คพ.พบน้ำเสียจากปั๊มน้ำมันตกเกณฑ์มาตรฐานเพียบ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 25 มิ.ย. 2559 05:30

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/646662


นายวิจารย์ สิมาฉายา อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) เปิดเผยว่า คพ.ทบทวนประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมการระบายน้ำทิ้งจากสถานีบริการมันเชื้อเพลิงที่มีการประกาศใช้เมื่อปี 2546 เพื่อปรับปรุงมาตรฐานคุณภาพน้ำทิ้งจากสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงให้มีความเหมาะสม และสอดคล้องกับปัจจุบัน พร้อมสำรวจข้อมูลและเก็บตัวอย่างน้ำทิ้งจากสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล คือ จ.สมุทรสาคร พระนครศรีอยุธยา สมุทรปราการ ปทุมธานี และนนทบุรี โดยพบว่า สถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงมีระบบบำบัดน้ำเสียหลักคือบ่อดักไขมันที่ตั้งอยู่ที่จุดเข้าและออกของสถานี โดยน้ำเสียจะถูกรวบรวมมาบำบัดที่ระบบบำบัดน้ำเสียดังกล่าว เมื่อนำน้ำทิ้งมาวิเคราะห์หาพารามิเตอร์ที่มีการควบคุมในปัจจุบัน ได้แก่ ค่าความเป็นกรดเป็นด่าง (pH) ซีโอดี ของแข็งแขวนลอยน้ำมันและไขมัน พบว่ามีเพียง 8 สถานี จาก 66 สถานี ที่มีค่าน้ำทิ้งผ่านเกณฑ์มาตรฐาน ทั้งนี้ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้คุณภาพน้ำทิ้งของสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงไม่ผ่านมาตรฐาน เนื่องจากความหลากหลายของกิจกรรมที่เกิดขึ้นภายในสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงที่เพิ่มมากขึ้น จนทำให้ระบบบำบัดน้ำเสียไม่สามารถรองรับได้

นายวิจารย์ กล่าวอีกว่า ดังนั้น คพ.จึงจัดทำ (ร่าง) มาตรฐานควบคุมการระบายน้ำทิ้งจากสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และจะกำหนดจัดประชุมรับฟังความเห็นต่อ (ร่าง) มาตรฐานดังกล่าวต่อไป.

 

ไทยลดก๊าซเรือนกระจกสำเร็จตามเป้าหมาย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 24 มิ.ย. 2559 05:30

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/645837


นางระวิวรรณ ภูริเดช เลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) แถลงข่าวผลการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ 2559 ที่เมืองบอนน์ สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ว่า การประชุมครั้งนี้เป็นครั้งแรกของไทยในฐานะประธานกลุ่ม 77 และจีน ซึ่งไทยได้ประสานให้เกิดข้อเสนอร่วมของกลุ่มให้มีความสมดุลและครอบคลุมประเด็นที่ประเทศกำลังพัฒนาให้ความสำคัญ โดยเฉพาะการปรับตัวต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เช่น การนำเทคโนโลยีสะอาดมาปรับใช้ เนื่องจากประเทศที่กำลังพัฒนามีจุดด้อยคือเรื่องเทคโนโลยี จึงต้องอาศัยประเทศที่พัฒนาแล้วร่วมถ่ายทอดความรู้เพื่อนำมาปรับใช้ในประเทศที่กำลังพัฒนา เป็นต้น นับเป็นก้าวย่างที่ประสบความสำเร็จในการร่วมกันกำหนดแนวทางการเสริมสร้างศักยภาพของภาคีประเทศกำลังพัฒนา สำหรับประเทศไทยได้กำหนดเป้าหมายในการลดก๊าซเรือนกระจกจากภาคพลังงานและขนส่งที่ร้อยละ 7-20 ภายในปี 2563 ซึ่งขณะนี้สามารถลดก๊าซเรือนกระจกในภาคพลังงานและขนส่งได้ร้อยละ 10 ซึ่งถือว่าบรรลุเป้าหมายดังกล่าวแล้ว

เลขาธิการ สผ. กล่าวอีกว่า สผ.ได้ลงนามบันทึกความเข้าใจในเรื่องความร่วมมือเรื่องการจัดทำบัญชีก๊าซเรือนกระจกแห่งชาติ ระหว่างไทยและออสเตรเลีย โดยสาระสำคัญคือสนับสนุนการจัดทำบัญชีก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทยให้เป็นระบบโดยใช้ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศสำหรับใช้ประกอบการจัดทำรายงานแห่งชาติ และรายงานความก้าวหน้าทุก 2 ปี.

