สมองพัง….ดนตรีช่วยท่านได้

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/603549

โดย หมอดื้อ 10 เม.ย. 2559 05:01

 

การเกิดสุนทรียภาพทางดนตรีรวมถึงอารมณ์ร่วมในขณะฟังดนตรีนั้น เป็นผลมาจากการที่ผู้ฟังสามารถรับรู้ได้ถึงบริบทของดนตรีที่ตนกำลังฟังอยู่

เป็นที่ยอมรับกันแล้วว่า การฝึกซ้อมดนตรีในระยะยาวรวมถึงการเรียนรู้ทักษะ และการสร้างสรรค์งานดนตรีมีผลอย่างยิ่งในการส่งเสริมศักยภาพของสมอง (Music and the brain : www.nyas.org) อาศัยการประสานกันของสมองส่วนต่างๆ นอกเหนือจากที่เกี่ยวกับการฟัง การเคลื่อนไหว ดนตรียังช่วยฟื้นฟูและเสริมสร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เล่นและผู้ฟังในลักษณะเหมือนเช่น การให้ความสุข สนุกเบิกบานเป็นการตอบแทนซึ่งกันและกัน

การรักษาตามปกติร่วมกับการบำบัดด้วยดนตรี ไม่ได้เป็นเพียงแต่ช่วยให้เป็นกิจกรรมที่สนุกสนานสำหรับผู้ป่วยเท่านั้น แต่ยังมีผลเพิ่มประ-สิทธิภาพในการฟื้นฟูอีกด้วย กลไกทางประสาทวิทยาศาสตร์ เริ่มตั้งแต่การมีจินตนาการทางดนตรี

ขณะที่กำลังฟังดนตรีนั้นนอกจากสมองที่เกี่ยวกับการได้ยินแล้ว ยังมีสมองที่ก่อให้เกิดจินตภาพว่ากำลังร้องหรือเล่นเครื่องดนตรีนั้นๆควบคู่ไปด้วย (perception-action mediation) ในกระบวนการดังกล่าวอาศัยสมองหลายส่วนได้แก่ ventrolateral premotor cortex, Rolandic operculum, Broca’s area, Insula และ inferior parietal region ซึ่งสำคัญมากทั้งสร้างสรรค์ดนตรีรวมถึงการสร้างคำพูดเพื่อการสื่อสาร หากกระบวนการดังกล่าวแปรปรวนอาจเกิดภาวการณ์สูญเสียความสามารถเฉพาะทางด้านดนตรี (amusia) และรวมถึงความสามารถในการใช้หรือเข้าใจคำพูด และภาษา (aphasia)

การฟื้นฟูความสามารถทางด้านการใช้ภาษาของผู้ป่วย ซึ่งเกิดจากอัมพฤกษ์ที่สมองซีกซ้าย อาจทำได้โดยผ่าน การกระตุ้นสมองซีกซ้ายบริเวณใกล้เคียงกับส่วนที่มีพยาธิสภาพจากโรค ให้กลับมาทำหน้าที่แทนส่วนที่เสียไปหรือผ่านทางกระบวนการกระตุ้นการทำงานของสมองซีกขวาบริเวณที่ทำหน้าที่ได้ใกล้เคียงกับสมองซีกซ้ายส่วนที่ทำงานเกี่ยวข้องกับการใช้ภาษา

ผู้ป่วยที่สูญเสียความสามารถทั้งในการใช้ภาษาแบบชนิดพูดลำบาก หรือผิดปกติในการเข้าใจคำพูด จากความผิดปกติของสมองซีกซ้ายส่วน Frontal และ superior temporal lobes มีการบำบัดฟื้นฟูด้วย Melodic Intonation Therapy (MIT) ได้แก่ สำเนียงทางทำนอง (melodic intonation) การเคาะจังหวะ (rhythmic tapping) และเสียงดนตรีที่ต่อเนื่อง (continuous voicing)

ในการพัฒนาการทำงานของสมองซีกขวาส่วนที่ทำหน้าที่ได้คล้ายคลึงกับสมองซีกซ้ายที่เกี่ยวข้องกับการใช้ภาษาให้มาทำหน้าที่แทนสมองซีกซ้ายที่เสียไป

ผู้ป่วยที่ผ่านการบำบัดด้วย MIT มีความสามารถด้านการพูดและการใช้ภาษาดีขึ้นกว่าก่อนเข้ารับการบำบัดอย่างมีนัยสำคัญโดยเห็นได้จากการที่ผู้ป่วยสามารถสร้างคำพูดที่มีความหมายได้มากขึ้นภายในเวลา 1 นาทีและยังสามารถพูดประโยคหรือวลีที่มีความยาวมากขึ้นได้

นอกจากนี้ผลเปรียบเทียบภาพถ่ายทางสมองด้วยเครื่อง functional MRI ยังแสดงให้เห็นว่าหลังการบำบัดด้วย MIT ผู้ป่วยจะมีการทำงานของสมองซีกขวาบริเวณ frontal-temporal network เพิ่มขึ้นด้วย

การเรียนเปียโนช่วยผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง ด้านการเคลื่อนไหวที่ต้องอาศัยทักษะอย่างละเอียด การเรียนเปียโนภายในระยะเวลาเพียง 3 สัปดาห์สามารถเหนี่ยวนำให้เกิดการทำงานอย่างมีทักษะของนิ้วมือโดยผ่านการกระตุ้นทางการฟังและการได้ยิน ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองที่ไม่เคยได้รับการฝึกฝนด้านดนตรีมาก่อนจำนวน 32 ราย (17 รายเป็นอัมพาตแขนซีกซ้ายและ 15 รายเป็นอัมพาตแขนซีกขวา) รับการฝึกฝนด้านดนตรีอย่างค่อยเป็นค่อยไปภายในระยะเวลา 3 สัปดาห์รวมทั้งสิ้น 15 ครั้งเพิ่มเติมจากโปรแกรมการทำกายภาพบำบัดตามปกติ เปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุมซึ่งเป็นผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองจำนวน 30 รายที่ได้รับการรักษากายภาพบำบัดตามปกติ พบว่าผู้ป่วยทั้งสองกลุ่ม มีความสามารถในการเคลื่อนไหวมากขึ้นทั้งในด้านความรวดเร็ว (speed) ความแม่นยำ (precision) และความราบรื่นในการเคลื่อนไหว (smoothness of movements) แต่กลุ่มฝึกฝนด้านดนตรีเพิ่มเติม เก่งกว่าอย่างมีนัยสำคัญ

นอกจากนี้ข้อมูลด้านประสาทสรีรวิทยา ยังได้แสดงให้เห็นอีกว่าผู้ป่วยในกลุ่มฝึกฝนด้านดนตรี มีการตื่นตัวของเครือข่ายประสาทที่เชื่อมโยงระหว่างสมองส่วนสั่งการเคลื่อนไหวและไขสันหลังมากขึ้น (cortico-spinal excitability)

การกระตุ้นด้วยจังหวะดนตรีช่วยฟื้นฟูทักษะการเดินในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองได้ การทำกายภาพบำบัดที่อาศัยจังหวะดนตรีในการกำหนดรูปแบบของการเคลื่อนไหวของผู้ป่วย (rhythmic auditory stimulation, RAS) และการทำกายภาพบำบัดแบบองค์รวมเพื่อฟื้นฟูความสามารถของสมองในด้านต่างๆที่จำเป็นต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน ที่เป็นที่ยอมรับในปัจจุบัน (neurodevelopment therapy (NDT)/ Bobath-based training) ผู้ป่วยที่เป็นอัมพาตครึ่งซีก ผลการศึกษาที่ 3 สัปดาห์พบว่าผู้ป่วยกลุ่มทำกายภาพบำบัดแบบ RAS มีความสามารถในการเดินดีขึ้นและอยู่ในเกณฑ์ที่ดีกว่าผู้ป่วยในกลุ่ม NDT ทั้งในแง่ของความเร็วในการเดิน (velocity) ความยาวของการก้าว (stride length) จังหวะในการเดิน (cadence) รวมถึงความสมดุลในการเดิน (symmetry) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ

ดนตรี ช่วยเราได้มากกว่าที่เคยคิดนะครับ.
หมอดื้อ

โรคต่อมลูกหมากกับชายสูงวัย (ตอนที่ 2) มะเร็งต่อมลูกหมาก

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/601520

โดย คณะแพทยศาสตร์ รพ.รามาธิบดี 8 เม.ย. 2559 05:01

 

ศุกร์สุขภาพสัปดาห์ที่ผ่านมาได้นำเสนอเกี่ยวกับโรคต่อมลูกหมากกับชายสูงวัย สำหรับศุกร์นี้เป็นการนำเสนอสาระน่ารู้ว่าโรคต่อมลูกหมากโตนี้จะกลายเป็น มะเร็งต่อมลูกหมากได้หรือไม่ ติดตามสาระน่ารู้ที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพได้จาก คอลัมน์นี้ได้เลยครับ

