ผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง รักษาเร็วหยุดความเสี่ยงภูมิแพ้ชนิดอื่น

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/life/healthy/685680

วันที่ 15 มิ.ย. 2565 เวลา 13:50 น.

ผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง รักษาเร็วหยุดความเสี่ยงภูมิแพ้ชนิดอื่น

‘โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง’ แพทย์ย้ำไม่ใช่โรคติดต่อ จัดการได้หากรับการรักษาอย่างตรงจุด รักษาเร็วหยุดความเสี่ยงภูมิแพ้ชนิดอื่น ๆ

เนื่องด้วยสัปดาห์โรคภูมิแพ้โลก หรือ World Allery Week 2022 ที่จัดขึ้นทุกปีในช่วงเดือนมิถุนายน เพื่อสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับผลกระทบของโรคภูมิแพ้  ยิ่งไปกว่านั้น ‘โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง’ ( Atopic Dermatitis) ยังเสมือนด่านปราการแรกในการนำไปสู่โรคภูมิแพ้ชนิดอื่น ๆ จากข้อมูลกว่า 50% พบเกิดอาการร่วมกับโรคภูมิแพ้ทางเดินหายใจ จาม น้ำมูก คัน คัดจมูก โรคหอบหืด รวมถึงการแพ้อาหาร ความเข้าใจและการรักษาอย่างตรงจุดจึงนับเป็นหัวใจสำคัญช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตผู้ป่วยอย่างยั่งยืน

ผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง รักษาเร็วหยุดความเสี่ยงภูมิแพ้ชนิดอื่น

ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านโรคภูมิแพ้มากว่า 30 ปี ศ.ดร.พญ.อรพรรณ โพชนุกูล ผู้อำนวยการศูนย์ความเป็นเลิศด้านโรคภูมิแพ้ โรคหืด และระบบหายใจ โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ และนายกสมาคมสภาองค์กรโรคหืดแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ประเทศไทยทุกวันนี้ มีผู้ป่วยโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนังที่อยู่ในระดับที่รุนแรง ไม่น้อยกว่า 5% หรือประมาณ 500,000 ราย จากประชากรที่เป็นผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง ซึ่งมีอยู่กว่า 10 ล้านคน หรือ 15% ของประชากรไทย แต่กลับมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง มากมาย อาทิ เป็นโรคติดต่อกันได้ ทำให้ผู้ป่วยเกิดความอับอาย โดนรังเกียจจากสังคม ส่งผลกระทบต่อจิตใจ การอาบน้ำช่วยบรรเทาอาการคันหรือระคายเคือง หรือกระทั่งการงดเว้นอาหารบางประเภทจะทำให้อาการต่าง ๆ หายขาด นอกจากนี้ ยังมีความเข้าใจผิดว่าหากใช้สเตียรอยด์แล้วจะหาย ซึ่งสเตียรอยด์เป็นยาต้านการอักเสบ ช่วยเฉพาะผิวภายนอก ไม่ได้ช่วยการอักเสบข้างในหรือไม่ได้ช่วยรักษาจากสาเหตุของเซลล์หรือยีนที่ผิดปกติ หากใช้สเตียรอยด์ไปเรื่อย ๆ ก็จะเกิดการดื้อยา และได้รับผลข้างเคียง ทำให้ผิวหนังบางลงและดูดซึมเข้าร่างกาย ส่งผลต่อการเจริญเติบโตอีกด้วย

ผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง รักษาเร็วหยุดความเสี่ยงภูมิแพ้ชนิดอื่น

ในความเป็นจริงโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง ไม่สามารถติดต่อกันได้ แต่เกิดจากปัจจัยหลักสำคัญ 2 ประการ คือ ปัจจัยภายใน คือ พันธุกรรม หรือมีประวัติครอบครัวเป็นภูมิแพ้หรือภูมิแพ้ผิวหนัง ซึ่งเกิดจากความผิดปกติของยีน และ ปัจจัยภายนอก ได้แก่ สิ่งกระตุ้น เช่น มลพิษต่าง ๆ อาทิ แสงแดด สภาพแวดล้อม รวมถึงสารก่อภูมิแพ้ เช่น ไรฝุ่น ปัจจัยภายนอกนั้นมีผลมากกว่าปัจจัยภายใน เพราะอาการต่าง ๆ อันเนื่องมาจากโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนังนั้น เกี่ยวข้องกับไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตที่ไปกระตุ้นให้เกิดอาการระคายเคือง หรือการอักเสบของผิวหนัง ยิ่งปัจจุบัน ประเทศไทยมีปัจจัยกระตุ้นทั้งจากมลภาวะเป็นพิษ ฝุ่น PM 2.5 ซึ่งล้วนมีผลกระตุ้นทำให้ชั้นผิวหนังถูกทำลาย ส่งผลให้คนไทยเป็นโรคภูมิแพ้เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน โดยมีการคาดการณ์ว่าอีก 30 ปีข้างหน้า ประชากรไทย 50% จะเป็นโรคภูมิแพ้ ไม่ว่าจะเป็นโรคภูมิแพ้ผิวหนัง หรือโรคภูมิแพ้ทางเดินหายใจ ซึ่งกว่า 50% มักพบว่าเป็นร่วมกันทั้งสองโรค

ทั้งนี้วิธีการสังเกตอาการเบื้องต้นที่ควรมาพบแพทย์ คือ  “รบกวน” ในกรณีที่มีอาการคันจนรบกวนการนอน รบกวนการใช้ชีวิต และ “เรื้อรัง” มีอาการคันหรือเป็นผื่นที่เป็นเรื้อรัง เกิน 6 เดือน มีอาการหลายบริเวณ เกิน 2 ตำแหน่งขึ้นไป  มีการกลับมาเป็นอยู่เรื่อย ๆ อีกหนึ่งจุดสังเกตคือ มีอาการเห็นเด่นชัดบริเวณใบหน้า

ศ.ดร.พญ.อรพรรณ โพชนุกูล กล่าวถึงวิธีการรักษาภูมิแพ้ ต้องเริ่มจากการรักษาที่เกราะป้องกันตัวเราก่อน คือผิวหนัง ผิวหนังมีพื้นที่ผิวมากที่สุดในร่างกาย เพราะฉะนั้นผิวหนังจึงเสมือนปราการด่านแรก หากถูกทำลายก็ทำให้อ่อนแอ ส่งผลให้เกิดการแพ้อื่น ๆ ได้ เราสามารถแพ้อาหารทางผิวหนังได้ เช่น แพ้ถั่ว โดยไม่จำเป็นต้องกินก็แพ้ได้ด้วยการสัมผัสบ่อย ๆ ปัจจุบัน ถ้าเด็กเป็นภูมิแพ้ผิวหนัง ก็จะแพ้อาหาร แพ้พวกไรฝุ่น หรือขนสัตว์ที่เกิดจากการสัมผัส ไม่ได้เข้าระบบทางเดินหายใจ บรรดาโรคภูมิแพ้ทั้งหมด ‘โรคภูมิแพ้ผิวหนัง’ ถือเป็นโรคที่มีผลกระทบในวงกว้าง เพราะมีโอกาสเป็นภูมิแพ้ชนิดอื่นได้ และสิ่งที่น่าวิตก คือ คนไทยประมาณ 5% ที่ป่วยเป็นโรคผื่นภูมิแพ้ในระดับที่รุนแรงกลับถูกมองข้าม เพราะคิดว่าโรคนี้ไม่ได้ทำให้เสียชีวิต แต่ทว่าโรคนี้ได้ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตอย่างมาก ผู้ป่วยจะมีอาการคันตลอด นอนไม่ได้ ติดเชื้อง่าย ไม่เพียงแค่ผลกระทบทางร่างกาย ความเข้าใจผิด ทำให้ผู้ป่วยไม่ได้รับการยอมรับจากสังคม สูญเสียความมั่นใจ อาย เกิดความเครียดสะสมและก่อให้เกิดภาวะซึมเศร้า มีผู้ป่วยจำนวนไม่น้อยที่คิดฆ่าตัวตาย

ด้านคุณแม่ผู้ป่วย ซึ่งมีลูกชายวัย 17 ปี ป่วยเป็นโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนังขั้นรุนแรง แบ่งปันประสบการณ์ให้ฟังว่า ลูกชายของตนมีอาการเป็นมาตั้งแต่เด็ก ซึ่งก็รักษาตามอาการมาโดยตลอด ทั้งกินยา ทายา และห่อตัวด้วย Wet Wrap เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นของผิว แต่พอระยะหลังช่วงมัธยมต้น อาการหนักขึ้นเรื่อย ๆ รักษาทุกวิธีทุกรูปแบบก็ไม่หาย ผิวหนังเป็นตุ่มเป็นผื่นแดงทั่วตัว ไม่มีที่ว่างเลย เพื่อน ๆ ที่โรงเรียนก็ไม่กล้าเข้าใกล้ เพราะไม่รู้ว่าเป็นโรคอะไร เมื่อไปโรงเรียน ก็มีคนทำท่ารังเกียจ ทำให้ไม่อยากไปโรงเรียน กลายเป็นคนเก็บตัว ไม่อยากออกไปข้างนอก ไม่อยากถ่ายรูป ขาดสมาธิในการเรียน  การเรียนตกต่ำลง อีกทั้งงานอดิเรกคือกีฬากอล์ฟ ก็ต้องหยุดไปเพราะไม่สามารถออกแดดได้ คนเป็นแม่รู้สึกทุกข์ทรมานใจมาก เพราะโรคนี้ได้ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของทั้งผู้ป่วยและคนในครอบครัว ทั้งด้านร่างกายและจิตใจเป็นอย่างมาก แต่โชคดีที่เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา น้องได้รับการรักษาด้วยกลุ่มยาชีววัตถุ ซึ่งเป็นนวัตกรรมใหม่ทำให้น้องมีอาการดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดภายใน 2 สัปดาห์ และผื่นหายหมดหลังจากรักษาไป 1 เดือน ปัจจุบันครอบครัวกลับมามีความสุขอีกครั้ง น้องอยากไปโรงเรียน และมีกลุ่มเพื่อน ๆ รวมถึงผลการเรียนก็ดีขึ้น

ผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง รักษาเร็วหยุดความเสี่ยงภูมิแพ้ชนิดอื่น

ศ.ดร.พญ.อรพรรณ โพชนุกูล กล่าวปิดท้ายถึงอุปสรรคในการเข้าถึงกลุ่มยาชีววัตถุว่า ในปัจจุบันยังมีผู้ป่วยอีกจำนวนมากที่ยังไม่สามารถเข้าถึงการรักษาด้วยยากลุ่มนี้ได้ เนื่องจากยากลุ่มชีววัตถุยังไม่ถูกบรรจุอยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติ และยังไม่มีระบบสำหรับการเบิกจ่ายค่ารักษาของยากลุ่มนี้ ซึ่งเป็นยาที่มีราคาค่อนข้างสูง และเป็นนวัตกรรมใหม่หรือที่เรียกว่าการรักษาแบบพุ่งเป้า (Targeted Therapy) ซึ่งเป็นการรักษาตรงจุดช่วยลดการอักเสบเฉพาะเซลล์ที่บกพร่อง และทำให้โรคสงบ ช่วยลดการเห่อ ทำให้ผู้ป่วยสามารถมีเวลาฟื้นฟูผิว อาบน้ำ ทาครีมดูแล แต่ถ้าโรคไม่สงบ ผิวหนังถูกกระตุ้นเรื่อย ๆ จากการเกา เกิดการอักเสบและเห่อขึ้นอีก ซึ่งจะวนไปแบบนี้เรื่อย ๆ โดยหลักการการรักษาโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง คือ ต้องให้โรคสงบก่อน และรีบฟื้นฟูผิว รวมถึงต้องเลี่ยงไม่ให้เจอปัจจัยกระตุ้น อีกทั้งต้องปรับการใช้ชีวิตให้สมดุลแบบองค์รวม หรือ 4E ประกอบด้วย 1. Environment – สภาพแวดล้อม หลีกเลี่ยงพวกไรฝุ่น หรือมลภาวะเป็นพิษหรือตัวกระตุ้นทั้งในบ้านและนอกบ้าน 2. Emotion – พยายามไม่เครียด เพราะมีผลทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรัง และโรคภูมิแพ้กำเริบ 3. Exercise – การออกกำลังกายจะช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน แต่ก็ต้องมีลักษณะพิเศษคือควรอยู่ในห้องแอร์ ออกกำลังกายแต่พอดี ไม่ร้อน ไม่ให้เหงื่อออก หรือหากว่ายน้ำ ก็ต้องเป็นระบบน้ำเกลือ ควรหลีกเลี่ยงคลอรีน เป็นต้น และ 4. Eating – รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ควรกินผักผลไม้ในปริมาณที่สมดุลกับหมวดหมู่อื่นๆ และเสริมวิตามิน D เพื่อช่วยป้องกันเรื่องภูมิแพ้

สนใจรายละเอียดเกี่ยวกับโรคภูมิแพ้ต่าง ๆ เพิ่มเติม สามารถติดตามได้ที่เพจศูนย์ภูมิแพ้ ธรรมศาสตร์ 

https://www.facebook.com/pageAsthmaTUcaap และเพจ Asthma? Talks by Dr. Ann 

https://www.facebook.com/TU.AsthmaClub2014/

4 ไลฟ์สไตล์ยุคดิจิทัลบั่นทอนสุขภาพคนรุ่นใหม่

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/life/healthy/684493

วันที่ 30 พ.ค. 2565 เวลา 13:52 น.4 ไลฟ์สไตล์ยุคดิจิทัลบั่นทอนสุขภาพคนรุ่นใหม่

แพทย์เตือน 4 ไลฟ์สไตล์ยุคดิจิทัล ที่คุกคามสุขภาพคนรุ่นใหม่แบบไม่รู้ตัว แนะปรับพฤติกรรม-เติมสารอาหารเพื่อการฟื้นฟู เพราะสุขภาพดีเริ่มที่การใส่ใจ

ในยุคดิจิทัลไลเซชั่น ที่มีการพัฒนาเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยเป็นเครื่องมือต่างๆ เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้คนในการใช้ชีวิตประจำวัน ซึ่งส่งผลให้ไลฟ์สไตล์และพฤติกรรมในการดำรงชีวิตอาจเปลี่ยนแปลงไปบ้าง ซึ่งหากเราไม่ได้ตระหนัก หรือรู้เท่าทันพฤติกรรมเหล่านั้น ก็อาจจะกลายเป็นปัจจัยที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาวโดยที่เราไม่รู้ตัว

พญ.อาคิรา ลิ้มสุวัฒน์ แพทย์เฉพาะทางเวชศาสตร์ชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพ (Antiaging and Regenerative Medicine) จากเพจเกเรรักสุขภาพ by หมอจ๋า

ด้วยเหตุนี้ ซันโทรี่ เบเวอเรจ แอนด์ ฟู้ด ประเทศไทย ผู้นำตลาดอาหารเสริมสุขภาพ จึงเชิญ พญ.อาคิรา ลิ้มสุวัฒน์ แพทย์เฉพาะทางเวชศาสตร์ชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพ (Antiaging and Regenerative Medicine) จากเพจเกเรรักสุขภาพ by หมอจ๋า มาร่วมบอกเล่าปัญหาสุขภาพที่อาจกำลังกวนใจคนในยุคปัจจุบัน พร้อมแนะนำทิปส์ดีๆ ในการดูแลและฟื้นฟูสุขภาพให้กลับมาแข็งแรงสมบูรณ์ โดย “แบรนด์” ขอมอบความห่วงใยให้คนรักสุขภาพได้เพลิดเพลินกับความคุ้มค่าด้วยโปรดียืน 1 ในมหกรรมสุดยิ่งใหญ่ Shopee 6.6 Greatest Brands Celebration แบรนด์ดัง ดีลปังทะลุโลก

