เช็กขุมข่ายประชาธิปัตย์ เสียงก้ำกึ่งหนุนไม่หนุนบิ๊กตู่

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/politic/analysis/586551

  • วันที่ 16 เม.ย. 2562 เวลา 19:29 น.

เช็กขุมข่ายประชาธิปัตย์ เสียงก้ำกึ่งหนุนไม่หนุนบิ๊กตู่

ทีมข่าวโพสต์ทูเดย์ออนไลน์

พรรคประชาธิปัตย์(ปชป.)ช่วงเวลานี้กลายเป็นหมู่บ้านกระสุนตก ถูกกระหน่ำรอบทิศทาง อันเนื่องมาจากจุดยืนทางการเมืองที่ไม่ชัดเจนว่า จะร่วมกับพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.)เพื่อสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตร อีกครั้ง หรือจะวางบทบาทเป็นฝ่ายค้านอิสระ

ทั้งนี้ พรรคประชาธิปัตย์ ตกอยู่ท่ามกลางการจับตามองของหลายฝ่ายเกี่ยวกับจุดยืนดังกล่าว เนื่องจากเป็นพรรคที่เก่าแก่ที่สุด ซึ่งเพิ่งจัดงานครบรอบ 73 ปีของการก่อตั้งพรรคไปเมื่อวันที่ 6 เมษายน ที่ผ่านมา รวมถึงจุดยืนระหว่างหาเสียงเลือกตั้ง ที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค ขณะนั้น ได้ประกาศไม่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรี เพราะเป็นการสืบทอดอำนาจ ขัดกับอุดมการณ์ของพรรคประชาธิปัตย์ แต่เมื่อ นายอภิสิทธิ์ ลาออก จากหัวหน้าพรรคแล้ว คำมั่นสัญญาดังกล่าวจะหมดไปกับนายอภิสิทธิ์ หรือจะยังผูกพัน เป็นอุดมการณ์คู่กับพรรคประชาธิปัตย์ หรือไม่อย่างไร

เรื่องนี้สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ มีความเห็นออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายแรกนำโดย นายถาวร เสนเนียม ว่าที่ส.ส.สงขลา ซึ่งแนบแน่นกับ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตเลขา กปปส.และผู้สนับสนุนพรรครวมพลังประชาชาติไทย เปิดตัวเคลื่อนไหวรวบรวมสมาชิกสาย กปปส.หนุน พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรี โดยให้เหตุผลว่า เพราะต้องการยืนตรงกันข้ามกับระบอบทักษิณ

ขณะที่อีกฝ่าย คือกลุ่ม นายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคและนายอภิสิทธิ์ รวมถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่ของพรรค “นิวเด็ม” (New Dem) ต่างต้องการให้พรรคประชาธิปัตย์ เป็นฝ่ายค้านอิสระ เนื่องจากประเมินว่า ในสภาวะการเมืองในปัจจุบัน หากประชาธิปัตย์ต้องการความนิยมกลับคืนมา พรรคต้องแสดงบทบาทในการตรวจสอบมากกว่าไปเป็นฝ่ายบริหาร

ความเห็นที่แตกต่างกันดังกล่าว ทำให้พรรคประชาธิปัตย์ซึ่งบอบช้ำมาจากการพ่ายแพ้การเลือกตั้ง ต้องระส่ำหนักเข้าไปอีก และมีแนวโน้มที่เกิดงูเห่าขึ้นในพรรคสูง ทางแกนนำพรรคบางส่วนพยายามหาทางออกเพื่อดับวิกฤติ เช่นตั้งเงื่อนไขกับพรรคพลังประชารัฐ ขอตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎรเพียงตำแหน่งเดียวให้นายบัญญัติ บรรทัดฐาน กรรมการสภาที่ปรึกษาพรรค แลกกับการไม่รับเก้าอี้รัฐมนตรี เพื่อให้เสียงโหวตของพรรคเป็นเอกภาพ ซึ่ง นายบัญญัติ ได้ออกมาปฏิเสธว่าเป็นข่าวปล่อย

ล่าสุด ข้อเสนอเรื่องการตั้ง “รัฐบาลแห่งชาติ” ที่กลายเป็นหมัน เมื่อพรรคการเมืองที่เป็นแกนของแต่ละขั้วออกมาคัดค้านโดยเฉพาะฝ่ายสนับสนุนบิ๊กตู่เป็นนายกฯถึงกับออกมาบอกว่าข้อเสนอนี้เป็นเกมขจัดบิ๊กตู่ออกจากเส้นทางนายกฯ จน นายเทพไท เสนพงศ์ ว่าที่ส.ส.นครศรีธรรมราช ผู้เสนอแนวคิดดังกล่าว รีบออกมาชี้แจงว่า เป็นเพียงข้อเสนอส่วนตัวไม่เกี่ยวกับพรรคประชาธิปัตย์

อย่างไรก็ตามในทางการเมือง แม้เวลานี้ พรรคประชาธิปัตย์ ถูกจัดรวมอยู่ในฝ่ายหนุน พล.อ.ประยุทธ์ ไปล่วงหน้าแล้ว ทว่า กลุ่มนายชวน นายอภิสิทธิ์ และกลุ่มคนรุ่นใหม่ ยังสงวนท่าที เพราะไม่ต้องการร่วมรัฐบาลกับ พล.อ.ประยุทธ์ แต่เพื่อไม่ให้เกิดแรงกระเพื่อมในพรรคมาก จึงพยายามใช้เวลาใช้กลไกของพรรคในการแก้ปัญหา คือให้คณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ชี้ขาด ก่อนให้ที่ประชุมส.ส.ให้ความเห็นชอบอีกที ตามข้อบังคับพรรค

ประเด็นที่ต้องจับตา คือการเลือกหัวหน้าพรรคและคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่(กก.บห.) แทนชุดเดิมที่ต้องพ้นสภาพเพราะนายอภิสิทธิ์ ลาออกจากหัวหน้าพรรค ซึ่งจะมีขึ้นหลังจากที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)รับรองผลการเลือกตั้งส.ส.วันที่ 9 พ.ค.ก่อน ซึ่งแน่นอนว่า เวลานี้ ต่างฝ่ายต่างเคลื่อนไหวเพื่อช่วงชิงที่นั่งในกรรมการบริหารพรรคถึง 41 ที่นั่ง โดย นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ กับ นายกรณ์ จาติกวณิช เป็นคู่ชิงเก้าอี้หัวหน้าพรรค

เมื่อสำรวจตรวจสอบขุมข่ายกำลังในพรรคประชาธิปัตย์เวลานี้ “จุรินทร์”เหนือกว่า”กรณ์” โดยเบื้องต้นองค์ประชุม ประกอบด้วย กก.บห.ชุดปัจจุบัน อดีต กก.บห. อดีตนายกรัฐมนตรี อดีตรัฐมนตรี ส.ส.ปัจจุบัน อดีต ส.ส. อดีตประธานสาขาพรรครวมถึงสมาชิกพรรคที่เป็นผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวมโหวตเตอร์ กว่า 300 คน ซึ่งตามข้อบังคับ กก.บห.ชุดรักษาการณ์ จะต้องมากำหนดน้ำหนักในการโหวตเป็นเปอร์เซ็นในแต่ละส่วนของโหวตเตอร์อีก

ทั้งนี้โหวตเตอร์ดังกล่าวส่วนใหญ่เป็นชุดเดิมที่เคยเลือก นายอภิสิทธิ์ เป็นหัวหน้าพรรค รวมถึงกก.บห. เมื่อวันที่ 11พ.ย.2561 ซึ่งครั้งนั้นปรากฎว่า สาย กปปส.ที่นำโดยนายถาวร และน.พ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ถูกล้างบาง ส่วนการเลือกตั้งครั้งนี้ นายถาวร พยายามจับขั้ว หนุนนายกรณ์ เป็นหัวหน้าพรรค จึงถูกมองว่า เป็นฝ่ายหนุนพล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯไปโดยปริยาย ทำให้ฝ่ายขั้วอำนาจเดิมในพรรค ตัดสินใจหนุน นายจุรินทร์ อย่างเต็มที่

ขณะที่ทางกลุ่มนายถาวร ยังมีช่องทางให้สู้ได้อีก หากพ่ายแพ้ในเวทีกรรมการบริหารพรรค นั้นคือเวที ที่ประชุมส.ส.ของพรรค ซึ่งเบื้องต้นมี 53 เสียง ซึ่งส่วนใหญ่ในเวลานี้ อยากเข้าร่วมรัฐบาลกับ พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งตามขั้นตอนตามข้อบังคับพรรค ในการมีมติเข้าร่วมรัฐบาลนั้น ที่ประชุมกรรมการบริหารพรรค 41 คน จะต้องลงมีมติก่อนว่าจะร่วมหรือไม่ร่วมรัฐบาล จากนั้นนำเข้าที่ประชุมร่วมกรรมการบริหารพรรคและส.ส.ให้ความเห็นชอบ ซึ่งต้องใช้เสียงส่วนใหญ่

ถึงนาทีนี้เสียงของทั้งสองฝ่ายยังก้ำกึ่ง จุดยืนของพรรคประชาธิปัตย์ จึงยังเป็นไปได้ทุกทางทั้งเข้าร่วม ไม่เข้าร่วมรัฐบาลกับบิ๊กตู่ รวมถึงการเป็นงูเห่า

สำหรับรายชื่อว่าที่ ส.ส.ปชป.เบื้องต้น 52 คน แบ่งเป็นส.ส.เขต33คนประกอบด้วย 1. นายชัยวุฒิ บรรณวัฒน์ จ.ตาก 2. นายวุฒิพงษ์ นามบุตร จ.อุบลราชธานี 3.น.ส.แนน บุณย์ธิตา สมชัย จ.อุบลราชธานี 4.นายสาธิต ปิตุเตชะ จ.ระยอง 5.นายบัญญัติ เจตนจันทร์ จ.ระยอง 6.นายธารา ปิตุเตชะ จ.ระยอง 7.น.ส.รังสิมา รอดรัศมี จ.สมุทรสงคราม 8.นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ จ.ราชบุรี 9. พ.ท.สินธพ แก้วพิจิตร จ.นครปฐม 10.นายอันวาร์ สาและ จ.ปัตตานี 11.นายมนตรี ปาน้อยนนท์ จ.ประจวบคีรีขันธ์ 12. นายประมวล พงศ์ถาวรา จ.ประจวบคีรีขันธ์ 13. นายเทพไท เสนพงศ์ จ.นครศรีธรรมราช 14.นายประกอบ รัตนพันธ์ จ.นครศรีธรรมราช 15.นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ จ.นครศรีธรรมราช 16. นายชัยชนะ เดชเดโช จ.นครศรีธรรมราช 17.น.ส.พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล จ.นครศรีธรรมราช

18. นายนริศขา นุรักษ์ จ.พัทลุง 19.นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย จ.ตรัง 20.น.ส.สุณัฐชา โล่สถาพรพิพิธ จ.ตรัง 21.นายชุมพล จุลใส จ.ชุมพร 22.นายสราวุธ อ่อนละมัย จ.ชุมพร 23.นางกันตวรรณ ตันเถียร จ.พังงา 24.นายสาคร เกี่ยวข้อง จ.กระบี่ 25.นายภานุ ศรีบุศยกาญจน์ จ.สุราษฎร์ธานี 26.นายวิวรรธน์ นิลวัชรมณี จ.สุราษฎร์ธานี 27.น.ส.วชิราภรณ์ กาญจนะ จ.สุราษฎร์ธานี 28.นายสมชาติ ประดิษฐพร จ.สุราษฎร์ธานี 29.นายสินิตย์ เลิศไกร จ.สุราษฎร์ธานี 30.นายธีรภัทร พริ้งศุลกะ จ.สุราษฎร์ธานี 31.นายเดชอิศม์ ขาวทอง จ.สงขลา 32 นายถาวร เสนเนียม จ.สงขลา 33. พ.ต.ต.สุรินทร์ ปาลาเร่ จ.สงขลา

