สร้างน้ำพุพุ่ง6 ม. กลางทะเลทราย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/611376

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 27 เม.ย. 2559 08:01

 

ช่างแกะสลักชาวดัตช์สร้างน้ำพุ น้ำพ่นขึ้นสูงถึง 6 เมตร โดยไม่ต้องใช้แหล่งน้ำ หรือพลังไฟฟ้าแต่อย่างใด เป็นการต่อสู้กับที่ดินแดนส่วนใหญ่ของโลกต้องประสบภัยแล้งอยู่ในขณะนี้

นายแอฟเบอร์เฮเกน ได้อุทิศเวลาถึง 6 ปี สร้างน้ำพุนี้ดูดน้ำขึ้นมาได้มากวันละ 2 ลิตร ด้วยเครื่องลดความชื้นธรรมดา กับ แผงทำไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ขนาด 250 วัตต์ 2 แผง และแบตเตอรี่สำหรับเก็บไฟอีก 1 เครื่อง เขาคุยอวดว่า “ใช้วิชาแกะสลักประกอบกับเทคโนโลยีทำขึ้นมา ผมต้องการแสดงให้เห็นว่า โครงการนี้เราสามารถทำได้ และเป็นทางออกในการพัฒนาในอนาคตอันหนึ่ง
ในขณะที่อุปกรณ์ที่ใช้หาได้ไม่ยาก และใช้งบราว 37,125บาท ทำขึ้นมานั้น เขายอมรับว่า ยังไม่ใช่เป็นวิธีที่จะแก้ปัญหาความแห้งแล้ง ในดินแดนที่เป็นทะเลทรายอย่างแท้จริง “เราเพียงแต่หวังว่าจะสร้างกำลังใจให้คนอื่นลงมือคิดหาวิธีหาน้ำที่ทำนี้เป็นเพียงก้าวแรกเท่านั้น”

การหาน้ำในสภาพดินฟ้าอากาศแบบทะเลทรายนั้นเป็นงานหนัก เนื่องจากต้องสู้กับแดดที่แรง ที่สำคัญเครื่องลดความชื้นไม่อาจจะหาน้ำจากอากาศที่ซึ่งมีอุณหภูมิต่ำกว่า 13 องศาเซลเซียสได้.

จับทางพยากรณ์ ลมมรสุมได้แม่นยำ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/610382

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 25 เม.ย. 2559 08:01

 

(ภาพ : REUTERS)

นักวิทยาศาสตร์สวิส ได้ค้นพบหนทางพยากรณ์ การเริ่มต้นและสิ้นสุดของฤดูมรสุม มหาสมุทรอินเดียประจำปี ได้อย่างแม่นยำกว่าแต่ก่อน โดยอาศัยข้อมูลดินฟ้าอากาศของท้องถิ่นเป็นหลัก

ฤดูฝนนับว่ามีความสำคัญต่อชีวิตความเป็นอยู่ของชาวนาเรือนเป็นล้าน ที่ปลูกข้าวป้อนพลเมืองอันแน่นหนาของอนุทวีป โดยที่ดินฟ้าอากาศในวันหน้า มีอิทธิพลที่จะทำให้ลมมรสุมแปรปรวนไปได้

นักวิทยาศาสตร์ได้เผยว่า เราพบว่าทิวเขาทางเหนือของปากีสถาน และตะวันออกของเมืองกัต ที่อยู่ติดกับมหาสมุทรอินเดีย ได้ทำให้อุณหภูมิและปริมาณความชื้น อันมีความสำคัญต่อลมมรสุมเปลี่ยนแปลงไป การพยากรณ์วิธีใหม่นี้ สามารถจะพยากรณ์การเริ่มต้นได้ถูกต้องมากกว่าร้อยละ 70 และการหมดสิ้นได้ถูกต้องเกินกว่าร้อยละ 80.

ทส.ปลื้มลดถุงพลาสติกได้ 43 ล้านใบ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/607511

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 19 เม.ย. 2559 05:15

 

พล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) แถลงข่าว “โครงการรวมพลังสร้างวินัยคนในชาติ ลดใช้ถุงพลาสติก” ว่า ตามที่ ทส.ร่วมกับองค์กรภาคธุรกิจเอกชน ประกอบด้วยห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า และร้านสะดวกซื้อขนาดใหญ่ ขอความร่วมมืองดให้บริการถุงพลาสติกกับลูกค้าในวันที่ 15 ของทุกเดือน ตั้งแต่วันที่ 15 ส.ค. 2558 ต่อมาขยายผลโดยการเพิ่มความถี่ เป็นงดให้บริการถุงพลาสติกในวันที่ 15 และ 30 ของทุกเดือน แต่เพื่อให้โครงการนี้ดำเนินการได้อย่างต่อเนื่อง จึงมอบหมายให้กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม (สส.) ร่วมมือกับภาคีเครือข่ายธุรกิจภาคเอกชน 16 องค์กร ประกาศเพิ่มความเข้มข้นในการดำเนินกิจกรรมด้วยการรณรงค์งดให้บริการถุงพลาสติกในทุกวันพุธ เพิ่มขึ้นในเดือนเม.ย.นี้ ตั้งเป้าลดถุงพลาสติกให้ได้ 88 ล้านใบ “88 ล้านใบถวายพ่อ” ภายในวันที่ 5 ธ.ค.2559

ด้าน น.ส.ภาวิณี ปุณณกันต์ อธิบดีกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า ผลการดำเนินงานโครงการ จากข้อมูลล่าสุดนับจากวันที่ 15 ส.ค.2558 ถึงปัจจุบัน สามารถลดการใช้ถุงพลาสติกได้แล้ว 43,000,000 ใบ ชี้ให้เห็นว่าประชาชนให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ดังนั้น ทส.และภาคเอกชนจะเพิ่มความเข้มข้นในการรณรงค์สร้างความตระหนักเรื่องการลดการใช้ถุงพลาสติกอย่างต่อเนื่อง เพราะการลดใช้ถุงพลาสติก เป็นการช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศ ซึ่งเป็นตัวการสำคัญที่ก่อให้เกิดภาวะโลกร้อน เนื่องจากในกระบวนการผลิตถุงพลาสติก 1 ใบ จะมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาประมาณ 0.2 กิโลกรัม ถ้าใน 1 วัน ใช้ถุงพลาสติก 5 ใบ แล้วทิ้งเป็นขยะ ก็เท่ากับมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการใช้ถุงพลาสติก 1 กิโลกรัมต่อวัน หรือ 365 กิโลกรัมต่อปี.

คพ.แฉพื้นที่เสี่ยงทิ้งกากของเสีย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/605992

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 15 เม.ย. 2559 05:30

 

นายสุวรรณ นันทศรุต รองอธิบดีกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เปิดเผยว่า สถิติการลักลอบทิ้งกากของเสียอุตสาหกรรม ตั้งแต่ปี 2553-ปัจจุบัน มีไม่น้อยกว่า 63 ครั้ง เป็นการลักลอบทิ้งกากของเสียจำพวกสารเคมี 22 ครั้ง กากของเสียรวมจากโรงงานอุตสาหกรรม 21 ครั้ง น้ำเสียปนเปื้อนสารเคมี 11 ครั้ง กากตะกอนและน้ำมันหล่อลื่นที่ใช้แล้ว 9 ครั้ง โดยในปี 2558 ได้เกิดเหตุการณ์ลักลอบทิ้งกากของเสียอุตสาหกรรม 4 ครั้ง จากปัญหาดังกล่าวก่อให้เกิดการแพร่กระจายมลพิษปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อมและส่งผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยของประชาชนบริเวณใกล้เคียงโดยตรง โดยปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลต่อการลักลอบทิ้งกากสารเคมีและของเสียอุตสาหกรรมอย่างผิดกฎหมาย คือ ค่าใช้จ่ายในการบำบัดและกำจัดกากของเสียมีอัตราสูง ประกอบกับสถานที่รับกำจัดกากของเสียที่ถูกต้องตามกฎหมายมีไม่เพียงพอ ทำให้มีการหลีกเลี่ยงและส่งกากของเสียอุตสาหกรรมไปกำจัดอย่างไม่ถูกต้อง โดยมีพื้นที่เสี่ยงลักลอบทิ้งและต้องให้เจ้าหน้าที่ไปเฝ้าระวัง คือ จ.ปทุมธานี สมุทรปราการ ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง ปราจีนบุรีและสระบุรี.

ขั้วโลกก็เคยแล้ง จนน้ำแข็งเกลี้ยง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/605398

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 14 เม.ย. 2559 12:01

 

นักวิทยาศาสตร์เปิดเผยว่า ขั้วโลกเหนือก็เคยแล้งหนักไร้น้ำแข็งโดยสิ้นเชิงมาก่อน สมัยเมื่อ 6–10 ล้านปีมาแล้ว และอุณหภูมิของน้ำทะเลแถบนั้นก็ได้ขึ้นสูง จากระหว่าง 4–9 องศาเซลเซียส ซึ่งผิดกับปัจจุบันนี้ ไม่ว่าจะเป็นฤดูไหน ทะเลก็จะปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งหนาบ้าง บางบ้างทั้งสิ้น

นักธรณีวิทยาได้เปิดเผยเรื่องนี้ เมื่อได้ไปเก็บพบตัวอย่างของตะกอน จากสันเขาโลโมโนซอฟ สันเขายักษ์ใต้ของภาคกลางของทะเลอาร์กติก

นักดาราศาสตร์คนหนึ่งกล่าวว่า ข้อมูลได้ยืนยันชัดแจ้งว่า 6-10 ล้านปีมาแล้ว ขั้วโลกเหนือและทั่วภาคกลางของมหาสมุทรอาร์กติก เมื่อช่วงฤดูร้อนได้ไร้น้ำแข็งโดยสิ้นเชิง ปกติแล้วภาคกลางของมหาสมุทรอาร์กติก จะมีแดดก็ระหว่างฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อน ส่วนช่วงอื่นจะมืดมิด แต่ข้อมูลที่ได้จากตัวอย่างสาหร่ายของตะกอนก้นทะเล ทำให้รู้ว่าพื้นผิวเคยได้รับแดดมาแล้ว.

โตโยต้าบ่มเพาะร.ร.-ชุมชน “ลดเมืองร้อนด้วยมือเรา” ต่อยอดความรู้แดนซามูไร เครือข่ายสร้างสมดุลโลก

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/605371

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 14 เม.ย. 2559 05:20

 

ลดเมืองร้อน ด้วยมือเรา

10 ปีที่โครงการขับเคลื่อนมาโดยเป็นหนึ่งในกิจกรรมภายใต้ โครงการโตโยต้าเมืองสีเขียว ซึ่ง บริษัท โตโยต้ามอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ร่วมกับ มูลนิธิสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย จัดทำขึ้น จนปัจจุบันมีเครือข่ายเข้าร่วมแล้วใน 195 องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 100 ชุมชน และ 248 โรงเรียนใน 77 จังหวัดทั่วประเทศไทย

ด้วยความมุ่งหวังขยายเครือข่ายสิ่งแวดล้อม นำไปสู่การจัดการเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในชุมชนและโรงเรียน โดยเริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี 2548 ภายใต้โครงการมีการบ่มเพาะความรู้ความเข้าใจเพื่อผลักดันให้ผู้เข้าร่วมดำเนินกิจกรรมที่จะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ประกอบด้วย การลดปริมาณขยะ การประหยัดพลังงานไฟฟ้า การเดินทางอย่างยั่งยืน การเพิ่มพื้นที่สีเขียว รวมถึงการอนุรักษ์น้ำ และการใช้วิถีชีวิตที่สอดคล้องกับภูมิปัญญาท้องถิ่น

และล่าสุดช่วงปลายเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา ทีมที่ผ่านการเฟ้นจากโครงการที่มีผลการดำเนินกิจกรรมดีเด่น สำหรับปีที่ 11 ประจำปี 2558 ก็ได้เดินทางไปต่อยอดองค์ความรู้ด้านสิ่งแวดล้อม มุ่งสู่การสร้างสังคมคาร์บอนต่ำที่ประเทศญี่ปุ่น ประกอบด้วย ประเภทโรงเรียน รางวัลชนะเลิศ คือ ร.ร.อัสสัมชัญธนบุรี จากผลงาน “โครงการการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน ACT Sustainable Energy Efficiency” รองชนะเลิศอันดับหนึ่ง เป็นของ ร.ร.นางัวราษฎร์รังสรรค์ อ.นาหว้า จ.นครพนม กับ “โครงการ NGS ร่วมใจภักดิ์ รู้รักษ์สิ่งแวดล้อม ตามรอยพ่อ” และรองชนะเลิศอันดับสอง ร.ร.ดาราวิทยาลัย อ.เมือง จ.เชียงใหม่ กับ “โครงการร่วมใจ ลดเมือง ร้อนด้วยมือเรา”

ประเภทชุมชน รางวัลชนะเลิศ เป็น “โครงการสังคมหนองสะแกกวนแบบพอดี สู่ชีวีคาร์บอนต่ำ” โดย ชุมชนบ้านหนองสะแกกวน และเทศบาลตำบลโนนดินแดง อ.โนนดินแดง จ.บุรีรัมย์ รองชนะเลิศอันดับหนึ่ง “โครง-การม่วงชุมร่วมใจ แก้ไขโลกร้อน” โดย ชุมชนบ้านม่วงชุม และเทศบาลตำบลครึ่ง อ.เชียงของ จ.เชียงราย และรองชนะเลิศอันดับสอง “โครงการลูกพระธาตุรวม ใจ คืนผืนไพร คืนน้ำใส ใส่ ใจพลังงาน”

มานะ

โดย ชุมชน บ้านหนองปลาดุก หมู่ 22 และองค์การบริหารส่วนตำบลบ้านผึ้ง อ.เมือง จ.นครพนม

ทีมข่าวสิ่งแวดล้อม มีโอกาสเดินทางร่วมคณะพร้อมกับทั้งคณะครู นักเรียนและตัวแทนชุมชนไปทัศนศึกษาที่ญี่ปุ่น ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องระบบการจัดการสิ่งแวดล้อมที่ดีเยี่ยม โดยได้เข้าชมกระบวนการเผาขยะของ โรงงานเผาขยะเขตโอตะแห่งเมืองโตเกียว ซึ่งมีการควบคุมมลพิษที่เข้มงวดจนเกินมาตรฐานสากล ทั้งยังนำความร้อนจากการเผามาผลิตไฟฟ้า นำขี้เถ้าไปใช้ประโยชน์ ต่อจากนั้นยังได้เข้าชม ศูนย์การจัดการขยะของเมืองโตเกียว เรียนรู้กระบวนการจัดการขยะอย่างเป็นระบบ การนำขยะที่เหลือใช้ไปก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด
นอกจากนี้ยังได้ร่วมกิจกรรมที่ สถาบันสิ่งแวดล้อมโตโยต้าชิราคาวาโก เรียนรู้การประหยัดพลังงานผ่านกิจกรรมต่างๆ

เป้าหมายเพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์องค์ความรู้ที่มีค่า ซึ่งผู้ร่วมกิจกรรมต่างสะท้อนถึงความเป็นผู้นำในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมของแดนซามูไร และพร้อมนำสิ่งดีๆที่ได้รับกลับไปประยุกต์ใช้ในพื้นที่ของตนเอง

สมชัย

“ทุกวันนี้ภาวะโลกร้อนเกิดผลกระทบต่อสรรพสิ่งต่างๆ มากมาย ต้นเหตุมาจากฝีมือมนุษย์ ดังนั้นทำอย่างไรจึงจะทำให้ผู้คนได้ตระหนักถึงปัญหา และร่วมกันหาวิธีแก้ไขและรักษาสิ่งแวดล้อมต่างๆไม่ให้ถูกทำลายไปมากกว่านี้ สิ่งสำคัญคือการให้ความรู้ความเข้าใจ ซึ่งผู้ใหญ่ในวันนี้ต้องรับบทบาทหน้าที่ในการเป็นผู้รักษา ขณะที่เด็กและเยาวชนซึ่งเป็นอนาคตของโลกก็ต้องสาน ต่อในการเป็นผู้รักษาสิ่งเหล่านี้สู่รุ่นต่อรุ่นให้เกิดความยั่งยืน” นายมานะ ชูขันทอง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้ามอเตอร์ ประเทศ ไทย จำกัด ย้ำถึงความมุ่งมั่นของโครงการ

หันมาฟังเสียงสะท้อนของผู้ร่วมโครงการ นายสมชัย กอชัยศิริกุล นายกเทศมนตรีตำบลโนน–ดินแดง ซึ่งคว้ารางวัลชนะเลิศประเภทชุมชน แจกแจงว่า “ขยะเป็นปัญหาใหญ่ในเทศบาล จึงเริ่มจริงจังแก้ปัญหาในระยะ 3-4 ปีที่ผ่านมา เริ่มจากการแยกขยะนำร่อง 3 หมู่บ้านจากทั้งหมด 12 ชุมชน หนึ่งในนั้นคือหมู่บ้านหนองสะแกกวน ทำให้ทั้งหมู่บ้านมีการคัดแยกขยะ 100% นอกจากนี้ยังรณรงค์ใช้ถุงผ้าแทนถุงพลาสติก การปลูกผักสวนครัว และการปลูกป่านิเวศน์ พร้อมตั้งเป้าภายใน 4 ปี จะทำครบทั้ง 12 หมู่บ้าน ขณะนี้ภาวะโลกร้อนกำลังส่งผลกระทบต่อทุกชีวิตบนโลก การแก้ปัญหาที่ดีคือการปลูกป่าที่สามารถลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ดีที่สุด จึงอยากให้หันมาตระหนักและเห็นความสำคัญเรื่องป่าไม้ให้มากขึ้น”

ทีมข่าวสิ่งแวดล้อม เห็นด้วยอย่างยิ่งในการสร้างความรู้ความเข้าใจเปิดประสบการณ์ให้ผู้คนในสังคมร่วมอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในชุมชนของตนเอง พร้อมต่อยอดขยายเครือข่ายสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะจากการสนับสนุนของภาคธุรกิจเอกชน เพราะหากมัวหวังแต่จะพึ่งภาครัฐเพียงส่วนเดียวคงไม่สามารถเยียวยาทุกปัญหาที่เกิดขึ้นจากน้ำมือมนุษย์ได้อย่างแน่นอน

และที่สำคัญคือการสร้างความตระหนักรู้เท่าทันสังคมยุคใหม่ว่าความเจริญก้าวหน้าในวิทยาการต่างๆ ท่ามกลางการแข่งขัน สามารถเดินหน้าควบคู่ไปกับการตระหนักในความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม

เพื่อให้มนุษย์สามารถอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างสมดุลและยั่งยืนบนโลกใบนี้.

ทีมข่าวสิ่งแวดล้อม

เด้ง “หน.เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอ่างฤาไน”

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/605142

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 13 เม.ย. 2559 06:01

 

ดันเพื่อน วน.รุ่น 47 ขึ้น ผอ.ส่วน ขรก.อุทยานฯ เกียร์ว่างหวั่นถูกโยกย้าย

เมื่อวันที่ 12 เม.ย. นายธัญญา เนติธรรมกุล อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ลงนามในคำสั่งแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการระดับ 8 (ผอ.ส่วน) ประกอบด้วยนายเสริมพันธ์ สาริมาน หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาอ่างฤาไน จ.ฉะเชิงเทรา สระแก้ว จันทบุรี ชลบุรีและระยอง เป็น ผอ.ส่วนประสานโครงการพระราชดำริ สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ สบอ.2 (ศรีราชา) นายเดชา นิลวิเชียร หัวหน้าฐานปฏิบัติการป้องกันรักษาป่าที่ ฉช.1 (เขากา) สบอ.2 (ศรีราชา) เป็นหัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาอ่างฤาไน นายสมัคร หลงกุล เจ้าพนักงานป่าไม้อาวุโส สบอ.8 (ขอนแก่น) เป็น ผอ.ส่วนจัดการต้นน้ำ สบอ.13 (แพร่) นายปรีชา โตมี เจ้าพนักงานป่าไม้อาวุโส สบอ.11 (พิษณุโลก) เป็น ผอ.ส่วนอุทยานแห่งชาติ สบอ.13 (แพร่) นายปรีชา เสงี่ยมวิบูล เจ้าพนักงานป่าไม้อาวุโส ส่วนจัดการต้นน้ำ สบอ.13 (แพร่) เป็น ผอ.ส่วนอนุรักษ์และป้องกันทรัพยากร สบอ.13 (แพร่) นายอิศเรศ สิทธิโรจนกุล นักวิชาการป่าไม้ชำนาญการพิเศษ สบอ.14 (ตาก) เป็น ผอ.ส่วนประสานงานโครงการพระราชดำริและกิจกรรมพิเศษ สบอ.15 (เชียงใหม่) นายวัชรพงศ์ ลภัสมนพงศ์ นักวิชาการป่าไม้ชำนาญการพิเศษ สบอ.14 (ตาก) เป็น ผอ.ส่วนจัดการต้นน้ำ สบอ.16 (สาขาแม่สะเรียง) และหัวหน้าหน่วยจัดการต้นน้ำยวม จ.แม่ฮ่องสอน สบอ.16 (เชียงใหม่) นายชัยวสันต์ เนตรดำรง นักวิชาการป่าไม้ปฏิบัติการ สบอ. 15 (เชียงราย) เป็นหัวหน้าหน่วยจัดการต้นน้ำภูซาง จ.พะเยา นายประสงค์โชติ ไพรวัลย์ เจ้าพนักงานป่าไม้ชำนาญงาน สำนักอนุรักษ์และจัดการต้นน้ำ เป็นหัวหน้าหน่วยศึกษาการพัฒนาการอนุรักษ์ต้นน้ำดอยผาหิ้ง จ.แพร่

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การโยกย้ายครั้งนี้ถือเป็นการโยกย้ายต่อเนื่องหลังจากก่อนหน้านี้ได้มีการโยกย้ายมาแล้วหลายรอบ ที่สำคัญการโยกย้ายครั้งนี้ยังคงมีเพื่อนคณะวนศาสตร์ รุ่น 47 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ รุ่นเดียวกับอธิบดีกรมอุทยานฯ ได้ครองตำแหน่งสำคัญคือนายอิศเรศ สิทธิโรจนกุล ขณะเดียวกันบรรดาข้าราชการกรมอุทยานฯต่างอยู่ในภาวะชะงักงันโดยเฉพาะบรรดาหัวหน้าอุทยานฯ และหัวหน้าเขตรักษาพันธุ์ฯ เพราะไม่รู้ว่าตนเองจะถูกโยกย้ายเมื่อไหร่ เนื่องจากมีกระแสข่าวโยกย้ายออกมาอย่างต่อเนื่อง.

สผ.-สกว.รับมือโลกร้อนลดก๊าซเรือนกระจก 20%

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/605134

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 13 เม.ย. 2559 05:15

 

เมื่อวันที่ 12 เม.ย. ที่สำนักงานนโยบายและแผน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) นางรวีวรรณ ภูริเดช เลขาธิการ สผ. และ ศ.นพ.สุทธิพันธ์ จิตพิมลมาศ ผอ.สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ “การวิจัยด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและขับเคลื่อนผลงานวิจัยไปสู่การใช้ประโยชน์” มีกรอบระยะเวลา 5 ปี โดยนางรวีวรรณกล่าวว่า ตามที่ประเทศไทยได้ประกาศเจตนารมณ์ระหว่างการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสมัยที่ 21 (COP21) ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เมื่อปลายปี 2558 โดยไทยตั้งใจจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงให้ได้อย่างน้อยร้อยละ 20 ภายในปี 2573 มีเป้าหมายควบคุมอุณหภูมิโลกไม่ให้เพิ่มเกิน 2 องศาเซลเซียส การลงนามบันทึกข้อตกลงร่วมกันระหว่าง สผ.และ สกว. จะช่วยให้การขับเคลื่อนนโยบายบรรลุเป้าหมาย โดยจากนี้จะมีการวิจัยที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น ทั้งการวิเคราะห์ผลประโยชน์โครงการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการปรับตัวทั้งภาคเกษตรและภาคพลังงาน รวมทั้ง การติดตามและประเมินผลอย่างต่อเนื่อง

ด้าน ศ.นพ.สุทธิพันธ์กล่าวว่า สกว.จะร่วมสนับสนุนงานวิจัย พร้อมสนับสนุนข้อมูล องค์ความรู้ และทรัพยากร อีกทั้ง ร่วมพัฒนาขีดความสามารถบุคลากร และสร้างเครือข่ายความร่วมมือทั้งในประเทศและระดับสากล.

เปิดพื้นที่สร้างทัศนคติเชิงบวก-ยกระดับ ศพอส. ศูนย์กลางเชื่อมสัมพันธ์สังคมไทย : ตอบโจทย์ “ผู้สูงอายุ”

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/604334

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 12 เม.ย. 2559 05:01

 

อนุสันต์-ดร.เสนาะ

มากกว่า 10 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 14.9 ของประชากรทั้งหมดคือจำนวนผู้สูงอายุในปัจจุบัน

และนั่นคือตัวบ่งชี้ว่าประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์แบบ

ทั้งอีก 20 ปีข้างหน้าหรือปี พ.ศ.2564 ยอดผู้สูงอายุจะพุ่งเป็น 2 เท่าตัว หรือประมาณ 1 ใน 4 ของประชากรไทยทั้งประเทศ ซึ่งจะส่งผลให้ประเทศไทยกลายเป็นสังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ หากขยับไกลไปอีกในปี พ.ศ.2578 จะเพิ่มถึงร้อยละ 30 ของประชากรทั้งหมด หมายความว่าประเทศไทยจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุระดับสุดยอด

ขณะที่หากมองถึงสถานการณ์ผู้สูงอายุในประเทศไทยยังพบหลากหลายประเด็นน่าเป็นห่วง ไม่ว่าจะเป็นผู้สูงอายุมีแนวโน้มอยู่ตามลำพังเพิ่มมากขึ้นจากปี 2537 มีร้อยละ 3.6 เป็นร้อยละ 10.4 ในปี 2557 ภาระค่าใช้จ่ายในการดูแลผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น วัยแรงงานลดลงขณะที่ตลาดแรงงานในระบบไม่เปิดโอกาสให้ผู้สูงอายุ และอีก 3 ปีข้างหน้าจำนวนผู้สูงอายุจะมากกว่าเด็ก รวมไปถึงสภาพแวดล้อมสิ่งอำนวยความสะดวกก็ยังเป็นอุปสรรคต่อผู้สูงอายุ

13 เมษายน ของทุกปี คณะรัฐมนตรีมีมติกำหนดให้เป็น “วันผู้สูงอายุแห่งชาติ” ซึ่งนอกจากเป็นการส่งสัญญาณให้ทุกคนได้หันกลับมาตระหนักถึงคุณค่าความสำคัญของผู้สูงอายุแล้ว ยังหมายความรวมถึงการต้องเพิ่มดีกรีความใส่ใจในการรับมือกับสังคมผู้สูงอายุมากขึ้นด้วย

กรมกิจการผู้สูงอายุ (ผส.) หนึ่งในหน่วยงานสังกัด กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ซึ่งถูกก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 6 มี.ค.2558 ถือเป็นหนึ่งในหน่วยงานหลักที่ต้องรับบทบาทในการตอบโจทย์ข้อใหญ่กับการรับมือ “สังคมผู้สูงอายุ”

นายอนุสันต์ เทียนทอง อธิบดีกรมกิจการผู้สูงอายุ กล่าวว่า จากสถานการณ์ดังกล่าว ผนวกกับความต้องการของผู้สูงอายุที่คาดหวังจะมีสุขภาพแข็งแรง มีความมั่นคงในรายได้ ในที่อยู่อาศัย

มีคุณค่าศักดิ์ศรี การยอมรับจากสังคมและความอบอุ่นในครอบครัว เป็นความท้าทายของ ผส.ที่จะต้องเดินหน้าใน 5 ประเด็นหลัก ประกอบด้วย 1.การเตรียมความพร้อมเพื่อเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างมีคุณภาพ ทั้งการเข้าถึงหลักประกันสุขภาพ รายได้ การออม รวมไปถึงการจัดทำหลักสูตรการเตรียมความพร้อมก่อนเข้าสู่วัยเกษียณ ทั้งในภาคราชการ และเอกชน

2.การส่งเสริมผู้สูงอายุที่ยังมีศักยภาพและแข็งแรงออกสู่สังคมทำกิจกรรม โดยเฉพาะการพัฒนาศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตและส่งเสริมอาชีพผู้สูงอายุ (ศพอส.) ซึ่งขณะนี้ได้จัดตั้งนำร่องไปแล้ว 878 แห่ง หรืออำเภอละ 1 แห่ง เพื่อเป็นศูนย์รวมการจัดกิจกรรมของผู้สูงอายุในชุมชน รวมไปถึงกลุ่มเป้าหมายอื่นๆ โดย ผส.เข้าไปสนับสนุนงบประมาณปรับปรุงซ่อมแซมสถานที่ และสนับสนุนกิจกรรมทั้งกิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิตและกิจกรรมด้านอาชีพ นอกจากนี้ยังมีโรงเรียนผู้สูงอายุ ขณะนี้มีอยู่ 43 แห่ง ใน 22 จังหวัด เป็นโรงเรียนที่มีรูปแบบของการส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตของผู้สูงอายุ

3.การส่งเสริมสวัสดิการและการคุ้มครองสิทธิผู้สูงอายุ โดยเฉพาะการดูแลกลุ่มผู้สูงอายุที่อยู่ในภาวะพึ่งพิง ผู้สูงอายุที่ติดเตียง กลไกสำคัญคือระบบอาสาสมัคร รวมถึงการวางแผนดูแลผู้สูงอายุโดยใช้ชุมชนเป็นฐาน นอกจากนี้ยังสนับสนุนเงินซ่อมแซมบ้านให้ผู้สูงอายุผู้ยากไร้

4.บทบาทการกำหนดนโยบาย มาตรการ และกลไก ผ่านคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ ซึ่งที่ผ่านมาได้ขับเคลื่อนนโยบายต่างๆ อาทิ การจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ การผลักดันให้ พ.ร.บ.กองทุนการออมแห่งชาติขับเคลื่อน รวมไปถึงกลยุทธ์ในการขยายอายุการทำงานของผู้สูงอายุทั้งในภาคราชการ และภาคเอกชน และการเปิดโอกาสให้ผู้สูงอายุมีงานทำในสาขาอาชีพที่ต้องการความเชี่ยวชาญเฉพาะ หรือสาขาขาดแคลน

และ 5. กองทุนผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นแหล่งทุนใช้จ่ายเกี่ยวกับการคุ้มครอง การส่งเสริมและการสนับสนุนผู้สูงอายุให้มีศักยภาพความมั่นคง และมีคุณภาพชีวิตที่ดี

“ไฮไลต์ปีนี้ที่เราตั้งเป้าคือการยกระดับศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตและส่งเสริมอาชีพผู้สูงอายุใน 878 แห่งให้มีความเข้มแข็ง มีมาตรฐาน เกิดการใช้ประโยชน์ในการทำกิจกรรมหลากหลายสนองความ ต้องการของคนทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุได้มีพื้นที่ออกมาทำกิจกรรมร่วมกัน เป็นเหมือนศูนย์กลางที่เชื่อมสัมพันธ์ระหว่างวัย ขณะเดียวกันก็สร้างความตระหนักให้กับชุมชนให้เห็นความสำคัญของผู้สูงอายุ เพราะชุมชนเป็นฐานสำคัญที่สุดที่จะทำให้การดูแลผู้สูงอายุมีประสิทธิภาพโดยชุมชนได้ดูแลกันเอง” นายอนุสันต์ ประกาศเจตนารมณ์ชัดเจน

ขณะที่ ดร.เสนาะ อูนากูล ซึ่งได้รับการประกาศยกย่องให้เป็นผู้สูงอายุแห่งชาติประจำปี 2559 ได้เสนอแนวคิดว่า “สิ่งสำคัญของผู้สูงอายุคือการมีสุขภาพร่างกายและจิตใจที่ดี ทั้งนี้ผู้สูงอายุจำนวนไม่น้อยมีประสบการณ์ ความรู้ที่สั่งสมมามากมาย สามารถนำไปใช้ก่อเกิดประโยชน์แก่ประเทศชาติได้ อย่านึกว่าคนชราไร้ประโยชน์ แต่ให้คิดว่าเป็นของมีค่าที่สามารถช่วยเหลือผู้อื่นได้ โดยเฉพาะการทำงานจิตอาสา ขณะเดียวกันก็ต้องเรียนรู้สิ่งใหม่ๆที่เกิดขึ้น”

ทีมข่าวการพัฒนาสังคม มองว่า การเตรียมความพร้อมรองรับ “สังคมผู้สูงอายุ” ไม่ใช่ภารกิจ บทบาทของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งเท่านั้น แต่เป็นเรื่องของทุกหน่วยงาน และรวมถึงทุกคนในสังคมที่จะต้องตระหนักและให้ความสำคัญเพื่อให้การก้าวสู่วัยสูงอายุเป็นไปอย่างมีคุณภาพ

การเปิดโอกาส เปิดพื้นที่รองรับ และมีทัศนคติเชิงบวก ปัจจัยสำคัญในการเสริมศักยภาพผู้สูงอายุ

เพื่อสร้างสรรค์ผู้สูงอายุไทยให้กลายเป็น “พลัง” ไม่ใช่ “ภาระ”!!!

ทีมข่าวการพัฒนาสังคม

อุทยานฯ คุมเข้มเที่ยวสงกรานต์เน้นความปลอดภัย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/603398

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 9 เม.ย. 2559 05:30

 

นายธัญญา เนติธรรมกุล อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช เปิดเผยว่า ช่วงเทศกาล สงกรานต์ของทุกปีซึ่งเป็นวันหยุดต่อเนื่องหลายวัน ทำให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวจำนวนมากให้ความสนใจเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวและพักผ่อนในพื้นที่เขตอุทยานแห่งชาติฯ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า หรือวนอุทยานต่างๆ ดังนั้น เพื่อเป็นการเตรียม ความพร้อมในการรองรับประชาชนที่จะหลั่งไหลเข้ามาท่องเที่ยว จึงได้สั่งการให้จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการบริการและช่วยเหลือนักท่องเที่ยวขึ้น โดยส่วนกลางมีการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการที่สำนักอุทยานแห่งชาติ ขณะที่ในส่วนภูมิภาค ให้ตั้งศูนย์ปฏิบัติการขึ้นที่สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ 1-16 และสำนักงานสาขาทั่วประเทศ เพื่อคอยดูแลประชาชนตลอด 24 ชั่วโมง รวมทั้งให้มีการเตรียมพร้อมทั้งด้านกำลังพล ยานพาหนะ อุปกรณ์การสื่อสาร อุปกรณ์การเตือนภัย กู้ภัยและอุปกรณ์การปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้อยู่ในสภาพที่พร้อมใช้งานเสมอ และให้มีการประสานความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ โรงพยาบาลและหน่วยกู้ภัยในพื้นที่ สำหรับการรับมือกับสถานการณ์หากเกิดกรณีฉุกเฉิน

อธิบดีกรมอุทยานฯ กล่าวต่อว่า นอกจากการเตรียมพร้อมด้านความปลอดภัยแล้ว ยังได้สั่งการให้อุทยานฯ และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า เตรียม การด้านสถานที่ ทั้งการดูแลบ้านพัก สถานที่กางเต็นท์ ห้องน้ำ เพื่อบริการประชาชนแต่สิ่งสำคัญที่อยากขอฝากประชาชนทุกคน คือให้ปฏิบัติตามกฎระเบียบของแต่ละอุทยานฯอย่างเคร่งครัด และในวันที่ 14 เม.ย.นี้ เปิดให้เที่ยวอุทยานฯฟรีทั่วประเทศด้วย.