โรคกระเพาะ ตอนที่ 3 การดูแลตนเอง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/611417

โดย คณะแพทยศาสตร์ รพ.รามาธิบดี 13 พ.ค. 2559 05:30

 

ศุกร์สุขภาพประจำสัปดาห์นี้เป็นสาระน่ารู้สำหรับผู้ที่เป็นโรคกระเพาะ เพื่อจะได้เป็นแนวทางในการปฏิบัติตนเองได้อย่างถูกวิธีและได้ผล

การดูแลตนเองเมื่อเป็นโรคกระเพาะ

1. รับประทานอาหารให้ตรงเวลา

2. รับประทานอาหารอ่อนที่ย่อยง่ายและควรเคี้ยวอาหารให้ละเอียด

3. หลีกเลี่ยงสิ่งระคายเคืองต่อกระเพาะอาหาร เช่น ยาชุด ยาแก้ปวด ข้อ ยาแก้ปวดแอสไพริน ยาที่มีสเตียรอยด์ น้ำอัดลม อาหารรสจัด เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ อาหารหรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เช่น โกโก้ ชา กาแฟ เป็นต้น

4. งดสูบบุหรี่

5. การรับประทานอาหารในแต่ละมื้อ ไม่ควรมีปริมาณที่มากเกินไป

6. หลีกเลี่ยงความเครียด โดยการดูหนัง ฟังเพลง ทำสมาธิ ฝึกผ่อน คลายกล้ามเนื้อ เป็นต้น

7. หมั่นออกกำลังกาย

8. รับประทานยาลดกรด ยาน้ำ 1 – 2 ช้อนโต๊ะ หรือยาเม็ด 1 – 2 เม็ด (เคี้ยวก่อนกลืน) วันละ 4 ครั้ง เช้า กลางวัน เย็นหลังอาหาร 1 ชั่วโมงและก่อนนอน กรณีมีอาการปวดท้องสามารถรับประทานเพิ่มได้และควรรับประทานยาติดต่อกันนานอย่างน้อย 4 – 8 สัปดาห์

9. ถ้าปฏิบัติตามนี้แล้วอาการไม่ดีขึ้น ควรไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาล เพื่อทำการตรวจวินิจฉัยที่แน่นอน

10. รับประทานยาอย่างสม่ำเสมอตามที่แพทย์แนะนำ

คงได้รับสาระน่ารู้ในการเฝ้าสังเกตอาการหรือป้องกัน ตลอดจนแนวทางการรักษาระดับเบื้องต้นสำหรับคนที่เป็นโรคกระเพาะได้เป็นอย่างดี พบกันในสัปดาห์หน้าสำหรับศุกร์สุขภาพ

คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี

จุดไหนในร่างกายที่ผู้หญิงชอบให้เล้าโลม?

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/616250

โดย FHM 11 พ.ค. 2559 16:01

 

ใครๆ ก็รู้ว่า ผู้หญิงมักไปถึงดวงดาวได้ช้ากว่าผู้ชาย จึงเป็นภาคบังคับที่ผู้ชายจะต้องเข้าใจในสรีระต่างๆ ของฝ่ายหญิง เรื่องจริงของการเปิดสวิตช์อารมณ์รัก!

1.ผู้ชายบางคนรีบร้อนที่จะเมกเลิฟ โดยลืมชิมความหวานจากริมฝีปากของเธอไป รู้ไหม? ผู้หญิงส่วนใหญ่อยากจูบกับชายคนที่ตนเองรักเท่านั้น และผู้หญิงชอบที่จะจูบ…และถูกจูบอย่างดูดดื่ม จะชอนไชลิ้นของคุณเข้าไปเกี่ยวกระหวัดกับลิ้นของเธอ หรือจะบดริมฝีปากอย่างนุ่มนวล ไม่ว่าจะเลือกอย่างไหนก็อย่าลืมมองเข้าไปในดวงตาของเธอด้วย

2.คุณเคยสังเกตไหมว่า ผู้หญิงใช้เวลาแปลงผมและเล่นกับเส้นผมของเธออย่างมีความสุข เธออาบน้ำสระผม อบผม เป่าผม และสางผมอยู่หน้ากระจกเป็นเวลานานๆ นักจิตวิทยาชื่อดัง ดร.เบอร์นี ไซเบอร์กิลด์ กล่าวว่า การช่วยแปรงผมให้เธอก่อนที่จะเป็นของกันและกันนั้น เป็นประสบการณ์ทางเพศที่เร้าใจชนิดหนึ่งลองดูสิ…สัมผัสเสน่หาที่สองที่จะทำให้เธอรักคุณมากขึ้น

3.เต้าที่สวยเต่งตึง ยามจับต้องย่อมนำความตื่นเต้นเร้าใจมาให้ชายผู้เป็นที่รัก และคุณๆ ผู้ชายก็มักจะกระโจนใส่จุดนี้ทันทีที่มีโอกาส แต่เดี๋ยวก่อน! คุณเข้าใจผิดแล้ว ว่าที่คุณทำนั้นจะทำให้เธอมีความสุข ประสบการณ์สอนว่า ผู้หญิงนั้นต้องการเวลาสักระยะหนึ่งก่อนที่เธอจะให้ผู้ชายฟอนเฟ้นในจุดนั้น คุณจะต้องค่อยๆ สัมผัสภูเขาทั้งลูกอย่างนุ่มนวลไปทั่วๆ ก่อนที่จะสัมผัสยอดดอยของเธอ หรือค่อยๆ เริ่มต้นเค้นคลึง

4.คุณอย่าสนใจในทรวงอกของเธอนานเกินไป ลองให้เธอนอนคว่ำ แล้วจูบไล้ส่วนหลังบริเวณใต้เอวลงมาอย่างช้าๆ แล้วคุณจะได้รับการตอบสนองที่แปลกใหม่ ทราบไหมว่า ส่วนหลังด้านล่างของผู้หญิงนั้น เป็นจุดศูนย์รวมเส้นปลายประสาทหลายเส้น การนวดสัมผัสในบริเวณนั้น นอกจากจะทำให้เธอรู้สึกสบายแล้ว ยังช่วยเพิ่มอารมณ์เสน่หาของเธอได้อีกด้วย

5.ถ้าคุณเป็นคนมีความคิดสร้างสรรค์ และแสวงหาแนวทางที่แปลกใหม่ให้แก่ชีวิต ลองจูบหรือดมด้วยความนุ่มนวลในบริเวณต่อไปนี้ของเธอดูสิ บริเวณข้อพับของหัวเข่า ต้นแขนด้านใน ซอกคอ และต้นขาด้านในที่แสนจะนุ่มนวล แล้วคุณจะทราบเองแหละครับว่าสัมผัสเสน่หาที่ห้านี้ ให้ผลตอบแทนอะไรบ้าง!

6.พร้อมหรือยัง? ที่จะสัมผัสก้นบึ้งแห่งความเสน่หาของผู้หญิงผู้มีก้นงอนงาม นอกจากที่เธออยากจะให้คุณสนใจส่วนนั้น และสัมผัสมันอย่างนุ่มนวล ชวนเพิ่มความซาบซ่านในอารมณ์รัก เมื่อมันนิ่มกว่าส่วนอื่นๆ ก็ยิ่งทำให้คุณอยากสัมผัสแล้วสัมผัสอีก

7.ส่วนสงวนของเธอ นับเป็นจุดที่เจ้าของมักให้ความสำคัญ และนับเป็นส่วนที่รอคอยสัมผัสจากคนรัก และชายคนรักผู้รู้ใจของเธอ จะรู้ว่ามีอีกหนึ่งจุดสำคัญที่อยู่ระหว่างปากถ้ำกับทวารหนักของเธอนั้น เป็นจุดที่ควรจะได้รับสัมผัสเสน่หาที่เจ็ด เพราะบริเวณนั้นเป็นบริเวณที่ไวต่อความรู้สึกจากการสัมผัสเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากมีปมประสาทรับความรู้สึกมากระจุกรวมกันอยู่

8.แน่นอนว่าปุ่มคลิตอริส หรือปุ่มกระสันเป็นศูนย์รวมปลายประสาทรับความรู้สึกบริเวณปุ่มนี้ ไม่ว่าจะเป็นการสัมผัสในแบบใด ก็นำมาซึ่งความตื่นเต้น เร้าใจ สุขสม และผ่อนคลายในที่สุด เป็นจุดแรกที่เธอสัมผัสด้วยตนเองในทางขึ้นสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ แต่เป็นจุดที่เมื่อชายคนรักกระตุ้นแล้ว…ประตูสวรรค์จะเปิดให้เขาเข้าไป สัมผัสอย่างลึกซึ้ง จนหลอมร่างกายเป็นหนึ่งเดียวกัน

9.เคยดูดนิ้วเธอไหม ในระหว่างเล้าโลม แม้ว่าจะแปลกไปบ้าง แต่ก็จะทำให้เธอแปลกใจในสัมผัสเสน่หาที่เธอไม่เคยได้รับ และบางคนก็ไม่เคยรู้ โดยเฉพาะนิ้วหัวแม่มือ ถือสัมผัสเสน่หาในตำแหน่งที่เก้า

10.จีสปอต จุดศูย์รวมประสาทแห่งเสน่หาที่แม้ว่าเป็นจุดสัมผัสที่ต้องใช้ความสามารถในการค้นหา เป็นจุดสัมผัสสุดท้ายที่จะส่งเธอไปให้ถึงดวงดาว…

ที่มา – FHM Thailand
www.fhm.in.th

7 อาหารชั้นดี ป้องกันมะเร็ง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/615977

โดย Playboy Thailand 9 พ.ค. 2559 16:01

 

ขึ้นชื่อว่ามะเร็งไม่มีใครอยากที่จะเกี่ยวข้องกับโรคนี้ และเพื่อหลีกเลี่ยงและลดความเสี่ยงกับการเป็นมะเร็ง นอกจากการใช้ชีวิตแล้ว ความใส่ใจต่อเรื่องอาหารการกินถือเป็นสิ่งที่สำคัญ และนี่คือ 7 อาหารที่ว่ากันว่ามีส่วนช่วยในการป้องกันการเป็นมะเร็ง

1. ใบชา

นักวิทยาศาสตร์เอาใบชาผสมในอาหารเลี้ยงสัตว์แล้วให้หนูทดลองที่เป็นมะเร็งกิน ปรากฏว่า หลังจากกินเป็นเวลา 3 สัปดาห์แล้ว เซลล์มะเร็งในตัวหนูลดลง และสารบางชนิดในใบชาสามารถยับยั้ง เซลล์มะเร็งทั่วทั้งตัวได้ ดื่มน้ำชาบ่อยๆ ไม่เพียงแต่ป้องกันโรคเรื้อรังหลายชนิดเท่านั้น หากยังป้องกันมะเร็งได้ด้วย

2. ข้าวโพด

ซึ่งนอกจากมีสรรพคุณป้องกันและช่วยรักษาโรคความดันโลหิตสูง หลอดเลือดแข็งตัวและนิ่วแล้ว ยังมีบทบาทป้องกันมะเร็งด้วย โดยเฉพาะในแป้งข้าวโพดมีกรดอะมีโนมากมาย ป้องกันมะเร็ง และฆ่าเซลล์มะเร็งได้

3. ถั่วเหลือง

มีสารป้องกันมะเร็งอย่างน้อย 5 ชนิด ซึ่งมีชนิดหนึ่งคล้ายคลึงกับยารักษามะเร็งเต้านมที่ใช้กันทั่วไป จึงมีสรรพคุณป้องกันมะเร็งเต้านมได้ดี

4. ผักพวกต้นหอม กระเทียม และหัวหอม

ผลการทดลองในสัตว์ปรากฏว่า ผักประเภทนี้สามารถป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งปอดและมะเร็งตับ โดยเฉพาะในหัวหอมมีสารชนิดหนึ่งสามารถเสริมภูมิคุ้มกันและยับยั้งการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งได้

5. เห็ด

เป็นอาหารป้องกันมะเร็งที่ได้รับความยอมรับกันทั่วไปแล้ว โดยเฉพาะเห็ดหอม สามารถเสริมภูมิต้านทานของเซลล์ร่างกาย คล้ายๆ กับการบำรุงเลือดลม มีข่าวรายงานว่า ชาวเขาที่รับประทานเห็ดทุกวันในเขตบอสเนีย ไม่เคยเป็นหวัดและเป็นมะเร็ง

6. แอปเปิ้ล

ผลการวิจัยพบว่า วิตามินซีในแอปเปิ้ลสามารถยับยั้งการเกิดสารก่อมะเร็ง ทำลายเซลล์มะเร็งและทำให้เซลล์มะเร็งกลายเป็นเซลล์ปกติ ซึ่งฝั่งตะวันตกมีสำนวนว่า รับประทานแอปเปิ้ลวันละลูก ไม่ต้องไปหาหมออีกต่อไป

7. สาหร่ายทะเล

เลือดของผู้ป่วยมะเร็งส่วนใหญ่มีลักษณะเป็นกรด ในสาหร่ายทะเลมีสารแคลเซียมมาก สามารถปรับปรุงความสมดุลระหว่างกรดกับด่างในเลือด จึงป้องกันมะเร็งได้ นอกจากนี้ เนื่องจากเซลลูโรสในสาหร่ายทะเลย่อยยาก เมื่อรับประทานแล้วจะทำให้ปริมาณอุจจาระเพิ่มขึ้น จึงช่วยขับถ่ายสารก่อมะเร็งออกจากร่างกายได้

ที่มา – Playboy Thailand
www.playboy.co.th
www.facebook.com/playboythailand

อากาศร้อน..ระวังเด็ก ร่างกายขาดน้ำ!

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/617184

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 9 พ.ค. 2559 05:15

 

ในช่วงที่อากาศร้อนจัดแบบนี้ การดื่มน้ำเปล่าที่สะอาดมีความสำคัญยิ่ง โดยเฉพาะเด็กๆที่วิ่งเล่นจนสูญเสียเหงื่อมากกว่าปกติ กลุ่มธุรกิจน้ำดื่มเนสท์เล่ จึงได้รณรงค์ให้เห็นความสำคัญของการดื่มน้ำ คืนความสดชื่นให้ร่างกายอยู่เสมอ และไม่ก่อให้เกิดภาวะขาดน้ำ ซึ่งจะเสี่ยงต่อการเกิดอาการต่างๆ พร้อมกับเชิญ “อิสตรี ประจญศานต์” ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการ จากบริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด มาให้ความรู้เพื่อลดความเสี่ยงจากการขาดน้ำในเด็กช่วงอากาศร้อนจัดเช่นนี้

อิสตรี ประจญศานต์

คุณอิสตรี ได้อธิบายว่า เด็กเป็นวัย ที่มีโอกาสขาดน้ำได้ง่าย เพราะเป็นวัยที่สนุกกับการเล่นเพลิน ทำให้มีโอกาสสูงที่จะดื่มน้ำไม่เพียงพอ อีกทั้งการสูญเสียน้ำในรูปแบบต่างๆ เช่น เหงื่อ การหายใจ และปัสสาวะ ก็อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงของภาวะขาดน้ำแบบไม่รู้ตัว หากพบอาการเหล่านี้ แสดงว่าดื่มน้ำไม่เพียงพอ ได้แก่ ผิวหนังแห้ง ขาดความชุ่มชื้น, ริมฝีปากแห้ง, ท้องผูก, ปัสสาวะน้อยลงหรือมีสีเหลืองเข้ม ทำให้ไตไม่สามารถกำจัดของเสียออกจากร่างกายได้ดีพอ, เป็นลมแดดหรืออ่อนเพลีย ซึ่งเกิดจากร่างกายไม่สามารถปรับอุณหภูมิได้ และเกิดการสูญเสียเหงื่อและน้ำไปอย่างมาก ทำให้มีอาการมึนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน เป็นตะคริว มีไข้ ไปจนถึงมีอาการชัก หรือหมดสติ เพื่อลดความเสี่ยงในร่างกายของเด็กๆ ที่จะขาดน้ำโดยไม่รู้ตัว ผู้ปกครองควรดูแลสุขภาพของเด็กด้วยการให้ดื่มน้ำเพื่อคืนความสดชื่นแก่ร่างกาย เริ่มจากเตรียมน้ำดื่มคุณภาพและสะอาดติดตัวไว้เวลาที่พาเด็กๆออกไปเล่น หรือทำกิจกรรมนอกบ้าน เพื่อให้เด็กๆ ดื่มน้ำได้บ่อยขึ้น, จิบน้ำบ่อยๆ ระหว่างวัน และไม่ควรดื่มปริมาณเยอะๆ รวดเดียว เพราะอาจทำให้ร่างกายปรับตัวไม่ทัน ซึ่งอาจเป็นอันตรายได้, ควรให้เด็กๆดื่มน้ำวันละประมาณ 2 ลิตร หรือ 6-8 แก้ว เพื่อช่วยลดอุณหภูมิในร่างกายให้เย็นลง, ดื่มน้ำอุณหภูมิห้องในปริมาณที่มากขึ้น ไม่ควรให้ดื่มน้ำเย็นจัดในช่วงอากาศร้อนจัด เพราะจะทำให้ร่างกายปรับ
ตัวหรือปรับอุณหภูมิไม่ทัน อาจทำ ให้ป่วยได้ง่าย, ไม่ใส่เสื้อผ้ารัดตัว และ เลือกเนื้อผ้าที่โปร่งสบาย เพื่อช่วยในการ ระบายความร้อนได้ง่าย, รับประทานผักและผลไม้ที่มีน้ำมาก ไม่ว่าจะเป็นแตงโม แตงไทย แตงกวา เมล่อน หรือแคนตาลูป หลีกเลี่ยงอาหารจำพวกทอดๆ มันๆ, รับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่และสะอาด เพราะหน้าร้อนเชื้อโรคเจริญเติบโตได้ดี ทำให้อาหารบูดเสียได้ง่าย ซึ่งอาจทำให้เด็กๆมีอาการท้องเสียได้.

ปั่มปั๊ม 21 ครั้งต่อเดือน ปลอดมะเร็งต่อมลูกหมาก

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/616774

โดย หมอดื้อ 8 พ.ค. 2559 05:01

 

ชายเราถึงอายุหนึ่งจะมีปัญหาเรื่อง “ฉี่” กล่าวคือ ยืนตั้งนานไม่ออกซักที ออกก็ไม่ค่อยจะพุ่ง เสร็จแล้วก็เหมือนไม่เสร็จ มีปัญหาจนไม่ค่อยอยากจะฉี่ ยอมอดน้ำเลยลุกลามไปจนเลือดข้นหนืด ไปมีปัญหาต่อไต ต่อหัวใจ อัมพฤกษ์ต่อ

สำหรับบุรุษเพศสาเหตุใหญ่สำคัญคือ ต่อมลูกหมากโต และมีเยอะที่เป็นมะเร็ง ถ้ายังไม่เป็นและยังไม่อยากผ่าตัด คว้านต่อม ก็มียาซึ่งเดิมเป็นยาลดความดัน แต่ความที่ทำให้หูรูดในการฉี่บานได้ เลยเอามาใช้ในการนี้ แต่ควรต้องระวังความดันตก หน้ามืด

ยาประเภทนี้ออกฤทธิ์ต้าน alpha receptor ยาอีกกลุ่มทำให้ต่อมลูกหมากเล็กลง ผ่านกระบวนการยับยั้งฮอร์โมน DHT ที่มาจากฮอร์โมนเพศชาย (5-Alpha Reductase Inhibitor) เช่น ยา Finasteride (Proscar) Dutasteride (Avodart) แต่แถมผลข้างเคียง คือ ลดความต้องการทางเพศ ไม่ค่อยแข็งตัว การขับเคลื่อนน้ำกาม (ejaculation) แปรปรวน…

แต่ที่ต้องระวังเป็นสำคัญคือยากลุ่มหลังนี้ทำให้การตรวจหามะเร็งต่อมลูกหมากที่ชื่อว่า PSA ได้ค่าลดลงจนถึงตรวจไม่เจอ เลยตายใจว่าไม่เป็นมะเร็งทั้งๆที่เป็น

รายงานในปี 2011 พบว่าแม้ยากลุ่มหลังนี้จะลดการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมากได้บ้าง แต่ถ้าเป็นแล้วยากลุ่มนี้อาจกลับทำให้เป็นมะเร็งแบบชนิดที่มีความรุนแรงลุกลามมากขึ้น อาหารเสริมที่อ้างว่าทำให้ต่อมเล็กลงชื่อ Saw Palmetto สกัดจากผลของ Serenoa Repens พบว่าไม่มีประสิทธิภาพจริงและอาจทำให้การตรวจค่ามะเร็ง PSA ได้ผลลบปลอม

ถึงตอนนี้มาถึงคำโบราณที่พูดกันมาในกลุ่มผู้ชายทั้งหลายว่าหนทางสุขภาพ รวมทั้งต่อมลูกหมากกันโต กันมะเร็ง คือ ปฏิบัติการ “ล้างท่อบ่อยๆ” (keep the pipes clean!) และเป็นที่มาของการศึกษาฮือฮาทั่วโลก นับแต่ มีการเสนอผลงานในที่ประชุมประจำปีของสมาคมระบบทางเดินปัสสาวะของอเมริกา และตีพิมพ์ในวารสาร European Urology (29 มีนาคม 2016) ผลการศึกษา จากการติดตามโดยคณะศึกษาทางระบาดวิทยามะเร็งที่บอสตัน ในกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ จำนวน 31,925 คน ตั้งแต่ปี 1992 จนถึง 2010 โดยที่ ณ ปี 1992 อายุเกณฑ์เฉลี่ยอยู่ประมาณที่ 59 ปี ในช่วง 18 ปีของการ ติดตามมี 3,839 รายเกิดมะเร็งต่อมลูกหมาก และ 384 รายรุนแรงถึงชีวิต

ขั้นตอนในการวิเคราะห์เจาะลึกตั้งแต่เริ่มต้นในปี 1992 มีการให้รายงานปริมาณจำนวนของการขับเคลื่อนน้ำกาม (แทนในที่นี้ด้วยปั่มปั๊ม) ในช่วงเวลาตั้งแต่อายุ 20– 29, 30–39, 40–49 และ 50 เป็นต้นไป ทั้งนี้ มีการวิเคราะห์ของปัจจัยอื่นๆที่อาจมีส่วนให้เกิดมะเร็ง

ผลที่น่าตื่นเต้นคือ ความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งจะลดลงถึงประมาณ 20% ถ้ามีอัตราการปั่มปั๊มอยู่ในเกณฑ์อย่างน้อย 21 ครั้งต่อเดือน เมื่อเทียบกับผู้มีปฏิบัติการ 4-7 ครั้งต่อเดือน การลดความเสี่ยงของมะเร็งจะพบได้ในกลุ่มที่มีปฏิบัติการถี่ทั้งทุกช่วงอายุ

เหตุผลที่ใช้อัตรา 4–7 ครั้งต่อเดือนเป็นบรรทัดฐานในการเปรียบเทียบ เนื่องจากมีน้อยมากที่กลุ่มคนในการศึกษานี้ ปฏิบัติในช่วง 0–3 ครั้งต่อเดือนจึงตัดออกไป

สำหรับปั่มปั๊มน้อยกว่า 21 ครั้ง อย่าเพิ่งเสียใจ ถ้าอัตรา 8-12 ครั้งต่อเดือนในช่วง 40-49 ปี จะมีความเสี่ยงลดลง 10% และถ้าอยู่ในอัตรา 13-20 ครั้งต่อเดือน ในช่วงอายุนี้จะมีความเสี่ยงลดลง 20% (มีนัยสำคัญทางสถิติ P trend <.0001)

เมื่อดูลึกละเอียดลงของกลุ่มปั่มปั๊ม 21 ครั้ง พบว่ากลุ่มนี้กลับไม่ค่อยเป็นกลุ่มรักสุขภาพนัก กินเยอะ ดื่มเยอะ มีโอกาสเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มาก และดูดบุหรี่เยอะ แต่กลุ่มนี้ไม่ได้ตายเร็วขึ้น เนื่องจากสาเหตุอื่นๆ

กลไกของการป้องกันมะเร็งต่อม ยังไม่เป็นที่แน่ชัด ทั้งนี้เป็นไปได้ที่ต่อมลูกหมากสะสมสารพิษที่จะก่อมะเร็งไว้ (prostate stagnation) และการขจัดชะล้างโดยการขับเคลื่อนออกไปอาจจะลดความเสี่ยง แต่ทั้งนี้อาจเป็นผลอื่นๆจากการที่มีการขับเคลื่อนหรือการออกกำลังปั่มปั๊มอาจจะปรับเปลี่ยนสภาพสภาวะแวดล้อมในเนื้อเยื่อต่อม อีกทั้งปฏิบัติการอาจก่อให้เกิดความหรรษาสุขอย่างฉับพลันในวินาทีนั้น ก่อให้เกิดการสั่งงานผ่านสมองมายังระบบภูมิคุ้มกัน

จะอย่างไรก็แล้วแต่ 21 ครั้งต่อเดือนเท่ากับมากกว่า 5 ครั้งต่ออาทิตย์ จัดเวลาให้ดีนะครับ อาจจะเสียชีวิตซะก่อนเกิดมะเร็งต่อมลูกหมาก.

หมอดื้อ

มูฟฟฟ…เพื่อสุขภาพที่ดี

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/615957

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 6 พ.ค. 2559 05:45

 

ในยุคที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทต่อชีวิต ผู้คนติดหนึบอยู่กับโลกโซเชียลและหน้าจอคอมพิวเตอร์ จนละเลยกิจกรรมทางกาย ซึ่งไม่ได้หมายถึงการออกกำลังกายและการเล่นกีฬาเท่านั้น แต่รวมไปถึงการเคลื่อนไหวร่างกายที่ต้องใช้กล้ามเนื้อและพลังงานในชีวิตประจำวันทั่วไปด้วย “แอนลีน” ผลิตภัณฑ์นมผงและนมยูเอชที จึงรณรงค์เชิญชวนให้คนไทยทุกคนหัดเคลื่อนไหวร่างกายอย่างคล่องแคล่ว โดยปรับไลฟ์สไตล์ให้แอคทีฟ ห่างไกลจากพฤติกรรมเนือยนิ่ง เพื่อผลดีต่อสุขภาพในระยะยาว โดยชวนสุดยอดเทรนเนอร์ ครูเอก-พงศ์พิพัฒน์ เกียรติประพิณ ครูสอนโยคะ

ชื่อดัง ครูยู-จิรวดี สีสุข อดีตแชมป์โลกมวยสากลหญิงระดับโลก ครูหนุ่ม-ยอดชาย ยมะคุปต์ ครูสอนซุมบ้าแดนซ์คนแรกๆของเมืองไทย มาช่วยกันกระตุ้นการเคลื่อนไหวร่างกายให้ทุกคน ในมหกรรม มูฟสุดมันส์ แอคทีฟสุดพลัง ที่สวนลุมพินี เมื่อเร็วๆนี้
ทั้งนี้การยืดหยุ่นและการทรงตัวที่ดี รวมถึงท่วงท่าที่แข็งแรงเป็น 3 สัญญาณสำคัญของการเคลื่อนไหวที่ดี ให้คนไทยสามารถเคลื่อนไหว ได้อย่างอิสระ มีชีวิตที่แอคทีฟ ทำสิ่งที่อยากทำได้อย่างมีความสุข ซึ่ง ครูเอก-พงศ์พิพัฒน์ เผยถึงความน่าสนใจของการมูฟด้วยโยคะว่า เป็นการฝึกร่างกายกับลมหายใจที่สอดคล้องกัน ซึ่งเมื่อรวมกันก็จะทำให้เกิดสมาธิ ทำให้ร่างกายปลอดโปร่งโล่งขึ้น โยคะช่วยทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรงขึ้นและมีความยืดหยุ่นมากขึ้น ซึ่งจะช่วยให้กล้ามเนื้อเราสบายขึ้นในเวลาที่เราไปทำอย่างอื่นในชีวิตประจำวัน ทั้งยังช่วยกระตุ้นความสามารถในการเคลื่อนไหวของร่างกาย ความรู้สึกปวดเมื่อยที่ตึงอยู่จะคลายออก การทรงตัวของร่างกายจะสมดุลขึ้น พร้อมไปกับระบบการไหลเวียนเลือดและระบบขับถ่ายของเสียที่จะสมดุลขึ้นด้วย

ด้าน ครูหนุ่ม-ยอดชาย กล่าวถึงเรื่องพลังของซุมบ้าแดนซ์ว่า “ซุมบ้า” เป็นคำที่แผลงมาจากคำว่า “แซมบ้า” กับ “ปาร์ตี้” การเต้นซุมบ้า เป็นเรื่องการออกกำลังแบบฟิตเนส แต่มีความสนุกเหมือนไปปาร์ตี้ด้วยเพลงแนวละตินคละกับเพลงอื่นๆ ด้วยท่าทางที่ง่าย สนุก และเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน ทั้งในเรื่องของการสร้างสมดุลความยืดหยุ่น และบุคลิกภาพ ส่วน ครูยู-จิรวดี บอกว่า การเล่นคิกบ็อกซิ่งช่วยทำให้ผู้เล่นมีกล้ามเนื้อหัวใจที่แข็งแรงขึ้น ทำให้ออกกำลังกายได้นานขึ้น เผาผลาญไขมันได้ถึง 700 แคลอรีต่อชั่วโมง จึงเหมาะกับคนที่ต้องการลดน้ำหนัก ทั้งยังช่วยกระชับกล้ามเนื้อทุกส่วนอีกด้วย.

โรคกระเพาะ ตอนที่ 2 อาการของโรค

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/611410

โดย คณะแพทยศาสตร์ รพ.รามาธิบดี 6 พ.ค. 2559 05:30

 

ศุกร์สุขภาพประจำสัปดาห์นี้ขอนำท่านผู้ที่สนใจและติดตามสาระน่ารู้ที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพได้ทราบถึงอาการของโรคกระเพาะ เพื่อเป็นแนวทางในการป้องกันรักษาได้ทันท่วงที

อาการของโรคกระเพาะ

มีอาการปวดแสบ ปวดตื้อ จุกเสียด หรือจุกแน่นบริเวณใต้ลิ้นปี่ อาการปวดเหล่านี้เป็นได้ทั้งก่อนรับประทานอาหารและหลังรับประทานอาหารใหม่ๆ หรือขณะท้องว่าง เช่น เวลาหิวข้าว ตอนเช้ามืดหรือตอนดึกๆ ก็ปวดท้องได้เช่นกัน อาการปวดจะเป็นๆ หายๆ เป็นได้วันละหลายๆ ครั้ง หรือตามมื้ออาหาร และแต่ละครั้งที่ปวดจะกินเวลานาน ประมาณ 15-30 นาที โดยอาการปวดจะบรรเทาลงเมื่อรับประทานอาหาร ดื่มนม หรือรับประทานยาลดกรด

อาการแทรกซ้อน

โรคกระเพาะหากได้รับการรักษาและดูแลตนเองให้ถูกต้อง ส่วนมากก็จะมีโอกาสหาย แต่ถ้าไม่ได้รับการดูแลรักษาที่ถูกต้องจนมีอาการเรื้อรังอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายแก่ชีวิต ดังต่อไปนี้

– เลือดออกในกระเพาะอาหาร โดยสังเกตได้จากมีการถ่ายอุจจาระสีดำ อาเจียนเป็นเลือด หรืออาเจียนมีลักษณะคล้ายผงกาแฟบดปนอยู่

– กระเพาะ-ลำไส้เป็นแผลทะลุ โดยจะมีอาการปวดท้องรุนแรงทันที ทันใด หน้าท้องแข็ง และกดเจ็บ

– กระเพาะ-ลำไส้ตีบตัน สังเกตได้จากอาการปวดท้อง รับประทาน อาหารได้น้อย อิ่มเร็ว และอาเจียนออกมาเป็นอาหารที่ไม่ย่อยหลังรับ ประทานอาหาร

คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี

รู้ให้จริง ค่อยอวดว่าเจ๋ง! 10 ศัพท์เซ็กซ์บอกเรื่องลับ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/611868

โดย FHM 4 พ.ค. 2559 16:01

 

10 คำศัพท์ สำหรับป้องกันอาการมากความ และเป็นสัญญาณลับที่คุณควรเรียนรู้ไว้ เผื่อหลงไปผจญภัยในต่างแดน!

1. เฟรนช์ คิส (French kiss) หมายถึง การจูบอย่างดื่มด่ำ มีการใช้ลิ้นพันกันไปพันกันมา

2. ออสซี่ คิส (Aussie kiss) หมายถึง การทำออรัลเซ็กซ์

3. บอลส์ ออน ชิน (Balls on chin) หมายถึง การทำออรัลเซ็กซ์กับลูกบอล (อัณฑะ) ของฝ่ายชาย

4. บานาน่า จุ๊ยซ์ (Banana juice) ไม่ใช่ชื่อของค็อกเทลและน้ำผลไม้ แต่หมายถึง น้ำรักของฝ่ายชายที่หลั่งออกมา!

5. เมนธอล (Menthol) หมายถึง การทำออรัลเซ็กซ์ ขณะในปากมีลูกอมรสมินต์ หรือทำให้ปากซาบซ่าด้วยมินต์ก่อนการทำรัก

6. ชีส เกรเตอร์ (Cheese grater) คือ อุปกรณ์สำหรับขูดเนยแข็ง แต่ในเซ็กซ์นั้นหมายถึง การทำออรัลเซ็กซ์จนทำให้ฝ่ายชายเกิดความเจ็บปวด

7. คลิตเตอเรเจอร์ (Cliterature) หมายถึง นิตยสารปลุกใจเสือป่า

8. แบร์แบ็ค (Bareback) หมายถึง การร่วมรักโดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย

9. ฟรอทเทจ (Frottage) หมายถึง การร่วมรักแบบไม่ได้สอดใส่ แต่ด้วยการถูไถไปมา ทั้งที่เสื้อผ้าอาจยังไม่ได้ถอด

10. ทอส สลัด (Toss salad) หมายถึง การใช้ลิ้นกระตุ้นอารมณ์รักทางประตูหลัง

ที่มา – FHM Thailand
www.fhm.in.th

7 ข้อผิดพลาดที่มักจะเกิดขึ้นบนเตียง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/611854

โดย Playboy Thailand 2 พ.ค. 2559 16:01

 

การมีเซ็กซ์กับใครสักคนไม่ใช่แค่ทำให้จบๆ กันไป แต่มันยังมีเรื่องของรายละเอียดปลีกย่อยอีกมากมาย และนี่คือ สิ่งที่ถูกมองว่าเป็นข้อผิดพลาดที่มักจะเกิดขึ้นเสมอในช่วงก่อน ระหว่าง หรือหลังมีเซ็กซ์

1.ไม่ค่อยคุยกัน : อย่างที่เกริ่นเซ็กซ์เป็นมากกว่าเรื่องตรงนั้น และหลายคู่ พอทำอะไรเสร็จก็ต่างคนต่างแยกย้าย แล้วอย่างนี้มันจะมีความประทับใจกันตรงไหนล่ะ

2.รุนแรงเกินไป : ฝ่ายชายมักจะยึดติดกับหนังโป๊เลยคิดว่าผู้หญิงส่วนใหญ่เป็นแบบนั้น จริงๆ แล้วเธอชอบให้คุณทะนุถนอมมากกว่าการเล่นโหดๆ กับเธอ

3.ไม่ให้ความร่วมมือ : อาจจะงานหนัก หรือเหนื่อยมา ไม่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมักจะชอบปฏิเสธ ซึ่งในโอกาสต่อไป คุณอาจจะโดนกลับแบบนี้ได้เช่นกัน

4.ไม่สนใจกับคนใกล้ตัว : เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นบ่อย โดยเฉพาะกับยุคปัจจุบัน ที่คนติดมือถืออย่างกับติดบุหรี่ ทำให้บางครั้งสิ่งพวกนี้เบี่ยงเบนความสนใจระหว่างที่คุณหรือเธอพยายามที่จะมีอะไรกัน

5.ไม่สนใจสุขอนามัย : กลิ่นกาย กลิ่นตัว หรือกลิ่นตรงนั้น มันไม่ใช่ความประทับใจอย่างแน่นอน

6.ลืมเล้าโลม : หนังฮอลลีวูดกลายเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีในเรื่องนี้และทำให้ชายหนุ่มหลายคนมาถึงก็บรรเลงเพลงรักเลย แล้วสุดท้ายก็ไม่รอด

7.แสร้งทำ : ถือเป็นสิ่งที่ไม่น่าให้อภัย เพราะสุดท้ายแล้วผลกระทบก็จะวนกลับมาถึงตัวคุณเอง ชอบอะไร หรือไม่ชอบอะไร ก็ให้บอกกันตรงๆ จะดีกว่า

ที่มา – Playboy Thailand
www.playboy.co.th
www.facebook.com/playboythailand

ยิ่งฟิต สมองยิ่งรุ่ง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/613482

โดย หมอดื้อ 1 พ.ค. 2559 05:01

 

มองไปทางไหนตอนนี้จะเริ่มเห็นคนปลายวัยกลางคน (รวมหมอด้วย) และคนแก่กันเต็มไปหมด

เจริญวัยขึ้นตามลำดับ แต่สุขภาพถดถอยเสื่อมไปจนแม้แต่สมองก็ไม่เว้น ที่เห็นประกาศ พ่อ แม่ ป้า อา หายจากบ้านเป็นเพราะหลงทาง จำทางไม่ได้จากสมองเสื่อม สมองฟีบ

ทั้งนี้ จำนวนคนหนุ่ม คนสาว วัยที่จะเป็นกำลังของชาติ ตามสัดส่วน จะน้อยลงเรื่อยๆ และประเทศต้องแบกรับคนวัยเพชรที่สุขภาพไม่ดีนัก

ซึ่งก็ยังพอทำเนา แต่ถ้าสมองเสื่อม ช่วยตัวเองไม่ได้ ต้องการพี่เลี้ยงดูแลตลอดเป็นปีๆจนจากไป เห็นภาพแล้วนะครับ ฉะนั้นต้องชราแต่ยังแจ๋ว และรวมทั้งต้องแจ๋วตั้งแต่อายุยังน้อย เพราะโรคทั้งหลายเพาะบ่มเป็นปีๆกว่าจะออกอาการ โดยเฉพาะสมองเสื่อมจะเพาะพิษในสมองเป็นสิบถึงสิบห้าปี

“สมองเสื่อม” ต่างจาก “สมองฝ่อ” ตามอายุ โดยที่ตามอายุที่มากขึ้นจะฝ่อส่วนหน้าผาก โดยหน้าที่ของสมองรวมทั้งความจำ การตัดสินใจยังปกติหรือพร่องบ้างนิดหน่อยพอรับได้ สมองฝ่อ สมองฟีบซึ่งมีอัลไซเมอร์เป็นผู้ร้ายสำคัญ จะมีการฝ่อที่สมองความจำปัจจุบัน ทางกลีบขมับทางด้านใน และเมื่อเป็นมากขึ้นจากลืมว่าพูดอะไร ทำอะไร ไปเมื่อครู่นี้ ก็จะลามไปสมองกลีบขมับด้านนอก ไปสมองใหญ่ด้านหน้า ด้านข้าง-หลัง กระทบการคัดหาคำพูด การใช้ภาษา ความเข้าใจ ไปจนถึงอารมณ์และพฤติกรรมเปลี่ยนแปลง

สิ่งที่สังเกตได้ง่ายๆจากคนที่ใช้มือถือ กดนู่นดูนี่คราวนี้กดเบอร์ตามที่บอกงกๆเงิ่นๆ จะหาฟังก์ชันที่เคยทำประจำไม่ได้ คนที่เคยทำกับข้าวอร่อยมานานเป็นสิบๆปี กลับทำผัด ทำแกง ลืมหวาน ใส่เค็มมากไป รุนแรงจนกระบวนการหุงข้าว ติดเตาตั้งกระทะ สับสนไปหมด

ลองสังเกตเมื่อไหร่คนที่บ้านทำอาหารรสชาติประหลาดไป ทำถ้วยชามในครัวตกแตก มีดบาดบ่อย น้ำร้อนลวก และถามซ้ำถามซาก เป็นต้น ท่าจะแย่แน่แล้ว กระบวนการชะลอสมองฟีบทำได้ พิสูจน์แล้ว นั่นคือ ออกกำลังกายและออกกำลังกายสมอง ดังที่หมอเคยเล่าให้ฟังตอน “เซลล์สมองงอกใหม่ได้” ทั้งนี้ จะมีเซลล์ใหม่เกิดขึ้นมาเรื่อยๆ แม้ว่าจะปริมาณน้อยกว่าที่ตาย แต่ก็ยังดีกว่าที่ไม่มีใหม่เลย การจะให้เซลล์เด็กๆที่เกิดใหม่ กลายเป็นเซลล์สมบูรณ์ ทำงานประสานกับเซลล์เดิมได้ ต้องประสานการออกกำลังกายและใช้สมองร่วมกัน

อย่างไรก็ตาม ข่าวดีล่าสุดในวารสารอัลไซเมอร์ (2016) พบว่าการฟิตร่างกายออกกำลังกาย ไม่ว่าจะทำท่าไหนก็ตาม จากเดิน วิ่ง จ๊อกกิ้ง ขี่จักรยาน ว่ายน้ำ ตีแบด เทนนิส เต้นระบำ หรือเล่นกอล์ฟ (แต่กอล์ฟเมืองไทย หมอว่าไม่รุ่ง มีสาวๆแบกถุง เดินนิดเดียว แถมกินเลี้ยงหลังเล่นอีก) แต่ต้องแบกถุงเอง สามารถชะลอความฝ่อของสมองจนถึงสมองใหญ่ขึ้นได้

การศึกษานี้ทำที่สหรัฐฯ โดยติดตามคนจำนวน 876 ราย อายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป ทั้งนี้ วัดระดับพุทธิปัญหาของสมองเป็นระยะ แถมด้วยทำคอมพิวเตอร์สมองสนามแม่เหล็กไฟฟ้า แบบวัดปริมาณเนื้อสมองโดยละเอียดตามติดไป 5 ปี ผลปรากฏว่ายิ่งเผาผลาญพลังงานมากเท่าไหร่

ในการออกกำลัง จะชะลอสมองหดได้ โดยเฉพาะในส่วน posterior cingulate gyrus ส่วน precuneus และสมองส่วนท้ายทอย cerebellar vermis สมองส่วนท้ายทอย cerebellum คนส่วนใหญ่จะไม่ให้ความสนใจและไม่คิดว่ามีหน้าที่สัมพันธ์กับอัลไซเมอร์ แต่แท้จริงแล้วเกี่ยวข้องกับระบบความจำหลายส่วน ไม่ใช่แต่เรื่องการทรงตัวรักษาสมดุลอย่างเดียว

การเผาผลาญในระดับ 500 แคลอรีให้ผลดีมากในการชะลออัลไซเมอร์ และลดความเสี่ยงไปถึง 2 เท่า ถ้าออกกำลังเหยาะแหยะ เช่นตีกอล์ฟอย่างหมอว่า (หมอตีไม่เป็นนะครับ) เผาไป 50 แคลอรี จะไม่เห็นผลใดๆทั้งสิ้น ทั้งนี้ ผลประโยชน์ที่ได้จะไม่ขึ้นกับปัจจัยด้านอายุ ระดับการศึกษา ระดับสติปัญญา

นอกจากส่วนสมองที่กล่าวไปแล้วว่าได้รับประโยชน์โดยตรง สมองกลีบขมับด้านใน Hippocampus ซึ่งเกี่ยวกับการเก็บความจำปัจจุบัน ยังมีขนาดใหญ่ขึ้น ทั้งนี้ อาจเป็นจากการที่ออกกำลังกายเสริมสร้างระดับของ สารปกป้องสมอง BDNF (Brain–Derived Neurotrophic Factor) รวมทั้งทำให้เลือดลมเดินสะดวก ส่งออกซิเจนไปสมองเยอะขึ้น

ตั้งแต่ที่พิมพ์บทความสุขภาพหรรษามาจนถึงวันนี้ หมอเรียนว่าอย่าท้อ อย่าคิดเอาทางลัด อย่าคิดว่ารวยแล้วเป็นอะไรไม่ตาย ไม่พิการ ทุกอย่างไม่ได้ขึ้นกับหมอ ไม่ได้ขึ้นกับยาทั้งหมด ยาและหมออาจช่วยได้ระดับหนึ่ง การปรับพฤติกรรม ออกกำลังกาย เลือกอาหารเข้าใกล้มังสวิรัติ จะช่วยให้ชีวิตยืนยาว แบบไม่เป็นภาระให้คนอื่นๆ ทั้งนี้ ที่ว่าไปทั้งหมดต้องมีความสุขในการทำ มีความสุขในการให้ และการอยู่ด้วยกันอย่างอบอุ่นครับ.

หมอดื้อ