 

ประกวดราคาฟื้นฟูคลิตี้ 582 ล้านบาท

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 18 มิ.ย. 2559 05:30

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/641287


(ภาพจาก:เว็บไซต์ กรมควบคุมมลพิษ)

นายวิจารย์ สิมาฉายา อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) เปิดเผยว่า คพ.จัดประกวดราคาจ้างเหมาดำเนินการฟื้นฟูลำห้วยคลิตี้ ราคากลางของงานจ้างในครั้งนี้เป็นเงินทั้งสิ้น 582,000,000 บาท ด้วยวิธีการประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ (E-bidding) โดยได้กำหนดให้มีการเสนอราคาในวันที่ 28 มิ.ย.นี้ มีขอบเขตการดำเนินงาน เช่น ทำการก่อสร้างหลุมฝังกลบแบบปลอดภัยและดําเนินการฝังกลบตะกอนและดินที่ปนเปื้อนสารตะกั่ว ดูดตะกอนท้องน้ำและตะกอนหน้าฝายดักตะกอนเดิม ฟื้นฟูพื้นที่ปนเปื้อนรอบโรงแต่งแร่เดิม โดยการปิดคลุมด้วยดินหรือวัสดุที่มีค่าตะกั่วไม่เกินมาตรฐานคุณภาพดินที่ใช้ประโยชน์เพื่อการอยู่อาศัยและเกษตรกรรม และทำการก่อสร้างฝายดักตะกอนในลําห้วยคลิตี้ เป็นต้น โดยมีคณะกรรมการไตรภาคีฯจากหน่วยงานต่างๆจะมีหน้าที่ให้ข้อเสนอแนะต่อการดำเนินงานโครงการฯ เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ และเป็นที่ยอมรับของทุกภาคส่วน และเพื่อประสานการแก้ไขปัญหาการปนเปื้อนในพื้นที่คลิตี้ที่เกิดขึ้นอย่างแท้จริง

อธิบดี คพ.กล่าวต่อว่า สำหรับการดำเนินงานที่ควบคู่ไปกับการประกวดราคาจ้างเหมาดำเนินการฟื้นฟูลำห้วยคลิตี้ คพ. ได้ขออนุญาตใช้พื้นที่กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กรมป่าไม้ และสำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม และได้ดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการไตรภาคีเพื่อติดตามการดำเนินโครงการฟื้นฟูลำห้วยคลิตี้จากการปนเปื้อนสารตะกั่ว นอกจากนี้ คพ.ยังได้ดำเนินการจัดทำแผนการดำเนินงานแก้ไขปัญหาการปนเปื้อนสารตะกั่วบริเวณลำห้วยคลิตี้ ระยะที่ 2 ปี พ.ศ.2559-2564 ขณะนี้อยู่ในระหว่างการเสนอให้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเห็นชอบ.

 

ผุดศูนย์ฯสางชุมชนรุกล้ำคลอง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 10 มิ.ย. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/635660


พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของ มนุษย์ (พม.) เป็นประธานเปิดศูนย์ปฏิบัติการที่อยู่อาศัยชุมชนริมคลองพื้นที่ 5 เขตห้วยขวางและวังทองหลาง ที่บริเวณสำนักงานเขตวังทองหลาง และลงพื้นที่เยี่ยมประชาชนชุมชนริมคลองลาดพร้าวประชาอุทิศ จากนั้นให้สัมภาษณ์ว่า รัฐบาลมีนโยบายจัดระเบียบแก้ไขปัญหาชุมชนแออัดและสร้างที่อยู่อาศัยรุกล้ำแนวลำคลองและทางระบายน้ำ กำหนดโครงการนำร่องพื้นที่คลองลาดพร้าวและคลองเปรมประชากร โดยในปี 2559-2560 มีแผนดำเนิน การพื้นที่คลองลาดพร้าวใน 41 ชุมชน ซึ่งเดือน ก.ค.-ส.ค.นี้ มีแผนรื้อย้ายชุมชนริมคลองลาดพร้าวประชาอุทิศ 86 หลังคาเรือน และเพื่อให้การขับเคลื่อน งานเห็นผลเป็นรูปธรรมและเกิดประโยชน์กับชุมชน จึงได้มีการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการที่อยู่อาศัยชุมชนริมคลองพื้นที่ 5 เพื่อเป็นศูนย์ปฏิบัติการอย่างใกล้ชิดกับประชาชนในพื้นที่ในการบูรณาการจัดการปัญหาและหาแนวทางการพัฒนาที่อยู่อาศัยร่วมกัน และจะจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการให้ครบ 6 ศูนย์ในพื้นที่ที่มีการจัดระเบียบ.

