พรรคเพื่อไทยพูดได้และทำได้จริง และทำได้จริงมากกว่าที่พูด มีนโยบายแก้ปัญหาให้ประชาชนก็สามารถนำมาปฏิบัติได้จริง จากการพูดคุยเราเห็นประเด็นปัญหา ทำให้การแก้ปัญหาตรงประเด็นในการหยิบนโยบายมาบริหารประเทศ การเลือกตั้ง 20 ปีที่ผ่านมา เพื่อไทยประสบความสำเร็จได้ที่หนึ่งมาตลอด เพราะมีผลงาน มีนักบริหารมืออาชีพ

“วันนี้ไม่ว่าจะต้องเผชิญปัญหาอุปสรรค ความยากลำบากอะไร ที่จะเป็นอุปสรรคขัดขวางการเลือกตั้งไม่ราบรื่น เราเชื่อว่าประชาชนจะยังเลือกและฝากอนาคต ความหวังกับพรรคการเมืองที่บริหารงานแบบมืออาชีพ เข้าใจปัญหาประชาชน เชื่อว่าพรรคเพื่อไทยจะประสบชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งนี้” ภูมิธรรม กล่าว

นโยบาย’พท.-พปชร.’ ใครประชานิยมกว่ากัน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/politic/report/581210

  • วันที่ 23 ก.พ. 2562 เวลา 08:56 น.

นโยบาย'พท.-พปชร.' ใครประชานิยมกว่ากัน

โดย….ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์

การหาเสียงเลือกตั้งเดินมาครึ่งทาง ซึ่งทุกพรรคต่างขับเคี่ยวกันอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะพรรคใหญ่ๆ ต่างงัดนโยบายมาประชันกันเต็มกำลัง ท่ามกลางข้อครหาพรรคนั้นลอกนโยบายพรรคนี้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนโยบายเกี่ยวกับเศรษฐกิจ ปัญหาปากท้อง ซึ่งแต่ละพรรคเกทับ บลัฟกันแหลก โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทยที่ชู “ประชานิยม” กับพรรคพลังประชารัฐ ที่งัด “รัฐสวัสดิการ” มาสู้ ส่วนนโยบายของทั้งสองพรรคมีรายละเอียดที่น่าสนใจดังนี้

พรรคเพื่อไทย

* ชูเพิ่มพลังให้คนไทย 7 ด้าน

1.เพิ่มพลังเกษตรกร ด้วยการเพิ่ม ราคาข้าวเปลือก ยางพารา ปรับโครงสร้าง หนี้ ปรับโครงสร้างรายได้ พลิกฟื้นหน้าดิน เปลี่ยนกัญชาเป็นผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ยุคใหม่ 2.เพิ่มพลังเอสเอ็มอี พลิกฟื้นเศรษฐกิจให้ค้าขายคล่อง เป็นคู่ค้ากับ หน่วยงานรัฐ เพิ่มธนาคารส่งเสริม ขจัด อุปสรรคการส่งออก พอไปบุกตลาดต่างประเทศ 3.เพิ่มพลังผู้ส่งออก เจรจาการค้ากับประเทศคู่ค้า ทลายอุปสรรคด้านภาษี ใบอนุญาต พิธีการศุลกากร พัฒนา “จุดบริการครบวงจร” ให้ผู้ส่งออกทุกระดับ 4.เพิ่มพลังการท่องเที่ยว ฟื้นความเชื่อมั่น ส่งเสริมแหล่งเงินทุนแก่รายย่อย สนับสนุน โฮมสเตย์ชุมชน ร้านอาหารท้องถิ่น และ ของฝากตำบล 5.เพิ่มพลังพนักงานบริษัทและคนรุ่นใหม่ พัฒนาทักษะ สร้างงาน และสร้างธุรกิจให้ผู้ถูกเลิกจ้าง ด้วยกองทุนคนเปลี่ยนงาน 6.เพิ่มพลัง ผู้สูงอายุ เพิ่มเบี้ยยังชีพ สร้างงาน แปลง ประสบการณ์เป็นทุน ตั้งหวยออมทรัพย์ มีเงินออมพร้อมลุ้นรางวัล 7.เพิ่มพลัง สตรี เพิ่มประสิทธิภาพกองทุน สร้าง อาชีพ ให้ค่าตอบแทนคณะกรรมการสตรี หมู่บ้าน

* สร้างความแข็งแกร่งให้ประเทศไทย 5 ด้าน

1.30 บาทยุคใหม่ สร้างสุขดีถ้วนหน้า “แข็งแรงก่อนแก่ ดูแลก่อนป่วย มีอายุยืนแบบสุขภาพดี” เช่น ได้สิทธิดูแลสุขภาพก่อนป่วย ยาดี รักษาดี คุณภาพดี ไม่ต้องรอคิว ใส่ใจบุคลากร

2.ยกระดับโครงสร้างพื้นฐาน ลดต้นทุน เพิ่มรายได้ ยกระดับคุณภาพชีวิต เช่น เชื่อมโยงโครงข่ายคมนาคม สร้างเมืองน่าอยู่ พัฒนาระบบบริหารจัดการน้ำ พัฒนาโครงข่ายอินเทอร์เน็ต

3.พัฒนาคนไทยเป็น “พลเมืองโลก” มีทักษะทำงานที่ทันสมัย คว้าโอกาสจากโลกยุคใหม่ เป็นนายของหุ่นยนต์ เช่น คืนโรงเรียนให้ครอบครัว เรียนฟรี จริง 15 ปี 8 ปี ชี้ทางชีวิต ยกเลิกผู้ค้ำประกัน กยศ. โรงเรียนออนไลน์ 1 วันวิชาอนาคต

4.ทลายอุปสรรคทางกฎหมายที่ ขวางกั้นโอกาสของประชาชน เช่น ยกเลิก การขอใบอนุญาต ปรับปรุงกฎเกณฑ์ให้ทันสมัย ปรับระบบรัฐราชการ เป็นรัฐ ประชาชน

5.ดูแลสิ่งแวดล้อม สร้าง Green Evolution (5G) Green Policy Green Growth Green Development Green City Green Society

พลังประชารัฐ

ชู “นโยบายสร้างชาติ เพิ่มพลังเศรษฐกิจ” “นโยบาย 7-7-7” ประกอบด้วย 3 พันธกิจ ได้แก่ 7 สวัสดิการประชารัฐ, 7 สังคมประชารัฐ และ 7 เศรษฐกิจ ประชารัฐ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ สร้าง สังคมเข้มแข็ง ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ สร้างโอกาสที่เท่าเทียมและสร้างความสามารถให้แข่งขันกับโลก

* 7 สวัสดิการประชารัฐ

1.บัตรประชารัฐ ต่อยอดมาจากบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ สร้างหลักประกันทางสังคมให้กับผู้มีรายได้น้อย 2.สวัสดิการรายกลุ่ม ตามความต้องการหรือความจำเป็นพื้นฐานที่แตกต่างกัน ได้แก่ กลุ่มผู้สูงวัย กลุ่มผู้พิการ กลุ่มสตรี กลุ่ม ผู้ใช้แรงงาน และกลุ่มอาชีพรับจ้าง 3.สวัสดิการคนเมือง เพราะคนเมืองผู้มี รายได้น้อยต้องเผชิญกับการแบกรับ ภาระค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง ไม่ว่าจะเป็น ค่าเดินทาง ค่าที่พัก ค่าเล่าเรียนบุตร 4.หมดหนี้มีเงินออม ช่วยทุเลาภาระหนี้ให้กับ 6 กลุ่มสำคัญ ได้แก่ ผู้ใช้แรงงาน ชาวนา ข้าราชการ SMEs ครู และนักศึกษา 5.โครงการบ้านล้านหลัง ให้ประชาชน มีบ้านเป็นของตัวเอง 6.บ้านสุขใจวัยเกษียณ เพราะประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคม ผู้สูงวัย 7.สิทธิที่ดินทำกินให้เกษตรกร

* 7 สังคมประชารัฐ

1.การศึกษา 4.0 พัฒนาคน เตรียมความพร้อมให้ทุกคนมีโอกาส ตั้งแต่วัยเด็กจนถึงคนทำงาน 2.กระจายศูนย์กลางความเจริญสู่ภูมิภาค เช่น EEC และ ต่อยอดไปยังภูมิภาคอื่นๆ โดยให้แต่ละภูมิภาคเชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของ CLMV 3.สร้างเมืองน่าอยู่ ใกล้บ้าน มีงานทำ 4.ชุมชนประชารัฐ ร่วมพัฒนาบ้านเกิด โดยจะมี “กองทุนพัฒนาชุมชนประชารัฐ” มีแหล่งน้ำชุมชน โครงการ ป่าไม้มีค่า และสร้างวิสาหกิจชุมชน

5.เมืองอัจฉริยะสีเขียว โดยใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ ของคน 6.สังคมประชารัฐสีขาว ปลอดภัย ปลอดโรค ปลอดยา 7.Bangkok 5.0 ผุด 9 ย่านนวัตกรรม พัฒนาย่านการค้า คืนคลองสวยน้ำใสให้คนกรุง สร้างเครือข่ายคมนาคมที่สมบูรณ์ ผ่านเทคโนโลยี 5จี

ปรับขุนพลสู้เลือกตั้ง เสริมแกร่งเก็บชัยชนะ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/politic/report/581093

  • วันที่ 22 ก.พ. 2562 เวลา 06:14 น.

