กำเนิดสมองซีกขวาและซีกซ้าย (ตอน 2)

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/576954

โดย หมอดื้อ 14 ก.พ. 2559 05:01

 

จึงน่าจะเป็นไปได้ว่า…การประนีประนอมทั้งสองทฤษฎี กล่าวคือ “สมองสองซีก”…ที่มีหน้าที่จำเพาะเกิดมาแต่เก่าก่อนรวมทั้งการพัฒนาอีกระดับมาเกิดในยุคมีมนุษย์ อาจจะอธิบายสมองสองซีกในคนได้ดียิ่งขึ้น

การสื่อสารกับ “สมองซีกซ้าย”…มาจากมรดกทางวิวัฒนาการของการใช้มือขวา ผ่านทางการปรับพฤติกรรมเรื่องอาหารของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชั้นสูง อย่างไรก็ตาม แม้แต่ “สมองภาษา (the language brain)” ที่จำเพาะของสมองซีกซ้าย เช่น การสื่อสารทั้งภาษาพูด และภาษากาย ความสามารถในการสื่อสารเหล่านั้นไม่ได้เริ่มเกิดขึ้นในมนุษย์

สมองด้านซ้าย…ควบคุมการร้องเพลงในนก ส่วนในสิงโตทะเล สุนัขและลิงนั้น สมองซีกซ้ายคุมการรับรู้ของการร้องเรียกของสัตว์ในสายพันธุ์เดียวกัน ลิงมาร์โมเสทจะเปิดปากร้องเรียกเพื่อนโดยเปิดข้างขวากว้างกว่าข้างซ้าย มนุษย์เราก็ทำแบบเดียวกันในขณะพูด ซึ่งเกิดจากการกระตุ้นของหน้าทางด้านขวามากกว่า โดยสมองซีกซ้ายนั่นเอง ในสัตว์บางประเภทการตอบสนองด้วยเสียงในสถานการณ์ที่มีอารมณ์ร่วมมาก ก็พบว่ามีสัมพันธ์กับสมองซีกซ้ายด้วย ถึงแม้ว่าบางคนจะคิดว่าน่าจะเป็นซีกขวาก็ตาม

ตัวอย่างเช่น เมื่อกบตัวผู้โดนล้อมด้วยคู่ต่อสู้ มันจะส่งเสียงร้องจากการควบคุมด้วยสมองซีกซ้าย เช่นเดียวกันกับในหนู ที่หนูแรกเกิดจะส่งเสียงขอความช่วยเหลือ หรือหนูเกอบิลจะร้องเรียกในเวลาหาคู่ ซึ่งกลุ่มนี้อาจเป็นกลุ่มที่ยกเว้น ในมนุษย์ ลิง และสัตว์ส่วนใหญ่ สมองซีกขวาต่างหากที่เป็นตัวควบคุม เสียงในสถานการณ์ที่มีอารมณ์ร่วมมาก ในขณะที่สมองซีกซ้ายก็ติดอยู่กับงานที่ทำประจำ การสื่อสารทางกายในมนุษย์ก็มีวิวัฒนาการมาเหมือนกัน ลิงชิมแปนซีไม่เพียงแต่ใช้มือขวาจับของ แต่ยังใช้แสดงท่าทางด้วย เช่นเดียวกับกอริลลา ที่จะใช้มือในการสื่อสารร่วมกับศีรษะและปากของมัน การสื่อสารของลิงบาบูนใช้ด้วยการตบพื้น

ความสำคัญของวิวัฒนาการชัดเจนขึ้นเมื่อพบว่า มนุษย์ก็แสดงออกทางภาษากายโดยใช้มือขวามากกว่าเช่นกัน พฤติกรรมเกี่ยวเนื่องกับความถนัดของมือพบตั้งแต่บรรพบุรุษมนุษย์ที่คล้ายลิง ซึ่งเกิดก่อนมนุษย์จะถือกำเนิดขึ้น อาจจะตั้งแต่ 40 ล้านปีก่อน

วิวัฒนาการทางภาษายังคงยากที่จะตอบคำถามพื้นฐานที่ว่า พฤติกรรมด้านการหาอาหาร การออกเสียง การสื่อสารโดยใช้มือขวา ที่ถูกควบคุมโดยสมองซีกซ้ายนี้ ได้พัฒนามาสู่การใช้ภาษาได้อย่างไร มีสมมติฐานว่า เริ่มจากพยางค์ ซึ่งประกอบด้วยพยัญชนะและสระ ซึ่งพัฒนามาจากการขยับกรามส่วนล่าง ซึ่งใช้ในการเคี้ยว การดูดน้ำ และการเลียอาหาร ซึ่งทำให้เกิดการขมุบขมิบปาก ซึ่งกลายเป็นสัญญาณในการสื่อสารขั้นพื้นฐาน ต่อมาการออกเสียงจากหลอดเสียงก็มาผสมผสานกับการขยับปากให้เป็นพยางค์ที่ออกเสียงได้ พยางค์อาจจะใช้เพื่อเป็นสัญลักษณ์ในความหมายเฉพาะตัวแล้วก็สร้างมาเป็นคำ สุดท้ายก็เป็นความสามารถในการสร้างประโยค ซึ่งก็เป็นการรวมอย่างน้อย “ประธาน” กับ “กริยา” ซึ่งก็พัฒนาการมาเป็นภาษานั่นเอง

“สมองซีกขวา”…เพื่อพิสูจน์สมมติฐานในส่วนหลัง จึงจำเป็นต้องดูว่าหลักฐานน่าเชื่อถือเพียงไร ที่กล่าวว่าในสัตว์มีกระดูกสันหลังยุคแรกมีวิวัฒนาการโดยสมองซีกขวาสำคัญในด้านการตรวจ และตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้นเหนือความคาดหมาย และความจำเพาะของสมองซีกขวามีวิวัฒนาการ และเปลี่ยนแปลงรูปแบบไปด้วยวิธีใด การค้นพบที่สนับสนุนทฤษฎีนี้มาจากการศึกษาปฏิกิริยาของผู้ล่าในสัตว์หลายประเภท

โดยรวมเหตุการณ์ที่เหนือความคาดหมายมากที่สุดในสิ่งแวดล้อมของสัตว์มีกระดูกสันหลังยุคโบราณก็คือ การปรากฏตัวของผู้ล่าที่อาจทำให้สัตว์เหล่านั้นเป็นอันตรายถึงชีวิต

ในปลา สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ สัตว์ปีก และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม จะตอบสนองด้วยการหลีกเลี่ยงผู้ล่า ซึ่งมองเห็นจากทางซ้ายของลานสายตา ซึ่งหมายถึงด้านขวาของสมอง หลักฐานในมนุษย์มาจากการศึกษาภาพถ่ายทางสมอง มนุษย์ได้มีกระบวนการทางสมองในด้านระบบเตือนภัยในสมองซีกขวา ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับตัวกระตุ้นที่สัมพันธ์กับพฤติกรรมที่เหนือความคาดหมาย

กล่าวง่ายๆก็คือ สิ่งกระตุ้นที่บอกว่าอันตรายอยู่ข้างหน้า การมีระบบเตือนภัยช่วยให้มนุษย์เรามีเหตุผลในพฤติกรรมที่ดูเหมือนจะอธิบายได้ยากในห้องปฏิบัติการ คนที่ถนัดขวาจะตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้นเหนือความคาดหมายได้เร็วกว่าคนที่ถนัดซ้าย

แม้แต่ในเหตุการณ์ที่ไม่ก่ออันตราย สัตว์มีกระดูกสันหลังหลายชนิดก็เฝ้าระวังผู้ล่าด้วยตาซ้าย พฤติกรรมที่สมองซีกขวาจำเพาะต่อการระวังภัยนี้ขยายไปยังพฤติกรรมที่ก้าวร้าวรุนแรงด้วย สัตว์พวกคางคก กิ้งก่าชามิเลียน ไก่ และลิงบาบูน มีแนวโน้มที่จะทำอันตรายสัตว์ตัวอื่นในสายพันธุ์เดียวกัน โดยใช้ด้านซ้ายมากกว่า

