ขอเตือน! หน้าร้อน ระวัง “ภาวะขาดน้ำ” ให้ดี

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/603289

โดย Playboy Thailand 21 เม.ย. 2559 16:01

 

สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการออกกำลังกาย เมื่อย่างเข้าหน้าร้อนถือว่าต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะคุณอาจจะไม่สามารถออกกำลังกายแบบหักโหมเหมือนกับที่ผ่านๆ มาได้ เพราะด้วยเงื่อนไขของความร้อนในอากาศ และอีกสิ่งที่ต้องระวังคือ ภาวะการขาดน้ำ

ในการออกกำลังกายตามปกติ ร่างกายของเราต้องสูญเสียเหงื่อจากการใช้กำลังอยู่แล้ว แต่เราจะสูญเสียน้ำเพิ่มขึ้น เพราะว่าอากาศที่ร้อนอย่างหน้าร้อน ทำให้ร่างกายที่มีการขับเหงื่อและสูญเสียน้ำมากกว่าปกติ ตรงนี้ต้องระวังให้ดี เพราะอาจจะส่งผลเสียกับร่างกายได้

ภาวะที่ร่างกายขาดน้ำ หรือภาษาทางการแพทย์เรียก Dehydration หมายถึงภาวะที่ร่างกายเราสูญเสียน้ำมากกว่าที่ร่างกายได้รับ ซึ่งหากขาดน้ำมากๆ และไม่ได้รับการทดแทนอย่างเพียงพอ ในเวลาที่เหมาะสมก็อาจจะก่อให้เกิดผลเสียตามมา น้ำเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของร่างกาย เป็นส่วนประกอบของเลือด น้ำย่อย ปกติร่างกายเราจะสูญเสียน้ำประมาณ 10 ถ้วย หรือ 2.5 ลิตรทางเหงื่อ ลมหายใจและการขับถ่าย นอกจากน้ำแล้วร่างกายยังเสียเกลือแร่ด้วย

ดังนั้นก่อนการออกกำลังกายควรปฏิบัติเช่นนี้

– ก่อนการออกกำลังสัก 2-3 ชม. ควรจะดื่มน้ำ 500 – 600 cc อาจจะเป็นน้ำเปล่าหรือน้ำเกลือแร่ก็ได้
– ก่อนออกกำลังกาย 10-20 นาที ดื่มน้ำหรือน้ำเกลือประมาณ 200 – 300 cc
– ระหว่างที่ออกกำลังกายให้ดื่มน้ำ หรือน้ำเกลือแร่ทดแทนเหงื่อและปัสสาวะที่เสียไป หรือดื่มน้ำหรือน้ำเกลือเพื่อไม่ให้น้ำหนักลดลงมากกว่า 2% หรืออาจจะดื่ม 200 – 300 cc ทุก 20 นาที หากต้องออกกำลังกายนานเกินกว่า 45 นาที หากออกกำลังน้อยกว่า 45 นาทีใช้เพียงน้ำเปล่าก็พอ
– ชั่งน้ำหนักก่อน และหลังออกกำลังกายเพื่อให้ทราบปริมาณน้ำที่ร่างกายสูญเสีย และดื่มทดแทนปริมาณ 150% ที่สูญเสียภายใน 2 ชั่วโมง

สิ่งที่ตามมาหลังจากร่างกายขาดน้ำคือ

– หากร่างกายเสียน้ำไป 1 – 2% จะทำให้การทำงานของกล้ามเนื้อลดลง หัวใจเต้นเร็วขึ้น 5 ครั้ง/นาที ทุก 15% ที่น้ำหนักลดลง
– หากสูญเสียน้ำ 2% ของน้ำหนักตัวจะทำให้ความทนทานของกล้ามเนื้อ และความสามารถในการออกกำลังลดลง
– หากสูญเสียน้ำมากกว่า 3% จะทำให้เกิด ตะคริว ลมแดด

ที่มา – Playboy Thailand
www.playboy.co.th
www.facebook.com/playboythailand

เซ็กซ์ฤดูร้อน ไม่ต้องง้อห้องแอร์!

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/603287

โดย FHM 20 เม.ย. 2559 16:01

 

หนุ่มๆ หลายคนอาจคาดไม่ถึง เคล็ดลับเพิ่มความร้อนแรง ที่หลายๆ คนอาจมองข้ามไป สะกดให้สาวๆ พร้อมใจละลายในหน้าร้อน !

Q : เซ็กซ์ในหน้าร้อน ใจก็มักจะร้อนตาม ชวนให้หงุดหงิด แล้วควรทำยังไงดี?

A : หนุ่มหลายคนดูภาพยนตร์โรแมนติก แล้วเกิดคิดอิจฉาว่าทำไมประเทศเขตร้อนอย่างไทย จึงไม่มีหิมะตกบ้าง? จะได้พลอดรักกันอย่างหวานฉ่ำหนำใจ

แต่หนุ่มเมืองร้อนอย่าเพิ่งรีบคิดอิจฉา!! เข้าใจได้ว่า อากาศร้อน ทำให้บางคนรู้สึกหงุดหงิด จนไม่คิดอยากมีกิจกรรมเข้าจังหวะบนเตียงรักเลยก็มี แต่หนุ่มๆ รู้ไหมว่า อากาศร้อนพอดีๆ นั้นจะทำให้แรงขับทางเพศของคุณทั้งคู่เพิ่มสูงขึ้นได้ และดีกรีความเร้าใจอาจอยู่ในข่ายที่ไม่ธรรมดา!

ดร.คริสตี ฮาร์ตแมน ผู้เขียน Changing Your Game : A Man’s Guide to Success with Women แสงแดดอาจมีผลต่อฮอร์โมนของเรา และในอดีต SPIE Travel บริษัททัวร์ในประเทศเดนมาร์ก เสนอไอเดียเด็ดต้องการกระตุ้นให้คนออกไปรับแสงแดด ด้วยการทดลองที่ชื่อว่า THE SOLAR CHARGING DUMMIES เพื่อทดสอบว่า แสงแดดเพิ่มพลังรักได้หรือไม่? ผลลัพธ์ก็มีว่า แสงแดดสามารถให้พลังรักเพิ่มขึ้นได้หลายเท่าตัวเชียวล่ะ! ดังนั้น ฤดูร้อนหรือจะอากาศร้อน ก็ไม่ใช่ปัญหา แต่คือ ช่วงเวลาดีๆ ที่เหมาะสำหรับกิจกรรมเข้าจังหวะเป็นที่สุด แถมยังช่วยเผาผลาญไขมันได้ดีขึ้นอีกด้วย หลอดเลือดและเครื่องเพศทำงานได้ดีกว่าการเผชิญอากาศหนาวเป็นไหนๆ

ในกรณีถ้าคุณเบื่อแอร์… อลัน เฮิร์ช จิตแพทย์และผู้อำนวยการมูลนิธิวิจัยกลิ่นและการบำบัดในชิคาโก กล่าวว่า เหงื่อสามารถปลุกความชุ่มชื้นให้เซ็กซ์ของคุณได้ เพราะต่อมกลิ่นใต้ผิวหนังจะขับฟีโรโมนออกมาทางเหงื่อด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งฟีโรโมนนี้เอง จะเป็นตัวช่วยกระตุ้นความปรารถนาให้กับเพศตรงข้ามได้เป็นอย่างดี ดังนั้น “เปิดแอร์ให้เย็นฉ่ำ” ก็อาจไม่ใช่คำตอบสุดท้ายเสมอไป ฉะนั้นขั้นแรก ลองปิดแอร์ดูดีไหม? จะได้เห็นเนื้อตัวชุ่มเหงื่อ นี่แหละที่จะทำให้เกิดความรู้สึกถึงเซ็กซี่ขึ้นเป็นกอง จนเซ็กซ์ร้อนๆ ทะลุเกินจุดเดือด!

ที่มา – FHM Thailand
www.fhm.in.th

10 ผักแคลอรีต่ำๆ กินแล้วสวย หุ่นเฟิร์มไปอีกกกก

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/603225

โดย Cleo Thailand 19 เม.ย. 2559 16:01

 

อยากหุ่นเฟิร์ม คลีโอขอแนะว่าให้คุมอาหาร และออกกำลังกายควบคู่ไปด้วยจะดีกว่าการมานั่งอดอาหารจะยิ่งทำให้ร่างกายยิ่งโหยหนัก วันนึงตบะแตกกลับมากินหนักยิ่งกว่าเดิมอีก และนี่คือ 10 ผักที่แคลอรีตำ่ กินแล้วไม่อ้วน เหมาะกับสาวๆ ที่อยู่ในช่วงคุมนำ้หนักเป็นที่สุด

1. เซเลอรี (Celery)

ผักชนิดนี้คือเริดมาก แคลอรีต่ำเวอร์ แค่ 15 กิโลแคลอรี เท่านั้นเอง แถมไฟเบอร์สูงกินแล้วอิ่มท้อง เอามาทำเมนูได้เพียบ จะต้มเป็นแกงจืด ผัด แกง หรือกินเป็นสลัด คั้นเป็นน้ำดื่มร่วมกับผักอื่นๆ ก็ได้ แต่รสชาติก็อาจจะเหม็นเขียวเล็กน้อย แต่ท่องไว้เราจะสวยๆๆๆๆ

2. กะหล่ำปลี (Cabbage)

ผักเบๆ เห็นกันอยู่ทุกวี่วัน แต่ใครจะรู้ว่านางกินแล้วไม่อ้วนนะฮะ เพราะถ้าเราหม่ำกะหล่ำปลี 1 ขีด ก็จะแคลอรีแค่ 25 กิโลแคลอรี เท่านั้นเองค่าคุณขา รีบเลยด่วนๆ จะเอาไปทำกะหล่ำปลีต้ม หรือลวกแล้วก็ไปจิ้มกับน้ำพริก แต่ที่สำคัญควรทานแบบต้มสุกแล้วนะ เพราะความร้อนจะช่วยทำลายสารพิษที่เรียกว่า Goibrogen ซึ่งถ้าเราได้รับมากๆ อาจทำให้เกิดโรคคอหอยพอกได้

3. หน่อไม้ฝรั่ง (Asparagus)

เจ้าหน่อไม้ฝรั่ง ผักกรุบกรอบ กินคู่กับสลัด จะเอาไปทำเป็นดิ๊ปจิ้มกิน หรือเมนูไทยๆ หน่อยก็เอาไปผัดนำ้มันหอยนี่แหละ กินบ่อยๆ แล้วดี เพราะหน่อไม้ฝรั่ง 1 ขีด ให้พลังงาน 20 กิโลแคลอรี เท่านั้น

4. บีทรูท (Beetroot)

บีทรูท 1 ขีด ให้พลังงาน 40 กิโลแคลอรี แถมยังมีสาร Antioxidant ที่ชื่อว่า Betacyanin ช่วยบำรุงผิวพรรณให้สวยเด้ง จะเอาไปทำ ยำ ส้มตำ เป็นเครื่องเคียง คั้นเป็น Smoothy รวมกับผลไม้อย่างอื่นก็กินเพลินสุดๆ

5. แตงกวา (Cucumber)

ผักข้างเคียงคู่ใจ แล้วยิ่งรู้ว่าให้แคลอรีแค่ 15 กิโลแคลอรี ก็ยิ่งเลิฟหนักเลย แถมยังมีฤทธิ์เย็นช่วยลดความร้อนในร่างกาย กากใยก็สูง ช่วยลดคอเรสเตอรอล เพิ่มความสดชื่น แล้วยังมีผลการวิจัยบอกมาว่าเม็ดของแตงกวามีฤทธิ์ช่วยต้านมะเร็งด้วยแหละ

6. ซูกินี (Zucchini)

ซูกินี จัดเป็นพืชตระกูลแตง กากใยสูง 1 ขีด เพียง 20 กิโลแคลอรี เอามาทำอาหารได้เพียบอย่าง ซูกินีผัดไข่ ซูกินีไส้หมูสับ แกงจืดซูกินี หรือบางคนเขาก็เอามาขูดเป็นเส้นแทนก๋วยเตี๋ยวได้ลดแป้งไปอีก เริดมากกก

7. มะเขือเทศ (Tomato)

ก็เจ้ามะเขือเทศสด 1 ขีด ให้แคลอรี 20 กิโลแคลอรี แถมยังมีสารไลโคปีน ช่วยต้านมะเร็ง ผิวพรรณสดใส ลดความเสี่ยงโรคหัวใจ แล้วถ้าเอาไปทำให้สุก สารไลโคปีนจะออกฤทธิ์ได้ดีขึ้นด้วย รีบเข้าครัวไปผัดด่วน เราขอแนะนำผัดกับนำ้มันมะกอก แล้วปรุงด้วยเกลือ และพริกไทยนิดๆ กินคู่กับสลัด คือดีเลยต้องลอง

8. หัวเทอร์นิพ (Turnip)

ผักกาดเทอร์นิพ ให้แคลอรี 30 กิโลแคลอรี แต่เราขอเตือนไว้ก่อนว่ารสชาติอาจจะไม่ค่อยชอบกันก็ได้ เพราะมันจะจืดๆ แบบไม่มีรสชาติ คล้ายๆ กับมันแกว แต่มันดีตรงที่ช่วยให้อิ่มท้องได้นาน ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกายด้วยนะ เอาน่าท่องไว้มันดี มันมีประโยชน์

9. แครอต (Carrot)

ในแครอตมีสารเบต้าแคโรทีน ช่วยบำรุงสายตา บำรุงผิว ปรับสมดุลในร่างกาย แคลอรีก็ต่ำแค่ 40 กิโลแคลอรี เอง ลองกันเป็นแท่งๆ แช่ให้เย็นจิ้มกับนำ้สลัด หรือถ้าใครไม่ชอบกินแบบดิบๆ ก็เอาไปคั้นเป็นนำ้ หรือเอาไปต้มให้สุกจะได้นิ่มกินได้ง่ายขึ้น

10. บรอคโคลี (Broccoli)

ก็เล่นมีแคลอรีแค่ 30 กิโลแคลอรี เต็มไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ เส้นใยอาหาร Betacalotine, Vitamin C, Phytonutrient ช่วยต้านมะเร็งไปอีก ยิ่งกินก็ยิ่งดีนะพูดเลย

ที่มา – Cleo Thailand
www.cleothailand.com

เข้าหน้าร้อน ต้องเตรียมพร้อมดูแลสุขภาพ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/602512

โดย Playboy Thailand 17 เม.ย. 2559 16:01

 

เข้าสู่ฤดูร้อนอย่างเป็นทางการ และแน่นอนว่าด้วยความร้อน ของอากาศในระดับสุดโหดของบ้านเรา คุณต้องเตรียมพร้อมในการดูแลสุขภาพเพื่อไม่ให้ ‘ร่วง’ ในช่วงนี้

ไม่ควรกินน้ำแข็งหรือดื่มน้ำเย็นจัด

ฤดูร้อน อากาศร้อน ต้องหาทางช่วยดับความร้อน เพื่อป้องกันความร้อนกระทบร่างกายมากเกินไป เป็นหลักการที่ถูกต้อง แต่วิธีการให้ความเย็นแทนที่มากเกินไป เช่น กินน้ำแข็ง อยู่ในที่ที่มีความเย็น กินแต่อาหารที่มีความเย็น ฯลฯ นับว่าไม่เหมาะสม โดยทั่วไป เรามักดื่มน้ำเย็นๆ น้ำใส่น้ำแข็ง น้ำชาแช่เย็น หรือใส่น้ำแข็ง น้ำอัดลม ผลไม้แช่เย็น เช่น แตงโม สับปะรด ฯลฯ ของเย็นๆ เหล่านี้ จะมีผลกระทบต่อระบบการย่อยอาหาร น้ำเย็นปริมาณมาก จะไปเจือจางน้ำย่อย และมีผลให้เลือดที่มาหล่อเลี้ยงกระเพาะอาหาร เพื่อทำการย่อยลดน้อยลง ทำให้สมรรถภาพการย่อยอาหารลดลง ก่อให้เกิดโรคกระเพาะ ลำไส้อักเสบได้ง่าย คนที่เป็นโรคกระเพาะ และเป็นแผลอักเสบอยู่แล้ว ก็จะกำเริบได้ง่าย หรือคนที่เป็นโรคหลอดลมอักเสบ หากดื่มน้ำเย็น ก็จะยิ่งทำให้มีอาการไอและหอบมากขึ้น นอกจากนั้น น้ำแข็งที่ไม่สะอาด ก็มีส่วนทำให้เกิดท้องร่วงท้องเสียอีกด้วย

เครื่องดื่มที่เหมาะสมในหน้าร้อน

ร่างกายเราสูญเสียน้ำทางเหงื่อมาก การทดแทนน้ำในร่างกายที่เสียไปที่ดี คือ การดื่มน้ำเปล่า (ที่สุกแล้ว) หรือถ้าจะเสริมปรุงแต่งด้วยน้ำตาล เกลือ หรือสมุนไพรอื่นๆ ก็สามารถเลือกได้ตามความชอบ และ ความเหมาะสม

ไม่ควรนอนให้ลมหรือความเย็นโกรก

ความร้อนจากแดดทำให้เสียเหงื่อ เสียพลัง เมื่อนอนตากลมในขณะเหงื่อออก จะทำให้อุณหภูมิร่างกายลดต่ำลง ถ้าอุณหภูมิภายนอกยังสูงอยู่แล้วเหงื่อไม่สามารถระบายออกมาได้ ทำให้ความร้อนสะสมอยู่ข้างใน อาจเกิดอาการเวียนหัว รู้สึกหนักหัวและอาจทำให้เป็นหวัดได้

ไม่ควรงดอาหารเช้า

เพราะร่างกายต้องการสารอาหารเพื่อกระตุ้นระบบเผาผลาญ ซึ่งจะช่วยควบคุมน้ำหนักด้วย แต่ควรหลีกเลี่ยงอาหารจำพวกแป้งหรือของทอด ของมัน หากควบคุมอาหารแล้วยังรู้สึกท้องอืดและอึดอัดอยู่ แนะนำให้ดื่มน้ำชาเปปเปอร์มิ้นท์ จะช่วยขับลมทำให้รู้สึกสบายขึ้น

ที่มา – Playboy Thailand
www.playboy.co.th
www.facebook.com/playboythailand

งดข้าวเช้า…กลับตายเร็ว

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/606497

โดย หมอดื้อ 17 เม.ย. 2559 05:01

 

พูดกันมานานและฝังใจกันมาตลอดว่าอาหารเช้าเป็นมื้อสำคัญที่สุด ในแง่ของการคุมน้ำหนัก แจ่มใส ทนงาน ไม่ล้า และลดความเสี่ยงต่อการเกิดความดันสูง โรคหัวใจ ไขมันสูง เบาหวาน เป็นต้น

แต่อย่างไรก็ตาม หลักฐานเชิงประจักษ์ตัวเป็นๆที่จะแสดงให้เห็นคุณงามความดียังไม่เป็นที่ชัดเจน จวบจนกระทั่งมีรายงานหลักฐานจากการศึกษาที่ญี่ปุ่นตีพิมพ์ในวารสารโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke 2016) แสดงให้เห็นชัดว่า ถ้าไม่กินตอนเช้า จะเสี่ยงต่อการเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต ทั้งจากเส้นเลือดแตกและตันในสมอง รวมทั้งโรคหัวใจ

การศึกษานี้ติดตามคนญี่ปุ่น 82,772 ราย เป็นชาย 38,676 ราย และหญิง 44,096 ราย โดยมีอายุระหว่าง 45-74 ปี ตามไปตั้งแต่ปี 1995 จนถึงปี 2010 โดยที่เริ่มแรกผู้เข้าร่วมการศึกษาไม่มีโรคหัวใจหรือมะเร็ง และจำแนกแจกแจงการกินอาหารเช้าจากกินอาทิตย์ละ 0-2, 3-4, 5-6 วัน และกินทุกวัน

ทั้งนี้มีการประเมินปัจจัยต่างๆ ทั้งชนิดของอาหาร ปริมาณ ส่วนประกอบ และพฤติกรรมการดำเนินชีวิต เล่นกีฬา มีความเครียดระดับใด สูบบุหรี่ ดื่มแค่ไหน นอนหลับพักผ่อนเพียงพอหรือไม่ เป็นคนใช้แรงงาน และอยู่โดดเดี่ยวคนเดียวหรืออยู่เป็นครอบครัว และประเมินน้ำหนักตัว ดัชนีมวลกายรวม การเกิดความดันสูง เบาหวาน ระหว่างที่ติดตามการศึกษา ระดับไขมัน การใช้ยาความดัน ยาลดไขมัน ยาเบาหวาน และอื่นๆ

เมื่อสิ้นสุดการศึกษาในปี 2010 รวมการติดตามทั้งหมดเป็น 1,050,030 คน-ปี จากประชากรศึกษา 82,772 ราย ทั้งนี้มีเพียง 7% (5,839 ราย) ที่ติดตามได้ไม่ครบ 15 ปี พบว่ามีอุบัติการณ์ของโรคเส้นเลือดหัวใจ 4,642 โรคอัมพฤกษ์ 3,772 ราย (เส้นเลือดสมองแตก 1,051 ตกเลือดในเยื่อหุ้มสมอง 417 และเส้นเลือดตันในสมอง 2,286 ราย) และมี 870 รายที่เกิดเส้นเลือดหัวใจตีบและเสียชีวิตทันที

ที่น่าสนใจคือ เป็นความจริงที่อาหารเช้ามีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงการเกิดโรค โดยถ้ากินบ่อยครั้งหรือทุกวันในหนึ่งอาทิตย์ กลับปลอดโรคมากขึ้น

ทั้งนี้โดยที่เมื่อปรับเกณฑ์ต่างๆเข้าด้วยกันของ อาหาร น้ำหนัก ยาที่ใช้ โรคที่เป็น การออกกำลังกาย การสูบบุหรี่ ปริมาณผัก ผลไม้ ปลา เต้าหู้ นม ถั่ว ไขมันอิ่มตัว ปริมาณกากใย ไฟเบอร์ และแม้แต่ปริมาณเกลือโซเดียมก็ตาม ยังพบว่าการที่ไม่กินอาหารเช้าหรือยิ่งอดบ่อยกลับมีความสัมพันธ์แนบแน่นกับความเสี่ยงของโรคทั้งหลายทั้งปวง

กลไกที่เกี่ยวข้องอาจจะอธิบายจากการที่คนอดอาหารจะมีความดันขึ้นสูง โดยเฉพาะในช่วงเช้ามืดและเป็นเวลาเดียวกับที่เส้นเลือดสมองชอบแตก ทั้งนี้จะเกี่ยวเนื่องจากความเครียดที่ส่งผลจากสมองส่วนไฮโปธาลามัส (Hypothalamus) ลงมาต่อมใต้สมอง และลงมายังต่อมหมวกไตหรือไม่อาจจะยังบอกไม่ได้

แต่ถ้าอธิบายจากระบบนี้จะมีสารสื่อสมองหลายตัว รวมทั้งฮอร์โมน สเตียรอยด์ด้วย ซึ่งส่งผลถึงความดันและเส้นเลือด

การศึกษานี้น่าสนใจตรงที่เป็นคนเอเชียด้วยกันและอาจจะใกล้เคียงคล้ายคลึงบ้างกับคนไทยและที่น่าแปลกอีกประการคือ ในฝรั่ง ถ้าไม่กินข้าวเช้าดูจะเกิดหัวใจวายมากกว่าโรคทางสมองอย่างในคนญี่ปุ่น ทั้งนี้โดยที่เส้นเลือดแตกจะสูงกว่าเส้นเลือดสมองตีบด้วยซ้ำ การศึกษานี้ได้รับทุนสนับสนุนจากกระทรวงสาธารณสุขของญี่ปุ่น ดังนั้นคงไม่มีการโปรโมตใดๆที่เกี่ยวกับการค้า และไม่เกี่ยวข้องชัดเจนกับการกินอาหารสุขภาพชนิดใดๆ แม้ว่าถ้ากินผัก ผลไม้ กากใย ถั่ว เป็นหลักด้วย

ผลประโยชน์น่าจะยิ่งมากขึ้น ร่วมกับการไม่อดมื้อเช้า

คราวนี้คงพูดได้ อาหารเช้าสำคัญแค่ไหนและน่าจะเริ่มเป็นบรรทัดฐานของการมีชีวิตสุขภาพที่ไม่ได้เพ่งพิจารณาถึงชนิดและส่วนประกอบของอาหารว่าต้องเพิ่มปลา ผัก ผลไม้ กากใยแต่อย่างเดียว เพราะแม้แต่คนไม่ยอมอดข้าวเช้า และพลังงานที่กินเข้าไปเป็นจำนวนแคลอรีต่อวันมากกว่า แต่กลับหุ่นสวยได้สัดส่วน โดยที่มีแนวโน้มที่จะมีชีวิตเป็นสุข นอนหลับเต็มอิ่มระหว่าง 6-8 ชั่วโมง

และถึงแม้จะมีความดัน ไขมันสูงก็สามารถคุมด้วยยาได้อย่างหมดจด ทั้งนี้มีลักษณะสุขภาวะที่น่าสนใจอีกประการ คือ คนไม่อดข้าวเช้า ไม่ได้อยู่คนเดียว อยู่รวมเป็นครอบครัว และเป็นคนใช้แรงงานทำป่าไม้ จับปลา ทำการเกษตรเป็นส่วนมาก แม้ว่ากระบวนการทางสถิติจะปรับตัวแปรเหล่านี้ออก โดยชูการไม่อดข้าวเช้าเป็นประเด็นสำคัญของการไม่มีโรค แต่หมอคิดว่าการหล่อหลอมครอบครัวให้มีความสุขร่วมกัน และเริ่มวันใหม่ที่สดใส อาจเป็นหัวใจหลักครับ.

หมอดื้อ

โรคต่อมลูกหมากกับชายสูงวัย (ตอนที่ 3) ค่า PSA

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/601521

โดย คณะแพทยศาสตร์ รพ.รามาธิบดี 15 เม.ย. 2559 05:01

 

ค่า PSA ควรเริ่มตรวจเมื่ออายุเท่าใด ?

สมาคมศัลยแพทย์ระบบปัสสาวะของประเทศสหรัฐอเมริกาแนะนำว่า สำหรับ ผู้ชายที่อายุน้อยกว่า 40 ปี ยังไม่มีความจำเป็นต้องตรวจ PSA เพราะประโยชน์จาก การตรวจนั้นมีน้อยมากและไม่มีผลอะไร สำหรับผู้ที่มีอายุระหว่าง 40–54 ปี แนะนำให้ ตรวจในผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงสูง เช่น มีประวัติคนในครอบครัวเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก สำหรับผู้ที่มีอายุ 55–69 ปี สามารถตรวจ PSA ได้ เพื่อเป็นการตรวจเช็กอาการต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น

จากข้อมูลทางการแพทย์พบว่า การตรวจ PSA ในประชากร 1,000 คน จะ ป้องกันการเสียชีวิตจากมะเร็งต่อมลูกหมากได้ 1 คน ส่วนคนที่อายุมากกว่า 70 ปี จะตรวจ PSA หรือไม่นั้นควรพิจารณาเป็นรายๆ ไป ดังนั้นจะเห็นได้ว่า ปัจจุบันยังไม่มีข้อกำหนดตายตัวสำหรับช่วงอายุที่เหมาะสมสำหรับการตรวจ PSA และข้อแนะนำนี้อาจเปลี่ยนแปลงได้ในอนาคต ข้อมูลในปัจจุบันแสดงให้เห็นว่า กลุ่มประชากรที่น่าจะได้ประโยชน์มากที่สุดคือกลุ่มอายุ 55-69 ปี ฉะนั้นก่อนทำการตรวจ ผู้ป่วยควรพบแพทย์ เพื่อให้ได้รับคำแนะนำที่เหมาะสมถึงประโยชน์และความเสี่ยงของการตรวจ PSA ที่จะได้รับ เพื่อตัดสินใจร่วมกันระหว่างแพทย์กับผู้ป่วย

การดูแลต่อมลูกหมาก

สำหรับการดูแลสุขภาพของต่อมลูกหมาก โดยทั่วไปมีการศึกษาพบว่า โรค ของต่อมลูกหมากมีความเกี่ยวข้องกับภาวะอ้วนลงพุง (Metabolic syndrome) ดัง นั้นจึงมีการแนะนำให้ดูแลสุขภาพด้วยการออกกำลังกาย ลดน้ำหนักส่วนเกิน งดสูบ บุหรี่ ลดการรับประทานอาหารประเภทเนื้อแดง สำหรับสารอาหารที่อาจจะสามารถ ป้องกันมะเร็งต่อมลูกหมากได้ คือ สารไลโคปีน (Lycopene) ซึ่งพบมากในมะเขือเทศ และพบว่าหากนำมะเขือเทศไปปรุงสุกในน้ำมันเล็กน้อยก่อนรับประทาน สารไลโคปีน จะถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ดี

นายแพทย์เปรมสันติ์ สังข์คุ้ม
คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี

10 เรื่องบนเตียง รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/601619

โดย FHM 13 เม.ย. 2559 16:01

 

เรียนรู้ความต้องการของอีกฝ่าย เปลี่ยนเรื่องยากให้กลายเป็นเรื่องง่ายอย่างได้ผล จนคนรักของคุณพึงพอใจในเรื่องบนเตียง…

1. ใช่ว่าผู้หญิงทุกคนจะชื่นชอบลีลารักพิสดาร เพียงแต่เธออาจชื่นชอบท่าที่เหมาะสมกับความต้องการของเธอเอง อย่างเช่น ผู้หญิงอยู่บน (Woman on Top) เพราะเร้าอารมณ์ความรู้สึกได้มากกว่า ทั้งได้เห็นสีหน้า ร่างกาย ความรู้สึกของคนรัก และรู้สึกเป็นอิสระไปอีกขั้น

2. ผู้ชายมักจะไม่พูดคุยหรือเปิดเผยความรู้สึกส่วนลึกของเขา ในขณะ ‘ร่วมรัก’ เพราะอาจกำลังมุ่งมั่นและตั้งใจปฏิบัติภารกิจอย่างเต็มที่! จนอาจทำให้ฝ่ายหญิงรู้สึกว่าคุณไม่แคร์เธอเท่าที่ควร แต่ก็สามารถแก้ไขได้ ด้วยการกอดเธออย่างหลวมๆ หลังเสร็จสิ้นภารกิจ และกระซิบคำหวานบ่งบอกความพึงพอใจ ก็ใช้ได้แล้ว

3. การแข็งตัวของน้องชาย ไม่ได้หมายความว่าต้องการเซ็กซ์ในเวลานั้นเสมอไป อย่างเช่น ช่วงเช้าหลังตื่นนอน มันก็จะแข็งตัวอยู่เป็นปกติ!

4. เพศชายถูกกระตุ้นให้เกิดอารมณ์เซ็กซ์ได้ง่ายกว่า เพียงแค่มีภาพที่น่าพอใจต่อสายตา เพราะผู้ชายจะใช้สมองด้านขวาซึ่งเกี่ยวข้องกับจินตนาการมากกว่าเพศหญิง ดังนั้น ยามที่คุณผู้หญิงทั้งหลายมีหน้าตาบึ้งตึง ผู้ชายมักไม่มีอารมณ์เสน่หาเท่าไร ฉะนั้น ฝ่ายชายก็จงพยายามทำให้เธออารมณ์ดีเข้าไว้ ผลดีย่อมจะตกแก่คุณทั้งสองฝ่าย!

5. ไซส์เจ้าหนูของผู้ชาย ไม่ใช่สิ่งสำคัญอันดับหนึ่งของผู้หญิง ถ้าคุณเป็นพวกไซส์ S แต่ขยันทำการบ้าน รู้ความต้องการของฝ่ายตรงข้าม ลื่นไหลต่อเนื่องอย่างนุ่มนวล รับรองว่าสาวๆ ทั้งหลายจะหนีไปไหนไม่พ้นแน่นอน

6. ผู้หญิงมีแรงขับทางเพศต่ำกว่าผู้ชาย ผู้หญิงจะไม่รู้สึกเกิดความใคร่ถ้าไม่ใช่ชายที่เธอรู้สึกรัก และถ้าชายที่เธอรักไม่ใส่ใจในความต้องการ เธอก็อาจไม่สนใจที่จะร่วมรักกับเขา!

7. อย่าเข้าใจผิดว่าหนังติดเรตจะช่วยปลุกอารมณ์ของฝ่ายหญิงเสมอไป ซึ่งผิดกับฝ่ายชายที่เห็นภาพวาบหวิวแล้ว ทำให้เกิดความต้องการขึ้นมาได้ง่ายๆ เพราะสำหรับฝ่ายหญิงต้องหนังประเภทรักหวานโรแมนติก มีฉากดูดดื่มนิดๆ ก็สามารถกระตุ้นความต้องการฝ่ายหญิงบางคนได้แล้ว

8. สำหรับคุณผู้ชายที่เจอปัญหาหลั่งเร็ว การใช้นิ้วโป้งกับนิ้วชี้บีบบริเวณโคนน้องชายไว้ประมาณ 20 วินาที ก่อนที่คุณจะรู้สึกใกล้ถึงเส้นชัยเต็มที จากนั้นค่อยๆ ปล่อยมือและปฏิบัติกิจต่อไป จะช่วยยืดเวลาการหลั่ง และยังช่วยเพิ่มระดับความสุขตอนที่ใกล้ถึงจุดสุดยอดได้อีกด้วย

9. สมองผู้ชายมีความอ่อนด้อยเรื่องการแสดงอารมณ์และการสนทนา แต่ส่วนที่มาชดเชยคือความสามารถในการคิดถึงเรื่องเซ็กซ์ เนื่องจากผู้ชายมีสมองส่วนนี้ใหญ่กว่าของผู้หญิงถึง 2 เท่า!

10. เรื่องถึงจุดสุดยอด ไม่ใช่สิ่งสำคัญสำหรับผู้หญิง เพราะหลายครั้งการร่วมรักโดยไปไม่ถึงจุดสุดยอด กลับให้ความสุขกับเธอได้มากกว่า นั่นเป็นเพราะว่าเธอต้องการเพียงได้ใกล้ชิดกับคนที่เธอรัก บางอารมณ์ผู้หญิงต้องการเพียงแค่การกอดอย่างอบอุ่น หรือการจุมพิตเพียงแผ่วเบา ตรงกันข้ามกับฝ่ายชายที่วางเป้าเอาไว้ว่าต้องพยายามไปให้ถึงฝั่งฝัน ไม่อย่างนั้นพวกเขาจะคิดทันทีเลยว่า สอบตก!

ที่มา – FHM Thailand
www.fhm.in.th

ว้ายยย…7 นิสัยนี้ ทำให้เราหน้าแก่ขึ้นได้ด้วยเหรอเนี่ย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/601609

โดย Cleo Thailand 12 เม.ย. 2559 16:02

 

โอ๊ยยๆๆ ไอ้เรานี่ก็เครียดเข้าไปสิ เดี๋ยวนี้ไปไหนมาไหนก็มีแต่คนทักว่าหน้าล้ำเกินอายุ รอยเหี่ยว รอยย่นไม่รู้จะรีบมาไปไหน นี่ยังไม่ขึ้นเลขสามเลยนะคะคู้นนน ระหว่างที่กำลังนั่งปวดหัวอยู่ ก็ไปอ่านเจอผลวิจัยมาว่ามันมีนิสัยบางอย่างที่ทำให้คนเราแก่ขึ้นแบบไม่รู้ตัว บอกเลยงานนี้มีเงิบ

1. Multitasking นี่คือเริ่ด

เฮ้ย ไม่จริงอ่ะ มัลติทาส์กกิ้งเป็นเรื่องดีงาม แล้วมันจะทำให้เราแก่ขึ้นได้ยังไง เรย์มอน แคสเซียรี่ หัวหน้านักการแพทย์ของโรงพยาบาล เซ็นต์ โจเซฟ บอกว่า “คนเราชอบคิดว่าการทำอะไรหลายๆ อย่างพร้อมกันเป็นเรื่องที่ดี แต่ถ้าเราทำอะไรไม่เสร็จเลยสักอย่าง เราก็จะสร้างความเครียดขึ้นมาแบบไม่รู้ตัว” และผลวิจัยบอกว่าความเครียดที่สะสมจนกลายเป็นเรื้อรังนี่แหละที่จะไปกระตุ้นการสร้างสารอนุมูลอิสระ และโมเลกุลที่ไปทำร้ายเซลล์ที่ดูแลเรื่องความอ่อนวัย ทำให้ระบบต่างๆ ทำงานผิดปกติ

2. เห็นขนมหวานทีไร อดใจไม่ไหวจริงๆ

รู้มั้ยว่านอกจากมันจะทำให้น้ำหนักขึ้นพรวดๆ แล้ว มันยังไปเพิ่มอายุให้หน้าเราอีกด้วยนะ “โมเลกุลของน้ำตาลจะไปเกาะติดกับไฟเบอร์โปรตีนในเซลล์” และนั่นจะทำให้ริ้วรอยตีนกาเพิ่มขึ้น แถมยังไปขยายไซส์รูขุมขนให้ใหญ่ขึ้นอีก ถ้าไม่อยากหน้าแก่เร็ว คราวหน้าเห็นขนมหวาน ต้องหัดใจแข็งเลิกวิ่งเข้าใส่ได้แล้ว

3. ปกติได้นอน 5 ชั่วโมงก็เก่งแล้ว

อย่าคิดว่าอายุยังน้อย แล้วจะใช้ชีวิตให้สุดยังไงก็ได้ เพราะเมื่อไหร่ที่เรานอนไม่พอ ไม่ใช่แค่จะมีถุงกาแฟอยู่ใต้ตาจนกลายเป็นญาติหมีแพนด้าเท่านั้นนะ แต่มันยังทำให้ระบบชีวิตรวนอีก เพราะฉะนั้นเราควรที่จะนอนให้ได้วันละ 7 ชั่วโมงเป็นดีที่สุด เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาง่วงนอนในตอนกลางวัน สมองเบลอไม่แอคทีฟ และน้ำหนักเพิ่มขึ้นอีกด้วย

4. นั่งอยู่กับที่ทั้งวัน ไม่ยอมลุกไปไหน

นี่เค้ามีผลวิจัยออกมาเพียบเลยนะว่าการที่นั่งอยู่กับที่นานๆ โดยไม่ขยับตัวลุกไปไหนเลย มันไปเพิ่มโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคตับ โรคหลอดเลือด และโรคมะเร็ง อย่างใน British Journal of Sports Medicine บอกว่าถ้าเราควรจะลุกเดินไปไหนมาไหนบ้าง และการออกกำลังกายเป็นประจำทุกวัน มันจะช่วยให้เราเฮลตี้ แถมหน้าเด็กได้ด้วย

5. อายครีมอะไร ชั้นไม่เคยแคร์

เมื่อก่อนเราเองก็แอบขี้เกียจ คิดว่าถ้าแค่ครีมทาหน้าก็พอแล้ว แต่ไม่เคยรู้เลยว่าอายครีมนี่มันจำเป็นมากกก เพราะผิวบริเวณรอบดวงตานี้คือบอบบางที่สุดแล้ว สังเกตมั้ยล่ะว่าบางทีแค่ทาครีมอื่นไปโดนนี่ก็มีแสบๆ เพราะฉะนั้นเขาถึงมีอายครีมที่ใช้บำรุงเพิ่มมอยซ์เจอร์ให้กับผิวบริเวณรอบดวงตาโดยเฉพาะ ยิ่งถ้ามีส่วนผสมพวกคอลลาเจน อีลาสติน ก็จะช่วยให้ผิวกระชับขึ้น และช่วยลดริ้วรอยเหี่ยวย่นรอบดวงตาได้ด้วยล่ะ รออะไรวิ่งไปซื้อเลยสิคะงานนี้

6. จะมาเลิฟครีมกันแดดก็เฉพาะตอนไปเที่ยวเท่านั้นล่ะ

นี่ๆ ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง ที่ เวค ฟอเรส แบบติสท์ เมดิคอลล์ เซ็นเตอร์ ซาร่า เทย์เลอร์ บอกว่า “การที่เราโดนแดดตอนเดินไปนู่นไปนี่ หรือขับรถไปทำงาน นี่มันทำร้ายผิวเราได้มากกว่าเราไปทะเลอีกนะ” อีกเหตุผลหนึ่งคือเราชอบมองข้าม นึกว่ายูวีจะต้องมาเวลาแดดจัดๆ แต่ความจริงไม่ว่าจะฝนตก เมฆครึ้ม ก็มีแสงยูวีกันทั้งนั้นนะ แล้วเจ้ายูวีนี่แหละที่จะทำให้หน้าเราแก่ก่อนวัย เพราะฉะนั้นเราควรที่จะทากันแดดทุกครั้งก่อนออกจากบ้านนะอย่าลืม

7. ระดมเมคอัพเยอะเกินไป

บางทีการที่เราใช้อายแชโดว์สีฟ้าเมคทัลลิกเพิ่มเข้าไป ก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้หน้าล้ำกว่าอายุได้เหมือนกัน ด็อกเตอร์ สจ๊วต บอกว่า “การที่เราแต่งหน้าเยอะไป โดยเฉพาะชอบใช้เครื่องสำอางที่เป็นออยเบส จะทำให้รูขุมขนอุดตันและทำให้เกิดริ้วรอยได้” หรือแม้แต่การใช้สกินแคร์ที่มีน้ำหอมมากเกินไป ก็อาจจะทำให้เกิดการระคายเคืองผิวจากสารเคมี และแอลกอฮอล์ก็จะไปดึงเอาน้ำมันธรรมชาติของผิวออกมา ทำให้ผิวแห้ง เกิดเป็นรอยย่นยับบนใบหน้า

ที่มา – Cleo Thailand
www.cleothailand.com

ร่างกายกระปรี้กระเปร่า ฝึกโยคะยามเช้า

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/604445

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 12 เม.ย. 2559 05:01

 

นอนไม่อิ่ม มีอาการเหนื่อยล้าอ่อนเพลียทั้งวัน เพราะเครียดจากการทำงาน อาการเหล่านี้ถือเป็นปัญหาโลกแตกของคนยุคใหม่ที่แก้ไขได้ยาก “สตูดิโอ โยคะ แอนด์ มี” (Yoga & Me) นำเสนอข้อดี 10 ประการ จากการฝึก “โยคะยามเช้า” (A.M.Yoga) เพื่อเปลี่ยนเช้าวันธรรมดาให้เป็นเช้าวันใหม่ที่สดใส และเต็มไปด้วยพลัง โดยประโยชน์ของการฝึกโยคะยามเช้าจะช่วยลำเลียงออกซิเจนไปเลี้ยงสมองได้ดีขึ้น ทำให้สมองตื่นตัว ร่างกายสดชื่น กระปรี้กระเปร่าไปทั้งวัน ประหนึ่งได้ดื่มกาแฟรับเช้าวันใหม่ การออกกำลังกายในช่วงเช้ายังช่วยให้ระบบเผาผลาญทำงานได้ดีมีประสิทธิภาพตลอดวัน ช่วยควบคุมการทานอาหารอย่างมีวินัย ขณะเดียวกัน ก็ช่วยกระตุ้นระบบการทำงานของหัวใจ ทำให้จังหวะการเต้นของหัวใจเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นการออกกำลังกล้ามเนื้อหัวใจ และระบบหลอดเลือดให้ทำงานได้ดี ส่งผลให้ระบบไหลเวียนโลหิตในร่างกายทำงานดียิ่งขึ้น การได้ยืดเหยียดร่างกายตอนเช้า ยังช่วยป้องกันอาการปวดเมื่อยที่จะเกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน แถมช่วยให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนเอ็นดอร์ฟิน ทำให้รู้สึกสดชื่นตื่นตัวพร้อมรับเช้าวันใหม่ ช่วยให้จิตใจสงบนิ่ง รู้สึกผ่อนคลายมีสมาธิ สมองปลอดโปร่ง ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ และมีชีวิตชีวา ที่สำคัญทำให้หลับสบาย ผู้สนใจการฝึกโยคะยามเช้า สอบถามรายละเอียดได้ที่ Yoga & Me ทุกสาขา โดยวันเสาร์ที่ 30 เม.ย.นี้ จะมีกิจกรรมพิเศษ “A.M. Yoga Day” สร้างสรรค์ทุกคลาสออกกำลังกายของโยคะ ทั้งโยคะฟลาย, พิลาทิส แมท, พิลาทิสวีทูแม็กซ์ และไจโรโทนิค เพื่อสร้างพลังรับเช้าวันใหม่.

ออกกำลังกายหน้าร้อนอย่างไรให้ปลอดภัย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/598521

โดย Playboy Thailand 10 เม.ย. 2559 16:01

 

ตอนนี้เข้าสู่ช่วงหน้าร้อนแล้ว สำหรับคนที่รักสุขภาพ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ยังเป็นสิ่งที่สำคัญ เพียงแต่ในช่วงเวลานี้ จะต้องใส่ใจกับรายละเอียดบางอย่างมากขึ้น เพราะฤดูที่เปลี่ยนไป

ร่างกายต้องทำงานหนักขึ้น

แน่นอนว่าด้วยอากาศที่ร้อนขึ้นทำให้ร่างกายของคนที่ออกกำลังกายต้องทำงานหนักขึ้นโดยเฉพาะหัวใจและปอด อีกทั้งยังทำให้เสียเหงื่อมากกว่าปกติ เช่น ผู้ที่ออกกำลังกายหนักถึง 1 ชั่วโมง อาจทำให้เสียเหงื่อได้มากถึง 0.5 – 1 ลิตร และท่ามกลางอุณหภูมิที่สูงขึ้น หากไม่เตรียมตัวก่อนออกกำลังกายให้ดีก็อาจทำให้เกิด “พิษจากความร้อน” ขึ้น ได้แก่ การที่ร่างกายขาดน้ำ (Dehydration) เป็นตะคริว (Heat Cramps) จนกระทั่งถึงขั้น Heat stroke ได้ คือ ขาดน้ำจนผิวแห้ง แดง จับดูจะรู้สึกตัวร้อนเหมือนมีไข้สูง อาจถึงขั้นหมดสติ ชัก และถ้าไม่ได้รับการรักษาปฐมพยาบาลอย่างถูกต้องทันท่วงทีอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้

ระวังถ้าต้องออกกำลังกายต่อเนื่อง

ในช่วงเวลา 1 ชั่วโมงถือเป็นเวลาที่เหมาะสมสำหรับการออกกำลังในที่แจ้งสำหรับช่วงหน้าร้อน แต่ถ้าคุณต้องการใช้เวลามากกว่านั้น ควรระวังในเรื่องของการเสียน้ำเกินจากระดับที่มากกว่าปกติ ดังนั้น ควรหยุดพักถ้าเห็นว่าคุณเริ่มเหนื่อยหรือเริ่มหน้ามืดและอย่าฝืน

เลือกช่วงเวลาที่เหมาะสม

สำหรับคนที่ออกกำลังกายในห้องแอร์อย่างเช่นการเล่นฟิตเนส ตรงนี้คงไม่ใช่ประเด็นที่สำคัญ แต่คนที่ต้องออกกำลังกายกลางแจ้ง การเลือกช่วงเวลาที่เหมาะสม ถือเป็นสิ่งจำเป็น ไม่ควรออกกำลังกายในช่วง 10 โมงถึง 4 โมงเย็น เพราะด้วยแสงอาทิตย์ยังจ้า และอากาศยังร้อน ซึ่งจะทำให้ร่างกายต้องทำงานหนัก

เลือกการออกกำลังกายที่เหมาะสม

การวิ่งหรือการเล่นกีฬาที่ต้องใช้แรงท่ามกลางแสงแดด เช่น ขี่จักรยาน อาจจะไม่เหมาะกับช่วงหน้าร้อนเท่าไร ดังนั้นในช่วงนี้ ถ้ายังอยากออกกำลังกายอาจจะเลี่ยงไปทำกิจกรรมอย่างอื่น เช่น ว่ายน้ำ แทน

การดื่มน้ำสำคัญมาก

ให้ดื่มน้ำเปล่า 1 – 2 แก้ว ก่อนออกกำลังกายประมาณ 1 ชั่วโมง และดื่มน้ำอีก 1 แก้ว ก่อนออกกำลังกาย 15 – 30 นาที จากนั้นขณะออกกำลังทุกๆ 10 – 15 นาที ให้พักดื่มน้ำอีก 1/2 – 1 แก้ว และเมื่อออกกำลังกายเสร็จแล้วประมาณครึ่งชั่วโมง ไม่ว่าจะรู้สึกกระหายน้ำหรือไม่ก็ตาม ให้ค่อยๆ ดื่มน้ำอีก 2 – 3 แก้ว (อย่าดื่มรวดเดียว)

ที่มา – Playboy Thailand
www.playboy.co.th
www.facebook.com/playboythailand