ขณะที่ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ 19 คน ประกอบด้วย 1. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ 2. นายชวน หลีกภัย 3. นายบัญญัติ บรรทัดฐาน 4. นายเทอดพงษ์ ไชยนันทน์ 5. คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช 6. นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฐ์ 7. นายกรณ์ จาติกวณิช 8. นายจุติ ไกรฤกษ์ 9. นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ 10.นางศิริวรรณ ปราศจากศัตรู11. นายอิสสระ สมชัย 12. นายอัศวิน วิภูศิริ 13. นายเกียรติ สิทธีอมร 14. นายกนก วงษ์ตระหง่าน 15. นางศรีสมร รัศมีฤกษ์เศรษฐ์ 16. นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค 17.นายพนิต วิกิตเศรษฐ์18. นายอภิชัย เตชะอุบล 19. นายวีระชัย วีระเมธากุล

เจาะลึกเส้นทาง”บิ๊กโจ๊ก”ก่อนถูกเด้ง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/politic/analysis/585711

  • วันที่ 06 เม.ย. 2562 เวลา 15:12 น.
เจาะลึกเส้นทาง"บิ๊กโจ๊ก"ก่อนถูกเด้ง

วงการสีกากีรู้สึกช็อกไปตามกันกับคำสั่งสตช.สั่งเด้ง”บิ๊กโจ๊ก”พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผบช.สตม.ไปปฏิบัติราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการสำงานตำรวจแห่งชาติ

ทีมข่าวโพสต์ทูเดย์ออนไลน์

วงการสีกากีรู้สึกช็อกไปตามกันกับคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่เด้ง “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ไปปฏิบัติราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการสำงานตำรวจแห่งชาติ ทั้งนี้เนื่องจากบิ๊กโจ๊กถือเป็นนายตำรวจที่ใกล้ชิดกับพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ซึ่งว่ากันว่าบิ๊กโจ๊กคือผู้มีอำนาจอย่างแท้จริงในวงการแต่งตั้งตำรวจในยุคนี้

เส้นทาง พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ มีพื้นเพเป็นคนสงขลา บิดาเป็นนายตำรวจชั้นประทวนที่เคยทำงานใกล้ชิด พล.ต.ท.เสมอ ดามาพงศ์ อดีตผู้ช่วยอธิบดีกรมตำรวจ บิดา คุณหญิงอ้อ คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร อดีตภริยานายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี

“บิ๊กโจ๊ก” เรียนมัธยมที่โรงเรียนมหาวชิราวุธ จ.สงขลา สอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหารได้ รุ่นที่ 31 เป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่นที่ 47 ด้วยบุคคลิกและปฏิสัมพันธ์ กับผู้คนรอบกาย กลายเป็นที่มาของฉายา “โจ๊ก หวานเจี๊ยบ”

“ฉายาโจ๊ก หวานเจี๊ยบ น่าจะได้มาเพราะผมมีบุคลิกเป็นคน พูดจาเพราะจนได้รับฉายาดังกล่าว ซึ่งก็น่ารักดีครับ ไม่เสียหายอะไร เพราะเมื่อเป็นบุคคลสาธารณะการตั้งฉายาจึงเป็นเรื่องปกติ รับได้ทุกอย่างครับ”พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ระบุ

พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ เกิดเมื่อ วันที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2513 จะมีอายุ 60 ปีบริบูรณ์ในปี 2573 แต่เกิดหลังวันที่ 1 ตุลาคม ตามปฏิทินราชการจึงได้บวกเพิ่มอายุราชการอีก 1 ปี ไปเกษียณอายุราชการในปี 2574 นับจากวันนี้เหลืออายุราชการอีก 12 ปี

เส้นทางการเติบโตในอาชีพข้าราชการตำรวจ บิ๊กโจ๊ก เป็นรองสารวัตร ตั้งแต่ 1 กุมภาพันธ์ 2537 เป็นรองสารวัตรได้ 6 ปี 1 เดือน วันที่ 16 มีนาคม 2543 ขึ้นเป็นสารวัตร เป็นสารวัตรอยู่ 4 ปี 8 เดือน ก็ขยับเป็นรองผู้กำกับ เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2547 เป็นรองผู้กำกับการอยู่ 4 ปี ขยับเป็น ผู้กำกับ ติดยศ พ.ต.อ. เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2551 เป็นผู้กำกับการอยู่ได้ 4 ปี 1 เดือน ขึ้นเป็นรองผู้บังคับการ เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2555

ทั้งนี้ บิ๊กโจ๊ก ได้เป็น รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสงขลา บ้านเกิด ซึ่งได้รับมอบหมาย ให้ทำหน้าที่ ผู้บัญชาการศูนย์ปฏิบัติการตำรวจภูธรจังหวัดสงขลา ส่วนหน้า ดูแลพื้นที่ อ.จะนะ นาทวี สะบ้าย้อย และเทพา จ.สงขลา 4อำเภอพื้นที่สีแดงภัยความไม่สงบต่อเนื่องชายแดนใต้ ด้วยบทบาทหน้าที่ส่งให้รองผู้บังคับการหนุ่มในตอนนั้น ได้รับสิทธินับอายุราชการแบบทวีคูณ สำหรับใช้นับอาวุโสในการแต่งตั้งเฉกเช่นตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่เสี่ยงภัย 3 จังหวัดชายแดนใต้นายอื่นๆ

บิ๊กโจ๊ก ได้วันทวีคูณ 1 ปี 5 เดือน กับอีก 13 วัน ซึ่งเท่ากับเวลาที่ทำหน้าที่ผู้บัญชาการศูนย์ปฏิบัติการตำรวจภูธรจังหวัดสงขลา ส่วนหน้า นั่นคือนับเพิ่มอาวุโสจากวันปฏิบัติราชการจริง และ อานิสงส์จากวันทวีคูณ ทำ บิ๊กโจ๊ก ก้าวขึ้นเป็นผู้บังคับการประจำสำนักงานผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ทำหน้าประสานนายกรัฐมนตรี ติดยศ พล.ต.ต. ในปี 2558 เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2558 เมื่ออายุยังไม่ถึง 45 ปีเต็ม โดยได้รับการแต่งตั้งนอกวาระประจำปี ในยุค พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง เป็นผบ.ตร.

บิ๊กโจ๊ก ได้ทำหน้าที่นายตำรวจประสานงานใกล้ชิด พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณหรือ “บิ๊กป้อม” รองนายกรัฐมนตรี คุมสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหลังจากเป็นผู้บังคับการประจำฯไม่นาน ก็ขยับเป็นผู้บังคับการตำรวจท่องเที่ยว ในปี 2558 ผลงานโดดเด่น คือคดีจับบริษัททัวร์ ศูนย์เหรียญ ภาพลักษณ์ออกมาเดินหน้าชนปราบปรามธุรกิจท่องเที่ยวที่สงสัยเบี้ยวภาษีรัฐ ตามนโยบายรัฐบาล

กระทั่งวาระการแต่งตั้งประจำปี 2559 บิ๊กโจ๊ก ขยับเป็น ผบก.191 และได้ทำหน้าที่ชุดเฉพาะกิจ ตร. ปราบเด็กแว้นแก๊งซิ่ง ปราบโต๊ดเถื่อน จับค้ายาเสพติดออนไลน์ ส่งชุดปฏิบัติงานออกไปทั่วประเทศ จุดที่อยู่ส่งให้ บิ๊กโจ๊กงานออกตลอด

ถัดมาในปีเดียว ขึ้นแท่น รองผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว เพราะกฎหมายแต่งตั้งตำรวจขณะนั้น กำหนดว่าผู้บังคับการจะเลื่อนเป็น รองผู้บัญชาการได้ ต้องเป็นผู้บังคับการมาไม่น้อยกว่า 2 ปี ซึ่งบิ๊กโจ๊ก เป็นผู้บังคับการมา 2 ปี กับอีกไม่กี่เดือน ถือว่าผ่านเกณฑ์ แต่เวลาผ่านไปเพียงสัปดาห์เดียว มีการประชุม ก.ตร. อีกครั้ง วาระแต่งตั้งผู้บัญชาการ ถึงผู้บังคับการ ในหน่วยงานตามการปรับโครงสร้างใหม่ กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว ก.ตร.เห็นชอบ พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ โยกไปนั่งเป็นรองผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว

ท่ามกลาง เสียงฮือฮาเกิดขึ้นในแวดวงสีกากี นี่แหละ อภินิหารของจริง

บิ๊กโจ๊ก นั่งทำงานในตำแหน่ง รองผบช.ท่องเที่ยวเพียง 1 ปี แต่ก็โชว์ผลงานจับคดีดังๆเพียบ จนถูกขนานนามเป็น ผบ.ตร.ตัวจริง เพราะไม่ว่าคดีอะไรเป็นต้อง “บิ๊กโจ๊ก” ร่วมเอี่ยวทุกงาน กระทั่งมาถึงการแต่งตั้งนายพล วาระประจำปี 2561 ที่ผ่านมา ชื่อ พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ ก็ถูกคาดเดาไปนั่งเก้าอี้เป็น “ผบช.” หน่วยใหญ่ๆทั้ง กองบัญชาการตำรวจนครบาล(บช.น.) กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว(บช.ทท.) และสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง(สตม.)

ในที่สุดขยับติดยศ พล.ต.ท. ขึ้นเป็น ผบช.สตม. ด้วยวัย 48 ปีซึ่งถือว่าเป็นผู้บัญชาการที่หนุ่มที่สุด ทว่า จู่ๆเมื่อวันที่ 5 เมษายน2562 ได้มีคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เด้งบิ๊กโจ๊กไปปฏิบัติราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

อนาคตของบิ๊กโจ๊ก จากนี้ไปจะเป็นอย่างไรต้องตามกันอย่ากระพริบ

การเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ประชาธิปไตยของไทย: ตั้งไข่ได้ หรือ ล้มเหลว ?

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/politic/analysis/585614

  • วันที่ 05 เม.ย. 2562 เวลา 14:07 น.

การเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ประชาธิปไตยของไทย: ตั้งไข่ได้ หรือ ล้มเหลว ?

