เขต 1 สระแก้วระอุ ตระกูลเทียนทองเปิดศึกแย่งเก้าอี้

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/politic/report/580174

  • วันที่ 13 ก.พ. 2562 เวลา 07:53 น.

เขต 1 สระแก้วระอุ ตระกูลเทียนทองเปิดศึกแย่งเก้าอี้

โดย…สวาท เกตุงาม

หลังจากมีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) เมื่อวันที่ 23 ม.ค. แต่ละพรรค และคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กำหนดวันรับสมัคร ระหว่างวันที่ 4-8 ก.พ.ที่ผ่านมา มีผู้สมัคร สส.จำนวน 65 คน จาก 22 พรรค มี 3 เขตเลือกตั้ง แต่ที่แข่งขันดุเดือด ช้างชนช้างคือ เขต 1

สำหรับผู้สมัคร สส.สระแก้ว สนามเลือกตั้งเขต 1 มี ตระกูลเทียนทอง แตกเป็น 2 ขั้ว 2 พรรค ชิงกันเอง มี ฐานิสร์ เทียนทอง อดีต สส.สระแก้ว คว้าเก้าอี้ทุกสมัย ส่วนหลานชาย เสนาะ เทียนทอง หนีจากพรรคเพื่อไทย (พท.) หันมาซบพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ทำให้พรรคเพื่อไทยเขต 1 ว่างลง เสนาะ จึงดึง สนธิเดช เทียนทอง รองนายกเทศบาลตำบลวัฒนานคร หลานชาย เช่นเดียวกัน มาอยู่พรรคเพื่อไทย ชิงเก้าอี้ สส.สระแก้ว เขต 1 ทำให้เกิดศึกตระกูลเทียนทอง ชิงกันเอง ซึ่งชาวสระแก้วต่างรู้สึกงงไปตามๆ กันว่า เกิดอะไรขึ้นกับ “ตระกูลเทียนทอง”

ดังนั้น ศึกชิงเก้าอี้ สส.เขต 1 สระแก้ว ระหว่าง ฐานิสร์ เบอร์ 1 พรรคพลังประชารัฐ อาจจะได้เปรียบ เนื่องจาก ฐานิสร์ ได้วางฐานคะแนนเสียงไว้อย่างเหนียวแน่นมาทุกสมัย ด้วยเหตุนี้โอกาสที่จะได้นั่งเก้าอี้ สส.สระแก้ว เขต 1 ค่อนข้างสูงหากไม่การพลิกล็อก ส่วน สนธิเดช เบอร์ 10 พรรคเพื่อไทย รองนายกเทศบาลตำบลวัฒนานคร ยังไม่เคยลงเล่นการเมืองระดับประเทศมาก่อน แต่ด้วยบารมีของ เสนาะ ที่สังกัดเพื่อไทย ทำโอกาสที่ได้นั่งเก้าอี้ สส.เขต 1 นั้นค่อนข้างสูงเช่นกัน

สำหรับ อาทิติ งามวงษ์ หรือครูสมควร เบอร์ 4 อดีตผู้อำนวยการโรงเรียน สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) หลังจากเกษียณอายุราชการ ได้คลุกคลีอยู่กับกลุ่มจิตอาสา ทำความดีมาอย่างต่อเนื่อง จึงเป็นที่รู้จักของคนทั่วไป โอกาสที่จะทำคะแนนตีตื้น หรือพลิกล็อก ได้นั่งเก้าอี้ สส.สระแก้ว เขต 1 ก็เป็นได้

ขณะที่ ภัทรพล มานะสร้าง เบอร์ 12 ข้าราชการเกษียณ เป็นนักจิตอาสา เป็นนักพูด นักจัดรายการ อดีตบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น และยังทำกิจกรรมทางการเมืองมาอย่างต่อเนื่อง จึงเป็นที่รู้จักของคนสระแก้ว เขต 1 มิใช่น้อย โอกาสที่จะได้คะแนนพลิกล็อกเป็น สส.เขต 1 เช่นเดียวกัน ส่วน สุทธิรักษ์ วันเพ็ญ เบอร์ 8 พรรคเสรีรวมไทย อดีตผู้สมัคร สส.สระแก้ว สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ มาหลายสมัย แต่ต้องพ่ายแพ้ตระกูลเทียนทอง มาโดยตลอด

อย่างไรก็ตาม การชิงเก้าอี้ สส. ครั้งนี้ ด้วยความมั่นใจในนโยบายของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย และเป็นจุดยืนในการหาเสียง จึงเชื่อได้ว่าไม่ด้อยไปกว่า ผู้สมัคร สส.คนอื่น จึงมั่นใจว่าสส.สระแก้ว เขต 1 ต้องมาแน่แต่ก็ประมาท สุระพง ธรรม วรางกูร เบอร์ 13 พรรคภูมิใจไทย (ภท.) ไม่ได้ เพราะเคยเป็นทั้งนักพูด นักจัดรายการวิทยุ และเป็นวิทยากรในงานต่างๆ มาอย่างโชกโชน จึงเป็นผู้กว้างขวาง เป็นที่รู้จักของคนทั่วไป โอกาสที่จะได้นั่งเก้าอี้ สส.ก็มีมากเช่นกัน

สนามเลือกตั้งเขต 2 มีผู้สมัคร สส. ประกอบด้วย พล.อ.ชวลิต สาลีติ๊ด พรรคประชาธิปัตย์ เป็นนักการเมืองน้องใหม่ ยังไม่เคยเล่นการเมืองมาก่อน แต่ได้เปรียบที่ได้ปฏิบัติกิจกรรมทางการเมืองมาอย่างต่อเนื่อง ลง พื้นที่มาโดยตลอด และเข้าถึงชาวบ้านอีกด้วยตลอดระยะ 5 ปีที่ผ่านมา ดังนั้น การเข้าถึงประชาชนจึงได้เปรียบ ส่วน พ.ต.อ.พายัพ ทองชื่น พรรคเพื่อไทย อดีต สว.สระแก้ว คนสนิท เสนาะ เป็นที่รู้จักของชาวสระแก้วทั้งจังหวัดเป็นอย่างดี เนื่องจากเคยได้รับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภามาแล้ว

แต่ยังมี ตรีนุช เทียนทอง อดีต สส.สระแก้ว ทุกสมัย หลานเสนาะ หนีจากพรรคเพื่อไทย มาซบพรรคพลังประชารัฐ ยังมีฐานคะแนนเสียงอย่างคับคั่ง ดังนั้นโอกาสที่จะได้คะแนนมาอันดับ 1 ค่อนข้างสูงเช่นกัน

สนามเลือกตั้งเขต 3 มี สรวงศ์ เทียนทอง พรรคเพื่อไทย บุตรชาย เสนาะ อดีต สส.สระแก้ว ทุกสมัย ลงพื้นที่ทำกิจกรรมทางการเมืองมาอย่างต่อเนื่อง จึงเป็นที่ไว้วางใจของประชาชน โอกาสจะได้รับชูมือเป็น สส.สระแก้ว ก็เป็นได้สูง ส่วน สุรศักดิ์ ชิงนวรรณ์ อดีตสมาชิก อบจ.สระแก้ว และ สท.หลายสมัย พรรคพลังประชารัฐ เป็นผู้กว้างขวางในพื้นที่ เป็นที่รู้จักของคนทั่วไป

ประกอบกับมีน้องชายเป็นถึง ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสระแก้ว ถึงแม้จะมีกฎระเบียบห้ามข้าราชการหาเสียง หรือห้ามมีส่วนเกี่ยวข้องทางการเมือง แต่โดยลักษณะนิสัยของคนไทยจะมีความเกรงใจ และเป็นระบบอุปถัมภ์อยู่ อาจได้รับเลือกเป็น สส.สระแก้ว ได้เช่นกัน

ด้าน พรพล เอกอรรถพร อดีตผู้สมัคร สส.สระแก้ว ทุกสมัย พรรคประชาธิปัตย์ แต่ต้องพ่ายแพ้ให้กับตระกูลเทียนทองทุกครั้ง เป็นอีกคนหนึ่งที่ต่อสู้บนเส้นทางการเมืองมาโดยตลอด โดยไม่ย่อท้อ และมีคะแนนตีตื้นมาโดยตลอดเช่นกัน

การเลือกตั้ง สส.ในยุคสื่อสารไร้พรมแดน โอกาสพลิกล็อกทางการเมืองสามารถเกิดขึ้นตลอดเวลา ต้องจับตาดูให้ดี พรพลอาจเป็นผู้หนึ่งที่พลิกเกมการเมืองก็เป็นได้

สมการใหม่หากยุบทษช. อยู่ที่’เพื่อไทย’จะแก้เกม

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/politic/report/580010

  • วันที่ 12 ก.พ. 2562 เวลา 06:41 น.

สมการใหม่หากยุบทษช. อยู่ที่'เพื่อไทย'จะแก้เกม

โดย…ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์

จุดเปลี่ยนสำคัญหากมีการยุบพรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) อันเนื่องจากกระทำการที่ไม่บังควร อาจทำให้เครือข่ายระบอบทักษิณได้รับผลกระทบในการเลือกตั้ง แต่กรณีนี้คนทางไกลอาจแก้เกมได้ เพราะมีพรรคเพื่อไทยเป็น “พรรคสำรอง” รองรับจำนวน สส.ที่อาจสูญเสียไปได้

เจษฎ์ โทณะวณิก นักวิชาการด้านกฎหมายและอดีตที่ปรึกษากรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) กล่าวว่า กรณีพรรคการเมืองใดทำผิดกฎหมายพรรคการเมือง มาตรา 92 (2) เมื่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีหลักฐานอันควรเชื่อว่าการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปนี้ ให้ยื่นศาลรัฐธรรมนูญเพื่อสั่งยุบพรรคการเมืองนั้น โดยกฎหมายกำหนดไว้ในวงเล็บสองที่ระบุว่า “การ กระทำการอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข”

เจษฎ์ กล่าวว่า สิ่งที่หมายถึง “อาจ” ก็ต้องเข้าไปดูในประกาศพระราชโองการสถาบันพระมหากษัตริย์ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ที่ระบุไว้ว่า “การนำสมาชิกชั้นสูงในพระบรมราชวงศ์มาเกี่ยวข้องกับระบบการเมือง ไม่ว่าจะโดยทางใดก็ตาม จึงเป็นการกระทำที่ขัดต่อโบราณราชประเพณี ขนบธรรมเนียม และวัฒนธรรมของชาติ ถือเป็นการกระทำที่มิบังควรไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง” ส่วนนี้อาจตีความได้ว่าเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตย ซึ่งสำนักงาน กกต.ต้องพิจารณาดำเนินการ ส่วนจะดำเนินการอย่างไรขึ้นอยู่กับทาง กกต.ต่อไป

“เขาให้นายทะเบียนก็คือเลขาธิการ กกต. จากนั้นส่งต่อให้กับทางคณะกรรมการ กกต.ชุดใหญ่เพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณา ถ้าศาลรัฐธรรมนูญเห็นแล้วว่ายุบก็คือยุบ ไม่ยุบก็คือไม่ยุบ ทั้งนี้ควรเป็นการพิจารณาก่อนการเลือกตั้งดีที่สุด” นักวิชาการด้านกฎหมายฯ กล่าว

สำหรับจุดเปลี่ยนทางการเมืองหลังจากนี้ยังไม่สามารถบอกได้ แต่ว่าจุดเปลี่ยนของพรรค ทษช.มีอยู่แน่นอน ต้องดูว่าถ้า ทษช.ยังเดินต่อไป คะแนนที่ประชาชนจะเลือกอาจลดน้อยลงไปหรือไม่  โดยแยกวิเคราะห์ได้ 2 ทาง 1.อาจมีคะแนนตีกลับความรู้สึกของประชาชนที่สนับสนุน ทษช.ที่รู้สึกว่าอาจผิดหวัง 2.มีความรู้สึกว่ายิ่งต้องสนับสนุนพรรคต่อไป ซึ่งนั่นมีโอกาสเป็นไปได้ทั้งสองทางในกรณีที่ ทษช.ยังอยู่