สิ่งที่ผู้ชายหลายคนกังวล คือ ถ้าเป็นต่อมลูกหมากโตแล้วจะเป็นมะเร็งต่อมลูก หมากหรือไม่ ตามปกติต่อมลูกหมากโตจะไม่กลายเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก แต่มี โอกาสพบร่วมกันได้ บางคนอาจเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากโดยไม่แสดงอาการใดๆ ก็ได้เช่นกัน จากการศึกษาในต่างประเทศพบว่าผู้ชายทั่วไปจะมีโอกาสเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากอยู่ที่ ร้อยละ 16.72 ส่วนในประเทศไทยยังไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนว่ามีความ เสี่ยงเป็นเท่าใด แต่โดยทั่วไปความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นในคนที่ครอบครัวมีประวัติญาติ สายตรงเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก

ในการตรวจคัดกรองมะเร็งต่อมลูกหมาก ปัจจุบันจะใช้การตรวจร่างกายทาง ทวารหนักร่วมกับการตรวจเลือดหาค่า PSA (Prostate Specific Antigen) ในคนที่ เป็นมะเร็งต่อมลูกหมากจะมีโอกาสพบค่า PSA สูงกว่าปกติ หรือภาวะบางอย่างที่ ทำให้ค่า PSA สูง เช่น ภาวะต่อมลูกหมากอักเสบ การใส่สายสวนปัสสาวะ การส่อง กล้องกระเพาะปัสสาวะ หรือแม้แต่ผู้ป่วยที่เป็นโรคต่อมลูกหมากโตธรรมดาบางคนก็

มีค่า PSA สูงกว่าค่าปกติ โดยที่ตรวจไม่พบมะเร็งแต่อย่างใด (ทั้งนี้ค่า PSA ที่ต่ำอาจ เกิดจากยารักษาต่อมลูกหมากโตบางชนิด)

ดังนั้นในการแปลผล แพทย์จำเป็นต้องทำการซักประวัติ ตรวจร่างกาย รวมถึง อาจมีการส่งตรวจอื่นๆ ตามความเหมาะสมเพื่อหาสาเหตุของค่า PSA ที่ขึ้นสูง และ อาจรวมถึงการตรวจชิ้นเนื้อต่อมลูกหมากเพื่อให้ทราบถึงสาเหตุที่ชัดเจน เพื่อจะได้ เป็นแนวทางในการรักษาได้อย่างถูกวิธี

นายแพทย์เปรมสันติ์ สังข์คุ้ม
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี

หน้าร้อนมาแล้ว เช็กเรื่องกลิ่นให้ดี

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/598429

โดย Playboy Thailand 7 เม.ย. 2559 16:01

 

มาถึงหน้าร้อนที่เหงื่อออกกันเยอะ และแน่นอนว่าตามจุดอับของร่างกาย มักจะมีกลิ่นอันไม่พึงประสงค์เกิดขึ้นอย่างแน่นอน ดังนั้นถ้าไม่อยากหมดอารมณ์ หรือเซ็กซ์ต้องสะดุดเพราะเรื่องพวกนี้ ก็ควรจะใส่ใจรายละเอียดกันให้มากสักหน่อย

ไม่ต้องรีบ อาบน้ำกันสักหน่อย

อย่าให้เซ็กซ์กลายเป็นเรื่องด่วน โดยเฉพาะในช่วงหน้าร้อน เพราะกลิ่นจากร่างกายที่มาจากการหมักหมมของเหงื่อตลอดทั้งวัน อาจจะทำให้คุณหมดอารมณ์ได้ ดังนั้น เชิญชวนเธออาบน้ำ และคุณอาจจะลองขอเข้าไปร่วมแจมด้วย จะได้เปลี่ยนบรรยากาศกันไปอีกแบบ

น้องชายระวังให้ดี

ตามปกติแล้ว น้องชายของเรามักจะส่งกลิ่นออกมาอยู่เสมอ หากคุณไม่ดูแลให้ดี และกลิ่นอาจจะรุนแรงขึ้นในช่วงหน้าร้อนเพราะโดนเหงื่อผสมโรงเข้าไปด้วย ดังนั้น ควรจะทำความสะอาดให้มาก และถ้าเป็นไปได้ เดี๋ยวนี้เขามีสบู่ดับกลิ่นสำหรับสยบกลิ่นของน้องชายวางขายกันแล้ว

งดอาหารบางประเภท

ถ้าเป็นอาหารประเภทเครื่องเทศ หัวหอม กระเทียม พวกนี้มีสารระเหยผสมอยู่ในปริมาณที่ค่อนข้างสูง อาหารประเภทไขมัน นม เนย มีกรดไขมันสูง เมื่อกินเข้าไปสารระเหยในอาหารเหล่านี้มักจะปะปนออกมากับเหงื่อ ทำให้เกิดกลิ่นได้

เปิดแอร์ให้เย็นฉ่ำ

ปกติฤดูนี้แค่ยืนเฉยๆ ยังเหงื่อโทรมกายเลย ดังนั้น ไม่ต้องหวังหากคุณจะมีกิจกรรมอะไร อากาศที่ร้อนมักจะนำมาซึ่งอารมณ์ที่อาจจะบูดง่าย และสภาพที่เหนอะหนะของร่างกาย มักจะทำให้ใครหลายคนต้องหมดอารมณ์ไปตามๆ กัน

ที่มา – Playboy Thailand
www.playboy.co.th
www.facebook.com/playboythailand

7 ความเชื่อจากหนัง AV ที่ไม่เหมือนชีวิตจริง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/598406

โดย FHM 6 เม.ย. 2559 16:02

 

ดูมากจนเกิดเป็นภาพติดตา คิดเหมาเอาเองว่า คนรักน่าจะต้องชอบบทบาทตามแบบฉบับของหนังเอวี ทั้งที่ความจริงแล้วอาจไม่ใช่…

1. ผู้หญิงไฟแรงสูง

ในหนังมักมีฉากรักที่ฝ่ายหญิงมีความต้องการเกินกว่าปกติ จนหนุ่มบางคนคิดว่า นั่นคือ สิ่งที่ซ่อนอยู่ในความเป็นหญิง ฉากแบบนี้ที่ทำให้ชายหนุ่มหลายคนหลงเข้าใจว่า ไม่ต้องเล้าโลม หรือสัมผัสนุ่มนวลเพื่อสร้างอารมณ์แต่อย่างใด เพียงแค่รุกเร้าเข้าไปก็พอแล้ว แต่เชื่อเถอะว่าในความเป็นจริง ผู้หญิงส่วนใหญ่ต้องการการเล้าโลมเพื่อปรับตัว ไปพร้อมๆ กับการสร้างอารมณ์ทั้งสิ้น เพราะนั่นเป็นการแสดงออกถึงความรัก ความน่าทะนุถนอม

2. ผู้ชายพลังอึด

หนังรักในแบบที่ว่า ผู้ชายแทบทุกคนจะมีพลังแห่งความอึด ทน และมากพลัง เรียกว่านานเท่าไร ก็ยากจะพ่นพิษออกมา จุดนี้เอง…ทำให้ผู้ชายบางคนที่หลั่งในช่วงเวลา 10-30 นาที คิดว่าตัวเองเป็นพวกมีปัญหาหลั่งเร็ว แท้ที่จริงแล้วก็อยู่เกณฑ์ปกติ แต่ในหนังต่างหากที่ผิดปกติ เพราะโดยค่าเฉลี่ยแล้วผู้ชายส่วนใหญ่ จะหลั่งในเวลาราวๆ 9 นาที นั่นก็เพียงพอที่จะทำให้ฝ่ายหญิงถึงจุดสุดยอดแล้ว

3. ผู้หญิงทุกคนถึงจุดสุดยอดทุกครั้ง

จากที่เห็นในหนัง AV ผู้หญิงมักจะเสร็จภารกิจด้วยความพึงพอใจทุกๆ ครั้ง และนั่นอาจเป็นสาเหตุทำให้ฝ่ายชายหมดความมั่นใจ หากทำให้คู่รักของตนไม่ไปถึงจุดสุดยอดได้ แต่ความเป็นจริงแล้ว ผู้หญิงบางคนยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจุดสุดยอดของเธอนั้นเป็นอย่างไร! เพราะการใกล้ชิดกับคนรักแบบพิเศษ ก็ให้ความรู้สึกชนิดพิเศษได้แล้ว ที่ทำให้เธอรู้สึกถึงการได้รับความรัก เป็นที่น่าทะนุถนอม และรู้สึกอบอุ่น เพราะ ‘ฮอร์โมนแห่งความรัก’ หรือออกซิโตซิน จะเพิ่มระดับในกระแสเลือดเมื่อเรากอดก่ายกัน เรียกได้ว่าเป็นฮอร์โมนที่มีบทบาทในการสร้างความรักความอบอุ่น ซึ่งอยู่เหนือไปจากแค่การสอดใส่

4. ผู้หญิงชอบรุม

หนังที่ว่าหลายๆ เรื่อง มีฉากทำนองที่ผู้หญิงอยากลองมีอะไรกันมากกว่าหนึ่งคนขึ้นไป เพราะน่าจะดูหวาดเสียวดี แต่ในชีวิตจริงแล้ว ฝ่ายหญิงอยากมีอะไรกับคนที่เธอรู้สึกรักเพียงเท่านั้น หรือกรณีที่เธออาจจะมีคนที่รักอยู่มากกว่าหนึ่ง เชื่อเถอะว่า ยังไงๆ เธอก็อยากจะมีอะไรกับคนที่เธอรักทีละคนอยู่ดี และที่สำคัญฝ่ายชายควรถามตัวเองก่อนว่า คุณอยากให้เพื่อนสนิทของคุณ มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ไปพร้อมๆ กับคุณและคนรัก หรือเปล่าล่ะ?