ถ้าเอาแต่จะเป็นกองเชียร์กันสุดลิ่มทิ่มประตู เราคงมีทางเลือกแค่สองทางระหว่าง ก้าวไปสู่ความสับสนวุ่นวายไร้ระเบียบ หรือ กลับไปสู่สังคมอำนาจนิยมอีก และก็จะวนเวียนกันอยู่เป็นวงจรอุบาทว์เช่นนี้ ไม่ได้ผุดได้เกิดกับเขาเสียที

********************

โดย ศ.ดร.ไชยันต์ ไชยพร นักวิชาการคณะรัฐศาสตร์ ภาควิชาการปกครอง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

นักวิชาการตะวันตกที่ศึกษาเกี่ยวกับปัจจัยที่จะช่วยให้สังคมหนึ่งเปลี่ยนผ่านไปสู่ประชาธิปไตยที่ตั้งมั่นได้สรุปประเด็นไว้อย่างน่าสนใจที่เราควรจะนำมาพิจารณาเพื่อประเมินสถานการณ์การเมืองที่กำลังครุกรุ่นขณะนี้

เริ่มจาก Rustow เสนอว่าปัจจัยที่เป็นเงื่อนไขสำคัญที่จำเป็นหนึ่งเดียวในการทำให้ประเทศประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนแปลงไปสู่ประชาธิปไตย คือ ปัจจัยความเป็นเอกภาพของชาติ (national unity)เท่านั้น

นอกเหนือจากนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับการเปลี่ยนผ่านจากการปกครองภายใต้ระบอบอำนาจนิยมไปสู่ประชาธิปไตยคือ ความเห็นพ้องต้องกันในหมู่ชนชั้นนำ และความเห็นพ้องต้องกันที่ว่านี้ก็คือ การยอมรับกติกาต่างๆ ใหม่ร่วมกัน

คำถามที่ควรถามคือ สังคมไทยมีเอกภาพของความเป็นชาติหรือไม่ ? และชนชั้นนำเห็นพ้องต้องกันกับกติกาที่กำลังใช้ร่วมกันขณะนี้มากน้อยแค่ไหน ?Terry Karlเห็นว่า “เราไม่สามารถมีประชาธิปไตยที่มีเสถียรภาพได้ หากในช่วงเปลี่ยนผ่าน มวลชนสามารถควบคุมเหนือชนชั้นปกครองเดิมแม้แต่ในช่วงเวลาสั้นๆ ก็ตาม”

ต่อประเด็นนี้ กล่าวได้ว่า ในช่วงห้าปีที่ผ่านมา สังคมไทยไม่ได้อยู่ในเงื่อนไขดังกล่าว เหตุผลที่ Karl กล่าวเช่นนี้ก็เพราะ พลังมวลชนมีความสำคัญต่อการโค่นล้มเปลี่ยนแปลง แต่หากไม่สามารถควบคุมมวลชนให้อยู่ในขอบเขต สังคมก็จะเข้าสู่สภาวะอนาธิปไตย

Myron Weiner เห็นว่า “แรงกดดันจากกลุ่มการเมืองฝ่ายซ้ายมักจะทำให้พัฒนาการประชาธิปไตยล้มเหลว เพราะการเคลื่อนไหวดังกล่าวมักจะยั่วยุให้เกิดกระแสอำนาจนิยมเผด็จการ”ต่อเงื่อนไขดังกล่าวนี้ พบว่า สถานการณ์ทางการเมืองไทยขณะนี้น่าจะเข้าข่ายอยู่นั่นคือ ปฏิกิริยาระหว่างกองทัพกับนักการเมืองพรรคอนาคตใหม่

Samuel Huntington เห็นว่า “โดยส่วนใหญ่ ระบอบประชาธิปไตยที่ยั่งยืนไม่ได้เกิดจากการสถาปนาโดยพลังมวลชน”เพราะการสถาปนาจัดตั้งจำเป็นต้องกระทำผ่านคณะบุคคล ข้อสรุปของ Daniel Levine ชี้ว่า บทเรียนที่ประจักษ์ชัดเจนจากประสบการณ์ที่ผ่านมาคือ “การเปลี่ยนผ่านในลักษณะอนุรักษ์นิยมจะอยู่ยั้งคงทนมากกว่า”

ขณะเดียวกัน แม้ว่า Rueschemeyerจะเชื่อว่า ประชาธิปไตยจะเกิดได้จากการขับเคลื่อนของ พลังชนชั้นแรงงาน แต่เขาก็ยังเห็นว่า กลุ่มพลังมวลชนที่สุดโต่งมีแนวโน้มสูง “ที่จะนำมาซึ่งปฏิกิริยาต่อต้านประชาธิปไตยที่เข้มแข็งทรงพลัง”

Juan Linz และ Larry Diamond กล่าวถึงหลายประเทศในละตินอเมริกาว่า “ถ้าเริ่มต้นโดยชนชั้นนำทางการเมืองเลือกการก้าวไปสู่ประชาธิปไตย….ก็จะเกิดกระแสค่านิยมประชาธิปไตยเกิดขึ้นตามมาในสาธารณะทั่วไป”ซึ่งก็คล้ายๆกับที่ Rustow ได้กล่าวถึงปัจจัยเรื่องชนชั้นนำ

ขณะที่ งานของ Robert Kaufman ที่ชี้ว่า ในการพัฒนาไปสู่ประชาธิปไตย “แรงกดดันจากข้างล่าง (ในที่นี้หมายถึงมวลชน) เป็นพลังปัจจัยร่วมที่มีค่าต่ำสุด และขณะเดียวกันก็เป็นปัจจัยสำคัญที่สุดที่ก่อให้เกิดการผนึกกำลังรวมตัวกันภายในกลุ่มอำนาจนิยม-ข้าราชการ”ซึ่งทัศนะของ Kaufman และนักวิชาการทั้งหลายที่กล่าวไปข้างต้นบ่งบอกอย่างชัดเจนถึงนัยสำคัญที่ว่า “หากจะให้การเปลี่ยนผ่านไปสู่ประชาธิปไตยประสบความสำเร็จ แรงกดดันจากมวลชนจะต้องมีลักษณะที่ปานกลางไม่รุนแรง (moderation)”

และแน่นอนว่า ปัจจัยเรื่องกระแสมวลชนขาดไม่ได้ แต่ไม่ได้เป็นปัจจัยสำคัญที่สุดอีกทั้งยังสามารถเป็นอุปสรรคได้ด้วย แม้ว่าข้อสังเกตดังกล่าวนี้จะฟังไม่เสนาะหูสำหรับนักขับเคลื่อนฝูงชน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันก็มีเหตุผลอยู่ไม่น้อย ขณะที่ Nancy Bermeo เห็นต่างจากนักวิชาการข้างต้น เธอยกตัวอย่างกรณีประเทศโปรตุเกสและสเปนมาโต้แย้ง และชี้ว่า ในกรณีการเปลี่ยนผ่านไปสู่ประชาธิปไตยของทั้งสองประเทศนี้หักล้างกรอบคิดข้างต้นเกือบจะทั้งหมด เพราะกระแสมวลชนที่รุนแรง (จนถึงนองเลือด) ต่างหากที่นำไปสู่ประชาธิปไตย ขณะที่กลุ่มชนชั้นนำทางการเมืองเดิมก็ไม่ยอมเสี่ยงที่จะยื้อหรือต้านกระแสมวลชนจนเกินไป

จากที่กล่าวไปข้างต้น ถ้าเชื่อฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับ Nancy Bermeo สังคมไทยไม่ควรปล่อยให้“มีแรงกดดันจากกลุ่มการเมืองฝ่ายซ้ายมากเกินไป เพราะจะทำให้เกิดปฏิกิริยาโต้กลับของกระแสอำนาจนิยมเผด็จการ”

คำว่ามากเกินไปนี้ต้องพึงพิจารณาในเชิงสัมพัทธ์ จะไปใช้เกณฑ์ของสังคมตะวันตกหรือสังคมอื่นไม่ได้ เพราะบางที การตอบโต้ของฝ่ายอนาคตใหม่จะดูไม่รุนแรงหรือเกินไปตามมาตรฐานตะวันตก ขณะเดียวกัน เราอาจกล่าวได้ว่า แรงกดดันจากฝ่ายซ้ายที่มากเกินไปนี้อาจจะไปเร่งปฏิกิริยาให้มีการผนึกกำลังรวมตัวกันภายในกลุ่มอำนาจนิยม-ข้าราชการได้อีกด้วย

คำว่า ซ้าย ในที่นี้ ไม่จำเป็นจะต้องเป็นสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ เพราะคำว่า ซ้าย หรือ ขวา ในแต่ละบริบทการเมืองของแต่ละสังคมในช่วงเวลาต่างๆกันก็มีนัยและจุดยืนที่ต่างกันไป

ที่สำคัญขณะนี้ ปัจจัยที่จะช่วยลดดีกรีความรุนแรงและปฏิกิริยาที่ว่านี้คือ บรรดากลุ่มชนชั้นนำหรือนักการเมืองพรรคต่างๆที่ต้องการจะเห็นสังคมไทยเปลี่ยนผ่านไปสู่ประชาธิปไตยที่ตั้งมั่นจะต้องช่วยกันเป็นสิ่งแวดล้อมที่ลดทอนความร้อนแรงในขณะนี้ รวมทั้งสื่อมวลชนเองก็จะต้องระมัดระวังที่จะนำเสนอข้อมูลข่าวสารด้วย

และถ้าผู้คนในสังคมไทยเล็งเห็นตามข้อสรุปจากการศึกษาของนักวิชาการที่กล่าวไปข้างต้นแล้ว จะต้องไม่สนับสนุนทั้งฝ่ายซ้ายหรือกองทัพให้มีปฏิกิริยาต่อกันที่รุนแรงจนเกินไป

แต่ถ้าเอาแต่จะเป็นกองเชียร์กันสุดลิ่มทิ่มประตู เราคงมีทางเลือกแค่สองทางระหว่าง ก้าวไปสู่ความสับสนวุ่นวายไร้ระเบียบ หรือ กลับไปสู่สังคมอำนาจนิยมอีก และก็จะวนเวียนกันอยู่เป็นวงจรอุบาทว์เช่นนี้ ไม่ได้ผุดได้เกิดกับเขาเสียที

ยุทธศาสตร์ปั่นกระแส”โกงเลือกตั้ง”

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/politic/analysis/585527

  • วันที่ 04 เม.ย. 2562 เวลา 16:30 น.

ยุทธศาสตร์ปั่นกระแส”โกงเลือกตั้ง”

“หลายคนตั้งคำถามว่า ถ้าพรรคเพื่อไทยและพรรคแนวร่วมได้คะแนนสูงสุดและเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล จะมีการปล่อยข่าวว่ามีการโกงเลือกตั้งหรือไม่”

********************

โดย ภุมรัตน์  ทักษาดิพงษ์   อดีตผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ

แม้ว่าการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2562 เสร็จสิ้นไปแล้ว ประชาชนพอจะรู้แล้วว่าพรรคใดได้ที่นั่งมากน้อยเพียงใด พรรคใดจะจับมือกันตั้งรัฐบาล พรรคใดจะเป็นฝ่ายค้าน แม้คะแนนสรุปสุดท้ายยังไม่ออกมาก็ตาม โดยทั่วไป เมื่อมีการเลือกตั้งแล้ว บ้านเมืองก็น่าจะสงบเรียบร้อย และเดินไปสู่รัฐบาลประชาธิปไตยที่มาจากการเลือกตั้ง เศรษฐกิจบ้านเมืองจะก้าวหน้า คนจะมาลงทุนมากขึ้น ต่างประเทศที่เคยตั้งแง่ว่ารัฐบาล คสช.ยังไม่เป็นประชาธิปไตยเพราะไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง คราวนี้ก็จะได้ฟื้นฟูความสัมพันธ์ปกติ กันเสียที

อย่างไรก็ดี สถานการณ์บนผิวน้ำดูเหมือนสงบราบเรียบ แต่กลับมีคลื่นใต้น้ำอยู่ตลอดเวลา เพราะ “คนทางไกล” ได้ปรับเปลี่ยนแผนตามสถานการณ์ตลอดเวลาเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ทางการเมืองโดยไม่คำนึงว่าประเทศจะเสียหายมากน้อยเพียงใด หลังจากที่ “ภาพจำลองดีที่สุด” ที่คิดไว้ผิดพลาดจาก “ปรากฎการณ์ 8 กุมภาพันธ์” ก็ต้องงัดแผนสำรองออกมา คือ พรรคเพื่อไทยและพรรคแนวร่วมทั้งหลายได้คะแนนมากที่สุดเพื่อจัดตั้งรัฐบาล มีนายกรัฐมนตรีที่ตนเองควบคุมสั่งการได้ เพื่อใช้ “ต่อรอง” ในเรื่องต่าง ๆ ที่เป็น “ผลประโยชน์สำคัญยิ่ง” ของเขา

คนที่สนใจติดตามข่าวสารด้านการเมืองและบ้านเมือง “การสังเกตการณ์” ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญที่สุดที่ต้องมี สิ่งที่เราสังเกตและถูกนำมาประมวลเข้าด้วยกันอาจบอกแนวโน้มและทิศทางที่จะเกิดขึ้นได้ ทำให้เราอ่านสถานการณ์ออก แม้ไม่ถูกทั้งหมดแต่ก็ไม่ผิดนัก ทำให้เราสามารถวางแผนป้องกันและแก้ไขให้เสียหายน้อยที่สุดได้

