DIY ยาแก้ไอมะกรูด

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/608570

โดย Health & Cuisine 29 เม.ย. 2559 16:01

 

เมื่อหลายปีก่อน ปอนได้มีโอกาสไปเจอ ป้าป้อม ศิริกุล ซื่อต่อชาติ ผู้เขียนหนังสือ “ปลูกผักกันเถอะ” (Let’s Do Some Gardening) และล่าสุดมีผลงานชื่อ My Organic Life

ช่วงนั้นเป็นช่วงที่มีอาการเจ็บคอ แถมไอ ป้าป้อมได้ยินเสียงอันแหบแห้ง จึงมีน้ำใจแบ่งปันยาแก้ไอสูตรของเธอมาให้ แถมบอกว่า ถ้าไม่พอมาเอาใหม่นะคะ ด้วยความที่เป็นคนชอบทำอะไรเอง จึงถามสูตรยาแก้ไอนี้ ป้าป้อมก็ใจดีบอกโดยไม่กั๊ก แถมบอกด้วยว่า ไปบอกต่อได้เลยค่ะ

เมื่อมีโอกาสเจอใครที่มีอาการไอ หรือมีเสมหะ จึงไม่รีรอที่จะแบ่งปันสูตรดีๆ นี้ พระเอกวัตถุดิบคือ ผลมะกรูดสด และน้ำตาลทรายแดง เราใช้แค่ 2 อย่างนี้เอง อ้อ ต้องหาโหลแก้วที่แข็งแรงและมีฝาปิดสนิทอีก 1 ใบ

ขั้นตอนการทำก็ง่ายแสนง่าย เมื่อได้ผลมะกรูดมาแล้ว ล้างให้สะอาด โดยใช้เกลือถูให้ทั่ว โดยเฉพาะตามร่องหรือจะใช้แปรงถูตามซอกให้สะอาดก็ได้ค่ะ เสร็จแล้วหั่นสไลด์ตามขวาง

ขั้นตอนต่อไป ถ้ามีลูกๆ เรียกมาร่วมวง ช่วยกันคนละไม้คนละมือได้นะคะ โดยเรียงมะกรูดที่หั่นแล้วลงในโหล ให้ได้ประมาณ 2/3 ส่วนของโหล ตามด้วยน้ำตาลทรายแดง 1 ส่วน

เสร็จแล้วปิดฝาให้แน่น วางโหลแก้วในที่อากาศไม่ร้อน และห้ามตากแดดค่ะ ทิ้งไว้ประมาณ 1 เดือน หรือจนกว่าน้ำตาลจะละลายหมด เสร็จแล้วค่อยๆ เทยาแก้ไอที่ได้ เก็บใส่ขวด ปิดฝา เข้าตู้เย็น เก็บได้นานหลายเดือนเลยค่ะ

สำหรับกากของมะกรูดที่เหลือในโหล เราก็สามารถหั่นมะกรูดสดเติมลงไป เติมน้ำตาล ทำซ้ำใหม่ได้อีกหลายรอบเลยค่ะ ไม่ต้องทิ้งค่ะ ใครทำแล้วอาการไอดีขึ้น อย่าลืมบอกต่อสูตรดีๆ นี้นะคะ

Tips:

1. ขั้นตอนการทำต้องสะอาด และระวังอย่าให้อากาศเข้านะคะ เพราะอาจขึ้นราได้ ถ้ามีราขาวๆ ขึ้น คือใช้ไม่ได้ ต้องทำใหม่ค่ะ

2. ถ้าสามารถหาผลมะกรูดออร์แกนิกได้ยิ่งดีเลยค่ะ เพราะเราต้องใช้ทั้งเปลือก จะได้มั่นใจว่าปลอดภัยจากยาฆ่าแมลง และสารตกค้าง

ที่มา – Health & Cuisine
www.healthandcuisine.com

โรคกระเพาะ ตอนที่ 1 รู้จักโรคกระเพาะ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/611398

โดย คณะแพทยศาสตร์ รพ.รามาธิบดี 29 เม.ย. 2559 05:30

 

ในสังคมปัจจุบันมีการแข่งขันกันสูงมาก ทำให้การดำเนินชีวิตในแต่ละวันของทุกคนต้องเร่งรีบ ส่งผลให้สุขภาพของคนในสังคมแย่ลง ซึ่งปัญหาสุขภาพที่พบบ่อย คือ การเกิดแผลในกระเพาะอาหาร หรือลำไส้เล็กส่วนต้น หรือโรคกระเพาะ

โรคกระเพาะ เป็นโรคที่พบได้บ่อยโรคหนึ่ง สามารถเกิดได้ในคนทุกเพศทุกวัย คนทั่วไปมีโอกาสเป็นโรคนี้ได้ในช่วงใดช่วงหนึ่งของชีวิต โดยการเกิดแผลในกระเพาะอาหารนั้นมักพบในวัยกลางคน ขณะที่การเกิดแผลที่ลำไส้เล็กส่วนต้นมักจะพบในวัยหนุ่มสาว

สาเหตุ

เกิดจากการหลั่งกรดในกระเพาะอาหารมากเกินไปร่วมกับความต้านทานต่อกรดของเยื่อบุกระเพาะอาหารและลำไส้ลดลง จึงทำให้มีแผลเกิดขึ้น แต่ในปัจจุบันพบว่า ยังมีปัจจัยเสริมอื่นๆ ที่ทำให้เกิดโรคได้อีก ได้แก่

1. การติดเชื้อเฮลิโคแบคเตอร์ ไพโรไร (Helicobactor Pylori) ซึ่งเป็นแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่ติดต่อโดยการรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อจากอุจจาระของผู้ติดเชื้อ เชื้อนี้เมื่อเข้าสู่ร่างกายจะเข้าไปฝังตัวอยู่ใต้เยื่อบุกระเพาะ ผนังกระเพาะจึงอ่อนแอลงและมีความทนต่อกรดลดลง ทำให้กระเพาะอาหารและลำไส้เล็กส่วนต้นเกิดแผลได้ง่าย แผลหายช้า และเกิดแผลซ้ำได้อีก

2. รับประทานสิ่งที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อกระเพาะและลำไส้ เช่น ชา กาแฟ เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ น้ำ อัดลม หรือการรับประทานยาบางชนิด เช่น ยาแก้ปวดจำพวก แอสไพริน ยารักษาโรคกระดูกและข้ออักเสบ ยาชุด หรือ ยาลูกกลอนที่มีสเตียรอยด์ เป็นต้น

3. มีนิสัยการรับประทานอาหารที่ไม่ถูกต้อง เช่น รับประทานอาหารอย่างเร่งรีบ รับประทานไม่เป็นเวลา หรืออดอาหารบางมื้อ เป็นต้น

4. การสูบบุหรี่ เป็นการเพิ่มโอกาสการเป็นแผลที่ลำไส้เล็กส่วนต้น

5. อื่นๆ เช่น ซึมเศร้า วิตกกังวล คิดมาก นอนไม่หลับ เครียด อารมณ์ หงุดหงิด พักผ่อนไม่เพียงพอ เป็นต้น

คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี

คำพูดบนเตียง คำไหน? ยิ่งทำให้เซ็กซ์ร้อนแรง!

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/608443

โดย FHM 27 เม.ย. 2559 16:01

 

คู่รักหลายคู่ ไม่ยอมพูดยอมจา ตั้งหน้าตั้งตาไปถึงฝั่งฝัน แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ดั่งใจ แล้วคำพูดไหน จะช่วยให้คุณสุขสมในเซ็กซ์ได้ดียิ่งขึ้น…

Q : เคยได้ยินมาว่า คำพูดช่วยกระตุ้นเรื่องบนเตียงได้ แล้วต้องพูดอย่างไร?