พญ.อาคิรา ลิ้มสุวัฒน์ จากเพจเกเรรักสุขภาพ by หมอจ๋า ให้ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับปัญหาสุขภาพที่คนในปัจจุบันมักละเลยว่า โรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ส่วนใหญ่ไม่ได้แสดงออกในวัยชราอีกต่อไป เพราะการมีสุขภาพแข็งแรงไม่ได้จำกัดเพียงว่าไม่มีโรค แต่หมายถึงร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรง คล่องแคล่ว มีกำลัง รวมไปถึงสุขภาพจิตที่ดี ในปัจจุบันเราจึงพบเห็นปัญหาสุขภาพที่เกิดขึ้นกับคนรุ่นใหม่มากมาย โดยที่ยังไม่ตรวจพบโรคประจำตัวต่างๆ ด้วยซ้ำ ซึ่งปัญหาส่วนใหญ่นั้นอาจจะมาจากพฤติกรรมส่วนตัวที่เราทำกันโดยไม่รู้ตัว มาดูกันว่าจากเช็คลิสต์พฤติกรรมเสี่ยงอะไรบ้างที่คนรุ่นใหม่กำลังเผชิญอยู่

พฤติกรรมที่ 1 ขยับร่ายกายน้อยลง

ในโลกที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีที่คอยอำนวยความสะดวกสบายต่างๆ เช่น บริการส่งอาหารหรือสินค้าถึงที่ ทำให้การเคลื่อนไหวลดลง การทำงานหรือเรียนจากที่บ้านเป็นเวลานานๆ ทำให้ชั่วโมงการทำงานที่ยาวนานขึ้นหรือผิดเวลามากขึ้น กระทบต่อการนอนหลับไม่เป็นเวลา ซึ่งส่งผลให้ร่างกายล้า สมองล้า ดังนั้นควรพยายามเพิ่มการขยับตัวเคลื่อนไหวระหว่างวัน และสามารถเสริมด้วยอาหารเสริมประเภทแบรนด์ซุปไก่สกัดที่เสริมความสดชื่นให้กับสมองและคลายความเหนื่อยล้าได้เป็นอย่างดี หรือแบรนด์จินเซนโนไซด์ โปร เครื่องดื่มโสมสกัดเข้มข้นที่อุดมไปด้วยวิตามินบี ช่วยบำรุงระบบประสาทและสมอง

พฤติกรรมที่ 2 จ้องหน้าจอมากขึ้น

การใช้กับโทรศัพท์หรือหน้าจอคอมมากขึ้น ไม่ว่าจะจากการทำงาน การดูซีรีย์ ก็สามารถทำให้สายตาอ่อนล้า ควรพักสายตาจากหน้าจอทุก ๆ ชั่วโมงเป็นเวลาสั้น ๆ สัก 3-5 นาที และสามารถเสริมด้วย แบรนด์เบอร์รี่พลัส เครื่องดื่มผลไม้สกัดเข้มข้น ช่วยบำรุงดวงตา ผิว และเสริมภูมิคุ้มกัน มาพร้อมวิตามินเอ 100% วิตามินอี ซี และซิงก์สูง

พฤติกรรมที่ 3 เครียดสะสม

ในทุกวันนี้ที่ทุกคนต่างต้องเผชิญกับปัญหามากมาย ไม่ว่าจะเป็นจากสถานการณ์โรคระบาด รวมไปถึงสถานการณ์เศรษฐกิจและสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป ก็มีส่วนที่ส่งผลให้คนรุ่นใหม่มีภาวะเครียด มีปัญหาสุขภาพจิตได้มากขึ้นไม่น้อยเลยทีเดียว ควรมองหากิจกรรมพักผ่อนหย่อนใจ และมอบรางวัลเล็กๆ น้อยให้กับตัวเองด้วยการพาตัวเองออกมาจากชีวิตประจำวัน อาทิ การไปท่องเที่ยวพักผ่อน รวมถึงการเข้าพบพูดคุยปรึกษากับจิตแพทย์ก็เป็นเรื่องที่ปกติ และสามารถเสริมด้วย แบรนด์รังนกแท้ ที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงด้วย superfood อย่าง “นานะ” (NANA) และคุณประโยชน์ของกรดอะมิโน 16 ชนิด พร้อมทั้งกรดไซอะลิค (Sialic Acid) ที่มีประโยชน์ และยังมีคุณสมบัติ antiaging บำรุงผิวพรรณ

พฤติกรรมที่ 4 ปล่อยปะละเลยการดูแลตนเอง

เมื่อใช้ร่ายกายอย่างหนักโดยไม่ได้พักอย่างเพียงพอ ร่างกายของคนเราก็อาจจะเสื่อมลง ความเหนื่อยล้าและความเครียดที่สะสมไว้ ก็จะแสดงออกมาทางภายนอกให้เห็นผ่านผิวพรรณที่ไม่เปล่งปลั่ง ใต้ตา และใบหน้าดูอิดโรยสุขภาพไม่ดี ควรเสริมด้วย แบรนด์ ไฟโตดริ้งค์ ที่อุดมไปด้วยวิตามินและไฟโตนิวเทรียนท์ และ แบรนด์เจลลี่สตริป ที่ช่วยบำรุงและซ่อมแซมสุขภาพผิวที่อุดมไปด้วยวิตามินและสารอาหารที่มีประโยชน์มากมาย

การแก้ปัญหาสุขภาพนั้นสามารถแก้ได้ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ ซึ่งทริคง่ายๆ ที่ใช้ได้ทุกยุคทุกสมัยอย่าง 3 อ. อาหาร ออกกำลังกาย และอารมณ์ การใส่ใจพฤติกรรมสุขภาพทั้งสามอย่างนี้ เป็นพื้นฐานของการมีสุขภาพที่ดี ทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิต โดยแต่ละคนสามารถเลือกรูปแบบที่เหมาะกับตัวเราเอง และสามารถทำได้จริงกับชีวิตประจำวันของเรา แต่ในความเป็นจริงนั้น การเปลี่ยนพฤติกรรมส่วนตัวอาจจะเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก ถึงเปลี่ยนได้ก็ไม่สามารถทำได้ดี 100% หลายคนจึงมองหาทางเลือกเสริมที่จะมาช่วยบรรเทาหรือเสริมสุขภาพ ซึ่งก็คือการเสริมสารอาหารต่างๆ ที่มีหน้าที่ในการฟื้นฟูระบบต่างๆของร่างกายนั่นเอง ซึ่งเป็นการช่วยเสริมความมั่นใจในเรื่องของสุขภาพอีกด้วย

‘มะเร็งปอด’ เสี่ยงทุกคนแม้ไม่เคยสูบบุหรี่

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/life/healthy/684308

วันที่ 27 พ.ค. 2565 เวลา 17:12 น.'มะเร็งปอด' เสี่ยงทุกคนแม้ไม่เคยสูบบุหรี่

รู้หรือไม่ คุณอาจเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งปอด แม้ไม่เคยสูบบุหรี่ หรือหยุดสูบบุหรี่มานานแล้ว? #วันงดสูบบุหรี่โลก ตรวจไว รู้เร็ว มะเร็งปอดรักษาได้

ตามประกาศขององค์การอนามัยโลก (WHO) ที่กำหนดให้วันที่ 31 พฤษภาคม ของทุกปีเป็นวันงดสูบบุหรี่โลก บริษัท โรช ไทยแลนด์ จำกัด จึงจัดงานแถลงข่าวในหัวข้อ “รู้หรือไม่ คุณอาจะเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งปอด แม้ไม่เคยสูบบุหรี่หรือหยุดสูบบุหรี่มานานแล้ว?” เพื่อกระตุ้นเตือนให้ประชาชนทั่วไปตระหนักถึงอันตรายและความสูญเสียทางสุขภาพที่เกิดจากควันบุหรี่ และเพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจด้านการป้องกัน การคัดกรอง และการตรวจวินิจฉัยโรคมะเร็งปอดระยะเริ่มต้นด้วยการทำเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ช่องอกแบบใช้รังสีต่ำ (Low Dose Computerized Tomography Scan)

นายแพทย์มนูญ ลีเชวงวงศ์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคระบบการหายใจ โรงพยาบาลวิชัยยุทธ

ภายในงานได้รับเกียรติจาก นายแพทย์มนูญ ลีเชวงวงศ์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคระบบการหายใจ โรงพยาบาลวิชัยยุทธ และ นายแพทย์นรินทร สุรสินธน แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ชะลอวัยและป้องกัน โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ รวมถึงผู้ป่วยมะเร็งปอดระยะเริ่มต้นที่เคยมีประวัติสูบบุหรี่จัดต่อเนื่องเป็นเวลานาน และผู้ดูแลผู้ป่วยมะร็งปอดซึ่งไม่เคยมีประวัติสัมผัสกับบุหรี่มาก่อน มาร่วมแบ่งปันประสบการณ์การตรวจคัดกรองและการรักษามะเร็งปอดในระยะเริ่มต้น

ตัวเลขตามสถิติ [1] เผยว่าในปี พ.ศ. 2563 โรคมะเร็งปอดมีอุบัติการณ์และอัตราการเสียชีวิตสูงสุดเป็นอันดับ 2 เมื่อเทียบกับมะเร็งชนิดอื่น ๆ ในประเทศไทย โดยพบจำนวนผู้ป่วยมะเร็งปอดรายใหม่สูงถึง 23,717 ราย หรือคิดเป็น 65 รายต่อวันโดยเฉลี่ย นอกจากนี้ ประชาชนไทยอีกกว่า 20,395 ราย หรือคิดเป็น 56 รายต่อวัน โดยเฉลี่ยยังเสียชีวิตลงด้วยโรคมะเร็งปอด

สถานการณ์ความรุนแรงของโรคดังกล่าวในประเทศไทยถือว่าอยู่อันดับที่ 18 ของโลก เนื่องจากระยะของมะเร็งปอดที่เข้ารับการรักษามีผลโดยตรงต่อโอกาสการรอดชีวิตของผู้ป่วย อนึ่ง สัดส่วนการตรวจพบผู้ป่วยมะเร็งปอดในระยะเริ่มต้นในประเทศไทยยังคงต่ำอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส สเปน อิตาลี ญี่ปุ่น เป็นต้น [2]  ซึ่งกำหนดให้การทำเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ช่องอกแบบใช้รังสีต่ำ (Low dose CT scan) เป็นแนวทางมาตรฐานในการคัดกรองมะเร็งปอด ดังนั้น ความท้าทายในการลดอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยมะเร็งปอดในประเทศไทยจึงอยู่ที่การคัดกรองผู้มีความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งปอด โดยเพิ่มโอกาสการเข้าถึงการตรวจวินิจฉัยที่ได้มาตรฐาน เพื่อที่ผู้ป่วยจะได้รับการรักษาตั้งแต่ระยะเริ่มต้นมากยิ่งขึ้น และมีแนวโน้มที่ผลลัพธ์การรักษาจะออกมาเป็นที่น่าพึงพอใจ

นายแพทย์นรินทร สุรสินธน แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ชะลอวัยและป้องกัน โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์

ประชาชนไทยจำนวนมากยังคงขาดความตระหนักรู้ด้านการคัดกรองโรคมะเร็งปอด ส่งผลให้ผู้ป่วยส่วนใหญ่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งปอดในระยะสุดท้ายซึ่งมักมีอัตราการรอดชีวิตต่ำ นายแพทย์มนูญ ลีเชวงวงศ์ หัวหน้าโรคระบบทางเดินหายใจ โรงพยาบาลวิชัยยุทธ ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า “หากเจอมะเร็งปอดในระยะที่ 4 หรือระยะแพร่กระจาย ผู้ป่วยจะมีอัตราการรอดชีวิตที่ 5 ปี เพียง 0-10% เท่านั้น ระยะที่ 3 หรือระยะลุกลามเฉพาะที่ ผู้ป่วยจะมีอัตราการรอดชีวิตที่ 5 ปี อยู่ที่ 13-36% แต่ถ้าเราเจอมะเร็งปอดระยะ 1 หรือ 2 ซึ่งก็คือ ‘ระยะเริ่มต้น’ ผู้ป่วยจะมีอัตราการรอดชีวิตประมาณ 5 ปี สูงถึง 53-92% แต่อย่างไรก็ตามประเทศไทยตรวจพบมะเร็งปอดระยะเริ่มต้นเพียงแค่ 15% เท่านั้น ดังนั้น ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งปอด ได้แก่ สัมผัสกับควันบุหรี่หรือสารเคมีก่อมะเร็ง มีคนในครอบครัวป่วยเป็นมะเร็งปอด เคยมีประวัติเป็นมะเร็งชนิดอื่นหรือเป็นโรคที่เกี่ยวกับปอดมาก่อน จึงควรใส่ใจสัญญาณเตือนด้านสุขภาพ หากสังเกตว่าตนเองหรือคนใกล้ชิดมีอาการต่อไปนี้ ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อเข้ารับตรวจคัดกรองมะเร็งปอด เช่น เสียงแหบ เสียงเปลี่ยน ไอเรื้อรัง ไอมีเสมหะปนเลือด หายใจมีเสียงหวีด เจ็บหน้าอกตลอกเวลา รู้สึกปวดเมื่อกลืน ปอดติดเชื้อบ่อย เป็นต้น”

ในผู้ที่มีสุขภาพดีก็อาจมีแนวโน้มว่ที่จะเกิดโรคมะเร็งปอดได้ เนื่องจากสาเหตุที่นำไปสู่โรคนี้มีหลายประการ ได้แก่ ปัจจัยทางพันธุกรรม เช่น ผู้ที่มีประวัติโรคปอดเรื้อรัง โรคถุงลมโป่งพองเรื้อรัง มีประวัติคนในครอบครัวป่วยเป็นโรคมะเร็งซึ่งอาจมีการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม นอกจากนี้ การกลายพันธุ์ที่ผิดปกติของยีน (gene) ในร่างกายของแต่ละคนก็ส่งผลให้เกิดมะเร็งปอดได้เช่นกัน โดยปัจจัยทางพันธุกรรมที่กล่าวมานี้มีส่วนให้เกิดมะเร็งปอดราว 20% เท่านั้น แต่ปัจจัยหลักอีก 80% กลับมาจากปัจจัยด้านพฤติกรรมและสภาพแวดล้อม เช่น การสูบบุหรี่จัดเกินกว่า 20 packs-year การประกอบอาชีพที่ต้องสัมผัสกับสารก่อมะเร็ง ไม่ว่าจะเป็น อุตสาหกรรมเหมืองแร่ อุตสาหกรรมพลาสติก อุตสาหกรรมผลิตฉนวนกันความร้อน ย่อมมีโอกาสที่จะสูดดมแร่ใยหินหรือสารแอสเบสตอส (Asbestos) นิเกิล โครเมียม เข้าไปในปริมาณมาก รวมไปถึงการใช้ชีวิตประจำวันที่ต้องสัมผัสกับฝุ่นละออง PM 2.5 ขับขี่มอเตอร์ไซค์ จุดธูปไหว้พระ เป็นต้น ดังนั้น หากพบว่าตนเองหรือคนใกล้ชิดกำลังเผชิญความเสี่ยงอยู่ ควรหมั่นตรวจเช็กสุขภาพเป็นประจำ และปรึกษาแพทย์เพื่อหาแนวทางการคัดกรองที่มีประสิทธิภาพ

ภายในงาน ยังมีผู้ป่วยมาร่วมแบ่งปันประสบการณ์การตรวจคัดกรองและการรักษามะเร็งปอดระยะเริ่มต้นถึง 2 ท่าน ได้แก่ คุณอรุณ เทพแก้ว ผู้ป่วยมะเร็งปอดระยะที่ 2 เพศชาย อายุ 68 ปี ซึ่งมีประวัติเสี่ยงสูงที่จะเกิดมะเร็งปอดจากการสูบบุหรี่ต่อเนื่อง 2 ซองต่อวัน เป็นเวลา 13 ปี และดื่มเหล้าตั้งแต่สมัยวัยรุ่น แต่ก็เลิกมาแล้วถึง 35 ปี จนกระทั่งทราบว่าเป็นมะเร็งปอดเมื่อปีที่แล้ว “ผมไปพบแพทย์ด้วยอาการไอเรื้อรัง ต่อมาจึงได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งปอดในระยะเริ่มต้น ทำให้มีโอกาสเข้าถึงการรักษาอย่างทันท่วงทีและผลการรักษาก็ออกมาเป็นที่น่าพึงพอใจ ทุกวันนี้สามารถกลับใช้ชีวิตและช่วยเหลือตัวเองได้ตามปกติ ผมตั้งใจว่าต่อจากนี้ไปจะปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด รวมถึงลดพฤติกรรมเสี่ยงและหลีกเลี่ยงการอยู่ในสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ที่อาจนำไปสู่การลุกลามของโรค”

คุณอรุณ เทพแก้ว สมัยยังเป็นวัยรุ่นจนถึงปัจจุบัน

ส่วนอีกท่านหนึ่งคือ คุณยศ กุศลมโนสุข ซึ่งเป็นผู้ดูแลคุณแม่ คุณคิ่มเตียง กุศลมโนสุข ผู้ป่วยมะเร็งปอดระยะที่ 1 เพศหญิง อายุ 72 ปี ซึ่งไม่เคยมีประวัติสูบบุหรี่หรือสัมผัสกับควันบุหรี่มือสองมาก่อน แต่มีโอกาสตรวจพบโรคดังกล่าวตั้งแต่ระยะเริ่มต้น “แม้จะไม่เคยสูบบุหรี่และไม่มีสัญญาณอันตรายใด ๆ มาก่อนเลย แต่สมัยสาว ๆ คุณแม่ของผมชอบไหว้พระสวดมนต์เป็นประจำ นอกจากนี้ เมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว ท่านยังเคยป่วยเป็นโรคมะเร็งลำไส้ระยะลุกลาม จนกระทั่งเมื่อปี 2564 ท่านก็ไปตรวจสุขภาพประจำปีตามปกติ สิ่งที่ต่างจากทุกครั้งก็คือ คราวนี้แพทย์แนะนำให้ลองตรวจคัดกรองด้วยการทำเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ช่องอกแบบใช้รังสีต่ำ หรือที่เรียกว่า Low dose CT Scan ด้วย เพราะท่านมีปัจจัยทางพันธุกรรมและปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมที่บ่งชี้ว่า ท่านอาจมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งปอด จากนั้น เมื่อได้รับคำวินิจฉัยยืนยันว่าเป็นมะเร็งปอด ท่านก็เข้าสู่กระบวนการรักษาทันที พอมองย้อนกลับไปผมรู้สึกว่าโชคดีมาก ๆ ที่ไม่นิ่งนอนใจและแนะนำให้คุณแม่ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ เพราะเมื่อเทียบกับตอนที่รักษามะเร็งลำไส้ระยะลุกลามเมื่อสิบกว่าปีก่อน คราวนี้ทั้งผมและท่านรู้สึกเบาใจมากกับการรับมือมะเร็งปอดในระยะเริ่มต้น เนื่องจากมีโอกาสรักษาหายขาดสูง”

ในปัจจุบันมีวิธีการตรวจคัดกรองมะเร็งปอดแบบต่างๆ อยู่ 3 วิธี ได้แก่

1) การเอกซเรย์ทรวงอก หรือ Chest x-ray

2) การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ หรือ CT Scan

และ 3) การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ช่องอกแบบใช้รังสีต่ำ หรือ Low dose CT Scan

ทั้งนี้ นายแพทย์นรินทร สุรสินธน แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ชะลอวัยและป้องกัน โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ได้เปรียบเทียบข้อดีและข้อจำกัดของแต่ละวิธี “การเอกซเรย์ทรวงอก หรือ Chest x-ray ซึ่งมักรวมอยู่ในรายการตรวจสุขภาพประจำปี ทำได้ง่ายและรวดเร็ว เสียค่าใช้จ่ายต่ำ แต่ยังไม่มีประสิทธิภาพมากพอที่จะคัดกรองเซลล์มะเร็งปอดในระยะเริ่มต้นที่มีขนาดเล็ก ส่วนการตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ หรือ CT Scan จะมีความแม่นยำสูงกว่ามาก แต่เป็นวิธีที่ต้องรอคิวนาน ในบางโรงพยาบาล บุคลากรด้านรังสีแพทย์และเครื่องมือยังมีอยู่จำกัด นอกจากนี้ ผู้เข้าตรวจได้รับรังสีในปริมาณสูงและอาจรู้สึกร้อนวูบวาบไปทั่วร่างกายจากการฉีดสารทึบรังสีเข้าทางหลอดเลือดดํา ส่วนวิธีการตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ช่องอกแบบใช้รังสีต่ำ หรือ Low dose CT Scan นั้น มีความแม่นยำกว่าการเอกซเรย์ทรวงอกถึง 6 เท่า ส่งผลให้พบมะเร็งปอดได้รวดเร็วตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ช่วยลดอัตราการเสียชีวิตจากโรคมะเร็งปอดลงได้ 20%[3]  ดังนั้น การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ช่องอกแบบใช้รังสีต่ำจึงเป็นวิธีการตรวจคัดกรองมะเร็งปอดที่มีมาตรฐานและมีประสิทธิภาพ”

แนวปฏิบัติของ National Comprehensive Cancer Network (NCCN)[4]  ระบุว่ากลุ่มเสี่ยงสูงที่จะเกิดมะเร็งปอด ได้แก่ ผู้ที่มีอายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป และมีประวัติการสูบบุหรี่มากกว่า 20 packs-year ควรได้รับการตรวจคัดกรองมะเร็งปอดประจำปีด้วยการตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ช่องอกแบบใช้รังสีต่ำ ในขณะที่ผู้ที่อาจมีปัจจัยเสี่ยงหรือผู้ที่ใส่ใจสุขภาพก็สามารถปรึกษาแพทย์ เพื่อขอเข้ารับตรวจคัดกรองด้วยวิธีดังกล่าวได้เช่นกัน เพราะมะเร็งปอดถือเป็นภัยสุขภาพที่คุกคามร่างกายอย่างเงียบ ๆ และอาจพรากคนที่คุณรักไปอย่างไม่มีวันกลับ ดังนั้น การตรวจพบมะเร็งปอดตั้งแต่ระยะเริ่มต้นจึงถือเป็นเรื่องที่น่ายินดี เพราะผู้ป่วยมีโอกาสสูงที่ผลลัพธ์การรักษาจะเป็นไปในทางที่น่าพึงพอใจ และลดโอกาสการกลับมาเป็นซ้ำได้

[1] The Global Cancer Observatory, International Agency for Research on Cancer, WHO (March, 2021) https://gco.iarc.fr/today/data/factsheets/populations/764-thailand-fact-sheets.pdf

[2] EpiCast report: NSCLC Epidemiology Forecast to 2025. GlobalData. 2016

[3] The National Lung Screening Trial Research Team. Reduced lung-cancer mortality with low-dose computed  tomographic screening. N Engl J Med. 2011;365(5): 395-409.

[4] NCCN VERSION1.2022

ไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล ความเหมือนที่แตกต่างจากโควิด-19

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/life/healthy/683796

วันที่ 23 พ.ค. 2565 เวลา 07:17 น.ไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล ความเหมือนที่แตกต่างจากโควิด-19

สำรวจความเหมือนและความต่าง ระหว่าง “ไข้หวัดใหญ่รุ่นพี่” vs “เพื่อนรุ่นน้องอย่างโควิด-19”

จากหัวข้อด้านบนหลายคนอาจสงสัย ทำไมจึงกล่าวเช่นนั้น เพราะทั้งไข้หวัดใหญ่รุ่นพี่ และเพื่อนรุ่นน้องอย่างโควิด-19 เป็นโรคติดต่อจากระบบทางเดินหายใจเช่นเดียวกัน แต่จะแตกต่างกันตรงไวรัสที่เป็นสาเหตุการติดเชื้อมาจากไวรัสคนละชนิดกัน สำหรับไข้หวัดใหญ่เกิดมาจากการติดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ ส่วนโควิด-19 เกิดมาจากการติดเชื้อไวรัสโคโรนา ที่พบในปี 2019 และเป็นที่ทราบกันดีอีกว่าโรคโควิด-19 นั้น สามารถแพร่กระจายและติดต่อได้ง่ายกว่าไข้หวัดใหญ่

ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกันแล้วภาษีความรุนแรง และภาวะแทรกซ้อนในผู้ป่วยบางส่วนจะมากกว่าเยอะ และแน่นอนว่าการจะวินิจฉัยแยกโรคการติดเชื้อทั้ง 2 ชนิดออกจากกัน ลำพังการดูจากประวัติ และอาการ หากการแสดงอาการไม่เพียงพอที่บอกได้ นั่นเป็นเหตุผลว่า ทำไมจะต้องทำการตรวจ การทดสอบโรคทุกครั้งหากมีอาการที่ชวนสงสัย โดยในวันนี้จะกล่าวถึงข้อมูลพื้นฐานของโรคไข้หวัดใหญ่ เพื่อนรุ่นพี่ซึ่งอินเทรนด์ในช่วงหน้าฝนที่กำลังจะเข้ามาในประเทศไทย

นพ.ณฐนัท ช่างเงินชญช์ แพทย์เฉพาะทางด้านอายุรศาสตร์ ศูนย์อายุรกรรม โรงพยาบาลนวเวช

นพ.ณฐนัท ช่างเงินชญช์ แพทย์เฉพาะทางด้านอายุรศาสตร์ ศูนย์อายุรกรรม โรงพยาบาลนวเวช ได้ให้ข้อมูลอันเป็นประโยชน์เกี่ยวกับไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล โดยรวบรวมไว้ในบทความให้ความรู้อย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นลักษณะของการติดต่อ สาเหตุ อาการ กลุ่มเสี่ยง รวมไปถึงวิธีการป้องกันไม่ให้เกิดการแพร่เชื้อ

ไข้หวัดใหญ่เป็นโรคที่รู้จักกันดี และเป็นโรคที่พบได้บ่อยมากสำหรับคนไทย เมื่อเป็นแล้วสามารถเป็นซ้ำได้อีก สามารถติดต่อได้ง่าย จึงทำให้มีการระบาดของโรคเกิดขึ้น ถึงแม้ไข้หวัดใหญ่จะไม่มีความรุนแรงสำหรับผู้ที่มีร่างกายแข็งแรง แต่ก็มีผลทำให้ไม่สบาย ไม่สามารถไปทำงานหรือไปโรงเรียนได้ อีกทั้งยังส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจและสังคม ทั้งนี้ ในผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอ หรือภูมิต้านทานต่ำ โรคอาจจะเกิดความรุนแรงได้

สำหรับประเทศไทยสามารถพบไข้หวัดใหญ่ได้ตลอดทั้งปี แต่จะพบมากในช่วงฤดูฝน ตั้งแต่เดือนมิถุนายนจนถึงเดือนตุลาคม ซึ่งจะตรงกับกับระยะเวลาการเปิดภาคเรียนแรก ส่งผลให้มีการระบาดมากในสถานศึกษา หลังจากนั้นจะพบมากอีกครั้งในช่วงฤดูหนาวหลังปีใหม่จนถึงสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ แต่การระบาดในช่วงนี้มักจะไม่สูงเท่ากับกับการระบาดในช่วงฤดูฝน

โดยในช่วง 2 ปีที่มีระบาดอย่างหนักของโรคโควิด-19 ทำให้พบว่าการระบาดของไข้หวัดใหญ่ และโรคไวรัสก่อโรคระบบทางเดินหายใจอื่น ๆ ลดลงอย่างมาก ถึงแม้จะยังไม่ทราบสาเหตุชัดเจน แต่สันนิษฐานว่าน่าจะมีประเด็นเรื่องการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้คนเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เช่น การเดินทางท่องเที่ยวที่ลดลง การสวมใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลา การดูแลทำความสะอาดมือ และการเว้นระยะห่างมากขึ้น

การติดต่อ

การติดต่อโรคของไข้หวัดใหญ่ จะเป็นการติดต่อจากละลองฝอยขนาดใหญ่ หรือขนาดเล็กจากผู้ที่ติดเชื้อแล้ว และมีการไปสัมผัสสารคัดหลั่งจากทางเดินหายใจ แล้วไปสัมผัสโดนเนื้อเยื่อบุตำแหน่งต่าง ๆ เช่น ตา จมูก ปาก หรือการหายใจเข้าไป โดยระยะเวลาการฟักตัวของเชื้อไวรัสอยู่ที่ 1-4 วัน หลังจากสัมผัสโรค (โดยเฉลี่ยประมาณ 2 วัน) เชื้ออาจจะมีปริมาณเพิ่มสูงขึ้น และสามารถแพร่กระจายไปสู่ผู้อื่นได้ตั้งแต่วันแรกก่อนมีอาการ จนถึงช่วง 24-48 ชั่วโมงหลังการติดเชื้อ หลังจากนั้นประมาณ 5-10 วัน ปริมาณเชื้อจะลดลงจนไม่สามารถตรวจพบเชื้อได้ แต่ในกรณีที่เป็นผู้ป่วยสูงอายุ ผู้ป่วยที่อ้วน หรือผู้ป่วยที่มีภูมิต้านทานต่ำ อาจตรวจพบเชื้อได้นานเป็นหลายสัปดาห์ถึงหลายเดือน

สาเหตุ

ไวรัสไข้หวัดใหญ่ก่อนที่จะกลายมาเป็นโรคในคน มีสาเหตุมาจากเชื้อ Human Influenza Virus A, B, C โดยชนิด C พบได้น้อยจึงไม่ได้กล่าวถึง เริ่มต้นจากไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A จะพบอยู่ 2 ชนิดย่อยที่สำคัญคือ ชนิด H1N1 และอีกชนิดคือ H2N3 ที่ยังวนเวียนก่อโรคไข้หวัดใหญ่ในมนุษย์มาตลอด ส่วนที่เหลือมากกว่า 130 สายพันธุ์ จะก่อโรคในสัตว์ เช่น นก หมู และอื่น ๆ ในอนาคตยังพยากรณ์ไม่ได้ว่าจะมีการติดต่อมาแพร่ระบาดสู่คนได้เมื่อไหร่ โดยจากประวัติการระบาดในอดีตที่ผ่านมาพบว่า ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A นั้น ได้มีการระบาดใหญ่มาแล้ว 5 ครั้ง โดยครั้งล่าสุด เมื่อปี ค.ศ. 2009 เป็นที่รู้จักกันดีคือ ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ H1N1 2009 ซึ่งสายพันธุ์นี้ยังคงมีการระบาดมาอย่างต่อเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้ โดยไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A สามารถกลายพันธุ์ได้ทีละเล็กทีละน้อย จึงทำให้สามารถหลบหลีกภูมิต้านทานที่มีอยู่ได้ เป็นที่มาของการทำให้ติดเชื้อซ้ำ ส่วนไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B เป็นสายพันธุ์ที่มีอยู่ในคนเท่านั้น และยังไม่พบการระบาดใหญ่ โดยมี 2 สายพันธุ์ ได้แก่ สายพันธุ์ Victoria และสายพันธุ์ Yamagata

ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่จะมีอาการจับไข้เฉียบพลัน วัดไข้ได้ตั้งแต่ 37.8 จนสูงถึง 40 องศาเซลเซียส ผู้ป่วยจะรู้สึกปวดเมื่อยตามร่างกาย ไอแห้ง ๆ และอาจพบอาการร่วมอื่น ๆ เพิ่ม เช่น อาการอ่อนเพลีย คัดจมูก เจ็บคอ ปวดศีรษะ ในผู้ป่วยเด็กบางรายอาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย ซึ่งอาการดังกล่าวไม่ค่อยพบในผู้ป่วยที่เป็นผู้ใหญ่ โดยอาการและความรุนแรงของโรคจะแตกต่างกันไปในแต่ละคน ยกอย่างเช่น ในผู้ป่วยสูงอายุ ที่มีอายุมากกว่า 65 ปี หรือ ผู้ป่วยที่มีภูมิต้านทานต่ำ อาจจะตามมาด้วยอาการเบื่ออาหาร อ่อนเพลีย ไม่มีแรง รู้สึกโคลงเคลง โดยมีอาการทางระบบทางเดินหายใจเล็กน้อย ไม่มีไข้ แต่จะมีอาการเซื่องซึมลงได้

กลุ่มเสี่ยงสูงที่ทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนจากโรคไข้หวัดใหญ่

• เด็กที่มีอายุน้อยกว่า 2 ปี

• ผู้สูงอายุที่มีอายุมากกว่า 65 ปี

• สตรีตั้งครรภ์

• ผู้ที่มีภาวะอ้วน ดัชนีมวลกายมากกว่า 30 kg/m2

• ผู้ที่มีโรคประจำตัว ได้แก่ โรคหืด โรคถุงลมอุดกั้นเรื้อรัง โรคหัวใจ โรคไต โรคตับ โรคเบาหวาน

• ผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น กินยากดภูมิต้านทาน เคมีบำบัด รังสีบำบัด หรือโรคที่ทำให้ระบบภูมิต้านทานต่ำ เช่น โรคมะเร็ง และ โรคติดเชื้อเอชไอวี

หากสงสัยว่าผู้ป่วยน่าจะติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ แพทย์จะทำการตรวจร่างกายและตรวจ swab เข้าทางจมูก หรือโพรงจมูกด้านหลัง เพื่อยืนยันการวินิจฉัย หลังจากนั้นจะเข้าสู่ขั้นตอนการรักษา โดยทั่วไปถ้าเป็นผู้ป่วยที่สุขภาพแข็งแรงดี แพทย์จะให้รักษาตามอาการ ประคับประคองรอเวลาให้ร่างกายกำจัดเชื้อไวรัสให้หมด ซึ่งปกติจะใช้เวลาประมาณ 3-5 วัน สำหรับในผู้ป่วยที่เป็นกลุ่มเสี่ยงดังกล่าวข้างต้น การดูแลจะต้องป้องกันไม่ให้เกิดโรคแทรกซ้อนโดยเฉพาะภาวะปอดอักเสบ แพทย์อาจพิจารณาให้ยาปฏิชีวนะ หากมีความจำเป็นในกรณีที่เข้าสู่วันที่ 2-3 แล้วอาการไม่ดีขึ้น ไข้ ไอหอบ ที่จะบ่งบอกถึงอาการแทรกซ้อนจากการติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำซ้อน ในบุคคลที่เป็นกลุ่มเสี่ยงจำเป็นต้องให้ยาต้านไวรัส เพื่อลดจำนวนของไวรัสในการที่จะเข้าไปทำลายเซลล์เยื่อบุทางเดินหายใจภายใน 48 ชั่วโมงแรก

สิ่งสำคัญที่สุดในการป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ไม่แตกต่างไปจากการป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 ที่เราทราบกันเป็นอย่างดี คือผู้ป่วยควรพักอยู่ที่บ้าน รักษาระยะห่างทางสังคม ใส่หน้ากากอนามัย เพื่อลดการแพร่กระจายเชื้อไปสู่ผู้อื่น หมั่นล้างมือ ใช้แอลกอฮอล์เจล เวลาไอ หรือจาม ต้องปิดปากและจมูกเสมอ

การป้องกัน

• ในช่วงที่มีการระบาดของไข้หวัดใหญ่จะต้องดูแลสุขอนามัย และทำร่างกายให้แข็งแรง หมั่นล้างมือก่อนสัมผัสใบหน้า รับประทานอาหารที่สะอาด หรือที่เรียกว่า กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ โดยล้างมือด้วยแอลกอฮอล์ในกรณีที่ไม่มีน้ำ เพราะแอลกอฮอล์สามารถทำลายเชื้อไข้หวัดใหญ่ได้

• ไข้หวัดใหญ่สามารถป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีน การให้วัคซีนไข้หวัดใหญ่จำเป็นต้องให้ทุกปี ปีละ 1 ครั้ง สำหรับประเทศไทยควรให้วัคซีนก่อนเข้าสู่ฤดูฝน ประมาณช่วงปลายเดือนเมษายน จนถึงเดือนพฤษภาคมของทุกปี โดยสายพันธุ์ของไวรัสที่อยู่ในวัคซีนจะใช้สายพันธุ์ของวัคซีนซีกโลกใต้เป็นหลัก

คงจะได้ทราบข้อมูลพื้นฐานของโรคไข้หวัดใหญ่กันแล้ว และสามารถมองภาพไปในทิศทางเดียวกัน เนื่องจากในสังคมปัจจุบันเราคงหลีกเลี่ยงโรคไข้หวัดใหญ่ และโรคโควิด-19 แทบไม่ได้ เพราะทั้งคู่เป็นโรคที่อยู่ใกล้ตัวท่านผู้อ่านทุกคนมาก ดังนั้น การป้องกันความเสี่ยงที่จะติดเชื้อจึงเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด นอกจากเรื่องการใส่หน้ากากอนามัย และการรักษาระยะห่างทางสังคมแล้ว อย่าลืมรับวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ประจำปีกันด้วยนะครับ เพราะการรับวัคซีนจะช่วยบรรเทาอาการป่วยได้มาก หากท่านมีการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ หรือในบางรายที่ติดเชื้อไม่มากอาจจะไม่มีอาการเลยก็เป็นได้ อย่างไรก็ตามเชื่อว่าคงไม่มีท่านผู้อ่านคนไหน อยากติดเชื้อไวรัสของทั้งสองโรคพร้อม ๆ กัน เพราะนั่นอาจจะเป็นหายนะทางด้านสุขภาพของท่านได้ ฉะนั้น ป้องกันไว้ดีกว่าแก้ครับ

How to วิธีกระตุ้นระบบเผาผลาญด้วยสารอาหารที่ดี

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/life/healthy/683915

วันที่ 24 พ.ค. 2565 เวลา 09:55 น.How to วิธีกระตุ้นระบบเผาผลาญด้วยสารอาหารที่ดี

จริงหรือไม่? ที่การรับประทานอาหารที่มีโปรตีนเหมาะสม ช่วยให้ร่างกายสามารถเผาผลาญพลังงานต่อวันได้ดีกว่าการรับประทานอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตสูงเพียงอย่างเดียว

กว่าหลายปีที่ผ่านมา การเผาผลาญพลังงานนับเป็นเป้าหมายหลักของผู้บริโภค เนื่องจากมีผลต่อน้ำหนัก ความอยากอาหาร และระดับไขมันในร่างกาย ยิ่งการเผาผลาญของคุณสูงขึ้นเท่าใด พลังงานที่คุณเผาผลาญได้ก็สูงขึ้นด้วยแม้จะอยู่ในขณะพักผ่อน อย่างไรก็ตาม หลายคนอาจยังคงไม่ทราบว่าการที่ร่างกายเผาผลาญได้ดีหมายความว่าคุณอาจต้องรับประทานมากขึ้น และหรือปรับช่วงเวลาของมื้ออาหารเพื่อรักษาน้ำหนักตัวให้คงที่ โดย มิเชล ริกเกอร์ ผู้อำนวยการฝ่ายการศึกษาและการอบรมด้านโภชนาการทั่วโลก บริษัท เฮอร์บาไลฟ์ นิวทริชั่น กล่าวว่า “สิ่งที่สำคัญในที่นี้คือ การเข้าใจว่าร่างกายของคุณจัดการกับอาหารอย่างไร และอาหารประเภทใดที่คุณจำเป็นต้องรับประทานเพื่อให้ร่างกายของคุณทำงานได้อย่างเหมาะสม”

มิเชล ริกเกอร์ ผู้อำนวยการฝ่ายการศึกษาและการอบรมด้านโภชนาการทั่วโลก บริษัท เฮอร์บาไลฟ์ นิวทริชั่น

ร่างกายสร้างพลังงานได้อย่างไร

แม้ว่าอาหารทุกชนิดจะช่วยเพิ่มพลังงานได้ แต่สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจว่าอาหารประเภทใดที่เหมาะแก่การรับประทานเพื่อรักษาระดับพลังงาน โดยคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน ไขมันดี (อะโวคาโดและถั่ว) และโปรตีน (ปลา ไก่ เทมเป้ ไข่ และอื่น ๆ) จะใช้เวลาในการย่อยนาน ช่วยตอบสนองต่อความหิว และค่อย ๆ ให้พลังงานอย่างสม่ำเสมอ จึงมีค่าดัชนีน้ำตาลที่ต่ำ ซึ่งค่าดัชนีน้ำตาลต่ำถือเป็นสิ่งที่ดีด้วยเหตุผลต่อไปนี้

ร่างกายใช้พลังงานน้อยกว่าการย่อยอาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลที่สูงหรืออาหาร “ขยะ” เนื่องจากมีส่วนผสมของวัตถุดิบที่ผ่านการขัดสี การย่อยที่เร็วทำให้หิวบ่อย และจะส่งความรู้สึกความอยากอาหารไปที่สมอง ในทำนองเดียวกันกับการอดอาหาร สาเหตุหลักประการหนึ่งที่ทำให้ “การอดอาหาร” ส่งผลเสียในระยะยาวคือ ทุกครั้งที่คุณอดอาหาร หรือร่างกายได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ ระดับน้ำตาลในเลือดจะลดลงและมีการปล่อยฮอร์โมนชนิดหนึ่งในร่างกายที่กระตุ้นให้เกิดการสลายกล้ามเนื้อ ซึ่งไม่ใช่การเผาผลาญไขมัน ปฏิกิริยานี้ทำให้คุณมีความอยากอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรตมากขึ้นเพื่อรักษาระดับพลังงาน แม้ว่าคาร์โบไฮเดรตเป็นส่วนสำคัญของมื้ออาหารที่สมดุลเพื่อให้ร่างกายได้รับพลังงาน แต่การมุ่งเน้นให้ร่างกายได้รับโปรตีนต่อวันอย่างเพียงพอต่อความต้องการจะทำให้คุณสามารถเผาผลาญพลังงานได้ดีกว่าการรับประทานอาหารที่เน้นแต่คาร์โบไฮเดรตสูง การรับประทานอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมันอย่างสมดุลจะให้พลังงานแก่ร่างกายเพื่อใช้ในการออกกำลังกายและเพิ่มพลังงานแก่ร่างกาย

พลังของไมโทคอนเดรีย

ไมโทคอนเดรียสร้างพลังงานที่จำเป็นสำหรับการอยู่รอดและการทำงานของเซลล์ทั้งหมดในร่างกาย รวมถึงส่งเสริมให้ต่อมหมวกไตทำงานเป็นปกติ ต่อมหมวกไตทำหน้าที่ผลิตฮอร์โมนที่ช่วยควบคุมกระบวนการเผาผลาญ

ระบบภูมิคุ้มกัน ความดันโลหิต การตอบสนองต่อความเครียด และการทำงานที่จำเป็นอื่น ๆ ของร่างกาย บางคนบอกว่า “อาหารเป็นยา” และเมื่อคุณพิจารณาถึงพลังงานที่ผลิตโดยไมโทคอนเดรียและผลของพลังงานต่อฮอร์โมนเหล่านี้ การดูแลต่อมหมวกไตให้ทำงานเป็นปกติจึงเป็นสิ่งสำคัญในการลดน้ำหนัก ให้พลังงาน และสุขภาพดีแบบองค์รวม

ด้วยปฏิกิริยาเคมีต่าง ๆ ไมโทคอนเดรียจะสลายกลูโคสเป็นโมเลกุลที่ให้พลังงานที่เรียกว่า อะดีโนซีนไตรฟอสเฟต (ATP) ซึ่งใช้เป็นพลังงานสำหรับกระบวนการต่าง ๆ ระดับเซลล์ โดยพื้นฐานไมโทคอนเดรียจะช่วยเปลี่ยนพลังงานจากอาหารที่เรารับประทานเข้าไปเป็นพลังงานที่เซลล์สามารถนำไปใช้ได้

การออกกำลังกายช่วยเพิ่มจำนวนไมโทคอนเดรียทำให้ร่างกายมีความสามารถในการสร้างพลังงานได้ดีขึ้น

สองวิธีที่ช่วยให้พลังงานแก่ไมโทคอนเดรีย ได้แก่ แอลคาร์นิทีนและครีเอทีนจากแหล่งอาหารธรรมชาติ ไม่เพียงแต่จะช่วยให้พลังงานแก่ร่างกาย แต่ทั้งสองยังมีส่วนสำคัญในการสร้างมวลกล้ามเนื้อ เราสามารถรับสารอาหารเหล่านี้จากโปรตีนจากสัตว์ เช่น เนื้อวัวที่เลี้ยงด้วยหญ้า เนื้อกระบือไบสัน ไข่ และสัตว์ปีก และยังพบในโปรตีนจากพืช เช่น เมล็ดถั่ว ถั่ว และเมล็ดพืช ด้วยเช่นกัน

อาหารเสริมเพิ่มพลังงาน

หากคุณต้องการเพิ่มพลังงาน วิตามินบีนับเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี วิตามินบีสามารถละลายน้ำได้ ทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมได้มากตามความต้องการ และส่วนเกินที่เหลือจะถูกขับออกมาพร้อมกับปัสสาวะ หากเราเคลื่อนไหวร่างกายมาก ไม่ได้รับประทานอาหารที่สมดุล ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป หรือใช้ยาหลายชนิด เราอาจจะขาดวิตามินบี

วิตามินบี 12 มีบทบาทสำคัญในการสร้างพลังงานจากการเปลี่ยนอาหารที่เรารับประทานเข้าไปเป็นพลังงานที่เซลล์สามารถนำไปใช้ได้ ช่วยสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดงที่จำเป็นสำหรับการทำงานของปอด และเปลี่ยนไขมันและโปรตีนเป็นพลังงาน

· วิตามินบี 1 (ไทอามีน) ช่วยการทำงานของสมองและระบบประสาท

· วิตามินบี 2 (ไรโบเฟลวิน) ป้องกันอันตรายจากอนุมูลอิสระและออกซิเดทีฟสเตรส

· วิตามินบี 3 (ไนอะซิน) เสริมสร้างการทำงานพื้นฐานของสมอง

· วิตามินบี 5 (กรดแพนโทเทนิก) เสริมสร้างการทำงานของสารสื่อประสาท (สารเคมีในสมอง)

ผักโขมปรุงสุก บรอกโคลี ผักเคล คะน้าฝรั่ง ผักกาดเขียว ผักจำพวกชาร์ด กวางตุ้ง ผักจำพวกบีท ผักคะน้า ล้วนเป็นอาหารเพิ่มพลังงานที่มีคลอโรฟิลล์ แมกนีเซียม และวิตามินบี

นอกจากวิตามินบีแล้ว มิเชล ริกเกอร์ แนะนำว่า โคคิวเทน (หรือยูบิควินอล) ก็กระตุ้นการทำงานของแหล่งผลิตพลังงานของเซลล์ (เช่น ไมโทคอนเดรีย) ทำให้สร้างพลังงานมากขึ้นเช่นกัน ยูบิควินอลสามารถพบได้ในทุกเซลล์ของร่างกาย และเมื่ออายุมากขึ้น ร่างกายจะมียูบิควินอลลดลง

ธาตุเหล็ก มีบทบาทในการสร้างพลังงานจากสารอาหาร และยังมีส่วนช่วยในการส่งกระแสประสาท ซึ่งเป็นสัญญาณที่ส่งไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกายเพื่อให้เกิดการทำงาน

การมีพลังงานมากมักเป็นเป้าหมายสุดท้ายของเราและทำให้เรารู้สึกดี แต่การเข้าใจถึงวิธีการควบคุมอาหารเพื่อให้มีความรู้สึกที่ดีนั้นจะให้ประโยชน์กับคุณและสุขภาพโดยรวมได้มากขึ้น การเพิ่มการเผาผลาญของคุณจะเกิดขึ้นได้เมื่อคนมีความเข้าใจว่าร่างกายของคุณผลิตพลังงานอย่างไร และอาหารต่าง ๆ ส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดของคุณอย่างไร มิเชล ริกเกอร์ สรุปไว้อย่างน่าสนใจ

7 พฤติกรรมทำร้ายกระดูกสันหลัง

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/life/healthy/683907

วันที่ 24 พ.ค. 2565 เวลา 08:50 น.7 พฤติกรรมทำร้ายกระดูกสันหลัง

รู้แล้วเลิกด่วน!! 7 พฤติกรรมทำร้ายกระดูกสันหลัง

กระดูกในร่างกายมนุษย์มีทั้งหมด 206 ชิ้นที่เป็นโครงสร้างของร่างกาย และทำหน้าที่ปกป้องอวัยวะภายในต่างๆ ไขกระดูกบางชนิดจะช่วยผลิตเซลล์เม็ดเลือดแดงและเซลล์เม็ดเลือดขาว และเส้นเอ็นจะเป็นตัวเชื่อมโยงเนื้อเยื่อต่างๆ เข้าไว้ด้วยกัน ทุกส่วนล้วนทำงานอย่างสัมพันธ์กัน ซึ่งเมื่อส่วนหนึ่งส่วนใดบกพร่อง ย่อมกระทบส่วนอื่นๆ ไปด้วยค่ะ

สำหรับกระดูกสันหลัง นอกจากเป็นโครงสร้างแข็งแรงที่ปกป้องแกนของไขสันหลังแล้ว ยังทำหน้าที่เป็นจุดเกาะของกล้ามเนื้อของหลัง และยังเชื่อมต่อกับกะโหลกศีรษะ กระดูกสะบัก กระดูกเชิงกราน และกระดูกซี่โครง อีกด้วย

สำคัญขนาดนี้จึงอยากจะชวนทุกคนมาดูแลกระดูกสันหลังกันซักหน่อย เริ่มต้นจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่เคยชินที่จะทำร้ายกระดูกสันหลังของเราอย่างไม่รู้ตัว มาดูกันว่าอะไรบ้าง ที่เราควรจะเลิกเพื่อช่วยถนอมรักษากระดูกสันหลังของเรา

1. นั่งไขว่ห้าง

ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ คุณสาวๆ อย่านั่งไข่วห้างเลยค่ะ ถึงนั่งแล้วจะได้สรีระรูปตัวเอส ( s ) ดึงดูดสายตาชวนให้เหลียวมอง แต่สังเกตซักนิดว่าเวลาเรานั่งไขว่ห้างนานๆ เท้าอาจจะเริ่มชาจนต้องสลับข้าง เพราะเลือดเดินไม่สะดวก เวลานั่ง ตัวก็จะตะแคงบิดมาอีกด้านหนึ่ง ยิ่งถ้านั่งเป็นประจำน้ำหนักตัวก็จะทิ้งไปด้านเดียว กระดูกก็จะถูดบิดเป็นประจำทำให้หลังเสียโดยไม่รู้ตัว แนะนำให้นั่งวางเท้าชิดกันเอียงไปด้านใดด้านหนึ่ง แล้วหันไหล่ตรงก็เป็นท่านั่งที่ทำให้หุ่นดูสวยไม่แพ้กันเลย

2. การกอดอก

ถึงมีเรื่องที่ต้องขบคิด เครียด หรือมีเรื่องหนักอก แนะนำว่าอย่าเอามากอดไว้กับอกเลย เพราะเวลาที่เรากอดอกนั้น สรีระช่วงบน อย่างสะบัก และหัวไหล่ต้องยืดยาว และค้อมไปด้านหน้า แถมคอก็ยังยืดออกเหมือนเต่า ทำให้ปวดหลังได้แบบไม่รู้ตัว อีกทั้งจะทำให้เลือดยังไปเลี้ยงสมองได้ไม่ดี เกิดอาการปวดหัวได้อีก กอดอก อีกท่วงที่เคยชินแต่อาจทำร้ายหลังแบบไม่รู้ตัวเลย

3. ท่ายืนพักขา

การยืนพักขาแม้จะจะเป็นท่าที่สบาย แต่ทราบไหมคะว่าการพักขาจะเป็นการทิ้งน้ำหนักให้เป็นภาระด้านกับร่างกายด้านหนึ่ง สะโพกก็จะเอียง กระดูกสันหลังก็โค้งตามไปด้วย ไม่ดีต่อสมดุลของร่างกายอย่างแน่นนอน การยืนที่ดีที่สุดก็เพียงแค่ทิ้งน้ำหนักลงที่ขาทั้ง 2 ข้างเท่าๆ กัน ง่ายๆ แค่นี้เองคะ

4. นั่งหลังงอ

จำไว้ค่ะว่าหลังต้องตรง เหมือนตุ๊กตาหุ่นที่มีใครมาดึงเชือกด้านบนไว้ตลอด บางครั้งการนั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์นานๆ เราอาจเผลอก้มหน้าไปจนติดจอ หลังค่อม งอ โค้ง ไม่น่าดู ยิ่งนานวันเข้ากระดูกก็จะงอคดตามจนผิดรูป ทำให้เกิดอาการปวดหลังเรื้อรัง แก้ไขได้ยาก ทางที่ดีควรปรับระดับความสูงและความเอียงของจอคอมพิวเตอร์ให้เหมาะสม และเตือนตัวเองไว้เสมอๆ ให้นั่งหลังตรงตลอดเวลา

5. นั่งเก้าอี้หมิ่นๆ

จะเพราะกระโปรงสั้น หรือเก้าอี้สูงนั่งไม่สบาย ทำให้สาวๆ บางคนต้องนั่งหมิ่นๆ แต่รู้ไหมคะว่ากล้ามเนื้อหลังต้องทำงานหนักขนาดไหนในการรับน้ำหนัก ลองนึกภาพก็จะเหมือนกับการวางของหนักๆ ไว้บนฐานที่แคบๆ เวลานั่งเก้าอี้จึงควรนั่งแบบเต็มก้นจะดีกว่า

6. นอนขดเป็นดักแด้

เวลานอนถือเป็นช่วงเวลาที่ร่างกายจะพักผ่อนอย่างจริงจัง กล้ามเนื้อทุกส่วนต้องสบาย และการนอนแต่ละครั้ง ร่างกายจะอยู่ในท่าเดิมๆ นั้นๆ  นานหลายชั่วโมง การนอนขดตัวจะทำให้กระดูกงอโค้ง กล้ามเนื้อบางส่วนเกร็งไม่ได้พักผ่อน คนที่นอนอาจตื่นมาไม่สดชื่นนัก เพราะร่างกายไม่ได้ผ่อนคลายจริงๆ นั่นเอง ท่านอนที่ดีท่าหนึ่ง คือการนอนตะแคงขวา โดยมีหมอนข้างใบน้อยช่วยรับน้ำหนักของร่างกายบางส่วน ท่านอนท่านี้นอกจากจะช่วยป้องกันอาการปวดหลังแล้ว ยังจะทำให้หัวใจทำงานได้สะดวกอีกด้วย

7. ส้นสูง

ทราบกันดีอยู่แล้วว่ารองเท้าส้นสูง ถึงใส่แล้วจะดูขายาว หุ่นเพรียวสวย แต่ก็เป็นภัยร้ายแรง ทำให้กระดูกสันหลังช่วงล่างแอ่นมากกว่าปกติ อาการปวดหลังก็ตามมา แนะนำว่า ถ้าเลี่ยงได้ ลองมองหารองเท้าส้นเตี้ยที่ถูกออกแบบมาให้เข้ากับรูปเท้า และรองรับน้ำหนักจากการเดินได้ดีจะดีกว่า

รู้จักพฤติกรรมที่เป็นภัยร้ายกับกระดูกสันหลังกันแล้ว มาปรับพฤติกรรมของเราตั้งแต่วันนี้กันดีกว่า เพราะนอกจากจะเป็นการป้องการอาการบาดเจ็บ แล้ว ยังช่วยให้มีบุคลิกภาพที่ดีอีกด้วยฃ

ขอบคุณข้อมูลจาก ไลฟ์เซ็นเตอร์บล็อก

ภาพจาก www.freepik.com

ทุกเรื่องต้องรู้!! ก่อนรักษา ‘โรคหัวใจ’ ด้วยการผ่าตัด

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/life/healthy/683145

วันที่ 17 พ.ค. 2565 เวลา 07:03 น.ทุกเรื่องต้องรู้!! ก่อนรักษา ‘โรคหัวใจ’ ด้วยการผ่าตัด

คุยกับศัลยศาสตร์ทรวงอก ศูนย์โรคหัวใจและทรวงอก ไขความสงสัยการผ่าตัดหัวใจเหมาะกับใคร? การผ่าตัดหัวใจมีวิธีอย่างไร? พร้อมฟังแนวทางการเตรียมตัว ตลอดจนวิธีการดูแลร่างกาย รวมไปถึงความเสี่ยงในการผ่าตัดหัวใจ ช่วยคลายความกังวลให้กับผู้ป่วยในเบื้องต้น

ในแต่ละปีประเทศไทยมีอัตราการสูญเสียประชากรอันมีสาเหตุมาจาก “โรคหัวใจ” เป็นจำนวนไม่น้อย การรักษาด้วย “การผ่าตัด” จึงนับเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำคัญ ที่จะช่วยลดอัตราการเสียชีวิตจากโรคหัวใจให้กับคนไทย เนื่องจากในปัจจุบันวิวัฒนาการทางการแพทย์ที่ก้าวหน้า ประกอบกับการมีแพทย์เฉพาะทางด้านหัวใจที่มีประสบการณ์มาก ทำให้การผ่าตัดหัวใจมีความปลอดภัยสูงและไม่น่ากลัวอย่างที่คิด

นพ.บุลวัชร์ หอมวิเศษ

นพ.บุลวัชร์ หอมวิเศษ ศัลยศาสตร์ทรวงอก ศูนย์โรคหัวใจและทรวงอก โรงพยาบาลนวเวช ได้อธิบายถึงการรักษาโรคหัวใจด้วยการผ่าตัดไว้อย่างละเอียด ตั้งแต่การผ่าตัดหัวใจเหมาะกับใคร รูปแบบการผ่าตัดหัวใจเป็นอย่างไร การเตรียมตัว วิธีการดูแลร่างกาย รวมไปถึงความเสี่ยงในการผ่าตัดหัวใจ เพื่อให้เข้าใจและเห็นถึงความปลอดภัยในการผ่าตัด พร้อมทั้งช่วยคลายความกังวลให้กับผู้ป่วยในเบื้องต้น

โดยปกติการรักษาหัวใจจะแบ่งออกเป็น 3 วิธี คือ การใช้ยา การทำหัตถการพิเศษผ่านสายสวน และสุดท้ายคือ การผ่าตัด โดยปกติการใช้ยาถือเป็นการรักษาหลักในผู้ป่วยทุกราย แต่ก็จะมีข้อจำกัดว่าถ้าเส้นเลือดตีบรุนแรง ตีบจำนวนหลายเส้น หรือ ผู้ป่วยมีอาการมาก ก็ไม่สามารถใช้ยาอย่างเดียวได้และต้องมาพิจารณาถึงหัตถการหรือการผ่าตัดเพิ่มเติม

การผ่าตัดหัวใจมีหลักการเป็นอย่างไร?

สำหรับการผ่าตัดจะแบ่งออกเป็น 2 วิธี คือ

1.การผ่าตัดเปิดแบบปกติ

ศัลยแพทย์จำเป็นต้องตัดแยกกระดูกหน้าอกออก เพื่อที่จะสามารถทำการผ่าตัดได้ง่ายขึ้น ซึ่งวิธีนี้คือ แผลผ่าตัดมีขนาดใหญ่ ถือเป็นการผ่าตัดมาตรฐาน ข้อดีของวิธีนี้สามารถผ่าตัดหัวใจได้ทุกชนิด แต่มีข้อจำกัดคือ กระดูกจะต้องถูกตัด ซึ่งจะทำให้เกิดอาการเจ็บปวดหลังผ่าตัดได้

2.การผ่าตัดแบบแผลเล็ก

ปัจจุบันมีการพัฒนาการผ่าตัดมากขึ้น เป็นการผ่าตัดแบบแผลเล็ก ซึ่งแผลผ่าตัดจะมีขนาดเล็กลงมาก แค่ 6-8 ซม. และมักจะอยู่บริเวณด้านข้างของผนังทรวงอก ทำให้ผู้ป่วยมีรอยแผลเป็นที่สวยงามมากขึ้น สามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้เร็วขึ้น แต่อย่างไรก็ตามการผ่าตัดแบบแผลเล็ก ยังมีข้อจำกัดค่อนข้างมาก สามารถทำได้กับผู้ป่วยที่มีพยาธิสภาพเฉพาะ และไม่รุนแรงจนเกินไปเท่านั้น ประกอบกับยังต้องอาศัย

ศัลยแพทย์ที่มีความชำนาญการ ทีมแพทย์ รวมถึงโรงพยาบาลที่มีเครื่องมือครบ วิธีการผ่าตัดแบบแผลเล็กจึงไม่สามารถใช้ได้กับผู้ป่วยทุกราย ต้องให้ศัลยแพทย์เป็นผู้ตัดสินใจเลือกวิธีการผ่าตัดเฉพาะให้แก่ผู้ป่วยแต่ละราย

การผ่าตัดหัวใจ มีวิธีอย่างไร?

การผ่าตัดหัวใจทำได้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับโรคของคนไข้ ซึ่งโรคที่เราพบบ่อยในประเทศไทยเป็นอันดับที่ 1 ก็คือ โรคเส้นเลือดหัวใจตีบ ทำให้เลือดไม่สามารถไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจของคนไข้ได้ ซึ่งหลักการผ่าตัดคือ เราจะนำเส้นเลือดแดงหรือเส้นเลือดดำจากบริเวณอวัยวะอื่น เช่น ใต้กระดูกหน้าอก ขา หรือ แขน มาทำเป็นทางเบี่ยง เพื่อเพิ่มเลือดไปเลี้ยงหัวใจให้มากขึ้น ซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยมีอาการดีขึ้น และมีอายุที่ยืนยาวมากขึ้น

โรคกลุ่มที่ 2 คือ โรคลิ้นหัวใจ จะแบ่งได้เป็น ลิ้นหัวใจตีบ และ ลิ้นหัวใจรั่ว ซึ่งการผ่าตัดจะมี 2 วิธี คือ การซ่อมลิ้นหัวใจ และ การเปลี่ยนลิ้นหัวใจ โดยปกติแล้วการซ่อมลิ้นหัวใจ เราถือว่าจะมีผลในการรักษาระยะยาวที่ดีกว่า จึงแนะนำเป็นทางเลือกแรกของการรักษา แต่ในบางกรณีศัลยแพทย์ก็ไม่สามารถซ่อมลิ้นหัวใจให้คนไข้ได้ จึงจำเป็นต้องเปลี่ยนลิ้นหัวใจแทน

การเตรียมตัว เมื่อต้องผ่าตัดหัวใจ

ผู้ป่วยต้องเตรียมตัวทั้งทางร่างกาย คือ พักผ่อนให้เพียงพอ ทานอาหารที่ดี และรับประทานยาให้ครบตามที่แพทย์สั่ง นอกจากนั้นผู้ป่วยยังต้องเตรียมตัวทางด้านจิตใจด้วย คือ การทำจิตใจให้สบาย ไม่จำเป็นต้องเครียด หรือ วิตกกังวล เนื่องจากการผ่าตัดหัวใจมีความปลอดภัยสูงและไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด

การดูแลร่างกาย เมื่อผ่าตัดหัวใจ

หลังจากการผ่าตัดจะแบ่งออกเป็น 2 ช่วง

• ช่วงแรก คือ หลังผ่าตัดทันที ซึ่งจะกินเวลาประมาณ 7 วัน โดยปกติหลังจากการผ่าตัดเสร็จ ภายใน 1-2 วันแรกคนไข้จะได้รับการรักษาอยู่ในห้องไอซียู หรือ หอผู้ป่วยวิกฤตหัวใจ โดยมีจุดประสงค์เพื่อที่จะดูแลคนไข้อย่างใกล้ชิดเพราะถ้าเกิดภาวะแทรกซ้อนก็สามารถที่จะรักษาและแก้ไขได้ทันที โดยในระยะเวลานี้คนไข้จะมีการใส่ท่อช่วยหายใจ การใช้เครื่องช่วยหายใจ การใส่สายวัดความดันในหัวใจ สายสวนปัสสาวะ และ สายระบายเลือดที่ค้างจากการผ่าตัด เมื่ออาการผู้ป่วยคงที่ก็จะนำสายทั้งหมดออกและย้ายผู้ป่วยกลับหอผู้ป่วยปกติ เพื่อทำกายภาพบำบัดและฟื้นฟูสมรรถนะของร่างกาย เมื่อผู้ป่วยสามารถช่วยเหลือตัวเองได้ระดับหนึ่ง ก็จะอนุญาตให้กลับบ้านได้

• ช่วงที่ 2 คือ หลังจากผู้ป่วยกลับบ้าน โดยปกติจะแนะนำให้มีคนช่วยดูแลผู้ป่วยอีก 1-2 สัปดาห์ที่บ้าน โดยผู้ป่วยจะรู้สึกดีขึ้นประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ หลังจากการผ่าตัดเป็นระยะเวลา 1 เดือน และเมื่อถึงเวลา 3 เดือน ผู้ป่วยเกือบทั้งหมดจะสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ 100 เปอร์เซ็นต์

ความเสี่ยงในการผ่าตัดหัวใจ

ความเสี่ยงที่ผ่าตัดแล้ว จะเสียชีวิต หรือ ไม่ตื่น เป็นสิ่งที่ผู้ป่วยและญาติส่วนใหญ่มักจะกังวลอย่างมาก ก่อนที่จะมารับการผ่าตัดหัวใจ แต่ในความเป็นจริง การผ่าตัดหัวใจเป็นการผ่าตัดที่ค่อนข้างปลอดภัยมาก ศัลยแพทย์จะประเมินความเสี่ยงผู้ป่วยแต่ละราย โดยอาศัยการพิจารณาจากประวัติ โรคประจำตัว การตรวจร่างกาย และผลตรวจทางห้องปฎิบัติการ

ซึ่งโดยปกติแล้ว ประมาณ 80-90 เปอร์เซ็นต์ของผู้ป่วยที่เข้ามารับการผ่าตัด จะถือเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงต่ำ โดยจะมีโอกาสเสียชีวิตจากการผ่าตัดเพียงแค่ 1-2 เปอร์เซ็นต์ และมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น อัมพาต ไตวาย ปอดติดเชื้อ หรือ แผลติดเชื้อรุนแรง รวมกันไม่เกิน 5 เปอร์เซ็นต์ เท่านั้น จะมีเพียง 10-20 เปอร์เซ็นต์ ของผู้ป่วยที่อาจจะมีความเสี่ยงจากการผ่าตัดสูงกว่าปกติ ซึ่งมักจะพบในผู้ป่วยที่สูงอายุมาก ๆ ผู้ป่วยติดเตียง ผู้ป่วยมีโรคประจำตัวที่ยังควบคุมไม่ได้ หรือ ผู้ป่วยที่จำเป็นต้องได้รับการผ่าตัดฉุกเฉิน

โดยศัลยแพทย์จะนำความเสี่ยงต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นจากการผ่าตัด มาเปรียบเทียบกับความเสี่ยงของโรคที่อาจจะเกิดขึ้นหากไม่ได้รับการรักษา แล้วนำมาปรึกษาร่วมกันพร้อมกับผู้ป่วยและญาติ เพื่อพิจารณาหาแนวทางการรักษาที่ดีสุดให้กับผู้ป่วยโรคหัวใจ

BIOlongevity: ชีวิตยืนยาว 120 ปีที่เป็นจริงได้

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/life/healthy/683149

วันที่ 16 พ.ค. 2565 เวลา 08:35 น.BIOlongevity: ชีวิตยืนยาว 120 ปีที่เป็นจริงได้

“เมดีซ กรุ๊ป” เปิดโลกนวัตกรรมการดูแลสุขภาพแนวใหม่ด้วย “BIOlongevity Technology” ดึง 3 แพทย์-นักวิจัยระดับโลกร่วมเสวนาในหัวข้อ “BIOlongevity: ชีวิตยืนยาว 120 ปีที่เป็นจริงได้”

ตอกย้ำความสำเร็จในการเป็นแบรนด์แรกและแบรนด์เดียวในอาเซียนที่มีความเชี่ยวชาญระดับ State-of-the-Art BIOlongevity มุ่งพัฒนาการแพทย์ที่ใช้ประโยชน์จากเซลล์ของไทยให้ก้าวไกลสู่ระดับโลก บริษัท เมดีซ กรุ๊ป จำกัด สถาบันชั้นนำด้านการฝากเก็บ คัดแยก เพาะเลี้ยง และวิจัยเซลล์ต้นกำเนิดแบบครบวงจร พร้อมรางวัลการันตีคุณภาพมาตรฐานระดับโลก ชูจุดเด่นด้านนวัตกรรม “BIOlongevity” เปิดเวทีเสวนาพิเศษภายใต้หัวข้อ “BIOlongevity: ชีวิตยืนยาว 120 ปีที่เป็นจริงได้” โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อแบ่งปันองค์ความรู้ และนำเสนอมุมมองใหม่ให้แก่องค์กร สังคม และคนไทย ก้าวทันไปกับปรากฏการณ์การเปลี่ยนแปลงด้านสุขภาพครั้งยิ่งใหญ่ในปัจุบัน

โดยนวัตกรรมและความก้าวหน้าด้านเซลล์และเนื้อเยื่อจะเข้ามาเป็นมากกว่า ‘ทางเลือก’ ในการฟื้นฟูสภาวะความเสื่อมของร่างกายมนุษย์ และจะมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการมอบชีวิตที่ยืนยาวที่มีสุขภาพดีให้แก่ผู้คน ทีมผู้บริหารจากบริษัท เมดีซ กรุ๊ป จำกัด นำโดย นายแพทย์ วีรพล เขมะรังสรรค์ ประธานกรรมการบริหาร แพทย์ชาวไทยเพียงหนึ่งเดียวที่ได้รับเกียรตินิยมในสาขาการจัดตั้งธนาคารฝากเก็บเนื้อเยื่อและการปลูกถ่ายเนื้อเยื่อ จากมหาวิทยาลัยเเห่งชาติสิงคโปร์ ร่วมด้วย รศ.ดร.รังสรรค์ พาลพ่าย ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานที่ปรึกษา เจ้าของรางวัลนักวิจัยดีเด่นแห่งชาติปี 2564 จากผลงาน วิจัย “โคลนนิ่งสัตว์” และ ดร.ฌีวาตรา ตาลชัย กรรมการอิสระ เจ้าของรางวัลนักวิจัยรุ่นใหม่ดีเด่น จากสมาคมต่อมไร้ท่อแห่งสหรัฐอเมริกา 

นายแพทย์วีรพล เขมะรังสรรค์ ผู้ก่อตั้งและประธานกรรมการบริหาร บริษัท เมดีซ กรุ๊ป จำกัด และหนึ่งในคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของ American Board of Anti-Aging Medicine (ABAARM) และ American Board Certified in Fellowship in Stem Cell Therapies, American Academy of Anti-Ageing Medicine เปิดเผยว่า  “ผู้คนในโลกปัจจุบันกำลังประสบปัญหาอย่างหนักจากวิกฤติด้านสุขภาวะที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม มลพิษ จำนวนประชากรสูงอายุที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไปจนถึงสถานการณ์ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบมายาวนานมากกว่า 2 ปี เมดีซ กรุ๊ป ตระหนักถึงความสำคัญของการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวในทั่วโลก และได้ดำเนินธุรกิจของเราอย่างต่อเนื่องมาถึง 12 ปี เพื่อขับเคลื่อนความยั่งยืนด้านสุขภาพให้กับคนทั่วโลก เราจึงมุ่งมั่นนำเสนอทางเลือกใหม่ที่จะทำให้ผู้คนสามารถมีชีวิตอันยืนยาวและใช้ชีวิตในวันพรุ่งนี้ที่ดีกว่าเดิมได้ ผ่านพันธกิจใหม่ของเราในฐานะ ‘แบรนด์แรกและแบรนด์เดียวในอาเซียนที่มีความเชี่ยวชาญระดับ State-of-the-Art BIOlongevity’ ที่ครบวงจรที่สุด โดยคำว่า ‘BIOlongevity’ ก็คือวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์ที่จะช่วยปูทางไปสู่การมีอายุขัยถึง 120 ปีได้ของมนุษย์ โดยเป็นการผสมคำระหว่างคำว่า ‘BIO’ ซึ่งหมายถึงชีวภาพ คือสิ่งที่เกี่ยวกับการมีชีวิตอยู่ของเรา บวกกับคำว่า ‘Longevity’ ซึ่งแปลว่าความยืนยาวหรือการมีอายุยืนนั่นเอง ทั้งนี้ในวงการแพทย์ มีข้อมูลที่แพร่หลายจากการวิจัยมากมายว่า มนุษย์เราสามารถมีชีวิตอยู่ได้ถึง 120 ปี ด้วยการวิเคราะห์ผลตรวจนับเม็ดเลือดของประชากรในวัยที่ต่างกันเพื่อดูสัดส่วนระหว่างเม็ดเลือดขาวสองชนิด กับความแตกต่างของขนาดเม็ดเลือดแดงที่ร่างกายผลิตออกมา โดยเมื่อคนเรายิ่งมีอายุมากขึ้น ความเปลี่ยนแปลงทั้งปริมาณและขนาดของเม็ดเลือดสองประการนี้ก็จะยิ่งปรากฏชัดขึ้น เห็นได้จากการเสื่อมสภาวะของเซลล์ร่างกาย เช่น การมีผมหงอก เป็นโรคไขข้อ หรือมีผิวหนังที่เหี่ยวย่นลง โดยข้อมูลความเปลี่ยนแปลงของเม็ดเลือดดังกล่าวเป็นตัวบ่งชี้ทางชีวภาพที่เรียกว่า Biomarker ที่สามารถบอกได้ถึงระดับความชราหรืออายุทางชีวภาพ (Biological Age) ที่แท้จริงของคนเรา โดยมีการนำข้อมูลเหล่านี้มาสร้างเป็นแบบจำลองคอมพิวเตอร์ เพื่อคำนวณหาค่าบ่งชี้สภาพของสิ่งมีชีวิตแบบมีพลวัต (DOSI) ซึ่งตัวเลขนี้จะแสดงถึงความสามารถของมนุษย์ในการฟื้นตัวจากภาวะป่วยไข้หรืออาการบาดเจ็บ โดยผลการคำนวณปรากฏว่า ความสามารถในการฟื้นตัวจากสภาวะร่างกายเสื่อมของมนุษย์จะหมดไปอย่างสิ้นเชิงในช่วงอายุประมาณ 120 ปี”

“สเต็มเซลล์หรือเซลล์ต้นกำเนิดนั้นจึงถือว่าเป็นสิ่งที่มีคุณค่าและประโยชน์อย่างมหาศาล เพราะเป็นเซลล์ที่มีคุณสมบัติพิเศษและแตกต่างจากเซลล์ทั่วไปอยู่ 3 ประการ คือ 1) เป็นเซลล์ที่ยังไม่มีหน้าที่จำเพาะใดๆ 2) เป็นเซลล์ที่แบ่งตัวเพิ่มจำนวนขึ้นได้อย่างไม่จำกัด และ 3) สามารถพัฒนาไปเป็นเซลล์ชนิดต่างๆ ได้เกือบทุกชนิดในร่างกาย เช่น เซลล์ผิวหนัง เซลล์สมอง เซลล์กล้ามเนื้อ เซลล์เม็ดเลือด ฯลฯ ในปัจจุบัน จึงมีการเก็บเซลล์แช่แข็งเอาไว้เพื่อใช้ในอนาคตหากจำเป็น โดยในการเก็บสเต็มเซลล์ เราสามารถเก็บได้ทั้งจากเด็กแรกเกิด คือจากเลือดในสายสะดือและเนื้อเยื่อสายสะดือ และจากผู้ใหญ่ทุกอายุ คือจากเนื้อเยื่อไขมันหรือไขกระดูก ทั้งนี้ ความก้าวหน้าในด้านวิจัยและพัฒนาด้านสเต็มเซลล์ในปัจจุบันได้รุดหน้าไปไกลอย่างรวดเร็ว นวัตกรรมและองค์ความรู้ใหม่ๆ ในการประยุกต์ใช้สเต็มเซลล์เพื่อรองรับการรักษาให้สัมฤทธิ์ผลได้จริงนั้น เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา โดยหนึ่งในศาสตร์ที่ได้รับการยอมรับและเริ่มมีการใช้งานในวงกว้างมากขึ้นได้แก่ เวชศาสตร์ฟื้นฟูสภาวะเสื่อม (Regenerative Medicine) ซึ่งเน้นการใช้งานเซลล์ต้นกำเนิดที่มีคุณสมบัติในการแบ่งเซลล์และเปลี่ยนแปลงไปทดแทนเนื้อเยื่อต่างๆ ที่เสื่อมลงของร่างกายเมื่อคนเรามีอายุมากขึ้น เช่น ข้อเข่าหรือข้อสะโพกเสื่อม รวมถึงการเสริมความอ่อนเยาว์ให้กับร่างกาย เช่น การลดริ้วรอยของผิวพรรณ การสร้างเส้นผมใหม่ ไปจนถึงการเพิ่มจำนวนเซลล์ป้องกัน อย่างเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด NK Cell (Natural Killer Cell) ซึ่งมีหน้าที่สำคัญในการทำลายเซลล์ที่ติดเชื้อไวรัสและเซลล์มะเร็ง ซึ่งวิทยาการเหล่านี้ เมื่อได้รับแรงส่งจาก ‘BIOlongevity Technology’ ที่ล้ำหน้าที่สุดจากเมดีซ กรุ๊ป อันประกอบด้วย ทีมนักวิทยาศาสตร์และบุคลากรผู้ทรงคุณวุฒิ กระบวนการตรวจสอบคุณภาพเซลล์อันเข้มงวด ฝ่ายวิจัยและพัฒนาอันแข็งแกร่ง เครือข่ายแพทย์ นักวิจัยและบุคลากรชั้นนำในวงการเทคโนโลยีชีวภาพ (Biotechnology) ไปจนถึงห้องปฏิบัติการปลอดเชื้อระดับคลีนรูมคลาส 100 ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และพรั่งพร้อมด้วยอุปกรณ์และเทคโนโลยีอันทันสมัยที่สุดในวงการธนาคารจัดเก็บสเต็มเซลล์ เมดีซ กรุ๊ป จึงมั่นใจว่าภารกิจในการสร้างชีวิตที่ยืนยาวหรือ Longevity ให้กับผู้คน จะไม่เป็นเพียง ‘ความหวัง’ ในอนาคตอีกต่อไป แต่จะสามารถเป็น ‘อีกทางเลือก’ ที่ทุกคนสามารถมีได้ เพื่อยืดเวลาแห่งความสุขในการใช้ชีวิตอยู่กับคนที่เรารัก และเพื่อสานต่อความฝันต่างๆ ที่ยังอยากทำต่อไปให้สำเร็จเป็นจริงได้”

ทางด้าน รศ.ดร.รังสรรค์ พาลพ่าย ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานที่ปรึกษา บริษัท เมดีซ กรุ๊ป จำกัด เจ้าของรางวัลนักวิจัยดีเด่นแห่งชาติปี 2564 จากผลงานวิจัย “โคลนนิ่งสัตว์” โดยสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และผู้ก่อตั้งชมรมสเต็มเซลล์แห่งประเทศไทย กล่าวเสริม “จากข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า มีธุรกิจที่จดทะเบียนการวิจัยและพัฒนาเชิงทดลองด้านเทคโนโลยีชีวภาพในประเทศไทยอยู่ทั้งสิ้น 84 กิจการ1 (ข้อมูลล่าสุด: มีนาคม 2565) โดยมีถึง 64 กิจการที่มีการจดทะเบียนในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ จากสถานการณ์ การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในทั่วโลก ส่งผลให้เทคโนโลยีชีวภาพก้าวเข้ามามีบทบาทมากขึ้นด้วยการรักษาด้วยเซลล์บำบัดจากสเต็มเซลล์ โดยเน้นไปที่การฟื้นฟูเซลล์ปอดของผู้ป่วยโรคโควิด-19 ซึ่งมีงานวิจัยมากกว่า 70 งานวิจัยที่กำลังศึกษาถึงการใช้งานของสเต็มเซลล์ในผู้ป่วยโควิด-192 แต่กระแสการใช้งานของสเต็มเซลล์นั้นได้เป็นที่สนใจมาก่อนหน้านี้แล้ว ที่จำกัดอยู่เฉพาะผู้ป่วยโรคเลือดหรือเฉพาะในธุรกิจความงาม ในส่วนของนวัตกรรมและความก้าวหน้าของงานวิจัย สเต็มเซลล์ ในประเทศไทยถือได้ว่าเราไม่เป็นสองรองใครในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยบริษัท เมดีซ กรุ๊ป จำกัด ถือเป็นสถาบันผู้บุกเบิกเรื่องเทคโนโลยีชีวภาพในประเทศไทย โดยมุ่งเน้นในด้านนวัตกรรมด้านการฝากเก็บ คัดแยกและเพาะเลี้ยงสเต็มเซลล์แบบครบวงจร และเปิดให้บริการมากว่า 12 ปี นอกจากนี้ เมดีซ ยังเป็นบริษัทแรกในโลกที่ให้บริการเชิงพาณิชย์ในด้านการตรวจทดสอบศักยภาพของเซลล์เม็ดเลือดขาวเพื่อดูความแข็งแรงและความสามารถในการฆ่ามะเร็ง ในด้านวิจัยและพัฒนา เมดีซมีความแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่งด้วยศูนย์ R&D ที่มุ่งเน้นการพัฒนาอย่างไม่สิ้นสุด เพื่อให้ได้มาซึ่งองค์ความรู้ใหม่ที่จะสามารถนำไปประยุกต์และพัฒนาการบริการใหม่อันมีนวัตกรรมที่ล้ำหน้าสูงสุดอยู่เสมอ โดยในปัจจุบัน เมดีซ มีการพัฒนาโครงการต่างๆ ร่วมกับหน่วยงานชั้นนำระดับประเทศมากมายเพื่อต่อยอดการใช้งานสเต็มเซลล์ในวงการแพทย์ไทย อาทิ การสร้างกระจกตาเทียมจากสเต็มเซลล์ของมนุษย์ลงบนโครงสร้างคอลลาเจน โดยทดลองร่วมกับคณะ สัตวแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย การเพิ่มความจำเพาะของ NK Cell ผ่านการดัดแปลงตัวรับของเซลล์ ร่วมกับสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ การพัฒนานวัตกรรมการเลี้ยงเซลล์รากผมและจัดเก็บเซลล์ในระยะยาวสำหรับคนผมบาง และการนำเซลล์ที่จัดเก็บไปใช้ในคนจริงๆ เช่น นำเซลล์ไขมันที่จัดเก็บไปใช้รักษาภาวะข้อเข่าเสื่อม โดยร่วมมือกับโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าฯ เป็นต้น จะเห็นได้ว่าการต่อยอดงานวิจัยด้านสเต็มเซลล์เหล่านี้เป็นการตอกย้ำความก้าวหน้าในด้าน ‘BIOlongevity’ ของเมดีซ กรุ๊ป ในการมอบชีวิตที่ยืนยาวแก่ทุกคนให้เป็นจริงได้ในอนาคต”

สำหรับ ดร.ฌีวาตรา ตาลชัย กรรมการอิสระ บริษัท เมดีซ กรุ๊ป จำกัด เจ้าของรางวัลนักวิจัยรุ่นใหม่ดีเด่น จากสมาคมต่อมไร้ท่อแห่งสหรัฐอเมริกา และผู้เป็นร่วมประดิษฐ์สิทธิบัตรการใช้สเต็มเซลล์ลำไส้ผลิตอินซูลินเพื่อรักษาผู้ป่วยโรคเบาหวาน ตอกย้ำความมั่นใจแบรนด์เมดีซ ด้วยรางวัลการันตีคุณภาพระดับโลก “เมดีซ กรุ๊ป มียอดรวมจำนวนการเก็บ สเต็มเซลล์มากที่สุดเป็นอันดับ 1 ในภูมิภาคอาเซียนและได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าในทั่วโลก เพราะทุกกระบวนการตั้งแต่การฝากเก็บ จนถึงการเพาะเลี้ยงเซลล์ ถูกคิดขึ้นจากงานวิจัยที่ได้รับการรับรองจากสถาบันระดับโลกมากมาย เราพิถีพิถันในทุกรายละเอียดจนได้รับรางวัลการันตีคุณภาพจากเวทีระดับสากล อาทิ รางวัลยอดเยี่ยมต่อเนื่องถึง 4 ปีซ้อนจาก Frost & Sullivan ในฐานะธนาคารสเต็มเซลล์ที่ดีที่สุดของประเทศไทย (Thailand’s Stem Cell Banking Company of the Year) รางวัล World Branding Awards โดย World Branding Forum รางวัลระดับอนุภูมิภาค South East Asia Stem Cell Banking Technology Innovation Leadership Award และล่าสุด เรายังได้รับการรับรองมาตรฐานระดับโลกเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งสถาบัน นั่นคือ The American Association of Blood Banks (AABB) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ให้การรับรองและกำหนดมาตรฐานแนวทางการดำเนินงานของธนาคารสเต็มเซลล์ที่เข้มงวดที่สุดในโลก โดยเป็นมาตรฐานคุณภาพที่ครอบคลุมกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับเลือดจากสายสะดือทั้งกระบวนการดำเนินการ ตั้งแต่การจัดเก็บในระยะยาว ไปจนถึงการกระจายขนส่งเพื่อรองรับการรักษาให้กับผู้ป่วยในทั่วโลก”

ภายในงานเสวนาดังกล่าว เมดีซ กรุ๊ป ยังได้เปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ที่สร้างสรรค์ขึ้นภายใต้คอนเซปต์ “เลือกพรุ่งนี้ที่ดีกว่า” (Live A Better Tomorrow) ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการมี ‘ทางเลือก’ ของผู้คนในการมีสุขภาพที่ดีและชีวิตที่ยืนยาวขึ้น เพื่อสานต่อความฝันและภารกิจต่างๆ ในชีวิตที่ยังอยากทำให้สำเร็จเป็นจริงได้ โดยภาพยนตร์ไวรัลชุดใหม่ดังกล่าว จะเริ่มออกอากาศทางสื่อออนไลน์ทั่วประเทศตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป โดยสามารถรับชมวิดีโอได้ที่ Live a better tomorrow, Live with Longevity

“ในฐานะหนึ่งในบริษัทที่มีการเติบโตขึ้นอย่างมหาศาลท่ามกลางเศรษฐกิจกระแสใหม่ (New Economy) และมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในประเทศไทย ความสำเร็จของเราสะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพในการช่วยผลักดันการพัฒนาอุตสาหกรรมด้าน สเต็มเซลล์ของไทยให้ก้าวสู่ระดับเวิลด์คลาสได้อย่างเต็มภาคภูมิ โดยเราได้รับความเชื่อมั่นจากนานาประเทศในด้านคุณภาพซึ่งตรงตามมาตรฐานสากลและจริยธรรมทางการแพทย์ ดังนั้นการนำสเต็มเซลล์ที่ผ่านการดูแลโดยเมดีซ กรุ๊ป ไปใช้รองรับการรักษาในอนาคต ย่อมยืนยันได้ถึงประสิทธิภาพและความปลอดภัยสูงสุดของลูกค้า ทั้งหมดเหล่านี้ ล้วนเป็นเครื่องตอกย้ำถึงภาพลักษณ์อันแข็งแกร่งของเมดีซ กรุ๊ป ในการเป็น แบรนด์แรกและแบรนด์เดียวในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีความเชี่ยวชาญในระดับ State-of-the-Art BIOlongevity Technology” นายแพทย์วีรพล กล่าวสรุป

อ้างอิง:

1. กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ข้อมูลนิติบุคคลด้านการวิจัยและพัฒนาเชิงทดลองด้านเทคโนโลยีชีวภาพ [Online] 2022 (https://datawarehouse.dbd.go.th/searchJuristicInfo)

2. Golchin A, Seyedjafari E, Ardeshirylajimi A. Mesenchymal stem cell therapy for COVID-19: present or future. Stem cell reviews and reports. 2020 Jun; 16(3): 427-33

เตือนภัย อาหารหวาน! มัน! เค็ม! ดันตัวเลขคนไทยเสี่ยงโรคเรื้อรัง ไต-หัวใจพังก่อนวัยอันควร

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/life/healthy/683151

วันที่ 16 พ.ค. 2565 เวลา 07:30 น.เตือนภัย อาหารหวาน! มัน! เค็ม! ดันตัวเลขคนไทยเสี่ยงโรคเรื้อรัง ไต-หัวใจพังก่อนวัยอันควร

เครือข่ายลดบริโภคเค็มและเครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวาน เตือนภัยอาหารหวานหนัก มัน เค็มจัด เกลื่อนแอพ หวั่นคนไทยเสี่ยงโรคเรื้อรัง ไต หัวใจพังก่อนวัยอันควร

เครือข่ายลดบริโภคเค็ม และเครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวานเผยเตือนภัยเงียบ จากการสั่งอาหารออนไลน์ผ่านแอพ เพื่อนำอาหารมาส่งให้ลูกค้า (Online Food Dedlivery apps หรือ OFD) ควรเพิ่มหรือให้ทางเลือกแก่ผู้บริโภคเมื่อสั่งซื้ออาหาร หลังผลสำรวจพบว่ามีอาหารและเครื่องดื่มหลากหลายชนิด มีความหวาน มัน เค็มจัด เกินปริมาณตามเกณฑ์มาตรฐาน พร้อมแนะอาหารและเครื่องดื่ม ควรคำนึงถึงสุขภาพผู้บริโภคให้มากยิ่งขึ้นและควรมีตัวตัวเลือก เช่น เกลือน้อย น้ำตาลน้อย เพื่อช่วยให้ผู้บริโภคได้สั่งอาหารเพื่อเป็นทางเลือกสุขภาพที่ดีให้กับสังคม ลดภาวะเสี่ยงเป็นโรคไม่ติดต่อไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ก่อนวัยอันควร

รศ.นพ. สุรศักดิ์ กันตชูเวสศิริ ประธานเครือข่ายลดบริโภคเค็ม และอาจารย์ประจำหน่วยโรคไต ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี

รศ.นพ. สุรศักดิ์ กันตชูเวสศิริ ประธานเครือข่ายลดบริโภคเค็ม และอาจารย์ประจำหน่วยโรคไต ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี เปิดเผยว่า จากการสำรวจภายใต้โครงการข้อมูลความเสี่ยงด้านอาหารที่เกี่ยวข้องกับโรคไม่ติดต่อเรื้อรังของอาหารพร้อมส่งพร้อมรับประทานยอดนิยมในกรุงเทพฯ ประเทศไทย (NCD dietary risk profile of popular Ready-to-Eat Delivery Foods in Bangkok, Thailand)โดยได้รับทุนสนับสนุนจาก Family Health International (FHI360) ซึ่งรายงานการวิเคราะห์สารอาหารของอาหารและเครื่องดื่ม 40 รายการในแอพพลิเคชั่นอาหารออนไลน์ ปี พ.ศ.2565 แบ่งเป็นอาหารจานเดียว 25 รายการ ขนมหวาน 5 รายการและเครื่องดื่มรสหวาน 10 รายการ ซึ่งการวิเคราะห์สารอาหารเหล่านี้ยังไม่รวมเครื่องปรุง เช่น น้ำปลาพริก น้ำจิ้ม

พบอาหารจานเดียว 23 รายการ จากทั้งหมด 25 รายการ มีปริมาณโซเดียมสูงกว่า 0.6 กรัมต่อมื้อ ตามที่กรมอนามัยแนะนำให้บริโภคโดยอาหารที่มีปริมาณโซเดียมสูงสุด คือ ส้มตำปูปลาร้า มีปริมาณโซเดียมเฉลี่ย 5 กรัม ต่อ 1 จาน ซึ่งสูงกว่าปริมาณที่องค์การอนามัยโลกกำหนดไว้ที่ 2 กรัมต่อวัน ซึ่งหมายความว่าส้มตำปูปลาร้า 1 จาน มีปริมาณความเค็มสูงเกือบ 3 เท่า ของการบริโภคโซเดียมตลอดหนึ่งวัน หรือคิดเป็นปริมาณโซเดียมสูงมากถึง 8 เท่าต่อ 1 มื้อ อีกทั้งยังพบปริมาณโซเดียมสูงมากเกินกว่า 0.6 กรัมต่อมื้อ ในกาแฟเย็น ซาลาเปาไส้หมูสับ ชิฟฟอนใบเตยและปาท่องโก๋ นับเป็นปัญหาสำคัญที่ทุกภาคส่วนต้องเร่งช่วยกันแก้ไข

ทพญ.ปิยะดา ประเสริฐสม ทันตแพทย์ทรงคุณวุฒิ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข และเครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวาน

ด้าน ทพญ.ปิยะดา ประเสริฐสม ทันตแพทย์ทรงคุณวุฒิ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข และเครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวาน กล่าวเสริมว่า ในส่วนของเครื่องดื่มรสหวาน จาก 10 รายการ มีจำนวน 8 รายการที่มีน้ำตาลเกินกว่าปริมาณที่องค์การอนามัยโลกกำหนดไว้ที่ 25 กรัมต่อวันและมีเพียงเมนู 2 รายการเท่านั้น คือ อเมริกาโน่เย็น และน้ำเต้าหู้ ที่มีปริมาณน้ำตาลเฉลี่ยไม่ถึง 16 กรัม

ส่วนชาน้ำผึ้งมะนาว มีปริมาณน้ำตาลเฉลี่ย 53.1 กรัม ซึ่งมีปริมาณน้ำตาลเกิน 2 เท่า ต่อ 1 วัน หรือเทียบเท่าน้ำตาลเกือบ 13 ช้อนชา หากคิดต่อ 1 มื้ออาหารควรมีปริมาณน้ำตาลเฉลี่ยประมาณ 8 กรัมต่อมื้อ ซึ่งทั้ง 10 รายการ มีปริมาณน้ำตาลเกิน 8 กรัมต่อมื้อ โดยชาน้ำผึ้งมะนาว มีปริมาณน้ำตาลเกือบ 7 เท่าต่อมื้อ ซึ่งถือว่าปริมาณน้ำตาลเกินกว่าความต้องการของร่างกายในแต่ละมื้อ อีกทั้งเครื่องดื่มรสหวานเหล่านี้ยังเป็นพลังงานว่างเปล่าหรืออาหารที่แทบจะไม่มีสารอาหาร วิตามินและแร่ธาตุที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย แต่ให้พลังงานหรือมีปริมาณแคลอรี่ที่สามารถทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นได้ ไม่เพียงเครื่องดื่มรสวานที่มีปริมาณน้ำตาลเกินเกณฑ์ที่แนะนำเท่านั้น อาหารจานเดียว เช่น ส้มตำไทย หมูปิ้ง ไข่พะโล้และของหวานอย่าง ชิฟฟ่อนใบเตย และไอศกรีมกะทิสด ยังมีปริมาณน้ำตาลสูงมากต่อมื้อและสูงเกินกว่าที่องค์การอนามัยโลกแนะนำอีกด้วย

ด้าน รศ.พญ.ประพิมพ์พร ฉัตรานุกูลชัย คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวว่า องค์การอนามัยโลกแนะนำไม่ควรบริโภคไขมันเกิน 30 % ของปริมาณพลังงานที่ร่างกายควรได้รับในแต่ละวัน หรือคิดเป็นปริมาณไขมันต่อ 1 มื้อ เฉลี่ยอยู่ที่ 25 กรัม และอาหารทีมีไขมันสูง เช่น หมูสามสั้นทอด มีไขมันเฉลี่ยสูงถึง 67.1 กรัม ซึ่งถือว่ามีปริมาณไขมันสูงเกือบ 3 เท่าต่อมื้อ หรือคิดเป็นร้อยละ 86 ของปริมาณพลังงานที่ร่างกายควรได้รับใน 1 วัน

ส่วนหมูปิ้ง (55.6 กรัม) คอหมูย่าง (48.6 กรัม) มีปริมาณไขมันเกินถึง 2 เท่า ต่อมื้อ และคิดเป็นร้อยละ 71 และ ร้อยละ 62 ของปริมาณพลังงานที่ร่างกายควรได้รับตลอดทั้งวัน

ยิ่งไปกว่านั้นเนื้อสัตว์ติดมันและอาหารที่นำไปทอด ไขมันที่ได้จากอาหารเหล่านี้เป็นไขมันอิ่มตัว ซึ่งจัดเป็นไขมันที่ไม่ดีต่อสุขภาพและการกินอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวมากเกินไป อาจทำให้คอเลสเตอรอลในเลือดสูงขึ้น จะเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจตามมา ดังนั้นการแสดงปริมาณสารอาหารโดยเฉพาะเกลือ น้ำตาลและไขมัน ในรายการอาหารบนแอพพลิเคชั่นอาหารออนไลน์ จะสามารถช่วยให้ผู้บริโภคทราบถึงปริมาณสารอาหารดังกล่าว นอกจากนี้ แอพพลิเคชั่นอาหารออนไลน์ควรเพิ่มหรือให้ทางเลือกแก่ผู้บริโภคในการกรองตัวเลือกเมื่อสั่งซื้ออาหาร เช่นส้มตำ ควรมีตัวเลือก เกลือน้อย น้ำตาลน้อย เพื่อช่วยให้ผู้บริโภคได้สั่งอาหารโดยคำนึงถึงสุขภาพได้มากยิ่งขึ้น

ด้าน ทพญ.จิราพร ขีดดี ทันตแพทย์ชำนาญการพิเศษ สำนักทันตสาธารณสุข กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข กล่าวเพิ่มเติมว่า อาหารที่มีไขมันสูงมักจะให้พลังงานหรือแคลอรี่สูงตามไปด้วย เช่น ชิฟฟ่อนใบเตย มีปริมาณไขมันสูงมาก เฉลี่ยประมาณ 65.3 กรัม ให้พลังงานสูงถึง 1,098.8 แคลอรี่ ซึ่งสูงเกินครึ่งหนึ่งของปริมาณพลังงานที่ร่างกายต้องการขององค์การอนามัยโลกแนะนำไว้ 2,100 แคลอรี่ต่อวัน ถ้าคิดเป็น 1 มื้อ ควรได้ปริมาณพลังงานประมาณ 600 แคลอรี่ ขนมดังกล่าวมีปริมาณพลังงานเกินเกือบ 2 เท่าต่อมื้อหรือคิดเป็นร้อยละ 52 ของปริมาณพลังงานที่ร่างกายต้องการใน 1 วัน อีกทั้ง การบริโภคอาหารที่มีรสหวาน มัน เค็มสูง เหล่านี้และหากบริโภคบ่อย ๆ อาจเสี่ยงต่อการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคไต และโรคเบาหวาน ซึ่งอาจนำไปสู่การเสียชีวิตก่อนวัยอันควรได้

3 หัวใจสำคัญของนวัตกรรมทางการแพทย์

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/life/healthy/681595

วันที่ 27 เม.ย. 2565 เวลา 10:51 น.3 หัวใจสำคัญของนวัตกรรมทางการแพทย์

รามาธิบดี ผลักดัน 3 แนวคิดต้นแบบพัฒนานวัตกรรมการแพทย์ยุคใหม่ เพื่อสุขภาพคนไทยที่ยั่งยืน

เนื่องใน “วันรามาธิบดี” วันที่ 3 พฤษภาคมที่กำลังจะถึงนี้ เพื่อเป็นการน้อมรำลึกถึงวันที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศ มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เสด็จพระราชดำเนินเปิดคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล และเปิดให้บริการแก่ประชาชนคนไทยในฐานะโรงเรียนแพทย์และโรงพยาบาลที่พึ่งของประชาชนตั้งแต่ปี พ.ศ. 2512

คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี จึงได้จัดแถลงข่าวเพื่อตอกย้ำถึงพันธกิจสำคัญในการผลิตบุคลากรการแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ พัฒนางานวิจัยและองค์ความรู้เพื่อพัฒนาระบบสาธารณสุขไทย รวมไปถึงการดูแลผู้ป่วยโดยนำนวัตกรรมการแพทย์เข้ามาช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยในทุกช่วงอายุอย่างยั่งยืน โดยมีมูลนิธิรามาธิบดีฯ ทำหน้าที่เป็นสะพานบุญที่ช่วยระดมทุนเพื่อสนับสนุนทุกพันธกิจ และส่งต่อการให้…ไม่สิ้นสุด

ศ.นพ.ปิยะมิตร ศรีธรา คณบดีคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี และประธานคณะกรรมการบริหารมูลนิธิรามาธิบดีฯ กล่าวว่า “ตลอดระยะเวลากว่า 50 ปี  จวบจนปัจจุบัน  คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดีได้ดูแลรักษาพยาบาลผู้ป่วยมากกว่า 2 ล้านคนต่อปี และผลิตบุคลากรการแพทย์ได้มากกว่า 18,000 คน  ประกอบด้วย แพทย์  พยาบาล  รวมทั้งแพทย์และพยาบาลเฉพาะทาง นักวิทยาศาสตร์ฉุกเฉินการแพทย์ และนักเวชศาสตร์สื่อความหมาย ซึ่งบัณฑิตเหล่านี้ก็จะกระจายกันออกไปดูแลผู้ป่วยในสังคมทั่วประเทศ สิ่งที่รามาธิบดีเน้นย้ำอยู่เสมอคือการให้ความช่วยเหลือประชาชนอย่างเท่าเทียม เพราะผู้ป่วยทุกคนมีสิทธิเข้าถึงการรักษาที่มีคุณภาพ นอกจากนี้รามาธิบดียังมีการพัฒนานวัตกรรมการแพทย์อยู่เสมอ เพื่อการดูแลสุขภาพของประชาชนอย่างครอบคลุมและขับเคลื่อนวงการแพทย์ไทยให้ก้าวหน้าต่อไป”

โดยความหมายของ 3 หัวใจสำคัญของนวัตกรรมทางการแพทย์ที่รามาธิบดีมุ่งเน้นพัฒนา แบ่งออกได้ดังนี้

ด้านการสร้างแพทย์

รามาธิบดีมีการพัฒนานวัตกรรมการศึกษา โดยจัดทำ 2 หลักสูตรร่วมกับ 2 คณะของมหาวิทยาลัยมหิดล เพื่อรับมือกับยุค Disruption และเพื่อตอบสนองความสนใจที่หลากหลายของนักศึกษาแพทย์ โดยได้ร่วมมือกับ คณะวิศวกรรมศาสตร์ผลิต “แพทย์นวัตกร” ซึ่งเป็นแพทย์ที่มี 2 ปริญญา หลักสูตรแพทยศาสตรบัณฑิต และวิศวกรรมศาสตร์มหาบัณฑิต รวมถึงความร่วมมือกับวิทยาลัยการจัดการในการผลิต “แพทย์นักบริหาร” เพื่อส่งเสริมให้แพทย์มีทักษะและความพร้อมในการบริหารจัดการโรงพยาบาล และองค์กรด้านสาธารณสุขตั้งแต่ระดับชุมชนจนถึงระดับประเทศ นอกจากนี้ยังมีหลักสูตรผลิต “นักฉุกเฉินการแพทย์ทางด้านวิทยาศาสตร์การกีฬา – Sport Paramedic” เป็นหลักสูตรร่วมระหว่างภาควิชาฉุกเฉินการแพทย์ และสาขาวิชาวิทยาศาสตร์การกีฬา 

ด้านการวิจัย

เพื่อพัฒนาองค์ความรู้ด้านโรคที่รักษายาก ผ่านการพัฒนานวัตกรรมและการวิจัยตัวอย่างงานวิจัยที่โดดเด่น เช่น การวิจัยด้านนวัตกรรมสร้างอวัยวะเทียมที่มีชีวิต (Tissue Regeneration) ซึ่งทำให้เกิดการผลิตกระดูกเทียมเยื่อหุ้มสมองเทียม การรักษาโรคด้วยเม็ดเลือดขาวซึ่งกระตุ้นภูมิต้านทานต่อเซลล์มะเร็ง การปลูกถ่ายอวัยวะ เช่น ตับ และไต สำหรับไตได้ ดำเนินการไปแล้วกว่า 2.9 พันราย ซึ่งถือว่ามากที่สุดในประเทศไทย การปลูกถ่ายอวัยวะตับจากพ่อแม่สู่ลูกที่มีภาวะตับวาย โดยทำสำเร็จเป็นรายแรกในประเทศไทย เปลี่ยนลิ้นหัวใจเทียมโดยไม่ต้องผ่าตัด และนวัตกรรมรักษาลิ้นหัวใจรั่วด้วยการใช้คลิปหนีบ เป็นต้น

ด้านการรักษาและสร้างสุขภาพ

รามาธิบดีมีการส่งเสริมแนวทางการรักษาโรคและดูแลสุขภาพในการแพทย์ยุคใหม่ ที่ตอบโจทย์ความท้าทายเชิงระบบ โดยมีแนวคิดว่าการรักษาหลายอย่างสามารถทำได้ที่ “บ้าน” ซึ่งตัวอย่างนวัตกรรมการรักษาที่โดดเด่น ได้แก่ นวัตกรรมระบบการให้บริการผู้ป่วยนอกผ่าน Telemedicine ซึ่งคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดีเป็นผู้นำด้านนี้ รวมถึงนวัตกรรมเคมีบำบัดที่บ้านสำหรับผู้ป่วยมะเร็ง ที่ช่วยให้เกิดการรักษาด้วยเคมีบำบัดอย่างตรงเวลาและลดการใช้เตียงในโรงพยาบาล ซึ่งนำมาสู่การผลักดันเชิงนโยบายสาธารณสุขของประเทศไทย ที่ส่งผลให้เกิดการประหยัดค่าใช้จ่ายเชิงสาธารณสุขอย่างมาก

นางสาวพรรณสิรี คุณากรไพบูลย์ศิริ ผู้จัดการมูลนิธิรามาธิบดีฯ ได้กล่าวเสริมว่า “บทบาทสำคัญของมูลนิธิรามาธิบดีฯ คือการเป็นสะพานบุญแห่งการให้ เพราะการให้สร้างความสุขทั้งต่อผู้ให้และผู้รับ  มูลนิธิฯ ยังคงเดินหน้าส่งต่อน้ำใจและการช่วยเหลือจากผู้ให้ไปสู่ผู้ป่วย ผ่านโครงการต่าง ๆ ทั้งในรูปแบบของการช่วยเหลือค่ารักษาพยาบาล การจัดหาเครื่องมือแพทย์ การสนับสนุนงานวิจัย การก่อสร้างอาคารสถานที่เพื่อขยายศักยภาพการรับรองดูแลผู้ป่วย ซึ่งทั้งหมดนี้มุ่งหวังให้ผู้ป่วยให้มีโอกาสเข้าถึงการรักษาอย่างเต็มประสิทธิภาพในทุกระดับชั้น และพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่ประชาชนในภาพรวม

ในปีนี้มูลนิธิฯ มีความภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการการผลักดันให้เกิดโครงการนวัตกรรมการแพทย์เพื่อผู้สูงวัยและผู้ป่วยระยะ เพื่อรองรับสังคมแห่งผู้สูงวัย โดยโครงการนี้ได้มีการพัฒนานวัตกรรมในการสร้างศูนย์ต้นแบบการดูแลสุขภาวะผู้สูงอายุอย่างครบวงจร หวังว่าจะดูแลผู้คนในทุกช่วงวัยให้มีสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดีจวบจนนาทีสุดท้าย โดยจะผลักดันให้เป็นศูนย์ต้นแบบการเรียนรู้ต่อไป ซึ่งโครงการต่างๆ ของรามาธิบดีที่กล่าวมานี้จะไม่สามารถขับเคลื่อนต่อไปได้หากไม่ได้รับการสนับสนุนจากภาคประชาชน ในนามของมูลนิธิเราจึงมุ่งมั่นทำงานเพื่อสานต่อการให้ที่ยิ่งใหญ่นี้ให้คงอยู่ในสังคมสืบต่อไป” นางสาวพรรณสิรี กล่าวทิ้งท้าย

เนื่องในวันรามาธิบดี จึงขอเรียนเชิญผู้มีจิตศรัทธาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการให้ ด้วยการซื้อเสื้อ “หัวใจอินฟินิตี้” ราคา 199 บาท ทางช่องทางต่าง ๆ เช่น LINE @ramafoundation, www.ramafoundation.or.th, มูลนิธิรามาธิบดีฯ หรือบริจาคเงินสมทบทุนมูลนิธิรามาธิบดีฯ สอบถามโทร 02-201-1111