ท่านสังเกตหรือไม่ว่า ทำไมจึงมีการปล่อยข่าวจากฮ่องกงว่ามีการโกงการเลือกตั้งตั้งแต่การเลือกตั้งยังไม่สิ้นสุด อาทิ การให้สัมภาษณ์ บี.บี.ซี.ว่ามีการโกงเลือกตั้ง มีการส่งบทความไปลงในนิวยอร์คไทม์กล่าวหาว่ามีการโกงการเลือกตั้ง ฝรั่งที่อ่านบทความนี้ย่อมเคลิบเคลิ้มและเห็นด้วยว่าการเลือกตั้งในเมืองไทยคงเต็มไปด้วยการโกงกันมโหฬาร จากนั้น มีการให้สัมภาษณ์สื่ออื่นอีก สถานทูตตะวันตกบางแห่งใน กทม. ที่สนับสนุนนักการเมืองคนนี้ตลอดมาได้ออกแถลงการณ์สอดรับกัน เพราะหากพรรคนี้ได้เป็นรัฐบาล ข้อตกลงผลประโยชน์เชืงยุทธศาสตร์ที่จะได้ก็ง่ายขึ้น

หลายคนตั้งคำถามว่า ถ้าพรรคเพื่อไทยและพรรคแนวร่วมได้คะแนนสูงสุดและเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล จะมีการปล่อยข่าวว่ามีการโกงเลือกตั้งหรือไม่

นี่เป็นยุทธศาสตร์การ “ปั่นกระแส”และสร้าง “อารมณ์”ของคนโดยพยายามใช้ “ โกงการเลือกตั้งแบบปี 2500” เป็นต้นแบบ ที่นิสิตนักศึกษาประชาชนออกมาชุมนุมคัดค้านรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงครามและ พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ ที่โกงการเลือกตั้ง แต่คนที่ปั่นกระแสคงไม่ต้องการให้จบแบบสันติแบบปี 2500 แต่หวังผลให้จบแบบ 14 ตุลา 16 มากกว่า ที่นิสิตนักศึกษาถูกยิงเสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก เพื่อขัดขวาง “การสืบทอดอำนาจของเผด็จการทหาร” ที่เป็นวลีที่สร้างขึ้นมาเพื่อโจมตีรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งเท่ากับใช้ชีวิตของคนบริสุทธิ์เป็นเหยื่อเพื่อให้บรรลุซึ่งวัตถุประสงค์ทางการเมืองดังที่เคยทำมาแล้ว

บางคนอาจตั้งคำถามว่า “จินตนาการมากไปหรือเปล่า”ก็ขอย้อนกลับมาเรื่อง “การสังเกต” อีกครั้งหนึ่ง เมื่อทางฮ่องกงพูดการเลือกตั้งครั้งนี้เปรียบเสมือน “ โกงการเลือกตั้งปี 2500” ปรากฏว่า แกนนำพรรคเพื่อไทยหลายคน (ข่าวของหนังสือพิมพ์รายวันหลายฉบับ) ได้ออกมาขานรับโดยแสดงความห่วงใยและชี้นำว่า การเลือกตั้งครั้งนี้คล้ายกับโกงการเลือกตั้งปี 2500 และขอให้ดูสื่อออนไลน์ “เดอะ สแตนดาร์ด”ที่เล่นข่าววันครบรอบการจัดตั้งหนังสือพิมพ์ “เดลีนิวส์” เมื่อ 28 มีนาคม 2592 โดยเอาภาพข่าวที่นิสิตนักศึกษาออกมาในท้องถนนเพื่อต่อต้านการโกงการเลือกตั้งปี 2500 คล้ายกับจะสื่อถึงนิสิตนักศึกษาขณะนี้ให้ออกมาแบบปี 2500 รวมทั้งมีสื่อออนไลน์ของคนบางกลุ่มเล่นเรื่องนี้ด้วย

ครั้งนี้ เขามุ่งที่จะใช้ “พรรคการเมืองหนึ่ง”เป็น “เครื่องมือ”ในการกระตุ้นคนหนุ่มสาวให้ลุกขึ้นมาต่อต้าน เพราะพรรคนี้มีขีดความสามารถสูงผ่านสื่อโซเชียล ที่สามารถระดมคนได้นับหมื่นนับแสนได้ในเวลารวดเร็วจากการที่เคยติด “แฮชแท็ก”จนติดอันดับหนึ่งมาหลายครั้ง คนวางแผนมีวิธีการยั่วยุให้ฝ่ายทหารใช้ความรุนแรง โดยใช้ชีวิตของคนหนุ่มสาวที่บริสุทธิ์เป็นเหยื่อ ดังนั้น คนหนุ่มสาวต้องมี“สติ” และ “ปัญญา” พิจารณาอย่างรอบคอบ พรรคคนหนุ่มสาวซึ่งได้ที่นั่งจากการเลือกตั้งครั้งนี้อย่างท่วมท้นต้องไม่ตกเป็น “เหยื่อ”ของแผนชั่วร้ายนี้ ในเมื่อประชาชนได้แสดงเจตนารมณ์ให้พรรคเป็นตัวแทนในการทำให้นโยบายที่เสนอต่อประชาชนระหว่างการหาเสียงให้บรรลุผลผ่านทางกระบวนการรัฐสภา

ขอให้สังเกตต่อไปว่า การที่ผู้บัญชาการทหารสูงและผู้บัญชาการเหล่าทัพ และ ผบ.ตร.ได้ปรากฎตัวต่อสาธารณะชนพร้อม ๆ กัน โดย ผบ.ทสส.เป็นผู้แถลงถึงเหตุการณ์บ้านเมือง ต่อมา นายกรัฐมนตรีได้มีสาส์นถึงประชาชนเป็นกรณีพิเศษ ตามด้วยผู้บัญชาการทหารบก ไม่ใช่เป็นเรื่อง บังเอิญ ถ้าไม่ใช่เรื่องร้ายแรงจริง ๆ ท่านทั้งหลายคงไม่ออกมา สิ่งที่นายทหารใหญ่ได้ทำแสดงว่า เป็นการส่งสัญญานไปยังคนที่คิดไม่ดีกับชาติบ้านว่า รู้นะว่าคิดอะไรอยู่ และจงอย่าทำอะไรอย่างที่คิด กองทัพพร้อมที่จะปกป้องเอกราช อธิปไตย ผลประโยชน์ของชาติและความมั่นคงของชาติอย่างเต็มที่

เมื่อประชาชนได้แสดงเจตนารมณ์ของตนผ่านการเลือกตั้งไปแล้ว ประชาชนก็หวังว่า บ้านเมืองจะสงบสุข ไม่มีเรื่องร้าย ๆ เกิดขึ้น ใครที่คิดและทำไม่ดีต่อบ้านเมือง จะได้รับการประณามและต่อต้านจากประชาชนจนถึงที่สุด ขณะเดียวกัน ประชาชนก็ต้องไม่ตกเป็น “เหยื่อ”ทางการเมืองของคนที่คิดไม่ดีกับบ้านเมือง

มองภาพรัฐบาลหลังเลือกตั้ง “เสียงปริ่มน้ำ-ขาดเสถียรภาพ”

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/politic/analysis/585246

  • วันที่ 01 เม.ย. 2562 เวลา 18:59 น.

มองภาพรัฐบาลหลังเลือกตั้ง "เสียงปริ่มน้ำ-ขาดเสถียรภาพ"

ส่องภาพรัฐบาลใหม่หลังเลือกตั้งผ่านสายตานักวิชาการ แนวโน้มเป็นรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ-อายุสั้น

แม้จะยังไม่ชัดเจนว่า พรรคการเมืองใดบ้างที่จะจับมือร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลเป็นผลสำเร็จ แต่หากพิจารณาจากสถานการณ์การเมืองขณะนี้ก็อาจพอประเมินได้ว่า รัฐบาลชุดใหม่หลังเลือกตั้งอาจเป็นรัฐบาลที่มีเสียงปริ่มน้ำค่อนข้างสูง

นิพนธ์ พัวพงศกร นักวิชาการเกียรติคุณ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) กล่าวในงานเสวนา Thammasat Economic Focus (TEF) ครั้งที่ 16 และสัมมนาชุด 70 ปี เศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ เรื่อง “เดินหน้าเศรษฐกิจไทยหลังการเลือกตั้ง”ว่า ความเป็นไปได้ในการจัดตั้งรัฐบาลแม้พรรคเพื่อไทยและพรรคการเมืองอื่นรวมคะแนนเสียงกันแล้วจะได้ประมาณ 252 เสียง ถึงแม้จะเกิดกรณีมีเสียงสนับสนุนจาก ส.ว.ที่เป็นงูเห่า 144 เสียง ก็ยังมองว่าเป็นไปได้ยากที่จะจัดตั้งรัฐบาลได้ หรือหากรวมพรรคการเมืองอื่นๆก็เชื่อว่า ยังไม่มีเสถียรภาพ

ส่วนฝั่งพรรคพลังประชารัฐนั้น หากจับมือกับพรรคการเมืองที่เหลืออาจมีคะแนนเสียงเพียง 248 เสียง ยังไม่เพียงพอจัดตั้งรัฐบาลได้ เว้นแต่สามารถดึง ส.ส.ในซีกฝั่งที่สนับสนุนพรรคเพื่อไทย หรืองูเห่าได้ แต่ก็เชื่อว่า รัฐบาลจะขาดเสถียรภาพและอาจมีการเลือกตั้งใหม่ในไม่ช้า

นิพนธ์ ยกตัวอย่างว่า หากพรรคพลังประชารัฐจัดตั้งรัฐบาลได้ สิ่งที่ต้องดำเนินคือ สร้างความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจให้กับภาคเอกชนและประชาชน ด้วยการสานต่อนโยบายอีอีซี ส่งเสริมให้เกิดการลงทุนจากเอกชนและต่างประเทศเพิ่มขึ้น พร้อมทั้งควรมีการบูรณาการนโยบายในส่วนของพรรคร่วมรัฐบาล ให้รัฐบาลผสมสามารถจัดทำนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนให้มากที่สุด

“ควรจะสร้างโอกาสในการทำมาหากินให้กับประชาชนหรือธุรกิจขนาดเล็ก ซึ่งต้องมีแผนงานและโครงการที่ทำให้ประชาชนมีงานที่ดีขึ้น”นักวิชาการจากทีดีอาร์ไอระบุ

ลดความเหลื่อมล้ำนโยบายที่รัฐบาลใหม่ต้องเร่งดำเนินการ

นิพนธ์ มองว่า นโยบายด้านสวัสดิการ ถือว่าสิ่งที่สำคัญที่รัฐบาลหลังการเลือกตั้งต้องดำเนินการ โดยต้องคัดเลือกนโยบายขั้นพื้นฐานที่สำคัญที่รัฐมีงบประมาณเพียงพอและไม่เป็นการก่อหนี้เพิ่ม รวมถึงต้องมีการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำทางรายได้ ซึ่งพบว่า คนจนสุดมีอยู่ 5% ซึ่งแก้ด้วยเรื่องสวัสดิการ และคนรวยสุดมี 1% ซึ่งควรมีหาแนวทางทบทวน เช่น เรื่องการคิดภาษีที่ดินใหม่

นอกจากนี้ควรมีการสร้างโอกาสกระจายการเติบโตทางเศรษฐกิจ ควบคู่ไปกับนโยบายการพัฒนาพื้นที่ โดยอาจจะใช้แนวคิดบุรีรัมย์โมเดล มาเป็นต้นแบบในการพัฒนาเศรษฐกิจตามศักยภาพของแต่ละภูมิภาค

ด้าน อภิชาต สถิตนิรมัย อาจารย์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ วิเคราะห์สิ่งที่เห็นภายหลังการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 24 มี.ค. ที่ผ่านมาว่า ยังมีความพยายามไม่ยอมรับถึงการเปลี่ยนแปลงของสังคม ซึ่งรัฐธรรมนูญ 2560 พยายามออกแบบให้การเมืองย้อนกลับไปในอดีตในยุคช่วงปี 2530 เพื่อให้เกิดรัฐบาลผสมหลายพรรค

“เป็นการสะท้อนให้เห็นว่า ยังเป็นการเมืองแบบเก่าที่เน้นที่ตัวบุคคล ซึ่งพรรคพลังประชารัฐถือว่าเป็นพรรคที่ลงทุนไปมาก แต่ยังไม่สามารถชนะขาดได้ และส่วนใหญ่ชนะในเขตที่ยังไม่มีเจ้าถิ่นชัดเจน โดยได้ ส.ส.จากพลังดูดประมาณ 33% จาก 7.9 ล้านเสียง”อภิชาต กล่าว

ในส่วนของพรรคเพื่อไทย แม้จะคะแนนเสียงโดยรวมลดลง แต่ยังถือว่าได้บุญเก่าโดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน พร้อมกับการมาของพรรคใหม่ อย่างพรรคอนาคตใหม่ ที่สามารถครอบครองคะแนนเสียงในเขตเมืองและกลุ่มคนรุ่นใหม่ได้

รัฐบาลใหม่อาจมีอายุเพียง 6 เดือน ถึง 1 ปี

เขาวิเคราะห์การจัดตั้งรัฐบาลโดยไม่คิดถึงเรื่อง ส.ส.งูเห่าว่า อาจจะเกิดรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำโดยการนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หรืออาจเป็นลักษณะเสียงข้างน้อย ซึ่งเชื่อว่า อายุรัฐบาลอาจอยู่ได้เพียง 6 เดือนถึง 1 ปีเท่านั้น

หากเป็นรัฐบาลในลักษณะนี้ พล.อ.ประยุทธ์จะต้องรับมือกับการถูกต่อรองตำแหน่งทางการเมืองจากคนในพรรคพลังประชารัฐ หรือแม้แต่พรรคที่ได้เพียง 1 เสียง และอาจต้องยกกระทรวงเกรดเอให้กับพรรคภูมิใจไทย เพื่อให้มาเข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาล ทำให้นายกรัฐมนตรีมีอำนาจน้อยมากในการควบคุมคณะรัฐมนตรี

ทั้งนี้จะส่งผลให้การขับเคลื่อนนโยบายไร้ประสิทธิผล ผลงานที่ออกมาอาจเป็นเพียงมาตรการเฉพาะหน้าต่างๆ ที่ต้องทำตามสัญญา หรืออาจไม่มีผลงานด้านเศรษฐกิจที่โดดเด่น และไม่สามารถแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างได้เพราะอาจมีการขัดผลประโยชน์ในฝั่งพรรคร่วมรัฐบาล ส่งผลให้รัฐบาลอ่อนแอ ขาดความชอบธรรม อายุของรัฐบาลสั้นลง ซึ่งทั้งหมดสาเหตุมาจากรัฐธรรมนูญปี 2560 ที่ทำให้เกิดสายตาสั้นทางการเมือง แต่เชื่อว่า จากนี้ไปจะเริ่มมองเห็นกับดักของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ และทำให้สังคมตาสว่างมากขึ้น

ภาคเอกชนเรียกร้องรัฐบาลใหม่เร่งเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันประเทศ

ขณะที่ เจน นำชัยศิริ อดีตประธาน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า สิ่งที่ภาคธุรกิจให้ความสนใจที่สุด คือความมีเสถียรภาพทางการเงินและการคลัง ซึ่งยังเชื่อว่าไทยจะไม่ประสบปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจเหมือนในประเทศเวเนซูเอล่า หรือปัญหาความวุ่นวายเหมือนในประเทศฝรั่งเศส ซึ่งหากพรรคการเมืองใดเลือกใช้นโยบายประชานิยมปูทางเพื่อหวังผลในการเลือกตั้งครั้งหน้าอีก อาจส่งผลทำให้เสียวินัยการเงินการคลัง เชื่อได้ว่า ความเชื่อมั่นในภาพรวมของการเงินการคลังจะหายไป ซึ่งอาจส่งผลให้เงินทุนไหนออกนอกประเทศได้

นอกจากนี้ ต้องการให้รัฐบาลเร่งเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศ ทั้งในเรื่องการพัฒนาบุคลากรด้วยการศึกษา แก้ปัญหาเรื่องการคอร์รัปชั่น และการแก้ไขกฏกติกาเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับการประกอบธุรกิจมากขึ้น ซึ่งถือเป็นเรื่องที่น่าเสียดายที่นโยบายหาเสียงของแต่ละพรรรคการเมืองไม่ได้มีการพูดถึงเรื่องเหล่านี้มากนัก และอยากให้มีการปฏิรูประบบราชการให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

อดีตประธาน ส.อ.ท. ยอมรับว่า รัฐบาลหลังการเลือกตั้งอาจมีปัญหาเรื่องการออกกฏหมายใหม่ๆ ที่อาจผ่านการพิจารณาของรัฐสภายากขึ้น เพราะคาดว่าคะแนนเสียงทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านจะใกล้เคียงกัน

ดัน “บิ๊กตู่”นั่งนายกฯ ตั้งได้แต่เดินไม่ได้

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/politic/analysis/584902

  • วันที่ 29 มี.ค. 2562 เวลา 08:24 น.

ดัน "บิ๊กตู่"นั่งนายกฯ ตั้งได้แต่เดินไม่ได้

โดย…ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์

การขับเคี่ยวรวมเสียงจัดตั้งรัฐบาลระหว่าง “เพื่อไทย” และ “พลังประชารัฐ” ยังคงเป็นไปอย่างดุเดือด เมื่อต่างฝ่ายต่างชิงจังหวะสร้างความได้เปรียบและหาเสียงสนับสนุนให้ได้มากที่สุด ในช่วงที่คะแนนของทั้งสองฝั่งยังคู่คี่สูสีจนยากจะบอกได้ว่าผลสุดท้ายจะออกมาเช่นไร

แต่หากพิจารณาจากปัจจัยแวดล้อมต่างๆ สถานการณ์ฝั่ง “พลังประชารัฐ” ย่อมถูกมองว่ามีความได้เปรียบมากกว่า คู่แข่งอยู่พอสมควร เมื่อมีเสียงจาก 250 สว.เฉพาะกาล ที่พร้อมจะยกมือ สนับสนุนเลือก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แคนดิเดตจากพรรคพลังประชารัฐเป็นนายกรัฐมนตรีต่ออีกสมัย

ดังนั้น ต่อให้พรรคเพื่อไทยร่วมกับพรรคฝ่ายประชาธิปไตย อย่าง พรรคอนาคตใหม่ เศรษฐกิจใหม่ เสรีรวมไทย เพื่อชาติ ประชาชาติ จะร่วมกันประกาศ สัญญาประชาคมหยุดยั้งการสืบทอดอำนาจของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ผนึกกำลัง 255 ที่นั่ง คัดง้างการจัดตั้งรัฐบาลของฝั่งพลังประชารัฐ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายในกลไกที่ถูกออกแบบให้ สว.เข้ามามีส่วนร่วมเลือกนายกรัฐมนตรี

เมื่อด้านหนึ่งการที่ฝั่งเพื่อไทยสามารถรวมเสียงจนได้เกินกึ่งหนึ่งพอ จะสามารถตั้งรัฐบาลได้ แต่ในทางปฏิบัติก็ยังไม่อาจผลักดันคนที่ตัวเองต้องการ ไม่ว่าจะเป็น  คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ หรือชัยเกษม นิติสิริ  ซึ่งเป็นแคนดิเดตของพรรคเพื่อไทย  หรือแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคอื่นได้สำเร็จหากไม่สามารถได้รับเสียงสนับสนุนจาก 250 เสียงของ สว.

ตรงกันข้ามกับฝั่งพลังประชารัฐที่ต่อให้รวมเสียง สส.ในสภาได้น้อยกว่า คู่แข่ง แต่ก็ยังสามารถพลิกเกมไปจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย ด้วยการดึงเสียงจาก 250 สว.มาสนับสนุน ในขั้นตอนการเลือกนายกรัฐมนตรี เพื่อเปิดทางการ จัดตั้งรัฐบาลต่อไป

แต้มต่อเรื่องเสียง 250 สว.ในมือจึงเป็นเสมือนใบเบิกทางที่เอื้อให้การตั้งรัฐบาลของฝั่งพรรคพลังประชารัฐ ผลักดัน พล.อ.ประยุทธ์ ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีต่ออีกสมัยจึงเป็นไปได้ง่าย   แต่ในทางปฏิบัติจะมีความยุ่งยากในขั้นตอนหลังจากนั้น โดยเฉพาะกับการบริหารประเทศในฐานะรัฐบาลเสียง ข้างน้อย ที่ไม่มีเสียงสนับสนุนจาก 250 สว.มาประคับประคองในการลงมติของสภาผู้แทนราษฎร

อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ยังไม่มีความชัดเจนเรื่องคะแนนและจำนวนที่นั่งที่ทางคณะกรรมการการเลือกตั้งจะ ออกมาประกาศในวันที่ 9 พ.ค.นี้ การจะรีบประกาศความชัดเจนว่าใครจะได้เสียงข้างมาก ข้างน้อย จึงยังไม่อาจทำได้ เต็มที่นัก

ยิ่งหลังจากนี้ยังมีขั้นตอนที่ กกต.ต้องพิจารณาเรื่องร้องเรียนผู้สมัคร ที่ จะนำไปสู่การให้ใบเหลือง ใบแดง ใบส้ม ที่จะมีผลต่อจำนวนเก้าอี้ สส.ของแต่ละพรรค และกระทบต่อไปถึงการรวมเสียงจัดตั้งรัฐบาลในอนาคต เวลานี้จึงยังไม่อาจรีบด่วนสรุปอะไรได้

เพราะหากกรณีที่ฝั่งพรรคเพื่อไทยเกิดไม่ได้รับการรับรองหรือได้ใบแดง  ใบเหลือง ใบส้ม ย่อมทำให้เสียงที่เคยรวมกันได้เกิน 250 เสียง ถูกปรับ ลดลงมา ก็อาจเสียความชอบธรรมในการเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลเหมือนที่เคยประกาศไปแล้วก่อนหน้านี้

ไม่ต่างจากฝั่งพรรคพลังประชารัฐ ที่หากผู้สมัครได้ใบเหลือง ใบแดง ย่อมมีผลทำให้จำนวนเสียงโดยรวมลดลงไป ซึ่งจะกลายเป็นการซ้ำเติมการบริหารประเทศในระยะยาว เริ่มตั้งแต่การพิจารณาแถลงนโยบาย การอภิปรายงบประมาณรายจ่ายประจำปี ไปจนถึงการพิจารณากฎหมายสำคัญในแต่ละเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องง่ายกับการคุมเสียงปริ่มน้ำ หรือเสียงข้างน้อยให้โหวตผ่านญัตติต่างในสภาได้

อีกด้านหนึ่งที่ห่วงกันว่าจะเกิด “งูเห่า” ในอนาคตนั้น แม้จะมีความเป็นไปได้ด้วยการต่อรองผลประโยชน์ต่างๆ แต่ในขณะที่สังคมกำลังเฝ้าติดตามการปฏิบัติหน้าที่ของบรรดา สส.จากพรรคต่างๆ อย่างใกล้ชิด แม้จะเป็นเอกสิทธิ์ของ สส.กับการโหวตด้วยวิจารณญาณของตัวเอง ไม่ต้องอิงกับมติพรรค แต่การจะพลิกไปโหวตให้กับขั้วตรงข้ามแบบไม่มีเหตุผลเพียงพอย่อมหนีไม่พ้นต้องถูกมองว่ามีเรื่องผลประโยชน์เข้ามาแอบแฝง

แรงกดดันจากสังคมจึงอาจทำให้ยาก ที่จะเกิดสภาพงูเห่าอย่างที่คาดการณ์ และยิ่งจะทำให้การบริหารงานของรัฐบาลเป็นไปได้ยากลำบาก

ยังไม่รวมถึงเสียงสนับสนุนจากประชาธิปัตย์ ซึ่งแม้ในการเลือกตั้งรอบนี้จะแพ้แบบหลุดลุ่ยจนสูญเสียอำนาจการต่อรอง แต่ด้วยเสียงมากกว่า 60 เสียง ย่อมมีผลต่อทิศทางการจัดตั้งรัฐบาล  ไม่ว่าจะเทไปสนับสนุนฝั่งใดฝั่งหนึ่ง

ดังจะเห็นว่าเวลานี้ ภายในพรรคประชาธิปัตย์เองก็มีความคิดเห็นแตกออกเป็นสองฝ่าย โดยฝ่ายหนึ่งเห็นควรที่จะคงจุดยืนไม่สนับสนุนการสืบทอดอำนาจ เหมือนที่ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคเคยประกาศไปก่อนหน้านี้ อันสอดคล้องกับอุดมการณ์ของพรรค แม้อภิสิทธิ์ จะลาออกไปแล้วแต่พรรคก็ควรจะเดินหน้าไปตามอุดมการณ์ต่อไป และยอมเป็นพรรคฝ่ายค้านอิสระที่ไม่ขึ้นกับทางพรรคเพื่อไทย

ขณะที่อีกปีกหนึ่งสนับสนุนให้ร่วมเป็น พรรครัฐบาลกับพรรคพลังประชารัฐ เพื่อ สกัดการเข้าสู่อำนาจของฝั่งเพื่อไทย ซึ่ง สุดท้ายความเห็นที่แตกต่างกันนี้ย่อมทำให้ เสียงสนับสนุนที่เคยมองว่าประชาธิปัตย์อาจเทมาสนับสนุนพรรคพลังประชารัฐทั้งหมดอาจต้องลดจำนวนลงไป

ด้วยสภาพเสียงที่ปริ่มน้ำเวลานี้จึงเป็นข้อจำกัดที่ “บิ๊กตู่” ต้องเผชิญต่อไปและกลายเป็นปัจจัยสุ่มเสี่ยงในอนาคต ขึ้นอยู่ที่ว่าจะสามารถหาทางรับมืออย่างไรต่อไป

เสถียรภาพอ่อนแอ ไปไม่ตลอดรอดฝั่ง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/politic/analysis/584549

  • วันที่ 26 มี.ค. 2562 เวลา 07:11 น.

เสถียรภาพอ่อนแอ ไปไม่ตลอดรอดฝั่ง

โดย…ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์

แม้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จะยังไม่ประกาศหรือรับรองผลการเลือกตั้ง แต่ ณ ตอนนี้ปฏิเสธไม่ได้ว่าเริ่มเห็นหน้าตานายกรัฐมนตรีคนที่ 30 หน้าละม้ายคล้ายกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) คนปัจจุบันเข้าไปทุกที

พรรคพลังประชารัฐ มีจำนวนเก้าอี้ สส.เบียดสูสีกับพรรคเพื่อไทย โดยมีระยะห่างเพียงแค่หลักสิบต้นๆ เท่านั้น ซึ่งการนับคะแนนที่ยังไม่หยุดนิ่ง

ประกอบกับระบบการเลือกตั้งจัดสรร ปันส่วนผสม ย่อมมีผลให้ผลการเลือกตั้งพลิกไปพลิกมาได้ตลอดเวลา

ตราบใดที่พรรคเพื่อไทยไม่อาจมีจำนวนเก้าอี้ สส.ทิ้งขาดพรรคพลังประชารัฐไปได้ ถึงจะมีโอกาสฟอร์มรัฐบาลก่อน แต่มีความเป็นไปได้ที่จะไม่ประสบความสำเร็จ เพราะมีเสียงไม่พอ แบบนั้นโอกาสจะกลับมาเป็นของพรรคพลังประชารัฐทันที พร้อมกับเสียง สว.ที่หนุนหลังอยู่

จึงอย่าได้แปลกใจว่าทำไมผู้สันทัดกรณีจากหลายสำนักฟันธงตรงกันว่า พล.อ.ประยุทธ์ น่าจะเข้าเส้นชัยอย่างสวยงาม

อย่างไรก็ตาม การเลือกตั้งครั้งนี้ไม่ได้เป็นบทสรุปทางการเมือง แต่เป็นจุดเริ่มต้นของการเมืองบทใหม่ ภายหลังสิ้นสุดอำนาจการบริหารประเทศของ คสช.

ตามขั้นตอนของการเดินหน้าเข้า สู่ระบอบรัฐสภา จะเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ในการรับรอง สส.ให้ได้จำนวน 95% หรือ 475 คน จากทั้งหมด 500 คน ให้ได้ภายใน 60 วันนับแต่วันเลือกตั้ง ซึ่ง กกต.คาดว่าจะประกาศรับรองได้ในช่วงเดือน พ.ค. ทันกรอบเวลา 60 วันตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติ

เสร็จจากกระบวนการข้างต้น ภายใน 15 วันนับแต่วันประกาศผลการเลือกตั้ง สส. ให้มีการเรียกประชุมรัฐสภาเพื่อให้สมาชิกได้มาประชุมเป็นครั้งแรก ซึ่งการเปิดประชุมดังกล่าวจะเป็นการเริ่มต้นของสมัยประชุมของรัฐสภาที่สมัยประชุมรัฐสภาหนึ่งจะมีเวลา 120 วัน

เมื่อเปิดสมัยประชุมแล้วจะเข้าสู่ขั้นตอนของการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อเลือกประธานสภาในการทำหน้าที่เป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งนายกฯ ซึ่งประธานสภายังจะเป็นประธานรัฐสภาโดยตำแหน่งอีกด้วย โดยทันทีที่ได้ตัวประธานรัฐสภา กระบวนการเลือกนายกรัฐมนตรีจะเริ่มขึ้นเช่นกัน

จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ต้องยอมรับว่าพรรคพลังประชารัฐจะเป็นพรรคแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล เพื่อตั้งรัฐบาลผสมอย่างน้อย 5 พรรคการเมือง

ประกอบด้วย พรรคพลังประชารัฐ พรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทย พรรครวมพลังประชาชาติไทย พรรคชาติไทยพัฒนา ซึ่งจะมีเสียงเกิน 251 เสียงจาก สส.ทั้งหมด 500 คนไม่มากนัก

เรียกได้ว่าทั้งรัฐบาลและฝ่ายค้านต่างมีเสียงในสภาผู้แทนราษฎรสูสีกัน พอสมควร เพียงแต่ พล.อ.ประยุทธ์ ขึ้นมาเป็นนายกฯ ได้ด้วยแรงสนับสนุนจากวุฒิสภาตามบทเฉพาะกาลในรัฐธรรมนูญ

ทุกครั้งของการขึ้นมาเป็นนายกฯ  สิ่งที่ยากที่สุดไม่ได้อยู่ที่การฟอร์มรัฐบาล แต่เป็นการที่รัฐบาลจะอยู่อย่างไรภายใต้เสถียรภาพทางการเมืองที่ง่อนแง่นแบบนี้

การเปิดสมัยประชุมรัฐสภาไม่ต่างอะไรกับการเปิดสงครามทางการเมือง งานกลุ่มแรกที่รัฐบาลต้องเร่งดำเนินการ คือ การจัดทำนโยบายของรัฐบาลเพื่อแถลงต่อที่ประชุมรัฐสภา และการเสนอร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563

การแถลงนโยบายรัฐบาล แม้รัฐธรรมนูญกำหนดให้เป็นหน้าที่ของรัฐบาลและไม่ต้องผ่านการลงมติให้ความเห็นชอบจากรัฐสภา แต่การแถลงนโยบายของรัฐบาล จะเป็นการแสดงแสนยานุภาพของรัฐบาลว่าจะพาประเทศไทยเดินหน้าอย่างไรตลอด อายุของรัฐบาล 4 ปี

ส่วนการเสนอกฎหมาย งบประมาณประจำปี อย่างที่ทราบกัน ดีว่ากฎหมายงบประมาณเป็นเครื่องมือสำคัญของการบริหารประเทศ รัฐบาลจะไปรอดหรือไม่รอด ก็ขึ้นอยู่กับกฎหมายงบประมาณส่วนหนึ่ง

ที่สำคัญทั้งการแถลงนโยบาย ของรัฐบาลและการเสนอกฎหมาย งบประมาณ จะไม่ได้เป็นง่ายของ พล.อ.ประยุทธ์ และพรรคพลังประชารัฐ เหมือนกับที่เคยเสนอกฎหมาย ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)  อีกแล้ว

ทุกถ้อยคำในนโยบายรัฐบาลและกฎหมายงบประมาณ จะถูกฝ่ายค้านที่มีเสียงพอๆ กับรัฐบาล ชำแหละข้ามวันข้ามคืน ไม่ใช่การยกมือผ่านกฎหมาย งบประมาณด้วยเวลา 3 ชั่วโมงแบบที่ สนช.เคยทำให้เห็นมาก่อน

พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะนายกฯ คนที่ 30 จะมีเพดานความอดทนอดกลั้นต่อการอภิปรายของนักการเมืองอาชีพขนาดไหน เพราะตลอด 5 ปีล้วนแต่ฟัง คำหวานของสมาชิก สนช.มาตลอด

ขณะเดียวกันสมัยประชุมของรัฐสภาที่จะเปิดขึ้น หมายความว่ามี ความเป็นไปได้ที่จะได้เห็นฝ่ายค้านที่มีมากกว่า 200 เสียงเข้าชื่อกันเพื่อยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ตั้งแต่ปีแรกในการทำงานของรัฐบาล โดยไม่ให้รัฐบาลมีเวลาดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์แบบในอดีต

ยิ่งไปกว่านั้นรัฐมนตรีที่เป็น สส. ก็จะไม่สามารถโหวตลงมติไว้วางใจ ให้กับรัฐมนตรีในรัฐบาลได้ เพราะรัฐธรรมนูญกำหนดให้ สส.ต้องปราศ จากการขัดกันแห่งผลประโยชน์  เท่ากับว่าเสียงโหวตก็จะหายไป บางส่วนด้วย

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้น เพราะระหว่างทางยังมีเรื่องอีกมาก  และด้วยเสียงในสภาที่รัฐบาลมีไม่ เด็ดขาด โอกาสที่รัฐบาลจะอยู่ได้ ไม่นานก็มีความเป็นไปได้สูง

รธน.ซ่อนกลตั้งนายกฯเสี่ยงเกิดสุญญากาศ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/politic/analysis/584440

  • วันที่ 25 มี.ค. 2562 เวลา 06:51 น.

รธน.ซ่อนกลตั้งนายกฯเสี่ยงเกิดสุญญากาศ

โดย…ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์

ผ่านไปแล้วสำหรับการเลือกตั้งครั้งล่าสุดของประเทศไทยในรอบ 8 ปีนับตั้งแต่การเลือกตั้งเมื่อปี 2554 (ไม่นับการเลือกตั้งที่เป็นโมฆะเมื่อปี 2557) ภาพของคนไทยหลายสิบล้านคนที่ไปต่อแถวเข้าคิวเพื่อใช้สิทธิออกเสียง เป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นว่าคนไทยจำนวนไม่น้อยตื่นตัวกับประชาธิปไตยอย่างเห็นได้ชัด

อย่างไรก็ตาม นับจากนี้ไปมีหลากหลายความเคลื่อนไหวที่ต้องจับตากันเป็นพิเศษ เพราะมีผลต่อการกำหนดทิศทางทางการเมืองเป็นอย่างยิ่ง อย่างน้อย 3 เรื่อง

1.การเลือกตั้งจะเป็นโมฆะ หรือไม่ เป็นประเด็นที่มีการพูดถึงกันมาประมาณ 2 สัปดาห์แล้ว โดยเฉพาะเลือกตั้งล่วงหน้าเมื่อวันที่ 17 มี.ค.ที่ผ่านมา เนื่องจากสงสัยว่าจะนำมาสู่ความเป็นโมฆะของการเลือกตั้งหรือไม่ เช่น การแจกบัตรเลือกตั้งให้กับผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งผิดเขตเลือกตั้ง เป็นต้น

จากนี้ไปคงต้องรอดูว่าจะมีนักร้องไปยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) หรือผู้ตรวจการแผ่นดิน เพื่อส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้เด็ดขาดหรือไม่

2.การรับรองผลการเลือกตั้งรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 มาตรา 85 กำหนดให้ กกต.ต้องรับรองผลการเลือกตั้งให้ได้ สส.จำนวน 95% หรือ 475 คน จาก สส.ทั้งหมด 500 คน ภายใน 60 วันนับแต่วันเลือกตั้ง

ในระหว่างการพิจารณารับรองผลการเลือกตั้ง สส. กกต.มีอำนาจจะแจกใบเหลืองและใบส้ม เพื่อจัดให้มีการเลือกตั้งในบางเขตเลือกตั้งได้ เนื่องจากพบว่าการเลือกตั้งไม่ได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม

การแจกใบเหลืองหรือใบส้มที่ นำมาซึ่งการเลือกตั้งใหม่นั้น เท่ากับว่าจะมีผลต่อการนับคะแนนเพื่อคำนวณหาจำนวน สส.บัญชีรายชื่อด้วย หมายความว่าจำนวน สส.ของแต่ละพรรคอาจจะยังไม่นิ่งจนกว่า กกต.จะ ยุติการสอยผู้สมัคร สส.

3.การเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีเป็นวาระแห่งชาติที่คนไทยทุกคนรอคอยว่านายกรัฐมนตรีคนที่ 30 จะเป็นใคร ซึ่งคงหนีไม่พ้นแคนดิเดตนายกฯ จาก 5 พรรคการเมือง ได้แก่ พรรคพลังประชารัฐ พรรคเพื่อไทย พรรคประชาธิปัตย์ พรรคอนาคตใหม่ และพรรคภูมิใจไทย

นอกจากนี้ เรื่องชวนหัวของการเลือกนายกฯ เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่กำลังจะเป็นปัญหาเช่นกัน

การเลือกนายกรัฐมนตรี อย่างที่ทราบกันดีว่าจะเป็นการลงมติโดยที่ประชุมรัฐสภาจำนวน 750 คน ประกอบด้วย สส.จำนวน 500 คน และ สว.จำนวน 250 คน คนที่จะได้เป็น นายกฯ จะต้องได้รับเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา หรือ  376 เสียงจากทั้งหมด 750 คน

แต่ปัญหาของการเลือกนายกฯ คือ การที่รัฐธรรมนูญไม่ได้กำหนดกรอบเวลาเอาไว้ว่าประเทศจะต้องมีนายกรัฐมนตรีใหม่ภายในเวลาเท่าใด

กรอบเวลาภายหลังการเลือกตั้ง หาก กกต.ได้ประกาศรับรองผลการเลือกตั้งและได้ สส.อย่างน้อย 95% แล้ว รัฐธรรมนูญกำหนดให้ต้องมีการเปิดประชุมรัฐสภาครั้งแรกภายใน 15 วันนับแต่วันประกาศผลการเลือกตั้ง สส. ซึ่งจะนับเป็นวันแรกของสมัยประชุมรัฐสภาสามัญทั่วไป หลังจากนั้นไปแล้วรัฐธรรมนูญจะไม่ได้กำหนดกรอบเวลาใดๆ ทั้งสิ้น

โดยเมื่อเปิดสมัยประชุม จะต้องมีการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อเลือกประธานสภาฯ ซึ่งตำแหน่งประธานสภาฯ นอกจากจะเป็นประธานรัฐสภาโดยตำแหน่งแล้ว ยังมีความสำคัญอีกระดับหนึ่ง เนื่องจากเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี ดังนั้น หากเลือกประธานสภาฯ ไม่ได้ การเลือกนายกฯ ย่อมไม่เกิดขึ้น

ในกรณีที่ฝ่ายนิติบัญญัติได้ประธานรัฐสภา จะเข้าสู่ขั้นตอนของการเลือกนายกฯ ในที่ประชุมรัฐสภา

ลำดับแรก ที่ประชุมรัฐสภาจะพิจารณาให้ความเห็นชอบจากแคนดิเดตของพรรคการเมืองก่อน โดยแคนดิเดตของพรรคการเมืองจะมีสิทธิได้รับการเสนอชื่อกลางที่ประชุมรัฐสภาได้ก็ต่อเมื่อพรรคการเมืองนั้นมี สส.อย่างน้อย 25 คน หากรัฐสภามีมติเห็นชอบ 376 เสียง บุคคลนั้นจะได้เป็นนายกฯ แต่ถ้าไม่เป็นเช่นนั้น จะเข้าสู่ขั้นตอนการยกเว้นการบังคับใช้รัฐธรรมนูญ บางมาตรา โดยมีขั้นตอนดังนี้

1.สส.และ สว.จำนวน 375 คน เข้าชื่อยื่นต่อประธานรัฐสภา เพื่อขอให้รัฐสภามีมติยกเว้นเพื่อไม่ต้องเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีจากผู้มีชื่ออยู่ในบัญชี รายชื่อของพรรคการเมือง

2.ประธานรัฐสภาเรียกประชุมโดยพลัน การเสนอนายกฯ จากบุคคลนอกบัญชีพรรคการเมืองได้นั้นจะต้องใช้เสียงของรัฐสภาไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา หรือ 500 คนจากสมาชิกรัฐสภา 750 คน

3.เมื่อรัฐสภามีมติดังกล่าวแล้ว ที่ประชุมรัฐสภาจะดำเนินการพิจารณาเลือกนายกฯ จากบุคคลที่ไม่ได้อยู่ในบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองต่อไป โดยบุคคลนั้นจะต้องได้เสียงจากที่ประชุมรัฐสภา 376 คะแนน ถึงจะได้รับการดำรงตำแหน่งให้เป็นนายกฯ

ถ้าทุกพรรคตกลงกันทุกอย่างน่าจะจบลงได้ไม่ยาก แต่หากคุยกันไม่รู้เรื่อง การเมืองย่อมเสี่ยงต่อการเกิดสุญญากาศ อย่างยิ่ง ซึ่งนั่นหมายความว่าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จะอยู่ในอำนาจต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

ความหวังหลังหย่อนบัตร กังวลเสถียรภาพการเมือง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/politic/analysis/584173

  • วันที่ 23 มี.ค. 2562 เวลา 07:25 น.

ความหวังหลังหย่อนบัตร กังวลเสถียรภาพการเมือง

โดย…ทีมข่าวในประเทศโพสต์ทูเดย์

อนาคตของประเทศไทยจะถูกตัดสินในวันอาทิตย์ที่ 24 มี.ค.นี้ ประชาชนกว่า 51 ล้านคน เข้าคูหากาบัตรเลือกตั้ง แน่นอนว่าทุกคนต้องการเลือกพรรคการเมืองที่ชื่นชอบและถูกใจ แต่หลายฝ่ายแสดงความกังวลเกี่ยวกับเสถียรภาพทางการเมือง รวมถึงความราบรื่นในการจัดตั้งรัฐบาลอาจไม่ง่ายดาย ตลอดจนถึงข้อกังวลเรื่องการทะเลาะเบาะแว้งกันอีกครั้ง แม้การเลือกตั้งจะเสร็จสมบูรณ์ก็ตาม

สังศิต พิริยะรังสรรค์ คณบดีวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวว่า สิ่งสำคัญอย่างแรกต้องการเห็นเสถียรภาพพอประมาณหลังการเลือกตั้ง ไม่อยากเห็นพรรคการเมืองต่างๆ มีทิฐิว่าจะจับมือกับพรรคนี้ไม่จับมือกับพรรคนี้ คิดว่าเมื่อการเลือกตั้งเสร็จแล้ว ทุกฝ่ายทุกคนควรจะคิดถึงเรื่องการพัฒนาประเทศให้มีความเจริญรุ่งเรือง การแข่งขันเมื่อรู้ผลแล้วต้องเลิกเป็นปรปักษ์ต่อกัน ต้องอดทนนึกถึงผลประโยชน์ของประเทศ

นอกจากนี้ ต้องการเห็นน้ำอดน้ำทด ที่จะนำนโยบายด้านเศรษฐกิจและสังคมมาผสมผสานกัน อันไหนที่คิดว่าพอเป็นประโยชน์และพอทนกันได้อยากให้ทำกันไป ส่วนไหนที่ขัดแย้งก็ไม่ต้องทำ หลังการเลือกตั้งไม่ควรคิดว่าจะไปหาคะแนนเสียงอีก แต่ควรหาประโยชน์ให้ประชาชนส่วนใหญ่

“หาประโยชน์ให้กับคนที่มีฐานะด้อยโอกาสมากที่สุดและคนชนชั้นกลางถึงระดับล่างต้องมาก่อน ทั้งนี้การให้งบประมาณร้อยละ 70-75 ควรให้กับคนกลุ่มคนชั้นกลางถึงระดับล่าง ส่วนอีกร้อยละ 25 ควรให้กับคนชั้นกลางถึงคนชั้นกลางระดับบน เชื่อว่าหากทำแบบนี้ได้ประเทศไทยจะมีความ สงบสุข” คณบดีวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าว

สังศิต กล่าวเสริมด้วยว่า ส่วนข้อกังวลหลังการเลือกตั้งนั้น กังวลในประเด็นว่าถ้าหากทุกพรรคการเมืองไม่หาเสียงหลังเลือกตั้งถือว่าไม่น่ามีปัญหาอะไรเพิ่ม และความวุ่นวายก็จะไม่เกิดขึ้นแน่นอน ซึ่งถ้าหากพรรคการเมืองยังมีความมุ่งหวัง ที่พรรคการเมืองต้องการหาคะแนนนิยมอีกมันก็จะมีปัญหาทะเลาะกันไม่เลิก

อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ อาจารย์คณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ระบุว่า สิ่งที่อยากเห็นหลังเลือกตั้ง ย่อมเป็นเรื่องการได้เห็นพรรคการเมืองสามารถจัดตั้งรัฐบาลที่มีเสถียรภาพ แต่จากเงื่อนไขที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน คาดว่าอาจจะเกิดขึ้นไม่ง่ายนัก พรรคการเมืองที่จัดตั้งรัฐบาล ต้องมีเสียงมากพอที่จะไม่สร้างปัญหาเมื่อเข้าไปนั่งในสภา นอกจากนี้ สิ่งที่น่ากังวลหลังการเลือกตั้งครั้งนี้ ก็คือ ผลการเลือกตั้งที่ได้อาจจะเป็นโมฆะ หรือ กกต.อาจจะประกาศรับรองผลการเลือกตั้ง ไม่ได้ เพราะจะมีการร้องเรียนมากมาย มีคดีฟ้องกันไปมาไม่สิ้นสุด

“ต้องประกาศผลการเลือกตั้งให้ได้ 95 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งน่ากลัวว่าจะประกาศไม่ได้ หากเป็นอย่างนั้น ก็จะวุ่นวายอย่างแน่นอน จากนั้นก็จะเป็นการจัดตั้ง รัฐบาล รวมเสียง ซึ่งที่คนถกเถียงกันคือพรรคเสียงข้างมาก ควรจะเป็นผู้จัดตั้งรัฐบาลก่อน นั่นเป็นมารยาท เป็นจารีตทางการเมือง แต่รัฐธรรมนูญไม่ได้บังคับไว้” อานนท์ ระบุ

อาจารย์คณะสถิติประยุกต์ฯ อธิบายเสริมว่า พรรคที่สามารถรวมเสียงทั้ง สส.และ สว.ได้เกิน 376 เสียงก่อนก็จะสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ ซึ่งเรื่องนี้จะทำให้ต้องคำนึงเรื่องเสถียรภาพรัฐบาลตามมาด้วย หากเสียงปริ่มน้ำ ก็จะมีปัญหาสภาล่มได้ง่ายในอนาคต ผ่าน พ.ร.บ.ด้านการเงินการคลังได้ลำบาก นำไปสู่เดดล็อกของการเมืองอีกรอบ หรือกระทั่งเสี่ยงที่จะถูกรัฐประหารอีกรอบ ก็เป็นไปได้ทั้งสิ้น จึงหวังว่ารัฐบาลใหม่จะมีเสถียรภาพพอสมควร

พนัส ไทยล้วน ประธานสภาองค์การลูกจ้างแรงงานแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ในฐานะผู้ใช้แรงงานทุกคนทั้งประเทศหวังว่ารัฐบาลชุดใหม่จะเข้ามาแก้ไขปัญหาเรื่องค่าแรงที่เป็นธรรม ดังนั้นจึงหวังว่ารัฐมนตรีที่จะเข้ามาดูแลแรงงานจะเป็นผู้เข้าใจปัญหาแรงงานอย่างแท้จริง เป็นคนที่มีความรู้ความสามารถ ขณะเดียวกันต้องการให้มีการปฏิบัติที่เป็นธรรม หลักเกณฑ์ที่ดีมีประโยชน์กับแรงงานทุกคน โดยเฉพาะ พ.ร.บ.แรงงาน ที่ยังไม่มีการประกาศใช้ในตอนนี้

“ส่วนตัวคิดว่าหลังเลือกตั้งน่าจะยังมีปัญหาอยู่อย่างแน่นอน ส่วนจะเป็นเรื่องใดนั้นยังไม่สามารถคาดเดาได้ แต่หากเป็นรัฐบาลที่มาจากประชาธิปไตยคิดว่าน่าจะอยู่นานและไม่เกิดปัญหา ตอนนี้ยอมรับว่าเรื่องปากท้องของประชาชนมันเรี่ยดินหมดแล้ว ซึ่งหวังว่ารัฐบาลใหม่จะเข้ามาแก้ปัญหาได้”

พนัส กล่าวว่า ข้อกังวลในขณะนี้ คือ การเข้ามาแก้ปัญหาในระยะสั้นเรื่องการปรับค่าแรงอาจไม่ใช่เรื่องง่ายเนื่องจากมีกฎหมายข้อบังคับหลายตัว ต้องใช้เวลานานทำให้การดำเนินการค่อนยากลำบาก การปรับค่าแรงตามที่หลายพรรคการเมืองประกาศไว้ตอนหาเสียงไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ง่ายอย่างที่บอกไว้แน่นอน อย่างเช่น เรื่องข้าวกว่าจะทำเรื่องประกันราคาข้าว ก็ต้องมีการขอความเห็นพิจารณาอีก กว่าจะผ่าน ขั้นตอนต้องใช้ระยะเวลานาน ตอนหาเสียงทำได้ แต่ตอนปฏิบัติมันมีกฎระเบียบหลายขั้นตอนที่ยาก

ท้ายที่สุด หลังการเลือกตั้งคิดว่ายังมีปัญหาเรื่องการทำตามนโยบายหาเสียงที่ประกาศไว้ เพราะมันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะสามารถทำได้ทันที ยอมรับว่าหลายบริษัทแรงงานตอนนี้ปิดตัวลงไปต่อเนื่อง ในฐานะตัวแทนแรงงานทุกคนวาดหวังว่าหากนโยบายที่ประกาศไว้แล้วทำได้จริง เชื่อว่าทุกคนจะยอมรับได้ และถ้าทำไม่ได้จะมีเสียงเรียกร้องรัฐบาลชุดใหม่ทันที ภาระนั้นคือรัฐบาลใหม่ต้องทำตามนโยบายที่ประกาศไว้ตอนหาเสียงให้ได้จริง

ศึกชิงดำเก้าอี้นายกฯ “เจ๊หน่อย”ปะทะ”ลุงตู่”

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/politic/analysis/584081

  • วันที่ 22 มี.ค. 2562 เวลา 08:46 น.

ศึกชิงดำเก้าอี้นายกฯ "เจ๊หน่อย"ปะทะ"ลุงตู่"

ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์

เหลืออีกเพียงสองวันเท่านั้นจะถึง วันเลือกตั้งวันที่ 24 มี.ค. ตามกำหนดการหาเสียงของแต่ละพรรคการเมืองในช่วง 100 เมตรสุดท้ายจะเห็นได้ว่าอัดแน่นกันเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะ 4 พรรคการเมืองกระแสแรงตอนนี้

พรรคเพื่อไทย เตรียมเปิดเวทีปราศรัยปิดการหาเสียงในวันที่ 22 มี.ค.ที่อาคารกีฬาเวสน์ 2 ศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร ภายใต้หัวข้อ “เลือกเพื่อไทยให้ถล่มทลาย เป็นผู้นำจัดตั้งรัฐบาล” เรียกได้ว่าจัดหนักจัดเต็มเพื่อช่วงชิงคะแนนจากประชาชน

พรรคประชาธิปัตย์ จัดหนักไม่แพ้กัน โดยใช้พื้นที่ลานคนเมืองเป็นพื้นที่ปราศรัย เพื่อประกาศความเป็นผู้นำในการเป็นพรรคดวงใจของคนเมืองหลวง และขอโอกาสจากคนพื้นที่เพื่อให้พรรคประชาธิปัตย์ได้มีเสียงข้างมากพอสำหรับการเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล

พรรคพลังประชารัฐ ใช้สนามเทพหัสดิน เป็นพื้นที่สุดท้ายของพรรค ที่สำคัญจะมีการโชว์ความเหนือด้วยการเชื่อมต่อสัญญาณไปยังเวทีปราศรัยในต่างจังหวัดด้วย นอกจากนี้ พรรคยังเตรียมเซอร์ไพรส์ชุดใหญ่ด้วย นอกเหนือไปจากการเปิดคลิปการอ้อนขอคะแนนของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)

ส่วนพรรคการเมืองน้องใหม่กระแสไม่ตกอย่าง “พรรคอนาคตใหม่” ก็ไม่พลาดการตั้งเวทีปราศรัยเช่นกัน โดยใช้อาคารกีฬาเวสน์ 1 สนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่น ดินแดง เป็นพื้นที่ประกาศชัยชนะ

เรียกได้ว่าวันที่ 22 มี.ค.เป็นวันศุกร์แห่งชาติก็คงไม่ผิดนัก

ตลอดเวลากว่า 2 เดือนของการหาเสียงเลือกตั้ง ปฏิเสธไม่ได้ว่าได้เกิดปรากฏการณ์ทางการเมืองมากมาย โดยเฉพาะช่วงเวลาของการเปิดให้ส่งชื่อแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคกาwรเมือง ที่นำมาซึ่งการยุบพรรคและเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งเป็นเวลา 5 ปี

แคนดิเดตนายกฯ รอบนี้แม้จะมากหน้าหลายตา แต่ต้องยอมรับว่าที่สุดแล้วในสนามเลือกตั้งครั้งนี้ เหลือม้าแข่งที่กำลังวัดฝีเท้ากันแค่ 2 ตัวเท่านั้น คือ “คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์” จากพรรคเพื่อไทย และ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” จากพรรคพลังประชารัฐ

จุดแข็งของคุณหญิงสุดารัตน์ในการเลือกตั้ง คือ การปรับเปลี่ยน ตัวเองให้เข้ากับสถานการณ์ และนโยบายพรรคที่ปล่อยออกมาในช่วงโค้งสุดท้าย

ภาพลักษณ์ของคุณหญิงสุดารัตน์ในความรับรู้ของคนส่วนใหญ่ จะเป็นไปในลักษณะของนักการเมืองหญิงผู้ทรงอิทธิพลคนหนึ่ง และเคยทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่กับ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีมาก่อน ถ้าจะบอกว่าคุณหญิงสุดารัตน์เป็นหนึ่งในนักการเมืองรุ่นเก่าก็คงไม่ผิดนัก

แต่เมื่อกระแสเรียกร้องเกี่ยวกับคนรุ่นใหม่กลายเป็นกระแสหลักของการเมืองในเวลานี้ ทว่าคุณหญิง สุดารัตน์ สามารถเปลี่ยนตัวเองเป็นนักการเมืองขวัญใจวัยรุ่นไปได้ ซึ่งส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะการไปร่วมเวทีด้วยตัวเองของหลายสถาบันการศึกษา รวมทั้งกระแสความนิยมของสังคมที่ต่อลูกสาวของคุณหญิงสุดารัตน์

โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระแสความชื่นชอบในตัว ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ อีกหนึ่งแคนดิเดตนายกฯ ของพรรค ยิ่งชัชชาติกระแสดีเท่าไร คุณหญิงสุดารัตน์ก็ได้รับประโยชน์ไปด้วย

จึงอย่าได้แปลกใจว่าทำไมคะแนนความนิยมของคุณหญิงสุดารัตน์ ยังคงติดกลุ่มผู้นำอยู่แบบแรงไม่ตก

มากันที่ พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งครองความเป็นเต็งหนึ่งอย่างยาวนาน ความได้เปรียบหลักของ พล.อ.ประยุทธ์ คือ การยังอยู่ในตำแหน่งนายกฯ โดยมีอำนาจครบสมบูรณ์ 100% ยิ่งกว่าทุกรัฐบาลที่ผ่านมา

พรรคพลังประชารัฐเองก็พยายามนำจุดเด่นตรงนี้มาต่อยอดเป็นแนวทางในการหาเสียง ดังจะเห็นได้จากการเริ่มปล่อย วาทกรรม “เลือกความสงบ จบที่ลุงตู่”

ทั้งนี้ เป็นการพยายามเล่นกับความรู้สึกของคนส่วนใหญ่ที่กำลังผวาว่าการเลือกตั้งครั้งนี้จะทำให้ บ้านเมืองสงบหรือไม่ จึงทำให้พรรคพลังประชารัฐปล่อยของด้วยการยืนยันว่าหาก พล.อ.ประยุทธ์ ได้เป็นนายกฯ อีกครั้ง บ้านเมืองสงบไร้ม็อบการเมืองแน่นอน

แต่อีกมุมหนึ่งพรรคก็มีข้อเสียเปรียบอยู่ไม่น้อย เนื่องจาก พล.อ.ประยุทธ์ ยังไม่ยอมขึ้นเวทีดีเบต ซึ่งอาจเป็นข้อด้อยเล็กๆ ที่สำคัญ เพราะคนที่เข้ามาอาสาเป็นนายกฯ แต่กลับไม่ยอมขึ้นเวทีดีเบต อาจจะไม่ได้ใจประชาชนเต็มที่เท่าใดนัก

ขณะที่โอกาสเข้ามาเป็นตัวสอดแทรกของทั้ง “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และ “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ อาจจะมีอยู่บ้างแต่ยังมีความเป็นไปได้น้อยพอสมควร

ในกรณีของหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อย่างที่ทราบกันดีกว่าฐานหลักอยู่ที่ กทม.และภาคใต้ แต่สำหรับภาคเหนือและอีสาน ซึ่งมี สส.รวมกันเกือบ 200 คน พรรคประชาธิปัตย์ยังไม่สามารถสร้างโอกาสให้กับตัวเองได้มากเท่าใดนัก

ส่วนหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ แม้จะได้กระแสตอบรับจากวัยรุ่นและคนมีสิทธิเลือกตั้งครั้งแรกที่เป็นกลุ่มฐานเสียงขนาดใหญ่ แต่ยังมีคำถามว่ากระแสที่แรงอยู่นั้น จะสามารถแปรออกเป็นคะแนนเลือกตั้งในวันเลือกตั้งจริงได้หรือไม่

ด้วยเหตุนี้ 24 มี.ค.จึงเป็นการวัดกันระหว่าง “เจ๊” กับ “ลุง” ใครจะเข้าเส้นชัยก่อนกัน