ในมนุษย์นั้น พฤติกรรมระวังภัย และหลบหลีกนี้ได้พัฒนามาสู่อารมณ์ทางลบหลายประการ แพทย์ในศตวรรษที่ 19 ได้สังเกตผู้ป่วยที่มาพบด้วยอาการอ่อนแรงของแขนขา ที่สัมพันธ์กับอารมณ์ (hysterical limb paralysis) เป็นมากในด้านซ้ายมากกว่าด้านขวา มีหลักฐานที่แสดงออกว่าการควบคุมสมองซีกขวาในการตะโกน หรือกรีดร้องด้วยอารมณ์นั้น แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับเสียงที่ออกมาตามปกติที่ควบคุมโดยสมองซีกซ้าย นอกจากนี้คนที่มักมีอารมณ์ซึมเศร้าจะพบมากหลังจากที่สมองซีกซ้ายถูกทำลายมากกว่าซีกขวา โดยที่คนที่มีอารมณ์ซึมเศร้าเรื้อรังนั้น สมองซีกขวาจะทำงานมากกว่าสมองซีกซ้าย การจดจำผู้อื่นในสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง สัตว์มีกระดูกสันหลังยุคแรกต้องปรับตัวอย่างรวดเร็วทั้งในการอยู่ร่วมกันกับพวกของมันเอง และการปรากฏตัวของผู้ล่า สมองซีกขวาของปลา และนกจะรับรู้ และคอยตรวจสอบพฤติกรรมสัตว์ตัวอื่นที่อาศัยร่วมกัน ซึ่งอาจจะต้องใช้ปฏิกิริยาตอบสนองอย่างรวดเร็ว ดังนั้นหน้าที่ของสมองซีกขวาในการรับรู้หน้าตาก็ได้รับการถ่ายทอดจากสัตว์มีกระดูกสันหลังชั้นต้นนั่นเอง

ตัวอย่างเช่น มีแค่ปลาไม่กี่สายพันธุ์ในสัตว์มีกระดูกสันหลังยุคแรก ที่สามารถจดจำ ปลาตัวอื่นๆได้ แต่นกโดยทั่วไปสามารถใช้ความสามารถของสมองซีกขวาในการจดจำนกตัวอื่นได้ แกะสามารถจดจำหน้าตาของตัวอื่นๆรวมทั้งมนุษย์ โดยสมองซีกขวามีส่วนสำคัญมาก พฤติกรรมที่คล้ายคลึงกันนี้พบได้ชัดในลิง ความพิเศษของสมองซีกขวาในการจดจำหน้าของคน เมื่อผิดปกติเรียกว่า “Prosopagnosia”.

หมอดื้อ

อย่าปล่อยให้ “น้ำหนักตัว” ทำความรักคุณพัง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/575125

โดย Women’s Health 12 ก.พ. 2559 16:01

 


อย่าปล่อยให้น้ำหนักตัวทำความรักคุณพัง เพราะจากการศึกษาล่าสุดพบว่า ความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นมีสิทธิ์สั่นคลอนหากรอบเอวของคุณทั้งสองขยายตัวหรือลดไซส์!

เรื่องมีอยู่ว่า…เมื่อคืนฉันนั่งตักแฟนเหมือนทุกครั้งที่เราอยู่ด้วยกันในผับท่ามกลางเพื่อนฝูง หลังกระดกเบียร์ไปหลายอึกใหญ่จนเริ่มรู้สึกกรึ่มๆ นึกอยากอ้อนแฟนด้วยถ้อยคำหวานๆ (บางครั้งก็แฝงความซุกซน) โดยกระซิบข้างหูอีกฝ่ายเบาๆ ซึ่งปกติเขาจะหยอกกลับด้วยการบีบบั้นท้าย เขาทำแบบนี้มาตั้งแต่เริ่มจีบกันใหม่ๆ แต่หนนี้กลับไม่ทำอย่างงั้น แทนที่จะหยิกบั้นท้ายเหมือนเคย เขากลับขยุ้มพุงโย้ของฉันแทน

โอเค ฉันยอมรับว่าตั้งแต่เปลี่ยนจากการเข้าคลาสโยคะ มาบำบัดด้วยค็อกเทลร่วมกับคนรัก น้ำหนักตัวเริ่มพุ่งขึ้นเรื่อยๆ เมื่อน้ำหนักแห่งความสุขพุ่งพรวด ซึ่งเป็นผลพวงมาจากชีวิตรักอันสุขี (เหมือนกับที่ แชนนิ่ง เททัมเรียกว่ามันคือ Fappy ที่มาจาก fat และ happy) แต่ก็อีกนั่นแหละ การที่เขาบอกว่าชอบรูปร่างใหม่ของฉัน ไม่ได้ช่วยให้เลิกประหม่าหรือรู้สึกดีขึ้นสักนิด และการเปลี่ยนมาเอ็นดูรอบเอวแทน ไม่ได้ทำให้ฉันมั่นใจขึ้นแม้แต่น้อย

เรื่องนี้ไม่ใช่สิ่งใหม่ ดังที่ซาร่าห์ วาร์นีย์ (Sarah Varney) เผยไว้ในหนังสือของเธอ XL Love: How the Obesity Crisis Is Complicating America’s Love Life หลักฐานชิ้นนี้แสดงให้เห็นว่า เมื่อใครคนหนึ่งอ้วนขึ้นหรือผอมลง มักส่งผลต่อความสัมพันธ์ จากที่เคยเหนียวแน่นกลายเป็นเปราะบาง

แต่ก็ไม่เสมอไป เพราะงานวิจัยหลายชิ้นยังมีข้อสรุปขัดแย้ง เมื่อหลายคู่สามารถประคับประคองชีวิตรักให้อยู่รอด ไม่เหวี่ยงไป-มาตามน้ำหนักตัวที่ขึ้นๆ ลงๆ

ต้องอาศัยความร่วมมือร่วมใจ

ใครๆ ก็รู้ว่า ความรักส่งผลทั้งทางกายและใจ เรื่องนี้ผู้เชี่ยวชาญป้ายความผิดให้พฤติกรรมปรับตัวตามคนรักที่ปรับตัวเข้าหาอีกฝ่ายจนเกิดพฤติกรรมร่วมกันทั้งในแง่ดีและเลวร้าย (เช่น เปลี่ยนพฤติกรรมการกิน หรือเปลี่ยนไปดูรายการทีวีเดียวกับแฟน) เรียกว่าเป็นการรวมโลกเข้าด้วยกันเพื่อสร้างความใกล้ชิด นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมคู่รักที่แฮปปี้มักอ้วนเอาๆ แล้วถ้าไม่ใช่แค่น้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น แต่เป็นพฤติกรรมแย่ๆ พากันเสียทั้งคู่แบบนี้ไม่โอเคนะ ข้อนี้ เจนน์ เบอร์แมน (Jenn Berman) คุณหมอเจ้าของรายการ VH1’S Couple Therapy with Dr.Jenn ลงความเห็นว่า “คู่ครองควรส่งเสริมกันและกันในทางบวก ไม่ใช่พากันลงเหวลงคู” คำแนะนำของเธอไม่ได้จำกัดแค่คู่รัก แต่หมายรวมถึงเวลาที่คนเราอยู่ด้วยกันแล้วพากันทำเรื่องไม่เข้าท่า เพราะคิดว่าเอาเถอะ ไม่เป็นไรหรอกน่า หากคุณทั้งสองรู้ตัวว่าอะไรๆ ชักเลยเถิดแล้วอยากกลับไปใช้ชีวิตที่เฮลตี้เหมือนเดิม หมอเจนน์แนะนำให้ลองตั้งเป้าหมายที่ต้องร่วมกันพิชิต เช่น เดินหรือวิ่งเรียกเหงื่อสัก 15 นาที ทุกเช้าวันเสาร์หรือแทนที่จะชวนกันไปกินข้าวนอกบ้าน ลองหันมาทำกับข้าวกินเองสักสัปดาห์ละ 2 ครั้งจะดีไม่น้อย

โลกช่างไม่ยุติธรรมกับผู้หญิง

ฟังดูไม่ยุติธรรมเลย แต่คงต้องบอกว่าถ้าคุณทั้งสองน้ำหนักตัวขึ้นเหมือนกันยังพอรับมือไหว แต่ถ้าฝ่ายหญิงอ้วนขึ้นอยู่คนเดียวล่ะก็ปัญหาใหญ่ ผลศึกษาที่ตีพิมพ์ลง Social Psychological and Personality Science พบว่า สามีภรรยาที่ครองคู่กันอย่างราบรื่นนั้น ฝ่ายหญิงมักมี BMI ต่ำกว่าสามี แม้ว่าเธอจะไม่ได้ผอมเพรียวก็ตาม เบนจามิน คาร์นีย์ (Benjamin Karney) คุณหมอด้าน Social Psychology ที่มหาวิทยาลัย UCLA, ผู้อำนวยการร่วมของงานวิจัยประจำสถาบัน UCLA Relationship Institute กล่าวว่า “การที่ภรรยาน้ำหนักตัวน้อยกว่า ทำให้ฝ่ายชายเชื่อว่าเขาเลือกคนไม่ผิด”