5. ผู้หญิงชอบให้เข้าข้างหลัง

ในที่นี้ อาจเป็นประตูหลัง หรือว่าท่าสุนัขก็ตามที ในบทของหนังรักที่ว่า มักมีฉากนี้อยู่เป็นส่วนใหญ่ นั่นอาจทำให้หนุ่มหลายคนฝังใจ คิดว่าผู้หญิงคงชื่นชอบเป็นพิเศษแน่ๆ แต่รู้หรือไม่… ไม่ใช่ว่าผู้หญิงทุกคนจะชอบอะไรแบบนั้น ผู้หญิงหลายคนอยากจะมีอะไรกัน ด้วยท่ามิชันนารีนั่นก็เพียงพอแล้ว ส่วนประตูหลังนี่ก็แล้วแต่ทัศนคติของสาวๆ แต่ละคน ฉะนั้นลองคุยกับคนรักของคุณให้ดีก่อน เพราะไม่ใช่ว่าผู้หญิงทุกคนจะชอบ

6. ใหญ่ ยาว คือสิ่งที่เธอปรารถนา

พระเอกของหนัง AV ทุกเรื่องต้องมีเครื่องเพศดูยิ่งใหญ่ เร้าใจ ไซส์มหึมา เพราะว่านั่นถือว่าเป็น “จุดขาย” ขนาดจึงต้องบิ๊กเบิ้มไว้ก่อน และนั่นเองทำให้ผู้ชายหลายคนรู้สึกไม่พึงใจกับของลับที่มีอยู่ เพราะคิดว่าผู้หญิงทุกคนต้องชอบของใหญ่ แต่ในความเป็นจริงแล้ว สจ๊วต โบรดี้ (Stuart Brody) นักจิตวิทยาที่มหาวิทยาลัยเวสต์สกอตแลนด์ ระบุว่า ขนาดของผู้ชายนั้นแม้มีผลต่อการถึงจุดสุดยอดของผู้หญิงจริง แต่ผู้หญิงกลับไม่ได้ให้ความสำคัญกับผู้ชายไซส์ใหญ่ยาว แต่ให้ความสำคัญกับบรรยากาศ ความสะอาด รวมถึงการเอาใจใส่ที่แสดงออกถึงความรักบนเตียง ซึ่งจะมีส่วนช่วยให้เซ็กซ์ครั้งนั้นไปถึงจุดหมาย โดยไม่จำเป็นต้องไปถึงจุดสุดยอด…

7. ออรัลเซ็กซ์ คือความใฝ่ฝันของผู้หญิง

ฉากที่ฝ่ายหญิงก้มต่ำไปยังหว่างขา จนผู้ชายหลายคนอาจคิดว่า ผู้หญิงทุกคนคงอยากลองลิ้มแท่งไอศกรีมรักอย่างแน่นอน ก็เลยพยายามจะกดหัวหรือฉีกแข้งฉีกขาไว้รอท่า ทว่าผู้หญิงบางคนอาจรู้สึกตั้งแง่รังเกียจ หรือยิ่งถ้าของลับมีกลิ่นไม่พึงประสงค์ หรือว่าเข้าข่ายเป็นดงหญ้ารกชัฏ หรือมังกรกลายเป็นหัวสิงโต ผู้หญิงก็อาจรังเกียจเส้นขนที่มากจนเกินพอดี จนไปแยงจมูกจนจามฮัดเช่ยได้ ถ้าอยากให้เธอทำรักด้วยปาก ก็ควรเตรียมความพร้อม รอความสมัครใจ อย่าให้อีกฝ่ายฝืนใจจนรู้สึกเข็ดหลาบ หรือมีภาพจำไม่ประทับใจ จนไม่อยากมีอะไรกันกับคุณอีกเลย…

ที่มา – FHM Thailand
www.fhm.in.th

รู้แล้วบอกเพื่อนให้ไว! 9 ข้อวางตัวแบบไหน ให้ผู้ชายคิดถึง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/598015

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 5 เม.ย. 2559 06:05

 

ยุคสมัยนี้อะไรก็ดูเหมือนจะรวดเร็วไปหมด รักเร็ว เลิกเร็ว เราจึงอยากบอกผู้หญิงว่าควรจะวางตัวอย่างไรให้ดูดีและน่าสนใจในสายตาผู้ชาย เอาให้เขาต้องคิดถึงคุณมากขึ้นในทุกๆ วันไม่มีวันเบื่อกันไปเลย ไทยรัฐออนไลน์มีโอกาสได้พูดคุยกับกูรูด้านการจัดหาคู่ “นิกกี้ นิธินันท์ อัศวทร” กรรมการบริหารของ MeetNLunch บริษัทจัดหารักอันดับหนึ่งในเอเชีย ไปดูกันว่า 9 ข้อวางตัวอย่างไรที่จะทำให้ผู้ชายต้องคิดถึงคุณมีอะไรกันบ้าง…

1. ทำให้ชายหนุ่มยิ้มได้เมื่ออยู่ด้วยกัน อย่าห่วงสวยค่ะคุณ

กูรูเขาฝากบอกไปถึงสาวๆ ทั้งหลายว่าเวลาที่ได้เจอกับผู้ชาย อย่ามัวแต่เก๊กหน้าขรึม อย่าทำตัวเข้าถึงยาก ทำตัวตามสบายและเป็นตัวของตัวเองให้ได้มากที่สุด ที่สำคัญไม่ต้องห่วงสวยไปทุกวินาทีหรอก บอกเลยว่าความเป็นธรรมชาติและรอยยิ้มอย่างจริงใจของคุณนั่นแหละ มัดใจผู้ชายได้ไม่น้อย โดยเฉพาะหากคุณเป็นผู้หญิงที่มีอารมณ์ขันด้วยแล้วล่ะก็ ได้ใจเขาไปแบบเต็มๆ เลยล่ะ

2. ทำให้เขาโทรหาเราสิ

วิธีหนึ่งที่จะทำให้เขาคิดถึงเราก็คือ ให้เขาโทรหาเรานั่นแหละ ปกติอาจเป็นเราที่คอยโทรหาเขาตลอดใช่ไหม บางทีเราอาจรู้สึกว่าส่วนมากจะเป็นเราที่คอยโทรหาหรือส่งข้อความไปให้ ไม่ต้องทำแล้ว ปล่อยให้เขาโทรมา แล้วเขาจะคิดถึงเราเอง เชื่อเจ้นะ

3. ชิงวางสายก่อนเลยเธอ

เชื่อว่าสาวๆ ต้องเคยคุยโทรศัพท์นานๆ จนเกิดช่วงเวลาเดดแอร์บ้าง ก่อนจะถึงช่วงเวลานั้น ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าต้องชิงวางสายไปเสียก่อน เช่น อาจบอกว่าต้องรีบไปทำธุระ เป็นต้น เชื่อเถอะว่าวิธีนี้จะทำให้เขาอยากรู้จักคุณมากขึ้น และแทบจะอดใจไม่ไหวเลยล่ะที่จะโทรถามคุณว่า เสร็จธุระหรือยัง

4. เว้นระยะห่างสักนิด จิตแจ่มใส

พยายามอย่าเข้าไปหาเขาอยู่ฝ่ายเดียว ถ้าเราลองไม่คุยกับเขาสักพักหนึ่ง แล้วไปทำเรื่องส่วนตัวของเราเองบ้าง เขาต้องรู้สึกแน่ว่าเราหายไป ถึงเราจะคิดถึงเขา ก็ต้องปล่อยให้เขาเข้ามาหาก่อน แล้วเราจะดูมีความสำคัญมากขึ้น ก็เพราะเขาต้องการมาเจอเราจริงๆ ดีกว่าไปหาแล้วเขาไม่อยากเจอ

5. ทำเซอร์ไพรส์บ้างให้พอชุ่มชื่นหัวใจ

ผู้หญิงส่วนใหญ่มักชอบการถูกเซอร์ไพรส์จากคนรัก จะดีกว่ามั้ยหากคุณลงมือทำเซอร์ไพรส์เขาบ้าง แต่ต้องแน่ใจว่าเป็นเรื่องที่เขาชอบจริงๆ รับรองว่างานนี้หนุ่มๆ คงฝันถึงคุณไปอีกนาน พร้อมจดจำโมเมนต์ดีๆ ที่คุณทำเพื่อเขา แบบนี้ไม่คิดถึงยังไงไหวล่ะเนอะ

6. อย่าตอบข้อความเขาทันที เชิ่ดๆ เริ่ดๆ บ้าง

หากสาวคนไหนเป็นประเภทติดโทรศัพท์มือถือตลอดเวลา ตอบเร็วเสมอ มันจะทำให้ดูเหมือนเราตั้งตารอข้อความจากเขามากเกินไป ใจเย็นๆ รอเวลาสักนิดนึงก่อนจะตอบกลับ ถ้ามันไม่จำเป็นมากนัก เชื่อสิ เขาลุ้นรอคำตอบเราอยู่แน่ๆ

7. เป็นทั้งฝ่ายรุกและฝ่ายรับ 

แม้จะมีทีท่าหวงเนื้อหวงตัวหรือไม่ยอมเขาบ้าง แต่ขณะเดียวกันก็ต้องทำให้เขารู้ว่าคุณน่ะคุยกับเขาแค่คนเดียว ไม่เช่นนั้นเขาอาจจะสับสนและคิดว่าคุณไม่สนใจจนถอยห่างก็ได้ ดังนั้นถ้าเห็นว่าเขาเงียบๆ ไปก็ลองส่งข้อความไปเซย์กู๊ดไนท์บ้างก็ได้ แต่อย่าบ่อยนัก เพราะบางทีผู้ชายอาจจะแค่หยั่งเชิงเราเท่านั้น

8. ไม่ต้องตอบรับทุกเดต

ใช่ว่าเขาชวนไปไหนแล้วจะตอบตกลงไปกับเขาทุกครั้ง เว้นระยะให้เขาคิดถึงคุณบ้าง บอกว่าติดธุระหรือไม่ว่างบ้าง แม้ว่าคุณเองอาจจะว่างตลอดก็เถอะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเขาชอบนัดกับคุณแบบให้ตอบตกลงทันทีล่ะก็ ควรปฏิเสธไปบ้าง เพราะการตอบรับทุกครั้งที่เขาชวน อาจทำให้เสน่ห์และความน่าสนใจในตัวคุณลดลงไป

9. อย่าเป็นของตาย ห้ามอยู่ก่อนแต่งนะสาวๆ

รออีกสักนิดจนถึงเวลาที่ถูกที่ควร ระหว่างนั้นฝ่ายชายก็จะไม่รู้สึกว่าคุณเป็น “ของตาย” แต่เป็นสิ่งที่ต้องถนอมและอาจสูญเสียคุณไปได้ในทุกนาที

สุดท้ายฝากบอกไปถึงสาวๆ ทั้งหลายว่า ผู้หญิงเองก็เป็นฝ่ายเดินเกม เพียงต้องรู้จักวางตัว รู้กาลเทศะที่เหมาะสม เท่านี้ก็ดูมีเสน่ห์น่าค้นหาสำหรับคุณผู้ชายแล้วจ้า เชื่อเจ้สิคะ

สมองและจิตเป็นนาย ในการกำหนดประสิทธิภาพของการรักษาโรค

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/600018

โดย หมอดื้อ 3 เม.ย. 2559 05:01

 

ความคาดหวังและความเชื่อมั่นในการรักษาของผู้ป่วยมีผลอย่างมากต่อภาวะความเจ็บป่วยที่ผู้ป่วยกำลังเผชิญอยู่ ผู้ป่วยสามารถฟื้นตัวหรือมีอาการดีขึ้นได้ทั้งที่แท้จริงแล้วได้รับเพียงยาหลอก ซึ่งไม่มีฤทธิ์ใดในการรักษาโรคหรือความเจ็บป่วยที่เป็นอยู่ ณ ขณะนั้น ภาวะเช่นนี้เรียกว่า “ผลของยาหลอก” หรือ placebo effect

ในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา มีรายงานทางการแพทย์หลายฉบับที่ระบุถึงประสิทธิภาพของการรักษาด้วยยาหลอกในการช่วยลดและฟื้นฟูอาการเจ็บป่วยของผู้ป่วยทั้งในแง่เกี่ยวข้องกับจิตใจ เช่น ความเจ็บปวด อาการซึมเศร้า และความวิตกกังวล หรือแม้กระทั่งช่วยลดอาการของโรคพาร์กินสัน และโรคที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบต่างๆ (วารสาร Scientific American 2009)

อัตราผู้ป่วยที่ดีขึ้น โรคมะเร็ง 2-7% มีขนาดเนื้องอกลดลง (10 รายงาน, จำนวน 464 ราย) โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง 19% (32, 1,047) โรคกระเพาะอาหาร 36.2-44.2% (79, 3,325) แผลหาย โรคลำไส้แปรปรวน 40% (45, 3,193) โรคสมองอักเสบเรื่อรัง MS มีการกำเริบลดลงหลัง 1–3 ปี 11–50 (6, 264)

ความคาดหวังและความเชื่อมั่นของผู้ป่วยที่ส่งผลต่อกระบวนการรักษาจะมีจิตใต้สำนึกของผู้ป่วยเป็นตัวรับผิดชอบ โดยสามารถเชื่อมความสัมพันธ์กับบุคคลหรือแม้กระทั่งสิ่งของใดๆที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการรักษาและมีผลต่อการรักษา โดยผ่านการทำงานหลายระบบ ที่เห็นได้ชัด คือ ระบบภูมิคุ้มกัน และระบบต่อมไร้ท่อ

บทบาทของ จิตใต้สำนึก (Subconscious cues) ตามปกติแล้ว ผลของยาหลอก หรือ placebo effect จะเกิดขึ้นต่อเมื่อผู้ป่วยมีความหวังและเชื่อมั่นว่าการรักษาที่ตนได้รับจะสามารถรักษาให้หายจากความเจ็บป่วยที่กำลังเผชิญอยู่ได้ ในทางกลับกัน หากผู้ป่วยมีความคิดหรือความคาดหวังในแง่ลบต่อการรักษา อาจก่อให้เกิดอันตรายหรือเกิดผลร้ายหรือเกิดอาการไม่พึงประสงค์ตามมาได้ ที่เรียกว่า nocebo effect

ผลของจิตใต้สำนึกสามารถพิสูจน์ให้เห็นได้อย่างเป็นรูปธรรมในสัตว์ทดลอง โดยการฉีดยากดภูมิคุ้มกัน Cyclosporin A ให้กับหนูพร้อมกับการให้หนูกินน้ำหวานผสมสารขัณฑสกร (saccharin) หลังจากทำเช่นนี้ซ้ำๆเพื่อให้หนูเรียนรู้และสร้างความสัมพันธ์ระหว่าง 2 เหตุการณ์นี้ในระดับจิตใต้สำนึก ปรากฏว่า หนูมีภูมิคุ้มกันลดลงได้ แม้ได้รับประทานเพียงน้ำหวานผสมสารขัณฑสกร (saccharin) เท่านั้น

ดังนั้น จากผลการทดลองดังกล่าวจึงอาจสรุปได้ว่า ในกระบวนการเกิด placebo effect นั้นไม่จำเป็นต้องอาศัยความหวังหรือความเชื่อมั่นต่อผลบวกของการรักษาอย่างเดียว

ภูมิคุ้มกันบำบัด (Immune Therapy) ตัวอย่างของ placebo effect งานวิจัยในสัตว์ทดลองหลายชิ้นในช่วงทศวรรษที่ 1990 มีการสร้างเงื่อนไขของการสร้างความสัมพันธ์ระดับจิตใต้สำนึกในสัตว์ทดลองที่ได้รับการปลูกถ่ายหัวใจ โดยการฉีดยากดภูมิคุ้มกัน Cyclosporin A พร้อมกับให้สัตว์ทดลองกินน้ำหวาน ปรากฏว่าสัตว์ทดลองกลุ่มที่ได้รับการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างการกินน้ำหวานและการได้รับยากดภูมิคุ้มกันในระดับจิตใต้สำนึกจะมีระยะเวลาการอยู่รอดของหัวใจที่ปลูกถ่ายใหม่ยาวนานกว่ากลุ่มควบคุม

ซึ่งเมื่อศึกษาลงไปถึงระดับกลไกทางชีววิทยาเพื่ออธิบายปรากฏการณ์ดังกล่าวจะพบว่า ในขณะที่ร่างกายมีการตอบสนองต่อกระบวนการสร้างความสัมพันธ์ระดับจิตใต้สำนึกนั้น ระบบประสาทจะยับยั้งการหลั่งสาร cytokines ซึ่งทำหน้าที่กระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันต่างๆภายในร่างกายที่สร้างและหลั่งออกมาจากม้าม ดังนั้นจึงมีผลให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานลดลงและยืดระยะเวลาการอยู่รอดของหัวใจที่ปลูกถ่ายใหม่ได้

งานวิจัยที่ศึกษาเรื่องดังกล่าวในมนุษย์ก็ให้ผลการศึกษาไปในทางเดียวกัน กล่าวคือ การสร้างความสัมพันธ์ระหว่างการรับประทานน้ำหวาน และการได้รับยากดภูมิคุ้มกัน Cyclosporin A ในระดับจิตใต้สำนึกในอาสาสมัครสุขภาพแข็งแรงก็สามารถมีผลให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายอาสาสมัครลดการทำงานลงได้ เมื่อได้รับเพียงน้ำหวานและยาหลอกเท่านั้น นอกจากนี้กระบวนการดังกล่าวยังสามารถช่วยลดความไวของระบบภูมิคุ้มกันร่างกาย ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคภูมิแพ้ได้อีกด้วย

อะไรคือกลไกของกระบวนการเกิด placebo effect จากการสร้างความสัมพันธ์ของเหตุการณ์ต่างๆในระดับจิตใต้สำนึกในปี ค.ศ.2005 พบว่า มีสมองทั้งหมดอย่างน้อย 3 ส่วนที่ทำหน้าที่สำคัญเกี่ยวข้องกับกระบวนการเกิด placebo effect จากการสร้างความสัมพันธ์ของเหตุการณ์ต่างๆในระดับจิตใต้สำนึก ได้แก่

1. Insular cortex เป็นสมองส่วนที่ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับการปรับเปลี่ยนสัญญาณประสาทสัมผัส เช่น การรับรส ให้สอดคล้องไปตามสภาพอารมณ์และสภาพทางสรีรวิทยาของร่างกายขณะนั้น

2. Amygdala เป็นสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการเรียนรู้ทางอารมณ์ (emotional learning) ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งต่อการพัฒนาทักษะด้านการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างสองเหตุการณ์ในระดับจิตใต้สำนึกในขั้นต้น และ 3. Hippocampus เกี่ยวข้องกับกระบวนการส่งข้อมูลสั่งการจากสมองไปยังเซลล์ในระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย

การบำบัดด้วยความคาดหวัง (Expecting relief) การเกิด placebo effect นั้น ประกอบด้วย 2 องค์ประกอบหลักที่สำคัญคือ ผลจากความคาดหวัง (expectation effect) ซึ่งออกฤทธิ์ผ่านทางสารสื่อประสาทกลุ่ม opioids และผลจากการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างเหตุการณ์ในระดับจิตใต้สำนึก (conditioned effect) ซึ่งออกฤทธิ์ในลักษณะเช่นเดียวกับยากลุ่มบรรเทาปวด (analgesic) นอกจากนี้ ยังมีฤทธิ์ในการลดการทำงานของสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับการรับและประมวลข้อมูลเกี่ยวกับความเจ็บปวดอีกด้วย

ประสิทธิผลของยาหลอก (Placebo performance) ในกรณีที่ต้องการ placebo effect จากกระบวนการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างเหตุการณ์ในระดับจิตใต้สำนึกนั้น รูปลักษณ์และราคาของยาหลอกมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการเกิดกระบวนการดังกล่าว โดยเห็นได้จากการที่ยาซึ่งมีราคาแพงหรือเป็นที่นิยม สามารถให้ผล placebo effect มากกว่ายาซึ่งมีราคาถูกและไม่เป็นที่แพร่หลายอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ การรักษาด้วยหัตถการทางการแพทย์ชั้นสูงที่มีความยุ่งยากและสลับซับซ้อนก็มีผลให้เกิด placebo effect ต่อการรักษามากกว่าการรักษาด้วยหัตถการทางการแพทย์แบบธรรมดา

จะเห็นได้ว่าในไม่กี่ปีที่ผ่านมา ศาสตร์ด้าน Placebo medicine มีความเจริญก้าวหน้าและมีผลส่งเสริมการรักษาทางการแพทย์แขนงต่างๆเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตาม การนำศาสตร์ดังกล่าวมาใช้จริงในทางเวชปฏิบัติและเวชศาสตร์การกีฬายังคงเป็นที่ถกเถียงกันอย่างกว้างขวางถึงประโยชน์ที่ผู้ป่วยจะได้รับ

สำหรับ ณ ขณะนี้ แม้จะยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจนเกี่ยวกับแนวทางการนำศาสตร์ด้านนี้มาใช้ประโยชน์ในแวดวงเวชปฏิบัติก็ตาม หากแต่แพทย์ผู้ดูแลผู้ป่วยต้องการจะนำศาสตร์ดังกล่าวมาประยุกต์ใช้เพื่อเสริมประสิทธิภาพของแนวทางการรักษาที่ปฏิบัติกันเป็นมาตรฐานในปัจจุบัน ก็ไม่น่าจะมีอะไรเสียหาย ตราบใดที่ไม่ได้ทำการซึ่งก่อให้เกิดอันตรายหรือเป็นการหลอกเอาเงินต่อผู้ป่วย.

หมอดื้อ

โรคต่อมลูกหมากกับชายสูงวัย (ตอนที่ 1) ต่อมลูกหมากคืออะไร

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/599472

โดย คณะแพทยศาสตร์ รพ.รามาธิบดี 1 เม.ย. 2559 10:20

 

มนุษย์เราตั้งแต่แรกเกิดจนเข้าสู่วัยกลางคน โรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ก็จะแวะเวียนมาหา ไม่มีใครสามารถหลีกหนีไปได้ เช่นเดียวกับโรคของต่อมลูกหมาก ซึ่งมักพบในชายที่มีอายุ 40–50 ปีขึ้นไป

ต่อมลูกหมากเป็นอวัยวะที่อยู่ใต้กระเพาะปัสสาวะ ต่อมนี้จะโอบล้อมรอบท่อปัสสาวะไว้ในวัยหนุ่ม โดยมีขนาดประมาณผลวอลนัต และจะขยายขนาดมากขึ้นตามอายุที่เพิ่มขึ้น ถ้าส่วนที่ขยายใหญ่นั้นไปกดเบียดบริเวณท่อปัสสาวะ ก็จะส่งผลให้มีอาการปัสสาวะลำบาก หรือปัสสาวะไม่พุ่งตามมาได้

โรคต่อมลูกหมากโต เป็นโรคที่พบได้บ่อยในผู้ชายที่มีอายุมากกว่า 50 ปี จากการศึกษาพบว่า ในผู้ชายที่มีอายุประมาณ 60 ปี จะมีโอกาสตรวจพบโรคต่อมลูกหมากโตได้ประมาณร้อยละ 50–60 โดยความเสี่ยงจะเพิ่มมากขึ้นตามอายุที่เพิ่มขึ้น ซึ่งอาจสูงถึงร้อยละ 80 ในผู้ชายที่มีอายุ 80 ปีขึ้นไป ทั้งนี้อาการของผู้ป่วยแต่ละคนอาจมากน้อยต่างกัน ไม่ได้ขึ้นอยู่กับขนาดที่โตเพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่ไปกดทับด้วย โดยถ้าไปกดเบียดท่อปัสสาวะพอดีก็อาจมีอาการมากได้

การรักษาโรคต่อมลูกหมากโตนั้นมีหลายวิธี โดยมักจะเริ่มด้วยการรับประทานยาก่อน ในปัจจุบันมียาหลายชนิดที่ให้ผลการรักษาค่อนข้างดี และผลข้างเคียงไม่มาก แต่หากรักษาด้วยการรับประทานยาแล้วไม่ได้ผล แพทย์จะพิจารณารักษาด้วยวิธีการผ่าตัด เพื่อนำเนื้อต่อมลูกหมากส่วนที่ปิดกั้นท่อปัสสาวะออก ทำให้ผู้ป่วยปัสสาวะได้คล่องมากขึ้น

วิธีที่ดีที่สุดคือ หมั่นเฝ้าระวังและสังเกตอาการต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับสภาพร่างกายของเรา หากมีอาการที่ผิดปกติเกิดขึ้น ควรรีบปรึกษาแพทย์ เพื่อรับการวินิจฉัยที่ถูกต้อง ให้รู้ถึงสาเหตุ และสามารถปฏิบัติตัวได้ถูกต้อง ก่อนที่อาการต่างๆ เหล่านั้นจะลุกลามมากเกินเยียวยา

นายแพทย์เปรมสันต์ สังฆ์คุ้ม
คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี

เปิดหมดเปลือก “จิ๊บ-ญาณิชา” ผู้ชายข้ามเพศสุดแซ่บในยุคนี้!!!

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/598981

โดย Advertorial 1 เม.ย. 2559 06:01

 

“จิ๊บว่าทุกคนน่าจะรู้อยู่ในใจอยู่แล้วว่าเราชอบอะไร ต้องการอะไร แค่ตัดปัจจัยอย่างอื่นออกไป ก็ไม่น่าจะมีใครลังเลอะไรนะ สำหรับคนที่อยากทำแบบนี้ อยากเป็นทรานส์ ก็คงต้องให้เขาถามใจตัวเอง ไม่ต้องคิดเรื่องอื่น ไม่ต้องคิดถึงคนอื่นว่าจะมองยังไง แค่ลองถามตัวเองดู”

จิ๊บรู้ตัวว่าอยากเป็นผู้ชายมาตั้งแต่เด็ก เริ่มตั้งแต่ ป.1 เราชอบเล่นกับเพื่อนผู้ชาย ใจเราอ่ะคิดว่าเราเป็นผู้ชายมาตลอด แต่ตอนนั้นยังไว้ผมยาวอยู่เลย เราไม่รู้ด้วยว่า “ทอม” คืออะไร รู้แค่ว่าเราไม่ชอบเล่นกับผู้หญิง ถ้าถามว่าทางบ้านเลี้ยงดูเรามาให้เป็นแบบนี้รึเปล่า จิ๊บว่าไม่เกี่ยวนะ เพราะที่บ้านเขาปลูกฝังให้เราเป็นผู้หญิงด้วยซ้ำ พอเริ่มโต เรารู้สึกว่าทางบ้านบังคับเราไม่ได้แล้ว เราก็เลยตัดผม จากนั้นก็ตัดผมสั้นมาตลอด จิ๊บมีแฟนเป็นผู้หญิงมาตั้งแต่ ม.ต้น คือเรารู้สึกชอบผู้หญิง ส่วนผู้ชายเราก็ไม่เคยชอบแบบแนวนั้นเลย เราชอบได้แบบเป็นเพื่อน เป็นพี่ เป็นน้อง เท่านั้น!!! ตอนนั้นเราเรียกตัวเองว่าเป็นเพศทอม แต่พอเริ่มมีความรู้เรื่องทางการแพทย์มากขึ้น ศึกษาจากเว็บเมืองนอกเพิ่มเติม เราเลยรู้สึกว่า เราอยากข้ามไปเป็น “ทรานส์แมน (Transman)”

หลังจากที่เราเริ่มรู้ตัวว่าเป็นผู้ชาย ตอนนั้นสิ่งแรกที่คิดคือ ต้องเอาหน้าอกออก เพราะมันบ่งบอกว่าเรายังเป็นผู้หญิงอยู่ ตอนนั้นเรียนจบแล้ว ก็เริ่มมีความคิดเป็นของตัวเอง บรรลุนิติภาวะแล้วด้วย เลยตัดสินใจเข้ามาที่โรงพยาบาลยันฮีเพื่อปรึกษาคุณหมอเรื่องตัดหน้าอก ถ้าถามว่าลังเลรึเปล่า? เราว่าไม่นะ เพราะเราตั้งใจจะเอาออกอยู่แล้ว ตอนนั้นก็ต้องผ่านกระบวนการพบจิตแพทย์ด้วย เขาจะประเมินความพร้อมทางด้านจิตใจ ว่าเราพร้อมจะเป็นผู้ชายแน่หรือยัง? เพราะมีบางเคสที่ลึกๆ แล้วยังชอบผู้ชายอยู่ อันนี้จิ๊บว่าเราต้องถามตัวเองก่อน เพราะการเปลี่ยนไปเป็นทรานส์ คุณไม่สามารถกลับมาเป็นแบบเดิมได้แล้วนะ แต่สำหรับจิ๊บคือคิดว่าเป็นผู้ชายมาตลอด เรื่องนี้เลยตัดสินใจได้เร็ว ก็เลยได้ตัดหน้าอกไป ตอนนี้ก็ 4 ปีกว่าแล้วที่ตัดออก

ชีวิตหลังการตัดหน้าอกออกไปแล้วก็โอเคนะ จิ๊บว่า…มันดูเป็นผู้ชายมากขึ้นแต่ก็ใช่ว่าจะแมนเลยทีเดียว เพราะคนที่จะมาเป็นทรานส์ได้ต้องทำใจระยะยาวด้วยกับการฉีดฮอร์โมน สำหรับจิ๊บนั้นคิดไว้แล้วว่าเราเลือกตัดสินใจที่จะทำเราก็ต้องอยู่กับมันให้ได้ การไปฉีดฮอร์โมนทุกๆ 15 วัน ที่โรงพยาบาลยันฮี เราต้องเป็นแบบนี้ไปตลอดชีวิต ต้องบอกก่อนว่าจิ๊บไม่เคยซื้อมาฉีดเองนะ จิ๊บให้คุณหมอฉีดให้ทุกครั้ง แล้วการฉีดเข้าไปเราก็ต้องยอมรับผลข้างเคียงต่างๆ ที่จะตามมาได้ด้วย เช่น สิวขึ้น ภูมิแพ้กำเริบ จากที่ปกติจิ๊บไม่เคยเป็นภูมิแพ้เลย แต่หลังจากฉีดฮอร์โมนก็มีแพ้บ้าง ขึ้นผดที่หน้าบ้าง แต่ช่วงหลังๆ มาไม่ค่อยเป็น มันจะมาเป็นช่วงๆ แล้วก็อาจจะมีผลต่อเรื่องสุขภาพบ้าง

หลังจากฉีดฮอร์โมนไปได้ปีกว่าๆ ก็ตัดสินใจปรึกษาคุณหมอขอผ่าตัดอวัยวะของเพศหญิงในร่างกายออก ก็ผ่าตัดออกไปหมดทั้งมดลูกและรังไข่ ส่วนการฉีดฮอร์โมนจะอยู่ในการดูแลของแพทย์เฉพาะทางตลอดจิ๊บมองไปถึงเรื่องสุขภาพในอนาคตด้วย เพราะอาจเกิดจากผลกระทบของการฉีดฮอร์โมน ซึ่งคุณหมอจะคอยดูแลให้ฉีดฮอร์โมนในปริมาณที่เหมาะสมกับตัวเรา

ส่วนเรื่องผ่าตัดต่อองคชาต เราก็คิดที่จะทำเพราะจะได้เหมือนผู้ชายมากขึ้น จิ๊บไม่ต้องการเป็นเพศที่อยู่ตรงกลาง จิ๊บต้องการเป็นเพศชายไปเลย ตอนคุยเรื่องตัดต่อองคชาต ก็ทำใจไว้อยู่แล้วว่ามันอาจจะไม่ได้เหมือนร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ก็ไม่ซีเรียส เพราะวิวัฒนาการทางการแพทย์ตอนนี้ก็ทำได้เหมือนมากแล้ว และมันก็สามารถรู้สึกได้เหมือนผู้ชายหมดทุกอย่าง มีการปลูกถ่ายเส้นประสาทให้เราเข้าไปด้วย ก็สามารถถึงจุดสุดยอดได้เหมือนกัน (ยิ้มเบาๆ) สำหรับเรื่องของความรัก เราก็มีบอกแฟนเหมือนกันนะ มีคุยกันบ้าง จิ๊บว่าเขาใจกว้างที่ยอมให้จิ๊บทำ ถึงจะคบกันได้ไม่นาน แต่แค่เขารับเราที่เราเป็นแบบนี้ได้ ไม่ว่าเราจะเปลี่ยนไปยังไงแบบไหน จิ๊บว่าก็โอเคแล้ว (ยิ้ม) ตอนนี้ความรักก็ Happy ดี

Feedback หลังเราทำไปแล้ว ก็มีส่วนหนึ่งที่เข้ามาชื่นชม ชอบเราเรื่องที่เรากล้าแสดงออก ส่วนอีกแบบคืออาจจะมีผู้ชายบางคนที่อาจไม่เห็นด้วย เมื่อเปรียบเทียบว่าจะไปสู้ของจริงได้ยังไง แต่เราก็ปล่อยไป เพราะเราไม่ได้แคร์ว่าทำมาแล้วจะสู้ได้หรือไม่ได้ เราไม่ได้คิดว่าจะมาแข่งกัน อีกอย่างที่เรากล้าแสดงออกเพราะเราอยากจะเป็นตัวเรา เหมือนเป็นตัวแทนเพศที่สามให้เขามีที่ยืนมากขึ้น ให้สังคมยอมรับมากขึ้นว่าการเป็นแบบนี้ก็ไม่ได้เป็นภัยกับใคร

ปัจจุบันนี้ จิ๊บก็เป็นเทรนเนอร์ให้กับเพศที่สามและผู้หญิงที่เรียกว่า “ทรานส์ฟิต” เพราะจิ๊บเป็นคนชอบออกกำลังกาย เรามองว่าเพศที่สามบางคนเวลาเขาไปฟิตเนส ไม่ว่าเค้าจะทำอะไร คนทั่วไปรอบๆ ข้างชอบมองด้วยสายตาแปลกๆ จนเขาไม่สามารถเป็นตัวของตัวเอง รู้สึกเขิน อาย อึดอัด จิ๊บเลยคิดว่ามาเทรนด้วยกันน่าจะดีกว่า เขาจะได้ทำกิจกรรมที่ชอบได้อย่างเต็มที่

สุดท้ายนี้ จิ๊บอยากฝากบอกคนที่กำลังอยากเปลี่ยนเป็นทรานส์แมนแบบจิ๊บว่า การที่เราจะเปลี่ยนตัวเองมาเป็นเพศชายมันไม่ใช่เรื่องง่าย จิ๊บศึกษาหาข้อมูลเยอะมากทั้งของไทยและต่างประเทศ จนเริ่มมีความรู้แล้วตัดสินใจทำ เพื่อนๆ คนไหนที่สนใจ จิ๊บแนะนำว่าควรเลือกโรงพยาบาลที่ได้มาตรฐาน มีคุณหมอที่เชี่ยวชาญในการทำเฉพาะทาง เพราะนอกจากเราจะได้ทำตามที่เราต้องการแล้ว เรายังมั่นใจในสิ่งที่เราตัดสินใจทำ ซึ่งผลลัพธ์ก็อาจจะขึ้นอยู่กับความพอใจแต่ละบุคคลด้วย

“ทรานส์แมน (Transman)”

(ภาพประกอบที่ได้รับเชิญไปออกรายการทีวี ที่ประเทศเวียดนาม+ถ่ายภาพประกบกับสาวหล่อชาวเวียดนาม)

5 วิธี ถึงสวรรค์พร้อมกันอย่างมีความสุข

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/593205

โดย FHM 30 มี.ค. 2559 16:01

 

ปัญหาที่ฝ่ายหญิงไปไม่ถึงฝั่งฝัน หรือไปถึงไม่พร้อมกัน หลายๆ คู่รักก็อาจประสบปัญหาที่ว่า แต่ถ้าอยากจูงมือเข้าเส้นชัยพร้อมกันล่ะก็…ลองเริ่มต้นด้วย 5 วิธี ดังต่อไปนี้

สัมผัสส่วนที่ไวต่อความรู้สึก

ร่างกายอีกฝ่ายมีจุดเร้าสัมผัสมากมาย คุณควรใช้เวลาต่อการกระตุ้นจุดสัมผัสเหล่านั้นให้ตื่นตัวดีเสียก่อน เพื่อให้ถ้ำรักได้เปิดสวิตช์ ไม่ว่าจะเป็นการสัมผัส กอด จูบ ลูบคลำบริเวณอวัยวะทั่วร่างกาย เช่น ซอกคอ ริมฝีปาก หน้าอก สะโพก บั้นท้าย ขาอ่อน เครื่องเพศ ฯลฯ

เมื่อตื่นตัว ก็จงเปลี่ยนจุด

ถ้าส่วนหนึ่งของร่างกายได้รับการกระตุ้นมากเกินไป ความเสียวซ่านก็จะลดน้อยถอยลง ฉะนั้น ถ้าอยากให้เขาตอบสนองอย่างเต็มที่แล้วล่ะก็… คุณก็ควรเปลี่ยนไปสัมผัสที่อื่นบ้าง เทคนิคลับเฉพาะ ก็คือ การเคล้าคลึงจุดใดจุดหนึ่งของเขาพอให้ตื่นตัว แล้วเปลี่ยนไปสัมผัสที่อื่น ก่อนจะกลับไปที่เดิม วิธีนี้จะทำให้อีกฝ่ายเสียวซ่านอยู่ตลอดเวลาได้

เวลาในการเล้าโลม

เคยมีการศึกษาเกี่ยวกับเวลาในการเล้าโลม
ใช้เวลาเล้าโลม 1-10 นาที… โอกาสที่ฝ่ายหญิงจะถึงจุดสุดยอด 40%
ใช้เวลาเล้าโลม 15-20 นาที… โอกาสที่ฝ่ายหญิงจะถึงจุดสุดยอด 50%
ใช้เวลาเล้าโลม 20 นาทีขึ้นไป… โอกาสที่ฝ่ายหญิงจะถึงจุดสุดยอด 60%
แต่ถ้าเล้าโลมเป็นชั่วโมง คุณทั้งคู่จะเหนื่อยจนหมดอารมณ์และหลับไป!

กรณีที่คุณเสร็จเร็ว

เมื่อเล้าโลมกันและกันได้ที่ พอถึงคราวสอดใส่ทั้งทีก็กลับมีทีท่าว่าจะเสร็จไว แก้ไขได้ด้วยการดึงน้องชายออกมา เพื่อให้เลือดที่ไหลไปหล่อเลี้ยงเจ้างูยักษ์หยุดชะงักชั่วครู่ ถ้าเธอจะไป ‘ถึง’ เส้นชัยก่อน ก็จงหยุดการสอดใส่ซะ แล้วให้เธอทำรักด้วยปากหรือส่วนอื่นให้คุณ แล้วค่อยกลับมาเวิร์กกันต่อ ที่สำคัญการบอกกันว่าเห็นสวรรค์อยู่รำไรแล้ว ไม่ใช่เป็นเพียงคำพูดประจบเท่านั้น แต่มันยังช่วยเร่งเร้าให้อีกฝ่ายถึงสวรรค์ตามไปติดๆ ด้วย

หลังเสร็จกิจกรรมเข้าจังหวะ

สิ่งสำคัญที่สาวๆ ต้องการให้คู่ของเธอทำให้ คือ ‘กอด’ เพราะเมื่อผู้หญิงได้เสพสมไปจนถึงจุดไคลแมกซ์ สมองของเพศหญิงจะหลั่ง Oxytocin ออกมามากกว่าเพศชาย 50% ซึ่งเป็นฮอร์โมนชนิดหนึ่งที่ช่วยกระตุ้นความรู้สึกอบอุ่นและวาบหวาม หากคุณกอดกายเธอไว้พร้อมลูบไล้เนื้อหลังจากมีอะไรกันเสร็จแล้ว เธอจะมีความสุขอย่างสุดยอดเลยทีเดียว…

ที่มา – FHM Thailand
www.fhm.in.th

ใหม่สุด! 10 กฎกินแบบเฮลตี้อัพเดตกันด่วนเลย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/594069

โดย Cleo Thailand 29 มี.ค. 2559 16:01

 

โอเคนะ คุณพยายามกินผัก 5 สีแล้ว ผลไม้วิตามินซีเพียบแล้ว และระวังน้ำตาลเกินสุดๆ ถามว่าสิ่งนี้พอกับความเฮลตี้ของร่างกายคุณมั้ย เราจะบอกว่าความจริงแล้ว คุณยังบูสต์ความเฮลตี้ให้คุณเพิ่มขึ้นได้อีก ลองดู 10 วิธีนี้ ขอสัก 2 อาทิตย์นะว่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงกับร่างกายคุณมั้ย

1. เริ่มกาแฟแก้วแรกให้ช้าลง

เป็นนิสัยที่เปลี่ยนกันยากแล้ว พอถึงออฟฟิศปุ๊บ สิ่งแรกที่คุณแวบมาในหัวคือ “กาแฟของฉัน” ว่าแล้วคุณก็เดินไปหยิบแก้วใบโปรด ชงกาแฟคั่วกัวเตมาลาสุดจะหอมมาเชยชมทันที หยุด! ด่วน เพราะพี่สตีเฟ่น มิลเลอร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพจากอเมริกาบอกว่า “กินกาแฟแบบนี้ จะยิ่งทำให้คุณต้องเพิ่มปริมาณกาแฟที่ต้องดื่มในตอนเช้าได้” เพราะว่าฮอร์โมนคอร์ติโซลที่ทำให้สมองตื่นตัวน่ะ จะพีคสุดตอน 8-9 โมงเช้า และถ้าเราดื่มกาแฟตอนที่พีคสุด จะยิ่งทำให้เราต้องดื่มหนักให้สมกับความพีคของฮอร์โมนได้ สตีเฟ่นเลยอยากให้คุณรอสักนิด ให้ฮอร์โมนนี้ลดลงหน่อย แล้วไปเริ่มดื่มตอน 09.30 และตอน 11.30 จะทำให้สมองไม่ต้องรับคาเฟอีนไปกระตุ้นในปริมาณที่มากจะดีกว่า

2. อุ่นพาสต้า สปาเกตตี ให้ร้อนก่อนกิน

สาวๆ คอเส้นพาสต้าทั้งหลาย ดอกเตอร์ เดนนิส โรเบิร์ตสัน จากมหาวิทยาลัยเซอร์เรย์ในอังกฤษ บอกว่า “ถ้าคุณกินพาสต้าแบบที่ทำเสร็จแล้ว และมันเริ่มเย็น อย่าเพิ่งกิน ให้อุ่นร้อนก่อนอีกครั้ง จะไปช่วยลดการเพิ่มของน้ำตาลในเลือดได้ และทำให้อินซูลิน ฮอร์โมนที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดทำงานได้ดีขึ้น 50%” ก็จะไปช่วยลดความเสี่ยงของการขาดอินซูลินที่มีผลกับน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น และเกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ได้ด้วย

3. ซื้อผักที่ลูกเล็กลง

ไอเดียนี้ไม่เคยได้ยินที่ไหนเลย คือเวลาเราเลือกพืชผักเนี่ย เรามักเลือกลูกที่ใหญ่ๆ ไว้ก่อน ความจริงแล้ว จากงานวิจัยของออร์แกนิก เซ็นเตอร์ ในอเมริกาบอกว่า “ความจริงแล้ว บรรดาผักที่ลูกเล็กน่ะ จะมีวิตามิน และแร่ธาตุมากกว่าลูกเป้งๆ” นึกภาพมะเขือเทศลูกใหญ่แต่สีแดงสุดจะจาง กับลูกเล็กที่สีแดงเป่งมากดูนะ ลูกเล็กกลับมีสารแอนตี้ออกซิแดนต์สูงกว่า อย่างบรอกโคลี ก็เหมือนกัน พวกหัวใหญ่ๆ จะมีสารไลโคพีน สารต้านอนุมูลอิสระน้อยกว่าแบบหัวเล็กๆ โอวววว ไปตลาดคราวหน้าขอเลือกใหม่เลย

4. ใส่น้ำเพิ่มตอนทำของทอด

ใครๆ ก็รู้ว่าน้ำกับน้ำมันไม่ผสมกันก็จริง แต่อันนี้มีข้อยกเว้นสำหรับของทอด เทคนิคนี้มักใช้เวลาทำอาหารจีน เลยจะเติมน้ำเพิ่มไปกับน้ำมันเวลาทอด ซึ่งก็จะช่วยลดอุณหภูมิของน้ำมันในกระทะได้ และที่สำคัญคือ จะไปลดการเกิดปฏิกิริยาเคมีรวมตัวกัน ตอนที่เจอกับอุณหภูมิร้อนสุดๆ เพราะถ้าเราปล่อยให้น้ำมันร้อนมากๆ น้ำมันจะแตกตัวถูกทำลาย และสิ่งนี้จะไปทำอันตรายกับโครงสร้างดีเอ็นเอของเราได้

5. กินของหวานด้วยช้อนกาแฟ

กรี๊ดๆๆๆ ไม่เคยคิดวิธีนี้เลยจริงๆ นักวิจัยค้นพบว่า “ถ้าคุณกินขนมหวานแบบใช้ช้อนกาแฟ ค่อยๆ ตักกิน จะทำให้คุณรู้สึกว่ามันช่างหวานเหลือเกิน มากกว่ากินด้วยช้อนใหญ่ๆ” ก็จะทำให้คุณกินไปไม่กี่คำ ต้องขอวาง และก็ขอเตือนเหมือนกันว่า เวลาทำอาหาร หรืออะไร อย่าใช้ช้อนกาแฟชิม มันจะทำให้คุณรู้สึกว่าสิ่งนั้นหวานๆ แฮะ เลยอาจต้องเติมเนย เติมเกลือเข้าไปเพิ่ม ใช้ส้อมชิมจะดีกว่า

6. แบ่งขนมออกไปครึ่งหนึ่งก่อนกิน

จากงานศึกษาของโปรเฟสเซอร์ไบรอัน วานซิงค์ และทีมของมหาวิทยาลัยคอร์เนล ในอเมริกา เวลากินขนม กินสแน็กน่ะ เราจะกินไปได้แค่ครึ่งหนึ่ง ก็จะพอใจพอแล้ว แต่บางทีมันเพลินเลยกินไปเรื่อยๆ วิธีก็คือครั้งหน้าเวลาจะกินให้คุณแบ่งขนมออกไปครึ่งหนึ่งเลย หรือเป็นสี่ส่วนยิ่งเริด แล้วเอาไปวางให้ห่างๆ สายตาเข้าไว้ ก่อนกินรอก่อน 15 นาที ความอยากจะลดลงได้ จะเหลือสิ่งที่อยู่ในความทรงจำคุณก็คือ “เออ ขนมอันนั้นอร่อยดีเนอะ” เพียงเท่านี้

7. อย่าเพิ่งทิ้งส่วนที่ไม่ชอบเวลากิน

ถ้าอยากกินให้ฉลาดล้ำเข้าไปอีก จะบอกว่าส่วนของวัตถุดิบที่เราไม่เลิฟ ชอบทิ้งๆ นั่นน่ะ คือส่วนแห่งคุณค่าอันยิ่งใหญ่ แม่นแล้ว! อย่างเช่นบรอกโคลีเราจะกินตรงเขียวๆ หัวๆ แต่ความจริงก้านของบรอกโคลีนี่มีแคลเซียมเพียบเลย วิตามินซีด้วย เอาก้านมาผัดน้ำมันหอยกินไปด้วยกรอบอร่อยจะตาย เม็ดส้มก็ให้วิตามินและไฟเบอร์สูง กระดูกไก่นี่เอามาต้มสุดจะมีโปรตีนและแคลเซียม แกนสับปะรดอีกนี่ก็ไฟเบอร์สูงมากๆ

8. กินมันนี่ไม่ต้องบดเลย

หลักการก็คือ อะไรก็ตามที่เป็นคาร์โบไฮเดรตที่คุณกิน อย่าบด! ยิ่งบดนี่ จะยิ่งมีน้ำตาลเข้าไปในกระแสเลือดเยอะขึ้นได้ 25 เปอร์เซ็นต์เลย เอาเป็นว่าเยอะกว่ากินเฟรนช์ฟรายอีก ว้ายๆๆๆ สาวรักเฟรนช์ฟรายก็อย่าได้ดีใจไป ไม่ดีเหมือนกันถ้ากินเยอะๆ นะ เอาที่พอเหมาะๆ นิดๆ หน่อยๆ ก็พอ

9. เลือกกินอะไรที่อิ่มง่ายๆ

มีงานเปรียบเทียบของดอกเตอร์ชอว์น ลูแคน จากมหาวิทยาลัยในนิวยอร์กบอกว่า “ให้คนสองกลุ่มทดสอบ กลุ่มหนึ่งกินมันฝรั่งทอด อีกกลุ่มกินชีส ปรากฏว่ากลุ่มกินชีสมีปริมาณแคลอรีน้อยกว่าที่กินมันฝรั่งทอด” เรื่องนี้ก็เพราะเวลากินชีส จะหนักท้อง อิ่มง่ายกว่า กินไปไม่เท่าไรก็เลี่ยนด้วย ไม่อยากกินต่อ แต่กินมันฝรั่งทอดนี่ทั้งกรอบ ทั้งเค็ม มันจะกินได้เรื่อยๆ รวมๆ แล้วเลยมีแคลอรีสูงกว่านั่นเอง เวลาเลือกกินอะไรบางทีเลือกแบบหนักท้อง ก็เลยจะดีกว่าดูเหมือนเบา แต่จกซะเยอะเลยอะไรแบบนี้

10. เพิ่มพริกให้เผ็ดร้อน

สาวรักพริก ขอแสดงความยินดีกับคุณ สิ่งนี้คือดีงามค่ะ! กินพริกอาทิตย์ละมื้อสองมื้อ หรือกินทุกวันไปเลย จะช่วยลดความเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งได้ถึง 10 เปอร์เซ็นต์ และพริกนี่ยังมาแทนความอยากกินแอลกอฮอล์ได้อีก และยังช่วยให้ร่างกายผ่อนคลาย ความเครียดลดลงได้ด้วย ลองใส่พริกขี้หนูสวนในอาหารดู ความหอมของพริกขี้หนู ทำให้คุณกินอาหารอร่อยขึ้นด้วยนะ

ที่มา – Cleo Thailand
www.cleothailand.com