นักวิชาการด้านกฎหมายฯ กล่าวว่า ส่วนกรณีหากพรรค ทษช.ถูกยุบก็ไม่ต้อง พูดถึงพรรคนี้แล้ว ประชาชนอาจเบนทิศทางไปพูดถึงพรรคการเมืองอื่นที่เป็นเครือข่ายของพรรคเดิมว่าจะเป็นอย่างไร อาจเป็นไปในทิศทางเดียวกันคือประชาชนไม่เอา ไม่ให้การสนับสนุนแล้วเมื่อเกิดกรณีเช่นนี้ และอีกทางคือแบบนี้ยิ่งต้องสู้ต้องให้คะแนนพรรคการเมืองนี้ โอกาสเป็นไปได้ทั้งสองทางเช่นกัน เพราะเมื่อเลือกพรรค ทษช.ไม่ได้ ก็ต้องไปเลือกพรรคการเมืองในกลุ่มเครือข่ายแทนได้

สติธร ธนานิธิโชติ นักวิชาการ ผู้ชำนาญการสถาบันพระปกเกล้า กล่าวว่า จากก่อนหน้านี้ที่มีชื่อของทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญาสิริวัฒนาพรรณวดี เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรค ทษช. ทำให้กระแสของพรรคดีขึ้นเห็นได้จากการส่งผู้สมัคร สส.เพิ่มจาก 150 คน เป็น 175 คน แต่พอหลังมีพระราชโองการกระแสก็ลดลง และเมื่อไม่มีการเสนอชื่อนายกฯ ก็จะมีผลต่อการตัดสินใจของประชาชน ยังไม่รวมกับสถานภาพความไม่แน่นอนของพรรคที่สุ่มเสี่ยงจะถูกยุบพรรคอีก

อย่างไรก็ตาม ในกรณีการไม่มีอยู่ของพรรค ทษช.ย่อมส่งผลต่อทิศทางการเมืองและการจับขั้วกันในอนาคตโดยเฉพาะกับ 100 เขตของพรรค ทษช.ที่พรรคเพื่อไทยไม่ส่งผู้สมัคร หากคำนวณดูจากเลือกตั้ง 2554 จะเป็นฐานเดิมของเพื่อไทย 3 ล้านคะแนน หรือ 40-50 ที่นั่ง ซึ่งเชื่อว่าจะกระจายไปยังฝั่งตรงข้ามอย่างพรรคพลังประชารัฐ ประชาธิปัตย์น้อยกว่าฝั่งกลุ่มที่เรียกตัวเองฝ่ายประชาธิปไตย อย่างเสรีรวมไทย เพื่อชาติ อนาคตใหม่

สติธร กล่าวว่า ในแง่ของความเสี่ยงที่อาจเป็นเหตุให้ยุบพรรค ทษช.ได้นั้น หากพรรคยังเลือกที่จะสู้เต็มตัวแล้วในอนาคตเกิดไปถูกยุบทีหลัง ก็อาจกระทบกับคะแนนที่ได้ไม่ว่ากรณีชนะได้ที่หนึ่งในเขตเลือกตั้งหรือได้ที่สองที่สาม ซึ่งจะทำให้คะแนนตรงนั้นสูญหมด ซึ่งไม่เป็นผลดีกับขั้วการเมืองที่ตัวเองสนับสนุน ดังนั้นอาจต้องยอมเสียสละเพื่อประโยชน์ มองเป้าหมายถอนตัวเองออกไป

ศ.ไชยันต์ ไชยพร อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า กรณีสมมติหากมีการยุบพรรค ทษช. ย่อมทำให้ตัวแสดงในการแข่งขันหายไปร้อยกว่าคน ขณะที่พรรคที่หายไปก็จะกระทบกับพรรคพันธมิตร รวมไปถึงการจัดตั้งรัฐบาล และการต่อรองทางการเมือง ซึ่งจะทำให้พรรคเพื่อไทยต้องอ่อนกำลังลงไปด้วย

อย่างไรก็ตาม ส่วนจะทำให้เกิดกระแสตีกลับคนหันไปเลือกพรรคเพื่อไทยมากขึ้นหรือไม่ ตรงนี้อาจต้องไปดูต่อว่าคำอธิบายเรื่องการยุบพรรคนั้นสมเหตุสมผลแค่ไหน รวมทั้งต้องดูจังหวะเวลาของการยุบพรรค ถ้ายุบก่อนเลือกตั้งก็อาจเกิดกระแสตีกลับได้ แต่ถ้ายุบหลังเลือกตั้งก็คงจะไม่เกิดกระแสเห็นใจ แต่คนที่ปวดหัวก็คือ กกต. เพราะคะแนนที่ประชาชนลงคะแนนแล้วจะคิดอย่างไร

ศ.ไชยันต์ กล่าวว่า กรณีการยุบพรรคก็อาจทำให้ฝ่ายเพื่อไทยได้คะแนนน้อยลงและทำให้ฝั่งตรงข้ามได้คะแนนมากขึ้น แต่ก็ขึ้นอยู่กับยุทธศาสตร์ของพรรคเพื่อไทยว่าจะแก้เกมอย่างไรให้ดึงคะแนนส่วนนั้นกลับมาได้ ไม่กระจายไปยังฝั่งตรงข้าม เพราะกรณีพรรคที่ถูกยุบไปนั้นแต่คะแนนเสียงของ ทษช.ในส่วนของพรรคเพื่อไทยก็ยังอยู่ อยู่ที่ว่าจะดึงกลับมาได้แค่ไหน เพราะคนกลุ่มนี้ก็คงไม่หันไปเลือกพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

“สนามเลือกตั้งตาก” พปชร.-พท.-ภท. เดิมพันล้มแชมป์เก่าปชป.

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/politic/report/580001

  • วันที่ 11 ก.พ. 2562 เวลา 20:39 น.

"สนามเลือกตั้งตาก" พปชร.-พท.-ภท. เดิมพันล้มแชมป์เก่าปชป.

จังหวัดตากเป็นอีกสนามเลือกตั้งที่น่าจับตาว่า “ประชาธิปัตย์” จะสามารถป้องกันแชมป์ไว้ได้อีกสมัยหรือไม่

**********************************

โดย…ทีมข่าวการเมืองภูมิภาคโพสต์ทูเดย์

สนามเลือกตั้ง จ.ตาก ที่เคยเป็นเขตยึดครองของพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ทั้ง 3 เขต ไม่เคยมีพรรคอื่นสามารถเบียดแทรกได้มาหลายสมัย แต่ศึกเลือกตั้งครั้งนี้หลายพรรคต่างส่งผู้สมัครลงทุกเขต ต้องจับตาว่า ปชป.จะสามารถป้องกันแชมป์ไว้ได้อีกสมัยหรือไม่ ทำให้สนามเลือกตั้งจ.ตาก แข่งขันอย่างดุเดือดแน่ โดยเฉพาะเขต 1 และ เขต 3 ถึงขั้นชิงดำเลยทีเดียว

สนามเลือกตั้งเขตที่ 1 ประกอบด้วย อ.เมือง กิ่ง อ.วังเจ้า และ อ.บ้านตาก (ยกเว้น ต.เกาะตะเภา ต.ท้องฟ้า) ถือว่าเป็นเขตช้างชนช้าง และมีการแข่งขันกันอย่างดุเดือดอย่างแน่นอน เพราะมี นพ.เธียรชัย สุวรรณเพ็ญ พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) เบอร์ 2 แชมป์เก่าว่า จะสามารถป้องกันแชมป์ได้หรือไม่ เนื่องจาก ธนัสถ์ ทวีเกื้อกูลกิจ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เบอร์ 10 ซึ่งเป็น อดีต สส.เก่า เมื่อปี 2548 และเป็นบุตรชายคนโตของ ณัฐวุฒิ ทวีเกื้อกูลกิจ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ตาก ทำคะแนนไล่บี้ ถึงหายใจรดต้นคอแล้ว เพียงแค่ช่วงแรกของการออกสตาร์ทเท่านั้นกระแสความนิยมเพิ่มมากขึ้นต่อเนื่อง แถมยังมี ณพล ชยานนท์ภักดี พรรคเพื่อชาติ (พช.) เบอร์ 3 ประสงค์ นามเสถียร พรรคภูมิใจไทย (ภท.) เบอร์ 8 กำลังทำคะแนนตามมาติดๆ ซึ่งเขตมีแนวโน้มถึงขั้นชิงดำ ใครเข้าวินนั้นอยู่ที่ว่าลงทำคะแนนเสียงได้ดีแค่ไหนและนโยบายพรรคถูกใจประชาชนมากน้อยแค่ไหน

สนามเลือกตั้งเขตที่ 2 ประกอบด้วย อ.แม่สอด (ยกเว้น ต.แม่กาษา) พบพระ และ อ.อุ้มผาง มี ชัยวุฒิ บรรณวัฒน์ พรรคประชาธิปัตย์ เบอร์ 4 เป็นต่อคู่แข่งรายอื่นๆ อยู่หลายขุมทีเดียว ตั้งแต่เปิดตัวลงสมัคร สส.เขตนี้ ชัยวุฒิน่าจะแบเบอร์ เพราะด้วยประสบการณ์อยู่บนถนนการเมืองมายาวนาน ชื่อเสียงบารมีล้นหลามและเป็นอดีต สส.ทุกสมัย ที่สำคัญเคยดำรงตำแหน่งอดีต รมว.อุตสาหกรรม แต่ก็ประมาท ฑีฆะพล ทวีเกื้อกูลกิจ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เบอร์ 5 ไม่ได้ นอกจากเป็นบุตรชายคนเล็กของ ณัฐวุฒิ ทวีเกื้อกูลกิจ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ตากที่มีฐานเสียงแน่นจากคนฐานรากแล้วยังเป็นคนรุ่นใหม่จบดีกรีระดับดอกเตอร์ที่ชาวตากต้องการความเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี ดังนั้น เขตนี้โอกาสฝ่ายตรงข้ามล้มแชมป์เก่าก็เป็นไปได้สูงทีเดียว

ส่วน ณัฐวัฒน์ ชัยสงค์ พรรคพลังท้องถิ่นไทย เบอร์ 10 รวมทั้งผู้สมัครจากกลุ่มชาติพันธุ์ในพื้นที่ชาวม้ง เป็นได้แค่ไม้ประดับ ทั้ง ชัยวุฒิ และ ฑีฆะพล ฝ่ายไหนจะกำชัยชนะครั้งนี้ต้องรอลุ้นหาเสียงในช่วงโค้งสุดท้าย

สนามเลือกตั้งเขตที่ 3 ประกอบด้วย อ.สามเงา บ้านตาก (ยกเว้น ต.เกาะตะเภา ท้องฟ้า) อ.แม่ระมาด ท่าสองยาง และแม่สอด (ยกเว้น ต.แม่กาษา) ส่อเค้าแข่งขันกันดุเดือดรุนแรงแน่ แชมป์เก่า ธนิตพล ไชยนันทน์ พรรคประชาธิปัตย์ เบอร์ 8 ซึ่งเป็นบุตรชายคนเล็กของ เทอดพงษ์ ไชยนันทน์ ฐานเสียงแน่นและแรงหนุนปึ้ก แต่ผู้ท้าชิง ภาคภูมิ บูลย์ประมุข พรรค พลังประชารัฐ เบอร์ 3 ซึ่งเป็นอดีตรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ตาก ฐานเสียงแน่นไม่แพ้กัน คู่นี้ถือว่าเป็นมวยถูกคู่ แพ้ชนะอยู่ที่ช่วงจังหวะออกหมัดว่าจะเข้าเป้ามากน้อยแค่ไหน

ส่วน ชัยณรงค์ มะเดชะ พรรคเพื่อไทย เบอร์ 9 ดีกรีไม่ธรรมดาเคยเป็นถึงอดีตนายกเทศมนตรี ต.แม่ระมาด เช่นเดียวกับ อมรเทพ นันตาสาย พรรคเพื่อชาติ เบอร์ 5 อดีตนายกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) แม่กาษา และ สุกัลยา โชคบำรุง พรรคภูมิใจไทย เบอร์ 7 ตัวสอดแทรกที่มองข้ามไม่ได้เพราะแต่ละคนกำลังโกยคะแนนเสียงไล่ตามมาแบบหายใจรดต้นคอ

อย่างไรก็ตาม เมื่อดูภาพรวมของสนามเลือกตั้งทั้ง 3 เขต จ.ตาก คงจะเป็นการต่อสู้ระหว่างพรรคประชาธิปัตย์ กับพรรคพลังประชารัฐ และพรรคเพื่อไทย ต่างก็มีฐานเสียงแข็งแกร่ง แต่ที่น่าจับตาดูเป็นอย่างยิ่งว่า ศึกเลือกตั้งวันที่ 24 มี.ค.นี้ พรรคประชาธิปัตย์จะยังคงรักษาฐานที่มั่นไว้ได้ทั้ง 3 เขตหรือไม่

ยาแรงวงการ “แป๊ะเจี๊ยะ” พลิกสารพัดวิธีติดสินบน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/politic/report/579918

  • วันที่ 11 ก.พ. 2562 เวลา 07:26 น.