 

ทช.วิจัยปะการังพันธุ์ใหม่แก้ฟอกขาว

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 4 มิ.ย. 2559 05:30

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/631612


นายศักดา วิเชียรศิลป์ รองอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อม ผศ.ดร.ธรรมศักดิ์ ยีมิน นายกสมาคมวิทยาศาสตร์ทางทะเลและ ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ รองคณบดีคณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ แถลงข่าวการประชุมวิชาการวิทยาศาสตร์ทางทะเล โดยนายศักดากล่าวว่า ปะการังฟอกขาวที่เกิดขึ้นทั่วทะเลไทย ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อระบบนิเวศทรัพยากรทางทะเลและการท่องเที่ยว มูลค่ามากกว่า 40,000 ล้านบาทต่อปี การแก้ปัญหาโดยการออกมาตรการควบคุมปิดแหล่งท่องเที่ยวทางทะเลนั้นสามารถช่วยให้ระบบนิเวศปะการังฟื้นตัวจากการฟอกขาวได้ แต่ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการท่องเที่ยว ทช.จึงต้องหามาตรการแก้ปัญหาปะการังฟอกขาวที่อาจเกิดขึ้นอีกใน 5-10 ปีข้างหน้า โดยขณะนี้ ได้จัดงบประมาณเพื่อสนับสนุนการวิจัย Super Coral หรือปะการังสายพันธุ์ทนทานต่ออุณหภูมิของน้ำทะเลรวมถึงการวิจัย Super Algae หรือสาหร่ายสายพันธุ์พิเศษที่สามารถลงเกาะปะการังเพื่อให้รอดจากภาวะฟอกขาวได้ ส่วนแหล่งท่องเที่ยวทางทะเลที่ปิดในพื้นที่ต่างๆ ต้องมีการศึกษาทางวิชาการเพื่อติดตามสถานภาพปะการังให้เป็นที่ชัดเจนก่อนจะเปิดให้ท่องเที่ยวได้

ดร.ธรณ์กล่าวว่า ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งมีสาเหตุมาจากสิ่งก่อสร้างรุกล้ำพื้นที่ทะเล เช่น เขื่อนกั้นปากร่องน้ำ รอดักทราย กำแพงริมฝั่ง ดังนั้นในอนาคตจะต้องมีข้อบังคับออกมาใช้ก่อนการตัดสินใจก่อสร้างทุกครั้ง และควรสนับสนุนให้มีการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อวางแผนและแก้ปัญหาที่มีผลกระทบต่อทรัพยากรทางทะเล โดยเฉพาะการติดตามผู้กระทำผิดในกรณีคราบน้ำมัน มลพิษทางทะเลหรือการจัดการแหล่งท่องเที่ยวและทรัพยากรธรรมชาติ

ผศ.ดร.ธรรมศักดิ์กล่าวว่า อยากให้ ทช.ใช้อำนาจตาม พ.ร.บ.ส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พ.ศ.2558 เร่งประกาศพื้นที่คุ้มครองทางทะเลอย่างน้อย 3 แห่งให้ได้ภายในปี 2559 โดยตั้งเป้าหมายตามมาตรฐานสากลว่าจะต้องมีพื้นที่คุ้มครองอย่างน้อย 35,000 ตารางกิโลเมตร หรือ 10% ของพื้นที่ทะเลไทยให้ได้.

 

สางวิกฤติเขาหัวโล้น!

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 31 พ.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/628343


ถึงเวลาพิสูจน์ “น้ำยา” รัฐบาล คสช. “ปลูก-ป้อง” ผืนป่าคืนความสมบูรณ์สู่แผ่นดิน

เขาหัวโล้น!

ภาพที่น่าสลดหดหู่ใจ จากป่าลุ่มแม่น้ำป่าสัก ถึงป่าลุ่มน้ำแม่ยม (งาว) ป่าลุ่มน้ำวัง (เถิน) ป่าลุ่มน้ำน่าน ป่าลุ่มน้ำปิง ฯลฯ ได้กลายสภาพเป็นภูเขาหัวโล้นเตียนโล่งนับแสนๆไร่ สุดลูกหูลูกตาจากการตัดไม้ทำลายป่าอย่างมโหฬาร จนทำให้ป่าต้นน้ำกลายเป็นเขาหัวโล้น

เขาหัวโล้น คือ การตอกย้ำ “ความล้มเหลว” ในการแก้ปัญหาการป้องกันการบุกรุกผืนป่าของหน่วยงานป่าไม้ของประเทศ โดยเฉพาะ กรมป่าไม้ กับ กรมอุทยานฯ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.)

ทั้งๆที่ปัญหาเขาหัวโล้นไม่ใช่เรื่องใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้น และเป็นปัญหาหนักหนาสาหัสที่รู้อยู่แก่ใจรัฐบาล เพราะในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 7 ก.ค.2558 พล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รมว.ทส. ได้รายงานว่าในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา พื้นที่ป่าต้นน้ำ 12 จังหวัดภาคเหนือและ 1 จังหวัดภาคอีสาน คือ เชียงใหม่ เชียงราย น่าน ตาก แม่ฮ่องสอน เพชรบูรณ์ พิษณุโลก พะเยา แพร่ อุตรดิตถ์ ลำปาง ลำพูนและเลย แหล่งกำเนิดของแม่น้ำปิง วัง ยม น่านถูกบุกรุกทำลายประมาณ 8.6 ล้านไร่ มีผู้บุกรุกประมาณ 8 แสนคน ส่งผลให้เกิดปัญหาลำน้ำแห้งขอดในช่วงฤดูแล้งจนเกษตรกรในพื้นที่ราบไม่สามารถเพาะปลูกได้ ปัญหาน้ำหลากในช่วงฤดูฝนจนเกิดเป็นอุทกภัยและดินโคลนถล่มและปัญหาการไหลเปื้อนของสารเคมีจากยาฆ่าหญ้า ยาฆ่าแมลงสู่พื้นที่ราบสร้างความเสียหายคิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า 469,000 ล้านบาท

ก่อนที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี จะทำหนังสือถึง พล.อ.สุรศักดิ์ ในวันที่ 9 ก.ค.2558 ให้ดำเนินการแก้ปัญหาเขาหัวโล้น

จากวันนั้นจนถึงวันนี้ผ่านมาเกือบ 1 ปีแล้ว เขาหัวโล้นกลับมีมากขึ้นทุกวัน

ขณะที่การแก้ปัญหาของกระทรวงทรัพยากรฯ หน่วยงานหลักที่ต้องรับหน้าเสื่อรับผิดชอบโดยตรง กลับไม่คืบหน้าเท่าที่ควร จริงอยู่แม้ที่ผ่านมา กรมป่าไม้ กรมอุทยานฯ จะมีการฟื้นฟูปลูกป่าต้นน้ำหลายครั้งหลายหน แต่หลายคนมองว่าส่วนใหญ่เป็นได้เพียงงานอีเวนต์ เกณฑ์คนมาปลูกถ่ายรูปแล้วก็จบ ขณะที่ภาคเอกชนที่เข้ามาทำกิจกรรมเพื่อสาธารณะและคืนกำไรสู่สังคม หรือ CSR เวลาบรรยายสรุปมีตัวเลขได้ป่าคืนจำนวนไม่น้อย แต่กลับไม่มีภาพเขาเขียวขจีให้ได้เห็นเป็นรูปธรรมเลย

จากข้อมูลของกระทรวงทรัพยากรฯ ระบุพื้นที่เขาหัวโล้นที่ถูกบุกรายจังหวัด ดังนี้ เชียงใหม่ 1,103,499.54 ไร่ มีผู้บุกรุก 195,433 คน น่าน 1,180,859.49 ไร่ ผู้บุกรุก 69,802 คน เชียงราย 765,100.08 ไร่ ผู้บุกรุก 104,043 คน ตาก 706,990.20 ไร่ ผู้บุกรุก 104,052 คน แม่ฮ่องสอน 602,288.43 ไร่ ผู้บุกรุก 14,814 คน พิษณุโลก 176,518.61 ไร่ ผู้บุกรุก 30,000 คน เพชรบูรณ์ 560,125.66 ไร่ ผู้บุกรุก 20,112 คน พะเยา 149,320.38 ไร่ ผู้บุกรุก 14,858 คน แพร่ 126,220 ไร่ ผู้บุกรุก 14,814 คน ลำปาง 89,006.76 ไร่ ผู้บุกรุก 14,746 คน ลำพูน 39,962.73 ไร่ ผู้บุกรุก 24,660 คน อุตรดิตถ์ 118,185.86ไร่ ผู้บุกรุก 25,000 คนและเลย 1,076,089.70 ไร่ ผู้บุกรุก 56,000 คน

ข้อมูลดังกล่าว ถามว่าสวนทางกับตัวเลขพื้นที่การทวงคืนผืนป่าที่กรมป่าไม้หรือกรมอุทยานฯ นำมาโชว์หรือไม่

ภาพเขาหัวโล้นใน พื้นที่ต่างๆของประเทศ ถูกโพสต์ ถูกแชร์ กระจายว่อนในโลกออนไลน์ เพื่อสะท้อนปัญหาที่เกิดขึ้นกับพื้นที่ป่าไม้ของประเทศ จนแทบทุกภาคส่วนทนไม่ไหว

แม้กระทั่งดารานักร้องยังตั้งกลุ่มเพื่อลงพื้นที่ไปปลูกป่า ซึ่งเท่ากับเป็นการปลุกกระแสทำให้คนทั้งประเทศหันมามอง วิกฤติ “เขาหัวโล้น” อย่างตั้งอกตั้งใจ

แต่สิ่งที่หน่วยงานรัฐทำได้ ยังเหมือนเดิม คือ กรมป่าไม้ เตรียมขยับลงพื้นที่ จ.น่าน เพื่อแก้ปัญหาเขาหัวโล้นกลางเดือน มิ.ย.นี้ ส่วนกรม อุทยานฯ จะเปิดตัวโครงการแก้ปัญหาเขาหัวโล้น ช่วงปลายเดือน มิ.ย.นี้เช่นกัน พร้อมใช้เงิน 1.6 ล้านบาทจัดอีเวนต์เพื่อประชา-สัมพันธ์ให้ภาคเอกชนที่สนใจเข้าร่วม

ขณะที่ พล.อ.สุรศักดิ์ ระบุว่า ตั้งแต่วันที่ 20 พ.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันต้นไม้ประจำปีของชาติ กระทรวงฯ ถือเป็นโอกาสแก้ปัญหาเขาหัวโล้นวิธีการ คือ เริ่มจากการจัดแบ่งโซนพื้นที่ในการบริหารจัดการให้ชัดเจน และจัดทำฝายกักเก็บน้ำ รวมทั้งปลูกป่าทดแทน และป้องกันไม่ให้คนเข้าไปบุกรุกอีก ส่วนประชาชนที่ยากจนเข้าไปอาศัยอยู่นั้น จะมีการจัดสรรที่อยู่ชั่วคราวให้ เพื่อบรรเทาไม่ให้ประชาชนเดือดร้อน โดยบางพื้นที่อาจจะมีการออกเป็นมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ยกเว้นให้ เหมือนมติ ครม.วันที่ 30 มิ.ย.2541 เรื่อง มาตรการและแนวทางแก้ไขปัญหาที่ดินในพื้นที่ป่าไม้

ส่วนการใช้มาตรา 44 เพื่อนำคนออกจากป่านั้น จะใช้อย่างสร้าง สรรค์เฉพาะบางกรณีเท่านั้น

“ผมสู้กับนายทุนรุกป่ามาตั้งแต่จบเป็นทหารใหม่ๆที่ภาคใต้มาถึงวันนี้ 40 กว่าปีก็ยังต้องต่อสู้กับนายทุนรุกป่าอยู่เหมือนเดิม การบุกรุกทำลายป่าเป็นปัญหาใหญ่ของประเทศ ใครตัดไม้ทำลายป่าคือการทำลายชาติ ดังนั้น จะมีการจัดทำบัญชีรายชื่อนายทุนผู้มีอิทธิพลที่บุกรุกป่าเพื่อให้เจ้าหน้าที่เข้าไปจัดการ” รมว.ทส.ระบุ

ทีมข่าวสิ่งแวดล้อม คงไม่สามารถคาดเดาได้ว่า การกู้วิกฤติเขาหัวโล้นจะเป็นแค่กระแสที่ผ่านมาแล้วผ่านไปเหมือนในอดีตที่ผ่านมาหลายยุคหลายสมัยหรือไม่

แต่ที่รู้แน่ๆ คือ หากไม่สามารถแก้ปัญหาเขาหัวโล้นได้ สิ่งที่ตามมาคือ สมบัติของแผ่นดินทั้ง ป่าสงวนฯ 1,221 ป่า อุทยานฯ 100 กว่าแห่ง วนอุทยานฯ อีก 100 กว่าแห่ง เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอีก 50 กว่าแห่ง เป็นต้น คงมีโอกาสเหลือรอดไว้ให้ลูกหลานไทยในอนาคตได้ยาก

สิ่งซึ่งเราอยากขอฝาก คือ การแก้วิกฤติเขาหัวโล้น ควรมีการดูแลพื้นที่ที่ยังมีป่าเหลืออยู่ให้เข้มข้นมากขึ้น มีการบังคับใช้กฎหมายที่ชัดเจน มีนโยบายที่เอื้อต่อการดูแลรักษาป่าอย่างจริงจัง รวมทั้ง การสนับสนุนเจ้าหน้าที่ป่าไม้ในการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ

หากสางปมปัญหาเขาหัวโล้นไม่สำเร็จ ภาพภูเขาหัวโล้นที่มีอยู่เป็นจำนวนมากนับล้านๆ ไร่ คงกลายเป็น “ตราบาป” ที่คอยหลอกหลอนทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องและสังคมไทยอย่างไม่มีวันจบสิ้นแน่นอน.

ทีมข่าวสิ่งแวดล้อม

 

ทส.จัดวันสิ่งแวดล้อมโลกหยุดซื้อ-ขาย-ฆ่าสัตว์ป่า

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 30 พ.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/628051


พล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เปิดเผยว่า องค์การสหประชาชาติ กำหนดให้วันที่ 5 มิ.ย.ของทุกปี เป็น “วันสิ่งแวดล้อมโลก” โดยปีนี้ ประเด็นสำคัญในการรณรงค์ คือ “Go Wild for Life” หรือ “หยุดซื้อ หยุดขาย หยุดฆ่า แก้ปัญหาสัตว์ป่าสูญพันธุ์” สำหรับประเทศไทย ทส.มอบหมายให้กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม (สส.) วางแผนการรณรงค์พร้อมกับประเทศต่างๆ ตั้งแต่วันที่ 5 มิ.ย.เป็นต้นไป และจะมีการจัดงาน “วันสิ่งแวดล้อมโลก” ในวันที่ 29 มิ.ย.นี้ เพื่อปลุกจิต สำนึกคนไทยให้เกิดความตระหนักต่อสถานการณ์การคุกคามสัตว์ป่า เนื่องจากสัตว์ป่าในประเทศไทยต่างตกอยู่ในภาวะถูกตามล่าเอาชีวิตอย่างหนัก

ด้าน น.ส.ภาวิณี ปุณณกันต์ อธิบดี สส. กล่าวว่า ขณะนี้สถานการณ์สัตว์ป่าสงวนอยู่ในภาวะอันตราย เช่น เก้งหม้อ สมเสร็จ เนื้อทราย กวางผา นกกระเรียนพันธุ์ไทยและโดยเฉพาะละมั่งพันธุ์ไทย เนื่องจากมีเหลือเพียง 50 ตัวในประเทศเท่านั้น ส่วนสัตว์ป่าคุ้มครองและสัตว์ป่าอื่นๆ เช่น เสือโคร่ง กระทิง ช้างป่า ยังคงถูกตามจับ ตามล่าเอาชีวิตอย่างหนักมากขึ้น ซึ่งเมื่อต้นเดือน พ.ค.ที่ผ่านมาก็มีการลักลอบเข้าไปขโมยลูกนกเหงือกหัวแรดจากโพรงบนเทือกเขาบูโด รวมทั้ง มีการนำสัตว์ป่าไปโพสต์ขายผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์กันอย่างเอิกเกริก ซึ่งถือเป็นเรื่องที่น่าสะเทือนใจ และน่าเป็นห่วงอย่างมาก ดังนั้น ทุกคนต้องร่วมกันปกปักสัตว์ป่าด้วยการหยุดวงจร “หยุดซื้อ หยุดขาย หยุดฆ่า”.

 

วช.ลุยโรงไฟฟ้าขยะ ตั้ง 53 แห่งทั่วประเทศ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 25 พ.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/625244


นายกฤษณ์ธวัช นพนาคีพงษ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) เปิดเผยว่า ศูนย์วิจัยยุทธศาสตร์ด้านสิ่งแวดล้อม เกิดขึ้นบนความร่วมมือระหว่าง วช.กับสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย เพื่อทำหน้าที่เสนอนโยบายหรือทางออกให้รัฐบาลและหน่วยงานต่างๆในประเด็นสำคัญที่เกี่ยวกับด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เช่น การสร้างเมืองน่าอยู่ ประเด็นป่าไม้ หรือประเด็นสิ่งแวดล้อมต่างๆ โดยในปี 2559 ได้มุ่งเน้นในการผลักดันและขับเคลื่อนข้อเสนอเชิงนโยบายในการสนับสนุนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นผลิตก้อนเชื้อเพลิงขยะเพื่อเป็นการกำจัดขยะชุมชนที่สะสมเป็นเวลานานและถูกหลักวิชาการ ซึ่งสอดคล้องกับรัฐบาลที่ให้ความสำคัญกับปัญหาขยะ โดยมีนโยบายแปรรูปขยะและวัสดุเหลือใช้ให้เป็นพลังงาน มีเป้าหมายตั้งโรงงานไฟฟ้า จากการแปรรูปขยะมูลฝอย จำนวน 53 แห่งทั่วประเทศ โดยมุ่งส่งเสริมให้เทศบาลนำขยะชุมชนมาจัดทำก้อนเชื้อเพลิงขยะ RDF (Refuse Derived Fuel) เพื่อป้อนเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าในโรงงานอุตสาหกรรมที่มีการใช้ความร้อนสูง เช่น โรงงานผลิตปูนซีเมนต์ นอกจากนี้ยังเป็นการสร้างวิสาหกิจชุมชนเพื่อดำเนินการจัดการขยะในท้องถิ่นและเพิ่มรายได้จากการขายเชื้อเพลิงได้อีกด้วย.

 

น้ำท่วมชาวโลกไม่ต่ำกว่าพันล้าน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 19 พ.ค. 2559 08:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/622255


องค์การกุศลสงเคราะห์ของอังกฤษได้กล่าวเตือนอย่างน่าหวั่นหวาดว่า ในปี พ.ศ. 2603 หรืออีก 44 ปีข้างหน้า จำนวนพลโลกที่อยู่ตามเมือง ตกอยู่ใต้เงาอุทกภัยอันหายนะ จำนวนไม่ต่ำกว่าพันล้านคน อันเนื่องจากความปรวนแปรของดินฟ้าอากาศ

รายงานขององค์การความช่วยเหลือคริสเตียนกล่าวว่า ทั้งอเมริกา จีนและอินเดียต่างก็ต้องผจญกับความรุนแรงมากกว่าเพื่อนและนครที่จะต้องผจญภัยหนักที่สุดจะได้แก่ โกลกัตตาและมุมไบ ในบรรดาเมืองที่จะต้องผจญภัยหนักกว่าเพื่อน เป็นเมืองในทวีปเอเชียเสีย 8 แห่ง โดยมีเมืองไมอามีของอเมริกาที่จะรองลงมา

รายงานของ ดร.อารีซัน โดอิก ได้ทำนายกล่าวว่า ผู้คนที่พักอาศัยอยู่ตามเมืองใหญ่ๆริมฝั่งทะเล จะต้องเสี่ยงภัยมากที่สุด เขากล่าวว่า “ข้าพเจ้าคิดว่าเมืองอย่างโกลกัตตา กรุงดาการ์ และเมืองใหญ่ๆทางใต้ ชาวเมืองจะต้องต่อสู้กับภัยของระดับน้ำทะเลล้นฝั่งและฝนตกหนัก อุทกภัยตามเมืองเหล่านี้ จะสร้างความเสียหายอย่างสาหัสสากรรจ์และยังคุกคามชีวิตผู้คนด้วย โดยเฉพาะรัฐฟลอริดา อาจจะมีน้ำท่วมอย่างกว้างขวาง เนื่องจากดินแดนของรัฐส่วนใหญ่ต่างอยู่ในที่ลุ่ม น้ำทะเลอาจจะขึ้นสูงอีกตั้งครึ่งเมตร ภายในศตวรรษนี้ คงจะท่วมรัฐฟลอริดาและพื้นที่ส่วนใหญ่ของไมอามีเข้าด้วย”.

 

‘อ.ธรณ์’ ชี้ร้อนเกินจุดวิกฤติ ห่วงปะการังในทะเลฟอกขาว

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 14 พ.ค. 2559 15:13

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/620303


“อ.ธรณ์” ชี้ทะเลฝั่งอันดามันมีภาวะเสี่ยงปะการังฟอกขาว เนื่องจากร้อนเกินจุดวิกฤติ ซึ่งเป็น 1 ใน 2 ภาวะเสี่ยงที่เป็นห่วง แต่ได้เตรียมรับมือแล้วไม่ซ้ำรอบปี 2553…

เมื่อวันที่ 14 พ.ค. ผศ.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ กล่าวที่ จ.ภูเก็ต เกี่ยวกับสถานการณ์ทางทะเลของจังหวัดชายฝั่งทะเลอันดามัน ได้แก่ ภูเก็ต พังงา และกระบี่ ว่าปัจจุบันมีภาวะเสี่ยงอยู่ 2-3 ประการ ได้แก่ สถานการณ์ปะการังฟอกขาว เนื่องจากปัจจุบันอุณหภูมิน้ำทะเลร้อนเกินจุดวิกฤติ และเริ่มพบปะการังฟอกขาวตามพื้นที่ต่างๆ แล้วหลายจุด แต่ยังไม่รุนแรงจนถึงขีดสุด แต่มีความเป็นห่วงว่าในช่วง 7-10 วัน ข้างหน้าอาจจะเกิดภาวะฟอกขาวมากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ และจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อความสมบูรณ์ของทะเลรวมถึงการท่องเที่ยว ถือเป็นครั้งแรกที่เตรียมการรับมือต่างจากในปี 2553 ซึ่งปะการังเกิดภาวะฟอกขาวเกือบหมดแล้ว จึงปิดเกาะ แต่ครั้งนี้ ปิดเกาะตั้งแต่เริ่มต้น เช่น เกาะยูง เป็นต้น เพื่อรักษาแหล่งพ่อแม่พันธุ์ นอกจากนั้น ได้เสนอกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอีกหลายจุดที่จะพิจารณาเป็นแหล่งพ่อแม่พันธุ์ในการดูแลรักษาไว้ เช่น อ่าวมาหยา เป็นต้น

“สถานการณ์ต่อมาที่เป็นกังวลค่อนข้างมาก คือ ปัญหาน้ำเสีย เพราะเป็นตัวการสำคัญ เพราะการที่ปะการังฟอกขาวจะฟื้นตัวหรือไม่อยู่กับสภาพของน้ำทะเล ซึ่งได้แจ้งปัญหาดังกล่าวให้กับรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องทราบแล้ว ยกตัวอย่างกรณีเกาะพีพี จ.กระบี่ แม้ว่าบนเกาะจะมีโรงบำบัดน้ำเสีย แต่ยังไม่มีขีดความสามารถที่จะรองรับปริมาณน้ำเสียที่เกิดขึ้นทั้งเกาะ โดยรองรับได้เพียง 16% ซึ่งในการจัดทำระบบน้ำเสียนั้นจะต้องใช้งบประมาณค่อนข้างมาก และจำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลกลางในการลงทุนครั้งแรก ขณะที่การบริหารจัดการหลังจากได้ระบบมาแล้ว องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถที่จะบริหารงานต่อไป” ผศ.ธรณ์ กล่าว

ผศ.ธรณ์ กล่าวอีกว่า เรื่องที่เป็นกังวลมากที่สุด คือ ปัญหาน้ำเสีย ไม่ว่าจะเป็นในพื้นที่ภูเก็ต พังงา กระบี่ เกาะพีพี เกาะลันตา เกาะสมุย หรือ เกาะเสม็ด ซึ่งพบปัญหาเหมือนกันหมด และเรายังไม่สามารถแก้ไขได้ เนื่องจากต้องใช้งบประมาณค่อนข้างมากในการเข้ามาดูแล ภาครัฐจะต้องให้ความสนใจเข้ามาจัดการอย่างจริงจัง ยกระดับการแก้ปัญหาดังกล่าวทั้งประเทศ หรือ อาจจะเริ่มในส่วนของทะเลก่อนก็ได้ ซึ่งจะช่วยได้มาก

ส่วนเรื่องกรณีนักท่องเที่ยวเหยียบปะการังหรือจับสัตว์น้ำมาเล่นนั้น เป็นเรื่องที่สามารถแก้ได้ โดยไม่ต้องใช้งบประมาณมาก เพียงแต่ต้องใช้เวลาในการสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง.