“วิจารย์” ปลัดทรัพยากรฯ- “มานัส” อธิบดี ศน.

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 12 ต.ค. 2559 05:45

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/750806


“วิมลลักษณ์” ผอ.สศร.-“ชาย-พีรพน”รองปลัด วธ. nทส.รับซี10 อีก5ตำแหน่ง

เมื่อวันที่ 11 ต.ค. คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติแต่งตั้งนายวิจารย์ สิมาฉายา อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เป็นปลัดกระทรวงทรัพยากรฯ แทนนายเกษมสันต์ จิณณวาโส อดีตปลัด ทส. ที่ถูกโยกย้ายไปดำรง ตำแหน่งผู้ตรวจราชการพิเศษ สำนักนายกรัฐมนตรี ทั้งนี้ การแต่งตั้งนายวิจารย์ เป็นปลัด ทส. ถือว่าอยู่นอกเหนือความคาดหมาย เนื่องจากแต่เดิมมีการคาดการณ์ว่า พล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รมว.ทส.จะแต่งตั้งนายจตุพร บุรุษพัฒน์ รองปลัด ทส.ที่มีอาวุโสสูงสุด หรือนายชลธิศ สุรัสวดี อธิบดีกรมป่าไม้ ซึ่งมีความใกล้ชิด คนใดคนหนึ่งเป็นปลัด ทส. แต่ปรากฏว่าทั้งนายจตุพรและนายชลธิศ ต่างมีปัญหาในการทำงานในช่วงที่ผ่านมา เช่น นายจตุพร สมัยดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมทรัพยากรน้ำ จนถูกโยกย้าย ขณะที่นายชลธิศ ก็มีปัญหาเรื่องการแก้ไขปัญหาเขาหัวโล้นที่ไม่มีความคืบหน้า รวมทั้งการพาข้าราชการกรมป่าไม้กว่า 30 คนไปเที่ยวต่างประเทศ เป็นต้น พล.อ.สุรศักดิ์ จึงแต่งตั้งนายวิจารย์ ที่มีบุคลิกกลางๆ และเป็นที่ยอมรับได้ของทุกฝ่ายขึ้นมาทำหน้าที่ปลัด ทส. ในที่สุด

วันเดียวกัน ทส.ได้ประกาศเปิดรับการสรรหาข้าราชการระดับ 10 เพื่อมาดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการ ทส. จำนวน 5 ตำแหน่งที่ว่างลง โดยเปิดรับจากตำแหน่งรองอธิบดีจากทุกกรมและจะปิดการรับสมัครในวันที่ 15 ต.ค.นี้ และจะส่งผลให้ตำแหน่งรองอธิบดีอีก 5 ตำแหน่งว่างลง รวมทั้งตำแหน่งอธิบดีกรมควบคุมมลพิษของนายวิจารย์ ที่ขึ้นเป็นปลัด ทส.ว่างลงอีก 1 ตำแหน่งด้วย

ส่วนกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ครม.มีมติตั้ง นายชาย นครชัย ผอ.สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย (สศร.) เป็นรองปลัด วธ. นายพีรพน พิสณุพงศ์ ผู้ตรวจราชการ วธ. เป็นรองปลัด วธ. น.ส.วิมลลักษณ์ ชูชาติ รองปลัด วธ. เป็น ผอ.สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัยและนายมานัส ทารัตน์ใจ ผู้ตรวจราชการ วธ. เป็นอธิบดีกรมการศาสนา (ศน.) ทั้งนี้ นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รมว.วธ.กล่าวว่า การปรับโยกผู้บริหารเป็นการขยับตำแหน่งเพื่อให้การทำงานของกระทรวงมีระบบมากขึ้น เพราะที่ผ่านมาการทำงานหลายอย่างยังไม่เข้าที่เข้าทาง โดยเฉพาะการขับเคลื่อนนโยบายการทำงานในรูปแบบเครือข่าย และการบูรณาการกับหน่วยงานอื่นๆ ดังนั้น จากนี้ ผู้บริหาร วธ.จะต้องขับเคลื่อนการปฏิรูปยุทธศาสตร์วัฒนธรรมในระยะ 20 ปี ให้เป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น.

 

ปกป้อง…มรดกชาติ เปิด “5 ยุทธศาสตร์” แผนปฏิรูปอุทยานแห่งชาติ 20 ปี ระหว่าง 2560-2579

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 4 ต.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/742126


ปฏิรูปอุทยานแห่งชาติ!

ทำไม…ต้องปฏิรูป?

น่าจะเป็นคำถามที่ตามมาทันที และคำตอบก็คือ เพราะอุทยานแห่งชาติ ที่อยู่ในความรับผิดชอบของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นกรมขนาดใหญ่ ดูแล “ป่าอนุรักษ์” ที่เป็นอุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ถึง 60-70% ของประเทศ

และที่สำคัญ คือเพื่อให้สอดคล้องกับภารกิจการปฏิรูปประเทศของรัฐบาล เพราะคงต้องยอมรับความจริงว่า แม้กรมอุทยานฯ ที่กำลังก้าวสู่ปีที่ 15 จะมีจุดแข็ง คือ ระบบงานป้องกันรักษาป่าที่ พอใช้ได้ จำนวนหน่วยพิทักษ์ป่ากระจายอยู่เพื่อดูแลป่ามีพอสมควร มีเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานป้องกันดูแลรักษาป่าที่ทำงานในพื้นที่จริงในระดับที่ป้องกันพื้นที่ไม่ให้ถูกบุกรุกได้

แต่ขณะเดียวกันก็คงปฏิเสธไม่ได้ถึง จุดอ่อนที่ดูเหมือนยิ่งนับวันจะขยายวงกว้างและทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ คือ การมีชุมชนที่ทับซ้อนอยู่ในป่าอนุรักษ์ ตามข้อมูลของกรม 184,710 ราย จำนวน 2,225,540 ไร่ ซึ่งจริงๆอาจจะมากกว่านี้ เป็นปัญหาสำคัญที่สุดในการรักษาป่า เพราะชุมชนเหล่านี้มีแนวโน้มขยายที่ทำกินทุกปี

นี่คือปัญหาใหญ่และท้าทายศักยภาพของกรมอุทยานแห่งชาติฯ

ทั้งนอกจากการดูแลพื้นที่ป่ามิให้ลดลงแล้ว ยังมีอีกหลากหลายหน้าที่ซึ่งมีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน คือ การรักษาระบบนิเวศที่มีความหลากหลายทางชีวภาพ ทั้งในเรื่องสัตว์ป่า พรรณไม้ และอื่นๆ เช่น ปะการัง หญ้าทะเลด้วย

โดยเฉพาะอุทยานฯ ทางทะเล ปัญหาคือเมื่ออุทยานฯ มีการท่องเที่ยว และสร้างรายได้มหาศาล ล่าสุดเกือบ 2 พันล้านบาท บุคลากรส่วนใหญ่จึงต้องปรับตัวและปรับภารกิจที่มุ่งเน้นการทำงาน ดูแลและบริการนักท่องเที่ยวมากขึ้น ทำให้ไม่มีการเดินลาดตระเวนป่าครอบคลุมทั้งพื้นที่อย่างทั่วถึงและยังถูกซ้ำเติมด้วยปัญหาภัยคุกคามระบบนิเวศจากการล่าสัตว์ ตัดไม้มีค่า รวมถึงการเก็บหาของป่าที่เกินกำลังการผลิตของระบบนิเวศ ตลอดจนการเสื่อมโทรมของระบบนิเวศแนวปะการังที่ส่วนใหญ่เกิดจากการท่องเที่ยวทางทะเล

ขณะเดียวกัน ก็ยังมีปัญหาอื่นๆ อาทิ แนวเขตอุทยานฯ ส่วนใหญ่ไม่ชัดเจน การบังคับใช้กฎหมายยังไม่มีประสิทธิภาพ การ บริหารด้านนันทนาการ ไม่ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ เป็นต้น

“กรมอุทยานฯ กำลังจัดทำยุทธศาสตร์แผนปฏิรูปอุทยานแห่ง ชาติ 20 ปี ระหว่าง 2560–2579 ให้สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ประเทศ 20 ปี เพื่อใช้ขับเคลื่อนประเทศ จะมีการปรับเปลี่ยนกลไกให้มีประสิทธิภาพและเป็นธรรมในการจัดการทรัพยากรประเทศ รวมทั้งแก้ปัญหาทรัพยากรถูกทำลาย เสื่อมโทรมจากการท่องเที่ยว คุณภาพอุทยานฯ ไม่เป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ การบริหารจัดการขาดประสิทธิภาพไม่ทันสมัย ขาดการมีส่วนร่วม” นายธัญญา เนติธรรมกุล อธิบดีกรมอุทยานฯกล่าว

ทั้งนี้ ในยุทธศาสตร์ฯ 20 ปี จะมี 5 ยุทธศาสตร์หลัก ประกอบด้วย 1. การคุ้มครอง ดูแล รักษาทรัพยากรธรรมชาติ ระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพ จะมีการเพิ่มประสิทธิภาพการลาดตระเวนแผนใหม่และพัฒนาระบบติดตามประเมินผล การแก้ปัญหาการบุกรุกที่ดินในพื้นที่อุทยานฯ โดยจะมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหา เป็นต้น

2.การดูแลรักษาทรัพยากรการท่องเที่ยวและการพัฒนา การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน จะมีการจัดทำมาตรฐานแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศ การจัดการขยะและน้ำเสียในอุทยานฯ พัฒนาระบบความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว เป็นต้น 3.การวิจัยและพัฒนาเพื่อการจัดการอุทยานแห่งชาติ จะมีการพัฒนาระบบข้อมูลสถานภาพทรัพยากรธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพ การจัดตั้งกองทุนตอบแทนระบบนิเวศ การสร้างมูลค่าเพิ่มแก่ทรัพยากรที่มีความโดดเด่นเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ การยกระดับคุณภาพอุทยานฯ เป็นต้น 4.การเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการอย่างบูรณาการ จะมีโครงการต้นแบบการบริหารจัดการอุทยานฯแบบบูรณาการทุกหน่วยงานในพื้นที่ การพัฒนาการใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และการสื่อสารในการจัดการอุทยานฯ การจัดหาอาวุธปืน การกำหนดหลักเกณฑ์การเข้าสู่ตำแหน่งหัวหน้าอุทยานฯ เป็นต้น และ 5.การส่งเสริมการบริหารจัดการตามแนวทางประชารัฐ จะจัดตั้งเครือข่ายอาสาสมัครรักษ์อุทยานฯ จัดตั้งแนวร่วมพิทักษ์อุทยานฯ ส่งเสริมให้เอกชนมีบทบาทในการให้บริการ เป็นต้น

“เบื้องต้นได้มีการจัดลำดับความสำคัญของอุทยานฯเป็น 3 กลุ่มเพื่อให้ง่ายต่อการบริหารจัดการ โดยกลุ่ม A เป็นอุทยานฯ มีความสำคัญมาก 26 แห่ง อาทิ เขาใหญ่ สิมิลัน อ่าวพังงา ดอยอินทนนท์ เป็นต้น กลุ่ม B มีความสำคัญสูง 53 แห่ง อาทิ เขาแหลม ไทรโยค ดอยสุเทพ ศรีสัชนาลัย แก่งกรุง ภูเรือ เป็นต้น และกลุ่ม C มีความสำคัญระดับปานกลาง 69 แห่ง อาทิ ป่าหินงาม เขาค้อ เขาสิบห้าชั้น นันทบุรี เป็นต้น” อธิบดีกรมอุทยานฯขยายภาพการดำเนินการปฏิรูปอุทยานเพื่อให้เห็นภาพชัดเจน

“ทีมข่าวสิ่งแวดล้อม” เห็นด้วยกับการปฏิรูปอุทยานฯ 148 แห่ง เพื่อให้สอดคล้องกับการปฏิรูปประเทศ ภายใต้สถานการณ์ที่กำลังเปลี่ยนใหม่ ที่ต้องบริหารงานอย่างโปร่งใส มีประสิทธิภาพ มีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน

และที่สำคัญเหนืออื่นใด คือ เพื่อหยุดพฤติกรรมต่างๆที่กำลังทำให้อุทยานแห่งชาติไม่ไปเป็นแหล่งทำเงินทำทองให้กับคนบางกลุ่ม

เพื่อรักษาอุทยานแห่งชาติให้เป็นมรดกของลูกหลานไทยตราบนานเท่านาน.

ทีมข่าวสิ่งแวดล้อม

 

“เหี้ย”เมืองจิงโจ้บุญดีกว่าที่สวนลุมพินี

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 29 ก.ย. 2559 08:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/737106


ในขณะที่ตัว “เหี้ย” หรือที่ชื่อใหม่ว่า “วรนุส” กำลังถูกจับเพื่ออพยพย้ายที่อยู่ ไม่ให้บาดตา แต่ตัวแบบเดียวกันนี้ ที่ออสเตรเลีย กลับได้รับการปกป้องคุ้มกัน ให้รอดจากพิษ ของกบพิษชนิดหนึ่ง

เหี้ยแบบเดียวกันนี้ ต้องพากันล้มตายเพราะไปกินกบพิษ ซึ่งมีอยู่อย่างชุกชุม นักสัตววิทยาชาวเมืองจิงโจ้ได้เข้าช่วยเหลือเพื่อป้องกันไม่ให้ล้มตาย

นักวิจัยของมหาวิทยาลัยซิดนีย์แจ้งว่า ได้ช่วยเหลือตัวเหี้ยเหล่านี้ ด้วยการฝึกให้มันกินลูกของกบพิษที่มีพิษน้อยกว่าตัวโตแล้ว มันจะได้รู้จักว่ากบพวกนี้มีพิษกินไม่ได้ หัวหน้านักวิจัยวอร์ดเฟียร์กล่าวว่า เขาก็อดแปลกใจไม่ได้เหมือนกัน เมื่อเหี้ยที่ผ่านการฝึกเหล่านี้แล้ว จะเข็ดไม่กินกบพิษอีกต่อไป ซึ่งเป็นเรื่องซึ่งไม่น่าจะพบเห็นได้ในป่า

กบพิษ มีผู้นำมาเลี้ยงในออสเตรเลีย ตั้งแต่พ.ศ.2473 เพื่อให้ช่วยจับแมลงกินต้นข้าว แต่ปรากฏว่า พวกมันกลับขยายพันธุ์อย่างรวดเร็วจนไม่อาจหยุดยั้งได้ เป็นเหตุให้สัตว์พื้นที่บางชนิดถูกทำลายล้าง ในจำนวนนั้นก็ได้แก่ เหี้ยจุดเหลือง ซึ่งพากันล้มตายลงมากถึงร้อยละ 90 นักวิจัยบอกว่า เพียงแต่เมื่อกินกบเหล่านี้เข้าไป ไม่ถึงครึ่งนาทีก็ตาย นักวิทยาศาสตร์แจ้งว่า ที่รู้สึกแปลกใจมากกว่าก็คือ บรรดาฝูงเหี้ยที่ผ่านการ ฝึกไม่ให้กินกบพิษครั้งนี้ ไม่กล้ากินกบเหล่านี้อีกเลย แสดงว่ามันเข็ดเขี้ยว และยังคงจำความรู้นี้กับตัวได้ เป็นเวลานาน.

 

ไซเตสลดระดับความกังวล “งาช้างไทย” ทส.ใช้ ม.44 ตรวจดีเอ็นเอช้างเลี้ยงทั่วไทย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 27 ก.ย. 2559 05:30

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/735246


เผางาแอฟริกาอีก 2-3 ตัน

นายเกษมสันต์ จิณณวาโส ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) กล่าวถึงการประชุมอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ (CITES) หรือ CITES CoP17 ที่นครโยฮันเนสเบิร์ก ประเทศแอฟริกาใต้ ระหว่างวันที่ 24 ก.ย.-5 ต.ค.นี้ ว่า ขณะนี้มีเรื่องที่น่ายินดีที่ไซเตสมีความกังวลเกี่ยวกับการค้างาช้างในประเทศไทยลดน้อยลง เนื่องจากไซเตสรับทราบถึงความคืบหน้าและความจริงจังในการแก้ปัญหาการลักลอบค้างาช้างของไทย นอกจากนี้ ยังมีงาช้างแอฟริกาที่อยู่ระหว่างการ ดำเนินคดีอีกประมาณ 2-3 ตัน ซึ่งหากคดีหมดอายุความแล้ว จะมีการทำลายงาช้างดังกล่าวทันที

นายเกษมสันต์กล่าวต่อว่า ส่วนการดำเนินการต่อไป ทส. ได้ออกร่าง พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองฉบับใหม่ อยู่ระหว่างการตรวจสอบถ้อยคำก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีและสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ คาดว่าจะบังคับใช้ได้ภายใน 1 ปี ทั้งนี้จะมีบทลงโทษผู้ลักลอบครอบครองงาช้างผิดกฎหมายทั้งจำคุกและโทษปรับซึ่งกำหนดในอัตราค่อนข้างสูง รวมทั้งการเจรจาและขอแก้ไขระเบียบ ว่าด้วยการสัตว์พาหนะของกระทรวงมหาดไทย เกี่ยวกับการจดทะเบียนลูกช้าง โดยกฎหมายเดิมกำหนดให้จดทะเบียนลูกช้างเกิดใหม่อายุไม่เกิน 8 ปี ถึงจะเอาไปทำตั๋วรูปพรรณ จึงเป็นปัญหาของการนำลูกช้างป่ามาสวมสิทธิได้ โดยจะมีการแก้ไขลดอายุการจดทะเบียนลูกช้าง เป็นต้น

ปลัด ทส.กล่าวอีกว่า ที่สำคัญ ทส.จะขอให้รัฐบาลออกคำสั่งมาตรา 44 เพื่อให้ปางช้างทั่วประเทศให้ความร่วมมือกับกรมอุทยานฯ ในการตรวจดีเอ็นเอช้างเลี้ยงประมาณ 3,500 ตัวทั่วประเทศ เพื่อเป็นฐานข้อมูลช้างบ้าน เชื่อว่าหากใช้มาตรา 44 จะช่วยป้องกันในการนำช้างป่ามาสวมเป็นช้างบ้าน ได้และคาดหวังว่าการประชุมไซเตสครั้งต่อไปจะทำให้ประเทศไทยหลุดพ้นจากการแบนของไซเตสได้.

 

สกทช.อัพเกรดที่อยู่ริมคลอง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 22 ก.ย. 2559 05:45

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/730169


พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เปิดเผยภายหลังให้เครือข่ายสถาบันการจัดการที่ดินชุมชนแนวใหม่ 5 ภาค (สกทช.) หารือเตรียมการขับเคลื่อนการพัฒนาที่อยู่อาศัยของเครือข่าย สกทช. ตามนโยบายรัฐบาลในการพัฒนาที่อยู่อาศัยชุมชนริมคลองว่า สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) หรือ พอช. ได้จัดทำแผนพัฒนาที่อยู่อาศัยชุมชนริมคลอง ระยะเวลาดำเนินงาน 3 ปี (พ.ศ.2559-2561) โดยบูรณาการร่วมกับกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ กรุงเทพมหานคร กรมธนารักษ์ และเครือข่าย ชุมชน มีเป้าหมายดำเนินการปี 2559-2560 ในพื้นที่คลองลาดพร้าว 41 ชุมชน 6,606 ครัวเรือน ทั้งนี้ สกทช.ได้ขับเคลื่อนงานบ้านมั่นคง-เป็นสุขสามัคคี ในพื้นที่เขตจตุจักร 7 ชุมชน ประกอบด้วย ชุมชนพหลโยธิน 46 ชุมชนชายคลองเสนานิคม 2 ชุมชนพหลโยธิน 32 ชุมชนหลัง ม.ราชภัฏจันทรเกษม ชุมชนโรงเจ ชุมชนริมคลองลาดพร้าวภาวนา และชุมชนหลังตลาดสุภาพงษ์ โดยภายในเดือน ต.ค.นี้ จะจัดเช่าที่ดินเพื่อก่อสร้างบ้าน ส่วนชุมชนอื่นๆ ที่พร้อมจะทยอยรื้อย้ายและก่อสร้างบ้านตามแผนต่อไป.

 

พม.เตรียมขยายอาชีพคนพิการป้อนงานสู่ชุมชน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 10 ก.ย. 2559 05:15

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/717755


นายสมชาย เจริญอำนวยสุข อธิบดีกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เปิดเผยว่า ศูนย์พัฒนาอาชีพคนพิการ จ.นนทบุรี หรือโรงงานปีคนพิการสากล เป็นหน่วยงาน เดียวของ พม.ที่ดำเนินงานในรูปแบบสถานที่ทำงานของคนพิการ เพื่อให้มีรายได้เลี้ยงดูตนเองและครอบครัว โดยบริหารงานในลักษณะธุรกิจเพื่อสังคมด้วยเงินนอกงบประมาณประเภทเงินอุดหนุน หมุนเวียนโรงงานในอารักษ์ ภายในศูนย์มี 2 แผนกคือ แผนกผลิตภัณฑ์จากจักรอุตสาหกรรม ได้แก่ กระเป๋าผ้าแบบต่างๆ เสื้อผ้า มีการรับสั่งทำ และจัดจำหน่ายให้กับหน่วยงานต่างๆ และแผนกผลิตน้ำดื่มบรรจุในภาชนะที่ปิดมิดชิดภายใต้ตราประชาบดี ซึ่งผ่านการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) แล้ว

นายสมคะเน จริตงาม ผอ.ศูนย์พัฒนาอาชีพคนพิการ จ.นนทบุรี กล่าวว่า ขณะนี้แผนกผลิตภัณฑ์จากจักรอุตสาหกรรมมีคนพิการทำงาน ในศูนย์ 34 คน และมีการส่งชิ้นงานไปให้ทางศูนย์พัฒนาอาชีพในภูมิภาค ที่ จ.ลพบุรี นครศรีธรรมราช และราชบุรี เพื่อให้คนพิการที่ผ่านการ อบรมได้ทำเป็นอาชีพ รวมแล้วมีคนงานพิการในแผนกนี้ทั้งหมด 71 คน ขณะนี้มีการฝึกอบรมให้กับคนพิการที่ศูนย์ จ.อยุธยา โดยปี 2560 ตั้งเป้าหมายจะเพิ่มผู้พิการในภูมิภาคให้ทำงานกับเราอีก 25 คน ทั้งนี้ ต้องการให้ศูนย์นี้เป็นต้นแบบ นำไปขยายผลในชุมชนต่างๆ เพื่อสร้างงานสร้างอาชีพให้กับคนพิการได้ทำงานในพื้นที่.

 

กรมอุทยานฯลุยฟื้นฟูประชากรม้าน้ำ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 8 ก.ย. 2559 05:30

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/715720


(แฟ้มภาพ:AFP)

เมื่อวันที่ 7 ก.ย. ที่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช นายเกษมสันต์ จิณณวาโส ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แถลงเปิดโครงการฟื้นฟูประชากรม้าน้ำในแหล่งที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติ มีนายธัญญา เนติธรรมกุล อธิบดีกรมอุทยานฯ นางอุมาพร พิมลบุตร รองอธิบดีกรมประมง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมแถลงข่าว โดยนายเกษมสันต์กล่าวว่า ม้าน้ำเป็นสัตว์ที่มีคุณค่าทางเศรษฐกิจ มีการนำมาใช้ประโยชน์อย่างมากตามความเชื่อว่าม้าน้ำมีคุณสมบัติเป็นยา จึงนำมาใช้เป็นองค์ประกอบของยาในการรักษาโรคต่างๆ และเพิ่มสมรรถภาพทางเพศ นำมาเป็นเครื่องประดับ พวงกุญแจและนำมาเลี้ยง ทำให้ม้าน้ำได้หายจากธรรมชาติเกือบหมด จนทำให้เกิดความกังวลใจจากหลายประเทศว่าม้าน้ำอาจสูญพันธุ์ได้ ม้าน้ำจึงถูกนำเข้าสู่อนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ (ไซเตส) บัญชี 2 เพื่อควบคุมหรือจำกัดปริมาณการค้าเพื่อไม่ให้เกิดผลเสียหายต่อการลดจำนวนประชากรม้าน้ำอย่างรวดเร็ว

นายเกษมสันต์กล่าวต่อว่า ข้อมูลจากกรมประมงพบว่ามีการส่งออกม้าน้ำตั้งแต่ปี 2556 จำนวน 1.2 ตัน ปี 2557 จำนวน 1 ตัน ปี 2558 จำนวน 0.95 ตัน กรมประมงจึงได้มีประกาศเมื่อวันที่ 24 ธ.ค.2558 งดออกใบอนุญาตส่งออกม้าน้ำเป็นการชั่วคราว เพื่อแก้ปัญหา ซึ่งคณะกรรมการบริหารอนุสัญญาไซเตส จัดให้การส่งออกม้าน้ำของประเทศไทยอยู่ในระดับห่วงใยเร่งด่วน ดังนั้น กรมอุทยานฯ และกรมประมง จึงดำเนินโครงการฟื้นฟูประชากรม้าน้ำในแหล่งที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติ ในวันที่ 17 ก.ย.นี้ ที่บริเวณหาดหยงลำและเกาะมุก อุทยานฯ หาดเจ้าไหม จ.ตรัง.

 

บำบัดน้ำโสโครก ให้เป็นน้ำดื่มกิน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 23 ส.ค. 2559 10:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/698128


ในยามที่โลกกำลังเผชิญกับวิกฤติการขาดน้ำดื่มตามดินแดนหลายแห่ง ขณะนี้นักวิทยาศาสตร์อินเดียได้ออกแบบนำน้ำจากท่อโสโครก เอามาปรับปรุงใหม่ให้สะอาดจนใช้ดื่มได้ เป็นปริมาณวันละ 1 หมื่นลิตร ดร.ราชาวิชัย กุมาร ได้คิดสร้าง เครื่องกรองน้ำจากท่อน้ำโสโครกให้เป็นน้ำสะอาด ใช้ดื่มได้ และยังได้ปุ๋ยคุณภาพดี เป็นผลพลอยได้อีกด้วย ไม่ได้ใช้สารเคมีหรือจุลชีพในกระบวนการกลั่นกรองเลย ขณะนี้รัฐบาลโดฮาและโอมาน ได้ว่าจ้างให้สร้างเครื่องกรองน้ำที่สามารถกลั่นน้ำดื่มออกมาได้เป็นปริมาณวันละ 1 แสนลิตร ขณะที่สิงคโปร์ก็ได้ติดต่อเพื่อจะให้สร้างโครงการขนาดใหญ่กว่านั้นด้วย อินเดียซึ่งเป็นชาติที่มีพลเมืองมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก ต้องการน้ำ บริโภคในปีหนึ่งๆ ปริมาณมากถึง 693 พันล้านลูกบาศก์เมตร และยังส่อท่าว่าจะต้องการมากกว่านั้นถึง 942 พันล้านลูกบาศก์เมตร ในปี พ.ศ.2568 ขณะที่ได้ระบายน้ำโสโครกทิ้งออกไปปีละ 38,400 ล้านลูกบาศก์เมตร.

 

8,400 ทุ่นประชารัฐปกป้องทะเลไทย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 9 ส.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/684832


พิทักษ์ทะเลเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ 84 พรรษา

วันแม่แห่งชาติ

วันที่ 12 สิงหาคมของทุกปี

ที่สำคัญ ปีนี้ 2559 เป็นปีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 84 พรรษา สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ซึ่งพระองค์ท่าน มิเพียงปฏิบัติพระราชกรณียกิจด้านการช่วยเหลือสังคมเท่านั้น แต่ยังทรงตระหนักถึงเรื่องสิ่งแวดล้อมและการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติอย่างยิ่งด้วยเช่นกัน

ทั้งทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่องานด้านการอนุรักษ์ทั้งในระดับประเทศและนานาชาติหลายต่อหลายโครงการ
ด้วยเหตุนี้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดย กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ซึ่งมีภารกิจสำคัญในการอนุรักษ์ ส่งเสริมและฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ จึงได้จัด “โครงการ 8,400 ทุ่นประชารัฐพิทักษ์ทะเล เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 84 พรรษา 12 สิงหาคม 2559” ขึ้น เพื่ออนุรักษ์แนวปะการังและพันธุ์สัตว์น้ำในพื้นที่อุทยานแห่งชาติทางทะเลของประเทศไทย

“สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงตระหนักและมีพระราชดำรัสว่า ทรัพยากรธรรมชาติทางทะเลของไทยนับวันมีแต่จะลดน้อยลง มีสัตว์หลายชนิดที่ใกล้จะสูญพันธุ์ โดยเฉพาะเต่าทะเล ดังนั้น หากทรัพยากรธรรมชาติมีความสมบูรณ์ ทรัพยากรสัตว์ป่าก็มีความสมดุลและคงความหลากหลายเช่นกัน” นายธัญญา เนติธรรมกุล อธิบดีกรมอุทยานฯ กล่าวถึงความเป็นมาของโครงการ 8,400 ทุ่นประชารัฐพิทักษ์ทะเลฯ

โครงการนี้ไม่เพียงเพื่อสนองพระราชดำรัสและเฉลิมพระเกียรติเท่านั้น แต่ยังเป็นการอนุรักษ์แนวปะการังและพันธุ์สัตว์น้ำในพื้นที่อุทยานแห่งชาติทางทะเลให้คงความอุดมสมบูรณ์ โดยจะมีการวางแนวทุ่นไข่ปลา จำนวน 8,400 ลูก ทุ่นทรงกลมสีฟ้า พร้อมธงแสดงเขตห้ามเข้าในเขตอนุรักษ์ปะการังใน 13 อุทยานแห่งชาติ คือ หมู่เกาะช้าง จ.ตราด 600 ลูก หมู่เกาะชุมพร จ.ชุมพร 420 ลูก ตะรุเตา จ.สตูล 1,280 ลูก อ่าวพังงา จ.พังงา 840 ลูก สิรินาถ จ.ภูเก็ต 420 ลูก หาดเจ้าไหม จ.ตรัง 600 ลูก แหลมสน จ.ระนอง–พังงา 340 ลูก หมู่เกาะอ่างทอง จ.สุราษฎร์ธานี 840 ลูก หมู่เกาะลันตา จ.กระบี่ 1,000 ลูกหาดนพรัตน์ธารา–หมู่เกาะพีพี จ.กระบี่ 800 ลูก หมู่เกาะสิมิลัน จ.พังงา 420 ลูก เขา
แหลมหญ้า–หมู่เกาะเสม็ด 420 ลูก และหมู่เกาะสุรินทร์ จ.พังงา 420 ลูกการวางแนวทุ่นใน 13 อุทยานฯ กรมอุทยานฯจะร่วมมือกับสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ดำเนินการเพื่อให้ถูกหลักวิชาการ

“สถานการณ์ปะการังฟอกขาวค่อนข้างรุนแรงใน 13 อุทยานฯ โดยเฉพาะหมู่เกาะชุมพร บริเวณเกาะมะพร้าว เกาะง่ามน้อย เกาะกุลา ฟอกขาว 50–80 เปอร์เซ็นต์ ตะรุเตา โซนอาดัง–ราวี บริเวณหินงามทิศใต้ อ่าวเรือใบ อ่าวสอง ฟอกขาว 50–60 เปอร์เซ็นต์ หาดนพรัตน์ธารา–หมู่เกาะพีพี บริเวณเกาะไก่ ทั้งฝั่งตะวันออกและตะวันตก เกาะไผ่ทิศเหนือ อ่าวผักหนาม ฟอกขาวตั้งแต่ 60–80 เปอร์เซ็นต์ เป็นต้น โดยกรมอุทยานฯ ได้จัดทำประกาศแจ้งเตือนผู้ประกอบการและนักท่องเที่ยวให้ทราบเรื่องกิจกรรมการท่องเที่ยวและนันทนาการในบริเวณแนวปะการัง เช่น การเหยียบย่ำปะการัง การทิ้งสมอเรือเพื่อลดการคุกคามแนวปะการัง รวมทั้งกวดขันไม่ให้เรืออวนลาก อวนรุน เข้ามาทำประมงในเขตอุทยานฯ เด็ดขาดพร้อมกับปิดการท่องเที่ยวในบางจุดด้วย” อธิบดีกรมอุทยานฯ ระบุเพื่อสะท้อนภาพวิกฤติแนวปะการังกับสถานการณ์ฟอกขาว

สำหรับโครงการ 8,400 ทุ่นประชารัฐพิทักษ์ทะเล เฉลิมพระเกียรติฯ จะนำร่องที่ อุทยานฯ หมู่เกาะอ่างทอง จ.สุราษฎร์ธานี ในวันที่ 24-26 ส.ค.นี้

นอกจากโครงการ 8,400 ทุ่นประชารัฐพิทักษ์ทะเล เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ แล้ว กรมอุทยานฯ ยังจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติอื่นๆตลอดเดือน ส.ค.นี้ ด้วย อาทิ โครงการพัฒนาป่าไม้ปากน้ำปราณบุรี อันเนื่องมาจากพระราชดำริ อ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ เพื่อฟื้นฟูพื้นที่ป่าอนุรักษ์ที่มีสภาพเสื่อมโทรมด้วยกระบวนการมีส่วนร่วมโดยอาศัยแนวทางประชารัฐตามแนวพระราชดำริสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ “คนอยู่ร่วมกับป่าอย่างเกื้อกูล สมดุลและยั่งยืน” โดยจะมีการฟื้นฟูป่าเสื่อมโทรม 84 ไร่ ปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำสู่ธรรมชาติ เช่น ปูทะเล ปูม้า กุ้ง ชนิดปลาต่างๆ จำนวน 8,400,000 ตัว จัดทำเส้นทางจักรยานเฉลิมพระเกียรติฯระยะทาง 1,500 เมตร พร้อมจุดพักผ่อน เป็นต้น

“ยังมีโครงการเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ อีก 3 โครงการ คือ 1.โครงการฟื้นฟูป่าต้นน้ำยม ที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าดอยผาช้าง จ.พะเยา ไม่น้อยกว่า 8.6 ล้านไร่ 2.โครงการฟื้นฟูป่าต้นน้ำในพื้นที่อุทยานฯ ศรีน่าน จ.น่าน ไม่น้อยกว่า 8.6 ล้านไร่ และ 3.โครงการสร้างฝายประชารัฐ โดยสร้างฝายชะลอน้ำแบบผสมผสานในพื้นที่ต้นน้ำที่เสื่อมสภาพใน 25 ลุ่มน้ำหลักที่อยู่ในป่าอนุรักษ์ เป็นอุทยานฯ ทางบก 106 แห่ง เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า 58 แห่ง และเขตห้ามล่าสัตว์ป่า 68 แห่ง รวม 232 พื้นที่ พื้นที่ละ 30-40 ฝาย รวม 8,984 ฝาย” นายธัญญา กล่าว

“ทีมข่าวสิ่งแวดล้อม” มองว่า ทรัพยากรธรรมชาติควรได้รับการปกป้องดูแลให้คงความอุดมสมบูรณ์ ขณะที่การใช้ประโยชน์จากทรัพยากรฯ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด ควรยืนอยู่บนหลักฐานของการอนุรักษ์

โดยเฉพาะในโอกาสอันเป็นมหามงคลที่ปวงชนชาวไทยจะได้ร่วมแรงร่วมใจสนองพระราชดำริสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ร่วมกันทำสิ่งดีงามเพื่อแผ่นดินเกิดถวายแม่ของแผ่นดิน.

ทีมข่าวสิ่งแวดล้อม

 

ยุทธศาสตร์เพิ่ม “เสือโคร่ง” ทุกมิติ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 28 ก.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/674254


29 ก.ค. “วันอนุรักษ์เสือโลก” 13 ประเทศผนึกพลังร่วมลงสัตยาบันต้านล่า-ฆ่า

วันที่ 29 ก.ค.ของทุกปี คือ “วันอนุรักษ์เสือโลก”

สัตว์ที่มีความสง่างามที่สุดในโลก แต่ขณะเดียวกันก็เป็นสัตว์ป่าที่ถูกคุกคามทำลายมากที่สุดเช่นกัน

ประเทศไทยเป็น 1 ใน 13 ประเทศ ที่เป็นถิ่นกำเนิดและเป็นแหล่งพันธุกรรมของเสือโคร่ง ซึ่งได้แก่ บังกลาเทศ ภูฏาน กัมพูชา จีน อินเดีย อินโดนีเซีย ลาว มาเลเซีย พม่า เนปาล รัสเซีย เวียดนาม และ ไทย

ปัจจุบันเสือโคร่งในประเทศไทยกำลังเผชิญกับภัยคุกคามเช่นเดียวกับเสือโคร่งในประเทศอื่นๆ สาเหตุมาจากการลดลงของพื้นที่ป่าซึ่งเป็นแหล่งที่อยู่อาศัย การถูกล่าและจำนวนเหยื่อของเสือโคร่ง ที่ลดลงจากการถูกลักลอบล่าเช่นกัน

นั่นหมายถึงภารกิจการเพิ่มประชากรเสือโคร่งจึงมีความสำคัญ เพราะการอนุรักษ์เสือโคร่ง ไม่ใช่แค่เรื่องสัตว์ป่า แต่เกี่ยวพันกับระบบนิเวศ แหล่งน้ำ และป่าไม้ทั้งระบบ ทั้งนี้ภารกิจการเพิ่มประชากรเสือโคร่ง ถือเป็นส่วนสำคัญของ แผนปฏิบัติการอนุรักษ์เสือโคร่งแห่งชาติ (Tiger Action Plan) ที่ประเทศไทยให้คำมั่นสัญญา ไว้ในการประชุมสุดยอดผู้นำว่าด้วยการอนุรักษ์เสือโคร่ง (Tiger Summit) ที่ประเทศรัสเซีย เมื่อปี 2553

ซึ่งในที่ประชุมดังกล่าว เห็นพ้องต้องกันที่จะเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานเพื่อหยุดยั้งการลดลงของจำนวนเสือโคร่ง พร้อมกับการฟื้นฟูประชากรและแหล่งอาศัยของเสือโคร่ง จึงร่วมกันให้สัตยาบันว่าภายในปี 2565 จะเพิ่มประชากรเสือโคร่งในป่าธรรมชาติให้ได้เป็นสองเท่าจากเดิมที่แต่ละประเทศมีอยู่ โดยจากการสำรวจและติดตามประชากรเสือโคร่งในขณะนั้นพบว่าประชากรเสือโคร่งในป่าธรรมชาติของประเทศไทย มีประมาณ 200-250 ตัว นั่นคือประเทศไทยจะต้องเพิ่มประชากรเสือโคร่งในป่าธรรมชาติให้ได้ 300-375 ตัว ภายในปี 2565