ยาแรงวงการ "แป๊ะเจี๊ยะ" พลิกสารพัดวิธีติดสินบน

เมื่อมีนโยบายมีกฎหมายที่ชัดเจน สังคมไทยจะเกิดการรับรู้ว่าแป๊ะเจี๊ยะคือสิ่งที่ไม่ถูกและต้องกำจัดไป

**********************

โดย…เอกชัย จั่นทอง

มาตรการป้องกันการทุจริตในการเรียกรับเงินหรือประโยชน์ เพื่อโอกาสในการเข้าเรียนในสถานศึกษา สังกัด สพฐ.คงต้องเปลี่ยนแปลงไป หลังคณะรัฐมนตรีเห็นชอบข้อเสนอคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่เสนอให้ยกเลิกเกณฑ์การรับนักเรียนที่มีเงื่อนไขพิเศษ 7 ข้อ เช่น บุตรข้าราชการครู รับนักเรียนที่ทำคุณประโยชน์ให้โรงเรียนต่อเนื่อง รับนักเรียนเงื่อนไขพิเศษตามข้อตกลงในการจัดตั้งโรงเรียน ฯลฯ เนื่องจากเป็นต้นตอให้เกิดปัญหาการทุจริตขึ้นในวงการศึกษา

สมพงษ์ จิตระดับ อาจารย์คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ยอมรับว่า ปีที่ผ่านมาเราไม่ได้เห็นข่าวเรื่องการรับเงินหรือแป๊ะเจี๊ยะในสถานศึกษา หลัง ป.ป.ช.เข้าไปมีส่วนร่วมแก้ไข ถือว่าเห็นผลทันทีในเรื่องการจ่ายแป๊ะเจี๊ยะหยุดชะงักลงทันที การที่ ป.ป.ช.เข้าไปแทรกแซงถือว่ามีข้อดี เพราะมีคำหลายคำที่หลังจากนี้คนจ่ายเงินหรือจ่ายแป๊ะเจี๊ยะต้องระวังตัวมากขึ้นกว่าเดิม เนื่องจากการจ่ายเงิน “เท่ากับติดสินบนแล้ว” อีกทั้งยังมีความผิดทางคดีอาญา

“วัฒนธรรมเรื่องการจ่ายแป๊ะเจี๊ยะมันอาจจำเป็นต้องใช้ยาแรงขึ้น เชื่อว่าในระยะเวลา 3-4 ปีจากนี้เรื่องจ่ายแป๊ะเจี๊ยะต้องปรับตัวครั้งใหญ่ เพราะหลังมีประกาศคณะรัฐมนตรีรับทราบแล้ว มีข้อเสนอแนะหลายเรื่องที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ต้องพิจารณา เช่น เรื่องกรณี 7 ข้อพิเศษพิจารณาเข้าเรียนควรยกเลิกหรือไม่ ทาง สพฐ.อาจต้องทบทวนพิจารณาใหม่ เนื่องจากมันคือจุดอ่อนที่เปิดช่องโหว่”

ในมุมมองส่วนตัว สมพงษ์เห็นว่ากฎหมายใหม่ที่ออกมานี้ดูดีขึ้นทันกับสถานการณ์ อาจทำให้กระบวนการจ่ายเงินแป๊ะเจี๊ยะในสถานศึกษาหยุดไปชั่วคราว และรูปแบบการให้แป๊ะเจี๊ยะจะอยู่ได้อีกประมาณ 2-3 ปี

สมพงษ์ กล่าวว่า แต่บางเรื่องที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข เช่น ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับเรื่องจะทำอย่างไรให้โรงเรียนขนาดเล็ก โรงเรียนขนาดกลางที่มีอยู่ให้มีคุณภาพดีขึ้นกว่าเดิม ได้รับเงินงบประมาณเพิ่มขึ้น ในสถานการณ์ปัจจุบันเรื่องความแตกต่างของโรงเรียน เรื่องความเหลื่อมล้ำสูงขนาดไหน ส่วนนี้น่าคิดว่าต้องทำอย่างไรให้คุณภาพของโรงเรียนเกิดความใกล้เคียงกันมากที่สุด

“กรณีการจ่ายเงินแป๊ะเจี๊ยะส่วนตัวยังมองว่ามีปัญหาอยู่ โดยโรงเรียนที่สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) จะรับนำกฎหมายนี้ไปปฏิบัติหรือไม่ หากรับแล้วจะปฏิบัติตามที่ ป.ป.ช.เสนอหรือไม่ ขณะเดียวกันสิ่งที่เห็นช่องว่างอยู่คือการตีความเรื่องแป๊ะเจี๊ยะเป็นการจ่ายสินบน จะมีบทลงโทษเด็ดขาดจริงจังแค่ไหน ตรงนี้จะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน” สมพงษ์ ระบุ

นักวิชาการครุศาสตร์ คาดการณ์ว่า อีก 2-3 ปี จะเห็นรูปแบบแป๊ะเจี๊ยะในวิธีอื่น เช่น การจองโรงเรียนกันตั้งแต่เกิด ย้ายทะเบียนบ้านใกล้โรงเรียนดัง จ่ายแป๊ะเจี๊ยะที่ไม่ใช่ตัวเงิน เช่น รถประจำตำแหน่ง พาครูไปศึกษาดูงานต่างประเทศ ทั้งโรงเรียน ซื้อวัสดุ ครุภัณฑ์ แอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า จ้างครูสอนภาษาอังกฤษ ฯลฯ ต่อไปรูปแบบนี้สังคมไทยได้เห็นอย่างแน่นอน นั่นหมายความว่ารูปแบบเดิมจะปรับเปลี่ยนจากเงินไปสู่การจ่ายแบบวัตถุสิ่งของที่จำเป็นต้องใช้ และใช้กับเด็กนักเรียนทุกคนมากขึ้น ที่สำคัญยังสร้างขวัญกำลังใจให้กับครู และเป็นโปรแกรมพิเศษๆ ทำให้โรงเรียนเป็นที่ยอมรับ

“มันจะไม่ใช่รูปแบบตัวเงินอีกต่อไป เพราะถ้าโจ๋งครึ่มจะถือเป็นความผิดตามกฎหมาย เนื่องจากเป็นสินบน ต่อไปคงมีหลายรูปแบบอื่นเกิดขึ้น แต่ไม่ใช่เรื่องการจ่ายเงินเหมือนเดิม ทั้งนี้ ระเบียบ ป.ป.ช.ที่เกิดขึ้นมาถือเป็น ยาแรงจะช่วยลดปัญหาเรื่องแป๊ะเจี๊ยะลงได้ระดับหนึ่ง ทุกข้อเสนอแนะในทุกประเด็นมีข้อดีหมด เพียงแต่จะได้รับการนำไปปฏิบัติทุกข้อหรือไม่ขึ้นอยู่กับหน่วยงานต้นสังกัดมากกว่า โดยเฉพาะ สพฐ.” สมพงษ์ กล่าว

มานะ นิมิตรมงคล เลขาธิการองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) มองว่า การศึกษาต้องเปิดโอกาสให้เท่าเทียมกันสำหรับคนไทยทุกคน แต่ว่ากลุ่มคนที่มีศักยภาพที่สามารถจ่ายเงินจำวนมากได้ก็ต้องมีทางเลือกของกลุ่มคนเหล่านั้น ซึ่งอาจจะเป็นโรงเรียนเอกชน โปรแกรมการศึกษาพิเศษ ไม่เป็นการปิดกั้น

สิ่งที่เกิดขึ้นจะเป็นตัวอย่างชัดเจนว่าการดำเนินการของ ป.ป.ช.มาถูกทางแล้ว เนื่องจากการแก้ไขปัญหาคอร์รัปชั่นของประเทศไทยต้องออกมาตรการเป็นชุดๆ ในรูปแบบเฉพาะเรื่องเฉพาะราว

“อนาคตเรื่องการแต่งตั้งเฉพาะเรื่อง เช่น การแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ การซื้อขายตำแหน่งในวงการตำรวจ เป็นต้น ก็ต้องมีการออกกฎหมายเฉพาะเพิ่มเติมออกมา ซึ่งเป็นแนวทางที่ถูกต้อง ไม่ใช่เรื่องผิดปกติ แต่จะไปกวาดเหมารวมไม่สามารถไปทำประโยชน์อะไรได้ วิธีการเฉพาะเจาะจงเป็นประโยชน์มากกว่า”

เลขาธิการองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) เชื่อว่า เรื่องการรับแป๊ะเจี๊ยะจะเปลี่ยนไปแน่นอน เพียงแต่ยังไม่สามารถแก้ไขได้ในระยะสั้นและทั้งหมด แต่จะดีขึ้น ระบบจะไปอย่างถูกต้องเท่าเทียม ส่วนคนที่จะทุจริตจะหาช่องทาง หาโอกาสต่อไปเรื่อยๆ

“เชื่อว่าอีกสักระยะถ้าเราพยายามทุกอย่างจะเข้าที่เข้าทางมากขึ้น ขณะเดียวกันยังเป็นการเพิ่มโอกาสให้กับเด็กยากจน เด็กบ้านใกล้โรงเรียนมีโอกาสได้เรียนโรงเรียนดีมีคุณภาพ นั่นคือสิ่งที่สังคมต้องการเห็นมากที่สุด เด็กจะได้รับโอกาสเพิ่ม”

แต่จะสกัดการจ่ายแป๊ะเจี๊ยะหรือสินบน แต่มานะเชื่อว่ายังมีผู้ปกครองบางคน ผู้บริหารสถานศึกษาพยายามสร้างเงื่อนไขให้เกิดช่องทางช่องโหว่ในการเรียกรับเงินในรูปแบบต่างๆ ซึ่งต้องพยายามปิดกั้นช่องทางเหล่านั้นให้ได้ โดยต้องครอบคลุมทุกคำ ไม่ว่าจะเป็นคำว่า แป๊ะเจี๊ยะ บริจาค ฯลฯ ต้องดูวิเคราะห์อย่างรัดกุม ซึ่งต้องใช้เวลาอีกสักระยะ แต่ถือว่าเห็นเป็นรูปธรรมรอบคอบมากขึ้น

มานะ กล่าวทิ้งท้ายว่า ต่อไปหลังจากนี้สังคมจะเกิดการรับรู้ว่าแป๊ะเจี๊ยะคือสิ่งที่ไม่ถูกและต้องกำจัดไป คนให้และคนรับเงินล้วนแต่เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง เมื่อมีนโยบายมีกฎหมายที่ชัดเจนเท่ากับการตีตราในระบบว่าเรื่องแหล่านี้ไม่ถูกต้อง ใครที่พูดว่า “ใครเขาก็ทำกัน ในระบบมีอยู่” จะเป็นคำอธิบายที่จะไม่ได้รับการยอมรับอีกต่อไป ดังนั้นเรื่องทัศนคติ ค่านิยมของสังคมจึงเป็นเรื่องจำเป็น

“ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ” แม่ทัพใหญ่พลังประชารัฐวางกลยุทธ์พิชิตเมืองกรุง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/politic/report/579896

  • วันที่ 10 ก.พ. 2562 เวลา 17:44 น.

"ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ" แม่ทัพใหญ่พลังประชารัฐวางกลยุทธ์พิชิตเมืองกรุง

“ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ” รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐกับบทบาทแม่ทัพใหญ่นำผู้สมัครกว่า 30ชีวิตสู้ศึกเลือกตั้งกรุงเทพฯ

**********************

โดย…ปริญญา ชูเลขา

กรุงเทพมหานครนับเป็นสมรภูมิเลือกตั้งที่ดุเดือดที่สุดที่ทุกพรรคต้องการคว้าชัยเช่นเดียวกับพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) มี “ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ” รองหัวหน้าพรรคเป็นแม่ทัพใหญ่ ผู้นำในการพาผู้สมัครกว่าสามสิบชีวิต ลงสู้ศึกสมรภูมินี้ โอกาสนี้โพสต์ทูเดย์สัมภาษณ์พิเศษถึงยุทธศาสตร์และกลยุทธ์คว้าชัยชนะเหนือคู่แข่งทางการเมือง

ณัฏฐพล ในฐานะศิษย์เก่าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) เคยดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการพรรค กล่าวว่า แม้จะยากสำหรับพรรคใหม่อย่าง พลังประชารัฐ เพราะต้องสู้กับเจ้าของพื้นที่เดิม คือ ประชาธิปัตย์ และพรรคเพื่อไทยที่มีอดีต สส.หลายสมัย แต่สำหรับกลยุทธ์ของพลังประชารัฐ คือ การผสมผสานระหว่างนักการเมืองท้องถิ่นที่มีความใกล้ชิดกับประชาชน กับคนรุ่นใหม่ทางการเมืองที่ประสบความสำเร็จทางธุรกิจมาเป็นตัวเลือกให้กับประชาชน

เหตุผลที่เลือกคนรุ่นใหม่ลงแข่งขัน เพราะคนเหล่านี้ต่างมีประสบการณ์ทางธุรกิจที่สามารถนำความสำเร็จตรงนั้นมาปฏิบัติใช้ในการแก้ปัญหาหนี้สินให้กับประชาชน นโยบายสธุรกิจสตาร์ทอัพ ธุรกิจเอสเอ็มอี หรือการให้ทุนคนรุ่นใหม่ในการดำเนินธุรกิจเพื่อสร้างชีวิตตัวเองและครอบครัว

“สิ่งที่เราคิด คือ ผู้ที่จะมาทำนโยบายแก้ปัญหาความยากจนได้ต้องประสบความสำเร็จทางธุรกิจ ทั้งชีวิตครอบครัวและการงานที่เข้าใจการวางแผนครอบครัวทั้งด้านการศึกษาและการลงทุนให้คนรุ่นใหม่ที่จะเติบโตขึ้นมา จึงเลือกบุคลากรที่มีคุณลักษณะนี้มากกว่า และไม่เน้นส่งคนรุ่นใหม่ที่เพิ่งเรียนจบเพราะขาดประสบการณ์ชีวิตและการงาน”ณัฏฐพล กล่าว

อย่างไรก็ตาม ในการคัดเลือกพื้นที่ที่จะนำคนรุ่นใหม่ลงแข่งขัน จะมีนักการเมืองท้องถิ่นในระดับ สก.หรือ สข.ที่ทำงานติดพื้นที่เข้ามาช่วยเป็นพี่เลี้ยงทางการเมืองให้กับคนรุ่นใหม่ โดยเน้นพื้นที่ กทม.ด้านในเป็นหลัก ส่วนพื้นที่รอบนอก กทม.จะเน้นเป็นนักการเมืองเจ้าของพื้นที่ตัวเองมีความคุ้นเคยกับท้องถิ่นและชุมชนอยู่แล้ว เพราะพื้นที่รอบนอกมีการแข่งขันสูงกับเจ้าถิ่นเดิมทั้งประชาธิปัตย์และเพื่อไทย ขณะที่คนรุ่นใหม่จะใช้สื่อโซเชียลมีเดียเพื่อทำให้ประชาชนได้รู้จัก เช่น เนวิน ภัชริน คนหนึ่งเป็นสถาปนิก โดยเฉพาะในกลุ่มประชาชนที่อยู่ในเมืองเพราะคนกรุงเทพฯ นิยมบริโภคสื่อผ่านโซเชียลมีเดีย

ณัฏฐพล กล่าวว่า สำหรับกลยุทธ์โซเชียลมีเดียจะแบ่งเป็น 3 ส่วน คือ กระแสว่าที่นายกรัฐมนตรีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ซึ่งท่านมีโซเชียลมีเดียของตัวเองอยู่แล้ว จึงสามารถเชื่อมต่อกันได้ กระแสพรรคซึ่งต้องใช้เวลาในการพัฒนาเพื่อให้ประชาชนได้รู้จักมากที่สุด และกระแสตัวผู้สมัคร ทั้งอดีตนักการเมืองท้องถิ่นหรือคนรุ่นใหม่ ทุกคนมีพลังในตัวเองที่จะไปแสดงภาพลักษณ์และศักยภาพให้ประชาชนได้รู้จัก

“พื้นที่ที่คิดว่าน่าจะได้แน่นอน แต่ก็ไม่ได้ประมาท เช่น หนองจอก ลาดกระบัง คลองสามวา มีนบุรี คลองเตย บางแค ทุ่งครุ พญาไท เป็นพื้นที่ที่ผู้สมัครของพลังประชารัฐมีพลังในตัวเองสูงมั่นใจว่าจะต่อสู้ได้” ณัฏฐพล กล่าว

ในฐานะศิษย์เก่าประชาธิปัตย์ “ณัฏฐพล” ได้สะท้อนความคิดว่ามอง ปชป.เป็นเจ้าถิ่นที่ล้มยาก แต่คิดว่าคนกรุงเทพฯ ต้องการเห็นความเปลี่ยนแปลง และต้องการเห็นความสงบเรียบร้อยต่อเนื่อง นี่คือจุดแข็งของพรรค เพราะว่าใน กทม.คือ พื้นที่เศรษฐกิจและธุรกิจของประเทศ ซึ่งประชาชนต้องการความมั่นใจและความเชื่อมั่นจากนักลงทุนหรือนักธุรกิจ เพราะคนกลุ่มนี้มีความหวั่นไหวสูง ดังนั้นนี่คือจุดขาย คือ การสร้างความมั่นใจแก่ประชาชนให้ต่อเนื่อง สำหรับเพื่อไทยมีจุดแข็งในพื้นที่รอบนอก ที่พรรคจะต้องแข่งขันการเข้าถึงประชาชนและชุมชน จึงบอกผู้สมัครทุกคนต้องลุยไปหาประชาชนแบบเคาะประตูถึงหน้าบ้าน เพราะบางพื้นที่ ปชป.ยังชนะ พท.ไม่ได้ เช่น สายไหม ดอนเมือง หรือบางเขน ฯลฯ โดยผู้สมัครจะต้องแข็งแรงในตัวเองในการปกป้องพื้นที่

“ผมเคยอยู่ ปชป.มาเคยคิดว่า ปชป.กวาดที่นั่งได้ทั้งหมด แต่กวาดในบางพื้นที่ของ พท.ไม่ได้ ดังนั้นผู้สมัครที่จะชนะ พท.ได้ต้องแข็งแรงจริงๆ และยุทธศาสตร์ของพลังประชารัฐ คือ ต้องเข้าใจปัญหาและความต้องการของประชาชน ผู้สมัครทุกคนต้องเดินไปเคาะตามประตูบ้าน ที่สำคัญดึงทีมงานของทั้งอดีต สส.ประชาธิปัตย์ หรืออดีตเพื่อไทยมาช่วยอย่างหนองจอก ลาดกระบัง มีนบุรี และคลองเตย ดังนั้นเมื่อดึงมือทำงานการเมืองมาแล้วเราหวังว่าจะสู้ได้แน่นอน”ณัฏฐพล กล่าว

ช่วงวิกฤตการณ์การเมือง 2557 “ณัฏฐพล” ลาออกจากการเป็น สส.ประชาธิปัตย์ เพื่อเข้าร่วมเป็นแกนนำในการชุมนุมของ กปปส. ซึ่งสนิทกับ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” ผู้ก่อตั้งพรรครวมพลังประชาชาติไทย ในฐานะแกนนำ “ณัฏฐพล” มองว่าพรรคของท่านสุเทพวางภาพรวมเอาไว้ในการเลือกตั้ง คือ เพื่อหวังกระแส กปปส. และกระแสที่ไม่เอา ทักษิณ ชินวัตร และยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายรัฐมนตรี ยังมีอยู่ ในภารกิจตรงนั้นการติดตามยังเหมือนเดิมหรือไม่ คงต้องพิสูจน์หลังเลือกตั้งและท่านเน้นเจาะบางเขตหลักๆ เช่น บึงกุ่มและคันนายาว เพราะเป็นพื้นที่ที่วางเป้าหมายกระแสของพรรคท่าน แตกต่างจากพื้นที่การเลือกตั้งในต่างจังหวัด โดยเฉพาะภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือ เน้นสร้างความคุ้นเคยกับประชาชน เพราะต้องใช้เวลาในการสร้างความรู้จักหรือคุ้นเคย ให้ประชาชนเปลี่ยนมารักหรือชอบพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง

“วิเคราะห์ภาพรวมกระแสคนกรุง เป็นกลุ่มคนที่เสพข้อมูลและรับข้อมูลในทุกรูปแบบหลังจากนั้นจะไปกลั่นกรองเอาว่าเหมาะสมหรือไม่ อย่างไร ในการเลือกอาจจะกรองไปจนถึง 3 วันสุดท้าย ดังนั้นทั้งกระแสว่าที่นายกรัฐมนตรีและนโยบายพรรคต้องผสมผสานกัน เพราะถ้าตัวว่าที่นายกฯ น่าสนใจแต่นโยบายไม่ดี และไม่เข้าใจการแก้ปัญหาจริงๆ ของคน กทม.อาจไม่เลือก ผมว่าทุกพรรคมีนโยบายที่ดี เช่น พรรคเล็กๆ พรรคหนึ่งเสนอให้เรียนฟรีถึง ป.โท แต่ก็ไม่ชนะ เพราะคน กทม.มองถึงความเป็นไปได้จริงของนโยบาย ดังนั้นนโยบายพลังประชารัฐ ที่นำเสนอ เรียกว่ามีความเป็นไปได้ เพราะเป็นแผนต่อยอดจากรัฐบาลนี้ได้ทำ” ณัฏฐพล กล่าว

ณัฏฐพล กล่าวว่า สำหรับนโยบายของกรุงเทพฯ พรรคได้นำเสนอนโยบายแก้ปัญหาเรื่องหนี้นอกระบบ โครงการตั้งกองทุนรถแท็กซี่โดยได้เป็นเจ้าของรถ ไม่ต้องเช่า โครงการขยายเครือข่ายซูเปอร์ไว-ไฟให้ครอบคลุมพื้นที่ทั่ว กทม. โครงการจัดตั้งตลาดสะอาดเขตละ 1 แห่ง โครงการขยายเครือข่ายรถไฟฟ้าทั่ว กทม.เพิ่มเติมจากปัจจุบัน โครงการนำปัญญาประดิษฐ์มาใช้แก้ปัญหาจราจร โครงการขยายสวนสาธารณะอย่างน้อยเขตละ 1 แห่ง โครงการนำรถยนต์เก่ามาใช้เป็นส่วนลดแลกซื้อรถไฟฟ้าได้คันละแสน โครงการสนับสนุนให้ใช้น้ำมันดีเซล บี20, โครงการก่อสร้างหอฟอกอากาศเพื่อแก้ปัญหาฝุ่นละอองทั่ว กทม. โครงการจัดตั้งจักรยานยนต์กู้ชีพเขตละ 50 คน เป็นต้น

นับเป็นการสานต่อนโยบายของรัฐบาลปัจจุบันโดยเฉพาะปัญหาหนี้สิน ที่ต้องการดูแลค่าใช้จ่ายและค่าครองชีพให้ประชาชนที่มีรายได้น้อยได้ลืมตาอ้าปากโดยจะสานต่อนโยบายของรัฐบาลเป็นการวางแผนเพื่อให้ประชาชนได้เข้าถึงโอกาสด้วยการสำรวจเอกสารสิทธิต่างๆ ให้นำมาใช้ประโยชน์เป็นเรื่องที่สำคัญในอนาคตด้านการวางแผนผังเมือง และการลงทุนจากเอกสารสิทธิที่ประชาชนครอบครองอยู่ได้นำมาใช้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจ

“ความเป็นไปได้จริงของนโยบายทางพรรคทำได้จริง เช่น แก้ปัญหามลภาวะสนับสนุนการปรับเปลี่ยนระบบขนส่งมวลชนเป็นระบบไฟฟ้าทั้งหมด อาทิ รถเมล์เป็นรถไฟฟ้า รถแท็กซี่เป็นรถไฟฟ้า หรือมอเตอร์ไซค์รับจ้างควรหันมาใช้รถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าด้วย ลองคิดดูหากรถขนส่งสาธารณะนับแสนคันเปลี่ยนเป็นไฟฟ้าจะทำให้อากาศ กทม.ดีขึ้นขนาดไหน รวมถึงการสร้างสวนสาธารณะหรือพื้นที่สีเขียวใน 50 เขต ซึ่งแต่ละพื้นที่มีที่ว่างอยู่แล้ว เพียงแต่อยู่ในความรับผิดชอบของฝ่ายใด สิ่งสำคัญคือต้องมีการประสานระหว่างรัฐบาลกับ กทม. ถือเป็นนโยบายสำคัญในการคำนึงถึงการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีด้วยการเพิ่มพื้นที่สีเขียวและอากาศที่บริสุทธิ์ ด้วยการทำที่ว่างทุกพื้นที่ให้เป็นพื้นที่สีเขียวคืนอากาศบริสุทธิ์แก่คนกรุง”ณัฏฐพล กล่าว

ณัฏฐพล กล่าวปิดท้ายว่า การชนะเลือกตั้งในกรุงเทพฯ ไม่ใช่การปราศรัยหาเสียง แต่การชนะเลือกตั้งในกรุงเทพฯ ได้ คือ การลงพื้นที่ให้ประชาชนได้รู้จักมากที่สุดไม่ว่าจะเป็นการทำให้ประชาชนรู้จักผ่านสื่อสิ่งพิมพ์ หรือโซเชียลมีเดีย และการเดินไปพบปะพี่น้องประชาชนด้วยตัวเองต่างหากที่เป็นองค์ประกอบสำคัญในการทำคะแนนการเลือกตั้ง ดังนั้นจะสู้อย่างเต็มที่เพราะทุกคะแนนจากประชาชนมีความสำคัญทุกคะแนนเสียง

“เปิดหลักสูตรเอง” แก้ปมคุณภาพนักศึกษา

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/politic/report/579838

  • วันที่ 10 ก.พ. 2562 เวลา 07:51 น.

"เปิดหลักสูตรเอง" แก้ปมคุณภาพนักศึกษา

มหาวิทยาลัยต้องสอนเฉพาะทางแก้ปัญหาคุณภาพนักศึกษาไม่ตรงตามความต้องการ ไม่ตอบโจทย์ตลาดแรงงานยุคใหม่ ขาดคุณสมบัติ

*********************

โดย…ธเนศน์ นุ่นมัน

วิกฤตจำนวนผู้เรียนที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง ดังจะเห็นได้จากที่นั่งเรียนซึ่งเหลือจากการสมัครคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาต่อในสถาบันอุดมศึกษาหรือทีเคส ถึง 1.2 แสนที่ และอีกปัญหาหนึ่งที่รุมเร้ามหาวิทยาลัยหลายแห่ง นั่นก็คือเรื่องของปัญหาคุณภาพผู้จบการศึกษา

ผู้ประกอบการจำนวนไม่น้อย ต้องแก้ปัญหานี้หลังจากพบว่ารับนักศึกษาใหม่เข้าทำงานแล้วทำงานไม่ได้ ด้วยการจัดอบรมพนักงานใหม่หรือปฏิเสธที่จะรับตั้งแต่ขั้นตอนสัมภาษณ์เข้าทำงาน หรือแม้กระทั่งบางแห่งถึงกับสร้างหลักสูตรขึ้นเองสำหรับการสมัครทำงานหรือทำข้อตกลงรับเข้าทำงาน และติดต่อกับบริษัทใหญ่ๆ ให้พร้อมจะพิจารณารับผู้ที่จบหลักสูตรดังกล่าวเข้าทำงาน

ณรงค์ศักดิ์ ภูมิศรีสอาด รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีพี ออลล์ และผู้แทนผู้รับใบอนุญาตวิทยาลัยเทคโนโลยีปัญญาภิวัฒน์ และสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ ระบุว่า ก่อนหน้านี้บริษัทเคยรับนักศึกษาเข้ามาทำงานแล้วพบปัญหาไม่สามารถใช้งานนักศึกษาตามจุดประสงค์ที่ต้องการได้ ต้องจัดให้มีการอบรมเรียนรู้อีกหลายด้าน จึงมองว่าเป็นความสูญเปล่าของทรัพยากรบุคคลของประเทศ

“เมื่อเห็นแบบนั้นก็มีแนวคิดที่จะสร้างสถานศึกษาที่เรียนวิชาการไปด้วยและฝึกงานภาคปฏิบัติอาชีพไปด้วย และมองว่าบริษัทของเรามีความพร้อม จากนั้นก็เปิดศูนย์การเรียนปัญญาภิวัฒน์เปิดสอนในระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) สาขาธุรกิจค้าปลีก เป็นหลักสูตรที่เปิดขึ้นเพื่อให้ผู้เรียนได้มีความรู้ในด้านการค้าปลีกอย่างครอบคลุม และครบวงจรของการบริหารธุรกิจ เป็นการสอนเพื่อให้ผู้เรียนมีความพร้อมและความสามารถเป็นเจ้าของธุรกิจส่วนตัว วิชาที่สอนในหลักสูตรนี้จึงครอบคลุมในหลายๆ ด้าน เช่น บัญชี การขาย ธุรกิจค้าปลีก คอมพิวเตอร์เพื่องานอาชีพ ศิลปการขายการจัดแสดงสินค้า การบริหารงานคุณภาพและเพิ่มผลผลิต” ณรงค์ศักดิ์ กล่าวและเล่าอีกว่า

การเรียนการสอนทางไกลของศูนย์เป็นแบบ 2 ทาง มีอาจารย์สอนจากส่วนกลางผ่าน ระบบ Video Conference ไปยังสถานศึกษา โดยอาจารย์และผู้เรียนสามารถคุยโต้ตอบกันได้ตลอดเวลาและเรียนภาคปฏิบัติจริงในร้านเซเว่นอีเลฟเว่น

นอกจากนั้น ยังได้เปิดสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ ซึ่งนอกจากจะเป็นสถาบันอุดมศึกษาเฉพาะทางที่เน้นการศึกษาและวิจัยทางด้านธุรกิจค้าปลีกแล้ว ยังเปิดการเรียนการสอนในหลักสูตรที่ขาดแคลนทั้งคณะที่เปิดสอนด้านการเกษตร คณะที่เปิดสอนด้านวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยี รวมถึงเปิดสอนหลักสูตรด้านการบิน

“เราเชื่อว่าแนวทางในการจัดการศึกษาของเรา สามารถตอบโจทย์การเรียนรู้และการทำงานยุคใหม่อย่างเท่าทันเป็นปัจจุบันได้ เพราะความรู้จากเทคโนโลยีที่นำมาสอนนั้นได้รับการอัพเดทอยู่ตลอดเวลา และซอฟต์แวร์ที่ถูกคิดค้นขึ้น 80% ของทั้งหมดนั้นถูกใช้ในแวดวงของการค้าปลีก เราจึงทันโลกที่เปลี่ยนไปทุกนาทีเหมือนเรา และมีนักเรียนมาเรียนกับเราเพิ่มขึ้นทุกปี”

แสงเดือน ตั้งธรรมสถิตย์ ผู้ร่วมก่อตั้ง และหัวหน้าผู้บริหารด้านปฏิบัติการ จ๊อบไทย ระบุว่า พฤติกรรมของผู้ประกอบการในความต้องการรับคนเข้าทำงานในยุคปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปจากอดีต องค์กรต่างๆ เริ่มปรับตัว บางสายไม่เน้นไปที่ผู้จบการศึกษาจากศาสตร์ใดศาสตร์หนึ่งโดยตรงอีกต่อไป

“เทคโนโลยียุคใหม่เปิดโอกาสให้สามารถทำงานข้ามศาสตร์ได้มากขึ้น จึงหมายความว่าความรู้เฉพาะในห้องเรียนอาจจะไม่เพียงพอสำหรับการทำงานยุคปัจจุบัน ต้องมีการอัพเดทความรู้เรื่องเทคโนโลยีตลอดเวลา ขณะเดียวกันหลายคนก็ใช้ศักยภาพที่มีทำงานอิสระ หรืองานฟรีแลนซ์มากขึ้น เพราะมองว่างานฟรีแลนซ์นั้นตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของตัวเองได้มากกว่า”

หัวหน้าผู้บริหารด้านปฏิบัติการ จ๊อบไทย กล่าวอีกว่า เคยสำรวจพบว่า คนรุ่นใหม่ไม่ต้องการทำงานประจำ และบางส่วนเลือกงาน ซึ่งปัจจุบันมีสัดส่วนคนที่ทำงานฟรีแลนซ์จากการเก็บตัวเลขของจ๊อบไทย มีอัตราอยู่ 4.36% เมื่อเทียบกับคนทำงานประจำ แบ่งสัดส่วนเป็นกลุ่มคน Gen X (คนที่มีอายุ 43 ปีขึ้นไป) = 6.62% จากคนที่สนใจทำงานฟรีแลนซ์ทั้งหมด Gen Y (คนที่มีอายุ 25-42 ปี) = 78.65% จากคนที่สนใจทำงานฟรีแลนซ์ทั้งหมด และ Gen Z (คนที่มีอายุไม่เกิน 24 ปี) = 14.74% จากคนที่สนใจทำงานฟรีแลนซ์ทั้งหมด โดยแนวโน้มความสนใจงานอิสระยังคงเพิ่มขึ้น แต่ขณะเดียวกันก็มีโอกาสที่จะกลับเข้าทำงานประจำ หากมีปัจจัยที่สนองตอบความต้องการดีพอ

สำหรับตัวเลขจากการสำรวจของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ระบุว่า สัดส่วนของคนทำงานอิสระหรือฟรีแลนซ์ต่อคนวัยทำงานทั้งหมด อยู่ที่ 30% จากผู้ตอบแบบสอบถาม 9,387 คน โดย 1 ใน 3 นั้นประกอบอาชีพเป็นฟรีแลนซ์เต็มตัว และมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นในอนาคต

“เราเคยมีการสำรวจพบด้วยว่า นอกจากการสอบสัมภาษณ์เข้าทำงานแล้ว สถานประกอบการบางแห่งใช้วิธีเฟ้นหาคุณสมบัติของผู้สมัครงานให้ตรงตามความต้องการ โดยการเปิดรับสมัครนักศึกษาใหม่เข้าค่ายกิจกรรม เปิดเวิร์กช็อปเก็บตัวให้มาอยู่ร่วมกัน ให้โจทย์ในการทำงาน นำเสนอรูปแบบธุรกิจจำลอง เพื่อสังเกตทัศนคติ ความคิด ตัวตนของแต่ละคนว่ามีคุณสมบัติตรงตามความต้องการหรือไม่” แสงเดือน กล่าว

เลือกตั้งปทุมธานีเดือด พท.-ภท.เทหมดหน้าตักสู้ศึก

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/politic/report/579621

  • วันที่ 08 ก.พ. 2562 เวลา 07:02 น.

เลือกตั้งปทุมธานีเดือด พท.-ภท.เทหมดหน้าตักสู้ศึก

โดย…พงษ์พัทธ์ วงศ์ยะลา

สนามการเลือกตั้ง จ.ปทุมธานี มีแนวโน้มแข่งขันดุเดือดไม่แพ้จังหวัดอื่นๆ เพราะศึกเลือกตั้งครั้งนี้ยังคงเป็นการแข่งขัน ของ 2 พรรคใหญ่ คือ พรรคเพื่อไทย (พท.) และพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ซึ่งทั้งสองพรรคดังกล่าวต่างส่งผู้สมัคร สส.ลงชิงชัยกันทั้ง 6 เขต มีทั้งอดีต สส.เจ้าของพื้นที่เดิม และผู้ท้าชิงที่ชื่อชั้นไม่ธรรมดา หากเทียบฟอร์มตามภาษาหมัดมวยแล้วถือว่าเป็นมวยถูกคู่ ห้ำหั่น มันส์หยดติ๋งแน่ แต่ยังมองข้ามไม่ได้ พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) และพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) มีไม้เด็ดพร้อมแย่งคะแนนจาก พท. หรือ ปชป.

หากย้อนดูผลการเลือกตั้งซ่อม สส. ปทุมธานี เขต 5 และผลเลือกตั้งนายก อบจ.ปทุมธานี เมื่อเดือน เม.ย. 2555 พท.มีปัญหาแน่สำหรับศึกเลือกตั้งครั้งนี้เพราะในเขตพื้นที่เลือกตั้งของ จ.ปทุมธานี ซึ่งเป็นจังหวัดที่มีพื้นที่ติดกับกรุงเทพ มหานคร (กทม.) และเป็นเขตพื้นที่ เลือกตั้งสำคัญของ พท. ส่งอดีต สส.ลงป้องกันแชมป์ ส่วนคู่แข่งสำคัญ ภท.นั้นส่งทีมคนรุ่นใหม่ อดีตนักการเมืองท้องถิ่นลงสู้ศึกในครั้งนี้ สำหรับ จ.ปทุมธานี แบ่งการเลือกตั้งออกเป็น 6 เขต ดังนี้

เขตเลือกตั้งที่ 1 มี อ.ลาดหลุมแก้ว และเมืองปทุมธานี (เฉพาะ ต.บ้านฉาง บางปรอก บางหลวง บางเดื่อ บางคูวัด บางขะแยง บ้านใหม่ และบางกะดี) แชมป์เก่า สุรพงษ์ อึ้งอัมพรวิไล (หมายเลข 4) อดีต รมช.ศึกษาธิการ เจ้าของพื้นที่เดิม ที่ครองแชมป์มาทุกสมัย แต่ครั้งนี้บัลลังก์สั่นไหวแน่ เมื่อ ชัยวัฒน์ อินทร์เลิศ (หมายเลข 5) ภท.หนุ่มใหญ่ไฟแรง อดีตประธานสภา อบจ.ปทุมธานี คนพื้นที่ และมีฐานเสียงแน่นในเขต อ.ลาดหลุมแก้ว และเขต อ.เมือง โดดลงมาทำศึกในครั้งนี้ เขตนี้ถือเป็นศึกช้างชนช้างอย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น ขณะที่ เอกชัย นาคบุรินทร์ (หมายเลข 8) ปชป. และสมัย รามัญอุดม (หมายเลข 9) พปชร. เป็นตัวสอดแทรกทำให้เขตนี้น่าจับตาดูว่า พท.จะสามารถตรึงเก้าอี้ไว้ได้หรือไม่

เขตเลือกตั้งที่ 2 อ.สามโคก, เมืองปทุมธานี (เฉพาะ ต.บางพูด บ้านกระแชง บ้านกลาง สวนพริกไทย บางพูน และหลักหก) และ อ.คลองหลวง เฉพาะ ต.คลองหนึ่ง (ในเขตเทศบาลเมืองคลองหลวง) และ ต.คลองสอง (ในเขตเทศบาลเมืองคลองหลวง) ศุภชัย นพขำ (หมายเลข 7) หนุ่มหล่อขวัญใจแม่ยกจาก พท. ลูกชายนายกเทศมนตรีตำบลบ้านกลาง ครั้งที่แล้วชนะการเลือกตั้งมาได้ แต่ศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างมาก 6 ต่อ 3 ชี้การเลือกตั้ง สส. เมื่อวันที่ 2 ก.พ. 2557 เป็นโมฆะ ต้องลงทำศึกใหญ่กับ พิเชษฐ หาญจางสิทธิ์ (หมายเลข 4) อดีตสมาชิกสภา อบจ.ปทุมธานี ภท.เจ้าของเขตพื้นที่ที่มีฐานเสียงแน่นในเขตเลือกตั้งที่ 2 โดยมี กฤชกุศล ส่องแสง (หมายเลข 1) ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของ เกียรติศักดิ์ ส่องแสง ผู้สมัครหนุ่มหน้าใหม่ขอแบ่งคะแนน เขตนี้แข่งขันกันสนุกแน่นอน นี่ไม่ใช่ศึกช้างชนช้าง แต่เป็นศึกระหว่างยังบลัดหน้าใหม่ ซึ่งต้องจับตาผลการแข่งขันจะออกมาอย่างไร

เขตเลือกตั้งที่ 3 อ.คลองหลวง เฉพาะ ต.คลองสาม คลองสี่ คลองหนึ่ง (ในเขตเทศบาลเมืองท่าโขลง) และ ต.คลองสอง (ในเขตเทศบาลเมืองท่าโขลง) สมศักดิ์ ใจแคล้ว (หมายเลข 8) เจ้าของพื้นที่เดิม พท. ครั้งนี้ มี นพนันทร์ หนูเจริญ (หมายเลข 3) อดีตสมาชิก อบต.คลองสาม ภท.โดดลงมาท้าชิง ส่วน ณฤทธิ์ นาควงษม์ (หมายเลข 4) จาก ปชป.และศักดิ์ชัย เสาะแสวง (หมายเลข7) พปชร. ทำคะแนนไล่บี้ติดๆ แต่แชมป์เก่ายังนำอยู่นิดๆ

เขตเลือกตั้งที่ 4 อ.ธัญบุรี (เฉพาะ ต.ประชาธิปัตย์) และ อ.ลำลูกกา (เฉพาะ ต.คูคต) แชมป์เก่า เกียรติศักดิ์ ส่องแสง (หมายเลข 6) ปชป.งานหนักแน่ เมื่อเจอหญิงเหล็ก รุ่งฤดี อำภิน (หมายเลข 1) อดีตสมาชิกสภา อบจ.ปทุมธานี ภท. ที่ทำงานการเมืองและขยันลงพื้นที่มาตลอด มีฐานคะแนนเสียงแน่นมากโดยเฉพาะ ต.ประชาธิปัตย์ เขตนี้อาจมีพลิกล็อก โดยมี ชัยยันต์ ผลสุวรรณ์ (หมายเลข 4) ผู้สมัครหน้าใหม่ของ พท.คอยสอดแทรก เป็นอีกเขตที่ต้องลุ้นจนนาทีสุดท้าย

เขตเลือกตั้งที่ 5 อ.ธัญบุรี (เฉพาะ ต.บึงยี่โถ) และ อ.ลำลูกกา (ยกเว้น ต.คูคต) พรพิมล ธรรมสาร (หมายเลข 10) แชมป์เก่า พท.ที่ครองพื้นที่มาทุกสมัยครั้งนี้ลงทำศึกกับ สายเทพ จันบางพลี (หมายเลข 4) อดีตสมาชิกสภา อบจ.ปทุมธานี ภท. รวมทั้ง พัณณ์ชิตา วันสิริ ภักดิ์ (หมายเลข 3) อดีตนายกเทศมนตรีตำบลพืชอุดม ปชป. และจิรชาติ ชายวงศ์ (หมายเลข 2) พปชร. เขตนี้ถือว่าหน้าใหม่ๆ ได้แข่งและได้ลุ้นกับแชมป์เก่ากันอย่างสนุกชนิดหายใจรดต้นคอกันอย่างแน่นอน

เขตเลือกตั้งที่ 6 อ.หนองเสือคลองหลวง (เฉพาะ ต.คลองห้า คลองหก และคลองเจ็ด) และ อ.ธัญบุรี (เฉพาะ ต.รังสิต ลำผักกูด บึงสนั่น และบึงน้ำรักษ์) สมชาย รังสิวัฒนศักดิ์ (หมายเลข 1) พท.ที่มีฐานเสียงในเขตพื้นที่นี้หนาแน่นแต่ต้องมาตัดคะแนนกับ ว่าที่ ร.ต.สุเมธ ฤทธาคนี (หมายเลข 6) อดีตสมาชิก พท.ซึ่งย้ายค่ายหันมาใส่เสื้อ พปชร. ที่ต้องจับตาเป็นพิเศษ พิษณุ พลธี (หมายเลข 9) หนุ่มหล่ออดีตสมาชิกสภา อบจ.ปทุมธานี ที่หันมาลงแข่งสนามใหญ่ครั้งแรกในนาม ภท. มีกองเชียร์สายคลองสนับสนุนกันเต็มพื้นที่ เช่นเดียวกับ อานนท์ นุ่นสุข (หมายเลข 11) ปชป.เจ้าของฉายาไปทุกที่ที่มีงาน เขตนี้สู้กันสนุกแน่นอน

กว่าจะถึงวันเลือกตั้ง กระสุน กระแส กระแซะ อาจเป็นตัวแปรสำคัญให้ชาวเมืองดอกบัวได้ลุ้นการเลือกตั้งครั้งนี้กันอย่างใจจดใจจ่อแน่นอน

เปิดปาร์ตี้ลิสต์ ช่วยหนุนเก้าอี้นายกฯ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/politic/report/579618

  • วันที่ 08 ก.พ. 2562 เวลา 06:31 น.

เปิดปาร์ตี้ลิสต์ ช่วยหนุนเก้าอี้นายกฯ

โดย…ชัยรัตน์ พัชรไตรรัตน์

ได้เห็นโฉมหน้าสำหรับรายชื่อ สส.ปาร์ตี้ลิสต์ รวมถึงบัญชีรายชื่อนายกรัฐมนตรีของแต่ละพรรคการเมือง ที่ยื่นต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และเมื่อส่องบรรดา สส.ระบบบัญชีรายชื่อ ที่ติดอยู่ในท็อปเท็นรวมถึงบุคคลน่าสนใจของแต่ละพรรค

เริ่มจากพรรคเพื่อไทย นำเสนอ 97 รายชื่อ โดย 10 อันดับแรก พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ชัยเกษม นิติสิริ ภูมิธรรม เวชยชัย เสนาะ เทียนทอง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ปลอดประสพ สุรัสวดี โภคิน พลกุล พงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล และเกรียง กัลป์ตินันท์

บุคคลน่าสนใจ อาทิ อันดับ 11 กิตติรัตน์ ณ ระนอง อันดับ 12 ชูศักดิ์ ศิรินิล อันดับ 13 พงศ์เทพ เทพกาญจนา อันดับ 14 นพดล ปัทมะ อันดับ 16 ทนุศักดิ์ เล็กอุทัย อันดับ 21 พ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์ อันดับ 22 ชูชาติ หาญสวัสดิ์ อันดับ 23 อดิศร เพียงเกษ และอันดับ 39 นิสิต สินธุไพร

ถัดมาพรรคประชาธิปัตย์ ส่ง 150 รายชื่อ ซึ่ง 10 อันดับแรก ประกอบด้วย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ชวน หลีกภัย บัญญัติ บรรทัดฐาน เทอดพงษ์ ไชยนันทน์ กัลยา โสภณพนิช จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ กรณ์ จาติกวณิช จุติ ไกรฤกษ์ องอาจ คล้ามไพบูลย์ และศิริวรรณ ปราศจากศัตรู

ส่วนรายชื่อที่น่าสนใจ อาทิ อันดับ 11 อิสสระ สมชัย อันดับ 13 เกียรติ สิทธีอมร อันดับ 14 กนก วงษ์ตระหง่าน อันดับ 16 พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค อันดับ 17 พนิต วิกิตเศรษฐ์ อันดับ 20 จิตภัสร์ กฤดากร อันดับ 21 สุทัศน์ เงินหมื่น อันดับ 29 เจือ ราชสีห์ อันดับ 32 ชำนิ ศักดิเศรษฐ์ อันดับ 33 สุรบถ หลีกภัย อันดับ 37 สามารถ ราชพลสิทธิ์ อันดับ 40 วิฑูรย์ นามบุตร และอันดับ 150 อาคม เอ่งฉ้วน

ต่อมาพรรคพลังประชารัฐ ส่ง 120 รายชื่อ โดย 10 อันดับแรก ประกอบด้วย ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ พุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ สมศักดิ์ เทพสุทิน นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ สันติ กีระนันทน์ วิรัช รัตนเศรษฐ สันติ พร้อมพัฒน์ สุพล ฟองงาม และชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์

สำหรับรายชื่อ สส.ที่น่าสนใจ อาทิ อันดับ 11 เอกราช ช่างเหลา อันดับ 12 พิชชารัตน์ เลาหพงศ์ชนะ อันดับ 17 วิเชียร ชวลิต อันดับ 23 ชวน ชูจันทร์ อันดับ 27 ธนกร วังบุญคงชนะ อันดับ 34 องอาจ ปัญญาชาติรักษ์ อันดับ 46 ทวี สุระบาล และอันดับ 69 มานิต นพอมรบดี

ขณะที่พรรคภูมิใจไทย ส่ง 150 รายชื่อ ซึ่ง 10 อันดับแรก อนุทิน ชาญวีรกูล ชัย ชิดชอบ ศักดิ์สยาม ชิดชอบ นาที รัชกิจประการ สรอรรถ กลิ่นประทุม ทรงศักดิ์ ทองศรี วีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล ศุภมาส อิศรภักดี กรวีร์ ปริศนานันทกุล และศิริวัฒน์ ขจรประศาสน์

ส่วนรายชื่อน่าสนใจ อาทิ อันดับ 12 ศุภชัย ใจสมุทร อันดับ 13 เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ อันดับ 14 มารุต มัสยวาณิช อันดับ 18 มนตรี เพชรขุ้ม อันดับ 24 เกชา ศักดิ์สมบูรณ์ และอันดับ 25 สุชาติ ศรีสังข์

ขณะที่พรรครวมพลังประชาชาติไทยส่ง 150 รายชื่อ แต่กลับไม่ปรากฏชื่อ สุเทพ เทือกสุบรรณ โดย 10 อันดับแรก ม.ร.ว. จัตุมงคล โสณกุล เพชรชมพู กิจบูรณะ เขตรัฐ เหล่าธรรมทัศน์ อนุสรี ทับสุวรรณ ทวีศักดิ์ ณ ตะกั่วทุ่ง จุฑาฑัตต เหล่าธรรมทัศน์ สุริยะใส กตะศิลา สุเนตตา แซ่โก๊ะ เอนก เหล่าธรรมทัศน์ และปาตีเมาะ เปาะอิแตดาโอะ

ส่วนรายชื่อน่าสนใจ เช่น อันดับ 13 จักษ์ พันธ์ชูเพชร อันดับ 14 ชนิดาภา แก้วภราดัย อันดับ 17 ประสาร มฤคพิทักษ์ อันดับ 19 สำราญ รอดเพชร อันดับ 25 เจะอามิง โตะตาหยง อันดับ 27 อุทัย ยอดมณี และอันดับ 33 เถกิง สมทรัพย์

พรรคอนาคตใหม่ ส่ง 128 รายชื่อ โดย 10 อันดับแรก ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ปิยบุตร แสงกนกกุล วรรณวิภา ไม้สน พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ กุลธิดา รุ่งเรืองเกียรติ พงศกร รอดชมภู พรรณนิการ์ วานิช สุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ ธัญญ์วาริน สุขะพิสิษฐ์ พิจารณ์ เชาว์พัฒนวงศ์

ส่วนรายชื่อน่าสนใจ อันดับ 16 รังสิมันต์ โรม อันดับ 26 คารม พลพรกลาง อันดับ 32 นิรมาน สุไลมาน อันดับ 35 วิเชียรชนินทร์ สินธุไพร อันดับ 88 ณัทพัช อัคฮาด อันดับ 108 กวี สระกวี และอันดับ 119 นชภัช จาตุรงค์คกุล

สำหรับพรรคชาติไทยพัฒนา ส่ง สส.บัญชีรายชื่อ 67 รายชื่อ โดย 10 อันดับแรก วราวุธ ศิลปอาชา ธีระ วงศ์สมุทร นิกร จำนง นพดล มาตรศรี นิติวัฒน์ จันทร์สว่าง สมนึก สกุลรัตนกุลชัย ทัศน์ลักษณ์ ปัตตพงศ์ภัช พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ธเนศพล ธนบุณยวัฒน์ และเสน่ห์ ขาวโต

ขณะที่บัญชีรายชื่ออื่นที่น่าสนใจ อาทิ อันดับ 12 ณรงค์ นุ่นทอง อันดับ 15 พัชรี โพธสุธน อันดับ 20 ภักดีหาญส์ หิมะทองคำ อันดับ 31 ปิยะนัฐ ประเสริฐนู และอันดับ 51 กมลรัตน์ แก้วมณี

พรรคประชาชาติ ส่งบัญชีรายชื่อ 58 คน ประกอบด้วย วันมูหะมัดนอร์ มะทา พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง วรวีร์ มะกูดี ณหทัย ทิวไผ่งาม ร.ต.อ.นิติภูมิธณัฐ มิ่งรุจิราลัย อารีเพ็ญ อุตรสินธุ์ ปราโมทย์ แหล่ทองคำ นัจมุดดีน อูมา วิริยะ วิรัตน์มาลี พล.ต.ท.อนุรุต กฤษณะการะเกตุ

ส่วนบุคคลน่าสนใจ อาทิ อันดับ 11 วิทยา พานิชพงศ์ อันดับ 13 มุข สุไลมาน อันดับ 18 โปรดปราน โต๊ะราหนี อันดับ 49 มาหะมะ อาแว และอันดับ 53 ต่วนสูรี ต่วนแว

ชาติพัฒนา ส่งปาร์ตี้ลิสต์ 56 รายชื่อ โดย 10 อันดับแรก เทวัญ ลิปตพัลลภ ดล เหตระกูล ณัฏฐชัย ศรีรุ่งสุขพินิจ พ.อ.วินัย สมพงษ์ สาคร พรหมภักดี สมบัติ กาญจนวัฒนา ปกครอง ผาสุขยืด อัครวรรณ เจริญผล เรืองฤทธิ์ ศิริสวัสดิ์ และอรัญ พันธุมจินดา สำหรับรายชื่อ น่าสนใจ อาทิ อันดับ 13 พงษ์พิช รุ่งเป้า อันดับ 15 สุเมธ ศรีพงษ์

เลือกตั้งศรีสะเกษเดือด พท.-ภท.-พปชร.แพ้ไม่ได้

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/politic/report/579510

  • วันที่ 07 ก.พ. 2562 เวลา 06:46 น.

เลือกตั้งศรีสะเกษเดือด พท.-ภท.-พปชร.แพ้ไม่ได้

โดย…เสนาะ วรรักษ์

จ.ศรีสะเกษ มีประชากรจำนวน 1,472,031 คน ประกอบด้วย 22 อำเภอ 8 เขตเลือกตั้ง มี สส. 8 คน มีผู้สมัครรับเลือกตั้งรวมทั้งหมด 141 คน จาก 20 พรรคการเมือง ในจำนวน 8 เขตเลือกตั้ง มีเขต 1 เขต 2 เขต 4 และเขต 5 ที่ส่อเค้าแข่งขันกันดุเดือด

สนามเลือกตั้งเขตที่ 1 มีผู้ลงสมัครรับเลือกตั้ง 18 คน พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ส่ง ฐิตารีย์ ไตรสรณปัญญาอาจารย์มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ เบอร์ 7 หมายมั่นปั้นมือว่าจะต้องโค่น ธเนศ เครือรัตน์ อดีต สส.ผู้ยืนยงแห่งพรรคเพื่อไทย (พท.) เบอร์ 5 คนสนิทของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ มีฐานเสียงแน่นปึ้กจากคุณพ่อ ไพโรจน์ เครือรัตน์ อดีต สส.ตลอดกาล ที่ปูฐานเสียงไว้ให้

อย่างไรก็ตาม คู่แข่งที่ต้องจับตามองเป็นพิเศษคือ สิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติเบอร์ 11 พรรคภูมิใจไทย (ภท.) ทายาท ฉัฐมงคล อังคสกุลเกียรติ นายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองศรีสะเกษ ฐานเสียงแข็งแกร่งไม่แพ้ ธเนศ เพราะลงพื้นที่พบปะพี่น้องประชาชนต่อเนื่องตลอดเวลาในช่วง 2-3 ปี ที่ผ่านมา ถือว่าเป็นเขตช้างชนช้างเลยทีเดียว แพ้ชนะคะแนนคงไม่ห่างกันมากนัก ส่วน กล่ำคาน ปาทาน อดีต สจ.ศรีสะเกษ ลงสมัครพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) อีกคนไม่ควรประมาทเช่นกัน เพราะมีแรงหนุนจากกลุ่มข้าราชการและผู้นำท้องถิ่น โอกาสพลิกล็อกชนะคู่แข่งทั้งสองคนก็เป็นไปได้เหมือนกัน

สนามเลือกตั้งเขตที่ 2 มีผู้สมัครรับเลือกตั้งทั้งหมด 17 คน ดาวเด่น คือ เบอร์ 6 สุรชาติ ชาญประดิษฐ์ พรรคเพื่อไทย อดีต สส.หลายสมัย รายนี้ลงพื้นที่พบปะชาวบ้านอย่างสม่ำเสมอตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา คู่แข่งสำคัญ พิเชฐ บุญเลียวเบอร์ 9 อดีต สส.พรรคมาตุภูมิ ที่ย้ายมาซบพรรคพลังประชารัฐ

คู่นี้ต่างคนต่างเป็นคนพื้นที่เดียวกัน เลือกตั้งทุกทีที่ผ่านมาขับเคี่ยวกันมาตลอด ผลัดกันแพ้ชนะจากกลยุทธ์การหาเสียงเป็นหลัก แต่ครั้งนี้ยังมีตัวสอด แทรกตัวเลือกอีกคน คือ ทองจันทร์ ศรีสุธรรม เบอร์ 13 พรรคภูมิใจไทย อดีตพิธีกรมหานิยม สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย จ.ศรีสะเกษ ชื่อเสียงชาวบ้านรู้จักเป็นอย่างดี เป็นอีกเขตที่จะแข่งกันดุเดือดแน่

สนามเลือกตั้งเขตที่ 3 มีผู้สมัคร 17 คน คู่แข่งแต่ละคนหากเทียบปอนด์ต่อปอนด์คงยากที่จะเทียบชั้นเชิง วิวัฒน์ชัย โหตระไวศยะ อดีต สส.หลายสมัย เบอร์ 11 พรรคเพื่อไทย ที่กุมฐานเสียงไว้แน่น

สนามเลือกตั้งเขตที่ 4 มีผู้สมัคร 17 คน สนามนี้ไม่ใช่ศึกช้างชนช้าง แต่เป็นหมอชนหมอ ระหว่าง นพ.ภูมินทร์ ลีธีระประเสริฐ อดีต สส.หลายสมัย เบอร์ 1 เลือกตั้งครั้งนี้ลงสมัครนามพรรคพลังประชารัฐ คู่แข่งยังคงเป็น นพ.จาตุรงค์ เพ็งนรพัฒน์ เบอร์ 3 พรรคเพื่อไทย อดีต สส.หลายสมัย ถนนทางการเมืองของสองหมอต่างมีดีไปคนละทาง กล่าวถึง นพ.จาตุรงค์ นั้นมีวงศาคณาญาติล้วนเป็นนักการเมืองท้องถิ่นระดับสูง ที่ผ่านมาสร้างคุณงามความดีให้แก่ท้องถิ่นมากมาย ส่วน นพ.ภูมินทร์ มีฐานคะแนนเสียงที่หนาแน่นจากฐานรากเสียส่วนใหญ่

สนามเลือกตั้งเขตที่ 5 มีผู้สมัคร 17 คน ผู้สมัครคนเดิมหน้าเดิม ธีระ ไตรสรณกุล เบอร์ 2 พรรคเพื่อไทย อดีต สส.หลายสมัย ผู้ท้าชิง อมรเทพ สมหมายเบอร์ 3 พรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) อดีต สส.ที่ครองพื้นที่นี้มานาน แต่เลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา ธีระสามารถคว้าเก้าอี้มาครองได้สำเร็จ ครั้งนี้ธีระก็หวังเช่นนั้น เพราะพรรคเพื่อไทยยังครองความนิยมจากประชาชนไม่เสื่อมคลาย สนามนี้ถือว่าเป็นศึกช้างชนช้าง เป็นอีกเขตที่น่าติดตามดูเป็นอย่างยิ่ง และคะแนนคงออกมาสูสีแน่นอน

สนามเลือกตั้งเขตที่ 6 มีผู้สมัคร 17 คน สนามนี้เจ้าของพื้นที่เดิมคือ วีระพล จิตสัมฤทธิ์ เบอร์ 8 พรรคเพื่อไทย อดีต สส.หลายสมัย เคยมีคู่แข่งสำคัญ มาลินี อินฉัตร แต่ครั้งนี้โยกไปสมัคร สส. บัญชีรายชื่อ โดยมอบหมายให้น้องชาย อธิป อินฉัตร เบอร์ 9 สมัครแทนในพรรคเพื่อชาติ ทำให้ วีระพล เจอคู่แข่งสำคัญ

อีกคนที่ต้องจับตามอง คือ ปิยะณัฐ วัชราภรณ์ อดีต สส.หลายสมัย หวนกลับมาลงเล่นการเมืองอีกครั้งหลังจากห่างเวทีการเมืองมานาน สมัยนี้แม้ว่าตาจะบอดแต่ว่าสมองไม่บอด แถมใจสู้ เบอร์ 12 พรรคพลังประชารัฐ สนามนี้มีฐานคะแนนเสียงเดิม แต่ห่างเหินพื้นที่มานาน จะเรียกคืนได้หรือไม่ต้องคอยดู

สนามเลือกตั้งเขตที่ 7 มีผู้สมัคร 17 คน เขตนี้มี มานพ จรัสดำรงนิตย์ อดีต สส.หลายสมัย เบอร์ 3 พรรคเพื่อไทย ผู้ท้าชิง อาสพลธ์ สรรณ์ไตรภพ เบอร์ 2 พรรคภูมิใจไทย คนหนุ่มรุ่นใหม่ไฟแรง การศึกษาสูง บุคลิกดี มีฐานะ อดีต สจ. ลูกชายเสี่ยก๋อ-วีระศักดิ์ เคยสมัคร สส. หลายสมัย แต่ปีนี้ให้วางมือปล่อยให้ลูกชายลงสมัครการเมืองระดับประเทศ เขตนี้ถือว่าสูสี ก็ต้องวัดใจชาวบ้านว่าจะเปลี่ยนตัวสส.หรือไม่

สนามเลือกตั้งเขตที่ 8 มีผู้สมัคร 20 คน สำหรับเขตนี้มีดาวเด่นอยู่คนเดียว คือ ผ่องศรี แซ่จึง เบอร์ 13 พรรคเพื่อไทย อดีต สว. ภรรยา ปวีณ แซ่จึงอดีต สส.ทุกสมัย มีฐานคะแนนเสียงแข็งโป๊ก คู่แข่งที่น่าจับตามองมีเพียง ธีรพงศ์ ไตรสรณปัญญา เบอร์ 12 พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งมีฐานคะแนนเสียงดีขึ้นตามลำดับ เพราะจากการลงพื้นที่แต่ละครั้งกระแสตอบรับดีเกินคาด

สมรภูมิศึกเลือกตั้ง จ.ศรีสะเกษ แข่งขันดุเดือดและรุนแรงไม่แพ้จังหวัดอื่นๆ การเลือกตั้งทั้ง 8 เขต เป็นการแข่งขันช่วงชิงระหว่าง พรรค พท. ปชป. และ พปชร. ซึ่งพรรคไหนจะผงาดคว้าชัยครั้งนี้อยู่ที่ฐานเสียงและนโยบายพรรคว่าจะโดนใจประชาชนมากน้อยแค่ไหน

เช็กชื่อ’นายกฯ-ปาร์ตี้ลิสต์’ ปัจจัยชี้ขาดเลือกตั้ง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/politic/report/579388

  • วันที่ 06 ก.พ. 2562 เวลา 06:24 น.

เช็กชื่อ'นายกฯ-ปาร์ตี้ลิสต์' ปัจจัยชี้ขาดเลือกตั้ง

โดย…ชัยรัตน์ พัชรไตรรัตน์

การเมืองขณะนี้เริ่มเห็นหน้าตาผู้ที่ลงสมัคร สส.ทั้งระบบเขตและระบบบัญชีรายชื่อ หรือปาร์ตี้ลิสต์ รวมถึงบัญชีรายชื่อนายกรัฐมนตรีของแต่ละพรรคกัน แล้ว ส่วนพรรคไหนจะมีใครกันบ้างนั้นมีรายละเอียดน่าสนใจดังนี้

เริ่มจาก พรรคเพื่อไทย ซึ่งได้ยื่นรายชื่อผู้สมัคร สส.บัญชีรายชื่อและบัญชีนายกรัฐมนตรีแล้ว โดยบัญชีนายกรัฐมนตรีนั้นเรียงตามลำดับคือ 1.สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ 2.ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ 3.ชัยเกษม นิติสิริ

ขณะที่บัญชี สส.รายชื่อนั้น พรรคเพื่อไทยส่ง 97 รายชื่อ ที่น่าสนใจ อาทิ พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ หัวหน้าพรรคและอดีตรองนายกฯ ในรัฐบาล ชวน หลีกภัย อันดับหนึ่ง

ถัดมาเป็น สุดารัตน์ อดีต รมว.สาธารณสุข และอดีต รมว.เกษตรและสหกรณ์ รัฐบาลทักษิณ ชินวัตร อดีต นายกฯ ชัยเกษม นิติสิริ อดีต รมว. ยุติธรรม รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ภูมิธรรม เวชยชัย เลขาธิการพรรค และอดีต รมช.คมนาคม ยุครัฐบาลทักษิณ

เสนาะ เทียนทอง อดีต รมว.มหาดไทย รัฐบาล พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกฯ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง อดีตรองนายกฯ รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ปลอดประสพ สุรัสวดี อดีตรองนายกฯ และอดีต รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รัฐบาลยิ่งลักษณ์

โภคิน พลกุล อดีต รมว.มหาดไทย รัฐบาลทักษิณ พงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล อดีต รมว.พลังงาน รัฐบาลยิ่งลักษณ์ เกรียง กัลป์ตินันท์ อดีตสมาชิก บ้านเลขที่ 111 กิตติรัตน์ ณ ระนอง อดีตรองนายกฯ และอดีต รมว.คลัง รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชูศักดิ์ ศิรินิล อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ รัฐบาลสมัคร สุนทรเวช

พงศ์เทพ เทพกาญจนา อดีตรองนายกฯ และอดีต รมว.ศึกษาธิการ รัฐบาลยิ่งลักษณ์ นพดล ปัทมะ อดีตรองเลขาธิการพรรคพลังประชาชน และอดีต รมว.ต่างประเทศ พรศักดิ์ เจริญประเสริฐ อดีต รมช.เกษตรและสหกรณ์ รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ทนุศักดิ์ เล็กอุทัย อดีต รมช.คลัง รัฐบาลยิ่งลักษณ์

ส่วน พรรคประชาธิปัตย์ ยังไม่ส่งรายชื่อแต่เบื้องต้น ประกาศส่ง อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคชิงเก้าอี้นายกฯ เพียงคนเดียว ส่วน สส.บัญชีรายชื่อนั้น อภิสิทธิ์ ลำดับแรก ถัดมา ชวน หลีกภัย อดีตนายกฯ บัญญัติ บรรทัดฐาน อดีตหัวหน้าพรรค กรณ์ จาติกวณิช อดีต รมว.คลัง จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ อดีต รมว.สาธารณสุข จุติ ไกรฤกษ์ อดีต รมว.เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร

องอาจ คล้ามไพบูลย์ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค อดีต รมว.ยุติธรรม ยุพ นานา อดีตผู้ช่วย รมว.ประจำกระทรวงแรงงาน บุตรชาย เล็ก นานา อดีต รมว.วิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและการพลังงาน ในรัฐบาล พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ อดีตนายกรัฐมนตรี โดยเสนอ อภิสิทธิ์ เป็น แคนดิเดตนายกฯ

ขณะที่ พรรคพลังประชารัฐ ยังไม่ได้ส่งรายชื่อเช่นกัน แต่เบื้องต้นจะเสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ เป็นนายกฯ อีกครั้งพร้อมด้วย อุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรค สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ ที่อยู่ในบัญชีชิง นายกฯ  ส่วนบัญชีรายชื่ออันดับแรก  สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตรองนายกฯ และอดีต รมว.อุตสาหกรรม รัฐบาลทักษิณ ถัดมา สมศักดิ์ เทพสุทิน อดีต รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา และอดีต รมว.แรงงาน รัฐบาลทักษิณ

พุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ อดีตรองเลขาธิการนายกฯ ฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกฯ ในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ นายกฯ วิรัช รัตนเศรษฐ อดีต รมช.เกษตรและสหกรณ์ รัฐบาลชวน สันติ พร้อมพัฒน์ อดีต รมว.คมนาคม รัฐบาลสมัคร สุพล ฟองงาม อดีต รมช.มหาดไทย รัฐบาลสมัคร

นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ ผู้ช่วย รมว.คลัง ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ อดีตผู้อำนวยการพรรคประชาธิปัตย์และประธาน สโมสรทีมฟุตบอลบางกอกเอฟซี ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ อดีต สส.สิงห์บุรี พรรคชาติไทย เอกราช ช่างเหลา ผู้จัดการสหกรณ์ออมทรัพย์ครูขอนแก่น โดยจะเสนอ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นแคนดิเดตนายกฯ

ขณะที่ พรรคภูมิใจไทย ยังไม่ได้ยื่นสมัคร สส.บัญชีรายชื่อ แต่ประกาศส่ง “อนุทิน ชาญวีรกูล” หัวหน้าพรรค ชิงเก้าอี้นายกฯ และจะอยู่ในบัญชีรายชื่อลำดับที่ 1 ถัดมา ชัย ชิดชอบ อดีตประธานรัฐสภา ทรงศักดิ์ ทองศรี รองหัวหน้าพรรคและอดีต รมช.คมนาคม

ศักดิ์สยาม ชิดชอบ เลขาธิการ พรรคและอดีตประธานคณะทำงาน รมว.มหาดไทย ศุภชัย ใจสมุทร นายทะเบียนพรรคและอดีตรองโฆษกประจำสำนัก นายกฯ ในรัฐบาลของอภิสิทธิ์ กนกวรรณ วิลาวัลย์ อดีต สส.ปราจีนบุรี บุตรสาว สุนทร วิลาวัลย์ อดีต รมช.สาธารณสุข รัฐบาล พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ

นาที รัชกิจประการ อดีตสมาชิกวุฒิสภา จ.พัทลุง และอดีตประธาน สภาพัฒนาสตรี จ.พัทลุง วีระศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล กรรมการสมาคมโรงงาน ผู้ผลิตมันสำปะหลัง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และประธานชมรมกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อ.เสิงสาง และกำนัน ต.กุดโบสถ์ อ.เสิงสาง

สรอรรถ กลิ่นประทุม ประธาน คณะกรรมการที่ปรึกษาพรรคและอดีต รมว.เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร รัฐบาลทักษิณ พ.อ.ดร.เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ อดีตรองประธานกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ศุภมาส อิศรภักดี อดีต สส.กทม.พรรคเสรีรวมไทยพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรค และอดีต ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เป็นทั้งแคนดิเดตนายกฯ และ สส.บัญชีรายชื่อลำดับที่ 1 ถัดมาเป็น วัชรา ณ วังขนาย อดีต สส.นครราชสีมา พรรคชาติพัฒนา วิรัตน์ วรศสิริน รองหัวหน้าพรรค เรวัต วิศรุตเสช อดีตอธิบดีกรมการแพทย์ประสงค์ บูรณ์พงศ์ อดีตที่ปรึกษานายกฯ 2 คน คือ ชวน และ พล.อ. ชาติชาย ชุณหะวัณ นภาพร เพ็ชร์จินดา รองเลขาธิการพรรค พล.ต.ท.วิศณุ ม่วงแพรสี อดีต ผบช.ประจำสำนักงาน ผบ.ตร.

ส่วน พรรคชาติไทยพัฒนา เสนอ กัญจนา ศิลปอาชา บุตรสาว บรรหาร ศิลปอาชา อดีตหัวหน้าพรรคและอดีตนายกฯ เป็นแคนดิเดตนายกฯ ส่วน สส. บัญชีรายชื่ออันดับแรก วราวุธ ศิลปอาชา ประธานกรรมการนโยบายและยุทธศาสตร์พรรค และอดีต รมช.คมนาคม ในรัฐบาลสมชาย อันดับ 2  ธีระ วงศ์สมุทร  อดีตหัวหน้าพรรค และอดีต รมว.เกษตรและสหกรณ์ รัฐบาลอภิสิทธิ์