ศึกชิงที่สองเลือกตั้ง เดิมพันเก้าอี้”ประยุทธ์”

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/politic/analysis/583942

  • วันที่ 21 มี.ค. 2562 เวลา 09:01 น.

ศึกชิงที่สองเลือกตั้ง เดิมพันเก้าอี้"ประยุทธ์"

โค้งสุดท้ายก่อนเลือกตั้งแต่ละพรรคเริ่มประกาศจุดยืนและท่าทีความชัดเจนรวมไปถึงเงื่อนไขการจัดตั้งรัฐบาลเหลือเพียงแค่รอดูผลการเลือกตั้งว่าจะออกมาสุดท้ายอย่างไร

*****************************

โดย…ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์

โค้งสุดท้ายก่อนเลือกตั้ง 24 มี.ค. 2562 แต่ละพรรคเริ่มประกาศจุดยืนและท่าทีความชัดเจนรวมไปถึงเงื่อนไขการจัดตั้งรัฐบาล ทั้งจะจับมือกับใครไม่จับมือกับใคร จนสามารถนำมาคำนวณเป็นสูตรการจัดตั้งรัฐบาลได้เบื้องต้น เหลือเพียงแค่รอดูผลการเลือกตั้งว่าจะออกมาสุดท้ายอย่างไร

จากการประเมินเบื้องต้นด้วยฐานข้อมูลรายชื่อและจำนวนอดีต สส.ในการเลือกตั้งล่าสุดปี 2554 โอกาสที่พรรคเพื่อไทยน่าจะได้คะแนนเสียงมากเป็นอันดับหนึ่งมีความเป็นไปได้สูง แม้หลายฝ่ายจะประเมินตรงกันว่าด้วยระบบการเลือกตั้งแบบจัดสรรปันส่วนผสม คงยากที่พรรคเพื่อไทยจะได้คะแนนเกิน 250 เสียง ยิ่งในรอบนี้มีพรรคการเมืองใหม่ลงสนามเป็นจำนวนมาก ซึ่งว่ากันว่าจะเป็นตัวลดทอนคะแนนบัญชีรายชื่อของพรรคใหญ่ให้มีสัดส่วนที่น้อยลงกว่าเดิม

เบื้องต้นสูตรการจัดตั้งรัฐบาลในรอบแรกจึงต้องรอดูว่าพรรคเพื่อไทยและพรรคเครือข่ายที่เรียกตัวเองว่าเป็นฝั่งประชาธิปไตย มีจุดยืนต่อต้านรัฐประหาร คัดค้านการสืบทอดอำนาจ จะสามารถรวมเสียงได้เกิน 250 เสียงได้มากน้อยเพียงใด

หากมีเสียงข้างมากย่อมจะเป็นแต้มต่อสร้างความได้เปรียบ อันจะสามารถดึงบรรดาพรรคขนาดกลางและพรรคขนาดเล็กอื่นๆ มาร่วมโหวตแคนดิเดตของพรรคเพื่อไทย เป็นนายกรัฐมนตรี โดยไม่ต้องสนคะแนนเสียงของ 250 สว.เฉพาะกาล ซึ่งมีแนวโน้มจะไม่โหวตให้ทางฝั่งพรรคเพื่อไทย

แต่หากดูจากทิศทางลมแล้วคงไม่ง่ายที่ฝั่งพรรคเพื่อไทยและพันธมิตรจะสามารถรวมเสียงได้เกิน 250 เสียง เมื่อทั้งพรรคประชาธิปัตย์เองก็มีฐานเสียงยืนพื้นอยู่ราว 100 ที่นั่ง ขณะที่พรรคพลังประชารัฐเองซึ่งถูกมองว่ามีความได้เปรียบหลายด้านก็อาจกวาดเก้าอี้ได้ 80-100 ที่นั่ง อยู่ที่การปลุกกระแสทิ้งทวนในช่วงโค้งสุดท้ายว่าใครจะมีหมัดเด็ดโดนใจประชาชนได้มากกว่ากัน

ปัญหาที่หลายฝ่ายห่วงกันว่าอาจนำไปสู่ทางตันทางการเมืองหลังเลือกตั้งนั้น อยู่ตรงท่าทีการออกมาประกาศจุดยืนของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ว่าจะไม่ร่วมสนับสนุนพรรคเพื่อไทย และไม่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี อันอาจทำให้ไม่มีพรรคใดพรรคหนึ่งสามารถรวมเสียงเพียงพอจัดตั้งรัฐบาลได้

เมื่อตัดสูตรพรรคเพื่อไทยได้เสียงถล่มทลายเพียงพอจัดตั้งรัฐบาลโดย ไม่ต้องพึ่ง 250 เสียงของ สว. หรือเสียงสนับสนุนจากพรรคประชาธิปัตย์ออกไป พรรคการเมืองที่มีโอกาสจะเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลได้จึงน่าจะเป็นพรรคประชาธิปัตย์และพรรคพลังประชารัฐ ที่จะต้องไปหาเสียงสนับสนุนหลังการเลือกตั้งให้เพียงพอจัดตั้งรัฐบาลได้

ความสำคัญของการเลือกตั้งครั้งนี้จึงอาจไม่ได้อยู่ที่พรรคใดจะได้เสียงมากเป็นอันดับหนึ่งเพียงอย่างเดียว ในเมื่อศึกชิงที่สองในการเลือกตั้งหนนี้ก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน โดยเฉพาะในจังหวะที่พรรคอันดับที่สองจะก้าวขึ้นมาเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลเมื่อพรรคที่ได้อันดับหนึ่งไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้

ศึกชิงดำระหว่างประชาธิปัตย์และพลังประชารัฐจึงอาจเป็นตัวตัดสินการจัดตั้งรัฐบาลในอนาคต

เริ่มตั้งแต่ในกรณีที่พรรคพลังประชารัฐซึ่งมี พล.อ.ประยุทธ์ เป็นแคนดิเดตนายกฯ พร้อมเสียง สว.250 เสียง ที่ตุนไว้ในกระเป๋า หากได้เสียงต่ำกว่าร้อย โอกาสที่จะไปหาเสียงสนับสนุนจากพรรคขนาดกลางกับขนาดเล็กเพื่อให้ได้ 376 เสียงย่อมไม่ง่ายนักยังไม่รวมถึงในแง่ความสง่างามของพรรคการเมืองที่จะเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล หากพรรคพลังประชารัฐสามารถชนะเลือกตั้งได้เป็นอันดับสอง แซงหน้าประชาธิปัตย์ ย่อมมีความชอบธรรมอย่างเต็มที่ ในฐานะพรรคอันดับสองที่จะรวมเสียงสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ ตรงกันข้าม หากพรรคพลังประชารัฐได้คะแนนเสียงมาเป็นอันดับสาม แม้ในทางปฏิบัติอาจจะสามารถรวมเสียงจัดตั้งรัฐบาลได้ แต่ในแง่ความสง่างามย่อมทำให้การขึ้นสู่ตำแหน่งของ พล.อ.ประยุทธ์ ถูกมองว่าไม่เหมาะสมเพียงพอ และซ้ำเติมด้วยปมเรื่องการใช้เสียง 250 สว. ที่ถูกมองว่าเป็นอีกกลไกซึ่งวางมาเพื่อการสืบทอดอำนาจ

ที่สำคัญ หากพรรคพลังประชารัฐสามารถชนะเลือกตั้งจนได้เป็นพรรคอันดับสอง ในทางปฏิบัติย่อมจะไป ลดทอนเสียงของพรรคประชาธิปัตย์ให้มีจำนวนน้อยลง และทำให้อำนาจหรือความได้เปรียบในการจัดตั้งรัฐบาลของประชาธิปัตย์ลดลงตามไปด้วยในขณะที่ฝั่งประชาธิปัตย์เองย่อมต้องพยายามทำให้ได้คะแนนเสียงมากที่สุด เพราะหากได้เป็นอันดับ 2 ย่อมจะเป็นแต้มต่อในการประกาศตัวเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล พาการเมืองออกจากทางตัน รวมทั้งยังเป็นเหตุผลสำคัญที่จะบีบให้พรรคพลังประชารัฐซึ่งมีคะแนนเสียงน้อยกว่ามาร่วมยกมือสนับสนุน อภิสิทธิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี แทนที่จะดึงดันโหวต พล.อ.ประยุทธ์ อย่างเดียว

อีกด้านหนึ่ง หากพรรคประชาธิปัตย์ได้เสียงน้อยกว่าพรรคพลังประชารัฐ นั่นย่อมมีความเป็นไปได้สูงว่าพรรคประชาธิปัตย์ย่อมต้องได้เสียงน้อยกว่า 100 เสียง อันจะเป็นเงื่อนไขให้ อภิสิทธิ์ ต้องลาออกจากตำแหน่ง ตามที่ได้เคยประกาศไว้ก่อนหน้านี้ และเปิดให้รักษาการหัวหน้าพรรคคนใหม่ขึ้นมารับไม้ดูแลการจับมือร่วมตั้งรัฐบาลกับพรรคอื่น

สุดท้ายแล้ว ศึกชิงดำที่สองของพรรคพลังประชาธิปัตย์และพรรคพลังประชารัฐจึงมีความสำคัญต่อทิศทางการจัดตั้งรัฐบาลและทิศทางการเมืองในอนาคต และเป็นเดิมพันการหวนคืนสู่ตำแหน่งนายกฯ ของ พล.อ.ประยุทธ์ รอบใหม่อีกด้วย

สว.โหวตสวนชนวนป่วนเสียงส่วนใหญ่

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/politic/analysis/583814

  • วันที่ 20 มี.ค. 2562 เวลา 07:45 น.

สว.โหวตสวนชนวนป่วนเสียงส่วนใหญ่

เสียงของ สว.เฉพาะกาลอาจเป็นชนวนความขัดแย้งรอบใหม่อยู่ตรงที่ประเด็น ซึ่งอาจเป็นการเบี่ยงเบนคะแนนเสียงของประชาชน

*********************************

โดย…ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์

ทางออกไม่นำไปสู่ความวุ่นวายรอยู่ที่ทิศทางการลงคะแนนของสว.ควรจะสอดรับกับผลการเลือกตั้ง ไม่สวนกระแสหรือทำให้เกิดความเคลือบแคลงว่ามีเบื้องหลังเชื่อมโยงกับการสืบทอดอำนาจที่มีแต่จะทำให้ทุกอย่างย่ำแย่ลงไปกว่าเดิม

เริ่มมีความชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ กับท่าทีความเคลื่อนไหวของบรรดาพรรคการเมืองที่รวมตัวผนึกกำลังออกมาดักคอการลงคะแนนของ 250 สว.เฉพาะกาล ให้เคารพ “ฉันทามติ” ของประชาชนผู้ออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้ง แทนที่จะเทน้ำหนักไปยังฝั่งอื่นจนมีผลทำให้บิดเบือนเสียงของประชาชน จนอาจเป็นชนวนนำไปสู่ความวุ่นวายและรุนแรงในอนาคต

สอดรับไปกับความพยายามจะดึงให้พรรคการเมืองต่างประกาศตัวร่วมทำสัญญาใจใช้เสียงในสภาผู้แทนราษฎรเพื่อชี้ขาดการจัดตั้งรัฐบาล โดยไม่ต้องพึ่งพา 250 เสียงจาก สว.เฉพาะกาล ซึ่งมีที่มาจากการคัดสรรของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ขาดการยึดโยงกับเสียงของประชาชน

ทั้งหมดเป็นไปเพื่อให้กระบวนการออกเสียงของประชาชนสะท้อนความต้องการที่แท้จริงในการเลือก สส. มาทำหน้าที่เป็นปากเป็นเสียงในสภาผู้แทนราษฎร รวมทั้งสกัดกั้นปฏิบัติการสืบทอดอำนาจที่ถูกวางเอาไว้อย่างเป็นขั้นเป็นตอน ซึ่งห่วงกันว่าสุดท้ายอาจทำให้การเลือกตั้งครั้งนี้ไม่เป็นที่ยอมรับและนำไปสู่ปัญหาอื่นต่อไปได้

ยิ่งในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้ง พรรคการเมืองต่างๆ ออกมาประกาศจุดยืนกันชัดเจนว่าอยู่ขั้วไหนพร้อมจะจับมือกับพรรคไหนหรือไม่สนับสนุนใครเป็นนายกรัฐมนตรี จนทำให้พอจะสามารถจับทิศทางการประสานพลังรวมเสียงจัดตั้งรัฐบาลในอนาคตได้มากขึ้นเรื่อยๆ

แต่ทว่าด้วยกฎกติกาพิเศษ ซึ่งเปิดช่องให้ 250 สว.เข้ามามีส่วนร่วมเลือกนายกรัฐมนตรี และกลายเป็นตัวแปรสำคัญ ซึ่งจะมีผลต่อสูตรการจับขั้วตั้งรัฐบาล ทั้งในแง่เสียงสนับสนุนที่จะทำให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดสามารถตั้งรัฐบาลหรือไม่สามารถตั้งรัฐบาลได้

เสียงของ สว.เฉพาะกาลจึงอาจกลายเป็นตัวชี้ขาดในทิศทางการเมืองในอนาคต ซึ่งหากที่มาที่ไปของ สว.ชุดนี้มีที่ไปที่มาจากการยึดโยงกับประชาชน การจะออกเสียงของ สว.ชุดนี้ย่อมไม่มีปัญหาในการจะไปสนับสนุนพรรคการเมืองขั้วใดขั้วหนึ่ง แต่ด้วยที่มาซึ่งเชื่อมโยงกับ คสช.เพียงไม่กี่คน การจะให้อำนาจ สว. 250 คน มามีส่วนชี้ทิศทางการเมืองแทนการออกเสียงของประชาชนทั้งประเทศย่อมไม่อาจเป็นที่ยอมรับได้

สาเหตุส่วนหนึ่งที่หลายฝ่ายวิตกว่าเสียงของ สว.อาจเป็นชนวนความขัดแย้งรอบใหม่อยู่ตรงที่ประเด็น ซึ่งอาจเป็นการเบี่ยงเบนคะแนนเสียงของประชาชน จนอาจทำให้พรรคการเมืองที่ชนะเลือกตั้ง ซึ่งรวมเสียงได้เกิน 250 เสียงในสภาผู้แทนราษฎรได้ แต่อาจไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ หรือตรงกันข้ามอาจทำให้พรรคการเมืองที่รวมเสียงได้ไม่ถึง 250 เสียงในสภาผู้แทนราษฎรพลิกกลับมาเป็นฝ่ายสามารถจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย

จากที่ประเมินคร่าวๆ ฝั่งพรรคเพื่อไทยที่คาดว่าน่าจะสามารถรวมเสียงจากฝั่งที่เรียกตัวเองว่าฝั่งประชาธิปไตยได้ประมาณ 200 เสียง ซึ่งควรจะมีสิทธิจัดตั้งรัฐบาลด้วยการไปหาพรรคขนาดกลางขนาดเล็กมาสนับสนุนเพิ่มให้ได้อย่างน้อย 250 เสียง ซึ่งเพียงพอจะมีเสถียรภาพในสภาผู้แทนราษฎร แต่หาก 250 เสียงของ สว.ไม่มาสนับสนุนด้วยสูตรการจับขั้วนี้ย่อมเป็นหมัน

ในขณะที่ฝั่งประชาธิปัตย์ ซึ่งประกาศไม่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี และไม่สนับสนุนฝั่งเพื่อไทยเป็นรัฐบาล ดังนั้นหากในกรณีพรรคเพื่อไทยไม่สามารถเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลได้ และพรรคพลังประชารัฐต้องการที่จะใช้เสียงสนับสนุนจาก 250 สว.เป็นฐานสำคัญจัดตั้งรัฐบาล แต่ไม่ได้รับเสียงสนับสนุนจากประชาธิปัตย์ แม้จะสามารถรวมเสียงเพียงพอให้ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรี แต่ก็ไร้ซึ่งเสถียรภาพ

อีกด้านโอกาสที่พรรคพลังประชารัฐจะเปลี่ยนยุทธศาสตร์จากที่จะสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรีเพื่อสานต่อภารกิจที่เคยทำไว้ 5 ปีให้เดินต่อไปแบบไร้รอยต่อ ย่อมไม่ง่ายนักที่จะพลิกขั้วมาสนับสนุนอภิสิทธิ์เป็นนายกรัฐมนตรี เพียงเพื่อให้การเมืองเดินหน้าต่อไปได้ ไม่ต้องไปติดอยู่ที่ทางตันจากจุดยืนที่ยากจะหาจุดลงตัวร่วมกันของแต่ละฝ่าย

ยังไม่รวมกับ “ทางออก” ที่หลายฝ่ายห่วงกันว่าเมื่อถึงทางตันขึ้นมาจริงๆ อาจนำไปสู่ปรากฏการณ์ “งูเห่า” หรือการไล่ซื้อเสียงสนับสนุนจาก สส.พรรคการเมืองต่างๆ เพื่อให้ได้เสียงเพียงพอจัดตั้งรัฐบาลที่มีเสถียรภาพ ในยุคที่ สส.มีเอกสิทธิ์ที่จะลงมติใดๆ โดยไม่ต้องยึดตามมติพรรค ซึ่งจะทำให้การเมืองวนกลับไปสู่ปัญหาในอดีตเรื่องการใช้ผลประโยชน์หรือคดีความที่ติดตัวเข้ามาบีบอีกทางหนึ่ง

ดังจะเห็นจากปรากฏการณ์ดูดที่เคยถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงก่อนหน้านี้ จนห่วงกันว่าแทนที่จะเดินหน้าสู่การปฏิรูปทางการเมือง สุดท้ายอาจยิ่งทำให้การเมืองถอยหลังกลับไปสู่อดีตที่ย่ำแย่กว่าเดิม

ข้อเสนอที่ให้พรรคการเมืองทั้งหมดยอมรับข้อเสนอเรื่องการตั้งรัฐบาลโดยไม่พึ่งเสียงของ 250 สว. จึงวนกลับมาพูดถึงมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะต่อให้พรรคที่ได้เสียงอันดับหนึ่งจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้ และเปิดให้พรรคอันดับถัดไปเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ก็ยังยึดโยงกับเสียงของประชาชนและเป็นธรรมเนียมปฏิบัติในวิถีประชาธิปไตย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่พรรคพลังประชารัฐจะออกมายอมรับข้อเสนอนี้

ทางออกที่พอจะคลี่คลายสถานการณ์ไม่ให้สุ่มเสี่ยงบานปลายไปสู่ความวุ่นวายรุนแรงจึงอาจอยู่ที่ทิศทางการลงคะแนนของ สว. ที่ควรจะเป็นไปในทิศทางที่สอดรับกับฉันทานุมัติที่สะท้อนผ่านผลการเลือกตั้ง ไม่สวนกระแสหรือทำให้เกิดความเคลือบแคลงว่ามีเบื้องหลังเชื่อมโยงกับการสืบทอดอำนาจที่มีแต่จะทำให้ทุกอย่างย่ำแย่ลงไปกว่าเดิม

เลือกตั้งล่วงหน้าวุ่นสัญญาณเตือนโมฆะ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/politic/analysis/583713

  • วันที่ 19 มี.ค. 2562 เวลา 08:45 น.

เลือกตั้งล่วงหน้าวุ่นสัญญาณเตือนโมฆะ

การเลือกตั้งล่วงหน้าที่เกิดขึ้น ได้ก่อให้เกิดเสียงท้วงติงมายัง “กกต.” เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะปัญหาการจัดการเลือกตั้งหลายประการ

********************************

โดย…ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์

ผ่านไปแล้วสำหรับยกแรกของการเลือกตั้ง ภายหลังเสร็จสิ้น การลงคะแนนเลือกตั้งล่วงหน้าเมื่อวันที่ 17 มี.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งในแง่ของตัวเลขผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้ง น่าจะทำให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ป้ายแดงทุกคนยิ้มหน้าบานได้พอสมควร

ยกตัวอย่างแค่ใน กทม. เมืองหลวงของประเทศไทย ปรากฏว่ามีผู้มาใช้สิทธิถึง 810,306 คน คิดเป็น 87.22% จากคนที่ลงทะเบียนขอใช้สิทธิล่วงหน้าไว้ทั้งสิ้น 929,061 คน

จากตัวเลขที่เกิดขึ้น จึงไม่แปลกที่จะเกิดภาพที่มีคนไปเข้ารอใช้สิทธิเลือกตั้งจำนวนมากนานนับชั่วโมงในบางพื้นที่ ซึ่งอาจแสดงให้เห็นได้เป็นอย่างดีว่าคนไทยตื่นตัวกับการเลือกตั้งครั้งนี้ค่อนข้างมากพอสมควร หลังจากประเทศเว้นว่างการเลือกตั้งมานานกว่า 5 ปี ตั้งแต่ปี 2557 ที่การเลือกตั้งครั้งนั้นต้องตกเป็นโมฆะ ทำให้ถ้าจะนับกันจริงๆ ประเทศไทยก็ว่างจากการเลือกตั้งตั้งแต่ปี 2554 เลยทีเดียว

อย่างไรก็ตาม การเลือกตั้งล่วงหน้าที่เกิดขึ้น ได้นำมาซึ่งเสียงท้วงติงที่พุ่งตรงไปยัง กกต.ค่อนข้างมาก โดยเฉพาะปัญหาการจัดการเลือกตั้งที่มีความบกพร่องหลายประการ

1.การติดชื่อผู้สมัครของพรรคการเมืองไม่ตรงกับเขตเลือกตั้ง

2.แจกบัตรเลือกตั้งผิดเขต ซึ่งในกรณีนี้เป็นปัญหาค่อนข้างมาก เนื่องจากมีผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งหลายคนพบเจอปัญหาเดียวกัน กล่าวคือ เมื่อได้รับบัตรเลือกตั้งมาจากเจ้าหน้าที่และเห็นว่าบัตรเลือกตั้งที่ตัวเองได้ไม่ตรงกับเขตเลือกตั้งของผู้ใช้สิทธิเลือกตั้ง ทางเจ้าหน้าที่ก็ยังยืนยันให้ประชาชนลงคะแนนในบัตรเลือกตั้งดังกล่าว

3.ไม่มีอุปกรณ์พิมพ์ลายนิ้วมือ ทั้งๆ ที่การเลือกตั้งทุกครั้งที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ประจำหน่วยเลือกตั้งจะต้อง เตรียมไว้ให้เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการสวมสิทธิเลือกตั้ง

4.บางเขตเลือกตั้งไม่มีรายชื่อผู้สมัคร สส.ให้ประชาชนได้ตรวจสอบ นับเป็นอีกปัญหาหนึ่ง เนื่องจากการเลือกตั้งใช้วิธีการลงคะแนนแบบใหม่ ประกอบกับไม่ได้เป็นระบบเขตเดียวเบอร์เดียวเหมือนที่ผ่านมา เมื่อไม่มีรายชื่อผู้สมัคร สส.ให้ประชาชนตรวจสอบก่อน แน่นอนว่ามีความเป็นไปได้ที่การลงคะแนนของประชาชนอาจไม่ตรงเจตนารมณ์

5.การใช้ลังกระดาษแทนคูหาเลือกตั้ง ซึ่งเป็นกรณีที่เกิดขึ้นกับการลงคะแนนเลือกตั้งล่วงหน้านอกราชอาณาจักรก่อนหน้านี้ ภายหลัง กกต.จัดเตรียมคูหาเลือกตั้งไม่เพียงพอต่อประชาชนที่จะมาใช้สิทธิเลือกตั้ง

ปัญหาที่เกิดขึ้น แม้แต่ กกต.เองก็ออกมายอมรับข้อผิดพลาด เช่นเดียวกับรัฐบาลที่แสดงท่าทีว่าความผิดพลาดที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่ต้องเร่งแก้ไข

“เมื่อผิดพลาดก็ต้องแก้ไขกันไป เพราะใหม่ด้วยกันทั้งนั้น ถือเป็นเรื่องธรรมดาเพราะเราว่างเว้นการเลือกตั้งมานาน เจ้าหน้าที่ก็อาจจะงงๆ ประชาชนก็ยังงงอยู่ด้วยเหมือนกัน” วิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ระบุ เมื่อวันที่ 18 มี.ค.

อย่างไรก็ตาม ปัญหาอาจจะไม่ได้จบลงตรงที่การยอมรับผิด หรือการรับปากว่าจะเร่งดำเนินการแก้ไข เนื่องจากปลายทางของปัญหานี้อาจนำไปสู่การแก้ของศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่ หรือที่เรียกว่า “เลือกตั้งโมฆะ”ที่ผ่านมา ศาลรัฐธรรมนูญเคยวินิจฉัยให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะมาแล้ว 2 ครั้ง

ครั้งที่ 1 เกิดขึ้นเมื่อปี 2549 เวลานั้นผู้ตรวจการแผ่นดินเป็นผู้ร้องไปยังศาลรัฐธรรมนูญ ประเด็นหลักประเด็นหนึ่งที่ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ คือ การจัดคูหาแบบใหม่ของ กกต.ในเวลานั้น มีผลให้การลงคะแนนของประชาชนไม่เป็นไปโดยลับหรือไม่

จากประเด็นนี้เองศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าการจัดวางคูหาลักษณะดังกล่าวของ กกต.ไม่ถูกต้อง จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้การเลือกตั้งไม่เป็นไปโดยลับ อันมีผลให้เป็นการจัดการเลือกตั้งที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญในที่สุด

“รูปแบบการจัดคูหาเลือกตั้งในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 2 เม.ย. 2549…อยู่ในวิสัยที่สามารถมองเห็นการลงคะแนนของผู้มีสิทธิเลือกตั้งได้ การจัดคูหารูปแบบใหม่นี้ จึงมีผลทำให้การลงคะแนนเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรดังกล่าว ไม่เป็นการลงคะแนนโดยลับ” เหตุผลส่วนหนึ่งของศาลรัฐธรรมนูญ

ครั้งที่ 2 เกิดขึ้นในปี 2557 ประเด็นที่มีผลให้การเลือกตั้งครั้งนั้นไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ คือ การไม่จัดการเลือกตั้งให้เป็นวันเดียวกันทั่วราชอาณาจักร ซึ่งจะว่าไปแล้วเป็นเหตุผลที่แตกต่างออกไปจากปี 2549

สำหรับการเลือกตั้งปี 2562 จากภาพปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นเริ่มทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ว่าจะนำไปสู่การยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของการจัดการเลือกตั้งได้หรือไม่

โดยเฉพาะในประเด็นการให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนในบัตรเลือกตั้งที่ตัวเองไม่ได้มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตเลือกตั้งดังกล่าว

รัฐธรรมนูญวางหลักการให้การเลือกตั้งที่ชอบด้วยกฎหมายต้องประกอบด้วย 1.ต้องเป็นการเลือกตั้งโดยตรง และ 2.ต้องเป็นการเลือกตั้งโดยลับ

แต่คำถามปลายเปิดตัวใหญ่กำลังเกิดขึ้นว่าการบริหารจัดการของ กกต.ที่เกิดขึ้นตั้งแต่การเลือกตั้งล่วงหน้านอกราชอาณาจักรจนมาถึงการเลือกตั้งล่วงหน้าครั้งล่าสุด เป็นไปตามหลักการของรัฐธรรมนูญหรือไม่

อีกไม่นานคงมีความเป็นไปได้ที่จะได้เห็น “นักร้อง” ทั้งหน้าเดิมและหน้าใหม่ทำงาน และการเมืองอาจต้องไปตัดสินกันที่ศาลรัฐธรรมนูญอีกครั้ง

เดดล็อกหลังเลือกตั้ง “งูเห่า” พรึ่บสภา

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/politic/analysis/583606

  • วันที่ 18 มี.ค. 2562 เวลา 07:38 น.

เดดล็อกหลังเลือกตั้ง "งูเห่า" พรึ่บสภา

จุดยืนและเงื่อนไขการจับมือร่วมตั้งรัฐบาลที่พรรคการเมืองประกาศออกมา ทำให้โอกาสที่จะเกิดสุญญากาศ ไม่มีพรรคไหนรวมเสียงข้างมากจัดตั้งรัฐบาลได้จึงเป็นไปได้สูง

***************************

โดย…ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์

ประเมินทิศทางจากท่าทีและจุดยืนของแต่ละพรรคการเมืองที่ประกาศกันออกมาก่อนหน้านี้ ตลอดจนเงื่อนไขการจับมือร่วมเป็นพันธมิตรจัดตั้งรัฐบาลในช่วงเวลาที่ผ่านมา โอกาสที่การเมืองจะเดินหน้าไปถึงทางตันไม่มีพรรคใดพรรคหนึ่งสามารถรวมเสียงเพียงพอจัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ

โดยเฉพาะกับกฎกติกาใหม่ซึ่งมีเงื่อนไขเพิ่มเติมคือ 250 สว.เฉพาะกาล อันมีที่มาจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จะเข้ามามีบทบาทร่วมเลือกนายกรัฐมนตรี ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งในปัจจัยที่ว่ากันว่าจะทำให้ทุกอย่างต้องเดินหน้าไปสู่ทางตันอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง

ยิ่งในสภาพบรรยากาศการเมืองที่แบ่งออกเป็น 3 ขั้วชัดเจน ได้แก่ฝั่งพรรคเพื่อไทยและพันธมิตร อันประกอบไปด้วย พรรคเพื่อชาติ พรรคเสรีรวมไทยของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์เตมียเวส และพรรคประชาชาติของ วันมูหะมัดนอร์ มะทา และพรรคอนาคตใหม่ของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ

2.ฝั่งพรรคพลังประชารัฐ และกลุ่มที่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีต่ออีกสมัย ได้แก่ พรรครวมพลังประชาชาติไทยที่มี สุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง และพรรคประชาชนปฏิรูปของ ไพบูลย์ นิติตะวัน ที่เปิดหน้าประกาศตัวชัดเจน

และ 3.พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งล่าสุดประกาศจุดยืนชัดเจน ไม่สนับสนุนทั้งฝั่ง “ทุจริต” และ “สืบทอดอำนาจ” ซึ่งด้านหนึ่งกลายเป็นการโดดเดี่ยวตัวเอง แต่อีกด้านหนึ่งก็ทำให้สถานะของพรรคประชาธิปัตย์กลายเป็นขั้วที่ 3 ขึ้นมาอย่างชัดเจน

ต่างจากเดิมที่มองกันว่าประชาธิปัตย์จะเป็นเพียงแค่ตัวแปรทางการเมือง ที่จะไปสนับสนุนเพิ่มโอกาสให้ฝั่งใดฝั่งหนึ่งเป็นรัฐบาลเท่านั้น ดังจะเห็นว่าที่ผ่านมามีความพยายามบีบให้ประชาธิปัตย์เร่งแสดงความชัดเจนว่าจะเลือกอยู่ฝั่งใดเพื่อประโยชน์ในการตัดสินใจของประชาชนที่จะออกมาใช้สิทธิ

ไม่ว่าจากฝั่งเพื่อไทยเองที่พยายามเรียกร้องให้ประชาธิปัตย์แสดงความชัดเจน อีกด้านหนึ่ง สุเทพ เทือกสุบรรณ ก็ขึ้นเวทีปราศรัยดักคอ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคอาจไปจับมือกับเพื่อไทยตั้งรัฐบาลหากได้เสียงสนับสนุนเป็นนายกรัฐมนตรี

แม้กระทั่ง สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ที่ส่งสัญญาณไม่เห็นด้วยกับการประกาศท่าทีของ อภิสิทธิ์ ว่า เป็นการพูดเร็วเกินไปหรือไม่ เพราะอย่างที่รู้ว่า รัฐธรรมนูญปัจจุบันออกแบบมาเพื่อให้มีรัฐบาลผสมและยังเป็นการผสมของพรรคแกนหลัก ซึ่งขณะนี้ก็พอเดาคะแนนได้

“แต่การที่ออกมาบอกว่า ซ้ายก็ไม่เอา ขวาก็ไม่เอา ต้องมีผมคนเดียว ทำให้นักลงทุนต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็น ฝรั่ง ญี่ปุ่น จีน และนักลงทุนทั้งหลาย ที่พอบวกเลขเป็นก็จะรู้ว่า แล้วจะตั้งรัฐบาลได้อย่างไร แล้วจะทำให้การเมืองถึงทางตันหรือไม่ พูดทำไม คิดในใจก็พอ ควรไปพูดเรื่องนโยบายดีกว่ามั้ย หรือไม่มีนโยบายอะไรที่จะพูด ไม่มีใครที่อยากเป็นรัฐบาลตลอดชาติหรอก”

จากจุดยืนของประชาธิปัตย์ ที่เสนอตัวเป็นอีกทางเลือกพร้อมเหตุผลสนับสนุนว่าการที่ประชาธิปัตย์เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลเพื่อจะได้สามารถผลักดันนโยบายที่ประกาศไว้ก่อนหน้านี้ให้สำเร็จลุล่วงไม่มีปัญหาในภายหลัง จึงถูกมองว่าอาจเป็นการบีบให้ทุกอย่างเดินไปสู่ทางตัน

เมื่อในทางปฏิบัติต่อให้พรรคเพื่อไทยได้เสียงข้างมากแต่ไม่มากเพียงพอ เพราะระบบเลือกตั้งใหม่มีแนวโน้มที่พรรคซึ่งได้จำนวน สส.เขต มาก ย่อมจะทำให้ได้ สส.บัญชีรายชื่อน้อยลง ดังนั้นเมื่อได้เสียงชนะไม่ถล่มทลายการจะเป็นการนำจัดตั้งรัฐบาลก็เป็นไปได้ยาก

ต่อให้ได้เสียงประมาณ 200 เสียง แต่หากไม่มีเสียงสนับสนุนจาก 250 สว. และเสียงสนับสนุนจากประชาธิปัตย์การจะรวมเสียงเพื่อให้ได้ถึง 376 เสียง ย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย

ไม่ต่างจากฝั่งพรรคพลังประชารัฐ แม้จะได้เสียงเป็นอันดับสองหรืออันดับสาม และมีเสียงสนับสนุนจาก 250 สว. แต่หากไม่ได้เสียงสนับสนุนจากพรรคเพื่อไทยหรือประชาธิปัตย์ ย่อมไม่อาจตั้งรัฐบาลที่มีเสถียรภาพเกิน 250 เสียง ในสภาผู้แทนแทนราษฎรได้

ส่วนประชาธิปัตย์ซึ่งไม่มีอะไรจะต้องเสีย ถึงขั้นประกาศพร้อมเป็นพรรคฝ่ายค้านล่วงหน้า การจะให้พรรคพลังประชารัฐทิ้งเป้าหมายภารกิจสำคัญอย่างการผลักดัน พล.อ.ประยุทธ์ กลับมาเป็นนายกฯ และหันมาสนับสนุน อภิสิทธิ์ เป็นนายกฯ แทนเพื่อให้ทุกอย่างเดินหน้าต่อไปได้นั้น ก็อาจไม่ใช่ทางเลือกที่พรรคพลังประชารัฐสามารถยอมได้

สุดท้ายหลังการเลือกตั้งโอกาสที่จะเกิดสภาพสุญญากาศ ไม่มีพรรคไหนรวมเสียงข้างมากจัดตั้งรัฐบาลได้จึงเป็นไปได้สูง ทางออกจึงอยู่ที่การหว่านล้อมจูงใจและยื่นข้อเสนอเพื่อหาเสียงมาสนับสนุนขั้วของตัวเองให้สามารถเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลได้

แต่เมื่อจุดยืนของทั้ง 3 ขั้ว ค่อนข้างชัดเจนแล้ว การจะยกแพ็กไปสนับสนุนฝั่งใดฝั่งหนึ่งอาจไม่ใช่เรื่องง่าย ทางออกที่พอจะเป็นไปได้คือการเจาะดึง สส.เป็นรายบุคคล เพื่อให้มาช่วยโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี เพราะถือเป็นเอกสิทธิของ สส.แต่ละคนที่จะใช้วิจารณญาณของตัวเอง

ปรากฏการณ์ “งูเห่า” ซึ่งแม้จะไม่ใช่วิถีทางที่ควรจะเป็นในยุคปฏิรูปการเมือง โดยเฉพาะหากเกี่ยวข้องกับเรื่องการต่อรองผลประโยชน์ อันจะทำให้การเมืองวนกลับไปสู่วังวนเดิมๆ แต่ก็อาจเป็นทางออกเพียงไม่กี่ทางที่จะพาการเมืองให้เดินหน้าต่อไปได้ในวันที่ทุกอย่างกำลังจะเดินหน้าไปสู่ทางตันไร้หนทางเดินต่อไป ขึ้นอยู่ที่ว่าใครจะคุมเสียง และหาเสียงสนับสนุนได้มากกว่ากัน

โดดเดี่ยว “บิ๊กตู่” ผนึกกำลังโค้งสุดท้าย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/politic/analysis/583334

  • วันที่ 15 มี.ค. 2562 เวลา 07:37 น.

โดดเดี่ยว "บิ๊กตู่" ผนึกกำลังโค้งสุดท้าย

โดย…ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์

อุณหภูมิการเมืองทวีความเดือดมากขึ้นไปทุกที โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันที่ 17 มี.ค. จะมีการเลือกตั้งล่วงหน้าในประเทศไทย แน่นอนว่าตลอดทั้งสัปดาห์นี้บรรดาพรรคการเมืองต้องเดินเกมชิงเหลี่ยมกัน เพื่อเก็บแต้มให้ได้มากที่สุด ก่อนเข้าสู่ศึกใหญ่ในสัปดาห์หน้า ซึ่งเป็นสัปดาห์สุดท้ายก่อนการเลือกตั้งใหญ่วันที่ 24 มี.ค.กลยุทธ์หรือลูกไม้หนึ่งที่แต่ละพรรคงัดขึ้นมากันในระยะนี้ คือ การโจมตี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ซึ่งจะเห็นได้ว่าพรรคการเมืองจำนวนไม่น้อยได้ออกมาดิสเครดิตหรือพาดพิงว่าที่ นายกฯ จากพรรคพลังประชารัฐแบบไม่ไว้หน้าทั้งโดยตรงและโดยอ้อมกันเลยทีเดียว

“อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ประกาศชัดเจนว่าไม่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรี จากเดิมที่เวลาถูกถามถึงเรื่องจุดยืนทางการเมืองที่มีต่อ พล.อ.ประยุทธ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ มักจะตอบคำถามนี้ด้วยอาการเลียบๆ เคียงๆ มาตลอด

แม้ลูกไม้นี้ของพรรคประชาธิปัตย์ จะถูกมองว่าเป็นการชิงจังหวะเพื่อหวังดึงคะแนนคนเบื่อลุงให้มาอยู่กับพรรคประชาธิปัตย์ แต่ด้านหนึ่งก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการประกาศจุดยืนทางการเมืองชัดเจนในลักษณะนี้น่าจะได้ใจจากคนรุ่นใหม่ไม่มากก็น้อย

เช่นเดียวกับ พรรคภูมิใจไทย ของ “อนุทิน ชาญวีรกูล” หัวหน้าพรรค ซึ่งเมื่อไม่นานมานี้เพิ่งถูก พล.อ.ประยุทธ์ ท้วงติงเรื่องนโยบายการให้ประชาชนปลุกกัญชา ปรากฏว่าได้ประกาศท่าทีด้วยการขอยืนอยู่ตรงข้ามกองทัพ

“แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีที่พรรคภูมิใจไทยจะสนับสนุน ต้องเป็น สส. และมาจากเสียงส่วนใหญ่ของสภาผู้แทนราษฎร เราไม่ยอมให้กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งที่ไม่ได้มาจากประชาชนมาเป็นผู้กำหนด เรารับไม่ได้ที่จะให้คนที่ไม่ได้มาจากประชาชนมาเลือกนายกฯ” ท่าทีของหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เมื่อวันที่ 6 มี.ค.

ขณะที่พรรคเพื่อไทยขาประจำของ คสช.ได้เปิดตัวแคมเปญ “เอาลุงคืนไป เอาเงินในประเป๋าคืนมา” แม้จะไม่ได้บอกตรงว่าลุงในที่นี้หมายถึงใคร แต่แน่นอนย่อมเป็นคนที่คุณรู้ว่าใคร

ส่วนพรรคการเมืองขนาดกลางอื่นๆ ยังคงสงวนท่าทีต่อการสนับสนุนบุคคลเป็นนายกฯ อยู่พอสมควร ทั้งพรรคชาติไทยพัฒนา พรรคชาติพัฒนา ถ้าจะบอกว่าเป็นการกั๊กเพื่อรอร่วมเป็นรัฐบาลโดยไม่สนขั้วการเมืองก็คงไม่ผิดนัก

จากภาพรวมที่ปรากฏให้เห็นนั้นพอจะเป็นสัญญาณที่ชี้ลงไปว่า “พรรคพลังประชารัฐ” กำลังถูกโดดเดี่ยวทางการเมืองอย่างเห็นได้ชัด

ก่อนอื่นต้องยอมรับว่าคะแนนความนิยมของ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ได้เป็นต่อว่าที่นายกฯ คนอื่นๆ เท่าใดนัก ซึ่งแม้แต่ภายในพรรคพลังประชารัฐเองก็ต่างทราบถึงเรื่องนี้เป็นอย่างดี มิเช่นนั้นแล้วถ้าคะแนนของบิ๊กตู่ดีจริง พรรคก็ควรเปิดทางให้ พล.อ.ประยุทธ์ เข้าร่วมขบวนเดินสายปราศรัย เพื่อแสดงวิสัยทัศน์และจุดยืนหรือพร้อมสนับสนุนให้ พล.อ.ประยุทธ์ ขึ้นเวทีดีเบต

แต่ทั้งหมดไม่ได้มีการดำเนินการเลยแม้แต่น้อย มีแต่เพียงการหาเสียงโดยอ้างถึงการจะเดินหน้าต่อ ยอดนโยบายของรัฐบาลปัจจุบันเท่านั้น

ด้วยเหตุนี้พรรคการเมืองจึงมองเห็นแล้วว่าหากยังแสดงจุดยืนที่มีจุดเกาะเกี่ยวกับพรรคพลังประชารัฐ จะมีผลให้พรรคตัวเองถกฉุดคะแนนลงไปด้วย ทางที่ดีสู้ประกาศให้ชัดไปเลยดีกว่า จึงไม่แปลกที่จะทำให้คนในฟากรัฐบาลอย่าง “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” รองนายกฯ หัวเสียพอสมควร

“มีหัวหน้าพรรคการเมืองบางพรรคบอกว่าไม่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ พูดเร็วไปไหม จะบอยคอตอะไรกันอีก เมื่อก่อนก็บอยคอตมาแล้ว 2 รอบ บอยคอตเสร็จอะไรตามมาล่ะ คนไทยลืมง่ายใช่ไหม นี่บอยคอตอีกล่ะ แต่นี่ไม่ได้บอยคอตเลือกตั้ง แต่บอยคอตนายกฯ เลย ว่าไม่ควรเป็นนายกฯ” คำพูดจากรองนายกฯ สมคิด

ภาพที่คนไทยได้เห็นว่าถ้าจะบอกว่าพรรคพลังประชารัฐกำลังตกที่นั่งลำบาก ก็คงไม่ได้เป็นการกล่าวเกินไปจากความจริงเท่าใดนัก เนื่องจากเงื่อนไขเดียวที่จะทำให้พรรคพลังประชารัฐเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลได้ คือ ต้องมี สส.ในพรรคระดับ 120-150 คน

ถ้าต่ำกว่านั้นคงไม่มีพรรคไหนยอมให้บิ๊กตู่เป็นนายกฯ แน่นอน ครั้นจะไปหวังพึ่ง สว.อีก 250 คน จริงอยู่ สว.จากการจิ้มเลือกของคสช.ย่อมเทคะแนนให้บิ๊กตู่อย่างไม่ต้องสงสัย แต่หลังจากนั้นรัฐบาลพรรคพลังประชารัฐในฐานะเสียงข้างน้อยในสภาผู้แทนราษฎรจะไปได้สักกี่น้ำ ลองนึกดูว่าถ้าเสนอกฎหมายงบประมาณเข้าสภา แต่ สส.ไม่ยกมือรับหลักการให้ เสถียรภาพของรัฐบาลน่าจะง่อนแง่นพอสมควร

เมื่อพรรคพลังประชารัฐไม่ได้เป็นผู้คุมเกมการเลือกตั้งครั้งนี้ พรรคการเมืองอื่นๆ จึงเลือกประกาศอิสรภาพเพื่อตอบโต้ในช่วงที่กระแสลุงตู่ไม่ค่อยเปรี้ยงปร้าง การโดดเดี่ยวพรรคพลังประชารัฐจึงเกิดขึ้น

หมากเกมนี้สามารถแก้ไขได้โดยไม่ได้มีอะไรซับซ้อน ด้วยการทำให้พรรคพลังประชารัฐได้ สส.เกิน 120 คน เพื่อให้ความได้เปรียบกลับมาที่ตัวเองอีกครั้ง แต่มีคำถามว่าพรรคพลังประชารัฐจะทำได้หรือไม่ ภายใต้สถานการณ์แบบนี้

สว.สรรหาจุดบอด ฉุดคะแนน’บิ๊กตู่’

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/politic/analysis/583198

  • วันที่ 14 มี.ค. 2562 เวลา 07:21 น.

สว.สรรหาจุดบอด ฉุดคะแนน'บิ๊กตู่'

โดย…ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์

การเลือกตั้ง สส.ช่วงโค้งสุดท้ายว่าเข้มข้นแล้ว แต่อีกด้านมีความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับการสรรหา สว.ที่มีความดุเดือดไม่แพ้กัน ภายหลังคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ตั้งคณะกรรมการสรรหาขึ้นมาอย่างเป็นทางการ โดยมี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม เป็นประธาน

ย้ำกันอีกครั้งว่าสำหรับกระบวนการในการได้มาซึ่ง สว.จำนวน 250 คน ตามบทเฉพาะกาลที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญมีด้วยกัน ดังนี้

1.สว.โดยตำแหน่ง 6 คนประกอบด้วย ผู้บัญชาการกองทัพไทย ผู้บัญชาการทหารบก ผู้บัญชาการทหารเรือ ผู้บัญชาทหารอากาศ ผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และปลัดกระทรวงกลาโหม เท่ากับว่าวุฒิสภาชุดใหม่จะปรากฏชื่อ “บิ๊กแดง”  พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ เข้ามานั่งประชุมในสภาและร่วมโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีด้วย

2.สว.จากการสรรหา 194 คน จะเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการสรรหาในการคัดเลือกผู้มีความรู้ความสามารถที่เหมาะสมในอันจะเป็นประโยชน์แก่การปฏิบัติหน้าที่ของวุฒิสภาและการปฏิรูปประเทศมี จำนวนไม่เกิน 400 คน และให้ คสช.เลือกให้เหลือ 194 คน

3.สว.จากการเลือกกันเองของ ผู้สมัคร 50 คน เริ่มแรกจะเป็นการเลือกกันเองของผู้สมัครที่เข้ามาตามระบบที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กำหนด โดยเมื่อเลือกกันเองจนได้ 200 คนแล้ว กกต.จะส่งให้ คสช.พิจารณาคัดเลือกให้เหลือ 50 คนต่อไป

ทั้งหมดนี้ คสช.ต้องทำการคัดเลือก สว.ให้ได้จำนวน 250 คน ให้แล้วเสร็จภายใน 3 วันนับแต่วันประกาศผลการเลือกตั้ง สส.

หมายความว่าประมาณกลางเดือน พ.ค. คนทั้งประเทศจะได้เห็นโฉมหน้า สว. เนื่องจากเป็นจังหวะเดียวกับกรอบเวลาที่ กกต.ต้องประกาศรับรองผลการเลือกตั้ง สส.ให้ได้จำนวน 95% หรือ 475 คน จาก สส.ทั้งหมด 500 คน ภายใน 60 วันนับแต่วันเลือกตั้ง

การได้มาซึ่ง สว.ด้วยวิธีการสรรหานั้นไม่ได้เป็นเรื่องใหม่ของการเมืองไทย เพราะรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 เคยกำหนดให้ สว.มาด้วยวิธีการดังกล่าวเช่นกัน เพียงแต่องค์กรที่มาทำหน้าที่สรรหา สว. คือ องค์กรอิสระ ซึ่งไม่ได้มีส่วนได้เสียโดยตรง เมื่อเทียบกับการสรรหา สว.โดย คสช.ตามที่ปรากฏในปัจจุบัน

เหตุที่ต้องบอกว่าการสรรหาของ คสช.ก่อให้เกิดส่วนได้เสียโดยตรง เนื่องจากต้องไม่ลืมว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา สวมหมวกหลายใบมากในตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็น ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช. และบัญชีรายชื่อนายกฯ ของพรรคพลังประชารัฐ

อีกทั้งวุฒิสภาจะเข้ามาร่วมเลือกนายกฯ ด้วย ยิ่งเป็นการตอกย้ำว่า พล.อ.ประยุทธ์ กำลังมีส่วนได้เสียเข้าไปอีก จึงไม่แปลกที่จะเกิดกระแส ไม่พอใจตามมาค่อนข้างมาก โดยเฉพาะภายหลังเริ่มปรากฏรายงานหรือโผรายชื่อตัวเต็งที่จะเข้ามาเป็น สว. ชุดแรกของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560

ประกอบกับท่าทีของรัฐบาลก่อนหน้านี้ที่เคยระบุว่า สว.สรรหาอาจจะมาจากอดีตสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) หรือแม้แต่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ที่กำลังหน้าที่ในปัจจุบัน ยิ่งเป็นเชื้อไฟที่ทำให้กระแสความไม่พอใจเพิ่มสูงขึ้น

ในมุมของ คสช.ทราบถึงกระแสนี้ดี แต่ภายใต้สถานการณ์ปัจจุบัน ปฏิเสธไม่ได้ว่า คสช.ไม่ได้มีทางเลือกทางการเมืองมากนัก

การเลือกตั้งยิ่งใกล้เข้ามามาก เท่าไหร่ ย่อมหมายความว่าอำนาจกำลังหลุดไปจาก คสช.มากขึ้นเท่านั้น หนทางเดียวที่ทำให้เกิดหลักประกันว่า คสช.จะไม่ถูกเช็กบิลย้อนหลัง คือ การเอาวุฒิสภาเข้าไปถ่วงดุลอำนาจของสภาผู้แทนราษฎร และรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง

ส่งผลให้ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องพยายามดับความหัวร้อนของสังคมด้วยการบอกว่า คสช.จะเลือกคนดีเข้าไปเป็น สว.เพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบถ่วงดุล

“วันนี้ขอแบบนี้ก่อน ไม่อย่างนั้นทุกคนก็อ้างประชาธิปไตย ถ้าเป็นประชาธิปไตยที่ซื่อสัตย์จริงๆ ก็ไม่มีปัญหาใดๆ ทั้งสิ้น ทั้งการเลือกและการคัดสรร ถ้าสำนึกความเป็นไทย สำนึกประเทศชาติ บุญคุณของประเทศ” ท่าทีจาก พล.อ.ประยุทธ์ เมื่อวันที่ 12 มี.ค.

อย่างไรก็ตาม อีกมุมหนึ่งการสรรหา สว.ครั้งนี้กำลังจะเป็นจุดบอดที่อาจส่งผลกระทบครั้งใหญ่ต่อ พล.อ.ประยุทธ์ รวมไปถึงพรรคพลังประชารัฐเช่นกัน

ทั้งนี้ เป็นเพราะกระแสต่อต้านเรื่องการสรรหา สว.ค่อนข้างแรงพอสมควร ภายหลังเริ่มปรากฏว่าประเทศไทยกำลังจะได้คนหน้าเดิมๆ เข้ามาทำหน้าที่นิติบัญญัติ ซึ่งตลอด 5 ปีที่ผ่านมาก็ประจักษ์แก่สายตาคนไทยแล้วว่าพวกเขาเหล่านี้ทำงานเป็นอย่างไร

“สปช.-สปท.-สนช.” ล้วนมีช่องให้ติติงทั้งสิ้น เช่น สปช.เคยคว่ำร่างรัฐธรรมนูญฉบับแรก จนทำให้การ เลือกตั้งล่าช้า สปท.เป็นผู้ตั้งคำถามพ่วง อันเป็นที่มาของการให้ สว.ร่วมเลือกนายกฯ ส่วน สนช.นั้นมีรอยแผลจากการพิจารณากฎหมายในเชิงปริมาณ แต่มีความกังขาในแง่คุณภาพ

การเลือกตั้งครั้งนี้ หาก พล.อ.ประยุทธ์ และพรรคพลังประชารัฐ ต้องพบกับความปราชัย คงโทษใครไม่ได้นอกจากตัวเองที่ก้าวพลาดมาตลอด

‘มาร์ค’ เหนือเมฆ ยกระดับลุ้นนายกฯ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/politic/analysis/583082

  • วันที่ 13 มี.ค. 2562 เวลา 08:33 น.

'มาร์ค' เหนือเมฆ ยกระดับลุ้นนายกฯ

โดย…ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์

“ชัดๆ เลยนะครับ ผมจะไม่สนับสนุนพล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ ต่อแน่นอน เพราะการสืบทอดอำนาจเท่ากับสร้างความขัดแย้ง และขัดกับอุดมการณ์ของพรรคประชาธิปัตย์ที่ว่าประชาชนเป็นใหญ่ 5 ปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจย่ำแย่ ประเทศเสียหายมามากพอแล้ว หมดเวลาเกรงใจแล้วครับ”

เป็นคำพูดของ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเผยแพร่ผ่านคลิปวิดีโอทางเฟซบุ๊กเมื่อวันที่ 10 มี.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการยืนยันอย่างเป็นทางการว่าพรรคประชาธิปัตย์จะไม่สนับสนุน  พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) แคนดิเดต นายกฯ ของพรรคพลังประชารัฐเป็นนายกฯ

การขยับตัวของอภิสิทธิ์ครั้งนี้ นับว่ามีนัยทางการเมืองพอสมควร เพราะการทำเช่นนั้นแทบไม่ต่างอะไรกับการประกาศสงครามกับ คสช.และ พล.อ.ประยุทธ์

ส่งผลให้มีคำถามตามมาว่าอดีตนายกฯ อภิสิทธิ์กำลังคิดการใหญ่อยู่ใช่หรือไม่?

นับตั้งแต่เข้าสู่ฤดูกาลหาเสียงเลือกตั้ง ปฏิเสธไม่ได้ว่าอภิสิทธิ์เป็นหนึ่งในแคนดิเดตนายกฯ ที่มีคะแนนความนิยมอยู่ในลำดับต้นๆ มาโดยตลอด ตีคู่มากับทั้ง “คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์” “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” หรือแม้แต่ พล.อ.ประยุทธ์

ที่สำคัญการเลือกตั้งหลายครั้งก่อนหน้านี้ แม้พรรคประชาธิปัตย์จะไม่ได้ชนะเลือกตั้งเป็นที่หนึ่ง แต่การหายใจรดต้นคอพรรคเพื่อไทยมาเป็นที่สองได้นั้น ย่อมแสดงให้เห็นว่าฐานคะแนนของพรรคมีความเข้มแข็งพอสมควร

มองลึกลงไปแล้ว พรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคหนึ่งที่อยู่บนสถานการณ์ที่ตัวเองได้เปรียบพอสมควร ซึ่งไม่ใช่เรื่องคะแนนเลือกตั้ง แต่เป็นท่าทีทางการเมืองต่างหาก

การเลือกตั้งที่กำลังจะมีขึ้นอยู่ในเวลานี้อยู่ภายใต้ความหวาดระแวงและการถูกตั้งคำถามพอสมควรว่าถ้าเลือกตั้งไปแล้ว ประเทศจะสงบหรือไม่ โดยเฉพาะหากนายกรัฐมนตรีคนต่อไปมาจากพรรคเพื่อไทยหรือพรรคพลังประชารัฐ

ในกรณีของพรรคเพื่อไทยปฏิเสธไม่ได้ว่าหากขึ้นมาเป็นรัฐบาล อาจมีผลให้การเมืองทวีความดุเดือดมากขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะก่อนหน้านี้ทั้งคุณหญิงสุดารัตน์และ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ. เพิ่งมีวิวาทะกันจนเป็นที่มาของคำว่า “หนักแผ่นดิน”

ดังนั้น ถ้าพรรคเพื่อไทยขึ้นมาเป็นรัฐบาล อาจทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลกับกองทัพสั่นคลอนอีกครั้ง เพราะกองทัพและ คสช.เองก็ยังไม่ไว้วางใจพรรคเพื่อไทยมากนัก

ส่วนสถานการณ์ของพรรคพลังประชารัฐ ถึงจะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับภาคส่วนต่างๆ แต่ภายในพรรคนั้นก็มีสนิมเกาะอยู่ไม่น้อย

โครงสร้างของพรรคพลังประชารัฐเป็นการเกาะตัวกันหลวมๆ ของกลุ่มการเมือง ได้แก่ กลุ่มอดีตรัฐมนตรีของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ กลุ่มสามมิตรที่เป็นนักเลือกตั้งอาชีพ กลุ่มอดีตแกนนำ กปปส. เป็นต้น

ถามว่ากลุ่มการเมืองเหล่านี้มีสัมพันธ์ที่ดีต่อกันที่พร้อมลงเรือลำเดียวกันไปตลอดรอดฝั่งหรือไม่ คำตอบ คือ “ไม่มีทางแน่นอน”

ความระหองระแหงภายในพรรคเริ่มปรากฏให้เห็นตั้งแต่การจัดลำดับ ผู้สมัคร สส.บัญชีรายชื่อที่มีความไม่ลงรอยกันระหว่างกลุ่มสามมิตรและกลุ่มอดีต กปปส. จนมาถึงการยกเลิกการปราศรัยของ พล.อ.ประยุทธ์ ทั้งๆ ที่พรรคเคยหวังว่าจะเป็นไม้เด็ดในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนเลือกตั้ง

ปัญหาอย่างหลังนั้นดูเหมือนว่าจะคาราคาซังมากที่สุด เนื่องจากนักเลือกตั้งของพรรคเริ่มยอมรับแล้วว่ากระแสของ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ได้ดีและไม่ได้โดดเด่นอย่างที่เคยคิดกันไว้

ตรงนี้เองที่ทำให้พรรคประชาธิปัตย์และอภิสิทธิ์เริ่มมองเห็นโอกาสของตัวเองในการกลับมาเป็นรัฐบาลมากขึ้น ด้วยหลักคิดที่ว่า “กองทัพไม่ไว้ใจพรรคเพื่อไทยและสังคมเบื่อบิ๊กตู่”

ดังนั้น พรรคประชาธิปัตย์ในฐานะที่อยู่ตรงกลางก็อาจมีโอกาสรวมเสียงเพื่อตั้งรัฐบาลได้เช่นกัน แม้ว่าจะไม่ได้เสียงเป็นอันดับหนึ่งในการเลือกตั้งก็ตาม

โจทย์แรกที่พรรคประชาธิปัตย์ต้องทำให้ได้ คือ การทำให้พรรคมี สส.มากกว่า 100 คนขึ้นไป เพื่อให้ได้เสียง สส.ที่ใกล้เคียงกับพรรคเพื่อไทยมากที่สุด

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ โอกาสที่พรรคเพื่อไทยในฐานะพรรคอันดับหนึ่งที่ไม่ได้เสียงเด็ดขาดจะรวมเสียงเพื่อตั้งรัฐบาลก็มีความเป็นไปได้ยาก

เท่ากับว่าโอกาสจะกลับมาที่พรรคประชาธิปัตย์ทันที      แม้พรรคประชาธิปัตย์จะมีวิวาทะกับ คสช.อยู่หลายครั้ง แต่ถ้าให้ คสช.เลือกระหว่างพรรคประชาธิปัตย์และพรรคเพื่อไทย คำตอบที่ได้ทุกคนย่อมเป็นประชาธิปัตย์แน่นอน เพราะอย่างน้อย ผบ.ทบ.คนนี้เคยทำงานกับอภิสิทธิ์เมื่อครั้งเป็นนายกฯ มาก่อน

เมื่อพรรคประชาธิปัตย์ได้เป็นผู้นำ ตั้งรัฐบาล บรรดา สส.พรรคการเมือง อื่นๆ หรือแม้แต่จากพรรคพลังประชารัฐเองพร้อมจะเข้ามาร่วมเป็นรัฐบาลด้วย

ไม่เพียงเท่านี้ สว.ของ คสช.ยินดียกมือให้พรรคประชาธิปัตย์เช่นกัน เพราะเมื่อพรรคพลังประชารัฐพาบิ๊กตู่ไปไม่ถึงดวงดาว ก็ไม่ควรให้พรรคเพื่อไทยไปถึงเส้นชัยได้เช่นกัน

หมากเกมนี้ของคนหน้าหล่อ ล้ำลึก และเหนือเมฆขนานแท้

โค้งสุดท้าย”บิ๊กตู่”รีเทิร์นนายกฯยาก

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/politic/analysis/582944

  • วันที่ 12 มี.ค. 2562 เวลา 07:17 น.

โค้งสุดท้าย"บิ๊กตู่"รีเทิร์นนายกฯยาก

โดย…ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์

การออกมาชิงจังหวะโค้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้งประกาศจุดยืน ไม่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี ของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นอกจากจะยิ่งทำให้ขั้วของ 3 กลุ่มการเมืองมีความชัดเจนมากขึ้นแล้ว อีกด้านหนึ่งยังทำให้พรรคประชาธิปัตย์พลิกบทบาทกลับมา มีแต้มต่อที่สำคัญในทิศทางการเมือง นับจากนี้เป็นต้นไป

การแสดงออกครั้งนี้ของพรรคประชาธิปัตย์ถือเป็นท่าทีความชัดเจนที่แตกต่างจากทุกครั้ง โดยเป็นการตั้งโต๊ะแถลงอย่างเป็นระบบ นำโดย อภิสิทธิ์ พร้อมคณะกรรมการบริหาร อาทิ กรณ์ จาติกวณิช, เกียรติ สิทธีอมร, พนิช วิกิตเศรษฐ์, สุทัศน์ เงินหมื่น ซึ่งพูดชัดถ้อยชัดคำว่าไม่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรี เพราะเป็นการสืบทอดอำนาจ สร้างความขัดแย้งและขัดกับอุดมการณ์ของพรรคประชาธิปัตย์

“ยืนยันว่าเป็นการพูดในฐานะหัวหน้าพรรคและเป็นไปตามอุดมการณ์ของพรรค ดังนั้น จึงไม่ควรมีคำถามว่าเป็นจุดยืนของพรรคหรือไม่ เพราะหากดูตามข้อบังคับพรรคและกลไกการทำงานย่อมต้องมีมติพรรค พรรคไม่อาจมีจุดยืนที่ขัดกับอุดมการณ์ของตัวเองที่ประกาศไว้เมื่อ 70 ปีได้ ซึ่งหากสิ่งที่ประกาศทำให้เสียคะแนน ผมยินดี เพราะคือความเป็นธรรมสำหรับผู้มีสิทธิเลือกตั้งซึ่งสำคัญกว่า”

สิ่งที่สำคัญจากการประกาศจุดยืนของอภิสิทธิ์ครั้งนี้ คือ ทำให้สถานะของพรรคประชาธิปัตย์กลับมาเป็นอีกขั้วการเมืองที่มีแต้มต่อพร้อมจะเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล จากเดิมที่เคยถูกมองว่าเป็นเพียงตัวแปรทางการเมือง รอดูแค่ว่าจะเลือกร่วมสนับสนุนฝั่งพรรคเพื่อไทย หรือพรรคพลังประชารัฐ เป็นรัฐบาล

ในการแถลงจุดยืนครั้งนี้ อภิสิทธิ์ประกาศชัดเจนว่า ประชาชนมี 3 ทางเลือก คือ ประชาธิปัตย์ เพื่อไทย และพลังประชารัฐ ซึ่งเรื่องที่สำคัญที่สุดในการเป็นรัฐบาลของพรรคประชาธิปัตย์นั้น ขณะนี้เรามุ่งสู่การเป็นแกนนำรัฐบาล ไม่ใช่พรรคร่วมรัฐบาล จึงต้องจัดตั้งรัฐบาลบนพื้นฐานของอุดมการณ์และนโยบาย และสิ่งที่แสดงจุดยืนออกไปสองครั้ง ชัดเจนว่าเราจะต้องจัดตั้งรัฐบาลแบบไม่มีทุจริตและไม่สืบทอดอำนาจ

ที่ผ่านมา การประกาศจุดยืนมีปฏิกิริยาจากทั้งสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งพยายามผลักดันให้เดินกลับไปสู่การสร้างวาทกรรมเดิมๆ คือ หากไม่เลือก พล.อ.ประยุทธ์ หมายถึงต้องจับมือกับพรรคเพื่อไทยตราบเท่าที่พรรคเพื่อไทยไม่สามารถออกมาจากการครอบงำของคนกลุ่มเล็กๆ ที่มีผลประโยชน์ที่ขัดกับผลประโยชน์ของประเทศ พรรคประชาธิปัตย์ก็ไม่สามารถร่วมงานด้วยได้

“ที่สำคัญ จนถึงทุกวันนี้ไม่มีสัญญาการเปลี่ยนแปลงทำงานทางการเมืองของกลุ่มพรรคการเมืองฝ่ายนี้ อีกด้านหนึ่งก็ไม่ตกหลุมพรางของเครือข่ายของระบอบทักษิณที่พยายามบีบเพื่อให้เราไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ เขาถามว่าจะร่วมกับพรรคพลังประชารัฐหรือไม่ ขอตอบให้ชัดอีกครั้ง ว่าหากพรรคพลังประชารัฐต้องการสืบทอดอำนาจ ประชาธิปัตย์ไม่ร่วมด้วย”

การประกาศจุดยืนของตัวเองไม่ร่วมกับฝั่งทุจริต และสืบทอดอำนาจ แม้ด้านหนึ่งจะทำให้พรรคประชาธิปัตย์ถูกมองว่าจะต้องถูกโดดเดี่ยวหรือเตรียมตัวเป็นฝ่ายค้านตั้งแต่ยังไม่ทันเลือกตั้ง

แต่หากพิจารณาลึกลงไปแล้วการเสนอตัวเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลของพรรคประชาธิปัตย์ครั้งนี้ นับเป็นการเปิดเกมรุกครั้งสำคัญของพรรคประชาธิปัตย์ เพราะรู้อยู่แล้วว่าด้วยข้อจำกัดจำนวนเสียงคร่าวๆ ของแต่ละขั้วที่เป็นอยู่ในเวลานี้ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ฝั่งใดฝั่งหนึ่งจะสามารถรวมเสียงเพียงพอกับการจัดตั้งรัฐบาลได้โดยง่าย โดยเฉพาะเมื่อมีตัวแปร 250 เสียงของ สว.เฉพาะกาล ที่จะเข้ามีส่วนร่วมเลือกนายกรัฐมนตรี

ประเมินคร่าวๆ ต่อให้ฝั่งพรรคเพื่อไทยและพรรคพันธมิตรได้คะแนนเสียงรวมกันแล้วเกิน 250 เสียง ก็อาจไม่ง่ายที่จะหาเสียงเพิ่มอีก 126 เสียงเพื่อโหวตให้ฝั่งพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล หาก  250 เสียง จาก สว. และเสียงอีกประมาณ 100 เสียงไม่สนับสนุน

เช่นเดียวกันกับฝั่งพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งต่อให้ได้เสียงเกิน 100 และรวมกับ 250 เสียงจาก สว. ซึ่งเพียงพอจะหาเสียงเพิ่มอีกเล็กน้อยก็จะได้เสียง 376 เสียง เพียงพอจะผลักดัน พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรีได้ แต่ในทางปฏิบัติก็จะเป็นปัญหาในอนาคตหากไม่ได้เสียงเฉพาะ สส.เกิน 250 เสียง ซึ่งจะทำให้เป็นรัฐบาลเสียง ข้างน้อยขาดเสถียรภาพ

ดังนั้น หากพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งคาดว่าจะมีเสียงประมาณ 100 เสียง ประกาศไม่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ โอกาสที่จะจัดตั้งรัฐบาลของพรรคพลังประชารัฐก็ไม่ใช่เรื่องง่าย

เป้าหมายที่หลายฝ่ายพยายามจะผลักดัน พล.อ.ประยุทธ์ กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีต่ออีกสมัย จึงดูริบหรี่จากจุดยืนที่อภิสิทธิ์ประกาศ

กลไกที่ออกแบบมาอย่างเป็นระบบทั้งระบบเลือกตั้งแบบจัดสรรปันส่วนผสมที่ทำให้พรรคเพื่อไทยต้องแตกออกเป็นพรรคต่างๆ เพื่อให้ได้คะแนนบัญชีรายชื่อมากที่สุด ไปจนถึงตัวช่วย 250 เสียงของ สว.เฉพาะกาล สุดท้ายจึงอาจไม่เป็นผลในทางปฏิบัติ

สุดท้ายย่อมนำไปสู่สภาพยักแย่ยักยันที่ไม่อาจมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งสามารถเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลได้ ซึ่งไม่ง่ายที่จะเดินหน้าไปสู่การใช้เสียงปลดล็อกไปหานายกรัฐมนตรีคนนอก ทางเลือกที่ยังเหลืออยู่ จึงอาจเป็นการบีบให้พรรคพลังประชารัฐมาร่วมสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล

ซึ่งเป็นเรื่องที่พรรคพลังประชารัฐซึ่งวางตัว พล.อ.ประยุทธ์ เป็นแคนดิเดต นายรัฐมนตรีเพียงคนเดียวในบัญชีจะต้องตัดสินใจว่าจะเลือกเดินต่อไปอย่างไร

โค้งสุดท้ายเลือกตั้ง “ปชป.” ปิดประตูร่วม “เพื่อไทย” ตั้งรัฐบาล

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/politic/analysis/582849

  • วันที่ 11 มี.ค. 2562 เวลา 08:45 น.

โค้งสุดท้ายเลือกตั้ง "ปชป." ปิดประตูร่วม "เพื่อไทย" ตั้งรัฐบาล

ท่าทีจากพรรคประชาธิปัตย์ในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนเลือกตั้งเป็นที่ชัดเจนว่าจะไม่ร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย

******************************

โดย…ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์

สัญญาณการเมืองชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะกับท่าทีความชัดเจนจากพรรคประชาธิปัตย์ในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้ง 24 มี.ค. เมื่อ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้โพสต์คลิปวิดีโอแสดงจุดยืนทางการเมืองผ่านเฟซบุ๊กความยาว 40 วินาที ตอบคำถามว่าจะสนับสนุนพรรคการเมืองที่มีประวัติทุจริตหรือไม่

“ผมไม่มีวันจะยอมให้พรรคที่ทุจริตนำประเทศ ไม่เอาทั้งพวกบกพร่องโดยสุจริต หรือทุจริตเชิงนโยบาย เอาเสียงของประชาชนมาหาผลประโยชน์ให้กับคนกลุ่มเดียว นายกฯ 4 คนของพรรคประชาธิปัตย์ ไม่เคยมีมลทินเรื่องทุจริต รัฐมนตรีในรัฐบาลเรามีเรื่องอื้อฉาว ทุจริต ลาออกทันที เพราะสำหรับประชาธิปัตย์ ประชาธิปไตยจะใช้การได้ ต้องสุจริตเท่านั้น หมดเวลาเกรงใจแล้วครับ”

ในมุมหนึ่งท่าทีดังกล่าวถือเป็นการแสดงศักยภาพเน้นจุดแข็งของพรรคประชาธิปัตย์โดยชูเรื่องสุจริตมาเป็นจุดขาย เพื่อเรียกคะแนนในช่วงโค้งสุดท้าย กับการสร้างความแตกต่างกับพรรคการเมืองอื่นๆ ด้วยการหยิบยกประวัติทางการเมืองมาแสดงให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ ดังจะเห็นจาก นายกรัฐมนตรี 4 คนของพรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยมีมลทินเรื่องทุจริต ไปจนถึงเรื่องสปิริตทางการเมืองที่ให้รัฐมนตรีที่มีเรื่องอื้อฉาวทุจริตลาออกในทันที

แต่นัยที่สำคัญจากคลิปดังกล่าว คือ การประกาศความชัดเจนต่อทิศทางการร่วมมือจัดตั้งรัฐบาลในอนาคต ที่พูดชัดเจนว่าจะไม่ให้พรรคที่ทุจริตมานำประเทศ ทั้งบกพร่องโดยสุจริต หรือทุจริตเชิงนโยบาย ซึ่งถูกมองว่าเป็นความตั้งใจเจาะจงไปถึงพรรคเพื่อไทย ที่แกนนำในพรรคหลายคนมีคดีความพัวพันกับเรื่องอื้อฉาวในช่วงที่ผ่านมา

ท่าทีดังกล่าวของประชาธิปัตย์จึงเท่ากับเป็นการประกาศตัดสัมพันธ์ไม่ร่วมเป็นรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทยในอนาคต จากก่อนหน้านี้ที่ยังไม่เคยประกาศเต็มปากเต็มคำ มีเพียงแค่พูดถึงภาพรวมกว้างๆ เกี่ยวกับการเลือกร่วมรัฐบาลหลังเลือกตั้งกับพรรคหนึ่งพรรคใดที่จะต้องพิจารณาแนวนโยบายและจุดยืนทางการเมืองที่สอดรับกัน จนทำให้ถูกมองว่าการไม่ปฏิเสธให้ชัดเจนเสมือนเป็นการเปิดทางให้ร่วมงานกันได้ในอนาคต

โดยเฉพาะอย่างยิ่งก่อนหน้านี้ อภิสิทธิ์ เคยออกมาประกาศเรียกร้องว่า หลังจากได้การเลือกตั้งที่เสรีและเป็นธรรมแล้ว การจัดตั้งรัฐบาลต้องเคารพเสียงประชาชน แม้ว่า สว.250 คน จะมีอำนาจตามรัฐธรรมนูญ แต่ต้องการให้เสียง 250 สว. เคารพการตัดสินใจของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง

หมายความว่า ถ้าพรรคการเมืองรวมกลุ่มกันได้เกิน 250 สว. ควรสนับสนุนให้เขาตั้งรัฐบาล จึงจะสะท้อนเจตนารมณ์ของประชาชนอย่างแท้จริง จึงอยากให้ทุกพรรคการเมืองตกลงกันว่าเลือกตั้งเสร็จอย่าวิ่งไปหาสว.250 คน แต่ควรตกลงกันว่าใครอยากจับมือกับใคร

พร้อมกันนี้ อภิสิทธิ์ ยังระบุด้วยว่า “ผมพูดไปแล้วว่าประชาธิปัตย์ต่ำกว่า 100 ผมลาออก และขอถามพรรคการเมืองอื่นว่าถ้าได้ต่ำกว่าร้อยยังจะกล้าเสนอชื่อนายกฯ ในบัญชีพรรคตัวเองหรือไม่”

ในครั้งนั้นนอกจากจะมองว่าเป็นการสกัดพรรคพลังประชารัฐ ด้วยการเรียกร้องให้บรรดาพรรคการเมืองผนึกกำลังสร้างความเข้มแข็งไม่ให้ 250 สว.เข้ามามีบทบาทจนสามารถแทรกแทรงกลไกการจัดตั้งรัฐบาลได้

แต่อีกด้านหนึ่งกลับถูกตีความว่าเป็นการเปิดช่องสำหรับการจับมือพรรคเพื่อไทย ในกรณีที่จำเป็นต้องผนึกกำลังไม่ให้ สว. 250 เสียง เข้ามามีบทบาทจนเปลี่ยนแปลงเจตนารมณ์ของคนที่ออกมาลงคะแนนใช้สิทธิเลือกตั้ง

ดังนั้น ผลจากการประกาศจุดยืนของอภิสิทธิ์ในครั้งนี้ จึงเท่ากับเป็นการประกาศความชัดเจนจากฝั่งประชาธิปัตย์ว่าจะไม่ร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย ซึ่งจะทำให้ทิศทางการเมืองในอนาคตเริ่มเห็นเค้าลางเพิ่มมากขึ้น

เริ่มตั้งแต่กรณีหากพรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งได้เสียงมากเป็นอันดับแรก แต่โอกาสที่จะเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลก็อาจไม่ใช่เรื่องง่ายนัก หากพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งประกาศไม่ยอมให้พรรคที่ทุจริตมานำประเทศ ไม่ร่วมสนับสนุนพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำตั้งรัฐบาล

แม้ในกรณีที่พรรคเพื่อไทยและพรรคแนวร่วมจะมีเสียงรวมกันเกิน 250 เสียง แต่หากไม่ได้รับเสียงสนับสนุนจากประชาธิปัตย์ และพลังประชารัฐ ย่อมเป็นไปได้ยากที่จะมีเสียงเกิน 376 เสียงจาก 750 เสียง เมื่อ 250 เสียงของ สว.เฉพาะกาลคงไม่เทเสียงไปสนับสนุนไปให้พรรคเพื่อไทยอยู่แล้ว

อีกทั้งการที่เพื่อไทยจะรวมเสียงให้ได้ อีก 126 เสียง โดยไม่มีเสียงสนับสนุนจากประชาธิปัตย์ และพลังประชารัฐ ย่อมเป็นไปได้ยาก ขึ้นอยู่กับพรรคขนาดกลางและขนาดเล็กจะสามารถชนะการเลือกตั้งได้เมื่อไหร่

ในทางกลับกัน เมื่อพรรคเพื่อไทยจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้ โอกาสที่พรรคประชาธิปัตย์จะเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลก็ไม่ง่ายเช่นกัน เพราะประชาธิปัตย์ได้ออกตัวไปแล้วว่าต้องการให้เสียง 250 ของ สว.เคารพการตัดสินใจของผู้มีสิทธิเลือกตั้งดังนั้นลำพังที่ฝั่งประชาธิปัตย์จะสามารถรวมเสียงให้ได้เกิน 376เสียง ย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย

หรือแม้แต่จะหวังให้พรรคเพื่อไทยมาเทคะแนนสนับสนุนประชาธิปัตย์ร่วมเป็นรัฐบาลเพื่อสกัดพรรคพลังประชารัฐก็เป็นไปได้ยากในทางปฏิบัติ

สุดท้ายแล้ว บรรยากาศหลังการเลือกตั้งจึงมีแนวโน้มที่อาจเกิดสภาวะอึมครึมยากที่จะมีพรรคหนึ่งพรรคใดได้รับเสียงสนับสนุนเพียงพอจนสามารถจัดตั้งรัฐบาล

กองทัพ ยกพลตบเท้า ประวัติศาสตร์เสี่ยงซ้ำรอย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/politic/analysis/582614

  • วันที่ 08 มี.ค. 2562 เวลา 08:16 น.

กองทัพ ยกพลตบเท้า ประวัติศาสตร์เสี่ยงซ้ำรอย

โดย…ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์

การเมืองใกล้ช่วงเลือกตั้ง 24 มี.ค. เหมือนจะไม่มีอะไรมากนัก นอกจากการที่แต่ละพรรคการเมืองระดมลงพื้นที่ หาเสียงและขึ้นเวทีประชันวิสัยทัศน์กันอย่างดุเดือด แต่มานาทีนี้ปรากฏว่าการเมืองกำลังใกล้แตะจุดเดือดเข้าให้แล้ว ภายหลังมีความเคลื่อนไหวของกองทัพที่แสดงออกทางการเมืองอย่างมีนัยสำคัญ

ล่าสุด พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ได้เรียกประชุมหน่วยขึ้นตรงกองทัพบก (นขต.ทบ.) วาระพิเศษ และการประชุมผู้บังคับหน่วยระดับกองพันขึ้นไป โดยมีผู้บังคับหน่วยระดับกองพัน ผู้บังคับการกรม ผู้บัญชาการกองพล ผู้บัญชาการมณฑลทหารบก ทั่วประเทศ 796 นาย เมื่อวันที่ 7 มี.ค.

การประชุมครั้งนี้คล้ายกับว่าจะเป็นการประชุมธรรมดา ซึ่งเป็นเรื่องภายในของกองทัพบกเป็นการทั่วไป แต่ความไม่ธรรมดาก็เกิดขึ้น ภายหลัง พล.อ.อภิรัชต์ นำกล่าวคำปฏิญาณตนต่อหน้าพระบรมราชานุสาวรีย์รัชกาลที่ 5 บริเวณหน้าหอประชุมกิติขจร

“ข้าพเจ้าจักรักษาไว้ซึ่งพระบรมเดชานุภาพแห่งพระมหากษัตริย์เจ้าและจักธำรงไว้ซึ่งเกียรติยศ และศักดิ์ศรีของทหาร ข้าพเจ้าในฐานะเจ้าหน้าที่ของรัฐจะสนับสนุนรัฐบาล ที่ยึดมั่น การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีความจงรักภักดี มีธรรมาภิบาล

ข้าพเจ้าจะดูแลช่วยเหลือและเป็นที่พึ่งของประชาชนในทุกโอกาสน่าจะปกครองดูแลผู้ใต้บังคับบัญชาและครอบครัวด้วยความเมตตาและเป็นธรรม” คำกล่าวนำของบิ๊กแดงที่เต็มไปด้วยความขึงขัง

การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นการเลือกตั้งที่กองทัพถูกพาดพิงและถูกวิพากษ์วิจารณ์มากที่สุด

ปฐมเหตุที่ทำให้เกิดวิวาทะเช่นนี้ หนีไม่พ้นการตัดสินใจลงชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในนามพรรคพลังประชารัฐของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)

เป็นที่ทราบกันดีว่าทุกสายตาต่างจับจ้องว่าการเข้ามาในสนามการเมืองของบิ๊กตู่นั้นมีเสียงเชียร์จากกองทัพอยู่ไม่น้อย เพราะในมุมมองของกองทัพเห็นว่าหาก พล.อ.ประยุทธ์ ได้กลับมาเป็นนายกฯ จะช่วยให้กองทัพปลอดจากการแทรกแซงทางการเมืองไปอีกนานพอสมควร

ด้วยเหตุนี้เอง การหาเสียงของพรรคการเมืองจึงได้นำการปฏิรูปกองทัพเป็นแคมเปญหนึ่งในการหาเสียง

“พรรคอนาคตใหม่” กลายเป็นพรรคการเมืองแรกๆ ที่เสนอให้ปรับลดงบประมาณของกระทรวงกลาโหม เพื่อนำงบประมาณที่มีไขมันส่วนเกินของกองทัพมาแปรเป็นสวัสดิการให้กับประชาชน

ตามมาด้วย “พรรคเพื่อไทย” ซึ่งเสนอให้ตัดงบประมาณกองทัพและนำเงินส่วนเกินดังกล่าวมาใช้สำหรับการสร้างอาชีพให้กับประชาชน

กลายเป็นการสร้างวาทะเดือดของ ผบ.ทบ.ที่ว่า “หนักแผ่นดิน” ซึ่งทำให้การเมืองเกิดความเขม็งเกลียวขึ้นมา เพราะจุดเดือดของ ผบ.ทบ.ดูเหมือนจะมีเพดานต่ำพอสมควร

มาจนถึงจุดแตกหักสำคัญระหว่าง “บิ๊กแดง” และ “พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส” หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย การปะฉะดะของสองผู้ยิ่งใหญ่ต่างวงการ นำมาซึ่งการฟ้องร้องเป็นคดีกันอย่างที่ปรากฏให้เห็นในปัจจุบัน

เมื่อกองทัพถูกขบเหลี่ยมจากฝ่ายการเมืองมากขึ้น จึงทำให้กองทัพไม่อาจอยู่เฉยได้และต้องออกมาแสดงพลังให้ฝ่ายการเมืองให้เห็นประหนึ่งว่าแม้ในอนาคตจะมีรัฐบาลจากการเลือกตั้ง แต่กองทัพก็ยังคงมีสถานะเหมือนเดิม ใครจะมาเปลี่ยนแปลงไม่ได้

การแสดงออกของกองทัพที่ออกมา นับว่าสร้างความหวั่นวิตกไม่น้อย เพราะเวลานี้เป็นช่วงโค้งสุดท้ายก่อนวันเข้าคูหาลงคะแนนเลือกตั้ง ซึ่งต้องการบรรยากาศแห่งความเป็นประชาธิปไตยมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

ดังนั้น ท่าทีของ พล.อ.อภิรัชต์ ที่สื่อให้เห็น จึงนำมาสู่คำถามในทำนองว่าจะเกิดการรัฐประหารอีกครั้งหรือไม่ ซึ่งจะว่าไปแล้วกลิ่นอายแทบไม่ต่างกับบรรยากาศที่เกิดขึ้นก่อนการรัฐประหารปี 2549

ในเวลานั้นความขัดแย้งระหว่างกองทัพกับรัฐบาลของ “ทักษิณ ชินวัตร” เกิดความระอุเป็นระยะ เกิดการตั้งคำถามว่าความสัมพันธ์ระหว่างกองทัพกับรัฐบาลนั้นควรมีระยะห่างเป็นอย่างไร

ถ้าใครยังจำกันได้ ขณะนั้นได้เกิดวาทกรรม “จ๊อกกี้กับเจ้าของม้า” เปรียบรัฐบาลเป็นจ๊อกกี้ ส่วนทหารเป็นม้า แต่จ๊อกกี้ไม่ใช่เจ้าของม้า ก่อนนำมาสู่การรัฐประหารในเดือน ก.ย. 2549

เทียบเหตุการณ์ในวันนี้กับวันนั้น ด้านหนึ่งต้องยอมรับว่าอาจมีความแตกต่างกันอยู่บ้าง เพราะปี 2549 กองทัพกับรัฐบาลไม่ได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเหมือนกับในปัจจุบัน

เพียงแต่ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลกับกองทัพในอนาคต จะยังเป็นคำถามต่อไปว่าจ๊อกกี้กับม้าจะไปกันรอดหรือไม่ หากพรรคพลังประชารัฐไม่ได้เป็นรัฐบาล หรือไม่ได้นายกฯ ชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

ดังนั้น การเมืองนับจากนี้ไปจนถึงวันเลือกตั้ง หรือแม้แต่หลังเลือกตั้ง ท่าทีของกองทัพจึงเป็นอีกปัจจัยที่สำคัญอย่างยิ่ง