หันมาดูข้อมูลจากการศึกษาติดตามและการประเมินสถานภาพประชากรเสือโคร่งประเทศไทย ทำให้สามารถจำแนกพื้นที่ป่าอนุรักษ์ที่เป็นถิ่นอาศัยสำคัญของเสือโคร่งได้ 3 ระดับ พิจารณาจากความหนาแน่นของประชากรเสือโคร่งที่ปรากฏ ได้แก่ ระดับที่ 1 พื้นที่ที่มีประชากรค่อนข้างมาก ประกอบไปด้วย กลุ่มป่าตะวันตก ระดับที่ 2 พื้นที่ที่มีประชากรปานกลาง ประกอบไปด้วย กลุ่มป่าเขาใหญ่–ดงพญาเย็น กลุ่มป่าภูเขียว–น้ำหนาว กลุ่มป่าแก่งกระจาน และระดับที่ 3 พื้นที่ที่มีประชากรค่อนข้างน้อย ประกอบไปด้วย กลุ่มป่าอมก๋อย กลุ่มป่าฮาลา–บาลา กลุ่มป่าศรีลานนา โดยพบว่า ประชากรเสือโคร่ง มีความหนาแน่นมากที่สุดตามแนวเทือกเขาตะนาวศรีบริเวณผืนป่าตะวันตกของประเทศไทย โดยแหล่งอาศัยของประชากรเสือโคร่ง
ที่สำคัญอยู่ในพื้นที่มรดกโลกทางธรรมชาติทุ่งใหญ่–ห้วยขาแข้ง ซึ่งถือได้ว่าเป็นแหล่งอาศัยที่สำคัญของเสือโคร่งทั้งในระดับประเทศและระดับโลก ปัจจุบันเสือโคร่งในพื้นที่แห่งนี้มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นของประชากร

และหากมีการเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการและป้องกันพื้นที่ เช่น การเพิ่มประสิทธิภาพของการลาดตระเวนและการบังคับใช้กฎหมาย รวมถึงการสร้างความร่วมมือในการอนุรักษ์ร่วมกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง จะทำให้ประชากรเสือโคร่งในทุกพื้นที่มีโอกาสเพิ่มจำนวนมากขึ้นได้อีก โดยเห็นได้อย่างชัดเจนว่าประชากรเสือโคร่งในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้งได้เพิ่มประชากรมากขึ้นและกำลังขยายพื้นที่อาศัยไปอยู่ในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ข้างเคียง เช่น อุทยานฯแม่วงก์ อุทยานฯ คลองลาน และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสลักพระ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสำเร็จส่วนหนึ่งของโครงการอนุรักษ์เสือโคร่งที่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้ดำเนินการอยู่ในขณะนี้

“การเพิ่มประชากรเสือโคร่งที่ผ่านมา ประเทศไทยได้มีการดำเนินงานโดยการนำระบบลาดตระเวนเชิงคุณภาพมาใช้ในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ 20 แห่ง ในพื้นที่ 4 กลุ่มป่าหลัก คือ กลุ่มป่าตะวันตก กลุ่มป่าแก่งกระจาน กลุ่มป่าเขาใหญ่–ดงพญาเย็น และกลุ่มป่าภูเขียว โดยฝึกอบรมเจ้าหน้าที่กว่า 3 พันคน ด้านการลาดตระเวนเชิงคุณภาพ รวมถึง การใช้เทคโนโลยีต่างๆ เพื่อสนับสนุนการลาด ตระเวนในพื้นที่ ทั้งยังทำการฟื้นฟูประชากรเหยื่อเสือโคร่ง โดยการปล่อยสัตว์กีบ เช่น กวาง เนื้อทราย ในพื้นที่อาศัยของเสือโคร่งกว่า 20 แห่ง นอกจากนี้ ยังมีโครงการฟื้นฟูถิ่นอาศัยของเสือโคร่ง 47 แห่ง โดย สร้างแหล่งน้ำ แหล่งโป่ง และการทำแนวกันไฟ และสร้างความเข้มแข็งในการบังคับใช้กฎหมาย” นายอดิศร นุชดำรงค์ รองอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติฯ ในฐานะผู้ดูแลรับผิดชอบด้านสัตว์ป่า ระบุ

ขณะเดียวกัน อีกด้านหนึ่ง รัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับปัญหาการลักลอบค้าสัตว์ป่าเป็นอย่างมาก และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง
เสือโคร่ง โดย พล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รมว.ทรัพยากรฯ ได้มอบนโยบายการขับเคลื่อนปฏิรูปด้านทรัพยากรธรรมชาติและสัตว์ป่า ให้กรมอุทยานฯ จัดทำแผนปฏิบัติ การระยะสั้นและระยะยาว 20 ปี ภายใต้ยุทธศาสตร์ฟื้นฟูประชากรเสือโคร่งในทุกมิติ

ทีมข่าวสิ่งแวดล้อม เห็นด้วยกับแผนปฏิบัติการอนุรักษ์เสือโคร่งแห่งชาติ ตามที่ประเทศไทยได้ประกาศเจตนารมณ์แล้วว่า ภายในปี 2565 ประชากรเสือโคร่งจะได้รับการฟื้นฟูและเพิ่มจำนวนในผืนป่าสำคัญของประเทศ ด้วยการจัดการและระบบตรวจวัดประชากรที่มีมาตรฐานสูงและเป็นเรื่องน่ายินดีที่ดูเหมือนยุทธศาสตร์ในการเพิ่มประชากรเสือโคร่งดูจะไม่ใช่ความฝันที่ไกลเกินเอื้อม แต่สิ่งที่เราอดห่วงไม่ได้คือความร่วมมือร่วมแรงร่วมใจของคนไทยทุกคนที่ต้องทำอย่างต่อเนื่องและความจริงจังในการที่จะเดินไปสู่เป้าหมายที่วางไว้ให้จงได้

อย่าให้เสือโคร่งเป็นแค่เพียงภาพสัตว์โลกอีกชนิดที่เก็บไว้เล่าให้เด็กรุ่นหลังต้องจินตนาการเลย…

“ทีมข่าวสิ่งแวดล้อม”