“ม็อบเสื้อส้ม” สัญญาณวิกฤตรอบใหม่ #ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย

#ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/politic/analysis/609767

  • วันที่ 21 ธ.ค. 2562 เวลา 17:51 น.

“ม็อบเสื้อส้ม” สัญญาณวิกฤตรอบใหม่

โดย…ชัยฤทธิ์ ยนเปี่ยม

**************************

“แฟลซม็อบ”ที่ปลุกโดย ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ถือเป็นม็อบการเมืองแรกที่เกิดขึ้นหลังการเลือกตั้ง จากกลุ่มฝ่ายต่อต้านรัฐบาล คสช. ที่แสดงความไม่พอใจต่อการชงให้มีการยุบพรรคอนาคตใหม่ โดยมีทุนเดิมจากกระแสต่อต้านการรัฐประหารปี 2557

ตัวเร่งเร้าที่จะทำให้ม็อบเสื้อส้มของ ธนาธร จุดติด คือ คดียุบพรรคพรรคอนาคตใหม่ ขณะนี้อยู่ในมือ ศาลรัฐธรรมนูญหลังคณะกรรมการการเลือกตั้งส่งเรื่องให้วินิจฉัยยุบพรรค จากปม ธนาธรให้เงินกู้ 191 ล้านบาท เข้าข่ายนิติกรรมอำพราง ฝ่าฝืน พรบ.พรรคการเมือง คาดว่า ปลายปีนี้ ศาลรัฐธรรมนูญจะประชุมว่าจะรับพิจารณาหรือไม่ แต่หลายฝ่ายแม้แต่พรรคอนาคตใหม่ เชื่อว่า ศาลรัฐธรรมนูญจะรับคำร้องและมีแนวโน้มที่จะถูกยุบพรรค เพราะมองว่า ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญชุดนี้มาจากการแต่งตั้งในยุคคสช.

มีความเป็นไปได้สูง ที่ “ม็อบเสื้อส้ม” จะกลับมารวมตัวอีกครั้งในต้นเดือน ม.ค. ที่คาดว่า คดียุบพรรคจะได้ข้อยุติจากศาลรัฐธรรมนูญ ธนาธร ประกาศแล้วว่า เขาจะไม่ทนอีกต่อไป ถ้ามีการยุบพรรคเกิดขึ้น และจะพามวลชนกดดันนอกสภาเพราะเห็นว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม และถูกกลั่นแกล้งจากกลไกของ คสช.

ถึงแม้ พรรคอนาคตใหม่ ยังมีทางออก หากถูกยุบพรรค โดย ส.ส.ของพรรค สามารถย้ายพรรคไปอยู่พรรคใหม่ได้ภายใน 60 วัน ทว่า การยุบพรรคทำให้พรรคอ่อนแอ โดยเฉพาะเพราะบทลงโทษที่ห้าม คณะกรรมการบริหารพรรคทั้งหมด ซึ่งก็รวมถึง คีย์แมนของพรรค “ธนาธร -ปิยบุตร –พรรณิการ์” เล่นการเมืองเป็นเวลา 10 ปี

มีคำถามว่า แล้วแฟลซม็อบเสื้อส้มของธนาธร จะจุดติด หรือไม่ ถ้าจัดชุมนุมปีหน้า?

คำตอบ คือ น่าจะจุดติด คนร่วมเยอะ แต่จะชุมนุมต่อเนื่อง ขับไล่รัฐบาลอย่างที่ธนาธร ปลุกอยู่ได้หรือไม่ ยังตอบยาก อยู่ที่การกระทำของรัฐบาลอีกด้านหนึ่งด้วย เหตุผล คือ

1.ธนาธร มีกองเชียร์จำนวนมาก ไม่เฉพาะฐานเสียงของ พรรคอนาคตใหม่ 6.2 ล้านคนทั่วประเทศ โดยเฉพาะคนหนุ่มสาว คนรุ่นใหม่ ยังรวมถึงฝ่ายตรงข้าม คสช.ทั้งหมด ประกอบด้วยม็อบเสื้อแดงที่สนับสนุนทักษิณ และพรรคเพื่อไทย ซึ่งยังคับแค้นใจรัฐประหารเมื่อปี 2557 ทำให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ต้องพ้นจากอำนาจ

2. ในกรณีหากผลสุดท้ายมีการยุบพรรคพรรคอนาคตใหม่จริง ก็เชื่อว่า จะมีมวลชนที่พร้อมออกมาสู้กับธนาธรอย่างสุดตัว เพราะคดีเงินกู้นี้ ยังมีความกำกวมว่า ผิดหรือไม่ และถ้าผิด เป็นเหตุที่ควรเป็นโทษสูงสุด ยุบพรรคขนาดนั้นหรือแม้เหตุผลในการปลุกม็อบของธนาธร ดูจะเป็นการปกป้อง ประโยชน์ ส่วนตัวจากคดีความที่เป็นผลจากเจ้าตัวทำขึ้น ทั้ง การปล่อยกู้พรรค และคดีถือหุ้นสื่อที่ธนาธร ต้องพ้นจากการเป็น สส. แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า หัวใจของเรื่องก็มีปมลึกๆ ที่สะท้อนว่า ตกเป็นเป้าถูกกลั่นแกล้ง รวมถึง กติกาจาก รัฐธรรมนูญที่เอื้อประโยชน์ให้ฝ่ายรัฐบาล คสช. และสกัดฝ่ายตรงข้าม ขนาดผลการเลือกตั้งที่ผ่านมา พรรคเพื่อไทยชนะที่ 1 แต่ก็ไม่เป็นตั้งรัฐบาลหรือได้เป็นนายกรัฐมนตรี เพราะการออกแบบรัฐธรรมนูญที่สกัดทุกวิถีทาง จึงเป็นเชื้อความไม่พอใจที่ยังมีอยู่กับฝ่ายต่อต้านคสช.ตลอดเวลา

3.ม็อบจะจุดติดหรือไม่ ต้องเกิดจากปัจจัยภายในรัฐบาลเองด้วย เช่น จากปัญหาความขัดแย้ง การจัดสรรผลประโยชน์ในรัฐบาลไม่ลงตัว การส่อทุจริตคอรัปชั่นที่คาดว่า จะต้องเกิดขึ้นแน่ หลังรัฐบาลบริหารประเทศไปได้ระยะเวลาหนึ่ง โดยเฉพาะรัฐบาลประยุทธ์มีความขัดแย้งตั้งแต่ก่อนตั้งรัฐบาล หรือ ในการลงมติในสภาครั้งสำคัญ ก็มีข่าวกระเซ็นกระสายเรื่องการแจกกล้วยผลประโยชน์ให้กับ สส.พรรคเล็ก

ภายในพรรครัฐบาล ทั้งพรรคพลังประชารัฐ และพรรคร่วมรัฐบาล 18 พรรค ก็เกิดปัญหาแย่งชิงเก้าอี้รัฐมนตรี ทะเลาะข้ามพรรคเร็วกว่าทุกรัฐบาล หากเกิดปัญหาทุจริต ใช้อำนาจเพื่อพวกพ้อง และเศรษฐกิจแย่ ซึมยาวข้ามปี กระทบชาวบ้านอย่างที่เป็นอยู่ ยิ่งทำให้คนกลางๆ ไม่พอใจรัฐบาลมากขึ้น จนทำให้ฝ่ายต่อต้านมีน้ำหนักในการกดดัน ขับไล่รัฐบาล ปัจจัยหลังที่กล่าวมานี้น่าห่วงสุด และมีโอกาสเกิดขึ้นได้สูง

อย่างไรก็ตาม หาก ธนาธร จัดม็อบเสี้อส้มขึ้น ก็มีความเสี่ยงจะเกิดการเผชิญหน้า และความรุนแรงได้ทุกเมื่อ

อย่าลืมว่า คนกรุงเทพเบื่อม็อบการเมืองในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่ปี 2549 เกิดม็อบเสื้อสี มาแล้วสามรุ่น ผลัดกันทำสงครามกลางถนนไล่รัฐบาลกันคนละฝ่าย เกิดความรุนแรง บาดเจ็บ ล้มตายจำนวนมาก กระทบกับความสงบสุข ละเมิดสิทธิเสรีภาพ ประเทศเกิดปัญหาเศรษฐกิจ ทำให้คนชั้นกลางจำนวนมาก หันไปสนับสนุนการรัฐประหาร เป็นเหตุให้ พล.อ.ประยุทธ์ ดำรงอยู่ในอำนาจได้นานถึงเกือบ 6 ปีและก็ยังพอใจให้อยู่ในอำนาจต่อไปอีกหากแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้

ถ้า “ธนาธร” มุ่งเดินการเมืองนอกสภา ควบคู่กับการเล่นการเมืองในสภา หลังจากได้พรรคใหม่ให้ ส.ส.พรรคอนาคตใหม่ย้ายเข้าสังกัด กรณีถูกยุบพรรคจะถูกกล่าวหาได้ว่า ไม่เคารพระบบรัฐสภาตามวิถีประชาธิปไตยที่มีผู้แทนประชาชนนั่งทำหน้าที่ ทั้งที่ยังมีพรรคฝ่ายค้านที่เข้มแข็งตรวจสอบรัฐบาล

บทเรียนจากแกนนำเสื้อเหลือง เสื้อแดง และ ม็อบกปปส. ที่ผ่านมา ตอกย้ำให้เห็นว่า ถ้าเกิดม็อบขึ้น พึงระวัง “มือที่สาม” ที่คอยจ้องสร้างสถานการณ์ให้เกิดความรุนแรงเพื่อให้เกิดความวุ่นวายจะได้”เซ็ทซีโร่” ส่วนผู้ร่วมชุมนุมด๋ตกเป็นเหยื่อ บาดเจ็บ ล้มตาย ติดคุก ผลสุดท้ายก็ไม่ได้ผลที่แกนนำม็อบต้องการ หากแต่เปิดทางให้กองทัพยึดอำนาจอีกรอบ

การเผชิญหน้าจึงมีโอกาสเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา จากประชาชนอีกฝ่ายที่ไม่พอใจ ขณะที่พรรครวมพลังประชาชาติไทยของสุเทพ เทือกสุบรรณ ก็อุ่นเครื่อง ปลุกประชาชนให้เกลียดลัทธิชังชาติพุ่งไปที่ฝ่ายธนาธรโดยใช้ประเด็นล่อแหลมที่จุดติดง่ายๆ ว่า จาบจ้วง ไม่เอาศาสนา วัฒธรรม ประเพณี ไม่ยอมรับคำตัดสินศาล ซึ่งประเมินแล้ว ก็ยิ่งสร้างความเกลียดชังแตกแยกในสังคมมากขึ้น

สัญญาณความขัดแย้งบนท้องถนนเริ่มปรากฎให้เห็น สงครามกีฬาสี จากม็อบเหลือง ม็อบแดง หรือจะตามด้วยม็อบส้ม คราวนี้อาจจะรุนแรงกว่าเดิมก็เป็นได้

พปชร.ขวาง’อภิสิทธิ์’ได้ไม่คุ้มเสีย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/politic/analysis/605888

  • วันที่ 09 พ.ย. 2562 เวลา 17:21 น.

พปชร.ขวาง'อภิสิทธิ์'ได้ไม่คุ้มเสีย

โดย…ชัยฤทธิ์ ยนเปี่ยม

***********************************

ประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 ที่ถูกโหมกระแสมาต่อเนื่องนับแต่ก่อนการเลือกตั้งจนถึงขณะนี้ จนหลายฝ่ายเกรงว่า อาจนำมาสู่ความขัดแย้งใหม่ ล่าสุด สภาฯได้บรรจุวาระพิจารณาญัตติแต่งตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญแล้วซึ่งจะเข้าสู่การพิจารณาภายในเดือนนี้

ญัตติดังกล่าว ริเริ่มเสนอโดยพรรคประชาธิปัตย์ และพรรคเองก็ประกาศนโยบายแก้ไขรัฐธรรมนูญ เป็นจุดยืนเดียวกับฝ่ายค้านเพราะมองว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้สร้างกลไกการสืบทอดอำนาจ และเนื้อหาไม่เป็นประชาธิปไตยหลายเรื่อง จนถึงขณะนี้มีเพียงพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) แกนนำรัฐบาลเพียงพรรคเดียว และ ฝ่ายสมาชิกวุฒิสภา ที่ไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ

กระนั้นก็ตามเพื่อไม่ให้ตกขบวนในญัตติตั้งคณะกรรมาธิการศึกษาแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ พปชร.ยอมเสนอญัตตินี้มาประกบ เพราะเกรงว่า หากพรรคประชาธิปัตย์ไปจับมือกับฝ่ายค้านซึ่งมีจุดหมายเดียวกัน คือ การแก้ไขรัฐธรรมนูญก็จะรวมเป็นเสียงข้างมากในสภาที่จะตั้งกมธ.ชี้นำสังคมได้ ตามลำพัง โดยที่พปชร.หมดโอกาสเข้าไปคัดค้านสกัดกั้น

ถึงแม้การตั้งคณะกมธ.ชุดนี้ จะยังอีกไกลกว่าจะถึงขั้นตอนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะเป็นแค่ “การศึกษา” แต่ในทางการเมือง เท่ากับ “จุดไฟติด” และ “เริ่มนับหนึ่ง” ผ่านกระบวนการอันชอบธรรมทางระบบรัฐสภา อย่างไรก็ตาม พปชร.ดูจะกังวล จึงมีแผนส่งคนของตัวเองเข้ามาคุมเกมด้วยการเสนอชื่อ นายสุชาติ ตันเจริญ รองประธานสภาฯ จากพปชร. มานั่งเป็นประธานกมธ.ชุดนี้ เพื่อสู้กับ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกฯ ที่พรรคประชาธิปัตยมีมติสนับสนุนให้มาเป็นประธาน กมธ.

สำหรับ อภิสิทธิ์ โดดเด่นชัด เพราะประกาศจุดยืนต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญระหว่างนำทัพประชาธิปัตย์ช่วงหาเสียงเลือกตั้ง โดยเห็นว่า รัฐธรรมนูญนี้สร้างปัญหาและเป็นอุปสรรคในการสร้างประชาธิปไตย ก่อนที่เจ้าตัวจะเว้นวรรคการเมืองไปหลายเดือน เพราะแสดงสปิริตลาออกจากหัวหน้าพรรคและ ส.ส. หลังพรรคประชาธิปัตย์แพ้เลือกตั้ง

การกลับมาของอภิสิทธิ์รอบใหม่ รวมถึงพรรคประชาธิปัตย์ที่มีมติสนับสนุนอภิสิทธิ์เป็นประธานกมธ.ศึกษาแก้ไขรัฐธรรมนูญ นับเป็นจังหวะ “ถูกที่” “ถูกเวลา” ยังช่วยดึงพรรคประชาธิปัตย์ให้กลับมาโดดเด่นในกระแสแก้ไขรัฐธรรมนูญ “ถูกที่” เนื่องจาก อภิสิทธิ์มีภาพชัดเรื่องจุดยืนแก้ไขรัฐธรรมนูญ เคยเป็นอดีตนายกรัฐมนตรี รู้กลไกต่างๆ โครงสร้างประเทศ มีความเป็นนักประชาธิปไตย และบทบาทแก้ไขรัฐธรรมนูญนี้ ถือว่าเป็นกลาง ไม่สุดขั้วไปทางฝ่ายค้านหรือรัฐบาล

“ถูกเวลา”เนื่องจากถึงจุดที่ต้องเริ่มนับหนึ่ง ไขกุญแจสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญได้แล้ว เพราะเริ่มเห็นปัญหาและผลจากการบังคับใช้รัฐธรรมนูญที่ออกแบบจนเกิดความไม่เป็นธรรมในกติกาการเมือง

ถามว่า มีความเป็นไปได้หรือไม่ ที่อภิสิทธิ์จะได้รับการสนับสนุนขึ้นมาเป็นประธานกมธ. คำตอบคือ ทุกอย่างจะจบทันทีหากพรรคของพล.อ.ประยุทธ์ สนับสนุน อภิสิทธิ์ แต่เมื่อพรรคพลังประชารัฐ ไม่ยอม ระแวงกลัวสูญเสียอำนาจ ต้อง “ยัน” กระแสแก้รัฐธรรมนูญไว้ให้นานที่สุดและคุมเกมในกมธ.ให้ได้ เมื่อส่งคนสู้ ต้องเกิดศึกภายในพรรครัฐบาลเพี่อชิงเก้าอี้ตัวนี้

แต่ พปชร.เองคงไม่เหมาะที่นำทัพแก้รัฐธรรมนูญเพราะได้ประโยชน์จากรัฐธรรมนูญฉบับนี้เต็มๆ อย่าลืมว่า พรรคประชาธิปัตย์มีความชัดเจนต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญจนกดดันให้พล.อ.ประยุทธ์ บรรจุเป็นนโยบายเร่งด่วนรัฐบาลสำเร็จ จึงควรให้พรรคประชาธิปัตย์ในฐานะพรรครัฐบาลด้วยกันเป็นเจ้าภาพเรื่องนี้

หากวิเคราะห์เสียงภายในกมธ. พรรคประชาธิปัตย์เองมีภาษีดีกว่า พปชร. เนื่องจาก ตำแหน่งประธานกมธ.จะมาจากการเลือกกันเองของกมธ.ซึ่งมีทั้งหมด 49 คนแบ่งเป็นฝ่ายค้าน 19 คน พรรคร่วมรัฐบาล 18 คน และโควต้าตรงของรัฐบาลอีก 12 คน

ว่าไปแล้ว เสียงสนับสนุน อภิสิทธิ์ ในกมธ.มากกว่า ซีก พปชร. เนื่องจากพรรคฝ่ายค้านทั้งหมดจะเทให้อภิสิทธิ์ เพื่อให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญเริ่มนับหนึ่งเดินได้ เพราะหากเสนอชื่อคนของฝ่ายค้านมาเป็นประธาน กมธ. ก็จะไม่ได้เสียงจากซีกรัฐบาลมาโหวตให้

ขั้ว อภิสิทธิ์ อาจได้เสียงจากพรรคภูมิใจไทยมาช่วย เพราะประชาธิปัตย์กับภูมิใจไทย เป็นมิตรกันเหนียวแน่น ตั้งแต่จับมือต่อรองเก้าอี้รัฐมนตรีกับ “บิ๊กตู่” ช่วงเข้าร่วมรัฐบาล พรรคประชาธิปัตย์กับภูมิใจไทย จะมีกมธ.รวม 8 คน ถ้ารวมกับฝ่ายค้าน ก็กลายเป็นเสียงข้างมากสนับสนุนอภิสิทธิ์เป็นประธานได้ทันที

กลยุทธ์แพ็คคู่อย่างนี้ไม่ต่างกับช่วงเลือกชวน หลีกภัย ตัวแทนพรรคประชาธิปัตย์ขึ้นเป็นประธานสภาฯ ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์หักพรรคพลังประชารัฐสำเร็จ เพราะได้แรงหนุนจากพรรคภูมิใจไทย จน “สุชาติ ตันเจริญ” และพรรคพลังประชารัฐ ที่วางตัวเป็นประธานสภา ต้องยอมแพ้กับเกมเคี่ยวลากดินของพรรคประชาธิปัตย์

ถามว่า ตำแหน่งประธาน กมธ. มีบทบาทอย่างไร ทำไมต้องอยากมาเป็น ทั้งที่ไม่มีอำนาจ ไม่ได้อยู่ในขั้นตอนการแก้ไขรัฐธรรมนูญจริง

คำตอบ คือ ผู้ที่เป็นประธาน สามารถกำหนดประเด็น ขับเคลื่อน ให้สัมภาษณ์ ชี้นำสังคมให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นวาระของชาติ กดดันไปยังรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ ให้ยอมแก้รัฐธรรมนูญ

อย่าลืมว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญ2560 ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เนื่องจาก ผู้ร่างรัฐธรรมนูญ เปลี่ยนวิธีแก้ไขให้ยากกว่าเดิม ราวกับใส่กุญแจล็อค 3-4 ชั้น เพราะต้องใช้เสียงเห็นชอบไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของ 2 สภา (สส.และ สว.) นั่นหมายความว่าต้องได้รับเสียงเห็นชอบ 376 เสียงขึ้นไป และยังกำหนดให้เสียงที่ผ่านนั่นต้องมีเสียง ส.ว. สนับสนุนไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของ ส.ว.ที่มีอยู่ คือไม่น้อยกว่า 84 คน

ทางเดียวที่จะสำเร็จ คือ สร้างให้สังคมเห็นปัญหาจากการใช้รัฐธรรมนูญเพื่อเป็นแรงกดดันให้รัฐบาล และ ส.ว. ยอมแก้เหมือนที่เคยเกิดขึ้นสำเร็จจากโมเดลตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญมาร่างรัฐธรรมนูญทั้งฉบับเป็นฉบับประชาชนปี 2540 ที่เป็นการออกแบบร่วมกันของประชาชนทุกส่วนในสังคม

หาก พปชร.ฉลาดพอ ไม่ควรตั้งคนของตัวเองเป็นประธาน และปล่อยให้กลไกการศึกษาแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องในสภาเป็น “รูระบาย” ให้มีทางออกกับข้อเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะพปชร. ยังถืออำนาจรัฐ ได้เปรียบฝ่ายค้านอยู่หลายขุมกว่าจะถึงขั้นแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะการกุมเสียง ส.ว.ที่เป็นตัวแปรสำคัญในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ

“กฎหมายงบประมาณ” จุดล่อแหลม “บิ๊กตู่” ตกเก้าอี้!

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/politic/analysis/602185

  • วันที่ 30 ก.ย. 2562 เวลา 12:18 น.

"กฎหมายงบประมาณ" จุดล่อแหลม "บิ๊กตู่" ตกเก้าอี้!

หากท้ายที่สุดแล้ว รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ เกิดพลาดท่าแพ้โหวตกฎหมายงบประมาณ จะมีผลกระทบในทางการเมืองรุนแรง

**************************

โดย…ชัยฤทธิ์ ยนเปี่ยม

นับถอยหลังกับด่านทดสอบสำคัญของรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำนั่นคือ การพิจารณาร่างพรบ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 ที่จะนำมาใช้ขับเคลื่อนประเทศวงเงิน 3.2 ล้านล้านบาท โดยรัฐบาลกำหนดนำเข้าสภาในสมัยประชุมวิสามัญคาดว่า วันที่ 17-18 ต.ค.นี้ เพื่อให้รับหลักการวาระแรก

หากท้ายที่สุดแล้ว รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เกิดพลาดท่าแพ้โหวตกฎหมายงบประมาณ จะมีผลกระทบในทางการเมืองรุนแรง เหมือนอย่างที่ ชวน หลีกภัย ประธานสภา เตือนไว้ว่า “ถ้ากฎหมายนี้ไม่ผ่านวาระแรก ย่อมมีผลกับรัฐบาล”

ผลที่คาด.. จะเกิดกระแสกดดันจากฝ่ายค้านให้พล.อ.ประยุทธ์ ลาออก ไม่ก็ยุบสภา เพื่อแสดงความรับผิดชอบในฐานะหัวหน้ารัฐบาลที่ไม่สามารถผลักดันกฎหมายสำคัญมาบังคับใช้ได้

ถามว่า เสียงของรัฐบาลประยุทธ์ขณะนี้ มีความเสี่ยงหรือไม่ ก็ต้องตอบว่า มีอย่างยิ่งยวด และเข้าเงื่อนไข ล้มตัวเองได้ทุกเมื่อ

ผ่านไป 4 เดือน เราได้เห็นความง่อนแง่นของรัฐบาลหลายด้าน

ปัญหาเอกภาพในการทำงานจากการเป็นรัฐบาลผสมหลายพรรค ทำให้ทีมเศรษฐกิจไม่เป็นทิศทางเดียวกัน 3 พรรคใหญ่ พรรคพลังประชารัฐ พรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทย ที่ยึดกระทรวงสำคัญ ต่างเดินกันคนละคีย์ ไม่เป็นวง เพราะมุ่งแต่ทำตามนโยบายหาเสียงของพรรคตนเอง

กระทั่ง หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ถึงกับออกอาการเหนื่อยหน่ายกับความไม่เป็นเอกภาพไม่เหมือนสมัยรัฐบาลคสช.

ประการต่อมา ปัญหาเสียงปริ่มน้ำในสภาเริ่มออกฤทธิ์ หากเปรียบเป็นเรือกระดาษ ก็โคลงเคลงไปมา ลอยลำกลางมหาสมุทร มีรูรั่ว ต้องคอยปะผุ เวลาเจอพายุใหญ่ฟาดแต่ละครั้ง น้ำกระชอกขึ้นบนเรือจนเกือบจม

การลงมติเรื่องต่างๆ ที่เพิ่งปิดสมัยประชุมเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา รัฐบาลถึงกับแพ้โหวตฝ่ายค้านไปสองครั้ง ในการพิจารณาปรับแก้ร่างข้อบังคับการประชุมสภา

แต่โชคดีเพราะนี่อาจไม่ใช่วาระใหญ่ เป็นแค่การพิจารณาข้อบังคับ ไม่ใช่กฎหมายสำคัญ แต่มันก็ส่งสัญญาณให้เห็นแล้วว่า รัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ ช่างอันตรายจริงๆ ส.ส.ของรัฐบาลทั้งหมด ไม่สามารถเดินทางไปปฏิบัติภารกิจที่ไหนได้ในวันที่มีการประชุมสภา แม้แต่รัฐมนตรีเอง ก็ไม่สามารถออกงาน หรือ ไปลงพื้นที่ต่างจังหวัดได้ เพราะรัฐมนตรีนั่งเก้าอี้ ส.ส.ควบไปด้วย ถ้าไป เสียงในการลงมติก็จะเกิดปัญหาทันที

ปัญหาใหญ่อีกประการ คือ 4 เดือนที่ผ่านมา เสียงของรัฐบาลที่ว่า ปริ่มน้ำแล้ว มากระชอกหายไปอีก บีบหัวใจนายกฯประยุทธ์ หนักขึ้น

เดิมเสียงรัฐบาลอยู่ที่ 254 ฝ่ายค้าน 246

ปัจจุบันรัฐบาลหายไป 3 เสียงเหลือ 251 เสียง จาก 1.พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ พ้นจาก สส.กำแพงเพชร พรรคพลังประชารัฐ เพราะต้องคำพิพากษาจำคุกคดีล้มการประชุมอาเซียนซัมมิท 2.และ 3.คือ พรรคเล็ก 2 พรรค หัวหน้าพรรคไทยศิวิไลย์ และ พรรคประชาธรรมไทย ถอนตัวไปเป็นฝ่ายค้านไม่พอใจที่ไม่ได้รับจัดสรรผลประโยชน์เก้าอี้ประธานกรรมาธิการในสภา ยังมีกรณี กรุงศรีวิไล สุทินเผือก โดนใบเหลืองจาก กกต. อีก แต่ยังต้องให้ศาลฎีกาชี้ขาดถึงจะมีผลโดยสมบูรณ์

ส่วนฝั่ง 7 พรรคฝ่ายค้านเองหายไป 3 เสียง จาก 1.ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรรคอนาคตใหม่ ศาลรัฐธรรมนูญสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่กรณีถูกสอบปมคุณสมบัติผู้สมัคร สส. 2.นายนวัธ เตาะเจริญสุข สส.ขอนแก่น พรรคเพื่อไทย ถึงแม้ยังไม่พ้นจาก ส.ส. แต่ก็ใกล้เต็มทน เพราะถูกศาลฎีกาตัดสินจำคุกตลอดชีวิตคดีจ้างวานฆ่า 3. นางจุมพิตา จันทรขจร ส.ส.นครปฐม พรรคอนาคตใหม่ ขอลาออกจากปัญหาสุขภาพ แม้จะหายไป 3 แต่ก็มี 2 เสียงของพรรคเล็กที่ขอถอนตัวจากรัฐบาลมาเป็นฝ่ายค้าน จึงเหลือ 245 เสียง

อย่างไรก็ตาม ถ้ามีการลงมติ ประธานสภาผู้แทนราษฎร และรองประธานสภาฯอีก 2 คน ที่มาจากฝ่ายรัฐบาล หากวางตัวเป็นกลางอย่างเคร่งครัดตามรัฐธรรมนูญ ก็ต้องงดออกเสียง ฝ่ายรัฐบาลก็จะหดเหลือ 248 ต่อ 245

ด้วยตัวเลขที่ฉิวเฉียดจนเกือบจะกลายเป็น “รัฐบาลเสียงข้างน้อย” จึงมีความพยายามทุกวิถีทางที่จะดึง ส.ส.ฝ่ายค้านมาเป็นพันธมิตรอย่างเร่งด่วน เห็นเค้าลางที่สส.ฝ่ายค้านบางราย มีท่าทีปันใจสนับสนุนรัฐบาล ทั้งกรณีพรรคเศรษฐกิจใหม่ 5 จาก 6 เสียง หลังเปลี่ยนหัวหน้าพรรคใหม่จากเดิมมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ที่นั่งยันยืนยัน ไม่เข้าร่วมรัฐบาล แต่ มนูญ สิวาภิรมย์รัตน์ หัวหน้าพรรคคนใหม่ ประกาศว่า การลงมติในสภา ทางพรรคจะดูเป็นเรื่องๆ เข้าทำนองเป็นฝ่ายค้านอิสระ

หรือ เมื่อไม่นานนี้ มี สส.พรรคเพื่อไทย บางจังหวัดไปต้อนรับสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ ขณะลงพื้นที่ดูปัญหาน้ำท่วม กระทั่งที่เป็นข่าวว่า 14 สส.พรรคเพื่อไทยไปนั่งกินข้าวกับ สมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม แกนนำกลุ่มสามมิตรจากพรรคพลังประชารัฐ ขณะเข้าร่วมประชุมสภา สร้างความระแวงให้กับแกนนำพรรคเพื่อไทยว่า จะถูกดูด

อะไร คือ แรงจูงใจ ที่ ส.ส.ฝ่ายค้าน บางกลุ่มอาจจะโหวตให้กับร่างพรบ.งบประมาณ นั่นก็คือ ผลประโยชน์โครงการต่างๆ ที่อยู่ในร่างพ.ร.บ.งบประมาณวฯงเงิน 3.2 ล้านล้านบาท ที่ฝ่ายรัฐบาลอาจนำมาต่อรองแลกกับการได้รับจัดสรรงบในพื้นที่ให้กับ สส.เหล่านั้น

อย่างไรก็ตาม เชื่อว่า ในวันที่ต้องลงมติเห็นชอบ ร่างพ.รบ.งบประมาณฯ แกนนำรัฐบาลต้องตรึงกำลัง ส.ส.ฝ่ายตัวเองสุดกำลังก่อน โดยเฉพาะกลุ่มพรรคเล็ก 7 พรรค 7 สส. ที่แตกแถวง่ายสุด เพราะถ้าลงมติพลาดแม้แต่1-2 เสียง อาจทำให้ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ ไม่ผ่านสภา นายกฯประยุทธ์ ก็งานเข้าเมื่อนั้น

ประวัติศาสตร์การเมืองไทย ในอดีต นายกรัฐมนตรีที่เคยลาออกเพราะฝ่ายรัฐบาลแพ้โหวตในสภา คือ จอมพล ป.พิบูลสงคราม ที่เสนอพระราชกำหนดจัดตั้งเมืองเพชรบูรณ์เป็นเมืองหลวง แต่ ฝ่ายรัฐบาลของ จอมพล ป.แพ้โหวตไปด้วยคะแนน 36 ต่อ 48

จากนั้น ไม่กี่วัน รัฐบาลจอมพล.ป.ได้นำ พระราชกำหนดพุทธมณฑลบุรี เข้าสู่สภา แต่ก็ถูกลงมติคว่ำอีกแพ้ไป 41 ต่อ 43 ทำให้ จอมพล ป. ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 24 ก.ค. 2487

แม้ว่า ตามรัฐธรรมนูญ หากพล.อ.ประยุทธ์ ลาออก ก็สามารถกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีใหม่ได้ไม่ยาก เพราะมีเสียงวุฒิสภาค้ำบัลลังก์ให้ แต่ก็ไม่เป็นผลดี หากต้องกลับมานับหนึ่งใหม่ เพราะกว่าจะจัดตั้งรัฐบาลได้ พรรคร่วมรัฐบาลก็ทะเลาะแย่งเก้าอี้จนบั่นทอนเสถียรภาพกันเอง นโยบายต่างๆ ก็ต้องสะดุดลง กระทบความเชื่อมั่นของนักลงทุน

1 เสียงของฝ่ายรัฐบาล ณ วันนี้ จึงมีความหมาย ชี้ความเป็นความตายของรัฐบาลประยุทธ์ ห้วงเวลาระทึก ก่อนจะถึงวันโหวต เกมการต่อรองแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ จะเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ

แก้ลำแต่ยังไม่จบ ปมถวายสัตย์ฯ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/politic/analysis/599371

  • วันที่ 01 ก.ย. 2562 เวลา 11:55 น.

แก้ลำแต่ยังไม่จบ ปมถวายสัตย์ฯ 

โดย ชัยฤทธิ์ ยนเปี่ยม

ปัญหาการถวายสัตย์ปฏิญาณตนก่อนเข้ารับตำแหน่งที่ไม่ครบถ้วนของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังเป็นประเด็นตรวจสอบต่อเนื่อง และกลายเป็นชนักติดหลัง “บิ๊กตู่” หลังจากล่าสุด ผู้ตรวจการแผ่นดินมีมติส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยปมปัญหานี้ว่า การกล่าวคำถวายสัตย์ปฏิญาณตนของ “บิ๊กตู่” ที่ไม่ครบถ้วนตามรัฐธรรมนูญมาตรา 161 เข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญและละเมิดสิทธิเสรีภาพหรือไม่  คาดว่า ปัญหานี้จะยุติได้ในเดือนก.ย.

“บิ๊กตู่” เสียรังวัดพอควร และหลบเลี่ยงที่จะมาตอบกระทู้ฝ่ายค้าน ได้แต่ประกาศต่อหน้าเหล่าข้าราชการขณะมอบนโยบายรัฐบาลเมื่อหลายสัปดาห์ก่อน “ผมขอรับผิดชอบเรื่องนี้แต่เพียงผู้เดียว” แม้ “บิ๊กตู่” ทำเรื่องขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต กระทั่ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทาน พระราชดำรัส พร้อมลายพระราชหัตถ์เมื่อครั้งที่คณะรัฐมนตรีเข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่ เมื่อวันที่ 16 ก.ค. 2562 ลงมา พล.อ.ประยุทธ์ จึงจัดพิธีนำครม.รับพระราชดำรัสและลายพระราชหัตถ์เมื่อเช้าวันที่ 27 ส.ค. ซึ่งก็ช่วยลดแรงกดดันต่อปมปัญหาการถวายสัตย์ฯ ลง

กระนั้น การตรวจสอบพล.อ.ประยุทธ์ ยังเดินหน้าต่อไป นอกจากวิ่งไปที่ศาลรัฐธรรมนูญแล้ว ญัตติของ 7 พรรคฝ่ายค้านที่ได้เข้าชื่อต่อประธานสภาฯเพื่อขอให้เปิดอภิปรายทั่วไปโดยไม่มีการลงมติ คาดว่า จะพิจารณาได้ในวันที่ 6 ก.ย. ซึ่งรัฐบาลพยายามแก้เกมให้เป็น “การประชุมลับ” เพื่อลดความร้อนแรงของการตรวจสอบ

แม้ผลของญัตติจะล้มรัฐบาลไม่ได้ เพราะไม่มีการลงมติ หรือจะเป็นประชุมลับ แต่ช่วงที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ ก็สาหัสเอาการถูกทิ่มแทงตลอดว่า เป็นผู้นำประเทศแต่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ ไม่ทำตัวเป็นแบบอย่าง เอาแต่กล่าวโทษนักการเมืองคนอื่น ไม่ได้กล่าวประโยคสำคัญในการถวายสัตย์ “ทั้งจะรักษาไว้และปฏิบัติตาม ซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ”

ปลายทางคดีถวายสัตย์ฯจะไปจบที่ศาลรัฐธรรมนูญ  ต้องติดตามว่า ศาลรัฐธรรมนูญจะรับคดีหรือไม่  คาดว่าในเดือนก.ย. ก่อนการพิจารณาญัตติของฝ่ายค้านน่าจะมีความชัดเจน ถ้าไม่รับก็จบ และถ้ารับศาลจะพิจารณาอย่างไร แม้มีการคาดการณ์ว่า ในทางคดี พล.อ.ประยุทธ์น่าจะรอด  แต่นี่เป็นบทเรียนราคาแพงของ พล.อ.ประยุทธ์ว่า เมื่อเข้าสู่วิถีทางประชาธิปไตย ต้องถูกตรวจสอบทุกฝีก้าว  ต่างจากขณะเป็นผู้นำคสช. ใน 5 ปีก่อน ดังนั้น จากนี้ต้องพร้อมรับพายุการตรวจสอบที่จะตามเข้ามาอีกมาก ทั้งเรื่องตัวเอง รวมถึงการบริหารงานของครม. ที่ต้องควบคุมไม่ให้ออกนอกลู่นอกรอย ทุจริต ทำผิดกฎหมาย

ในส่วนของฝ่ายค้านที่ดูเอาจริงเอาจังกับการตรวจสอบเรื่องนี้ ถึงขั้นยื่นญัตติเปิดอภิปรายทั่วไป ซึ่งเป็นมาตรการตรวจสอบในสภา ระดับน้องๆ อภิปรายไม่ไว้วางใจ หวังชำแหละให้เห็นว่า พล.อ.ประยุทธ์ หมดความชอบธรรมในตำแหน่งนายกฯ สมควรลาออก  แต่ฝ่ายค้านก็ถูกวิจารณ์ว่า ไม่ควรนำเรื่องนี้มาอภิปรายฯ เป็นสาระหลัก  ควรจะเน้นปัญหาการบริหารงานที่ล้มเหลว ผิดพลาด หรือ ทุจริต ส่อทำผิดกฎหมายอย่างร้ายแรง ดูจะสมน้ำสมเนื้อกว่า

ต้องบันทึกไว้ว่า คดี “กล่าวถวายสัตย์ไม่ครบ” เป็นคดีแรกในรอบ 70 ปี  นับแต่มีรัฐธรรมนูญฉบับปี 2492 ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกที่บัญญัติให้นายกฯต้องถวายสัตย์ต่อหน้าพระพักตร์  แต่รัฐธรรมนูญเองก็ไม่บัญญัติบทลงโทษไว้กรณีถวายสัตย์ไม่ครบ

การถวายสัตย์ปฏิญาณตน เป็นพิธีศักดิ์สิทธิ์ไม่ต่างจากพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งของผู้นำต่างประเทศ กล่าวได้ว่า กรณีของพล.อ.ประยุทธ์ มีผู้เทียบเคียงคล้ายกับ บารัค โอบาม่า อดีตประธานาธิบดีสหรัฐ ที่ต้องประกอบพิธีสาบานตนถึงสองรอบภายในวันเดียวกัน เมื่อวันที่  20 ม.ค. 2552  ขณะนั้น โอบาม่า ประกอบพิธีสาบานตน โดยลำดับคำผิดพลาดไม่เป็นไปตามที่กำหนดในรัฐธรรมนูญเนื่องจากประธานศาลฎีกาสหรัฐฯ นำกล่าวผิด จนมีการถกเถียงถึงสถานะประธานาธิบดีของโอบามาว่า เป็นโมฆะหรือไม่ สุดท้ายโอบามาต้องสาบานตนใหม่เพื่อไม่ให้เกิดปัญหา กณีของโอบาม่า เมื่อทำผิดเพียงแค่สลับคำ ก็รีบแก้ ให้เสร็จสิ้นภายในวันเดียว แต่ของ “บิ๊กตู่”  ลากยาวมาจนถึงวันนี้ ร่วมเดือนครึ่งกลายเป็นคดีดังระดับชาติไปแล้ว

การถวายสัตย์ปฏิญาณตนในไทยมีมายาวนาน เพื่อให้พระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการ กล่าวคำมั่น แสดงความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กระทั่งต่อมาปรากฎในรัฐธรรมนูญฉบับที่ 5 ต่อเนื่องมาถึงปัจจุบันที่ใช้อยู่ฉบับที่ 20 เมื่อปี 2560  เมื่อได้ถวายสัตย์แล้ว ก็ให้ถือว่า บุคคลนั้นเริ่มปฏิบัติงานอย่างเป็นทางการได้

ไม่เพียงนายกฯและรัฐมนตรีที่ต้องถวายสัตย์ก่อนเข้ารับหน้าที่ด้วย ในรัฐธรรมนูญยังกำหนดให้รวมถึง องคมนตรี ผู้พิพากษาด้วย แม้แต่สมาชิกรัฐสภา ส.ส.และส.ว. ต้องกล่าวปฏิญาณตนตามมาตรา 115 ของรัฐธรรมนูญ ในที่ประชุมสภา ในข้อความลักษณะเดียวกันกับคำถวายสัตย์ของนายกฯ ก่อนเข้ารับหน้าที่ว่า

“ข้าพเจ้าจะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตเพื่อประโยชน์ของประเทศและประชาชน ทั้งจะรักษาไว้และปฏิบัติตามซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ”

คำถวายสัตย์และคำปฏิญาณตน เหมือนคำสัญญาต่อหน้าประมุขแห่งรัฐที่ต้องศักดิ์สิทธิ์ แต่ที่ผ่านมาเป็นเช่นนั้นหรือไม่ เราคงตอบได้ว่า… ไม่  อดีตนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี รวมถึง ส.ส. ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจำนวนไม่น้อย ต่างละเลยที่ปฏิบัติตามคำถวายสัตย์ต่อพระมหากษัตริย์  เพราะมีคดีทุจริต กระทำผิดกฎหมาย เข้าสู่กระบวนการสอบสวน ที่มีหลักฐานชัดก็ถูกศาลตัดสินจำคุกไปหลายราย ที่ไม่มีหลักฐานอีก ก็จำนวนมาก บ้างหนีคำพิพากษาไปต่างประเทศ

ความสำคัญต่อการถวายสัตย์ฯ นอกจากต้องกล่าวครบถ้วนทุกถ้อยความแล้ว สิ่งสำคัญ คือ นักการเมืองต้องรักษาคำพูดให้ได้จริง ไม่ใช่ทำแค่พิธีกรรม หรือ ท่องเล่นๆเพียงแค่ครึ่งนาที  เพราะถ้ายึดมั่นปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต และเพื่อประโยชน์ของประเทศและประชาชนจริงดั่งคำถวายสัตย์  ประเทศก็คงไม่เสียหายจากปัญหาการใช้อำนาจฉ้อฉล แสวงหาประโยชน์ให้ตัวเองและพวกพ้อง อย่างที่เผชิญอยู่อย่างนี้

‘ไพบูลย์’ประกาศซบ’พปชร.’ตามคาดหลังยุบพรรคตัวเอง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/politic/analysis/598407

  • วันที่ 22 ส.ค. 2562 เวลา 12:53 น.

'ไพบูลย์'ประกาศซบ'พปชร.'ตามคาดหลังยุบพรรคตัวเอง

“ไพบูลย์” เผยคุย”บิ๊กป้อม”เตรียมซบพปชร.เป็นสส.คนที่ 117 หลังยุบพรรคประชาชนปฏิรูปยันไม่ต้องคิดสัดส่วนสส.ใหม่

นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคประชาชนปฏิรูป เปิดเผยว่า ได้คุยกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและประธานยุทธศาสตร์พรรคพลังประชารัฐว่าหลังการยุบพรรคประชาชนปฏิรูป จะขอย้ายเข้าไปร่วมสังกัดกับพรรคพลังประชารัฐ ซึ่ง พล.อ.ประวิตร ก็ไม่ได้มีความขัดข้อง โดยจะขอให้อยู่ช่วยงานกับพรรคพลังประชารัฐด้านกฎหมาย

ทั้งนี้จะต้องรอให้กระบวนการยกเลิกกิจการพรรคการเมืองเสร็จสิ้นตามกฎหมายก่อนที่จะต้องมีการประกาศในราชกิจจานุเบกษา ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือนส.ค. หลังจากนั้นจะเข้าไปสมัครเป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ อันจะถือว่าเป็นสส.พรรคพลังประชารัฐเต็มตัวนับตั้งแต่วันที่ไปสมัคร

อย่างไรก็ตามเมื่อถามว่า การย้ายไปเป็นสส.ของพรรคพลังประชารัฐ จะมีผลให้ต้องมีการคำนวณสัดส่วนจำนวนสส.ที่แต่ละพรรคจะพึงมีใหม่หรือไม่ นายไพบูลย์ กล่าวว่า เป็นแค่การรักษาสถานภาพความเป็นสส.เท่านั้น จึงไม่ต้องมีการคำนวนสัดส่วนสส.ใหม่แต่ประการใด

สำหรับสาเหตุที่ต้องเลิกทำพรรคการเมืองประชาชนปฏิรูปนั้น นื่องจากกรรมการบริหารพรรคมีมติเอกฉันท์ให้เลิกทำพรรค เพราะเห็นว่าพรรคมี ส.ส.แค่คนเดียว และกรรมการบริหารพรรคส่วนใหญ่ไม่มีเวลาในการร่วมจัดตั้งสาขาพรรคการเมือง และประสานงานสร้างตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัดอีก 69 พรรคตามกฎหมายเลือกตั้งสส.และพรรคการเมือง และ กรรมการบริหารพรรคจำนวนมากยังมีภารกิจส่วนตัวอื่นๆที่ต้องทำเป็นจำนวนมาก

รัฐบาลปล่อย’มงคลกิตติ์’เป็นฝ่ายค้านเสียทั้งขึ้นทั้งล่อง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/politic/analysis/597706

  • วันที่ 14 ส.ค. 2562 เวลา 21:28 น.

รัฐบาลปล่อย'มงคลกิตติ์'เป็นฝ่ายค้านเสียทั้งขึ้นทั้งล่อง

การที่พปชร.ปล่อย’มงคลกิตติ์’เป็นฝ่ายค้านย่อมไม่ส่งผลดีต่อรัฐบาลเป็นการผลักมิตรไปเป็นศัตรูที่เร็วเกินไป

การแถลงถอนตัวจากพรรคร่วมรัฐบาลของ “มงคลกิตติ์ สุขสินธรานนท์” หัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ ไปเป็นฝ่ายค้านอิสระ ย่อมมีผลกระทบต่อเสถียรภาพรัฐบาลเพิ่มมากขึ้นไปอีก เพราะจะทำให้รัฐบาลมีจำนวนเสียงในสภาผู้แทนราษฎรลดลงโดยเหลือเพียง 253 จากเดิม 254 ที่นั่ง

ทั้งนี้ ในจำนวน 253 เสียงของรัฐบาล นั้น ยังไม่นับเสียง”ชวน หลีกภัย”ประธานสภา ที่จะวางตัวเป็นกลาง และ 3 ส.ส.นครราชสีมา พรรคพลังประชารัฐ”วิรัช รัตนเศรษฐ -ทัศนียา รัตนเศรษฐ-ทัศนาพร เกษเมธีการุณ” ที่อาจจะต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ หลังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองรับคดีไว้พิจารณา ในคดีที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิด คดีโครงการก่อสร้างสนามฟุตซอลโรงเรียน จำนวน 56 แห่ง ในพื้นที่เขตการศึกษาที่ 2 จ.นครราชสีมา

หากเป็นไปตามนี้เสียงรัฐบาลจะหายไปอีก 4 เสียง เหลือเพียง 249 เสียง ส่วนฝ่ายค้านเดิมมี 246 เสียง แต่ “ธนาธร จึ่งรุงเรืองกิจ”หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ หยุดฏิบัติหน้าที่ จึงเหลือแค่ 245 เสียง และฝ่ายค้านอิสะของ”มงคลกิตติ์”อีก 1 เสียง ซึ่งจะทำรัฐบาลมีเสียงปริ่มน้ำมากยิ่งขึ้น

ความจริงการที่พรรคพลังประชารัฐยอมมอบตำแหน่งทางเมืองให้ 9 พรรคเล็กที่ร่วมรัฐบาลไว้ต่อไปโดยไม่สนใจง้องอน”มงคลกิตติ์”ให้อยู่กับรัฐบาลต่อไป ซึ่งในทางกลยุทธการเมือง ถือว่าพรรคพลังประชารัฐเดินเกมทางการเมืองผิดพลาดอย่างยิ่ง เพราะการปล่อย”มงคลกิตติ์”ออกมาเป็นฝ่ายค้านนั้น รัฐบาลมีแต่เสียกับเสีย เพราะจะกลายเป็นเม็ดกรวดในรองเท้ารัฐบาล

ทั้งนี้ต้องไม่ลืมว่าแม้”มงคลกิตติ์”จะมีเสียงเดียว ดูไม่มีพิษสงอะไร เหมือนหัวเดียวกระเทียมลีบ แต่บทบาทในเชิงการตรวจสอบขุดคุ้ยการทุจริตคอรัปชั่นและฝีปากการอภิปรายในสภาของ”มงคลกิตติ์”ไม่ธรรมดา

ทั้งนี้ก่อนได้รับการเลือกตั้งเป็นส.ส.”มงคลกิตติ์”เป็นถึง เลขาธิการภาคีเครือข่ายต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่นของชาติ (ภตช.)ซึ่งภาคีเครือข่ายดังกล่าวนี้ก่อตั้งขึ้นโดย พล.อ.กิตติศักดิ์ รัฐประเสริฐ เป็นอดีตผู้ช่วยหัวหน้านายทหารฝ่ายเสนาธิการ ประจำรมว.กลาโหม (นายชวน หลีกภัย) และร่วมเคลื่อนไหวทางการเมืองร่วมกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และเครือข่ายภตช.ก็มีคณะกรรมการที่ปรึกษาที่เป็นคนดัง อาทิ พล.อ.จรัล กุลละวณิชย์ ประธานกรรมการที่ปรึกษา พล.อ.สำเริง พินกลาง กรรมการที่ปรึกษา พล.ร.อ.บรรณวิทย์ เก่งเรียน กรรมการที่ปรึกษา และ น.ต. ประสงค์ สุ่นศิริ เป็นประธานที่ปรึกษากิตติมศักดิ์

ดังนั้นจะเห็นได้ว่า “มงคลกิตติ์”มีแบ็คดีไม่ธรรมดา เพราะขนาด”ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า”มือประสานพรรคพลังประชารัฐยังเคลียร์ไม่ลง และยังบอกว่าต้องปล่อยให้น้องเต้ไปทำงานเพื่อรักษาผลประโยชน์ของพี่น้องประชาชน

ที่สำคัญนอกจากเป็นจอมขุดคุ้ยแล้ว”มงคลกิตติ์”นั้น มีแฟนคลับมากพอสมควรโดยเฉพาะในทางโซเชียล เขาเป็นนักดราม่าคนหนึ่ง ที่สามารถใช้โซเชียลในการเคลื่อนไหวได้ตลอดเวลา ซึ่งแทนที่รัฐบาลจะเอาไปใช้งานเพื่อต่อสู้กับพรรคฝ่ายค้าน เสมือนเอาไว้ตัดแต้มฝ่ายค้าน แต่กลับปล่อยให้มายืนคนละฝากกับรัฐบาล เท่ากับเป็นการผลักมิตรออกไปเป็นศัตรูเร็วเกินไป ซึ่งย่อมไม่เป็นผลดีกับรัฐบาล

อย่างไรก็ตามจากนี้ต้องติดตามบาทบาทของ”มงคลกิตติ์”ในฐานะฝ่ายค้านอิสระว่า จะโชว์บทบาทได้ดีแค่ไหน เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์

‘บิ๊กตู่’ออกอาการ…สัญญาณอยู่ไม่ยืด

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/politic/analysis/597379

  • วันที่ 10 ส.ค. 2562 เวลา 21:04 น.

'บิ๊กตู่'ออกอาการ...สัญญาณอยู่ไม่ยืด

กระแสข่าว”ลุงตู่”ลาออกเป็นสัญญาณของรัฐบาลที่อยู่ไม่ยืดไร้เสถียรภาพโอกาสมาเร็วจบเร็วมีสูง

รัฐบาลลุงตู่สมัย 2/1 เข้ามาบริหารราชการแผ่นดินยังไม่ทันไร”ก้นหม้อข้าวไม่ทันดำ” ก็มีกระแสข่าวลือกระฉ่อน”ลุงตู่”ถอดใจลาออก เสียแล้ว และ แม้”ลุงตู่”จะรีบออกมาปฏิเสธทันควัน ว่า “ผมยืนยันวันนี้ทำหน้าที่อย่างเต็มที่ เพราะผมเป็นนายกรัฐมนตรี อยู่ตรงนี้ ผมไม่ไปไหน ไม่ต้องเป็นห่วง” แต่กระแสข่าวการลาออก ของบิ๊กตู่ ที่เกิดขึ้นหลังเพิ่งเข้าบริหารประเทศเพียงแค่ 15 วัน คือนับตั้งแต่วันเริ่มปฏิบัติหน้าที่หลังแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภาเสร็จสิ้นลง ในวันที่ 27 ก.ค.จนมาถึงปัจจุบัน วันที่ 10 ส.ค. ถือเป็นสัญญาณ ของความเปราะบาง ที่ทำให้รัฐบาลลุงตู่อยู่ได้ไม่นาน

กระแสข่าวลาออกของ”บิ๊กตู่”ครั้งนี้ ย่อมส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพ และความเชื่อมั่นของนักลงทุน ที่อาจส่งผลไปถึงการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศที่ส่อดิ่งอยู่แล้ว จะยิ่งทรุดหนักลงไปอีก

ทั้งนี้เนื่องจาก เพียงแค่ 15วัน ของการเข้ามาบริหารประเทศ”บิ๊กตู่”โดนหนักจนแทบจะโงหัวไม่ขึ้น ไม่สามารถตีปิ๊บการขับเคลื่อนนโยบายที่เป็นความหวังของประชาชนได้ เพราะมีแต่กระแสข่าว เรื่องแก้ปัญหาทางการเมืองของรัฐบาลรายวัน โดยเฉพาะในช่วงที่ผ่านมา”บิ๊กตู่”ต้องเผชิญปัญหาให้ปวดขมับถึง 4 ปมใหญ่ด้วยกัน

เรื่องแรก คือปมการถวายสัตย์ปฏิญาณไม่ครบ ซึ่งถูกฝ่ายค้านตามไล่บี้อย่างหนักทั้งข้อหา กระทำผิดรัฐธรรมนูญ อาจทำให้คณะรัฐมนตรีเป็นโมฆะ รวมถึงหมิ่นเหม่อาจเข้าข่ายหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ แม้บิ๊กตู่พยายาม จะปิดเกมด้วยการออกมาขอโทษ และบอกว่าไม่มีเจตนาและพร้อมจะรับผิดชอบเพียงผู้เดียว แต่ยังไร้ผล กระแสของเรื่องนี้ได้ลุกลามจน”บิ๊กตู่”ดิ้นไม่ออก และยังไม่สามารถหาวิธีการมาแก้ไขเรื่องดังกล่าวได้จนถึงขณะนี้

ถัดมาเรื่องที่ 2. กรณีการลอบวางระเบิดป่วนกรุงเทพมหานครในหลายพื้นที่ ซึ่งจนถึงขณะนี้ยังไม่สามารถระบุได้ชัดว่าสาเหตุจริงๆของการวางระเบิดครั้งนี้มาจากแรงจูงใจอะไร โดยมีการจับกุมผู้ต้องหาได้เพียง 2 คนเท่านั้น และที่สำคัญยังไม่สามารถสาวไปยังผู้บงการได้ ซึ่งย่อมทำให้ภาพลักษณ์จุดเด่นของ”บิ๊กตู่”ในเรื่องการรักษาความสงบในประเทศลดน้อยลงไปทันที เมื่อไม่มีมาตรา 44 อยู่ในมือ

ขณะที่ปม 3.เป็นเรื่องของเสถียรภาพของรัฐบาล เนื่องจากรัฐบาลแพ้โหวตในสภาครั้งแรก เมื่อวันที่ 8 ส.ค. ในการลงมติในวาระพิจารณาร่างข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ข้อที่ 9 ที่ระบุถึงการทำหน้าที่ของประธานสภาฯ จะต้องวางตัวเป็นกลาง ซึ่ง ส.ส.พรรคฝ่ายค้าน ได้วิพากษ์วิจารณ์การทำหน้าที่ของนายชวน หลีกภัย ประธานสภาว่าที่ผ่านมาทำหน้าที่ไม่เป็นกลางหลายกรณี และได้เกิดการตอบโต้กันกับฝ่ายรัฐบาล และผลของการลงคะแนน ปรากฎว่าเสียงข้างมาก 205 เป็นเสียงของฝ่ายค้าน 204 เป็นเสียงของฝ่ายรัฐบาล เห็นด้วยกับที่ กมธ.แก้ไขข้อบังคับให้ประธานสภาต้องเป็นกลาง

และ ปิดท้ายเรื่องที่ 4. มาจาก กรณี 5พรรคเล็กแถลงถอนตัวจากการร่วมรัฐบาล ซึ่งนำโดย นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ หัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ เนื่องจากไม่พอใจที่พรรคพลังประชารัฐไม่จัดสรรตำแหน่งทางการเมืองให้พรรคเล็ก ทำให้แกนนำของพรรคพลังประชารัฐต้องเร่งมาทำความเข้าใจและไกล่เกลี่ยตำแหน่งให้ แต่ล่าสุด นายมงคลกิตติ์ และ นายพิเชษฐ สถิชวรชวาล หัวหน้าพรรคประชาธรรมไทย ยืนยันจะ ไม่ใช่พรรคร่วมรัฐบาล หรือพรรคร่วมฝ่ายค้าน และไม่ขอรับการจัดสรรโควตาข้าราชการการเมืองจากพรรคพลังประชารัฐ

ทั้งหมด 4 เรื่องนี้กลายเป็นประเด็นร้อนที่เป็นสัญญาณเตือนให้เห็นว่า รัฐบาลเปราะบาง ไร้เสถียรภาพโอกาสล้มได้ทุกทุกเวลา เพราะมีเสียงปริ่มน้ำ โดยจำนวนเสียงในสภามากกว่าฝ่ายค้าน เพียง 8 เสียง เท่านั้น คือฝ่ายรัฐบาลมี 254 เสียง ส่วนฝ่ายค้านมี 246 เสียง ในขณะเดียวกัน มีรัฐมนตรีบางส่วนดำรงสถานะเป็นส.ส. ก็ยิ่งทำให้เกิดความสุ่มเสี่ยงเพราะรัฐมนตรีจะไม่มีเวลามาประชุมสภา โอกาสที่ทำให้สภาล่มหรือแพ้โหวตฝ่ายค้านเพิ่มสูงขึ้นอีก

ขณะเดียวกันการเป็นรัฐบาลผสม19 พรรค โอกาสการในต่อรอง ทั้งในส่วนของพรรคร่วมรัฐบาล หรือแม้กระทั่งในพรรคพลังประชารัฐของบิ๊กตู่เอง มีอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเก้าอี้รัฐมนตรี หรือเก้าอี้ในตำแหน่งทางการเมือง ทั้งในสภา และฝ่ายบริหาร โครงการ งบประมาณ รวมถึงการโยกย้ายราชการ ที่บรรดานักการเมืองต้องการเก็บเกี่ยวเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเลือกตั้งครั้งหน้า ซึ่งโอกาสที่จะขัดแย้งและแยกทางกันย่อมเกิดขึ้นตลอดเวลา และ ยังไม่รวมถึงการควบคุมอารมณ์ของ “บิ๊กตู่”ว่าจะอดทนอดกลั้นได้นานสักเพียงใด

งานนี้รัฐบาลเรือเหล็กของ”บิ๊กตู่”ที่มาจากการเลือกตั้ง จะอยู่ได้นานแค่ไหน จึงต้องลุ้นกันเป็นระยะๆ

ถอดรหัสตั้ง’เลขา-ผู้ช่วย’รัฐมนตรีพปชร.’สมคิด-สามมิตร’กลุ่มเดียวกัน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/politic/analysis/597083

  • วันที่ 07 ส.ค. 2562 เวลา 18:44 น.

ถอดรหัสตั้ง'เลขา-ผู้ช่วย'รัฐมนตรีพปชร.'สมคิด-สามมิตร'กลุ่มเดียวกัน

ไม่แปลกใจว่าในช่วงที่มีการเจรจาจัดตั้งรัฐบาลกลุ่มสามมิตรถึงกล้าเคลื่อนไหวทวงโควต้าเก้าอี้รัฐมนตรีอย่างโจ๋งครึ่มชนทั้ง”บิ๊กตู่-บิ๊กป้อม”

หลังคณะรัฐมนตรีเห็นชอบแต่งตั้งเก้าอี้ เลขานุการรัฐมนตรีและผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรี ในส่วนของพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.)นั้น ได้สะท้อนถึงดุลอำนาจของกลุ่มต่างในพปชร.ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะกลุ่มสามมิตร ที่นำโดย “สมศักดิ์ เทพสุทิน” รมว.ยุติธรรม “สุริยะ จึ่งรุ่งเรืองกิจ” รมว.อุตสาหกรรม และ กลุ่ม 4 ยอดกุมาร ที่มี “อุตตม สาวนายน”หัวหน้าพรรค “สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์” เลขาธิการพรรค ซึ่งนำโดย “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์”รองนายกรัฐมนตรี นั้น ที่แท้เป็นกลุ่มเดียวกัน

ทั้งนี้”อนุรุทธิ์ นาคาศัย”น้องชาย “อนุชา นาคาศัย” ส.ส.ชัยนาท แกนนำกลุ่มสามมิตร ที่พลาดเก้าอี้ รมช.คลัง ได้รับการแต่งเป็น เลขานุการ “สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์” รมว.พลังงาน

หากจำกันได้ เมื่อวันที่ 29 มิ.ย.ช่วงการจัดโผครม. “อนุชา” ได้ออกมา แถลงดับเครื่องชนบิ๊กตู่ บิ๊กป้อม เพื่อต่อรองเก้าอี้ให้ “สุริยะ” ที่เบื้องต้นถูกวางไว้เป็น รมว.พลังงาน แต่ถูก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีโยกสลับให้”สนธิรัตน์” เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐมานั่งแทน และให้”สุริยะ”ไปนั่งรมว.อุตสาหกรรม

ในช่วงนั้นกลุ่มสามมิตร เข้าใจว่า”สนธิรัตน์”หักหลัง เพื่อจะนั่งรมว.พลังงานเสียเอง ทำให้”สิระ เจนจาคะ” ส.ส.กทม.กลุ่มสามมิตร ประกาศเสนอญัตติในที่ประชุมพรรคขับ”สนธิรัตน์”ออกจากตำแหน่งเลขาธิการพรรค ทำเอา”สนธิรัตน์”ถอดใจออกแถลงการณ์ไม่รับเก้าอี้รมว.พลังงาน แต่ท้ายที่สุด”สมคิด”ไปเคลียร์ ในทำนองหาก”สนธิรัตน์”ไม่รับเก้าอี้รมว.พลังงานจะตกไปอยู่กับ”ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ”กลุ่มกทม. ทำให้กลุ่มสามมิตร ยอมสงบลง และภายหลังหนุนให้”สนธิรัตน์”กลับมานั่งรมว.พลังงานตามเดิม

นอกจากตำแหน่ง”อนุรุทธิ์”แล้วที่ได้ไปนั่งเป็น เลขานุการ รมว.พลังงาน แทนพี่ชายแล้ว ยังมี”ธนากร วังบุญคงชนะ” คนสนิท”สมศักดิ์” ผงาดเป็นเลขานุการ รมว.คลัง “อุตตม สาวนายน” หัวหน้าพรรค อีก

ทั้งนี้”ธนากร”เดิมเป็นโฆษกกลุ่มสามมิตร จากนั้นเป็นรองโฆษกฯพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งหลังการเลือกตั้ง”ธนากร”ซึ่งลงในระบบบัญชีรายชื่อลำดับที่ 27 ไม่ได้เป็นส.ส. แต่ กลุ่มสามมิตร ดันจะให้ไปนั่งเป็น โฆษกรัฐบาล แต่ “บิ๊กตู่”เลือก นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เป็นส.ส.บัญชีรายชื่อ เป็นโฆษกรัฐบาลแทน เพราะสื่อสารกับต่างประเทศได้ดี ทำให้”ธนากร”ถูกเลือกไปเป็นโฆษกพรรคพลังประชารัฐ และท้ายสุดด้วยลีลาการตอบโต้ทางการเมืองรายวันทันเกมฝ่ายค้าน เข้าตา “สมคิด” กลุ่มสามมิตรจึงส่งไปช่วยปิดจุดอ่อน”อุตตม”ที่กระทรวงการคลัง หวังให้ช่วยชี้แจงประเด็นทางการเมือง

นอกจากนี้ “ภิรมย์ พลวิเศษ” อดีตโฆษกกลุ่มสามมิตรอีกคน ซึ่งสอบตกที่โคราช ได้เป็นเลขาฯ”สุริยะ”รมว.อุตสาหกรรม และ ว่าที่ร.ต.ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ ทีมฝ่ายกฎหมายพปชร. เป็นเลขาฯ”สมศักดิ์”รมว.ยุติธรรม

งานนี้กลุ่มสามมิตรจึงคว้าชิ้นปลามันไปกินกันถ้วนหน้า โดยเฉพาะการไปนั่งเป็นเลขานุการรัฐมนตรี ของทั้ง”อุตตม-สนธิรัตน์”ย่อมแสดงให้เห็นว่าทั้งสองกลุ่มเป็นพวกเดียวกัน จึงไม่แปลกใจว่าในช่วงที่มีการเจรจาจัดตั้งรัฐบาลกลุ่มสามมิตรถึงกล้าเคลื่อนไหวทวงโควต้าเก้าอี้รัฐมนตรีอย่างโจ๋งครึ่ม ฟาดงวงฟาดงา ไม่ไว้หน้า แม้แต่บิ๊กตู่ บิ๊กป้อม เพราะมีแบ็คดีเป็นกลุ่ม”สมคิด”นี่เอง

อย่างไรก็ตามในอนาคตกลุ่มสามมิตร จะมีบารมีพลังอำนาจต่อรองในพรรคพปชร.แค่ไหน ต้องรอพิสูจน์กันในการเลือกคณะกรรมการบริหารพรรครอบใหม่ ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะเข้าไปเป็นหัวหน้าพรรคอย่างเต็มตัวในเร็วๆนี้

ผ่าแผนกระชับอำนาจ’บิ๊กตู่’ลดบทบาท’บิ๊กป้อม’

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/politic/analysis/596423

  • วันที่ 31 ก.ค. 2562 เวลา 19:12 น.

ผ่าแผนกระชับอำนาจ'บิ๊กตู่'ลดบทบาท'บิ๊กป้อม'

“บิ๊กตู่”เดินเกมคุม”กองทัพ-ตำรวจ-ดีเอสไอ”เสริมแกร่งอำนาจทดแทนมาตรา44พร้อมลดบทบาท”บิ๊กป้อม”หลบกระแสโจมตี

การที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม เข้ามากับกับดูแลงานของกองทัพ ตำรวจ และกรมสอบสวนคดีพิเศษ โดยตรงนั้น คงไม่ใช่เข้ามาแบ่งเบาภาระ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งกำกับหน่วยงานดังกล่าวมาในช่วงรัฐบาลคสช. แต่เพื่อต้องการกระชับอำนาจให้เบ็ดเสร็จ แข็งแกร่งไม่ด้อยไปกว่าเมื่อครั้งเป็นหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติหรือคสช. หลังจากต้องสูญเสียอำนาจ อย่างมาตรา 44 ที่มาจากการยึดอำนาจไป เพื่อแลกกับการเข้าสู่รัฐบาลเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย

ทั้งนี้แม้นายกรัฐมนตรีจะเป็นหัวหน้ารัฐบาลจะมีอำนาจสูงสุดในการบริหารราชการแผ่นดิน แต่หากไม่ได้กำกับดูแลหน่วยงานราชการโดยตรง ก็แทบจะไร้อำนาจ บรรดาข้าราชการ อาจไม่ยำเกรง เนื่องจากไม่สามารถให้คุณให้โทษ เกี่ยวกับการเลื่อนชั้นเลื่อนตำแหน่งได้โดยตรง

ยิ่งเป็นรัฐบาลผสม 19 พรรค ที่มีเสียงปริ่มน้ำ 154 ต่อ146 เสียง ซึ่งมากกว่าฝ่ายค้านเพียง 8 เสียง ทำให้รัฐบาลไร้เสถียรภาพสุดๆ โอกาสที่พรรคร่วมรัฐบาล กลุ่มการเมืองในพรรคพลังประชารัฐ สามารถคิดล้มรัฐบาลได้ทุกเวลา หากความคิดและผลประโยชน์ขัดกัน แม้จะมีส.ว. 250 เสียง อยู่ในมือในการโหวตนายกรัฐมนตรีถึง 5ปี ที่จะสร้างความมั่นคงทางการเมืองให้บิ๊กตู่ได้ในระดับหนึ่ง แต่ใช่ว่าเสียงเหล่านี้จะไม่มีโอกาสผันแปรในอนาคต

งานนี้”บิ๊กตู่”ไม่มีทางเลือก จึงต้องเอาหน่วยงานที่มีผลต่อการใช้อำนาจโดยตรงมาไว้ในมือโดยเฉพาะกองทัพ ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญในการค้ำให้รัฐบาลอยู่รอดปลอดภัย มีเสถียรภาพ เพราะประเทศไทยยังอ่อนไหวกับอำนาจทางทหาร ประสบการณ์ในอดีตที่ผ่านมา หากผู้นำรัฐบาลขัดแย้งกับผู้นำทางทหาร ผลที่ปรากฎชัดเจนคือไม่รัฐบาลล้ม ก็มีการยึดอำนาจ รัฐประหาร

ในขณะที่ตำรวจก็เป็นหน่วยงานหนึ่งที่จะเสริมความมั่นคงให้กับรัฐบาลในการจัดการกับฝ่ายตรงกันข้าม รวมถึงป้องกันสกัดกั้นไม่ให้ฝ่ายตรงกันข้ามเคลื่อนไหวเล่นงานรัฐบาลได้ ซึ่งในอดีตที่ผ่านมาตำรวจกลายเครื่องมือของผู้มีอำนาจตลอดมา เช่นเดียว กับกรมสอบสวนคดีพิเศษ ที่นับวันเริ่มมีอิทธิฤทธิ์มากมาย ในการใช้อำนาจในบริบทต่างๆ

อำนาจอันทรงพลังเบ็ดเสร็จเด็ดขาดของหน่วยงานเหล่านี้ หาก”บิ๊กตู่” ปล่อยให้”บิ๊กป้อม”ไปคุมเหมือน 5 ปีที่ผ่านมา ย่อมทำให้บารมีของ”บิ๊กตู่”หดหายไม่โดดเด่น กลายเป็นนายกฯตีนลอย ต้องคอยพึ่งพิง”บิ๊กป้อม”ตลอดเวลา ซึ่งอาจล่มไปก่อนเวลาอันควร

ในขณะเดียวกันภาพลักษณ์ของ”บิ๊กป้อม”ในช่วงที่ผ่านมา อยู่ในช่วงขาลง กลายเป็นหมู่บ้านกระสุนตก ตั้งแต่ปมเรื่องการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ของกองทัพ การจัดซื้อเรือดำน้ำ การให้องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึกไปรับเหมาขุดคลอง การโยกย้ายแต่งตั้งตำรวจ ที่มีชื่อ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล หรือบิ๊กโจ๊ก รวมถึง พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีต ผบ.ตร.น้องชาย เข้าไปเกี่ยวข้อง ขืนให้ไปคุมหน่วยงานเหล่านี้อีก จะทำให้ภาพลักษณ์รัฐบาลเสื่อมลงไปอีก และเพื่อเป็นการตัดไฟแต่ต้นลม”บิ๊กตู่”จึงต้องลดบทบาท”บิ๊กป้อม”ลง ด้วยการดึงหน่วยงานเหล่านี้มาบริหารจัดการเอง

แม้”บิ๊กตู่”จะมีการอธิบายว่า การเข้ามาคุมกองทัพ ตำรวจ เพื่อแบ่งเบาภาระ”บิ๊กป้อม”อันเนื่องจากจากสุขภาพไม่ค่อยจะเอื้ออำนวย แต่หากพินิจพิจารณางานใหม่ที่”บิ๊กป้อม”ได้รับมอบหมาย ก็มีภารกิจหนักอึ้งเช่นกัน ทั้ง 4 กระทรวง คือ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงแรงงาน ซึ่งลำพังคนสุขภาพไม่ดี คงบริหารจัดการไม่ได้ ข้ออธิบายเรื่องของสุขภาพจึงไม่น่าจะฟังขึ้น

หมากเกมนี้คนรอบข้างของ”บิ๊กป้อม”ย่อมมองออก นี่คือเป็นแผนการลดอำนาจ”บิ๊กป้อม”อย่างชัดเจน และแม้”บิ๊กป้อม”จะแก้เกมด้วยการลงไปเลี้ยงดูปูเสื่อส.ส.พรรคพลังประชารัฐ เพื่อหวังผูกมัดใจ แต่หากไม่ได้คุมกลไกหลักอย่างทหาร ตำรวจ จะอย่างไรเสียบารมีก็ต้องหดลงในไม่ช้า ส่วนจะทำให้เกิดเกาเหลาระหว่าง”บิ๊กตู่”กับ”บิ๊กป้อม”หรือไม่นั้น ในระยะสั้นคงไม่เด่นชัด เพราะต่างต้องเก็บข่มความรู้สึกกันเอาไว้

อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์รวบอำนาจของ”บิ๊กตู่”ดังกล่าวจะสำเร็จตามแผนหรือไม่ รัฐบาลเรือเหล็กลอยอยู่ท่ามกลางเสียงปริ่มน้ำได้นานแค่ไหน กาลเวลาเท่านั้นจะบทพิสูจน์

“เดือด โดน ดัง” เกือบ”พัง” จับลีลาความเป็นที่สุดของการแถลงนโยบายต่อสภา

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/politic/analysis/596104

  • วันที่ 27 ก.ค. 2562 เวลา 21:12 น.

"เดือด โดน ดัง" เกือบ"พัง" จับลีลาความเป็นที่สุดของการแถลงนโยบายต่อสภา

ดี เด่น ดัง เดือดดาล หลากหลายพฤติกรรมจากการประชุมสภาเพื่ออภิปรายนโยบายรัฐบาล

……………………….

โดย โพสต์ทูเดย์เอ็กคลูซีฟ

เก็บฉากกันไปแล้ว สำหรับการประชุมรัฐสภาในวาระแถลงนโยบายรัฐบาล ที่ห้องประชุมชั่วคราว อาคารทีโอที แจ้งวัฒนะ

แม้บรรยากาศโดยภาพรวมจะเป็นไปด้วยความเรียบร้อย แต่จากการประชุมรัฐสภา ในยุคที่เพิ่งได้รับการเลือกตั้ง ตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ปี2560

ผู้นำการแถลง อย่างพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ผู้อภิปรายทั้งส.ส.ฝ่ายค้านและส.ส.ฝ่ายรัฐบาล รวมถึงสว.ที่ได้รับการจิ้มเลือกมาจากคสช. ก็อาจถือว่า“ใหม่” สำหรับการประชุม

เมื่อนำมาคลุกเคล้ารวมตัวกันที่อาคารประชุมแห่งนี้ ทำให้บรรยากาศการประชุมเต็มไปด้วยสีสันต์และสาระประโยชน์

แม้ผู้แทนปวงชนชาวไทย จะมีทั้งคนหน้าเดิมๆ ทั้งอาวุโส และรุ่นใหม่ซิงๆก็ตาม สมควรได้รับการบันทึกไว้ในความเป็นที่สุดของการประชุมสภานัดนี้เช่นกัน

อันดับแรก “เดือดสุด” ปรอทแทบแตก ต้องยกให้ การอภิปรายของพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส อดีตผบ.ตร.ในฐานะหัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ลุกขึ้นอภิปรายในช่วงไพร์มไทม์หรือภายหลังสถานีโทรทัศน์เสนอข่าวภาคค่ำจบลง

ทั้งนี้ พรรคร่วมฝ่ายค้านตกลงปลงใจมอบเวลาดังกล่าวให้พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์เนื่องจากเป็นบุคคลที่เหมาะสุดในการขึ้นต่อกรกับนายกฯ เหมือนเป็นมวยคู่เอกที่ต้องชกในเวลาดังกล่าว ทุกสายตาประชาชนจะให้ความสนใจติดตาม

เป็นไปตามคาดของคอการเมือง พล.ต.อ.เสรีพิศุทธิ์ เปิดอภิปรายแบบบ้านๆโดยไม่ต้องอาศัยสคริปต์ ด้วยการพุ่งเป้าโจมตีไปที่“บิ๊กตู่” เป็นสำคัญ

ลักษณะแหย่รังแตนไปเรื่อยๆ เพราะรู้อยู่ว่าจุดอ่อน” บิ๊กตู่” คือเรื่องของการควบคุมอารมณ์

ปฏิบัติการ ยุแหย่ ต่อ ตี ตามสไตล์ อดีตนายตำรวจสายบู๊บรรลุเป้าหมาย ตั้งแต่กล่าวหารัฐบาลชุดนี้เข้ามาด้วยการโกงเลือกตั้ง จนส.ส.ฝ่ายรัฐบาลและสว.พิทักษ์” บิ๊กตู่” ต้องยกมือประท้วง ขอให้ถอนคำพูด แต่พล.ต.อ.เสรพิศุทธ์ไม่ถอนคำพูด  แถมเดินหน้าราวีหาสารพัดเรื่องโจมตี“บิ๊กตู่”

นายกฯไม่ใช่พระอิฐพระปูน เหมือนน้ำร้อนที่เดือดปุดๆดันฝากาน้ำร้อนกระเด็น เมื่อพล.อ.ประยุทธ์ ลุกขึ้นชี้หน้า นักเรียนนายร้อยรุ่นพี่ชื่อ” ตู่” เหมือนกัน ก่อนจะประกาศตัดสัมพันธ์ความเป็นรุ่นพี่กันเลยทีเดียว

ขณะที่บรรยากาศการประชุมชุลมุนวุ่นวายตามมา ทำให้” พรเพชร วิชิตชลชัย”ประธานที่ประชุมขณะนั้นต้องสั่งพักการประชุมชั่วคราว ก่อนจะกลับเข้าสู่การประชุมดำเนินไปตามปกติ

“โดนมากสุด” เห็นจะเป็นการทำหน้าที่ควบคุมการประชุมสภาของพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภาที่มารับไม้ต่อจากชวน หลีกภัย ประธานสภา

หากสังเกตให้ดี แทบทุกครั้ง” พรเพชร” ขึ้นทำหน้าที่จะเกิดรายการประท้วงกันวุ่นวายมากกว่าช่วงที่ ชวน หลีกภัย ทำหน้าที่ โดยเฉพาะเหตุการณ์ การประท้วง พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ให้ถอนคำพูด ถึงกับพรเพชรนั่งกุมขมับ ขอให้พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ อภิปรายให้จบเร็วๆ ถึงกับมีจังหวะหนึ่งที่สมาชิก เรียกร้องให้ พรเพชรลุกออกจากที่นั่งเสียเถอะ เพราะควบคุมการประชุมไม่อยู่ ชนิดน่าเห็นใจสุดๆ

ช่างเป็นเหตุบังเอิญเหลือเกิน ทุกครั้งที่พรเพชรขึ้นทำหน้าที่ เป็นช่วงเวลาเดียวกับการรับมือพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ อภิปราย

เช่นเมื่อครั้งการประชุมรัฐสภาเพื่อโหวตเลือกนายกฯ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ อภิปรายคุณสมบัตินายกฯในช่วงที่พรเพขรทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม พร้อมกับมีการยกมือประท้วงไม่ต่างกับคราวนี้เพียงแต่ครั้งนี้เดือดพล่านกว่า

กลายเป็นบุคคล“โด่งดัง”ทันที สำหรับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรบัญชีรายชื่อของพรรคอนาคตใหม่ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” ส.ส.หน้าใหม่ด้วยวัย 34 ปี เขาอภิปรายนโยบายรัฐบาล ทั้งชมติเตือนแนะนำรัฐบาล ถึงขนาด สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทยเอ่ยปากชม

ถิอเป็นส.ส.ทำการบ้านเตรียมการอภิปรายมาอย่างดีชวนให้ที่ประชุมต้องพยักหน้าตามไปกับข้อมูลของเขา

ไม่จำเป็นต้องใช้วาจาส่อเสียด จิกหัวด่าให้เจ็บแสบ แต่ด้วยการเรียงร้อยข้อมูลน่าเชื่อถือใส่ลีลาท่าทางเล็กน้อย ก็ทำให้ส.ส.หน้าใหม่รายนี้เป็นที่ถูกกล่าวถึง

ตัวอย่าง เช่น การแก้ปัญหาเกษตรกรที่มองว่ารัฐบาลติดกระดุมผิดเม็ด ซึ่งต้องเริ่มจากการให้เกษตรกรมีที่ดินทำกินเป็นอันดับแรก จากนั้นการสร้างผลผลิต ปลดเปลื้องหนี้สิน มีชีวิตอยู่ได้อย่างเป็นสุขก็จะตามมาเอง

หลังจากการอภิปรายเสร็จสิ้นบรรดาสื่อทีวีสารพัดช่อง ติดต่อขอสัมภาษณ์ เจ้าหน้าที่พรรครับสายแทบไหม้ต้องจัดคิวกันเลย เรียกว่าดังอย่างสร้างสรรค์

อีกรายน่าจะเป็น ศรัณย์วุฒิ ศรัณย์เกตุ ส.ส.พรรคเพื่อไทย จากจังหวัดอุตดิตถ์ ด้วยใบหน้านวล ไว้ทรงผมเรียบแป้ตั้งกระบังมีกันจอนไว้เคราพองามราวกับ เอลวิส สร้างความเด่นเมื่อขึ้นจอทีวี ยิ่งการอภิปรายด้วยน้ำเสียงหนักแน่น กระชับ เก็บกวาดทุกปัญหานโยบาย ถือว่า การอภิปรายครานี้สอบผ่าน

สุดท้าย “ความพัง” มักบังเกิดขึ้นกับนักการเมืองที่มาทำหน้าที่เป็นผู้แทนปวงชนชาวไทยบางคน ที่ยังไม่เคยหลุดออกจากการสร้างตัวเองออกจอด้วยการสรรหาวาทะต่ำตม มาอภิปรายหรือพยายามหลอกด่าคนโน้นคนนี้ ทำให้สภาที่ควรมีแต่ผู้มีวุฒิภาวะกลับกลายเป็นไร้วุฒิภาวะ

วาทกรรมเหน็บแนม โต้ตอบไปมา คงมีให้เห็นตั้งแต่ “ตัวประกอบห้าบาทสิบบาท” “สว.เลียบู้ททหาร” “ขี้ข้าโจร” ฯลฯ จนหวิดวางมวย

หนักเข้าก็มีการให้ข้อมูลเท็จสร้างความบิดเบือนนำไปสู่การเข้าใจผิดได้ เช่น พฤติกรรมส.ส.รายหนึ่ง ปล่อยข่าวออกสู่โลกโซเชี่ยลว่า“บิ๊กตู่” ขู่ยิงเสรีกลางสภา เป็นต้น

ทั้งๆที่ประชาชนติดตามชมการถ่ายทอดสด ผู้แทนในสภาได้รับฟังเนื้อหาเดียวกัน แต่ส.ส.รายดังกล่าวยังติดนิสัยตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จ ไม่น่าจะมาเป็นผู้แทนปวงชนชาวไทย แต่ควรเอาดีด้วยการไปเล่นตลกคาเฟ่มากกว่า

จึงไม่แปลก ที่ผู้คุมกฎอย่างชวน หลีกภัย ต้องอบรมสั่งสอน ด้วยวาทะกินใจ แด่ผู้เรียกว่า”สมาชิกสภาผู้แทนอันทรงเกียรติ”ว่า “ที่นี่ไม่ใช่สภาเด็กเล่น”