ปรับขุนพลสู้เลือกตั้ง เสริมแกร่งเก็บชัยชนะ

โดย…ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์

ปิดรับสมัคร สส.ทั้งแบบแบ่งเขต เลือกตั้ง และบัญชีรายชื่อ รวมถึงเสนอชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ไปเป็นที่เรียบร้อยเมื่อวันที่ 8 ก.พ.ที่ผ่านมา ทำให้ได้เห็นโฉมหน้าค่าตาของผู้สมัครของแต่พรรคการเมืองหากเทียบกับการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา

เมื่อย้อนดูปี 2554 กทม. พรรค เพื่อไทย ส่งผู้สมัครครบ 33 เขต อาทิ พล.ต.ต.รุ่งโรจน์ เภกะนันทน์ ม.ล.ณัฏฐพลเทวกุล พงษ์พิสุทธิ์ จินตโสภณ รพงษ์ ตันติเวชยานนท์ ลีลาวดี วัชโรบล กวี ณ ลำปาง อนุตตมา อมรวิวัฒน์ สิงห์ทอง บัวชุม วิลาวัลย์ ธรรมชาติ เฉลิมชัย จีนะวิจารณะ สุรชาติ เทียนทอง การุณ โหสกุล น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ อนุสรณ์ ปั้นทอง ภักดีหาญส์ หิมะทองคำ พลภูมิ วิภัติภูมิประเทศ

ทว่า ในการเลือกตั้งนี้มีเปลี่ยนตัว ผู้สมัครใหม่เป็น ประเดิมชัย บุญช่วยเหลือ ประพนธ์ เนตรรังษี ร.ต.อ.วัฒนรักษ์ สุรนาทยุทธ์ ตรีรัตน์ ศิริจันทโรภาส วิตต์ ก้องธรนินทร์ ธวัชชัย ทองสิมา พ.ต.ท.วันชัย ฟักเอี้ยง วัฒนา เมืองสุข สุภาภรณ์ คงวุฒิปัญญา แทนบางส่วนได้ลาออกไป เช่น ภักดีหาญส์ ย้ายไปสังกัดพรรคชาติไทยพัฒนา สุวัฒน์ ย้ายไปพรรคภูมิใจไทย และ อนุตตมา ย้ายไปพรรคไทยรักษาชาติ

เชียงราย ปี 2554 ส่ง สามารถ แก้วมีชัย สุรสิทธิ์ เจียมวิจักษณ์ วิสาระดี เตชะธีราวัฒน์ อิทธิเดช แก้วหลวง ละออง ติยะไพรัช รังสรรค์ วันไชยธนวงศ์ พิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน แต่การเลือกตั้งรอบนี้ยังคงผู้สมัครเดิมไว้ เปลี่ยนเพียงผู้สมัคร 2 คน จากสุรสิทธิ์ และ วิสาระดี เป็น วิสิษฐ์ และวิสาร เตชะธีราวัฒน์

เชียงใหม่ อาทิ ทัศนีย์ บูรณุปกรณ์ กฤษดาภรณ์ เสียมภักดี ชินณิชา วงศ์สวัสดิ์ วิทยา ทรงคำ ประสิทธิ์ วุฒินันชัย จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ และบุญทรง เตริยาภิรมย์ ก็ยังคงผู้สมัครเดิมเปลี่ยนเพียง จักรพล ตั้งสุทธิธรรม และสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ แทน ชินณิชา ซึ่งถูกตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปี และบุญทรง ถูกตัดสินจำคุกคดีระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ และ กฤษดาภรณ์ หายไปเนื่องจากเขต ลดลง

นครราชสีมา อาทิ สมโภชน์ ประสาทไทย สุธรรม พรสันเทียะ ลินดา เชิดชัย ทัศนียา รัตนเศรษฐ โกศล ปัทมะ สุชาติ ภิญโญ อธิรัฐ รัตนเศรษฐ จรูญพงศ์ พันธุ์ศรีนคร อภิชา เลิศพชรกมล ซ้าย ผลกระโทก และ สัมภาษณ์ อัตถาวงศ์ ปัจจุบันเปลี่ยนผู้สมัครใหม่บางส่วน เป็น ร.ต.อ.สุปชัย อินทรักษา จักรกฤช ผาสุขมูล โกศล ปัทมะ สมชาย ภิญโญ อนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด พ.ต.อ.ปฏิวัติ นาคำ ประชาธิปไตย คำสิงห์นอก และ วรพล บวรลัทธพล

นครศรีธรรมราช ส่ง นิภาภูเบศวร์ ฝั่งชลจิตต์ นพรุจ วรชิตวุฒิกุล สมศักดิ์ เลิศไพบูลย์ ประกอบ แต้มสีทอง อุดมเกียรติ ปานมี นิติ จิตรัตน์ ภูมิพัฒน์ สรณ์วิโรจน์ อดุลย์ อะหลี วริศ ญาณแก้ว แต่รอบนี้กลับไม่ส่งแม้แต่เขตเดียว

ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ เมื่อปี 2554 กทม. ส่ง อาทิ เจิมมาศ จึงเลิศศิริ อรอนงค์ กาญจนชูศักดิ์ ม.ล.อภิมงคล โสณกุล อนุชา บูรพชัยศรี จิตภัสร์ ภิรมย์ภักดี ธนา ชีรวินิจ พุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ สรรเสริญ สมะลาภา อรรถวิชช์ สุวรรณภักดี ชื่นชอบ คงอุดม สกลธี ภัททิยกุล แทนคุณ จิตต์อิสระ ก้องศักดิ์ ยอดมณี วิทเยนทร์ มุตตามระ ณัฏฐ์ บรรทัดฐาน พนิช วิกิตเศรษฐ์

แต่การเลือกตั้งปี 2562 ได้เปลี่ยนตัวผู้สมัครเป็น คณวัฒน์ จันทรลาวัณย์ พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ธัญญ์นิธิ ชวรัตน์นิธิโชติ  สมชาย เวสารัชตระกูล รัฐพงศ์ ระหงษ์ พริษฐ์ วัชรสินธุ พรพรหม วิกิตเศรษฐ์ ธนัตถ์ ธนากิจอำนวย ฮูวัยดีย๊ะ พิศสุวรรณ อุเซ็ง เบญญาภา เกษประดิษฐ์ อนันต์ ฤกษ์ดี สุทธิ ปัญญาสกุลวงศ์ สุรันต์ จันทร์พิทักษ์ นันทพร วีรกุลสุนทร สาทร ม่วงศิริ

โดย พุทธิพงษ์ และณัฏฐพล ลาออกเพื่อไปสังกัดพรรคพลังประชารัฐ ชื่นชอบ ย้ายไปสังกัดพรรคพลังท้องถิ่นไท สกลธี ลาออกเพื่อไปดำรงตำแหน่งรองผู้ว่าฯ กทม. ขณะที่ พนิช จิตภัสร์ และณัฏฐ์ ย้ายไปอยู่ในบัญชีรายชื่อ

เชียงราย สมพงค์ อันพาพรม ชัยธวัช สิทธิสม ประดิษฐ์ ศรีอ้วน เกียรติศักดิ์ อุดขา มิรันตี บุญแก้ว ธวัชชัย อภิวงค์ ชูเกียรติ กันทะรส แต่รอบนี้มีการเปลี่ยนตัวผู้สมัครบางส่วน เป็น ธวัชชัย อภิวงค์ กฤษฎิ์ฏิพงษ์ นามวงศ์ ทินกร แกล้วกล้า สุภาพ ยาปะโลหิต นำชัย อนันท์เดชา

เชียงใหม่ วิภาวัลย์ วรพุฒิพงค์ พรชัย จิตรนวเสถียร วีระวุฒิ เทพเรือง โสภณ โกชุม พรเลิศ ก๋าวินจันทร์ ยงยุทธ สุวภาพ เดือนเต็มดวง ณ เชียงใหม่ สุทัศน์ สุทัศนรักษ์ เกรียงกมล ศรีมา นรพล ตันติมนตรี ซึ่งเปลี่ยนใหม่หมดเว้นเพียง พรเลิศ และพรชัย ขณะที่ เดือนเต็มดวง ย้ายไปสังกัดพรรคพลังประชารัฐ

นครราชสีมา การุณ ชุมรักษ์ จุรีพร ประภาพิทยาพงษ์ จำนงค์ กันสำโรง จรัญ เสาวกุล สิทธิชัย เจริญใจ บุญเอื้อ ประถมพงษ์ ธนชาติ พรรคเจริญ ธีราภรณ์ กลางพิมาย ประดิษฐ์ เวียงสีมา สมใจ มันกระโทก กาญจนา บุญมีศิริทิพงศ์ สายัณห์ สำนักโนน ฉัตรธบรรจง เพ็ชรจีนพะเนา รังษี จีระมะกร ดารา เกตกะโกมล ซึ่งรอบนี้เปลี่ยนใหม่เกือบหมดเว้นเพียง ฉัตรธบรรจง และจำนงค์

นครศรีธรรมราช อภิชาต ศักดิเศรษฐ์ นริศา อดิเทพวรพันธุ์ วิทยา แก้วภราดัย อภิชาต การิกาญจน์ ประกอบ รัตนพันธ์ เทพไท เสนพงศ์ ชินวรณ์ บุณยเกียรติ สุรเชษฐ์ มาศดิตถ์ พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล ซึ่งผู้สมัครหายไป 2 คน เนื่องจากเขตหายไปตามรัฐธรรมนูญใหม่ และให้ ชัยชนะ เดชเดโช ลงแทน

ส่วนพรรคพลังประชารัฐแม้เป็นน้องใหม่แต่ส่ง สส.ครบทุกเขตในการเลือกตั้งครั้งนี้ กทม. อาทิ กานต์กนิษฐ์ แห้วสันตติ พัชรินทร์ ซำศิริพงษ์ เนวินธุ์ ช่อชัยทิพฐ์ กรณิศ งามสุคนธ์รัตนา สิระ เจนจาคะ ฐิติภัสร์ โชติเดชาชัยนันต์ และวิสูตร สำเร็จวาณิชย์

เชียงราย รัตนา จงสุทธานามณี พ.ต.อ.รัฐพล น้อยช่างคิด บุญถิ่น นวลใหม่ เสงี่ยม แสนพิช บัวสอน ประชามอญ ศักดิ์ชัย จงสุทธนามณี ผจญ ใจกล้า เชียงใหม่ พจนารถ ศรียารัณย ศรีพรรณ เขียวทอง พรชัย อรรถปรียางกูร กิ่งกาญจน์ ณ เชียงใหม่ เดือนเต็มดวง ณ เชียงใหม่ สันติ ตันสุหัช บดินทร์ กินาวงศ์ นเรศ ธำรงค์ทิพยคุณ นรพล ตันติมนตรี

นครราชสีมา เกษม ศุภรานนท์ ประพิศ นวมโคกสูง จันทิมา โกสินทร์รักษา ทวิรัฐ รัตนเศรษฐ อรทัย พลวิเศษ อธิรัฐ รัตนเศรษฐ ทัศนียา รัตนเศรษฐ ทัศนาพร เกษเมธีการุณ บุญจง วงศ์ไตรรัตน์ สุภรณ์ อัตถาวงศ์ สมศักดิ์ พันธ์เกษม อัฏฐกร อินทร์ศร จำลอง ครุฑขุนทด พจน์ เจริญสันเทียะ

นครศรีธรรมราช รงค์ บุญสวยขวัญ สัณหพจน์ สุขศรีเมือง อาญาสิทธิ์ ศรีสุวรรณ ภูมิไท ดีเป็นแก้ว คมเดช มัชฌิมวงศ์ มุกดาวรรณ เลื่องสีนิล สายัณห์ ยุติธรรม จักรกฤช บริรักษ์

‘หนักแผ่นดิน’ ชนวนเสี่ยงขัดแย้งรอบใหม่

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/politic/report/580860

  • วันที่ 20 ก.พ. 2562 เวลา 06:18 น.

'หนักแผ่นดิน' ชนวนเสี่ยงขัดแย้งรอบใหม่

โดย…ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์

ภายหลัง “บิ๊กแดง” พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ออกมาจุดประเด็น “หนักแผ่นดิน” มอบบทเพลงแฝงความนัยหลังถูกผู้สื่อข่าวถามถึงท่าทีของคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์การเลือกตั้งพรรคเพื่อไทย ที่ประกาศนโยบายปฏิรูปกองทัพ ยกเลิกเกณฑ์ทหาร ลดงบกระทรวงกลาโหม 10% กลายเป็นเชื้อไฟปลุกให้กระแสวิพากษ์วิจารณ์ตัว “บิ๊กแดง” และ “กองทัพ” กลับมาร้อนแรงมากยิ่งขึ้น

เริ่มตั้งแต่ จตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ในฐานะผู้ช่วยหาเสียงพรรคเพื่อชาติ ซึ่งระบุว่า เรายอมรับความเป็นจริงว่าเมื่อมีการยึดอำนาจทุกครั้ง งบประมาณของกระทรวงกลาโหมก็จะเพิ่มขึ้นทุกครั้ง ซึ่งไม่สอดคล้องกับความเดือดร้อนของประชาชน

“ถามว่าความอดอยากของประชาชนกับเรือดำน้ำ อันไหนจะมีความสำคัญมากกว่ากัน ถ้าเป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ก็จะเลือกนำเงินส่วนนี้ไปแก้ไขปัญหาความยากจนก่อน แต่หลักคิดของ ผู้ยึดอำนาจถือว่าเป็นการลงทุน ก็ต้องไปซื้อ เรือดำน้ำ ซื้ออาวุธก่อน เพราะฉะนั้นในช่วง 5 ปีที่ผ่านมานั้น งบในส่วนของกองทัพ ได้เติบโตในสัดส่วนที่มากกว่าในยามบ้านเมืองเป็นปกติ เพราะฉะนั้นใน 4 ปีต่อไปก็ควรจะให้ประชาชนมากบ้าง”

จตุพร กล่าวว่า การจะนำงบประมาณไปก็เพียงเพื่อนำไปแก้ไขปัญหาความยากจน ไม่ใช่เป็นคนหนักแผ่นดิน หลักคิด นี้ไม่ใช่หลักคิดของคนหนักแผ่นดิน แต่มันสอดคล้องกับความเดือดร้อนของประชาชน บรรดาผู้นำเหล่าทัพควรจะมองโลกอย่างกว้างๆ แล้วก็ควรมองโลกด้วยความเป็นจริงว่า ขณะนี้เราไม่มีศึกสงคราม แต่ประชาชนจนจริง เดือดร้อนจริง   จตุพร ยังกล่าวถึงเพลงหนักแผ่นดิน ว่า เป็นเพลงที่แต่งขึ้นและเผยแพร่ในปี 2518 ด้วยเจตนารมณ์สร้างความแตกแยกภายในชาติ ซึ่งแบ่งระหว่างซีกขวาและซ้าย เป็นแนวความคิดขวาพิฆาตซ้าย อันนำไปสู่เหตุการณ์ 6 ต.ค. 2519 ที่มีการจับนักศึกษาแขวนคอ เผาทั้งเป็น ล้อมปราบ ทำให้นักศึกษาจำนวนมากต้องหนีเข้าป่า ไปจับอาวุธร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์ เพราะฉะนั้นเพลงนี้นำ ไปสู่ความแตกแยกภายในชาติ

จาตุรนต์ ฉายแสง ประธานยุทธศาสตร์การเลือกตั้งพรรคไทยรักษาชาติ กล่าวว่า ผบ.ทบ.พูดอย่างนี้ไม่ได้ เพราะเท่ากับแสดงความไม่เป็นกลางทางการเมือง ถือว่าผิดกฎหมาย ผิดระเบียบข้าราชการ โดยข้าราชการจะแสดงความไม่เป็นกลางทางการเมืองไม่ได้ มาพูดให้ร้าย พูดไม่ดีต่อพรรคการเมืองที่เสนอลดงบประมาณกระทรวงกลาโหม

“ผมอยู่ในเหตุการณ์ตอนปี 2519 ไม่รู้ว่าตอนนั้น ผบ.ทบ.เข้าโรงเรียนเตรียมทหารหรือยัง เพลงนี้เป็นเพลงปลุกระดมให้คนไทยฆ่ากัน ผมฟังหลายเดือนในปี 2519 สุดท้ายจบลงที่รัฐประหาร เกิดการสังหารหมู่นักศึกษา ประชาชน เป็นเหตุการณ์สร้างความเจ็บปวดให้กับสังคมไทย การหยิบเพลงนี้ขึ้นมาทำให้เกิดความแตกแยก อาจจะทำให้คนเข่นฆ่า กัน ผบ.ทบ.ควรปกป้องประเทศ ไม่ใช่สั่งให้คนไปเปิดเพลง จะทำให้คนไทยฆ่ากันเองหรืออย่างไร” จาตุรนต์ กล่าว

ขณะที่ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ มองว่า พรรคการเมืองมีสิทธิที่จะเสนอนโยบายต่างๆ ส่วนจะมีอะไรเป็นความเห็นที่ไม่ตรงกันก็ให้ว่ากันด้วยเนื้อหาสาระจะดีที่สุด หากจะช่วยกัน ทุกคนมีจุดยืนมีความคิดของตนเองได้ แต่ไม่มีความจำเป็นต้องทำให้เกิดความขัดแย้งกันขึ้นมา ทุกอย่างเป็นเรื่องของความหลากหลายทางความคิด ถ้าหากไปในทางนั้นประเทศก็เดินหน้าต่อไปได้

“การนำเสนอนโยบายต่างๆ รวมไปถึงเรื่องของกองทัพก็สามารถทำได้ ทางพรรคประชาธิปัตย์เองก็มีนโยบายเกี่ยวกับกองทัพ เรื่องที่จะมีพลทหารที่สมัครใจ การปรับลดงบประมาณ ปรับแนวทางในการทำงานบางอย่าง แต่ว่าเราก็พยายามนำเสนอในแนวทางที่ไม่นำไปสู่ความ ขัดแย้งโดยไม่จำเป็น ส่วนทางท่าน ผบ.ทบ. ท่านเองก็เป็นข้าราชการ ก็อยากให้ท่านชัดเจนว่าท่านมีความเป็นกลางทางการเมือง แต่ถ้าหากท่านมีประเด็นอะไรที่ท่านมองว่าเกี่ยวข้องกับองค์กรของท่านที่เป็นข้อเท็จจริง อยากจะชี้แจงก็อยากให้ทำแบบนั้นมากกว่า  แล้วทุกฝ่ายจะได้ต่างคนต่างทำหน้าที่ของตนเองไป” อภิสิทธิ์ กล่าว

อภิสิทธิ์ ตอบว่า เรื่องกำลังพลนั้นส่วนตัวมองว่าลดได้ ขณะที่การจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์นั้นควรมองถึงเรื่อง ความจำเป็น ซึ่งส่วนนี้มีประเด็นปัญหาที่ผูกพันกับงบประมาณอยู่ ว่าจริงๆ แล้วสามารถปรับลดได้หรือไม่ และในรอบหลายสิบปีที่ผ่านมาก็มีแต่ในยุคของประชาธิปัตย์ที่เคยปรับลดงบประมาณกลาโหมลงได้ ซึ่งเราก็จะดูตามความจำเป็น รวมถึงทุกๆ หน่วยงาน ไม่ใช่แค่เพียงกองทัพ

อีกด้านหนึ่ง สุเทพ เทือกสุบรรณ แกนนำ ผู้ร่วมก่อตั้งพรรครวมพลังประชาชาติไทย ระบุว่า ส่วนตัวเคยฟังเพลงหนักแผ่นดิน และชอบ เพราะเป็นเพลงที่เตือนสติคนว่าเวลาที่คุณคิดจะทำอะไร ต้องคิดถึงผลกระทบต่อบ้านเมืองส่วนรวม ว่ามีหรือไม่ ถ้าคิด พูด และประพฤติในสิ่งที่ทำให้บ้านเมืองเสียหายก็เป็นคนหนักแผ่นดิน ซึ่งก็ธรรมดา ซึ่งส่วนตัวเป็นกำนันอยู่ช่วงที่เพลงนี้ออกมา เขาปลุกให้คนรักชาติรักแผ่นดิน ซึ่งมีเพลงหลายเพลงออกมาพร้อมๆ กัน

ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ผบ.ทบ.ไม่ได้ลงมาขัดแย้งทางการเมือง ขณะนี้ตนเองเดินทางมามีภารกิจของงานบุญและไม่ได้มาเป็นอย่างอื่น หรือมาหาเสียงทางการเมือง ขอให้ช่วยกันสร้างความปรองดอง ทำให้ประเทศชาติสงบสุข เพราะรัฐบาลทำฝ่ายเดียวไม่ได้ และเมื่อมีการเลือกตั้งขอให้ช่วยกันหาเสียงในทางที่ดี ไม่โจมตีกันไปมา ทำให้ประเทศเสียหาย ประเทศอื่นไม่มีใครทำกัน จะประจานประเทศตัวเองอย่างนี้ไม่ได้

ห้ามสอบเข้าป.1ยังคลุมเครือ ไร้ทิศทาง”เด็กแบกรับกรรม”

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/politic/report/580623

  • วันที่ 18 ก.พ. 2562 เวลา 07:24 น.

ห้ามสอบเข้าป.1ยังคลุมเครือ ไร้ทิศทาง"เด็กแบกรับกรรม"

เนื้อหาของร่าง พ.ร.บ.การพัฒนาเด็กปฐมวัยยังไม่เป็นไปตามที่คาดหวังของหลายฝ่าย ทำให้การห้ามสอบเข้าป.1ยังคลุมเครือ

********************

โดย…เอกชัย จั่นทอง

ช่วงเดือน ต.ค. 2561 คณะรัฐมนตรีมีมติผ่านร่าง พ.ร.บ.การพัฒนาเด็กปฐมวัยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เนื้อหากำหนดว่า คณะกรรมการพัฒนาเด็กปฐมวัยเป็นผู้กำหนดแนวทางการรับเด็กเข้าเรียนทั้งในระดับ “อนุบาลและประถมศึกษาปีที่ 1 จะไม่มีการสอบ” หากสถานศึกษาใดฝ่าฝืนจะถูกปรับไม่เกิน 5 แสนบาท

ล่าสุด ร่างกฎหมายดังกล่าวผ่านความเห็นชอบจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เรียบร้อยแล้ว และเตรียมประกาศเป็นกฎหมาย โดยมีการปรับใหม่ตัดการ “ห้ามสอบอนุบาล-ป.1” ออก หลังกฤษฎีกาให้ความเห็นว่า “การกำหนดโทษอาญาปรับเงินไม่ได้” อีกทั้งยังนิยามการสอบไม่ชัดเจน แต่เห็นชอบให้เป็นหน้าที่ของ “คณะกรรมการนโยบายการพัฒนาเด็กปฐมวัย” ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน เป็นผู้ออกหลักเกณฑ์ในการรับเด็กเข้าเรียนในชั้นอนุบาลและ ป.1 ทั้งนี้ต้องไม่มีผลกระทบต่อพัฒนาการของเด็กปฐมวัย

กรองทอง บุญประคอง ผู้ก่อตั้งและผู้อำนวยการด้านการจัดกระบวนการเรียนรู้และจัดการองค์ความรู้โรงเรียนจิตตเมตต์ ปฐมวัย กล่าวถึง พ.ร.บ.การพัฒนาเด็กปฐมวัย หลังผ่าน สนช.ว่า ถือเป็น พ.ร.บ.การพัฒนาเด็กปฐมวัยฉบับแรกของประเทศไทยถูกผลักดันกลายเป็นกฎหมายแล้ว ส่วนเรื่องประเด็นปัญหาการห้ามสอบนั้น ตอนนี้ถือว่า พ.ร.บ.ดังกล่าวคุ้มครองการจัดการศึกษาของระดับปฐมวัยไว้ว่า ต้องไม่มุ่งเน้นเรื่องการสอบแข่งขัน ทั้งในศูนย์เด็กเล็ก โรงเรียนอนุบาล โรงเรียนสอนพิเศษ จะสอนพัฒนาเด็กเพื่อมุ่งเน้นการแข่งขันไม่ได้ หากใครทำหรือฝ่าฝืนถือว่าผิดกฎหมาย ส่วนนี้คือสิ่งที่ได้จาก พ.ร.บ.ดังกล่าว

ประเด็นการ “ห้ามสอบ” ของโรงเรียนระดับชั้นประถมศึกษาต่อการจัดคัดเลือกด้วยวิธีการสอบนั้น ยังต้องรอคณะกรรมการนโยบายพัฒนาเด็กปฐมวัย มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน เนื่องจากในมาตรา 14 (7) ของกฎหมายนี้ยังระบุไว้ว่า ให้คณะกรรมการนโยบายฯ พิจารณาหลักเกณฑ์การรับเด็กนักเรียน และการรับเด็กนักเรียนต้องไม่ส่งผลกระทบต่อพัฒนาการเด็กปฐมวัย ฉะนั้นการฟันธงออกมาเป็นคำพูดยังไม่ชัด แต่ได้ให้แนวทางไว้แล้ว หลังจากนี้ต้องดูว่าจะออกหลักเกณฑ์หรือนโยบายให้มีความชัดเจนเพียงใด

“จะเป็นคำพูดใดก็ตามขอให้กฎหมายคุ้มครองเด็กนักเรียนอายุระหว่าง 0-6 ปี ไม่ว่าคุณจะรับเด็กนักเรียนด้วยวิธีใดต้องไม่กระทบต่อพัฒนาการเด็กปฐมวัย ต้องรอเพียงคณะกรรมการฯ พิจารณาคำว่าไม่กระทบต่อเด็กปฐมวัยว่า อนุญาตสิ่งใด ไม่อนุญาตอะไรบ้าง” กรองทอง กล่าว

กรองทอง กล่าวว่า เนื้อหาตามกฎหมายฉบับนี้ยังไม่เป็นไปตามที่คาดหวังของหลายฝ่าย เดิมหวังว่าควรจะมีคำในเชิงกฎหมายที่มีผลต่อการคุ้มครองเด็กในทันที แต่ตอนนี้คำที่ใช้ยังไม่ไปถึงขนาดนั้น ยังทอดเวลาเพื่อให้คณะกรรมการฯ เป็นผู้ออกนโยบาย และยังไม่แน่ใจว่าจะออกเป็นกฎหมายหรือไม่เป็นเรื่องอนาคต สิ่งที่ปรารถนาคือ กฎหมายที่ออกมาต้องคุ้มครองเด็กทันที ในเมื่อยังไม่คุ้มครองทันทีจะต้องหาช่องทางคุ้มครองเด็กให้ได้

สาเหตุสำคัญที่โรงเรียนมีการสอบเพราะโรงเรียนกลัวเจอเด็กพิเศษ อาจกังวลในเรื่องการดูแลเด็กพิเศษในปริมาณมากเกินประสิทธิภาพการดูแลของโรงเรียน ทั้งที่ความจริงส่วนนี้เป็นข้อยกเว้นได้ เช่น โรงเรียนรับนักเรียนได้ 200 คน ให้จับสลาก 300 คน น่าจะพอสัมภาษณ์ผู้ปกครองและดูเรื่องพัฒนาการเด็กได้

การดูพัฒนาการเด็กไม่ใช่ดูเพียงคัดเด็กเก่ง แต่ยังเป็นการดูแลเด็กกลุ่มนี้ในแบบปกติได้ ส่วนเด็กพิเศษ เมื่อรับเข้ามาก็ต้องดูแลด้วยความเข้าใจเป็นพิเศษ หากแยก 2 กลุ่มนี้จะสามารถแยกสัดส่วนการดูแลที่รับไหวได้ ประเด็นคือโรงเรียนกลัวว่า หากมีเด็กพิเศษจำนวนมากเข้ามาจะทำอย่างไร จึงกลายเป็นความคิดว่าการสอบแบบวิชาการจะช่วยคัดเลือกเด็กพิเศษออกได้ระดับหนึ่ง

“ในสถานการณ์สอบเด็กช่วงวัย 5-6 ปี การสัมภาษณ์ถือว่าไม่เหมาะสม เนื่องจากการสัมภาษณ์กับคนแปลกหน้าในสถานการณ์ที่แปลกไม่ได้วัดเด็กได้จริง เด็กตื่นเต้นก็ไม่พูด ถ้าโรงเรียนมีคุณภาพไม่จำเป็นต้องวัดเด็กในการสอบ แต่นั่นหมายความโรงเรียนนั้นไม่สามารถพัฒนาเด็กช่วงวัยนี้ได้จริงหรือ” กรองทอง กล่าว

เธอระบุด้วยว่า ปัญหาการสอบเกิดขึ้นมานานแล้ว เช่นเดียวกับความพยายามยกเลิกสอบเข้าชั้น ป.1 แต่ไม่สำเร็จ ยอมรับว่าปัญหาการเข้าเรียนชั้น ป.1 เป็นปัญหาหนักหนาสาหัสอย่างมากและหนักขึ้นเรื่อยๆ อดีตเน้นสอบเรื่องของเชาวน์ปัญญาและข้อสอบไม่ได้โหดร้ายเหมือนปัจจุบัน ข้อสอบเด็กเหมือนข้อสอบระดับมหาวิทยาลัย เมื่อผู้ปกครองทราบว่าข้อสอบยากขึ้น จึงให้เด็กไปติวหรือเรียนพิเศษให้เด็กซักซ้อมในสิ่งที่ฝืนธรรมชาติ ทั้งที่เด็กวัยนี้ไม่ควรรู้เรื่องเหล่านี้

“เวลามีเท่ากันทุกคน 24 ชั่วโมง จะให้เด็กทำอะไร เด็กอยากเล่นก็อดเล่น แต่กลับต้องมาติวหนังสือที่ฝืนธรรมชาติเพื่อหวังผลสอบเข้าโรงเรียนดีๆ ได้ ดังนั้นข้อสอบที่ยากเกินวัยไม่สอดคล้องกับวัยเรียนรู้ตัวเด็กเอง ทั้งยังสร้างความเครียดให้เด็ก นั่นคือการสร้างผลกระทบต่อเด็กโดยตรง”

ขณะเดียวกัน กรองทอง บอกด้วยว่า ยังมีผลกระทบต่อเด็กทั้งเรื่องการขาดโอกาสในการพัฒนา ร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สติปัญญา สังคม เด็กถูกยัดเยียด ไม่มีโอกาสได้เล่นกับเพื่อน สังเกตชัดเจนเด็กในปัจจุบันการทำงานเป็นทีมมักทำไม่เป็น เนื่องจากในวัยที่ควรเรียนรู้ถูกใช้ไปกับการติวหนังสือหมด เด็กเหล่านี้จึงซักซ้อมเพียงว่า ใครจะเก่งกว่าใครเท่านั้น แต่ไม่มีการเล่น ยืดหยุ่น ประนีประนอม รักกัน ทำงานเป็นทีมได้ มันหายไปหมด

ที่สำคัญการเรียนพิเศษของเด็กเพื่อการสอบไม่ใช่การเรียนรู้ที่แท้จริงของเด็กที่ไม่เกิดการเรียนรู้ พลังของการเรียนรู้หายไป เพราะเด็กรู้สึกว่าในเมื่อยากขนาดนี้การเรียนรู้มันต้องน่าเบื่อ ทำให้ทัศนคติต่อการเรียนรู้หายไป และยังมีผลกระทบต่างๆ อีกจำนวนมาก โดยมีงานวิจัยรองรับจำนวนมาก

“ไม่ว่าจะสอบแบบใดก็ไม่ควรทำ ทั้งด้านสติปัญญา ความเป็นคนดี ไม่สามารถวัดได้เลย ไม่ว่าโรงเรียนจะรับเด็กนักเรียนด้วยวิธีใดก็รับได้จำนวนเท่าเดิม ในเมื่อโรงเรียนรับเด็กได้เท่าเดิมแล้วจะรับเด็กทำร้ายเด็กไปทำไม โรงเรียนระดับประถมศึกษาน่าจะคิดวิธีการรับที่สร้างสรรค์ ไม่ใช่วิธีรับที่โรงเรียนสบายใจแล้วเด็กต้องมาแบกรับเคราะห์กรรม” กรองทอง ขยายข้อเสียการสอบเข้า ป.1

อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้ผู้ที่สนับสนุนให้ยกเลิกการห้ามสอบเข้า ป.1 ยังต้องรอลุ้นและติดตามความเคลื่อนไหวอย่างใกล้ชิดต่อไป

“คดียุบพรรคไทยรักษาชาติ” จุดพลิกผันผลเลือกตั้ง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/politic/report/580510

  • วันที่ 17 ก.พ. 2562 เวลา 07:48 น.

"คดียุบพรรคไทยรักษาชาติ" จุดพลิกผันผลเลือกตั้ง

“คดียุบพรรคไทยรักษาชาติ”เป็นอีกตัวแปรสำคัญต่อทิศทางการต่อสู้ในสนามเลือกตั้ง อันจะมีผลต่อไปถึงจำนวนเก้าอี้ และโอกาสในการจัดตั้งรัฐบาล

************************

โดย…ธนพล บางยี่ขัน

คดียุบพรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) ถือเป็นอีกตัวแปรสำคัญต่อทิศทางการต่อสู้ในสนามเลือกตั้ง อันจะมีผลต่อไปถึงจำนวนเก้าอี้ และโอกาสในการจัดตั้งรัฐบาล ที่ต้องติดตามรอดูผลการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญว่าจะออกมาอย่างไร

สติธร ธนานิธิโชติ นักวิชาการผู้ชำนาญการ สถาบันพระปกเกล้า วิเคราะห์ถึงสถานการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นหลังคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีมติส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย โดยมองว่าถือเป็นจุดเปลี่ยนต่อทิศทางการเมืองไทยโดยมีความเป็นไปได้หลายแนวทาง

เริ่มตั้งแต่กรณีศาลรัฐธรรมนูญมีมติรับคำร้อง ก็ต้องดูต่อไปว่าจะมีคำสั่งพ่วงให้ระงับสิทธิการสมัครเลือกตั้งรอบนี้ด้วยหรือไม่ ถ้าระงับ วันศุกร์ที่ 15 ก.พ. กกต.ก็จะไม่ประกาศรับรองผู้สมัครของพรรค ทษช. หรือหากไม่ระงับสิทธิ บัตรเลือกตั้งก็ต้องมีเลขของผู้สมัคร ทษช.

อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญไม่มีคำสั่งอะไรเพิ่มเติม พรรค ทษช.ก็ต้องตัดสินใจเอาเองว่าจะตัดสินใจอย่างไร ทั้งการจะเดินหน้าเลือกตั้งต่อไปแบบเต็มที่ ทั้งหาเสียง ลงพื้นที่เหมือนปกติ หรือจะไม่ทำกิจกรรมเลยแล้วรอให้ถึงการเลือกตั้งวันที่ 24 มี.ค. โดยรอดูว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยยุบพรรคหรือไม่ยุบพรรคออกมาในช่วงจังหวะเวลาใด ซึ่งจังหวะของคำวินิจฉัยที่จะออกมาล้วนแต่มีผลทางการเมืองไม่มากก็น้อย

เริ่มตั้งแต่กรณีแรก ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยก่อนเลือกตั้ง 24 มี.ค. กรณีที่ไม่ยุบพรรค ทุกอย่างก็เดินต่อไปตามปกติ แต่สมมติกรณียุบพรรค ทษช. ก็ต้องมาดูต่อว่าคำสั่งยุบพรรคนั้นเกิดก่อนเลือกตั้งนานแค่ไหน เพียงพอจะปรับแผนให้แก้เกมได้หรือไม่ เพราะหากพอมีเวลาก็อาจจะแอบไปสื่อสารกับกองเชียร์ของตนให้ไปเลือกใคร ซึ่งหากทำแบบเปิดเผยก็อาจมีความผิด ที่จะต้องไปพิจารณากันต่อไป

ส่วนหนึ่งเพราะกฎหมายพรรคการเมืองมีประเด็นเรื่องห้าม “คนนอก” เข้ามาแทรกแซง หรือยินยอมให้คนนอกเข้ามาแทรกแซง ประเด็นคือหากจะไปหาเสียงให้เทคะแนนของ ทษช.ซึ่งถูกยุบแล้วไปพรรคอื่น ก็อาจจะสุ่มเสี่ยงถูกร้องว่ามีความผิด เช่นเดียวกับพรรคที่จะถูกเทคะแนนไปให้ หากไม่ออกมาคัดค้านก็อาจเข้าข่ายยินยอมให้คนนอกเข้ามาแทรกแซงได้อีก ตรงนี้เป็นรายละเอียดยิบย่อยทางข้อกฎหมาย

โดย พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 มาตรา 28 ระบุว่า “ห้ามมิให้พรรคการเมืองยินยอมหรือกระทำการใดอันทำให้บุคคลอื่นซึ่งมิใช่สมาชิกกระทำการอันเป็นการควบคุม ครอบงำ หรือชี้นำ กิจกรรมของพรรคการเมืองในลักษณะที่ทำให้พรรคการเมืองหรือสมาชิกขาดความอิสระ ทั้งนี้ไม่ว่าโดยทางตรงหรือโดยทางอ้อม”

ส่วนมาตรา 29 “ห้ามมิให้ผู้ใดซึ่งมิใช่สมาชิกกระทำการใดอันเป็นการควบคุม ครอบงำ หรือชี้นำกิจกรรมของพรรคการเมืองในลักษณะที่ทำให้พรรคการเมืองหรือสมาชิกขาดความอิสระ ทั้งนี้ไม่ว่าโดยทางตรงหรือโดยทางอ้อม”

“แต่ถามว่าในทางปฏิบัติเขาจะทำไหม ก็มีความเป็นไปได้ที่จะแอบไปทำแบบลับๆ ไม่ให้จับได้ เพราะถ้าคะแนน ทษช.ในกรณีที่ถูกยุบแล้วไม่บริหารจัดการ คะแนนส่วนนี้ก็จะกระจัดกระจาย เพราะความรู้สึกคนเมื่อถูกยุบพรรคก็อาจจะโมโห ออกไปทำบัตรเสีย หรือโหวตโน กลายเป็นคะแนนเสียของ แทนที่จะไปอยู่กับฝั่งที่เรียกตัวเองว่าเป็นฝ่ายประชาธิปไตยด้วยกัน”

สติธร กล่าวต่อว่า กรณีที่สองคือคำวินิจฉัยออกหลัง 24 มี.ค. หากไม่ยุบพรรคก็เดินไปตามปกติ แต่หากยุบพรรคก็มี 2 เงื่อนไขที่ต้องติดตามคือ ยุบพรรคก่อนประกาศผลเลือกตั้ง กรณีนี้จะคล้ายกับยุบก่อนเลือกตั้ง เพราะคะแนนเปลี่ยนอะไรไม่ได้ กับเงื่อนไขที่สองคือ ยุบพรรคหลังประกาศผลแล้ว หากเขตไหน ทษช.ชนะก็จะต้องจัดเลือกตั้งใหม่ ส่วนหากเขตไหน ทษช.แพ้ก็ไม่ต้องเลือกตั้งใหม่ แต่คะแนนที่ ทษช.ได้ ไม่ว่าจะที่ 2 3 4 5 ก็จะไม่ถูกนำมาคำนวณเป็นสัดส่วนบัญชีรายชื่อ

ส่วนกรณีที่มีคำสั่งยุบพรรคหลังประกาศรับรองผลเลือกตั้งแล้ว สำหรับกรณีที่ สส.ของ ทษช.ชนะเลือกตั้งประกาศผลแล้ว สส.ก็จะสามารถย้ายพรรคได้ตามเวลาที่กฎหมายกำหนด หากยังหาพรรคสังกัดไม่ได้ก็จะสิ้นสภาพไปเหมือนกัน

ยังไม่รวมกับกรณีมีเรื่องร้องเรียนในภายหลังในระยะเวลา 1 ปี หรือที่เรียกว่ารับรองก่อนแล้วสอยทีหลัง ซึ่งจะเกิดความวุ่นวายกรณีได้ใบดำใบแดงแล้วมีการเลือกตั้งใหม่ ซึ่งหนึ่งบัตรจะนำมาคำนวณ 2 ระบบ ทำให้สัดส่วน สส.บัญชีรายชื่อของแต่ละพรรคเปลี่ยนแปลงได้ตลอด

สติธร ธนานิธิโชติ นักวิชาการผู้ชำนาญการ สถาบันพระปกเกล้

สติธร มองต่อไปว่า กรณียุบพรรค ทษช.ย่อมกระทบยุทธศาสตร์แตกแบงก์พันแน่นอน เพราะหากคำนวณจากฐานคะแนนเลือกตั้งเมื่อปี 2554 หากพิจารณาจากการส่งผู้สมัครของพรรคเพื่อไทย และ ทษช. มีส่วนที่ไม่ทับซ้อนกัน 100 เขต คือ เพื่อไทยส่ง ทษช.ไม่ส่ง หรือกลับกัน ทษช.ส่ง และเพื่อไทยไม่ส่ง ขณะที่มีพื้นที่ทับซ้อนที่ส่งด้วยกันสองพรรค 50 เขต ดังนั้นจึงต้องมียุทธศาสตร์วางแผน เพราะการจะถูกยุบหรือไม่ถูกยุบ ไปจนยุบเร็ว ยุบช้า มีผลที่ต่างกัน

ทั้งนี้ หากเทียบจากฐานเลือกตั้ง 2554 คะแนนของ ทษช.จะมีประมาณ 40 ที่นั่ง หากตัดสินใจผิดคะแนนตรงนี้จะกลายเป็นศูนย์ และไปเพิ่มให้ฝั่งอื่น เพราะคำนวณจำนวนประชาชน 35 ล้านคน หารด้วย 500 เขต สส.พึงมี 1 คน จะต้องได้เสียงสนับสนุน 7 หมื่นคะแนน ดังนั้นคะแนนหายไป 3 ล้านเสียง ยอมรวมจะเหลือ 32 ล้านเสียง หารแล้วจากเสียงสนับสนุน 7 หมื่นคน จะเหลือ 6.4 หมื่นคน

ดังนั้น เมื่อนำฐาน 6.4 หมื่นคน กลับไปหารคะแนนของแต่ละพรค ดังนั้นพรรคที่เคยได้ สส.บัญชีรายชื่อจำนวนหนึ่งก็จะได้เพิ่มแน่นอน ยกตัวอย่างพรรคตรงข้ามพรรรคหนึ่งเคยมี 7 ล้านเสียง หารตอนแรกได้ 100 ที่นั่ง แต่เมื่อเปลี่ยนตัวหารจาก 7 หมื่น เป็น 6.4 หมื่น จำนวนที่นั่งก็จะเพิ่มขึ้นมาอีก 4-5 ที่นั่ง

“กรณีเช่นนี้ไม่เป็นผลดีกับพรรคเพื่อไทยแน่นอน เพราะแม้จะเปลี่ยนตัวหารคะแนนของพรรคเพื่อไทยก็จะไม่เพิ่ม หรือเพิ่มน้อยกว่าพรรคอื่นๆ คำนวณคร่าวๆ 250 เดิมได้เขตละ 5 หมื่น รวม 12.5 ล้านคะแนน หากหาร 7 หมื่นคะแนนรอบแรก ได้ สส.พึงมี 180 คน ซึ่งหากได้ สส.เขตประมาณนี้ก็แทบจะเต็มเพดานไม่ได้ สส.บัญชีรายชื่อ ดังนั้นเมื่อเปลี่ยนตัวหารเป็น 6.4 หมื่น อาจได้ สส.พึงมี 190 คน ซึ่งก็แทบเต็มเพดานจนอาจไม่ได้ สส.บัญชีรายชื่อเพิ่ม เพราะเมื่อแตกคะแนนเพื่อสู้กับระบบ เมื่อระบบย้อนกลับมาตีคืนเขาจะไม่ได้ประโยชน์อยู่ดี”

สติธร กล่าวว่า เวลานี้ทาง ทษช.ต้องคิดหนัก ต้องประเมินว่าเสี่ยงแล้วจะไปต่อหรือจะถอยตอนนี้เลยดีกว่าเพื่อให้ 40 ที่นั่งไม่เสียของ เพราะ 40 คะแนนตรงนี้มีผลต่อการจับขั้วทางการเมืองหลังการเลือกตั้ง ตามยุทธศาสตร์เดิมฝั่งเพื่อไทยที่ประเมินจะได้ 180-190 เสียง หากได้เสียงจากตรงนี้ 40 เสียงแล้ว หากอีกนิดเดียวก็ได้ 250 ตั้งรัฐบาล หรือยันไม่ให้พรรคอื่นตั้งรัฐบาลได้

อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่หาก ทษช.ถูกยุบ และต้องการจะนำคะแนนในส่วนนี้ให้ย้อนกลับมายังของกลุ่มที่เรียกตัวเองว่าฝั่งประชาธิปไตย ก็ต้องมาไล่ดูทีละพรรค ซึ่งในส่วนของพรรคเพื่อไทยนั้นมีพื้นที่ที่ผู้สมัครเพื่อไทยไม่ส่งผู้สมัครในพื้นที่ที่ ทษช.ส่งผู้สมัคร 100 เขต ซึ่งจะทำให้ไม่สามารถได้คะแนนในส่วนนี้ จะเหลือเพียงแค่ 50 เขต ที่เพื่อไทยส่งผู้สมัครในพื้นที่ที่ ทษช.ไม่ส่งผู้สมัคร

ดังนั้น ต้องย้อนกลับมาดูว่า 100 เขตที่ไม่มีเพื่อไทยจะทำอย่างไร หากอยากได้คะแนนตรงนี้ก็ต้องทำให้คะแนนย้อนกลับไปยังพรรคพันธมิตร ซึ่งเท่าที่ดูก็มีหลายพรรคที่ส่งผู้สมัครในหลายเขต ทั้งพรรคอนาคตใหม่ พรรคเพื่อชาติ พรรคประชาชาติ พรรคเสรีรวมไทย ฯลฯ ซึ่งหากจะเทคะแนนไปก็ต้องไปพิจารณาว่าจะเทไปพรรคใดพรรคหนึ่งให้หมดหรือจะแยกดูเป็นรายเขต

“ถามว่าวิธีเหล่านี้ต่างกันไหม ก็ต่างกันหน่อย เพราะตัวเลือกอย่างพรรคเพื่อชาติก็ดูใกล้ชิด อาจจะพูดคุยกันง่ายหน่อย แต่ถามว่ามีจุดขายมากน้อยแค่ไหน จะได้แค่คะแนนจัดตั้งถึงหรือไม่ถึง 40 ที่นั่งหรือไม่ เพราะคะแนนก่อนหน้านี้มีทั้งกระแสพรรค กระแสนายกรัฐมนตรีผู้หญิง พวกนี้เป็นคะแนนสวิงโหวต หากมาชูพรรคเพื่อชาติอาจได้คะแนนสวิงโหวตได้ยาก”

อีกด้านหนึ่งสมมติเลือกพรรคอนาคตใหม่ นอกจากคะแนนจัดตั้งแล้วอาจยังสามารถปลุกกระแสเพิ่มเติม และมีแนวโน้มจะเกิดคะแนนสวิงโหวตตามมาได้มากขึ้น แต่ปัญหาอยู่ตรงที่เรื่องความใกล้ชิดที่ไม่ใช่ว่าจะสั่งให้ยกมือตามได้ทุกเรื่อง เพราะเขาเป็นตัวของตัวเอง

หรืออย่างกรณีพรรคเพื่อชาติส่วนใหญ่วางตัวผู้สมัครเจาะจงพื้นที่ชายแดนภาคใต้ อาจจะทำให้ขายภาพทั่วประเทศได้ลำบาก ไม่ต่างจากพรรคเสรีรวมไทยซึ่งมีจุดขายคือ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส หัวหน้าพรรคเพียงคนเดียว ดังนั้นการจะหวังกระแสสวิงโหวตให้ได้คะแนนเยอะอาจทำได้ยาก

สติธร กล่าวสรุปว่า คดียุบพรรค ทษช. จึงถือเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่จะมีผลต่อการเลือกตั้ง ตลอดจนทิศทางการเมืองไทยต่อไปในอนาคต อยู่ที่ว่าสุดท้ายแล้วผลของคดีนี้จะออกมาอย่างไร และในช่วงเวลาใด รวมทั้งการวางยุทธศาสตร์ของแต่ละฝ่ายเพื่อเตรียมรับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

ปฐมบทรัฐธรรมนูญ “กษัตริย์อยู่เหนือการเมือง”

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/politic/report/580509

  • วันที่ 17 ก.พ. 2562 เวลา 07:35 น.

ปฐมบทรัฐธรรมนูญ "กษัตริย์อยู่เหนือการเมือง"

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2475 ถือเป็นหลักเริ่มต้นของประเพณีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข

********************************

โดย…อภิวัจ สุปรีชาวุฒิพงศ์

การปกครองของไทยในอดีตสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ พระมหากษัตริย์ทรงมีพระราชอำนาจสิทธิขาดในการปกครองประเทศ ถือเป็นประเพณีการปกครองมายาวนานหลายร้อยปี

กระทั่งการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อวันที่ 24 มิ.ย. 2475 จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข การเปลี่ยนแปลงอำนาจทางการเมือง ทำให้ต้องบัญญัติหลักเกณฑ์กำหนดโครงสร้าง แนวทางการปกครอง การใช้อำนาจ โดยบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญเป็นกฎเกณฑ์ กติกาสูงสุด ซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม หรือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2475 ถือเป็นหลักเริ่มต้นของประเพณีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข

พระยามโนปกรณ์นิติธาดา ประธานคณะกรรมการราษฎร และประธานอนุกรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญ แถลงอธิบายร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม ต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 16 พ.ย. 2475 ว่า “เราจะตั้งรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่ ไม่มีประเพณีที่จะบังคับเรา” ซึ่งหมายความว่า ก่อนนั้นการปกครองยังคงเป็นแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ การเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข สำหรับประเทศไทยยังไม่เคยมีแนวทางหรือประเพณีปฏิบัติมาก่อน จึงต้องยกร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาเป็นหลัก ดังคำปรารภในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2475 ว่า

“โปรดเกล้าฯ ให้สภาผู้แทนราษฎรปรึกษากันร่างพระราชบัญญัติรัฐธรรมนูญ อันจะพึงตรึงเป็นหลักถาวรแห่งประศาสนวิธีต่อไป”

เนื้อหาสาระสำคัญประการหนึ่งของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ คือการกำหนดสถานะ บทบาท และพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ ซึ่งก่อนจะมีผลบังคับใช้ ก็ผ่านการอภิปรายแสดงเหตุผลกันอย่างกว้างขวาง ครอบคลุม

ถ้อยคำการอภิปรายในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ซึ่งสืบค้นได้จากรายงานการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 34-44/2475 ระหว่างวันที่ 16 พ.ย.-3 ธ.ค. 2475 สะท้อนให้เห็นถึงแนวคิดหลักการหลากที่ที่นำมาหารือกัน อันเป็นการวางแนวทางนิติประเพณีรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยสืบต่อมา

ในประเด็นที่มาของอำนาจอธิปไตย มาตรา 2 บัญญัติว่า อำนาจอธิปไตยย่อมมาจากปวงชนชาวสยาม พระมหากษัตริย์ผู้เป็นประมุข ทรงใช้อำนาจนั้นแต่โดยบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้

พระยามโนปกรณ์ฯ ประธานอนุกรรมการยกร่างฯ แถลงอธิบายบทบัญญัตินี้ว่า เป็นการยกเอาประเพณีโบราณขึ้นกล่าวซ้ำ ตามขนบธรรมเนียมราชประเพณีราชาภิเษก จะปรากฏว่าความตอนหนึ่งในพระนามพระเจ้าแผ่นดินนั้นมีว่า “อเนกนิกรสโมสรสมมต” และในพิธีบรมราชาภิเษกก็มีพราหมณ์ และข้าราชการผู้ใหญ่ถวายเครื่องราชกกุธภัณฑ์ซึ่งเป็นสิ่งที่แสดงว่าพระมหากษัตริย์เสด็จขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติด้วยประชาชนอัญเชิญเสด็จขึ้น หาได้เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติโดยพระราชอำนาจที่มาจากสวรรค์อย่างต่างประเทศบางแห่งเข้าใจไม่ ทั้งนี้ก็เป็นการแสดงว่าอำนาจอธิปไตยนั้นมาแต่ปวงชน

และสาระสำคัญที่โดดเด่นที่สุดของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ก็คือ บทบัญญัติในหมวด 1 พระมหากษัตริย์ ในมาตรา 11 บัญญัติว่า “พระบรมวงศานุวงศ์ตั้งแต่ชั้นหม่อมเจ้าขึ้นไป โดยกำเนิดหรือโดยแต่งตั้งก็ตาม ย่อมดำรงอยู่ในฐานะเหนือการเมือง” ซึ่งเป็นบทบัญญัติที่ปรากฏอยู่ในรัฐธรรมนูญฉบับนี้เพียงฉบับเดียว โดยไม่มีการบัญญัติไว้อีกเลยในรัฐธรรมนูญฉบับต่อมา

พระยาอุดมพงศ์เพ็ญสวัสดิ์ (ม.ร.ว.ประยูร อิศรศักดิ์) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรซึ่งมิใช่คณะราษฎรถามว่า จะตัดสิทธิเจ้าซึ่งเป็นคนไทยด้วยกัน ดูไม่เหมาะ และหมวดที่ 2 มาตรา 12 ยังบัญญัติว่าบุคคลย่อมเสมอกัน ฉะนั้นทำไมจึ่งตัดสิทธิเจ้าเสีย

ประธานอนุกรรมการร่างรัฐธรรมนูญตอบว่า ไม่ใช่กันด้วยความริษยาหรือเอาออกเสียเพราะไม่ใช่คนไทย ด้วยความตั้งใจที่จะให้เจ้าคงเป็นเจ้าอยู่ ตั้งใจให้พระเจ้าแผ่นดินคงเป็นพระเจ้าแผ่นดิน และลูกหลานเป็นพระบรมวงศานุวงศ์ซึ่งเป็นความตั้งใจดีต่างหาก

มังกร สามเสน สส.จากตัวแทนกลุ่มพ่อค้าไทย ถามว่า หม่อมเจ้าบางพระองศ์มีความรู้ในการเมืองดี ไม่ถือเกียรติยศเป็นเจ้าก็มีมาก เพื่อจะให้โอกาสได้เข้าในวงการเมืองได้ ควรมีข้อยกเว้น ถ้าหม่อมเจ้าพระองค์ใดยอมสละฐานันดรศักดิ์เป็นสามัญชนแล้ว ควรให้เข้าในวงการเมืองได้ เจ้าหญิงมีตัวอย่าง ยอมสละสิทธิเดิมไปทำการสมรสได้ ส่วนเจ้าผู้ชายจะสละสิทธิเข้าวงการเมืองจะไม่ได้หรือ เห็นว่าควรให้โอกาสหม่อมเจ้าที่ยอมสละฐานันดรศักดิ์เข้าในวงการเมืองได้

สงวน ตุลารักษ์ คณะราษฎรสายพลเรือน อภิปรายโต้มังกรว่า เรื่องเจ้านั้นควรระลึกถึงนักการเมืองขณะไปทำ Election Campaign เมื่อต่างฝ่ายไปพูดเพื่อประสงค์เป็นผู้แทนย่อมมีการว่ากล่าวเสียดสี ในที่ประชุมถ้าเจ้าท่านเข้ามาด้วยจะเป็นภัยหรือไม่ จะทำให้เสื่อมเสียเกียรติยศของเจ้าหรือไม่

พระยามานวราชเสวี อธิบดีกรมอัยการ และดิเรก ชัยนาม คณะราษฎรสายพลเรือน มีความเห็นในแนวทางเดียวกันว่า เจ้าเป็นฐานะตามกำเนิด แม้ลาออกมาอยู่ในวงการเมืองย่อมให้โทษ ส่วนเจ้าหญิงที่สละฐานันดรศักดิ์สมรสกับสามัญชนก็มักจะยังเรียกว่าเจ้า

พระยานิติศาสตร์ไพศาล อดีตอธิบดีกรมอาลักษณ์ ซึ่งรับใช้ใกล้ชิดพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว กล่าวว่า สำหรับผู้ที่เป็นเจ้าโดยกำเนิดนั้นไม่มีปัญหา แต่ผู้ที่ได้รับแต่งตั้งขึ้นจากราษฎรสามัญเป็นเจ้าแล้วลาออกจะเข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมืองได้หรือไม่ ชาวต่างประเทศที่แปลงชาติเป็นคนไทยแล้ว ยังมีสิทธิที่จะเข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมืองได้ ผู้ที่ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าแล้วลาออกเป็นคนไทยจึ่งควรอนุญาต

พระยาศรีวิสารวาจา ปลัดทูลฉลองกระทรวงการต่างประเทศ เนติบัณฑิตอังกฤษ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว มอบหมายให้ร่วมกับเจ้าพระยาศรีธรรมาธิเบศ และเรมอนต์ บี สตีเวนส์ ยกร่างรัฐธรรมนูญถวาย ก่อนจะเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง แถลงว่า เมื่อมีการปกครองแบบราชาธิปไตยอำนาจจำกัดแล้ว พระมหากษัตริย์ย่อมอยู่เหนือเป็นที่เคารพสักการะ และพระองค์ท่านเองก็ดำรงอยู่เหนือการเมือง เพราะฉะนั้นพระบรมวงศานุวงศ์ย่อมต้องดำรงฐานะเช่นนั้นด้วยกัน ถ้าให้พระมหากษัตริย์เป็นประมุขของประเทศ แต่ยอมให้พระบรมวงศานุวงศ์เกี่ยวข้องแก่การเมืองแล้ว ก็ต้องมีการโต้แย้งซึ่งกันและกัน ซึ่งอาจพลาดไปถึงพระองค์ท่านได้ซึ่งเป็นการขัดกันในตัวเอง

อย่างไรก็ตาม ก่อนการอภิปรายในมาตรานี้ พระยามโนปกรณ์ฯ ได้แจ้งต่อที่ประชุมว่า พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชหัตถเลขามาว่า

“กล่าวโดยหลักการพระบรมวงศานุวงศ์ย่อมดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพเหนือความที่จะพึงถูกติเตียน ไม่ควรแก่ตำแหน่งการเมืองซึ่งเป็นการงานที่นำมาทั้งในทางพระเดชและพระคุณย่อมอยู่ในวงอันจะต้องถูกติถูกชม อีกเหตุหนึ่งจะนำมาซึ่งความขมขื่นในเมื่อเวลาทำ Electoral Campaign อันเป็นเวลาที่ต่างฝ่ายหาโอกาส Attrack ซึ่งกันและกัน พระยามโนฯ เห็นว่า เพื่อความสงบเรียบร้อยสมัครสมานเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในระหว่างเจ้านายกับราษฎรควรถือเสียว่าพระบรมวงศานุวงศ์ตั้งแต่ชั้นหม่อมเจ้าขึ้นไปย่อมดำรงอยู่เหนือการเมืองทั้งหลาย ส่วนในทางที่เจ้านายจะช่วยทะนุบำรุงประเทศบ้านเมืองก็ย่อมมีโอกาสบริบูรณ์ในทางตำแหน่งประจำและตำแหน่งอันเกี่ยวแก่วิชชาเป็นพิเศษอยู่แล้ว จึ่งหารือมานั้น ฉันเห็นด้วยตามความคิดของพระยามโนฯ ทุกประการ”

จะเห็นได้ว่า ทั้งกรรมการยกร่างๆ และสภาผู้แทนราษฎรที่อภิปรายล้วนเป็นนักกฎหมายแห่งยุค ซึ่งกอปรรวมจากทุกฝ่ายทั้งคณะราษฎรและมิใช่คณะราษฎร เพื่อให้ได้ความเห็น ข้อสรุปที่อยู่บนหลักการอันถูกต้องเพื่อเป็นแนวทางในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขต่อไป

หลังการอภิปรายกันมาพอสมควร ประกอบกับพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชหัตถเลขาเห็นชอบกับแนวทางของคณะอนุกรรมการยกร่าง ในที่สุดสภาผู้แทนราษฎรในสมัยนั้นก็เห็นชอบกับบทบัญญัติในมาตรานี้ เป็นหลักของประเพณีการปกครองสืบต่อมา