A : มีคู่รักหลายคู่ทีเดียวที่มักจะปิดปากเงียบ ขณะกิจกรรมรักกำลังดำเนินไป ซึ่งผู้เชี่ยวชาญถือว่าเป็นความผิดพลาดอย่างไม่น่าให้อภัย เพราะฝ่ายชายเองก็ไม่รับรู้ถึงอารมณ์และความต้องการของฝ่ายหญิง ตอบโจทย์รักได้ไม่ตรงจุดตรงใจ เพียงแค่เสร็จๆ ไป คล้ายเป็นงานในหน้าที่ จนทำให้เซ็กซ์กลายเป็นเรื่องน่าเบื่อได้ในที่สุด

ผู้เชี่ยวชาญด้านเพศแนะนำว่า แค่คำพูดไม่กี่คำ ก็สามารถสร้างเซ็กซ์ที่ร้อนฉ่าเกินบรรยายได้ คำพูดเด็ดที่ว่าก็คือ “ฉันใกล้แล้ว” ที่มักหลุดจากปากฝ่ายหญิง แค่ได้ยินคำนั้น ฝ่ายชายก็พร้อมรุกให้ร้อนแรงกว่าเดิม ที่เป็นดังนั้นผู้เชี่ยวชาญบอกว่า เสมือนเป็นคำยอให้ฝ่ายชายเกิดความมั่นใจ และภูมิใจในผลงานที่ทำให้เธอถึงสวรรค์ไปพร้อมๆ กันกับเขาได้ และอีกคำก็คือ “ชอบให้จับตรงนั้น…สัมผัสตรงนี้” คล้ายการทานอาหารที่ชอบ ตอบโจทย์รสนิยมของคนๆ นั้น

แต่ถ้าคุณอยากลองทำอะไรใหม่ๆ ให้ทำตามทัศนะของ Lou Paget เจ้าของงานเขียน The Great Lover Playbook “จงเรียกร้องมากกว่าออกคำสั่ง แบบนั้นจะเป็นที่รับฟังกว่า” มีแต่คุณสองคนเท่านั้นที่รู้ดีว่าตัวเองต้องการอะไร ฉะนั้นพยายามใช้คำพูดปลุกเร้า เป็นต้นว่า “แรงอีก” และ “อย่าหยุด” รวมถึงการเลือกใช้คำให้เหมาะสมอย่าง เจ้าพ่อวงการโฆษณา David Ogilvy พบว่า บางถ้อยคำสามารถชักนำลูกค้าให้คล้อยตามได้ อย่างเช่น ‘ไม่น่าเชื่อ’ ‘โอ้ เด็ดมาก’ ‘สุดยอดไปเลย’ และแล้วคำเหล่านี้ก็สามารถนำมาปรับใช้ในห้องนอนอย่างได้ผล!

ที่มา – FHM Thailand
www.fhm.in.th

6 วิธีที่ทำให้เราอึได้เลย…ตั้งแต่ตื่นนอน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/608431

โดย Cleo Thailand 26 เม.ย. 2559 16:01

 

ไม่มีอะไรจะดีไปกว่าการตื่นมาปุ๊บ…ปวดอึเลย พออึปุ๊บ…หน้าท้องแบนเลย แต่มันไม่ได้จะเพอร์เฟกต์แบบนี้ได้ทุกวันน่ะสิ  เว็บไซต์ Livescience ในอเมริกาบอกว่าขนาดกองทัพทหารอเมริกัน เขายังเทรนให้ทหารทุกคนต้องทำ 3 สิ่งนี้ทุกเช้าคือ Shit, Shower, Shave คือการอึ อาบน้ำ และโกนหนวดนั่นเอง เขาบอกว่านี่คือพื้นฐานของสุขภาพที่จะทำให้เรามีพลังในการใช้ชีวิตไปตลอดทั้งวัน

ส่วนสาวๆ อย่างเรา ถึงจะไม่ได้ต้องอึให้เสร็จก่อนออกรบเหมือนเขา แต่ถ้าเราได้ออกจากบ้านทุกวันโดยที่ขับถ่ายสบ๊ายสบายเรียบร้อยแล้ว มันคงจะดีเริดมาก แถมการแพทย์จีนเขายังยืนยันมาตั้งแต่หลายร้อยปีก่อน ว่า มนุษย์เราควรต้องขับถ่ายทุกวันในช่วงเวลา ตี 5–7 โมงเช้า และควรขับถ่ายให้เสร็จก่อนจะกินอาหารเช้าเข้าไป เพื่อไม่ให้พลังงานเก่าและพลังงานใหม่ไปปะปนกัน แล้วสาวธาตุแข็งอึบ้างไม่อึบ้างอย่างเราจะทำไงดีล่ะ อยากอึตอนเช้าให้ได้ทุกวันบ้าง…

1. ตื่นมาดื่มน้ำไม่เย็นสองแก้วเต็ม…ก่อนแปรงฟัน!! ความจริงการแพทย์ญี่ปุ่นเขาแนะนำให้ดื่มน้ำทุกเช้าวันละ 4 แก้วด้วยซ้ำ เพราะเขาทำการทดลองแล้วพบว่าการดื่มน้ำตอนเช้าช่วยรักษาโรคได้แทบจะสารพัด ถ้าทำอย่างต่อเนื่อง แต่สำหรับสาวทำงาน นี่นอกจากจะทำให้เราไม่ลืมดื่มน้ำไปจนแต่งตัวออกจากบ้านแล้ว ช่วงเวลาหนึ่งชั่วโมงหลังตื่นคือเวลาที่ระบบขับถ่ายจะเริ่มทำงาน การอัดน้ำเข้าไปจะช่วยเร่งให้เราทั้งปวดฉี่และปวดอึในชั่วโมงนี้ได้

2. บีบมะนาวหนึ่งลูกใส่น้ำอุ่นหนึ่งแก้ว อันนี้สำหรับคนธาตุแข็งจริง ลองเซตสัก 3 วันต่อวีค เตรียมมะนาวไว้หนึ่งลูก พอตื่นมาปุ๊บหั่นแล้วบีบมะนาวใส่น้ำอุ่นๆ หนึ่งแก้ว แล้วดื่มเป็นอย่างแรก มะนาวจะช่วยไปล้างลำไส้ใหญ่ได้โดยตรง แล้วร่างกายยังดูดซึมวิตามินซีได้ทันทีเลย

3. ทำ 3 ท่าโยคะนี้ตอนเช้า ตื่นมาปุ๊บดื่มน้ำ แล้วทำบนเตียงเลย

4. กินกาแฟตั้งแต่เช้า หลายๆ คนต้องเคยเป็น แบบกินกาแฟเสร็จปุ๊บมีโอกาสจะปวดอึทันที จนหลายๆ คนเริ่มจับทางถูก ใช้กาแฟเป็นยาช่วยระบาย สถาบัน American Chemical Society ในอเมริกาเคยทำการศึกษาเรื่องนี้และคิดว่า คาเฟอีนคือตัวกระตุ้นให้เกิดการเคลื่อนไหวของลำไส้จนเราปวดอึ แต่ไปๆ มาๆ เขาก็พบว่ากาแฟแบบดีแคฟก็ทำให้ปวดอึเช่นกัน ในขณะที่น้ำอัดลมที่มีคาเฟอีนกลับไม่ช่วยเรื่องการขับถ่าย เขาเลยกลับไปศึกษาใหม่แล้วพบว่า ความจริงแล้วกาแฟจะไปช่วยเพิ่มกรดในกระเพาะต่างหาก และไปเร่งกระบวนการย่อยอาหารให้เร็วขึ้นส่งผลไปถึงลำไส้ แล้วเหตุผลที่เราควรกินกาแฟตั้งเช้ายังทำให้คาเฟอีนไปตกค้างในร่างกายไปถึงกลางคืนจนนอนไม่หลับอีกด้วยนะ

5. กินขมิ้นชันช่วงตี 5–7 โมงเช้า ขมิ้นชันแบบแคปซูลนี่ล่ะ แต่ต้องกินในช่วงเวลาที่ลำไส้ใหญ่ทำงาน ซึ่งคือ 2 ชั่วโมงนี้ กิน 1 แคปซูลแล้วดื่มน้ำตามมากๆ กินเป็นประจำทุกวันจะช่วยปรับการทำงานของลำไส้ใหญ่ได้แบบต่อเนื่อง

6. กินลูกพรุน 4-5 ลูกก่อนนอน ลูกพรุนอบแห้งแบบที่แม่ชอบซื้อมาแบบกระปุกงี้ล่ะ ถึงจะหวานแต่ไม่มีน้ำตาลนะ บอกเลยว่าก่อนนอน จิ้มกินเข้าไปสักสี่ห้าเม็ด ตื่นมารู้เรื่องเลย

ที่มา – Cleo Thailand
www.cleothailand.com

10 เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ Sex

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/608401

โดย Playboy Thailand 25 เม.ย. 2559 16:01

 

Sex เป็นเรื่องที่สามารถศึกษาได้ไม่รู้จบ และมีข้อมูลต่างๆ มากมาย และนี่คือ 10 เรื่องที่เกี่ยวกับ Sex ซึ่งคุณอาจจะไม่รู้ก็ได้

1. ผู้ชายส่วนใหญ่คิดว่าอวัยวะเพศของตัวเองเล็กเกินไป แต่ในทางกลับกัน ผู้หญิงส่วนใหญ่ มักไม่สนใจกับขนาดอวัยวะเพศมากเท่ากับการที่เธอได้เห็นรูปร่างอันบึกบึนของฝ่ายชาย

2. สำหรับชายที่มีสุขภาพดี น้ำอสุจิ 1 ช้อนชาจะมีปริมาณของสเปิร์มไม่ต่ำกว่า 300 ล้านตัว

3. ความเร็วเฉลี่ยของการพุ่งออกมาของน้ำเชื้อฝ่ายชาย จะอยู่ที่ 28 ไมล์/ชั่วโมง หรือ 45 กิโลเมตร/ชั่วโมง

4. คุณสามารถเผาผลาญแคลอรี่ได้ประมาณ 200 แคลอรี่ เมื่อมีเซ็กซ์ต่อเนื่องนาน 30 นาที

5. แม้ว่าคุณจะอายุ 70 ปี แต่ไม่ได้หมายความว่าคุณจะหมดน้ำยา เพราะจากการสำรวจคนวัยนี้ พบว่า 73% ยังเตะปี๊บเสียงดัง

6. ถ้าอยากดึงดูดเพศตรงข้าม หาขึ้นฉ่ายฝรั่ง หรือ Celery มาเคี้ยวเล่น เพราะจากการวิจัยของ Alsn Hirsch ระบุว่าเมื่อคุณเคี้ยวขึ้นฉ่ายฝรั่ง ร่างกายจะมีการปล่อยสาร Androstenone และ Androstenolodour ออกมาในปากของคุณ และเมื่อคุณของเริ่มขึ้น สารพวกนี้จะช่วยทำให้ร่างกายของฝ่ายชายปล่อยกลิ่น ที่ดึงดูดเพศตรงข้ามออกมา

7. ถ้าไม่นับห้องนอน สถานที่ยอดนิยมในการมีเซ็กซ์ของบรรดาชายหญิงชาวอเมริกัน คือ รถยนต์

8. ค่าเฉลี่ยในการใช้เวลาสำหรับการจูบตลอดทั้งชีวิตของคนเราจะอยู่ที่ 20,160 นาที หรือคิดเป็น 2 สัปดาห์ หรือ 14 วัน

9. ฝ่ายชายอาจจะชอบชุดนักเรียน หรือชุดนางพยาบาล แต่สำหรับฝ่ายหญิงจากการสำรวจของ นิตยสาร Glamour 73% ของสาวๆ ชอบผู้ชายสวมชุดนักดับเพลิง

10. อัตราการแข็งตัวของฝ่ายชายจะอยู่ที่ประมาณ 11 ครั้งต่อวัน

ที่มา – Playboy Thailand
www.playboy.co.th
www.facebook.com/playboythailand

หมอแนะวิธีคืนภูมิต้านทานแก่เด็กผ่าคลอด

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/610323

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 25 เม.ย. 2559 05:30

 

การตั้งครรภ์ของคุณแม่ยุคใหม่มีแนวโน้มในการผ่าคลอดสูงมาก ซึ่งก่อให้เกิดผลข้างเคียงคือ เด็กผ่าคลอดจะขาดโอกาสได้รับภูมิต้านทานตามธรรมชาติผ่านทางช่องคลอด ทำให้มีความเสี่ยงที่จะเจ็บป่วยได้ง่าย ในการประชุมวิชาการประจำปี ครั้งที่ 32 ของสมาคมโรคภูมิแพ้ โรคหืด และวิทยาภูมิคุ้มกันแห่งประเทศไทย “From Diagnosis to Immunotherapy in Allergic Diseases” เมื่อเร็วๆนี้ ศ.พญ.จรุงจิตร์ งามไพบูลย์ กุมารแพทย์โรคภูมิแพ้ฯ และประธานสมาคมฯ ได้กล่าวถึงการผ่าคลอดเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้การพัฒนาภูมิต้านทานในเด็กล่าช้า ในการบรรยายเรื่อง “Delayed Colonization of Gut Microbiotics in C-Section Infants: Causes, Consequence & Solutions” ซึ่งคุณหมอจรุงจิตร์ให้เหตุผลว่า เพราะพบจุลินทรีย์สุขภาพ “บิฟิโด แบคทีเรีย” ในลำไส้น้อยกว่าเด็กที่คลอดธรรมชาติ ซึ่งจุลินทรีย์สุขภาพนี้ เป็นภูมิต้านทานตั้งต้นที่ส่งผ่านจากแม่สู่ลูกทางช่องคลอดของคุณแม่ เพื่อสร้างรากฐานระบบภูมิต้านทาน โดยระบบภูมิต้านทานนี้มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสร้างตั้งแต่ช่วงแรกของชีวิต หากพลาดช่วงโอกาสทองนี้ ระบบภูมิต้านทานอาจไม่สามารถพัฒนาได้เต็มศักยภาพที่ควรจะเป็น

อย่างไรก็ตาม โภชนาการในช่วงแรกของชีวิต เป็นสิ่งที่คุณแม่สามารถกำหนดได้ จะส่งผลต่อสุขภาพของเด็กในระยะยาว โดยเฉพาะ “นมแม่” มีบทบาทในการเร่งเสริมสร้างภูมิต้านทานที่จำเป็นอย่างยิ่งในเด็กผ่าคลอด เพราะนมแม่มีองค์ประกอบสำคัญ ที่ช่วยส่งเสริมภูมิต้านทานหลายชนิด เช่น โพรไบโอติก (จุลินทรีย์สุขภาพ) และพรีไบโอติก (อาหารของจุลินทรีย์สุขภาพ) ซึ่งทำงานร่วมกัน เพื่อช่วยเร่งเพิ่มปริมาณจุลินทรีย์สุขภาพในระบบทางเดินอาหาร ที่มีเซลล์ภูมิต้านทานมากถึงร้อยละ 70 เด็กที่ทานนมแม่จึงมักจะมีจุลินทรีย์สุขภาพมากกว่าเด็กที่ทานนมผสมสูตรทั่วไป ดังนั้น บุคลากรทางการแพทย์และหน่วยงานต่างๆ ควรช่วยกันสนับสนุนให้เด็กได้รับนมแม่ให้ได้นานที่สุด เพื่อลดผลกระทบจากการผ่าคลอด และส่งเสริมระบบภูมิต้านทานตั้งแต่ช่วงแรกของชีวิต

ในตอนท้ายคุณหมอจรุงจิตร์ยังกล่าวด้วยว่า ช่วงอายุตั้งแต่แรกเกิดถึง 5 ปี นับเป็นช่วงเวลาที่สำคัญอย่างยิ่งในการเสริมสร้างภูมิต้านทานในเด็ก ดังนั้นพ่อแม่ควรให้ความใส่ใจในโภชนาการเด็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งเสริมการให้นมแม่แก่เด็กที่ผ่าคลอด ซึ่งต้องการการดูแลใส่ใจเป็นพิเศษในการเสริมภูมิต้านทานในช่วงแรกของชีวิต เพราะสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรงของเด็กจะเป็นต้นทุนสำคัญในการพัฒนาด้านสติปัญญาและด้านอื่นๆที่จำเป็นต่อไป.

ยากระเพาะ กรดไหลย้อน กับสมองเสื่อม!

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/609930

โดย หมอดื้อ 24 เม.ย. 2559 05:01

 

ถ้าใครไม่เคยมี ไม่เคยเป็นโรคกระเพาะ ไม่มีอาการปวดท้อง เวลาหิว อิ่ม เครียด ไม่มีอาการของกรดไหลย้อน แสบ แน่นหน้าอก นับเป็นโชค

ซึ่งไม่ใช่แต่คนไทย คนฝรั่งมังค่าหรือเอเชียทั้งหมดต่างก็กินยาลดกรดกันเป็นล้านๆคนทั่วโลก โดยเฉพาะผู้ที่เริ่มมีอายุมากขึ้น โรคที่ว่าทั้งที่เกี่ยวกับแบคทีเรีย (H.pylori) ที่ทำให้เกิดแผลหรือไม่เกี่ยวก็ตาม

ในประเทศเยอรมนี รวมทั้งประเทศต่างๆ มีการใช้ยาลดกรดที่อยู่ในตระกูล PPI (Proton Pump Inhibitor) เช่น Omeprazole Pantoprazole Lansoprazole Esomeprazole Rabeprazole เพิ่มมหาศาลในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ในเยอรมนีพบว่าการใช้ยา PPI ไม่เหมาะสมทั้งขนาดและระยะเวลาที่สมควรถึง 40-60%

มีการจับตามองยา PPI ว่าจะส่งเสริมให้เกิดสมองเสื่อมอัลไซเมอร์หรือไม่ อย่างน้อยก็ตั้งแต่ปี 2010 โดยความจริงที่ว่า PPI สามารถเข้าสู่สมองได้ค่อนข้างอิสระ โดยผ่านผนังกั้นหลอดเลือดและการที่ PPI สามารถลดกรดที่ย่อยทำลายสารพิษอัลไซเมอร์ในตัวเซลล์ไมโครเกลีย

โดยที่คนที่เป็นอัลไซเมอร์นั้น ความสามารถในการสร้างกรดที่จะทำลายสารพิษก็ไม่ดีอยู่แล้ว ดังนั้น PPI อาจทำให้สารพิษสะสมหนักขึ้นไปอีก

ยิ่งไปกว่านั้น ในปี 2013 มีการรายงานว่าคนที่พบว่าขาดวิตามิน B12 (ซึ่งทำให้เลือดจางและมีความผิดปกติอื่นๆ เช่นทางสมองและระบบประสาท) จำนวน 3,120 ราย (12%) ใช้ PPI เป็นเวลา 2 ปี หรือนานกว่า และอีก 1,087 ราย (4.2%) ใช้ยาลดกรดอีกตระกูล ชื่อ H2 Receptor Antagonist (H2 RA) เช่น Cimetidine Ranitidine เป็นเวลา 2 ปีหรือนานกว่า ทั้งนี้เมื่อเทียบกับคนที่ไม่ขาดวิตามิน B12 พบว่า 89.6% (165,092 ราย) ไม่เคยใช้ยาลดกรดใดๆเลย ทั้งนี้ข้อมูลดังกล่าวอาจชี้ว่าการใช้ยาลดกรดเป็นเวลานานกว่า 2 ปี มีความเสี่ยงต่อการขาดวิตามิน B12 โดยขนาดของ PPI อยู่ที่ตั้งแต่เม็ดครึ่งต่อวัน

ในปี 2015 มีการติดตามคนเยอรมัน 3,076 ราย ที่มีอายุมากกว่า 75 ปี หลังจากตามศึกษาไปเป็น 4 ระยะ ทุก 18 เดือน พบว่ามี 431 รายที่เกิดมีการสมองเสื่อมและแม้แต่เมื่อปรับตัวแปรที่มีส่วนในการเกิดสมองเสื่อมต่างๆ ทั้งพันธุกรรม การศึกษา อายุ เพศ โรคอื่นๆ ภาวะซึมเศร้า โรคหัวใจ เบาหวาน อัมพฤกษ์ ก็ยังพบว่าการใช้ยา PPI มีความสัมพันธ์กับการเกิดสมองเสื่อมทั้งหมดรวมทั้งอัลไซเมอร์

รายงานในปี 2016 (JAMA Neurology) ตอกย้ำการใช้ยา PPI กับการเกิดสมองเสื่อมซึ่งวิเคราะห์จากคนเยอรมันเช่นกัน ทั้งนี้เป็นการตามคนปกติที่ไม่มีสมองเสื่อมอายุ 75 หรือมากกว่า จำนวน 73,679 ราย ตั้งแต่ปี 2004-2011 โดยที่ติดตามเป็นระยะทุก 12-18 เดือน (12 เดือนในปีแรกและปีสุดท้าย) ปรากฏว่ามีจำนวนถึง 29,510 ราย ที่มีสมองเสื่อม และมากกว่าครึ่ง (59%) มีสาเหตุร่วมกันอย่างน้อย 2 อย่าง

เมื่อเพ่งพินิจดูการใช้ยา PPI ประจำอย่างน้อย 18 เดือน โดยมีอย่างน้อย 1 ใน 4 ของช่วงเวลาที่ติดตามเป็นระยะ พบว่ามี 2,950 ราย ตกอยู่ในกลุ่มที่ใช้ยา PPI ประจำซึ่งมีความเสี่ยงต่อสมองเสื่อมมากกว่าคนที่ไม่ใช้ยา PPI (hazard ratio, 1.44% 95% confidence interval, 1.36-1.52; P<0.001) สำหรับผู้ที่ใช้ PPI ไม่ติดต่อกันจะมีความเสี่ยงน้อยกว่า ทั้งนี้ความเสี่ยงสมองเสื่อมจะน้อยลงตามอายุที่มากขึ้นและโดยที่เสี่ยงสูงสุดในช่วงอายุ 75-79 ปี

นอกจากการใช้ยา PPI คนที่มีภาวะซึมเศร้า และ/หรืออัมพฤกษ์ยิ่งมีความเสี่ยงสมองเสื่อมมากขึ้น และคนที่เป็นเบาหวานซึ่งใช้ยาหลายๆอย่าง 5 ตัวหรือมากกว่านอกเหนือจากยา PPI ก็เสี่ยงสมองเสื่อมเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม เมื่ออายุแก่กว่า 79 ปี การที่มีซึมเศร้าและอัมพฤกษ์ กลับไม่มีผลมากนักต่อการเกิดสมองเสื่อม เช่นเดียวกับการใช้ PPI โดยไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด

ชนิดของยา PPI ไม่พบว่ามีชนิดใดเป็นพิเศษที่ทำให้เกิดสมองเสื่อมมากกว่า การศึกษาครั้งนี้ไม่ได้วิเคราะห์ว่ามีการขาดวิตามิน B12 หรือเกี่ยวกับพันธุกรรมอัลไซเมอร์หรือไม่

ในสหรัฐอเมริกา มีการประมาณการว่าถ้ามีการใช้ PPI ประจำเช่นนี้จะทำให้มีความเสี่ยงสมองเสื่อมเพิ่ม 1.4 เท่า และจะทำให้คนอเมริกันมีอุบัติการณ์เพิ่มขึ้นจาก 6% เป็น 8.4% ต่อปี และจากที่มีคนอยู่ในช่วงอายุ 75-84 ปี ประมาณ 13.5 ล้านคน ถ้า 3% ใช้ PPI ก็อาจจะทำให้มีคนสมองเสื่อมเพิ่มขึ้นอีก 10,000 รายต่อปี เฉพาะในเกณฑ์อายุประมาณนี้

คนไทยเองท่าทางคงไม่สนใจเรื่องจิ๊บจ๊อยขนาดนี้ เพราะแค่ไลน์ ทวิตเตอร์ เฟซบุ๊ก เท่านั้นยังใช้ทั้งยาสมุนไพร สารมหัศจรรย์กันวุ่นวาย ตกตายไปตามกันก็มาก เสียโอกาสรักษาโรคไปก็เยอะ ขออภัยครับ หมอดื้อวันนี้ปากจัดไปหน่อย.

หมอดื้อ

9 เหตุผลที่คุณ ควรกลับไปคบกับเขา

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/603293

โดย Cleo Thailand 23 เม.ย. 2559 16:01

 

เอาล่ะ! พังกำแพงตัวเองลงได้ และปล่อยหัวใจ กลับไปหาเขาอีกเลย เมื่อเกิดมหัศจรรย์ 9 ข้อนี้ขึ้น

1. เหตุผลที่เลิกคือความเครียด

มันโอเคเลยนะ ถ้าจะกลับไปคบกันอีก เพราะเหตุผลที่เลิกตอนนั้น เป็นเพราะสถานการณ์ภายนอกพาไป เช่น แม่เขาป่วย เขาเครียด เขามีปัญหาเรื่องงาน เลยดูแลความสัมพันธ์ไม่ได้ ครอบครัวเขามีปัญหา อะไรแบบนี้ ความเครียดจะมีผลต่อจิตใจ และการตัดสินใจของคนอยู่แล้ว ถ้าเขากับคุณเข้าใจเรื่องนี้ แล้วยังอยากจะช่วยกันแก้ กลับมาคบกันอีกก็โอเคเลย

2. คุณสามารถไว้ใจเขาได้อีกครั้ง

ถึงแม้เขาจะไม่ได้นอกใจคุณตอนเลิกกัน แต่ก็ได้สร้างแผลใจไว้ให้คุณล่ะ งานนี้ต้องถามตัวเอง และซื่อสัตย์กับตัวเองว่า ถ้าเขาเกิดผีเข้ามีเหตุให้ต้องเลิกกันอีก คุณจะรับไหวไหม และนึกดีๆ ว่าผู้ชายอย่างเขา ถ้าคุณไม่สบายกะทันหัน หรือคนในครอบครัวคุณต้องการความช่วยเหลือ เขาจะมีน้ำใจ และมีความมั่นคงในจิตใจพอให้คุณไว้ใจเขาได้จริงๆ ไหม?

3. คุณคิดทบทวนเรื่องที่ผ่านๆ มาดีแล้ว

เอาให้แน่ว่าอยากจะลองคบเขาอีกครั้ง แนะนำให้นึกทบทวนแฟนทุกแฟน แล้วมาดูว่าความสัมพันธ์ครั้งนี้อยู่เลเวลไหน ถ้าจริงๆ คือถากมาก แต่คุณอยากกลับไป เพราะเหงา บอกเลยว่าจะเจอประวัติศาสตร์ซ้ำรอยแน่นอน แล้วแน่ใจนะว่าจะลืมความเจ็บที่ทำให้เสียใจได้ และเป็นสิ่งที่คุณฝันอยากมีจริงหรือ? และมองเห็นอนาคตแน่ๆ กับเขา ถ้าทุกสิ่งคือใช่ ก็ลุยเลย!

4. เขายินดีคุยถึงปัญหาจริงๆ

จะกลับไปคบทั้งที อย่าแค่ว่าเขามายืนเคาะประตูหน้าบ้านแล้วพูดว่า “เอาล่ะ ผมว่าเรากลับมาคบกันเถอะ” คุณก็ตาลีตาเหลือกรีบคบกับเขาแล้ว มันไม่พอเลย! เขาต้องมาด้วยความเข้าใจจริงๆ ว่าที่คุณสองคนเลิกเพราะอะไร และเป็นคนเริ่มอยากคุยถึงปัญหานี้ ว่าจะทำยังไงให้เรามีความสุขกันขึ้น ไม่ใช่คุณ! ที่คอยแต่ถามเขา!

5. ลองเทสต์เขาดูก่อน

เอาล่ะ! คุณและเขาได้ตกลงคร่าวๆ แล้วว่าเราอาจจะคบกันอยู่ คราวนี้ก็ถึงทีคุณต้องจิตแข็งทดสอบเขาแล้ว ว่าเขาเป็นอย่างที่พูดมั้ย ขั้นตอนนี้สำคัญมากๆๆๆ เช่น ถ้าคุณเลิกกันเพราะเขาขี้หึง ลองนัดเพื่อนผู้ชายกินข้าว แล้วบอกเขาไปตรงๆ เขาจะทำยังไง หรือ ลองลากเขาไปปาร์ตี้หนุ่มฮอตกับคุณ เขาจะเดือดมั้ย ทุกเรื่องต้องทดสอบจริงๆ แล้วแอบตั้งเดดไลน์ไว้ในใจ ถ้าภายในกี่เดือนๆ เขาประพฤติดี ก็อาจจะพิจารณา

6. ชีวิตประจำวันแบบถ้าอยู่กันทุกวัน จะเป็นยังไง?

คือต้องดูว่าคุณทั้งสองในลองเทิร์มแล้ว จะรอดมั้ย ตั้งแต่เช้ายันนอน ตอนไปเที่ยว ตอนแก้ปัญหาในชีวิต นิสัย ไลฟ์สไตล์ แอตติจูด มันขัดกันตลอดมั้ย เราไม่พูดเรื่องโรแมนซ์นะ มันเอาต์แล้ว เราว่ากันด้วยความเป็นจริงว่า คนๆ นี้จะทำให้คุณสบายใจ เป็นตัวเอง ชีวิตมีเขาดีกว่าไม่มีมั้ย เรื่องเล็กๆ อย่างเขาชอบตัดสินคุณ แค่ความคิดเรื่องการเมืองไม่ตรงกัน ก็ไม่ควรกลับไปคบต่อแน่นอน

7. เพื่อนและครอบครัว เห็นด้วยว่าควรกลับไปคบกัน

ความเห็นของเพื่อนรัก และครอบครัวนี่ถือว่ามีมูลมากๆ ถ้าคุณถามเพื่อน แล้วเธอตอบกลับว่า “จะบ้าเหรอ? จำไม่ได้เหรอ อีหมอนี่น่ะทำเธอชอกช้ำเกือบเอาตัวไม่รอดมาแล้ว” พร้อมเขย่าตัวคุณให้ตาสว่างขึ้นทันที ก็อย่าเพิ่งเลย แต่ถ้าทุกคนบอกว่า “เขาโอเคนะ อย่ามองเขาแค่ด้านเดียว เขามีแววว่าจะพัฒนาตัวเองได้” ก็น่าสนเลยล่ะ

8. ถอยกลับไป เพื่อจะได้เดินหน้าได้จริงๆ

อีกมุขหนึ่งสำหรับสาวที่มีคำถามคาใจหลังเลิกกับแฟนว่า “ถ้าฉันไม่…” โทษตัวเองว่าเป็นเพราะเรานี่ล่ะ ที่ทำให้เราเลิกกัน เอาให้สาแก่ใจ กลับไปคบอีกครั้งเลย เหมือนกำลังทำแบบทดสอบ “เช็กลิสต์ความจริง!” ถ้ามันเหมือนเอาเกลือมาโรยแผลสด เจ็บสุดขีดอีกล่ะก็ หวังว่าคุณจะเข้าใจอย่างไร้ความสงสัย แล้วจะเดินหน้าต่อได้จริงๆ อย่างสวยงามเลยล่ะ

9. คุณสามารถเข้าใจ และมองทุกสิ่งโพสิทีฟได้

โอเคนะ คุณเป็นสาวให้อภัยตัวเป้งแห่งชาติ สามารถมองเห็นจุดอ่อนของความสัมพันธ์ และอยู่เหนือมันได้ เราว่าถ้าคุณพร้อมเดินหน้าขนาดนั้น อย่าเก็บกดเลย ลุยอีกสักตั้ง แต่ต้องเพิ่มต่อมความระแวดระวังเข้ามากๆ หนึ่งคำคือ “มีสติ” ดูลาดเลาให้ดีๆ เช็กลิสต์สิ่งแย่ๆ ว่ามันได้เกิดขึ้นอีกมั้ย และคุณสองคนมีเรื่องดีมากกว่าเรื่องไม่ดีมั้ย ถ้าเกิดอะไรน่าหวาดเสียวขึ้นอีก ควรรีบ “เทด่วนๆ” เลิกให้เร็วที่สุด แล้วเดินหน้าเต็มสตรีม

ที่มา – Cleo Thailand
www.cleothailand.com

16 ปี Health&Cuisine ส่งมอบความอร่อยจากบรรณาธิการบริหาร 5 ยุค

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/604498

โดย Health & Cuisine 22 เม.ย. 2559 16:33

 

ในโอกาสก้าวขึ้นสู่ปีที่ 16 นิตยสาร Health&Cuisine ขอพาคุณย้อนกลับไปคุยกับบรรณาธิการบริหารนิตยสารทั้ง 5 ท่าน ตั้งแต่เล่มแรกจนถึงปัจจุบัน โดย บก.บห.แต่ละท่าน จะนำสูตรเด็ดในดวงใจมาบอกต่อ ให้คุณลองปรุง

คุณเมตตา อุทกะพันธุ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทอมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน) บรรณาธิการบริหารท่านแรก (ปี พ.ศ. 2543)


สูตรเด็ดจากคุณเมตตา

“ส่วนหนึ่งที่ริเริ่มทำนิตยสารเล่มนี้ เพราะดิฉันสนใจและชื่นชอบเรื่องการทำอาหารด้วย โดยปกแรกของนิตยสาร Health&Cuisine ดิฉันเลือกนำเมนูก๋วยเตี๋ยวหลอดมาขึ้นปก ซึ่งจานนี้เป็นเมนูโปรดของดิฉันที่คุณแม่ปรุงให้รับประทานมาตั้งแต่เด็ก พอโตขึ้นมาก็ปรุงรับประทานเองบ่อยๆ เป็นก๋วยเตี๋ยวหลอดที่รสชาติกลมกล่อม อร่อยได้โดยไม่ต้องพึ่งน้ำจิ้ม ทั้งนี้ดิฉันได้นำสูตรเดิมของคุณแม่มาปรับเปลี่ยน โดยเลือกใช้วัตถุดิบที่ดีต่อสุขภาพมากยิ่งขึ้น แต่ยังคงอร่อยอยู่เช่นเดิม”

ก๋วยเตี๋ยวหลอด
ส่วนผสม (สำหรับ 20 ชิ้น)
เตรียม 20 นาที ปรุง 20 นาที
หน่อไม้ไผ่ตงต้มสุกหั่นเต๋า 2 ถ้วย
เห็ดหอมแห้งแช่น้ำจนนิ่มหั่นเต๋า ½ ถ้วย
กุ้งแห้งแช่น้ำจนนิ่ม ½ ถ้วย
เต้าหู้ขาวชนิดแข็งหั่นเต๋า ½ แผ่น
แครอต หั่นเต๋าเล็ก ¼ ถ้วย
ต้นหอมและผักชีหั่นฝอย ½ ถ้วย
รากผักชี 3 ราก
กระเทียม 7 กลีบ
พริกไทยป่น ½ ช้อนชา
น้ำปลา 1 ½ ช้อนโต๊ะ
ซีอิ๊วขาว 1 ½ ช้อนโต๊ะ
ซีอิ๊วดำ 1 ช้อนชา
น้ำตาลทรายไม่ขัดสี 3 ช้อนโต๊ะ
น้ำมันดอกทานตะวัน 3 ช้อนโต๊ะ
น้ำเปล่า ½ ถ้วย
ก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่ (ชนิดไม่ตัด) 1 กิโลกรัม

วิธีทำ
1. โขลกรากผักชี กระเทียม และพริกไทยเข้าด้วยกันจนละเอียด พักไว้
2. ตั้งกระทะไฟปานกลาง ใส่น้ำมันดอกทานตะวัน พอร้อนนำเต้าหู้ลงผัดให้พอเหลือง พักไว้ข้างกระทะ นำเครื่องโขลกในข้อ 1 ลงผัดให้หอม ใส่หน่อไม้ เห็ดหอม กุ้งแห้ง ปรุงรสด้วยน้ำปลา ซีอิ๊วขาว ซีอิ๊วดำ น้ำตาล เติมน้ำแล้วหรี่ไฟอ่อน หมั่นคน เมื่อส่วนผสมแห้งดีใส่แครอต ต้นหอม ผักชี คนให้เข้ากัน ปิดไฟ ยกลงจากเตา พักไว้ให้เย็น
3. ตัดแผ่นก๋วยเตี๋ยวเป็นรูปสี่เหลี่ยมขนาด 4×4 นิ้ว ตักไส้ที่ผัดไว้ใส่ตรงกลางแล้วม้วนเป็นคำ จัดเรียงใส่จาน พร้อมเสิร์ฟ

คุณบุษยา เนตรสุวรรณ (ปี พ.ศ. 2543-2544)

สูตรเด็ดจากคุณบุษยา

“ดิฉันไม่ค่อยรับประทานเนื้อสัตว์ที่เป็นเนื้อแดงมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ตั้งแต่เด็กที่บ้านดิฉันชอบรับประทานปลา อาหารทะเล เต้าหู้ ผัก พอมาเป็น บก.บห. Health&Cuisine ก็ลงตัวเพราะรู้สึกมีอินเนอร์กับอาหารเพื่อสุขภาพที่เรานำเสนอให้กับคนอ่าน ดิฉันปรุงอาหารรับประทานเองไม่บ่อยนัก หากปรุงก็จะชอบทำเมนูง่ายๆ แต่อร่อยและดีต่อสุขภาพอย่าง เพนเน่ดอกกะหล่ำและมะเขือเทศอบ จานนี้เป็นเมนูที่ดีต่อสุขภาพแถมทำไม่ยากด้วย”

เพนเน่ดอกกะหล่ำและมะเขือเทศอบ
ส่วนผสม (สำหรับ 2 ที่)
เตรียม 10 นาที ปรุง 20 นาที
เส้นเพนเน่ต้มสุก 1 ถ้วย
ดอกกะหล่ำ 1 ถ้วย
มะเขือเทศราชินี 1 ถ้วย
กระเทียมบุบ 2 ช้อนโต๊ะ
พริกขี้หนูแห้ง หั่นท่อน 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำมันมะกอก 1 ช้อนโต๊ะ
เกลือเล็กน้อย

วิธีทำ
ผัดกระเทียมและพริกในน้ำมันมะกอกจนหอม นำมะเขือเทศใส่ลงกระทะ ปิดฝาแล้วหรี่ไฟอ่อน เมื่อมะเขือเทศเริ่มนิ่มนำดอกกะหล่ำใส่แล้วปิดฝา ตั้งไฟต่ออีกประมาณ 10 นาที เมื่อดอกกะหล่ำสุกดีแล้ว ใส่เส้นเพนเน่ลงคลุกเคล้าให้เข้ากัน ปรุงรสด้วยเกลือเล็กน้อย ตักใส่จาน พร้อมเสิร์ฟ

คุณภัทรพร อภิชิต (ปี พ.ศ. 2544-2549)