ดังนั้นถ้าคุณเป็นฝ่ายที่น้ำหนักมากกว่าจะรับมืออย่างไรดี นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เพราะขนาดตัวไม่ได้ส่งผลต่อความรักเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเรื่องเซ็กซ์และการสื่อสาร จริงๆ แล้วสิ่งสำคัญยิ่งกว่าการเปรียบเทียบหุ่นคือ ความรู้สึกที่คุณมีต่อรูปร่างตนเอง เพราะมีการศึกษาค้นพบว่า ผู้หญิงไม่ว่าตัวเล็กไปหรือมีความรู้สึกไม่ดีเกี่ยวกับรูปร่าง มักไม่ค่อยสุขสมกับการสมสู่ เพราะคอยแต่พะวงเรื่องหุ่นแทนที่จะเอ็นจอยกับเซ็กซ์ตรงหน้า จึงจำเป็นที่เราควรหันมาดูแลรูปร่างให้สวยเช้งเพื่อเรียกความมั่นใจกลับคืนมา “ทุกครั้งที่ฝ่ายชายเอ่ยปากชมอย่าลืมขอบคุณและย้ำเตือนตัวเองถึงสิ่งที่เขาชม แม้คุณจะไม่เชื่อสนิทก็ตาม” เจสสิก้า โอ เรลลี่ (Jessica O’Reilly) ผู้แต่ง The New Sex Bible แนะนำให้ปรับคำชมเหล่านี้ไปใช้ในห้องนอน “ทุกคนดูดีทั้งนั้นแหละเมื่อมองจากด้านหลัง ไม่มีอะไรเลวร้ายไปกว่าสองเต้าโตงเตงหย่อนยานหรอก” ลองทำท่าคาวเกิร์ลหันหลังตัวคุณอยู่บนแล้วหันหน้าไปทางเท้าของอีกฝ่าย จากนั้นคลึงสะโพกเป็นวงกลมเพื่อให้คุณทั้งสองถึงเส้นชัยพร้อมกัน

เอาใจช่วยฝ่ายชายเรื่องน้ำหนัก

ใช่ว่าฝ่ายชายจะไม่เครียดเรื่องน้ำหนักตัว เผลอๆ อาจมากพอๆ กับผู้หญิงแหละ เบรด ฟอสเตอร์ (Bread Foster) หนุ่มวัย 27 ปี สารภาพว่าเมื่อก่อนน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น 20 กว่ากิโลฯ สมัยคบกับแฟนเก่า เขาเคยถามตัวเองเหมือนกันว่าใครล่ะจะอยากมีเซ็กซ์กับผู้ชายอย่างเขา เรื่องนี้จึงกลายเป็นปัญหาที่คุณต้องเตรียมรับมือดีๆ เพราะมันแสดงถึงนิสัยบางอย่างของอีกฝ่าย เช่น ขี้เกียจ แต่หากฝ่ายชายลดน้ำหนักลงมาได้ อย่าเพิ่งตีความเป็นอย่างอื่น เช่น เอ๊ะ เขาจะมีกิ๊กหรือเปล่า (ยะ) เพราะไม่ใช่ว่าผู้ชายทุกคนจะอยากลดน้ำหนักเพื่อเจอคนใหม่ ดูอย่างสาวๆ ในรายการ The Biggest Loser พวกเธอลดน้ำหนักร่วมร้อยกิโลฯ แต่ก็ยังคบหากับแฟนคนเดิมไม่แปรเปลี่ยน แถมยังบอกอีกว่ารู้สึกใกล้ชิดกันมากขึ้น เพราะกล้าที่จะเปิดเผยและมีความมั่นใจที่จะทำสิ่งต่างๆ ร่วมกับฝ่ายชาย ดังนั้นแทนที่จะจ้องจับผิดว่าเขาฟิตลดหุ่นทำไม ลองมองมุมอื่นดูบ้าง แล้วอย่าลืมให้กำลังใจอีกฝ่ายช่วงที่เขาลดน้ำหนักล่ะ เพราะในทางกลับกัน คุณเองย่อมอยากให้เขาอยู่เคียงข้างเช่นกัน

ออกกำลังกายบำบัด

เมื่อการออกกำลังกายร่วมกัน ช่วยทั้งเรื่องความฟิตและเสริมสร้างความผูกพัน จากการวิจัยพบว่า หลังจากออกกำลังกายร่วมกันแล้ว คู่รักจำนวนมากรู้สึกแฮปปี้กับความสัมพันธ์มากขึ้น และเมื่อทำการสอบถามพบว่า คู่รัก 85% ยอมรับว่า หลังจากเวิร์คเอาต์กับแฟนแล้วรู้สึกถึงความเป็นหนึ่งเดียวกันมากขึ้น แถม 1 ใน 5 ยังเปิดใจว่าสิ่งนี้ช่วยประคองความสัมพันธ์ให้ดำเนินไปตลอดรอดฝั่ง คราวหน้าระหว่างคิดจะลงวิ่งมาราธอนกับปรึกษานักบำบัด จงตริตรองดูดีๆ ว่าจะเลือกแบบไหน

แปลและเรียบเรียงโดย: ดร.ชีสไบท์ | ภาพ: Rodale

ที่มา – Women’s Health Thailand
www.womenshealththailand.com

โรคกระดูกคอเสื่อม ตอนที่ 1

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/575480

โดย คณะแพทยศาสตร์ รพ.รามาธิบดี 12 ก.พ. 2559 05:01

 

ภาวะการเจ็บป่วยอันเกิดจากกระดูกนั้น มักมีหลายสาเหตุด้วยกัน โรคกระดูกคอเสื่อมก็เป็นอีกโรคหนึ่งที่พบได้บ่อยในปัจจุบัน โดยเฉพาะเมื่ออายุมากขึ้น และร่างกายมีการใช้งานมากขึ้น

เมื่ออายุมากขึ้น ข้อต่อระหว่างกระดูกแต่ละปล้องได้รับแรงกระแทกมานาน จึงมีการเปลี่ยนแปลงลักษณะโครงสร้างไป เช่น ในคนอายุ 72 ปี หมอนรองกระดูกสันหลังจะมีส่วนประกอบของน้ำ เปลี่ยนไปจาก 88% เป็น 70% ทำให้หมอนรองกระดูกแฟบลง (คนอายุมากจึงเตี้ยลงกว่าเดิม) และมี ความยืดหยุ่นลดลง ส่งผลให้ส่วนที่อยู่รอบข้างต้องรับแรงกระแทกมากขึ้น จึงมีหินปูนมาเกาะกระดูกและเอ็นพังผืดต่างๆ ทำให้หนาตัวขึ้น และจะไปกดเส้นประสาททำให้เกิดอาการต่างๆ ปรากฏการณ์เหล่านี้มักเกิดบริเวณที่มีการเคลื่อนไหวมากๆ คือ บริเวณหลังคอและหลังเอว

เมื่อเข้าสู่วัยกลางคนขึ้นไป มักจะมีการเสื่อมที่บริเวณกระดูกสันหลังได้ หากใครมีช่องของเส้นประสาทกว้างมาแต่กำเนิด แม้จะมีการเสื่อมก็ไม่มีอาการอะไร เพราะเส้นประสาทไม่ถูกกดมาก แต่ถ้าทุนเดิมแคบหรือพอดีๆ เมื่อมีการเสื่อมเพียงเล็กน้อยก็สามารถเกิดอาการได้

สำหรับอัตราการพบผู้ป่วยโรคกระดูกคอเสื่อมจากภาพรังสีของคนทั่วไป พบว่าคนที่อายุ 50 ปี มีอาการกระดูกคอเสื่อม ร้อยละ 50 และพบเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 75–85 ในคนอายุ 65 ปี

ติดตามลักษณะอาการและการวินิจฉัยโรคกระดูกคอเสื่อมได้ใน ศุกร์สุขภาพสัปดาห์หน้า

นายแพทย์ทวีศักดิ์ จันทร์วิทยานุชิต
คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี

Q&A : ผู้หญิงจะมีอารมณ์พลุ่งพล่านที่สุดตอนไหน?

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/569654

โดย FHM 10 ก.พ. 2559 16:01

 

บางทีอารมณ์คุณผู้ชายก็พร้อมรบ แต่ฝ่ายหญิงยังสงบและไม่มีทีท่าสนใจ มิสเอ็กซ์ขอช่วยไขปริศนา แนะนำฤกษ์งามยามดี ช่วงเวลาไหนเหมาะเจาะจะจู๋จี๋ดู๋ดี๋…

Q: ผู้หญิงจะมีอารมณ์ตอนไหน ผมเดาใจแฟนไม่ถูกจริงๆ?

A: ต้องขอออกตัวแรงก่อนว่า เรื่องอารมณ์เป็นเรื่องเฉพาะบุคคล จะให้เหมือนกันไปหมดเป็นสูตรตายตัวนั้นก็คงเป็นไปไม่ได้ แต่ก็มีผลการสำรวจจากหญิงสาวชาวอังกฤษจำนวน 1,000 คน ว่าสาวๆ ส่วนใหญ่มักจะมีอารมณ์พลุ่งพล่านถึงขีดสุดในช่วงเวลา 5 ทุ่มของคืนวันเสาร์ ที่ผลออกมาเช่นนี้ ก็เพราะในช่วงเวลาดังกล่าวพวกเธอรู้สึกผ่อนคลายที่สุด และกังวลเรื่องงานหรือภาระที่ต้องทำในวันธรรมดาน้อยมาก แต่คุณผู้หญิงทั้งหลายจะรู้สึกอย่างที่ผลการสำรวจบอกไว้หรือไม่…คุณเท่านั้นที่รู้ดี !

นอกจากนี้ เคยมีผลวิจัยอีกชิ้นหนึ่งระบุไว้ว่า ช่วงเวลาที่ผู้หญิงมีอารมณ์พลุ่งพล่านมากที่สุด คือ ช่วง 7 โมงเช้าของวันพฤหัสบดี เนื่องจากว่า ระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลที่สร้างอารมณ์ทางเพศนั้นจะเพิ่มสูงสุด บวกกับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนของผู้ชาย และฮอร์โมนเอสโตรเจนของผู้หญิงจะเพิ่มมากขึ้นถึง 5 เท่า! ในเช้าวันพฤหัสบดีด้วย…

แต่สิ่งที่พอจะทำให้คุณเดาได้ว่าเธอมีความต้องการหรือไม่ นั่นคือเมื่อไหร่ที่เธอเป็นฝ่ายเข้ามานัวเนียคุณนั่นแหละ!

ที่มา – FHM
www.fhm.in.th

3 อาการปวดที่ไม่ควรมองข้าม

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/572283

โดย Playboy Thailand 9 ก.พ. 2559 16:01

 

บางครั้งอาการปวดตามจุดต่างๆ ของร่างกายมักจะเป็นเรื่องที่คนเรามองข้าม หรือไม่สนใจเท่าไร เพราะชอบคิดไปเองว่าไม่มีอะไร แต่บางครั้ง เรื่องเล็กๆ อย่างนี้ มักเป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาใหญ่ หากไม่ใส่ใจ

1. ปวดหลัง : อาจเกิดจากอิริยาบถที่ไม่ถูกต้อง เช่น นอนคว่ำ นั่งท่าเดียวนานๆ หรือกล้ามเนื้ออ่อนแรง เพราะขาดการออกกำลังกายรวมทั้งน้ำหนักตัวมากขึ้นเพราะความอ้วนหรือการตั้งครรภ์

การนั่ง ยืน นอนให้ถูกต้องจะช่วยป้องกันอาการปวดหลังได้มาก หากต้องทำงานในอิริยาบถเดิมๆ ทั้งวัน ให้หมั่นเคลื่อนไหวร่างกายทุกๆ 30 นาที

หากอาการปวดหลังของคุณเกิดจากน้ำหนักตัวที่มากเกินไป ก็ต้องเพิ่มการออกกำลังกายให้มากขึ้น หรือเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหลังด้วยการซิทอัพวันละประมาณ 15 นาที แต่ถ้าคุณมีอาการปวดหลังร่วมกับการชาตามแขนขา ให้รีบพบแพทย์

2. ปวดหัว (เป็นประจำ) : อาการปวดหัวเป็นสัญญาณ เบื้องต้นที่ฟ้องร่างกายว่า คุณกำลังอยู่ในภาวะไม่ปกติ สาเหตุหลักมาจากความเครียด พักผ่อนไม่เพียงพอ หรืออาจเกิดจากการดื่มกาแฟ แอลกอฮอล์มากเกินไป การนวดศีรษะทุกวันก่อนเข้านอนจะช่วยให้ระบบเลือดไหลเวียนดีขึ้น โดยใช้นิ้วชี้กดที่หัวคิ้ว นวดคลึงและกดไปตามคิ้วจนถึงขมับ จากนั้นใช้นิ้วทั้งสิบนิ้วกด และนวดคลึงหนังศีรษะให้ทั่ว

บางครั้งอาการปวดศีรษะไมเกรนอาจเกิดจากการที่เส้นเลือดส่งเลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ คุณจึงควรบริหารร่างกายด้วยการก้มศีรษะให้คางจรดหน้าอก ค่อยๆ หมุนเป็นวงกลมจนกลับมาที่เดิม แล้วเวียนกลับไปอีกทางหนึ่ง เพื่อให้เลือดไหลเวียนจากต้นคอ หนังศีรษะ และสมองได้อย่างทั่วถึง แต่หากมีอาการปวดรุนแรงพร้อมกับมีไข้ อาเจียน หรือไม่ดีขึ้นภายใน 1-2 วัน ควรรีบพบแพทย์ เพราะอาจจะเป็นอาการทางสมอง

3. ปวดต้นคอ : มักเป็นอาการที่ต่อเนื่อง มาจากความเครียด หรืออาจเกิดจากอิริยาบถที่ไม่ถูกต้อง เช่น นั่งขับรถนานๆ โดยไม่มีหมอนรองต้นคอ นอนหลับบนที่นอนนุ่ม ยกของหนักเกินไป

การนวดต้นคอ และไหล่จะช่วยบรรเทาอาการปวดให้ดีขึ้น แต่ควรทำร่วมกับการปรับท่านั่ง และนอนให้ถูกต้องด้วย ที่นอนที่ดีต้องแข็ง นอนแล้วไม่ยุบเป็นแอ่ง หรือหากที่นอนมีความนุ่ม ให้เลือกใช้หมอนใบเล็กหนุนหลังเอาไว้ และมีหมอนข้างสำหรับวางขา เพื่อรักษาแนวกระดูกสันหลังเอาไว้ให้ตรงเป็นแนวเดียวกัน

ส่วนเก้าอี้ที่ดีจะต่างจากที่นอน คือยิ่งนุ่มมากเท่าไร จะยิ่งดีมากเท่านั้น เพราะความนุ่มจะช่วยให้น้ำหนักกระจายไปได้ทั่วไม่ตกอยู่บริเวณสะโพกที่เดียว หากเป็นไปได้ควรเลือกเก้าอี้ให้เหมาะกับรูปร่างของแต่ละคน และมีพนักพิงเพื่อใช้เอนหลังพักผ่อนสำหรับลดอาการปวดเกร็งที่ต้นคอ

ที่มา – Playboy
www.playboy.co.th
www.facebook.com/playboythailand

ความเคยชินที่ทำร้ายสุขภาพเราในระยะยาว

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/569476

โดย Women’s Health 7 ก.พ. 2559 16:01

 


เคยตรวจสอบตัวเองบ้างหรือยังว่าคุณมีพฤติกรรมแบบนี้บ้างหรือไม่ แก้ไขด่วนก่อนที่ปัญหาสุขภาพอื่นๆ จะตามคุณมาติดๆ จะได้ไม่เป็นภาระแก่ตัวเองและลูกหลานในอนาคต

พฤติกรรม : บริโภคทูน่ากระป๋องเกือบทุกวัน

ผลร้าย : เป็นไปได้ที่คุณจะเผชิญปัญหาสุขภาพจากสาเหตุร่างกายสะสมปรอทและโลหะหนัก ในแง่ความหลากหลายของอาหาร การกินอะไรมากเกินไป มักก่อปัญหาในระยะยาว การกินทูน่าเป็นแหล่งโปรตีนหลักตลอดเวลามีผลให้คุณขาดสารอาหารอื่นๆ และหากกินทูน่ากระป๋องเป็นอาหารกลางวัน อย่าลืมเซย์โนทูน่าในน้ำมัน เพราะมันเต็มไปด้วยไขมันและแคลอรี่ เลือกทูน่าในน้ำแร่ดีกว่านะคะ

พฤติกรรม : พยายามนอนชดเชยวันที่อดนอน

ผลร้าย : หลังจากทำงานเหนื่อยหนักมาตลอดสัปดาห์ เป็นไปได้สูงที่คุณจะนอนหลับเต็มตื่นในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ แต่ขอเตือนไว้ก่อนว่า มันไม่ใช่ความคิดที่ดีสักเท่าไร ดร.เดลวิน บาร์ทเล็ต (Dr.Delwyn Bartlett) ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคนอนไม่หลับเฉลยว่า การนอนหลับนานกว่าปกติ 1-2 ชั่วโมง พอจะมีประโยชน์อยู่บ้าง แต่ถ้านานกว่านั้น อาการเจ็ตแล็กมาเยือนตลอดสุดสัปดาห์แน่ๆ อาการเจ็ตแล็กเป็นยังไงน่ะหรือ? วันจันทร์คุณจะรู้สึกแย่สุดๆ เพราะรูปแบบการนอนและตื่นของคุณไม่สอดคล้องกับภาวะแวดล้อมเดิมๆ ถ้าทนไม่ไหวจริงๆ นอนตื่นสายวันเสาร์ดีกว่าค่ะ ส่วนวันอาทิตย์ควรตื่นในเวลาระหว่างวันเสาร์กับวันธรรมดา วิธีนี้รับมือกับอาการเจ็ตแล็กง่ายกว่าแน่นอน

พฤติกรรม : ใช้เจลทำความสะอาดมือบ่อยมาก

ผลร้าย : ไม่ว่าจะก่อนกินอาหาร หลังจับตัวสุนัข จับราวบันไดเลื่อน และอีกสารพัด คุณมีข้ออ้างยาวเป็นหางว่างที่ ‘ต้อง’ ใช้เจลทำความสะอาดมือ ทว่ายิ่งใช้ถี่เท่าไหร่ผิวก็ยิ่งเสียมากเท่านั้น ดร.ดาเวส ฮิกส์ (Dawes-Higgs) แพทย์ผิวหนังอธิบายว่า การใช้เจลล้างมือบ่อยๆ ทำให้ผิวแห้ง เพราะมันมีแอลกอฮอล์เป็นส่วนประกอบ และมีอาการแพ้ได้ เมื่อผิวแห้งมักจะเกิดรอยแตก แบคทีเรียสามารถแทรกซึมตามรอยแตกเข้าสู่ผิวมากขึ้น ผลลัพธ์ที่ได้ตรงข้ามกับจุดประสงค์ที่ใช้เลยใช่ไหมคะ เพื่อป้องกันผิวแห้ง จงใช้แฮนด์ครีมเติมความชุ่มชื้นตลอดวัน

พฤติกรรม : กำจัดหนังส้นเท้าที่ตายแล้วเมื่อเข้าร้านทำเล็บ

ผลร้าย : การใช้หินหยาบๆ กำจัดผิวหนังหนาๆ ตรงส้นเท้าอย่างที่ร้านทำเล็บนิยมทำกัน กลับไม่ดีอย่างที่คิด เพราะบางร้านใช้เครื่องมือราคาถูก และทำหยาบๆ แบบขอไปที ไม่ใช่ทุกร้านจะใส่ใจสุขอนามัยของลูกค้าหรือทำความสะอาดอุปกรณ์เป็นประจำ ระหว่างทำเล็บคุณมีโอกาสติดเชื้อราอย่างโรคกลากเกลื้อนได้ (ยี้!) หากคุณรู้สึกเท้าหยาบอย่างกับกระดาษทราย ลองทำเองก่อน หลังอาบน้ำเสร็จใช้หินขัดเท้าเบาๆ แล้วทามอยส์เจอไรเซอร์เข้มข้นทั่วบริเวณนั้น หากเป็นหนักจริงๆ ไปปรึกษาหมอผิวหนังก่อนเดินเข้าร้านสปาเท้าดีกว่ามั้ย

พฤติกรรม : ปวดนิดปวดหน่อยก็เข้าห้องน้ำ

ผลร้าย : ถ้าคุณไม่เคยกลั้นฉี่เลย ปวดนิดปวดหน่อยก็แจ้นเข้าสุขา ขอเตือนว่าการเข้าห้องน้ำโดยที่ร่างกายไม่รู้สึกปวดฉี่จริงๆ หรือ ‘ฉี่กะปริดกะปรอย’ นั้นเป็นผลเสียกับคุณอย่างแน่นอน หากติดนิสัยเข้าห้องน้ำทั้งที่ไม่จำเป็น ความสามารถในการควบคุมปัสสาวะจะยิ่งลดลง ดร.แอนนา โรซามิลเลีย (Dr.Anna Rosamilia) ผู้เชี่ยวชาญด้านความผิดปกติของการปัสสาวะอธิบายว่า ยิ่งคุณไปห้องน้ำทั้งที่ปัสสาวะยังไม่เต็มถังเป็นประจำ ร่างกายจะส่งสัญญาณให้คุณต้องเข้าห้องน้ำบ่อยขึ้นทุกที โดยเฉลี่ยแล้วคนเราจะปัสสาวะ 7 ครั้งต่อวัน หรือน้อยกว่านั้น หากคุณปวดปัสสาวะบ่อยๆ ควรงดดื่มชา กาแฟ และน้ำอัดลม เวลาเดียวที่คุณจำเป็นต้องเข้าห้องน้ำคือหลังมีเซ็กซ์ เพราะลดเชื้อโรคที่ก่อให้เกิดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้

พฤติกรรม : แปรงฟันมากกว่า 2 ครั้งต่อวัน

ผลร้าย : เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับสารเคลือบฟันล้วนๆ ทันตแพทย์ปีเตอร์ อัลดริตต์ (Peter Alldritt) ประธานสมาคมสุขภาพในช่องปากและฟันแห่งออสเตรเลียอธิบายว่า “การแปรงฟันบ่อยกว่า 2 ครั้งต่อวันจะทำลายสารเคลือบฟันและทำให้เนื้อฟันบาง ปัญหาที่เกิดจากเคลือบฟันบางคือเนื้อฟันเหลืองอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเคลือบฟันบาง การแปรงฟันบ่อยๆ จะกระตุ้นให้เกิดความปวดและเสียวฟันง่าย เพราะไม่มีเกราะปกป้องเนื้อฟัน คำแนะนำของหมอคือ แปรงฟันเพียงวันละ 2 ครั้งก็พอ คือหลังอาหารเช้าและก่อนนอน เน้นบริเวณใกล้ๆ เหงือก และขยับแปรงวนเป็นวงกลมเล็กๆ เพื่อขจัดคราบหินปูน

แปลและเรียบเรียงโดย: maemay | ภาพ: Corbis

ที่มา – Women’s Health Thailand
www.womenshealththailand.com

กำเนิดสมองซีกขวาและซีกซ้าย (ตอน 1)

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/573618

โดย หมอดื้อ 7 ก.พ. 2559 05:01

 

สมองขวาและซ้าย ถูกกำหนดบทบาทตามความเชื่อ เหมือนขวาสตรีสุนทรีย์ ซ้ายบุรุษ แต่ความจริงไม่ถึงกับตรงไปตรงมาขนาดนั้นศาสตร์ทางสมองเกี่ยวกับเรื่อง พุทธิปัญญา (cognitive neuroscience) เริ่มจะเบ่งบานเป็นที่รู้จักในวงกว้างเท่าที่ติดตามมาน่าจะประมาณ ปี 2008 โดยดูว่าหน้าที่แต่ละอย่างถูกควบคุมจากสมองตำแหน่งใดและมีการประสานกันกับส่วนอื่นอย่างไร บทความนี้ช่วยกันแปลและเรียบเรียงจากนิตยสาร Scientific American 2009 กับคุณหมอรพีพรรณ รัตนวงศ์นรา ซึ่งน่าจะง่ายที่สุดและเป็นพื้นในเรื่องที่จะตามต่อๆมา

การแบ่งงานของสมองเป็นซีกซ้ายและซีกขวา เคยถูกคิดว่าเป็นคุณสมบัติจำเพาะของมนุษย์ มีความแตกต่างกันในหน้าที่ ทั้งด้านการพูด การใช้มือขวา การจดจำหน้าตา และกระบวนการคิดเรื่อง ความสัมพันธ์ของสิ่งต่างๆ ด้านตำแหน่งและขนาด…

อย่างไรก็ตาม สมองสองซีกกำเนิดมาตั้งแต่สัตว์มีกระดูกสันหลังขั้นต้น ซึ่งเกิดขึ้นมากว่าห้าร้อยล้านปีก่อน สมองซีกซ้ายจะเน้นในด้านการควบคุมพฤติกรรมที่มีแบบแผนการทำงานที่สร้างมาอย่างดี ในขณะที่สมองซีกขวาเชี่ยวชาญในการค้นพบและตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้นที่ไม่คาดหมายในคน ทั้งการพูดและการใช้มือขวา อาจมีพัฒนาการมาจากความเชี่ยวชาญในการ ควบคุมพฤติกรรมที่เกิดขึ้นเป็นประจำ ส่วนการจดจำหน้าตาและการคิดเรื่องความสัมพันธ์ของสิ่งต่างๆ ด้านตำแหน่งและขนาด อาจจะเป็นคุณสมบัติที่ตกทอดมา ที่จำเป็นสำหรับการรับรู้อันตรายได้อย่างรวดเร็วในการหลบหลีก ตอบโต้

สมองซีกซ้ายของมนุษย์ยังควบคุมภาษา คุณสมบัติทางความคิดที่สำคัญที่สุดของมนุษย์ สมองซีกขวาเด่นในด้านการควบคุมความรู้สึกว่าสิ่งของต่างๆสัมพันธ์กันอย่างไร เชื่อกันว่าการใช้มือขวาและความเชี่ยวชาญของสมองด้านเดียวในการคิดความสัมพันธ์ของสิ่งต่างๆ ด้านตำแหน่งและขนาดนี้ ความเชื่อในลักษณะชี้บ่งว่าเกิดในมนุษย์เท่านั้น เข้าได้กับความคิดเรื่องวิวัฒนาการที่การใช้มือข้างขวามีตั้งแต่ที่บรรพบุรุษของเรา สร้างเครื่องมือประมาณ 2.5 ล้านปีก่อน และเป็นพื้นฐานของการใช้มือด้วย เป็นไปได้ว่า สมองซีกซ้าย เพียงเติมภาษาสัญลักษณ์ให้กับแบบแผนของการกระทำต่างๆ แล้วแปลงออกมาเป็นภาษาที่ใช้อยู่

หรืออาจเป็นได้ว่าความสามารถของสมองซีกซ้ายที่ควบคุมการกระทำ ได้เพิ่มเติมหน้าที่ในการควบคุมการออกเสียงด้วย ไม่ว่าในกรณีใดก็ตาม การพูดและภาษาได้วิวัฒนาการมาจากความสามารถในการผลิต เครื่องมือนั่นเอง

ข้อคัดค้านของการเกิดสมองทั้งสองซีกที่มีหน้าที่จำเพาะในมนุษย์ว่าน่าจะมีจุดเริ่มจากมนุษย์เอง อยู่ที่ความจำเพาะของสมองสองด้านนั้นมีในสัตว์มีกระดูกสันหลังกว่า 500 ร้อยล้านปีก่อน สอดคล้องกับทฤษฎีวิวัฒนาการของดาร์วิน ที่ว่าคุณสมบัติต่างๆของสิ่งมีชีวิตรุ่นหลังเกิดจากความเปลี่ยนแปลง ความสามารถในการปรับตัว โดยสมองซีกซ้ายสำคัญในการควบคุมพฤติกรรม ที่เป็นแบบแผนภายใต้ภาวะที่คุ้นเคย ส่วนสมองซีกขวาเป็นส่วนหลักของการกระตุ้นทางอารมณ์เพื่อตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้นที่ไม่คาดหมายในสัตว์มีกระดูกสันหลังชั้นต้น การแบ่งอาจเริ่มจากแนวโน้มที่จะคุมสถานการณ์ต่างๆ เริ่มจากสมองซีกขวามีหน้าที่ควบคุมสิ่งที่อาจเป็นอันตราย ที่เรียกว่าการตอบสนองแบบฉับพลัน อย่างเช่น การตอบสนองต่อผู้ล่าแล้วส่งไปยังสมองซีกซ้าย

โดยสรุปก็คือ ส่วนสมองซีกซ้ายจะควบคุมพฤติกรรมที่เป็นการตอบสนองของความกระตุ้นภายในตนเองซึ่งเกิดจากการเรียนรู้ที่เรียกว่าการควบคุมจากบนลงล่าง ส่วนสมองซีกขวาจะ ควบคุมพฤติกรรมที่เป็นการตอบสนองต่อการกระตุ้นจากสิ่งแวดล้อม หรือเรียกว่าการควบคุมจากล่างขึ้นบน กระบวนการที่ต้องการความชำนาญได้แก่ ภาษา การใช้มือขวา การคิดความสัมพันธ์ของสิ่งต่างๆ ด้านตำแหน่งและขนาด และการจดจำหน้าตา เป็นลักษณะที่เกิดจากพื้นฐานนี้

หลักฐานส่วนใหญ่ที่สนับสนุนนั้นเกิดจากการศึกษาการควบคุมด้านใด ด้านหนึ่งของร่างกายมากกว่าที่จะศึกษาโดยตรงกับสมอง เนื่องจากในระบบประสาท ของสัตว์มีกระดูกสันหลังนี้ มีการเชื่อมโยงของระบบสมองกับร่างกายด้านตรงข้าม ผ่านทางเส้นใยประสาท หลักฐานในส่วนแรกของทฤษฎีที่ว่า สมองซีกซ้ายของสัตว์มีกระดูกสันหลัง มีหน้าที่ด้านการควบคุมพฤติกรรมที่ทำเป็นประจำจากแรงกระตุ้นภายใน

จากตัวอย่างง่ายๆ เช่น การหาอาหารในปลา สัตว์เลื้อยคลาน และสัตว์ ครึ่งบกครึ่งน้ำ มีแนวโน้มที่จะตะครุบเหยื่อทางด้านขวา โดยใช้ตาขวาและการควบคุมของสมองซีกซ้าย ในสัตว์ปีกก็เช่นเดียวกัน ตาขวาเป็นตัวหลักในการจิกอาหารและจับเหยื่อ การที่มีความจำเพาะของสมองนี้ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางกายวิภาคภายนอกด้วย ตัวอย่างเช่น จงอยปากของนกหัวโต พันธุ์นิวซีแลนด์ (New Zealand wry-billed plover) จะโค้งด้านขวามากกว่า เนื่องจากใช้ตาขวามองหาอาหารที่อยู่ระหว่างแก่งหิน

สำหรับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ปลาวาฬหลังโหนก มีการศึกษาใน Seattle ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ทำการศึกษาในปลาวาฬ 75 ตัว พบว่า พวกมันมีแผลถลอกเฉพาะบริเวณเขี้ยวด้านขวา ขณะที่เพียง 15 ตัวเท่านั้นที่มีแผลด้านซ้าย การพบนี้เป็นหลักฐานว่า ปลาวาฬเลือกที่จะใช้เขี้ยวด้านเดียว ที่จะหาอาหารจากทางด้านเดียว ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นด้านขวา โดยสรุปแล้ว สัตว์มีกระดูกสันหลังเท่านั้นมีแนวโน้มที่จะใช้ลักษณะที่ได้รับถ่ายทอดจากบรรพบุรุษในการใช้ด้านขวาที่ทำพฤติกรรมประจำ อย่างเช่น การหาอาหาร

ข้อโต้แย้งว่าการใช้มือขวาไม่ได้เกิดจากวิวัฒนาการ แต่มีพัฒนาการมาจากสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชั้นสูงโดยตรง พบได้ในลิงหลายชนิด ได้แก่ ลิงบาบูน ลิงเซบัส และลิงรีซัส เช่นเดียวกับลิงเอป และลิงชิมแปนซี เรื่องความถนัดขวา โดยเฉพาะงานที่เกี่ยวข้องกับการใช้ทั้งสองมือประสานกัน และการเอื้อมไปเอาอาหารที่สูงกว่าระดับที่ยืน ตัวอย่างเช่น เมื่อผู้ทดลองวางอาหารโปรดของลิงเอป คือน้ำผึ้ง ไว้ในหลอดพลาสติกแล้วส่งให้ เพื่อที่จะได้น้ำผึ้งมันจะต้องจับหลอดพลาสติกด้วยมือข้างหนึ่ง และ ขูดเอาน้ำผึ้งด้วยนิ้วเดียวของมืออีกข้าง ลิงเอปนิยมใช้นิ้วของมือขวาในการขูดน้ำผึ้งมากกว่าถึงสองเท่า

การศึกษานี้ได้ข้อสังเกตว่า ในขณะที่สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชั้นสูงในยุคแรกๆ ทำงานที่ยากขึ้น และใช้ทักษะสูงมากขึ้นในการหาอาหาร เรื่องการใช้มือที่ถนัดก็จะปรากฏขึ้น ชัดเจนขึ้นด้วย จึงเป็นที่น่าสงสัยว่า การทำงานที่ซับซ้อนนั้นจำเป็นต้องส่งระบบสัญญาณควบคุมจากสมอง และผ่านไปยังมือที่ใช้ที่คล่องมากกว่า

ดังนั้นเส้นทางตรงที่สุดของสมองซีกซ้ายส่งผ่านมาทางร่างกายทางระบบใยประสาทส่วนปลาย ก็จะทำให้มือขวามีแนวโน้มที่จะถูกใช้ในงานชั้นสูงกว่า แม้ว่าจะเป็นงานประจำก็ตาม.

หมอดื้อ

คอนแทคเลนส์ (ตอนที่ 2) การดูแลรักษา

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/569376

โดย คณะแพทยศาสตร์ รพ.รามาธิบดี 5 ก.พ. 2559 05:01

 

ก่อนหน้านี้เราได้ทราบถึงการใช้คอนแทคเลนส์อย่างถูกวิธีแล้ว สัปดาห์นี้เรามาทำความเข้าใจการดูแลรักษาคอนแทคเลนส์อย่างถูกวิธี เพื่อลดความเสี่ยงและอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นกับดวงตาของเรากันบ้าง

การดูแลรักษาคอนแทคเลนส์อย่างง่าย มีดังนี้

ก่อนอื่นต้องล้างมือให้สะอาดทุกครั้งก่อนสัมผัสคอนแทคเลนส์และดวงตา ทำความสะอาดคอนแทคเลนส์และกล่องใส่คอนแทคเลนส์ ด้วยน้ำยาทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอและถูกต้องตามขั้นตอน

ข้อแนะนำเกี่ยวกับการใช้คอนแทคเลนส์

– อย่าใส่คอนแทคเลนส์ตอนนอน

– อย่าใส่คอนแทคเลนส์ขณะว่ายน้ำ

– อย่าใช้น้ำประปา น้ำบาดาล หรือน้ำเกลือที่ไม่ได้ฆ่าเชื้อในการล้างหรือทำความสะอาดคอนแทคเลนส์

– อย่าใช้คอนแทคเลนส์ร่วมกับผู้อื่น

– ไม่ควรใส่คอนแทคเลนส์ต่อเนื่องนานเกิน 8–10 ชั่วโมง/วัน ควรเปลี่ยนคอนแทคเลนส์ตามระยะเวลาที่กำหนดสำหรับคอนแทคเลนส์ชนิดนั้นๆ

– หลีกเลี่ยงการใช้ยาหยอดตาที่ไม่ได้แนะนำโดยจักษุแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ

– ขณะใส่คอนแทคเลนส์ หากพบว่ามีอาการผิดปกติ เช่น ตาแดง เจ็บตา มีขี้ตา ตามัว ควรหยุดใส่คอนแทคเลนส์ และรีบพบจักษุแพทย์ทันที

การใส่คอนแทคเลนส์อย่างถูกต้องและเหมาะสม เป็นหัวใจสำคัญในการใช้คอนแทคเลนส์อย่างปลอดภัย หากไม่สามารถปฏิบัติได้ อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนหรือผลข้างเคียง เช่น โรคตาแห้ง เยื่อบุตาหรือกระจกตาอักเสบจากภูมิแพ้คอนแทคเลนส์ กระจกตาบวมขุ่น หรือมีเส้นเลือดงอกผิดปกติที่กระจกตาจากการที่กระจกตาขาดออกซิเจน และที่รุนแรงที่สุด คือ การติดเชื้อที่กระจกตา ซึ่งอาจลุกลามเข้าไปภายในลูกตา ทำให้สูญเสียดวงตาหรือการมองเห็นอย่างถาวรได้

นอกจากการดูแลรักษาคอนแทคเลนส์ที่ไม่ถูกต้องแล้ว ปัจจุบันพบว่าปัญหาสำคัญที่กำลังก่อตัวและเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ คือ การใช้คอนแทคเลนส์ชนิดบิ๊กอายส์ (Big eyes) เพื่อแก้ไขสายตาหรือเพื่อความสวยงาม ซึ่งคอนแทคเลนส์ชนิดนี้มักมีสีสันให้เลือกหลากหลาย ราคาไม่สูง และสามารถหาซื้อได้ง่ายตามร้านค้าทั่วไป หรือแม้แต่สั่งซื้อทางอินเทอร์เน็ต ทำให้คอนแทคเลนส์ชนิดนี้เข้าถึงได้ง่ายและเหมือนเป็นแฟชั่นตามกระแสนิยม โดยเฉพาะในกลุ่มนักเรียน วัยรุ่น นักศึกษา หรือคนทำงานทั่วไป อย่างไรก็ตาม คอนแทคเลนส์ชนิดนี้ส่วนใหญ่มักเป็นคอนแทคเลนส์ที่ไม่ได้รับรองโดยองค์การอาหารและยา ว่ามีคุณภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน เหมาะสมแก่การใช้งานกับดวงตาได้อย่างปลอดภัย ผู้ใช้มักเลือกซื้อใส่โดยไม่ทราบถึงขนาดความโค้งของคอนแทคเลนส์ที่เหมาะสมกับกระจกตาของตนเอง ทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนได้ง่ายทั้งในระยะสั้นและระยะยาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการติดเชื้อที่กระจกตา ซึ่งพบได้บ่อยกว่าปกติ

จากสถิติของโรงพยาบาลรามาธิบดี พบว่า มีผู้ป่วยโรคกระจกตาที่ติดเชื้อจากการใส่คอนแทคเลนส์ บิ๊กอายส์เข้ารับการรักษาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในช่วง 2–3 ปีที่ผ่านมา ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงการใช้คอนแทคเลนส์ชนิดบิ๊กอายส์ เนื่องจากอาจทำให้เกิดการติดเชื้อที่กระจกตา นอกจากนี้การใช้คอนแทคเลนส์มือสองที่มีคุณภาพไม่ได้มาตรฐาน ก็อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ได้เช่นกัน

คงจะไม่ง่ายและไม่ยากจนเกินไปสำหรับวิธีการดูแลรักษาคอนแทคเลนส์ หากไม่ปฏิบัติตามอาจเกิดอันตรายต่อดวงตา จนสุดท้ายอาจตาบอดได้ในที่สุด

หากเกิดอาการผิดปกติจากการใส่คอนแทคเลนส์ต้องรีบพบจักษุแพทย์ทันทีก่อนที่จะสายเกินแก้ไข

แพทย์หญิงเกวลิน เลขานนท์
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี

10 จุดเสียวของหญิง ที่ผู้ชายต้องรู้

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/569335

โดย Playboy Thailand 4 ก.พ. 2559 16:01

 

ว่ากันว่าในผู้หญิงแต่ละคน จุดที่สามารถจุดประกายให้คุณเดินหน้าต่อไปจนสมใจนึกนั้น แตกต่างกันออกไป เพราะฉะนั้น แผนการเดิมอาจจะไม่ได้ผล แต่การสังเกตอาการที่เกิดขึ้นกับเธอ มีความสำคัญที่สุด แต่เราก็เชื่อว่า

จุดที่สามารถทำให้ผู้หญิงติดไฟได้นั้นน่าจะอยู่ใน 10 จุดนี้แหละ

1. เท้า : ดูแล้วอาจจะน่ารังเกียจสำหรับบางคนที่มองเท้าเป็นของต่ำ แต่เชื่อเถอะว่าถ้าบรรยากาศดี แล้วคุณลองนวดเท้าเธอเล่นๆ นอกจากจะช่วยทำให้เธอผ่อนคลายแล้ว ยังอาจจะทำให้เธอติดไฟได้ง่ายๆ

2. มือ : เช่นเดียวกับเท้า มือเป็นจุดเริ่มต้นของการทำให้กิจกรรมที่คุณหวังเป็นความจริงหรือไม่ การสัมผัสเบาๆ หรืออาจจะนวดที่ฝ่ามือเธอ เป็นวิธีขั้นต้นในการกระตุ้นให้เกิดอารมณ์ได้

3. ริมฝีปาก : อันนี้คงไม่ต้องบอก เพราะนอกจากจะจูบแล้ว คุณอาจจะลองให้เธอลองดูดนิ้วของคุณ เพื่อให้เธอผ่อนคลายและปล่อยใจไปกับอารมณ์ที่กำลังเตลิด

4. บั้นท้าย : ว่ากันว่าผู้หญิงบางคนชอบที่โดนสัมผัสแบบแรงๆ หรือขย้ำบั้นท้ายแรงๆ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ความแรงของแต่ละคนอาจจะไม่เท่ากัน ทางที่ดีค่อยๆ เพิ่มระดับแล้วสอบถามหรือดูการตอบสนองของเธอเป็นระยะจะดีกว่า

5. สะโพกและท้องน้อย : ไม่ว่าจะใช้มือลูบ หรือริมฝีปากของคุณสัมผัสอย่างแผ่วเบา ความเสียวซ่านเกิดขึ้น กับเธออย่างแน่นอน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องทำอย่างทะนุถนอมนะ ไม่ใช่ตะกละตะกลาม

6. หลังหู : จุดพิฆาตสาวๆ เรียกว่าส่วนใหญ่แล้ว หลังหูมักจะเป็นจุดที่ทำให้เธอเกิดอารมณ์ได้มากที่สุด นอกจากคุณจะเจอผู้หญิงส่วนน้อยที่อาจจะตอบสนองคุณด้วยเสียงหัวเราะ เพราะจั๊กกะจี้ ดังนั้น อย่าเสียความมั่นใจ เมินตรงนั้นซะ แล้วหาจุดอื่นต่อ

7. แผ่นหลังช่วงล่าง : เช่นเดียวกับท้องน้อย ใช้มือและริมฝีปากและอาจจะรวมถึงลิ้น ค่อยๆ ลากเพื่อสร้างความสยิว

8. ต้นคอและซอกคอ : อย่างแรกเหมาะสำหรับการนวด โดยอาจจะค่อยๆ เริ่ม เพื่อทำให้เธอเคลิบเคลิ้ม ส่วนอย่างหลัง หลายคนคงทราบดีว่า เป็นอีกจุดที่สร้างอารมณ์ให้ฝ่ายหญิงได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะถ้าคุณใช้ปากและคางที่เริ่มมีหนวดสากๆ เป็นตอโผล่ขึ้นมาสัมผัสตรงนั้น

9. หน้าอก และถัน : ไม่ต้องมานั่งอธิบายแล้วทำไม คงแนะนำได้เพียงว่า ควรทำอย่างแผ่วเบา และอย่ารุนแรงจนเกินไป

10. ต้นขาด้านใน : มือ ปาก และลิ้น คุณสามารถใช้ 3 ส่วนนี้ของคุณกระตุ้นอารมณ์ให้กับเธอได้เป็นอย่างดี

ที่มา – Playboy Thailand
www.playboy.co.th
www.facebook.com/playboythailand

“10 อย่า” ขณะมีเซ็กซ์!!

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/568903

โดย FHM 3 ก.พ. 2559 16:01

 

ไม่ว่าคุณจะตั้งใจหรือไม่? 10 ข้อต่อไปนี้ อย่าพลาดขณะมีเซ็กซ์ เดี๋ยวเกมรักจะสะดุด หรือหยุดไว้แค่ครั้งนี้!

1. อย่าลืมปิดเสียงโทรศัพท์

ไม่ว่าจะเป็นเจ้านายโทรหา เพื่อนโทรตาม คนที่บ้านโทรมา ขึ้นชื่อให้เห็นกันหราอยู่บนหน้าจอ ลองคิดดูว่าขณะกำลังถึงจุดไคลแมกซ์แล้วมันจะพีคแค่ไหน

2. อย่ายกย่องแฟนเก่าเก่งกว่า

ไม่ว่าจะเป็น แฟนเก่าจูจุ๊บเก่งกว่านี้อีกนะ มันไม่ใช่เรื่องตลก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือมุกที่ตั้งใจจะแซว

3. อย่ามีกลิ่นไม่พึงประสงค์

ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นปากที่เหม็นเอาเรื่อง หรือกลิ่นตัวที่เหมือนไปเดินตกถังส้วมมา แล้วอ้างไปถึงฟีโรโมนโน่นแหนะ…จงมีกลิ่นกายหอมหวนชวนดม ดีกว่าจะเสียเวลามาแก้ตัว

4. อย่าอ้างสถิติเก่า

ไม่ว่าคุณจะเป็นหญิงหรือว่าชาย ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องอวดอ้าง ไม่ว่าจะเป็นจำนวนคนรัก จำนวนครั้งที่เคยมีเซ็กซ์ ฯลฯ ฉะนั้น จงมีสติ…ไม่ใช่สถิติ

5. อย่าทำให้เขาเสียความมั่นใจ

“ทำอย่างนี้ มันจะเวิร์กได้ยังไง?” “หยุดก่อนได้ไหม…เดี๋ยวทำให้ดู” นี่เท่ากับหยามกันชัดๆ อย่างนี้จะพลอยให้อีกฝ่ายเข็ดขยาดเซ็กซ์เอาได้ ผู้เชี่ยวชาญเคยแนะนำไว้ว่า ให้ใช้วิธีสื่อสารด้วยท่าทางจะดีกว่าคำพูด

6. อย่าไปบังคับ

จงให้อิสระในการแสดงบทรัก อย่าบังคับให้เขาทำในเรื่องที่ต้องฝืนใจอยู่บ่อยๆ ให้ต่างฝ่ายได้ทำในสิ่งที่ชอบ เช่น ถ้าอีกฝ่ายไม่สมัครใจที่จะออรัลเซ็กซ์ให้ ก็อย่ามัวอารมณ์เสีย แต่ให้รีบหาเรื่องสนุกทำอย่างต่อเนื่อง

7. อย่าแชตขณะมีเซ็กซ์

วางโทรศัพท์หรือแท็บเล็ตลงบ้างก็ได้ ไม่ต้องธุระเยอะขนาดนั้น ถ้าสื่อออนไลน์สำคัญกว่าคนรัก ทำไมไม่แต่งงานกับแท็บเล็ต หรือมีเซ็กซ์กับโทรศัพท์ไปซะเลยล่ะ

8. อย่าพูดให้เขาหยุดภารกิจ

ทั้งที่เกมรักยังไม่จบ แต่อยากจะทำสิ่งอื่นขึ้นมามากกว่า อันนี้อาจทำให้อีกฝ่ายน้อยใจจนน้ำตาไหลได้เลยทีเดียว

9. อย่าหลุดปากอุทานชื่อผิด

“ดีมากเลย…เก๋ ” (แต่แฟนคุณชื่อ โอ๋) ปากทางนรกก็รอคุณแค่เอื้อม! ซึ่งคนมีสติมักไม่พลาด แต่ถ้ามีฤทธิ์ของแอลกอฮอล์มาบั่นทอน อันนี้ก็ไม่แน่

10. อย่าถ่ายทำสารคดี

ไม่ว่าจะเซลฟี่ขณะมีอะไรกัน หรือแอบตั้งกล้องเอาไว้ โดยไม่บอกให้อีกฝ่ายรู้ กรณีหลังถือเป็นการไม่ให้เกียรติอีกฝ่าย แถมวันดีคืนดีสิ่งที่ถ่ายไว้ อาจพลาดพลั้งตกไปอยู่ในมือคนอื่น หรือว่ามีกรณีผิดใจกันขึ้นมาภายหลัง รับรองคราวนี้จากที่จะสุขสม อาจกลายเป็นเรื่องทุกข์ระทมไปอีกนาน…

ที่มา – FHM
www.fhm.in.th