เมนูเด็ดจากคุณภัทรพร

“เลือกทำพิซซ่า เพราะที่ ‘หนูโจ อาร์ตแอนด์ฟาร์ม’ เรามีเตาอบพิซซ่าที่ก่อด้วยดินและใช้ฟืน เวลามีเพื่อนมาก็มาช่วยกันทำ รู้สึกว่าเป็นเมนูง่ายๆ ที่ทำร่วมกันแล้วสนุกดี ดิฉันคิดว่าพิซซ่าที่เราไปซื้อกินตามร้านแพงๆ เทียบไม่ได้เลยกับพิซซ่าที่อบใหม่ๆ แล้วกินกันในหมู่เพื่อนฝูง เพราะอาหารอร่อยมันอยู่ที่บรรยากาศการกินด้วย”

พิซซ่าซอสมะเขือเทศ
ส่วนผสม (สำหรับ 2 ถาด / 16 ชิ้น)
เตรียม 20 นาที ปรุง 30 นาที (ไม่รวมเวลาพักแป้ง)
ส่วนผสมแป้งพิซซ่า
แป้งสาลีอเนกประสงค์ 300 กรัม
ยีสต์ 1 ช้อนชา
น้ำตาล ¾ ช้อนโต๊ะ
น้ำอุ่น (อุณหภูมิประมาณ 37 องศาเซลเซียส) 100 มิลลิลิตร
น้ำมันมะกอก 2 ช้อนโต๊ะ

ส่วนผสมซอสมะเขือเทศ
หอมใหญ่ 1 ถ้วย
มะเขือเทศ 1 ½ ถ้วย
Potato Paste 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำมันมะกอก 2 ช้อนโต๊ะ
เกลือ ½ ช้อนชา
พริกไทยดำป่น ¼ ช้อนชา

ส่วนผสมสำหรับแต่งหน้าพิซซ่า
ไส้กรอกหั่นเป็นท่อน 1 ถ้วย
มะเขือเทศเชอร์รี่ 8 ลูก
เห็ดแชมปิญอง 8 ดอก
ผักร็อกเกต 1 ถ้วย
เชดด้าชีส 4 ช้อนโต๊ะ
มอซซาเรลลาชีส ½ ถ้วย
สวีทเบซิล ¼ ถ้วย

วิธีทำ
1. ทำซอสมะเขือเทศโดย กรีดท้ายมะเขือเทศเป็นรูปกากบาท นำไปต้มจนเปลือกร่อน ตักขึ้นแช่น้ำเย็น จากนั้นลอกเปลือกออกจนหมด หั่นเป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า จากนั้นผัดหอมใหญ่กับน้ำมันมะกอกจนสุกใส ใส่มะเขือเทศ และ Potato Paste เคี่ยวด้วยไฟอ่อนประมาณ 15 นาที ปิดไฟ พักไว้
2. ทำแป้งพิซซ่าโดยร่อนแป้งและยีสต์เข้าด้วยกัน เทลงอ่างผสม จากนั้นใส่เกลือและน้ำตาลและน้ำอุ่นลงไป ตามด้วยน้ำมันมะกอก นวดให้เข้ากัน พักไว้ในภาชนะที่เคลือบด้วยน้ำมันไว้อย่างน้อย 1 ชั่วโมง จนแป้งขึ้นเป็น 2 เท่า
3. แบ่งแป้งเป็น 2 ก้อน คลึงเป็นแผ่นกลม ทาด้วยซอสมะเขือเทศ จากนั้นวางไส้กรอก มะเขือเทศ เห็ด ด้านบน โรยด้วยชีสทั้ง 2 ชนิด นำเข้าอบในเตาที่อุณหภูมิ 200 องศาเซลเซียส นาน 20 นาที นำออกจากเตาโรยหน้าด้วยผักร็อกเก็ตและสวีทเบซิล พร้อมเสิร์ฟ

คุณปาริชาติ คุ้มรักษา (ปี พ.ศ. 2550-2553)

สูตรเด็ดจากคุณปาริชาติ

ด้วยความที่ชอบทำขนมเป็นทุนเดิม หลังลาออกจากตำแหน่ง บก.บห. Health&Cuisine แล้ว ช่วงหนึ่งคุณปาริชาตินึกสนุกทำเค้กช็อกโกแลตรสชาติดี ทั้งขายและแจกจ่ายให้เพื่อนฝูงคนสนิท ซึ่งโอกาสนี้เธอยินดีนำเค้กสูตรดังกล่าวมาแบ่งปันให้คุณผู้อ่านได้ลองทำแล้วค่ะ

ULTRA CHOC-CHIP CAKE
ส่วนผสม (สำหรับ 2 ปอนด์ / แบ่งได้ 8 ชิ้น)
เตรียม 20 นาที ปรุง 60 นาที
ส่วนผสมเนื้อเค้ก
เนยสด 125 กรัม
น้ำตาลทรายแดง (1) 1 ถ้วยตวง
น้ำตาลทรายแดง (2) 1 ช้อนโต๊ะ
ผงกาแฟร่อนแล้ว 1 ช้อนโต๊ะ
ไข่ไก่ 2 ฟอง
กลิ่นวานิลลา 1 ช้อนชา
แป้งเค้กตราพัดโบก 1 ถ้วยตวง
เบกกิ้งโซดา 1 ช้อนชา
ผงโกโก้ ½ ถ้วยตวง
นมสดแช่เย็น 1 ถ้วยตวง
ช็อกโกแลตชิพ ½ ถ้วยตวง

ส่วนผสมหน้าเค้ก
เนยสดชนิดจืด 100 กรัม
ดาร์กช็อกโกแลตสับ 100 กรัม
ช็อกโกแลตชิพสำหรับแต่งหน้า

วิธีทำ
1. ทำเค้กโดยเตรียมพิมพ์เค้กขนาด 1 ปอนด์ ทาเนยที่ก้นพิมพ์ ปูกระดาษรองอบ เตรียมเตาอบที่อุณหภูมิ 180 องศาเซลเซียส
2. ร่อนแป้งเค้ก เบกกิ้งโซดา และผงโกโก้ประมาณ 3 รอบ พักไว้
3. ตีเนยกับน้ำตาลด้วยความเร็วสูงจนเนื้อเนียน (ไม่ควรตีนานเกิน 10 นาที เพราะจะทำให้เนื้อเค้กเป็นรูพรุนหลังอบเสร็จ) ใส่ผงกาแฟตีต่อจนเข้ากัน ใส่ไข่ที่ตอกไว้แล้วทีละฟอง เติมกลิ่นวานิลลา แล้วตีต่อจนเข้ากันพอให้เนื้อเนียน
4. ใส่ส่วนผสมแป้งที่พักไว้สลับกับนมสด โดยแบ่งแป้งออกเป็น 3 ส่วน เริ่มต้นด้วยแป้งแล้วจบด้วยแป้ง ในการผสมให้ค่อยๆ ตะล่อมให้เข้ากันอย่างเบามือ ท้ายสุดจึงใส่ช็อกโกแลตชิพแล้วตะล่อมให้เข้ากัน
5. เทส่วนผสมใส่พิมพ์ที่เตรียมไว้ นำเข้าอบนานประมาณ 30 – 35 นาที ทดสอบว่าเค้กสุกหรือยังโดยใช้ไม้ปลายแหลมจิ้มลงไปตรงกลาง (สำหรับสูตรนี้ถ้ามีเนื้อเค้กติดปลายไม้นิดหน่อยเนื้อจะฉ่ำอร่อย) นำออกจากเตาอบ พักให้เย็นในพิมพ์ คว่ำเนื้อเค้กลงบนตะแกรง
6. ทำหน้าเค้กโดยนำกระทะใส่น้ำร้อนตั้งไฟ วางชามแก้วที่มีส่วนผสมของเนยและดาร์กช็อกโกแลตสับ ใช้ไม้พายคนไปเรื่อยๆ จนส่วนผสมเป็นมันวาว ค่อยๆ เทส่วนผสมลงตรงกลางเค้ก ใช้สปาทูล่าเกลี่ยหน้าเค้กให้ทั่ว โรยช็อกโกแลตชิพ

คุณแสงปทีป แก้วสาคร (ปี พ.ศ. 2553-ปัจจุบัน)

สูตรเด็ดจากคุณแสงปทีป

“ดิฉันชอบสคอนมาก สมัยก่อนหากินไม่ง่ายแถมแพงและไม่ค่อยถูกปาก เลยซื้อ Cookbook มาลองทำตามแล้วก็เริ่มลองผิดถูก พัฒนาจนได้สูตรที่ชอบและได้ทำไปฝากที่ออฟฟิศอยู่บ่อยๆ หลายคนก็ชอบ ตอนนี้มีทั้งสูตรออริจินอลที่ใส่นม เนย และสูตรเพื่อสุขภาพที่ใช้นมถั่วเหลืองและน้ำมันมะพร้าวแทนเนยและนมวัว โอกาสนี้เลือกสูตรออริจินอลมาผสมดอกอัญชัน เพิ่มมูลค่าให้ดูสวยงามมากยิ่งขึ้น แต่ถ้าอยากทำสูตรเพื่อสุขภาพ ก็ให้เปลี่ยนเนยเป็นน้ำมันมะพร้าวที่แช่เย็นจนแข็งตัว รวมถึงตัดส่วนผสมของนม วานิลลา และเลมอนออก แล้วใช้นมถั่วเหลืองแทน”

สคอนอัญชัน
ส่วนผสม (สำหรับ 8 ชิ้น)
แป้ง Self raising ยี่ห้อ wasterose 350 กรัม
เกลือป่น ¼ ช้อนชา
ผงฟู 1 ช้อนชา
เนยจืดแช่เย็นจนแข็งตัว หั่นเต๋า 85 กรัม
นมจืด 175 มิลลิลิตร
วานิลลาสกัด 1 ช้อนชา
น้ำเลมอน 2-3 หยด
น้ำตาลทราย 3 ช้อนโต๊ะ
ดอกอัญชันสด เด็ดเป็นกลีบ 10 ดอก

วิธีทำ
1. อุ่นนมพอร้อน ใส่วานิลลาสกัด และ น้ำเลมอน คนให้เข้ากันแล้วนำกลีบดอกอัญชันครึ่งหนึ่งลงแช่ พักไว้
2. ร่อนแป้ง เกลือ และผงฟูรวมกัน จากนั้นใช้ที่สับเนย สับเนยกับแป้งที่ร่อนไว้ให้เข้ากันจนร่วนคล้ายเม็ดทราย ใส่น้ำตาลทรายคนให้เข้ากัน แล้วเทส่วนผสมในข้อ 1 ลงไป ใช้พายยางคนเบาๆ ให้เข้ากัน
3. วางโดว์ลงบนถาด ใช้ไม้คลึงแป้งให้หนาประมาณ 1 นิ้ว
4. ใช้พิมพ์วงกลมขนาด 1.5 นิ้ว กดลงบนแป้ง จากนั้นนำแป้งที่กดได้วางลงบนถาดอบที่รองด้วยกระดาษไข ทำซ้ำจนหมด                                                    5. ทานมบางๆ บนขนม แล้ววางกลีบดอกอัญชันเพื่อเป็นการตกแต่ง นำเข้าอบที่อุณหภูมิ 180-200 องศาเซลเซียส นาน 12-15 นาที ยกออกจากเตา เสิร์ฟคู่กับแยมผลไม้

Tip หากใช้เตาอบขนาดเล็ก ให้วางถาดอบด้านล่างเพื่อป้องกันกลีบดอกอัญชันไหม้

ที่มา – Health & Cuisine
www.healthandcuisine.com

การเลือกรองเท้าที่เหมาะสมในผู้ป่วยเบาหวาน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/607746

โดย คณะแพทยศาสตร์ รพ.รามาธิบดี 22 เม.ย. 2559 05:01

 

เท้าเป็นอวัยวะสำคัญที่ทำหน้าที่รองรับน้ำหนักและเคลื่อนไหว แต่หลายคนมักจะละเลยการดูแลสุขภาพเท้า โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวานที่อาจเริ่มมีอาการเท้าชา เท้าผิดรูป ซึ่งจำเป็นต้องได้รับ การดูแลสุขภาพเท้าและการเลือกรองเท้าอย่างถูกต้องและเหมาะสม เพื่อป้องกันการเกิดแผลที่เท้าและลดอัตราการถูกตัดขาของผู้ป่วย

รองเท้าที่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน

– รองเท้าควรทำจากวัสดุที่มีความยืดหยุ่น เช่น หนังแท้ หนังสังเคราะห์ และผ้าบางชนิด

– รองเท้าควรมีความพอดี ทั้งขนาดและรูปร่าง ไม่คับหรือหลวมเกินไป โดยให้สังเกตความกว้างภายในให้เหมาะกับเท้า ส่วนหน้าควรเลือกชนิดหัวโตที่กว้างพอให้นิ้วเท้าสามารถขยับได้

– รองเท้าต้องมีสายรัดส้นหรือหุ้มส้น เพราะผู้ป่วยเบาหวานบางคนมีปัญหาเท้าชาเวลาเดิน ถ้าใส่รองเท้าแตะจะหลุดง่าย ทำให้ต้องมีการจิกนิ้วเท้ากับรองเท้า เมื่อเกิดแรงกดมากก็มีโอกาสเกิดแผลได้

– รองเท้าควรเป็นชนิดที่มีเชือกผูก เพื่อให้ปรับได้ง่ายเวลาเท้าขยายตัว ด้านในรองเท้าควรบุให้นิ่มและเรียบ โดยเฉพาะส่วนที่รับเท้าต้องยืดหยุ่น สำหรับรองเท้ากีฬาและรองเท้าวิ่ง ส่วนนี้ควรหนาประมาณ 5-10 มิลลิเมตร

เทคนิคการเลือกซื้อรองเท้าสำหรับผู้ป่วย

– เลือกให้เหมาะกับการใช้งาน เช่น รองเท้ากีฬา รองเท้าใส่ในบ้าน ควรเลือกซื้อรองเท้าในช่วงบ่าย เนื่องจากขนาดเท้าจะขยายมาก

– รองเท้าแต่ละแบบมีส่วนหน้ากว้างไม่เท่ากัน ควรทดสอบโดยใช้กระดาษแข็งวาดรอบเท้าแล้วสอดแผ่นกระดาษเข้าไปในรองเท้า ถ้าแผ่นกระดาษม้วนตัวหรือมีรอยย่นแสดงว่าแคบไป

วิธีการใช้รองเท้าคู่ใหม่

เมื่อได้รองเท้าคู่ใหม่ ควรเริ่มใส่เดินในวันแรกประมาณ 30 นาที จากนั้นให้ตรวจว่ามีรอยแดง ถลอกหรือไม่ ถ้ามีแสดงว่ารองเท้านี้คับไป ควรนำไปแก้ไขหรือหาคู่ใหม่ ในกรณีรองเท้าไม่มีปัญหา ให้ค่อยๆ เพิ่มเวลาในการใช้รองเท้าในวันที่ 2 เป็น 1 ชั่วโมงแล้วค่อยๆ เพิ่มเวลาในการใช้งานทั้งหมดใช้เวลาประมาณ 1 สัปดาห์

ก่อนใส่รองเท้าทุกครั้ง ให้เคาะรองเท้าและตรวจดูว่ามีสิ่งแปลกปลอมอยู่ภายในรองเท้าหรือไม่ เช่น เศษดิน หิน และต้องใส่รองเท้าตลอดเวลาทั้งในและนอกบ้าน ห้ามใส่รองเท้าเปิดโดยเฉพาะแบบคีบ และควรสวมถุงเท้าทุกครั้งที่ใส่รองเท้า

นายแพทย์เอกชัย เพชรล่อเหลียน
คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี